คลังเรื่องเด่น
-
คาถาอภิญญา ๒ บท ที่มีฤทธิ์ มีอำนาจ
พระคาถาอภิญญานั้นแบ่งออกเป็น ๒ บทด้วยกัน บทแรกคือ สัมปะจิตฉามิ ถ้าจะภาวนาคาถาบทนี้ ให้ขึ้นต้นด้วยนะโมฯ ๓ จบ พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิฯ ตะติยัมปิฯ แล้วภาวนา อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ จนครบก่อน หลังจากนั้นจึงภาวนา สัมปะจิตฉามิ ถ้าหากว่าเราทำคาถาบทนี้ขึ้น จะมีความสามารถคล้ายกับผู้ที่ฝึกอภิญญาจากพื้นฐานของกสิณ ๑๐
ส่วนพระคาถาอภิญญาอีกบทหนึ่ง เรียกง่าย ๆ ว่าพระคาถาอภิญญาใหญ่ ก็คือบท โสตัตตะภิญญา บทนี้ถ้าเราภาวนาแล้วทำขึ้น ก็จะมีฤทธิ์ มีอำนาจเหมือนกับใช้กสิณ ๑๐ ได้โดยตรง พระคาถาบทนี้วิธีการง่ายกว่า คือน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย ตั้งนะโมฯ ๓ จบ แล้วก็ภาวนาได้เลย
คาถาทั้งสองบทนี้เมื่อภาวนาไปแล้วจะเกิดผลสองประการ ประการแรก ก็คือ พอภาวนาไปแล้ว เราจะเห็นแสงสีทอง จะเป็นจุด เป็นขีด เป็นเส้น เป็นสาย เป็นแผ่นผืน หรือสว่างโดยไม่มีประมาณ หรือเหมือนกับฟ้าแลบก็ตาม
เคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเราเห็นแสงสีทองแล้ว ให้น้อมใจค่อย ๆ ตะล่อมเอาแสงนั้นเข้ามาในอกของเรา ถ้าสามารถรวมเป็นดวงโตสว่างไสวสีทองอยู่ในอกของเราเมื่อไร ร่างกายของเราจะลอยพ้นพื้น ต้องตั้งสติให้ดี ๆ... -
เทวดาผู้ทรงฌาน มาทดสอบผู้ปรารถนาพุทธภูมิ และวิธีแก้ไข
การต้องถูกพิสูจน์นี่มีน้อยคน ไม่ใช่ทุกคน ท่านที่ถูกพิสูจน์อย่างหนักจริงๆ หนักมาก ก็ต้องเป็นพวกที่มาจากพระโพธิสัตว์ อดีตเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน อยากเป็นพระพุทธเจ้า การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็ต้องถือว่าจอมทัพ ท่านที่จะเป็นจอมทัพ ปราบข้าศึกคือ กิเลส ต้องมีความเข้มแข็งมาก
ท่านพวกนี้จะถูกพิสูจน์ด้วยเทวดาชั้นจาตุมหาราช ซึ่งเป็นเทวดาผู้ทรงฌาน แต่เทวดาเขาจะพิสูจน์เรา ก็ต่อเมื่อเราไม่กลัว ถ้าเรายังกลัวอยู่เขาไม่มาหรอก เสียเวลา และท่านพวกนี้ต้องมาจากสายพุทธภูมิ สายสาวกภูมิเขาไม่ลองมากเดี๋ยวเป็นบ้าไปเลย ดีไม่ดีเดี๋ยวเลิก เพราะกำลังใจอ่อนการทดลองของเขาก็ไม่ซ้ำแบบ ถ้าเรากลัวเขาก็เลิก หรือเราไม่รู้จักกลัวเขาก็เลิก คนไม่กลัวจริงๆ นี่เลยบาท
กำลังใจของคนทุกคน อาจสู้กันไปสู้กันมา สู้ให้พ้นความตายเหมือนสู้กับข้าศึก คนเลยบาทคิดสู้เอาชีวิตเป็นเดิมพันว่าร่างกายนี้นี่จะตายก็ช่างมัน แต่ความดีส่วนหนึ่งต้องเอาให้ได้ ถ้าความดีส่วนนี้เราไม่ได้เพียงใดเราจะไม่ยอมเลิกเด็ดขาด มันจะตายก็ยอม เรียกว่า รักธรรมะยิ่งกว่ารักชีวิต อย่างนี้เขาเรียก "คนเกินบาท" มีกำลังใจเข้มแข็งมาก
บทพิสูจน์ของเทวดา... -
พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)
ปี พ.ศ. 2560 คือ กึ่งพุทธกาล ครบ 2,500 ปี หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน
การใช้ พ.ศ. ของประเทศไทยคลาดเคลื่อน
1). The Cambridge and Oxford histories of India ยอมรับว่า พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน 483 ปีก่อน คริสตศักราช
ปีนี้ 2017 + 483 = ปี 2500
พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปแล้ว 2,500 ปี
พ.ศ. ของไทย ปัจจุบัน คือ พ.ศ. 2560 เท่ากับว่า พ.ศ.ไทยเรา เร็วไปกว่า 60 ปี
The Cambridge and Oxford histories of India accept 483 B.C as the date of Buddha’s nirvana.
