NEW! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ....

ปัญญา คือ เหตุ และ ผล

ญาณ คือ รู้

ปัญญาญาณ คือ รู้ในเหตุและผลเพื่อเกิดผลการกระทำที่ถูกต้อง

ปัญญาณ ก็คือ สัมมาทิฐิ

มีความเห็น(สัมมาทิฐิ) ก็ต้องตามด้วย ความดำริชอบ (ความคิดชอบ) จึงออกมาเป็น การกระทำ ๓ ในมรรคแปดนะค่ะ

ที่จริงแล้วไม่อยากออกความคิดเห็นหรอกค่ะ แต่มีความจำเป็น แค่นี้ก็แล้วกันค่ะ

 

การนั่งปฏิบัติ แล้วรู้สึกสงบนิ่ง เบาสบายเลย

ฉันถาม คือ ที่สุด คือ ถึงฝั่งแล้วใช่ไหม?...จขกท..
ว่าไง?

ฉันถามต่อ..เอาที่เธอเชื่อตัวบุคคลก็ได้
เธอเชื่อในพุทธะใช่ไหมฉันจะยกตัวอย่าง.คำถาม

อะไรจึงเป็นสัญลักษณ์ว่าถึงฝั่งแล้ว?

แล้วที่เธอเจอเหมือนพุทธะ หรืออรหันต์ อิ่นเจอแล้วยัง?

ฉันไม่ได้ยอกย้อนเธอ...ฉันเห็นเธอเป็นนักอ่านจากตำรา..เธอได้อะไรจากตำรา...แล้วเธอจะถึงฝั่งเมื่อไหร่ อะไรเป็นเหตุให้บอกว่าจะถึง?

 

ปัญญาที่ ฉันหามาได้เบื้องด้นจากธรรมชาติ

ปัญญา คือการเข้าใจในปัญหาที่ปรากฎ ที่มี ที่เกิดขึ้น และสืบค้นหาต้นเหตุและได้ทำการ ดับต้นเหตุ ทำลายต้นเหตุ และขจัดปัจจัยทำให้ต้นเหตุนั้นมีอยู่

ปัญญา เพื่อ แก้ไขปัญหาโดยดับต้นเหตุของปัญหา
เมื่อดับต้นเหตุของปัญหา...กระบวนการต่างๆที่จะทำ หรือการกระทำที่ถูกต้องจะลดน้อยลง

หากเธอมีปัญญาเพื่อหาการกระทำถูกต้องเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ต้นเหตุไม่ถูกกำจัดออกไป เธอจะมีกระบวนการที่ซับซ้อนมาก ใช้พลังมาก

ศีล กำหนดขึ้นมาเพราะ รู้ปัญหา เพื่อขจัดปัญหา ที่จะเกิด หรือที่เกิด ไม่ใช่กำหนดในปัญหาที่ยังไม่เกิด

การกระบวนการและการกระทำที่ถูกต้อง เป็นโปรแกรมมาตรฐานที่ศึกษามาดีแล้ว เหมาะสมแล้ว เช่น แฟรนไชส์...นี่คือปัญญาสำเร็จ..ที่คิดค้นจากปัญหาที่มี กลายมาเป็นกรพบวนหารและการกระทำที่ถูกต้อง

และ ญาณ คือ รู้ว่าจะใช้ความรู้อะไร เมื่อไหร่ ขั้นตอนไหน? ง่ายๆ ? คือการบริหารจัดการความรู้ ...ยังไม่เข้าใจ ... (ฉันไม่ว่าใครโง่แต่ฉันจะขยาย) คือรู้ว่าขั้นตอนนี้ กระบวนการนี้ ต้องใช้ความรู้อะไรบ้าง อย่างไร เหมาะกับเวลาที่ใช้....

ไม่มีตำราไหนว่าเหมือนฉันเพราะฉันไม่ได้คิดเอง...

สารีบุตร เป็นนักเทศที่ดี แต่ทำไม โมคคาลานะ จึงไม่ได้ถูกสรรเสริญ เป็นยอดนักเทศ

เธอรู้ไหมทำไม...ทั้งๆที่ถูกยกเป็นอรหันต์ทั้งคู่.....

เธอเป็นคนเก่ง?? น่าจะรู้ดี

ฉันไม่ค่อยจะรู้เรื่องพุทธเท่าใดดอก?? ...ฉันก็แบบของฉัน...เพราะฉันยังไม่อยากแก้จริตของฉัน...เพราะยังอยากศึกษาความลับของมนุษย์อยู่...ข้องไหม??