He was 80 years old when he died, so this puts his birth year at 563 BCE
2). ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร
บอกว่า การเรียก พ.ศ.ผิดนี้ เริ่มตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ตามชินกาลมาลีปกรณ์ ระบุว่า พระเจ้าอโศกเสวยราชย์ ระหว่าง พ.ศ.214-255
ที่ทราบว่าผิดความจริง ก็เพราะพระองค์ส่งสมณทูตไปตามเมืองต่างๆ (กระทั่งสุวรรณภูมิ) เมืองเหล่านี้มีศักราชจดไว้แน่นอน เทียบศักราชดูแล้ว พบว่า นับ พ.ศ.มากเกินไป 1 รอบ คือ 60 ปี
อ้างอิง
3). ถ้า พ.ศ. ของไทยคลาดเคลื่อนตามเหตุผลข้างต้น
ปี พ.ศ. 2560 เท่ากับ 2,500 ปี
ดังนั้นปี พ.ศ. 2560 ครบ 2,500 ปี... -
ระหว่างกรรมฐาน ๔๐ กองกับมโนมยิทธิ ผมควรจะฝึกอะไร ?
ถาม : ผมขออนุญาตถามเกี่ยวกับเรื่องการภาวนาครับ ?
ตอบ : ชอบอย่างไรให้ทำอย่างนั้น ขอให้ทำจริง ๆ เท่านั้นแหละ ถ้าเป็นไปได้ก็คือ ตลอด ๒๔ ชั่วโมงอย่าทิ้งการภาวนา แต่ส่วนใหญ่พวกเราทำครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงแล้วก็ทิ้ง เหลืออีก ๒๐ กว่าชั่วโมง ก็เลยไม่พอรับประทานสักที
ถาม : ระหว่างกรรมฐาน ๔๐ กองกับมโนมยิทธิ ผมควรจะฝึกอะไร ?
ตอบ : เอาอานาปานสติเป็นหลัก เพราะสร้างสติและทำให้เกิดกำลังในการต่อต้านกิเลส
สำหรับมโนมยิทธิ ถ้าเราไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริง จะหลงทางได้ง่ายที่สุด
ให้เข้าใจไว้ว่ามโนมยิทธิจริง ๆ แล้วเป็นกรรมฐานที่ช่วยให้เราตัดกิเลสได้ง่ายที่สุด
แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ยึดติดได้ง่ายที่สุด หลงผิดได้ง่ายที่สุด
เป้าหมายที่แท้จริงของมโนมยิทธิ คือ รู้พระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง
จดจำเอาอารมณ์ที่ปราศจากกิเลสข้างบน แล้วมาปฏิบัติต่อข้างล่าง
พอซักซ้อมจดจำอารมณ์ที่ปราศจากกิเลสไว้บ่อย ๆ กิเลสไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้
ท้ายสุดก็จะหมดสภาพไปเอง
แต่เท่าที่เจอมาร้อยละ ๙๙.๙๙ ก็คือ พอรู้แล้วแทนที่จะละ กลับรู้แล้วไปยึด คนโน้นเป็นอย่างโน้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา... -
ถวายสังฆทานไปแล้ว มีวิญญาณมาตามค่ะ ?
ถาม : ถวายสังฆทานไปแล้ว มีวิญญาณมาตามค่ะ ?
ตอบ : คนเรามีคนตามรักษาเป็นปกติ แล้วอีกอย่างหนึ่ง บรรดาผี บรรดาเทวดาต่าง ๆ มีอยู่รอบตัวของเรา มีโอกาสเห็นเขาถือว่าโชคดีแล้ว
ถาม : เขาจะทำอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ต้องถามว่าตั้งแต่เห็นมา เขาทำอะไรเราหรือยัง ? แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปทุกวัน ๆ ส่วนใหญ่พวกเรากลัวจนเกินเหตุ ถ้าเห็นอย่างอาตมาก็คงจะช็อกตายไปแล้ว เหมือนอย่างกับคนเห็นมากจนเลิกกลัวไปเอง
เอาเป็นว่า ถ้าเราสามารถทำใจได้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเหนือกว่าคุณพระรัตนตรัย แล้วยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ต่อให้โคตรผีก็ทำอะไรไม่ได้...! เรื่องของผีเรื่องของเทวดา เขามีกฎของภพภูมิคอยขวางอยู่ ไม่ใช่ว่าเขาจะมากลั่นมาแกล้ง มาทำอะไรเราได้ง่าย ๆ ใครอยากซวยก็ลองทำดูเถอะ
หรือไม่ก็หัดสวดภาวนาคาถาภาณยักษ์ไปเรื่อย ๆ ตัวไหนอยากลองดีให้มาลอง ดูว่าเจ้านายท่านจะเฉ่งไหม ? เพราะคาถาภาณยักษ์เป็นคาถาที่ท้าวเวสสุวรรณท่านมอบให้กับพระ ถ้าหากว่าใครสวดคาถานี้แล้วผีหรือเทวดายังกลั่นแกล้ง ท่านถือว่าตั้งใจขบถต่อท้าวมหาราช เท่ากับหาเรื่องซวย..!
วัดท่าขนุนเขาสวดกันทุกวันแหละ ขึ้นด้วย นะโม เม สัพพะพุทธานัง... -
การที่จิตฟุ้งซ่าน นอกจากอานาปานสติแล้ว ยังมีกรรมฐานกองอื่นที่แก้ไหมครับ ?
ถาม : การที่จิตฟุ้งซ่าน นอกจากอานาปานสติแล้ว ยังมีกรรมฐานกองอื่นที่แก้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีเลย ถ้าไม่เอาอานาปานสติก็หยุดความฟุ้งซ่านไม่ไหวหรอก อานาปานสติเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกอง ยิ่งมีความฟุ้งซ่านยิ่งจำเป็นจะต้องหยุดด้วยอานาปานสติ บางคนบอกว่าผมไม่เห็นต้องใช้อานาปานสติเลย แค่คิดก็หยุดได้แล้ว อันนั้นแสดงว่าข้ามขั้นไปจนเป็นฌานแล้วแต่ตัวเองไม่รู้
ถาม : บางท่านก็บอกว่า อารมณ์นี้ละเอียดเกินไป อย่างนี้เป็นความเห็นที่ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจของเขา กำลังใจของเขายังไม่ถึงตรงจุดนั้น ก็จะรู้สึกว่าละเอียดเกินไป หนักเกินกำลังของตน แปลว่ากำลังใจต่ำมาก
ถาม : ....(ไม่ชัด).....อย่างนี้จะเรียกว่าช่วยได้ไหมครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าช่วยได้ก็ช่วยได้ แต่ถ้าไม่มีอานาปานสติคอยคุมอยู่ สติก็ไม่มั่นคง ไปกำหนดทีเดียวหมดก็พลาดจนได้
ถาม : ขนาดเดินอยู่ก็พลาดจนได้ ถ้าไม่มีอานาปานสติคอยคุม ?
ตอบ : ใช่...คุณเดินอยู่ก็คิดไปหลายร้อยเรื่องแล้ว บางทียังไม่รู้ตัวเลย
ถาม : แสดงว่าขณะกำหนดสติ ก็จำเป็นต้องมีอานาปานสติ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วจำเป็นต้องมีเลย เพราะว่าสติจะรู้ตัวก็ต้องมีตัวควบคุม... -
จะแก้ความโกรธต้องเอาพรหมวิหารสี่มาแก้ใช่ไหมคะ ?
ถาม : จะแก้ความโกรธต้องเอาพรหมวิหารสี่มาแก้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เอาแค่สมาธิก็ได้ อยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ ก็โกรธใครไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพรหมวิหาร ๔ เป็นการแก้โดยตรง
ถาม : แต่เวลาบางครั้งที่โกรธขึ้นมา จะวิ่งไปหาสมาธิ เกิดจากอะไรคะ ?