 

บทสรุปตอนท้ายของหลักความเชื่อ ..จขกท เคยปรารภ LD เป็นความฉลาดของคนยุคใหม่ พลังใหม่

 

สวัสดีทุกท่านค่ะ. ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้เข้ามาตอบ แต่ก็ได้เข้ามาอ่าน ข้าพเจ้าขอบอกว่าข้าพเจ้าชอบอ่านจริงๆ โดยเฉพาะข้อความของท่านทั้งหลายที่นำมาลงในกระทู้แห่งนี้

ข้าพเจ้าชอบอ่านซ้ำซ้ำ โดยเฉพาะของคุณ 999 ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอ่าน ข้าพเจ้าพบความรู้ ข้าพเจ้ารู้สึกถึงข้อมูลที่ขาดหายไป ข้าพเจ้าพบว่า ข้าพเจ้าพบครูที่กำลังสอนนักเรียน เพราะทุกคำถามของคุณ 999 มีคำตอบอยู่ในตัว ท่านถามและท่านก็ตอบ หากเราตัดอารมณ์ที่เกิดจากการมีตัวตนในการอ่านทุกข้อความออกไป เราจะพบว่ามันมีความรู้อยู่ด้านในนั้น และข้าพเจ้าก็ยังมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในคุณ 999 เหมือนเดิม

หากให้ข้าพเจ้าตั้งคำถามว่าคุณ 999 คือใคร. ความรู้สึกของข้าพเจ้าตอบออกมาว่า ท่านคือ Doctor of Divinity หรือ DD หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิญญาณ ในขณะเดียวกันข้าพเจ้าขออนุญาตเรียกท่านว่า. DR. เจริญ

ข้าพเจ้าขอขอบคุณคุณจิตยิ้ม ซึ่งเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าพบความไม่ขัดแย้ง และ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของข้อมูล ของคุณจิตยิ้ม และคุณ 999 เพียงแต่ของคุณจิตยิ้มเปรียบเสมือนใบไม้ในกำมือที่ถูกตัดลด ให้กระชับ ในขณะของที่คุณ 999 เป็นภาคขยายความให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง

ข้าพเจ้ามิใช่ผู้รู้ แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่กำลังเรียนรู้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าผู้รู้ หรือผู้ที่สามารถเปลี่ยนความเชื่อให้เป็นความรู้ได้หมดแล้ว ย่อมไม่สามารถอยู่ในฐานะคนธรรมดา ^^

รายงานการสอบอารมณ์

ข้าพเจ้าไม่ปวดหัวเหมือนช่วงแรกแล้ว เมื่อใช้สติจดจ่ออยู่ที่แนวกระดูกสันหลังแถวกระเพาะอาหาร ข้าพเจ้าสามารถรู้สึกได้ ว่าท่านได้ใช้ปัญญาญาณให้วิธีที่ถูก กับจริตข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าไม่กลัวต่อการปฏิบัติ เมื่อข้าพเจ้าใส่คำถาม คำตอบคือ น้ำตาที่ไหลลงมา

ความหมายการใช้ปัญญาญาณของคุณ 999 ภูดิศ จึงมีความหมายเดียวกับของคุณจิตยิ้ม

ทุกอย่างมีรอยต่อของมันเสมอ บางอย่างที่ขาดหายไปก็ต้องเติมเต็ม บางที ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าความเบิกบานแท้จริงแล้วเกิดจากการได้ทำงานเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป เหมือนกับการที่เรามีบาดแผล มันเหมือนกับการที่เราได้ทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อขจัดต้นเหตุของบาดแผลนั้น หรือเติมเต็มช่องว่างของประสบการณ์ในสิ่งที่เราไม่เคยได้ทำให้ถูกต้องเสียที

ความรู้สึกของข้าพเจ้าก็บอกอีกด้วยว่า การที่เรามีอายุสั้นยาวไม่เท่ากัน อาจเป็นเพราะเรามิได้ทำหน้าที่ที่สมควรทำ เมื่อเราไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวจึงก่อให้เกิดการเน่าเสียภายใน

ข้าพเจ้าเป็นคนชอบสะสมหนังสือ แต่มิใช่นักอ่านที่ดี หนังสือที่ข้าพเจ้าอ่าน ซ้ำไปซ้ำมามีแค่เพียง 1 ชุดเท่านั้น คือธรรมชาติที่แท้จริงของจิตวิญญาณ