ตอบ : ความเคยชิน สภาพจิตโกรธด้วยอำนาจกิเลส อีกส่วนหนึ่งคือรู้ว่าต้องมาทางนี้ถึงจะปลอดภัยก็วิ่งไปหาสมาธิ คือถ้าทางนี้กำลังสูงกว่าก็ชนะ ก็ไม่ต้องไปโกรธใคร ฉะนั้น...ต้องซักซ้อมเอาไว้ เอาให้กำลังสูงกว่าชนิดที่ไม่ต้องไปคิดโกรธใครเลย
ถาม : แต่ถ้าเราไม่พูด คนอื่นก็จะเสียหายด้วย ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทนให้คนอื่นโกรธ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าจะทำเพื่อคนอื่นก็ต้องเสียสละตัวเอง
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
(หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน) -
บุคคลที่พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน ผู้ที่จิตฟุ้งซ่านก็จะห่างจากสมาธิ
อย่าพูดในเรื่องอันเป็นเหตุให้เถียงกัน
ถาม: ...
ตอบ: ทำเว็บก็อย่าไปเถียงกันกับเว็บอื่น ...(หัวเราะ)... ดู ๆ แล้วน่าเบื่อเหมือนกัน มีอยู่ ๒ สถานด้วยกัน
สถานแรกคือ พอคุยไปคุยมา ต่างคนเกิดทิฏฐิขึ้นมา
อย่างที่สองคือ ความรู้ยังไม่ถึงจุดนั้น ก็ชี้แจงแสดงเหตุให้เด็ดขาดลงไปไม่ได้ เลยกลายเป็นที่ถกเถียงกันไปเรื่อย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้แล้วว่า จงอย่าพูดในเรื่องอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เรื่องอันเป็นเหตุให้เถียงกันจำเป็นต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน ผู้ที่จิตฟุ้งซ่านก็จะห่างจากสมาธิ ท่านตรัสเอาไว้ชัดเลย
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
ที่มา http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3904 -
"การขอขมากรรมกับบิดามารดา" ทำแล้วชีวิตดีขึ้นทันตา
"การขอขมากรรมกับบิดามารดา" ทำแล้วชีวิตดีขึ้นทันตา
สาเหตุสำคัญที่เป็นกรรมหนักที่ขัดขวางไม่ให้คนนั้นเจริญและร่ำรวยได้ มาจากความไม่กตัญญูรู้คุณพ่อแม่ และผู้ที่มีพระคุณ ผลของกรรมหนักนี้จะไปเป็นอุปสรรคกรรมสำคัญที่ปิดกั้นหรือขวางทางชีวิตไว้
ครูบาอาจารย์ท่านเน้นเลยว่า ต้องทำเป็นเรื่องแรก ก่อนไปปลดกรรมลดกรรมอื่นทั้งปวง ถ้าทำเรื่องนี้ก่อนเรื่องอื่นๆ จะสำเร็จโดยง่ายดาย
คนที่เป็นลูกที่ทำความช้ำใจให้พ่อแม่อยู่เนืองๆ นั้น ได้สร้างบาปกรรมให้กับตัวเองตลอดเวลาจนอยากที่มีชีวิตที่เจริญก้าวหน้าได้ ประเภทอยากได้อะไรก็จะบังคับขู่เข็ญพ่อแม่ไม่ได้ดูเหตุผลอะไรเลย พูดจากก้าวร้าวเอาแต่ใจตัวเอง ประพฤติตนไปในทางเสื่อม ทำให้พ่อแม่ช้ำใจอยู่เนื่องๆ ไม่เลี้ยงดูตอบแทนท่านทอดทิ้งท่านหลายครอบครัวซ้ำร้ายไปกว่านั้นอีก แยกไปมีครอบครัวใหม่ยังไม่พอ ยังเอาลูกหรือหลานมาให้พ่อแม่เลี้ยงดูอีกโดยไม่ดูแลค่าใช้จ่าย คิดเอาแต่ได้เอาความสบาย ลูกแบบนี้สร้างเวรกรรมไม่ดีกับพ่อแม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
โบราณท่านกล่าวว่า ผู้ใดทำให้พ่อแม่ร้องไห้น้ำตาตกนั้น คนผู้นั้นไม่มีวันเจริญได้ในชาตินี้
สำหรับคนที่อยู่ในข่ายนี้... -
นิมิตกรรม หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป
ครั้งหนึ่งพระอาจารย์เปลี่ยนได้รับนิมิตว่า มีผู้หญิงอายุมากแล้วคนหนึ่งใส่บาตรท่านเพียงครั้งเดียว ได้เคยคิดจะถักหมวกถวายท่านเพื่อสวมในหน้าหนาว ท่านเห็นในนิมิตว่า เขาไปหาท่านและพูดว่า