ป.ล. ท่านเปิดแผลของข้าพเจ้าอีกครั้ง คนเราสามารถสร้างบาดแผลให้แก่กันอย่างไม่น่าเชื่อแล้วปล่อยวางบาดแผลให้คนอื่นต้องรับผิดชอบ ด้วยคำว่า "นิพพาน" น้ำตาของข้าพเจ้าไหลออกมาอีกครั้ง

 

แม้ในความรู้สึกของข้าพเจ้าจะบอกว่านี่ คือ บททดสอบความศรัทธาที่ธรรมชาติให้กับข้าพเจ้า ถึงแม้เสียงที่ปราศจากลิ้นจะบอกข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้า จะตกบททดสอบนี้ก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังคงชอบคำว่า"ความเจริญที่ยั่งยืน" ข้าพเจ้ารักคำว่า "การสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกัน" ข้าพเจ้าเชื่อว่าทั้งหมดทั้งมวลนี่ คือข้อมูลของ "ความรักและความสามัคคี" (Love Data หรือ Ld)ที่เป็นคุณสมบัติที่เราทุกคนควรจะมี ข้าพเจ้าเชื่อว่าบางครั้งการที่เราได้ทำอะไรบางสิ่งบางอย่างแล้วการกระทำนั้นมันทำให้เรามีความรู้สึกว่า "อิ่ม"เหมือนกับได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป ข้าพเจ้าเชื่อว่า นั่นคือความเบิกบานของอารมณ์ ความรู้สึก. และข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกว่า ข้าพเจ้าควรดูอย่างมีสติ"

LOVE DATA หรือ LD จึงเป็นข้อมูลการเข้าถึงธรรมชาติ ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลเวลา เช่นเดียวกับการปฏิบัติ ที่จะให้ถูกจริตกับนักปฏิบัติ และกาลเวลานั้น

ดังนั้นเมื่อเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป สภาพแวดล้อมและพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไป Love Data ชุดเก่า จึงมิอาจจะใช้การได้อีก หากยังยึดไว้ก็จะเกิดการเสื่อมลง เพราะถ้าหาก Love Data เดิมยังใช้ได้ ความเสื่อมย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีการจัดหา Love Dataใหม่แต่ยังคงอยู่บนพื้นฐาน ของธรรมชาติหรือความเจริญที่ยั่งยืนอันที่เป็นแก่นแท้

 

ในขณะเดียวกันมันก็ยังคงตรงกับอริยสัจ 4 แนวทาง มรรคมีองค์ 8 ที่ยังคงใช้ได้ตลอดกาล เพียงแต่รูปแบบ การอรรถาธิบายที่เปลี่ยนแปลงไป แต่แก่นแท้ทั้งหลายก็ยังคงเดิม นักปฏิบัติทั้งหลายจึงควรใช้ปัญญาญาณ ในความหมายที่คุณ 999 ได้อธิบายไว้ในการพิจารณาอย่างมีสติ หรือดูอย่างมีสติ

แต่ไม่ว่า Love Data จะอันเก่าหรือใหม่ หรือจะถูกทำออกมาในรูปแบบใด แต่แท้จริงก็เป็นเพียงสิ่งสมมติ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ให้ถึงฝั่งเท่านั้นแต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะยึดมั่นถือมั่นตลอดไป เพราะเมื่อท่านข้ามแม่น้ำถึงฝั่งแล้ว ก็ไม่ควรที่จะแบกอุปกรณ์ หรือแบกเรือนั้นไว้ต่อไป แต่ในขณะเดียวกัน ถ้ายังไม่ถึงฝั่งก็ไม่ควรที่จะทิ้งแพหรือเรือนั้นเสีย ตามที่คุณจิตยิ้มได้แนะนำไว้

ข้าพเจ้าขอขอบคุณทั้งคุณ 999 และคุณจิตยิ้มเป็นอันมาก ความรู้สึกของข้าพเจ้าบอกว่า ท่านทั้งหลายคือหนึ่งเดียวกัน

ด้วยรัก@^^

 

นิสัยของผู้หญิงคิดเล็ก คิดน้อย คิดทั่วมั่วไปหมด



การเข้ามานี้เพื่อมาให้ค่ะ

พลังงานใหม่ หากจริง ๆ ต้องไร้เงื่อนไข และมิได้เป็นอย่างที่ท่านเข้าใจแม้แต่น้อย

หากผู้ชายหรือผู้หญิงสนทนากัน และคิดเป็นดั่งที่ท่านว่า โลกนี้จะเป็นเช่นไรหนอ

 

.......

 

?? เธอต้องไปอ่านตอนท้ายของ
หลักความเชื่อ 10 ประการในกาลามสูตร
แลัวเธอจะพบ L D

เธอไปหาความรู้แจ้งเอาเอง

 

คนจริงไม่สลับร่าง

แต่งหญิง...แอบดูหญิง ...

หญิงจริง...ไม่อาจหาญ..ตำหนิหญิง
หญิงใดตำหนิหญิงด้วยกัน...หญิงนั้นไม่น่าคบ

ยกเว้นวิปลาส..หรือจากชายแอบหญิง

 

เนื่องจากมีคนเข้ามาอ่านและตลอดเวลาจึงเอาหลักกาลามสูตรมาปะไว้ให้ช่วยกันพิจารณา^^

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Wikipedia

กาลามสูตร (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตตสูตร[1]) คือ พระสูตรที่พระโคตมพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่[2]

1. มา อนุสฺสวเนน - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา
2. มา ปรมฺปราย - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการถือสืบ ๆ กันมา
3. มา อิติกิราย - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการเล่าลือ
4. มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
5. มา ตกฺกเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ (การคิดเอาเอง)
6. มา นยเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน (คาดคะเน)
7. มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าปลงใจเชื่อด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
8. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าปลงใจเชื่อเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9. มา ภพฺพรูปตา - อย่าปลงใจเชื่อมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
10. มา สมโณ โน ครูติ - อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา

เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ

 

*** สัจจะธรรม สัตว์โลกจะต้องทำ ****

สัจจะ คือ แก่นสาร
นอกนั่นไม่ใช่แก่นสาร

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

เล่าสู่กันฟัง^^

เมื่อ 2 ปีมาแล้ว ตอนข้าพเจ้ายังทำงานอยู่ หลังเลิกงาน ข้าพเจ้าออกไปซื้ออาหารเย็น เมื่อกลับมาที่o/f น้องคนหนึ่งวิ่งมาบอกว่า พี่มีฝรั่งคนนึง มานั่งหน้าออฟฟิศเรา เขาบอกว่าเขาไม่มีเงิน แล้วเขาไม่ได้กินข้าวด้วย พี่ใจดีไม่ใช่เหรอ พี่ไปช่วยเค้าหน่อยสิ ในมือเขาถือหนังสือพุทธศาสนาด้วย ฉันมองหน้าน้องคนนั้น ไม่ว่าเขาจะพูด ด้วยความคิดอย่างไรก็ตาม ฉันเดินไปหาชายต่างชาติคนนั้น แล้วนั่งลงถามเขาว่าคุณมาจากไหน ทำไมคุณมานั่งที่นี่ เขาบอกตามที่น้องได้บอกฉันทุกประการ ฉันยื่นอาหารทั้งหมดที่ฉันซื้อมาให้กับผู้ชายคนนั้น ฉันบอกว่าเขาสามารถเก็บไว้ทานได้จนถึงเช้าวันพรุ่งนี้ ฉันถามว่าเขาเป็นคนพุทธหรือ? เขาจึงอ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนา เขาบอกว่า เขาชอบอ่าน เขาโกนศรีษะเหมือนนักบวช. เพื่อนฉันประชดว่าไม่ให้น้ำเขาไปอีกละ และฉันก็เอาน้ำที่ออฟฟิศให้ไปจริงๆ ความรู้สึกของฉันตอนนั้นฉันดีใจที่ฉันได้ทำอย่างนั้น ถึงแม้อาหารเย็นวันนั้นของฉันจะไม่ดีเท่ากับที่ให้เขาไปก็ตาม. อีกไม่กี่วันต่อมา มีกลุ่มของนักบวชภควัทคีตา ถือกล่องรับบริจาคพร้อมแจกหนังสือฟรี ไม่มีใครสนใจ แต่ฉันกลับอยากได้หนังสือเล่มนั้น ฉันใส่เงินลงในกล่องจำนวนแค่ 20 บาทเท่าที่ฉันมีในวันนั้น ฉันขอหนังสือ และหนังสือเล่มนั้นในวันนี้ที่ฉันเปิดดู มันมีข้อมูลของพระบิดาของมนุษยชาติ คริชณะ แม้ประวัติจะมีอยู่แค่หน้าแรกหน้าเดียว แต่มันก็เป็นเรื่องแปลกที่ข้อมูลนั้นสามารถต่อช่องว่างที่ฉันยังไม่เข้าใจได้บ้าง