“จะขอลาแล้ว”
พระอาจารย์เปลี่ยนจึงส่งจิตไปดูที่บ้าน พบว่ากำลังใกล้จะตาย ลมหายใจสั้นลง และสิ้นในที่สุด พอตายแล้วมีผู้หญิงสองคนมาจับแขนผู้หญิงที่ตาย แล้วเอาแส้เฆี่ยนตีด้วย รุ่งขึ้นเช้า พระอาจารย์เปลี่ยนออกบิณฑบาตได้พบลูกเขยของผู้หญิงคนนั้น
จึงถามว่าแม่เสียแล้วใช่ไหม ลูกเขยแปลกใจที่ท่านทราบ พระอาจารย์เปลี่ยนจึงบอกว่าเขาไปลาท่านที่วัด เขาไปไม่มีสุข เขามีทุกข์ ทำบุญอุทิศให้เขาบ้าง และใส่เสื้อให้เขาด้วย
ปกติผู้หญิงคนนี้ชอบทำแต่ปาณาติบาต แต่ลูกเขยและลูกสาวชอบทำบุญอยู่เสมอ นิมิตในเรื่องนี้จึงเป็นทุคตินิมิต
ส่วนสุคตินิมิตนั้นพระอาจารย์เปลี่ยนได้พบในเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งชอบถวายดอกไม้ ธูปเทียน ทุกครั้งที่ไปวัดหรือไปหาพระอาจารย์เปลี่ยน เมื่อตายแล้วปรากฏว่ามีดออกไม้เคารพศพเป็นจำนวนมาก หญิงผู้นี้ได้ไปสู่สุคติ
นอกจากนั้นชาวบ้านหลายคนที่เคยถวายปัจจัยค่ารถ ค่ายานพาหนะแก่พระ เมื่อเวลาจะละสังขารไป... -
คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ 3 ประการ
คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ 3 ประการ
1. มหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส
2. มหากรุณา หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์
3. มหาอุปาย หมายความว่าพระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการชาญฉลาดในการแนะนำ อบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจธรรม
คุณสมบัติทั้งสามข้อนี้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ข้อแรกเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม ส่วนข้อหลัง 2 ข้อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น
.
. -
ระดับจิตของนักปฏิบัติ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
ระดับจิตของนักปฏิบัติ
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
คนเราก็ต้องอย่างนี้ก่อน ขั้นแรกก็เข้าถึงของหยาบก่อน
ต่อเมื่อจิตละเอียดเข้า ก็จะละของหยาบลงได้ ทุกคนมี
สภาพเหมือนกัน ของละเอียดเป็นสิ่งที่ เห็นได้ยาก
พวกเล่นพระ เป็นพวกที่มีจิตเป็นกุศลเหมือนกัน แต่เป็น
ขั้นกามาวจรสวรรค์ จะไปกะเกณฑ์ให้เข้าถึงธรรมละเอียด
นั้นเห็นจะยังไม่ได้ก่อน จนกว่าจิตจะมีบารมีเข้าถึง
ปรมัตถบารมีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละเขาจึงจะเห็นธรรม
ที่เป็นปรมัตถธรรม
อารมณ์ของกามาวจรจิตนั้น ยังติดดีอยู่มาก คือต้องการให้
คนอื่นเห็นตนว่าดีว่าเด่น อย่างนี้เป็นอาการของกามาวจร
ยังเข้าหาทางพ้นทุกข์ไม่ได้ สำหรับของรูปาวจรนั้น
มีความประสงค์จะแสดงฤทธิ์ด้วยตนเอง อยากแสดง
ปาฏิหาริย์ต่างๆ ให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์ อย่างนี้ก็ยัง
เอาตัวรอดไม่ได้
ต่อเมื่อไรจิตเข้าถึงปรมัตถธรรม คือ มีอารมณ์ละเอียด
มุ่งเหตุมุ่งผล เอาดีด้วยการรักษาอารมณ์ ไม่ถือมงคล
ตื่นข่าว ไม่ฮือตามเขา ถือกฏของกรรมเป็นใหญ่
เมื่อมีสุขก็ไม่ลำพองใจ คิดว่าในโลกไม่มีอะไรจริง
สุขทุกข์ของโลกไม่มีความยั่งยืน เป็นอารมณ์หลอน
เมื่อมีสุข ก็มองเห็นทุกข์ที่จะตามมาในระยะเดียวกัน... -
"สมาธิเป็นบาทของปัญญา" (สมเด็จพระญาณสังวร)
.
"สมาธิเป็นบาทของปัญญา"
" .. สมาธิพึงอบรมให้มีขึ้นสำหรับเป็นบาทของปัญญา "ความมุ่งหมายของสมาธิโดยตรงต้องการให้เป็นบาท
ของปัญญา" แต่ว่าผลของสมาธิอีกอย่างหนึ่ง "คือความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน"
เพราะสมาธิ ก็เหมือนอย่างห้องเย็น เมื่อเข้าสู่ห้องเย็นก็ย่อมมีความสุข ปราศจากความร้อนและเครื่องรบกวน
ทั้งหลาย "จิตที่เข้าสู่สมาธิ ย่อมเป็นสุขปราศจากเครื่องรบกวนทั้งปวง"
เพราะฉะนั้น "ความอยู่เป็นสุขในปัจจุบันนี้จึงเป็นผลของสมาธิอีกอย่างหนึ่ง" แต่ว่าถ้าติดอยู่ในผลของสมาธิดั่งนี้ "สมาธิก็จะกลายเป็นนิวรณ์ คือเป็นเครื่องกั้นอย่างหนึ่งไม่ให้เจริญปัญญา" .. "
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ -
สมาธิบำบัด - การสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย โดย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
การสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
โดย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
หลักการ
พลังงานกระแสลมปราณ หรือ “พลังแห่งชีวิต” เป็นพลังงานที่สำคัญและมีประโยชน์มากที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน เป็นของขวัญที่ธรรมชาติให้มาโดยไม่ต้องซื้อหา เพื่อเป็นภูมิต้านทานของร่างกาย ในสุริยจักรวาลของเรา ดวงอาทิตย์คือแหล่งกำเนิดของพลังงานกระแสลมปราณ ดังนั้น การที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์จึงทำให้โลกได้รับพลังงานนี้โดยอัตโนมัติ แต่ในภาวะวิกฤติของธรรมชาติในปัจจุบันนี้ ทำให้ชั้นบรรยากาศหนาแน่นเต็มไปด้วยมลภาวะ จึงส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ คือ พลังงานกระแสลมปราณไม่สามารถไหลเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ดังแต่ก่อน ภูมิต้านทานของร่างกายจึงลดลงทำให้สุขภาพถดถอยลงไปตามลำดับเช่นกัน
ประกอบกับภาวะ การเกิดโอโซนโหว่ การเกิดพายะสุริยะ เปิดโอกาสให้เชื้อโรคแปลกใหม่หลายชนิดทั้งเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียที่มี แหล่งอาศัยอยู่ในอวกาศ หรือ บรรยากาศที่อยู่สูงและมีความเย็นจัด ได้มีโอกาสไหลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก โดยอาศัยช่วงเวลาที่เกิดพายุสุริยะหอบพัดพาของเสีย ได้แก่เชื้อโรคชนิดใหม่ และสิ่งมีชีวิตที่เล็กมากจากอวกาศเข้ามาสู่ชั้นบรรยากาศโลก... -
ภาคปฏิบัติอันดับหนึ่งของการปฏิบัติทั้งหลาย :หลวงตาพระมหาบัว
-:-การนั่งปฏิบัติกรรมฐานในขณะฟังธรรม เป็นภาคปฏิบัติอันดับหนึ่งของการปฏิบัติทั้งหลาย-:-
"..ท่านที่ถือการฟังธรรมเป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ คือ ท่านนักปฏิบัติ