จริงๆแล้วข้าพเจ้าเป็นคนไม่ชอบดูซีรีย์อินเดีย แต่แฟนข้าพเจ้าชอบเปิดซีรีย์ พระศิวะ มหาภารตะ พระราม ให้ดูบ่อยๆ. ข้าพเจ้าชอบคำสอนในซีรีย์เหล่านี้มาก

เหตุบังเอิญคงไม่มีในโลก. มั้ง^^

 

คุณภูดิส ขออโหสิกรรมแก่ท่านด้วยนะค่ะ

อ่านข้อความของท่านและจขกท คิดว่าท่านเป็นคู่บุญกัน

โดยแค่ตีนัยยะความหมายของท่านและ จขกท เพี้ยนไป คิดว่าท่าน ขจกท.น้อยใจท่าน เลยอยากให้ท่านทั้งสองเข้าใจกัน ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยค่ะ

ต้องการกัลยาณมิตรไหมค่ะ!

 

นี่ลัทธินี้นำข้อความมาจากไหนครับ? เทพเมต้าตรอนอีกหรือเปล่า? ทำไมมันดูแปลกๆ

 

เคยมีบทกล่าว ว่า ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น
วลีนี้ยังคงจริง เสมอ

ทำนองเดียวกับ กฎของการดึงดูด

เปิดมิติพวกไหนมา...จะแสดงออกทางความคิด
ที่ปรากฎ

ดูถูกเหยีดหยามผู้อื่น...คนนั้นกำลังเปิดมิติของเหล่า ที่มีแต่เชื้อของพวกเหยียดหยามผู้อื่น..เพิ่มเติมเข้าไป.....การที่ใครก็ตามเปิดมิติที่ไม่งดงามออกมาและไม่มีความหยุดยั้งการกระทำ..หมายถึงการตกอยู่ในอำนาจและพลังมิติเหล่านั้น นั่นคือ กลายเป็นบริวารของพวกที่ครอบงำไปแล้ว

วลีที่ว่าทำสิ่งใดได้สิ่งเหล่านั้น..จึงเป็นจริงเสมอ

ฉันไม่เคยให้อโหสิให้ใคร
และฉันไม่เคยขออโหสิจากใคร

เพราะสิ่งที่เธอหรือใครทำอะไร..ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว

ความจริง..สัจจะ..เป็นอย่างไรก็เป็นตามนั้น

นี่เป็นตัวอย่างของคนที่ไม่ระมัดระวังตนเองตกเป็นบริวารของพวกเหยียดหยามผู้อื่น เหยียดหยามความคืดผู้อื่น

ฉันไม่สงสารอะไร..เพราะมันกลายเป็นสันดานของมันไปแล้ว...คือไปไหนมันก็จะเปิดมิติแบบนี้เรื่อยเพราะมันคิดว่าเป็นความสุขของมน

ขอให้เธอได้รับความจริง...สัจจะ...โดยละมอม

 

นี้คือความจริง เพื่อแก้อุปาทานหมู่ไงค่ะ ขอบคุณค่ะ

 

คำพูดสวยหรู แต่ตนเองกลับหลงในมิตินั้นๆเอง สัจจะ=ความจริง ลมไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรมันก็พัดของมันเป็นเช่นนั้นเอง

ดังนั้นคำว่ามิติไหนๆที่เปิดมาเพื่อดูถูกเหยียดยามผู้อื่น นั่นคือมโน(ความคิด) หลงในความคืดตนใช่ไหม?

หากไม่ใช่ใครคือผู้สอนในเมื่อตนทำด้วยตนเองไม่ได้?

เคยเจอด้วยตนหรือเปล่าเทพหรือพระเจ้าที่ลัทธิที่ตนนับถือ?

ก็ต้องไม่เคยเจออยู่แล้วละ เพราะเจอนี่สิแปลกเพราะปัจจุบัน "เมตาตรอน"มันตายไปแล้วไง

หากยีงเจออยู่จริงๆก็ระวังไว้นะครับเพราะตัวจริงไม่อยู่ที่เจอไม่มโนก็ตัวปลอม