ซึ่งเคยฟังการอบรมจากครูอาจารย์มา และฟังธรรมด้านปฏิบัติ ไม่ใช่ฟังธรรมทั่วๆ ไป
เพราะขณะที่นั่งฟังนั้นเป็นภาคปฏิบัติได้เป็นอย่างดี ยิ่งกว่าการปฏิบัติโดยลำพังตนเอง
เพราะเกี่ยวกับธรรมะที่ท่านแสดงเข้าไปสัมผัสภายในใจเป็นลำดับๆ
ใจรับทราบ และทราบทั้งความหมายด้วยไปในตัว จิตที่รับกระแสแห่งธรรมที่ท่านแสดงไปไม่ขาดวรรคขาดตอน
นั้น ย่อมทำให้จิตลืมความคิดต่างๆ ซึ่งเคยคิดโดยปกติของจิต จนกลายเป็นความเพลินต่อธรรม
และเป็นความสงบลงไปได้ แม้ผู้ที่ยังไม่เคยฟังการอบรมเลย เวลานั่งภาวนาฟังก็เกิดความสงบได้
สำหรับผู้ที่เคยอยู่แล้วนั้นก็เป็นอีกแง่หนึ่ง
การนั่งปฏิบัติกรรมฐานในขณะฟังธรรม จึงเป็นภาคปฏิบัติอันดับหนึ่งของการปฏิบัติทั้งหลาย
เพราะเราไม่ได้ปรุงได้แต่ง ท่านปรุงท่านแต่งให้เสร็จ เนื้ออรรถเนื้อธรรมท่านแสดง
เข้าไปสัมผัส ซึมซาบถึงจิตใจให้เกิดความซาบซึ้ง ให้เกิดความสงบเย็นใจลงโดยลำดับ
ถ้าจิตเกี่ยวกับสมาธิก็สงบได้อย่างรวดเร็ว... -
ฌานใช้งาน (พระอาจารย์เล็ก สฺธมฺมปญฺโญ)
ถาม : ทรงฌานอย่างไรจึงจะเรียกว่าทรงฌานครับ ?
ตอบ : สมาธิทรงตัว มีสติรู้รอบอยู่ตลอดเวลา
ถาม : ทรงตัวเกี่ยวกับการทำงานด้วยไหมครับ ?
ตอบ : เวลาทำงาน ถ้าตั้งใจจริงๆ สมาธิจะเกินปฐมฌานไม่ได้ ส่วนใหญ่ก็แค่อุปจารสมาธิปลายๆ ที่บางคนเรียกอุปจารฌาน เพราะถ้าไม่เคยชินนี่ ถึงเวลาแล้วจะขยับไม่ได้ คนที่จะทรงเกินนั้นได้ ต้องมีความคล่องตัวในฌาน แบบที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า "ฌานใช้งาน"
ถาม : เป็นอย่างไรครับฌานใช้งาน ?
ตอบ : จะเข้าเมื่อไรจะออกเมื่อไร ต้องทำได้ในทุกที่ทุกเวลา
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๗
โดย พระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สฺธมฺมปญฺโญ),ดร.
. -
มีทำบุญอะไรบ้างแล้วโรคลดลง ?
ถาม : มีทำบุญอะไรบ้างแล้วโรคลดลง ?
ตอบ : ไม่มี.. ให้เว้นจากการทำบาปจ้ะ ไม่ใช่ทำบุญแล้วโรคจะลดลง เว้นจากปาณาติบาตทุกชนิด หมั่นแผ่เมตตาบ่อยๆ ชาติต่อไปก็โรคน้อยไปเอง หรือไม่ก็สร้างส้วมถวายวัด จะได้อานิสงส์แบบพระพากุละ
ถาม : ไปช่วยเขาสร้างห้องน้ำ เขาทำบุญกันทั้งศาลาได้แค่สามร้อยกว่าบาท ?
ตอบ : บางทีต่างจังหวัดเขาไม่ค่อยมีกำลังเงิน อาตมาไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ หมู่บ้านมอญยกผ้าป่ามาถวาย มากันหมดหมู่บ้าน ถวายผ้าป่ามา ๒๑๗ บาท เขาทำต้นผ้าป่ามาสวยมากเลย แล้วเอากระดาษตัดเป็นดาวบ้าง เป็นดอกไม้บ้าง ห่อเหรียญบาทมา นับมาได้ ๒๑๗ บาท อาตมาแจกวัตถุมงคลหมดไปหมื่นกว่าบาท เพราะฉะนั้น..บางทีต่างจังหวัดมีแต่แรงงาน ถ้าเราต้องการแรงงานเขามีให้ แต่ว่าเรื่องเงินเขาไม่ค่อยจะมี ก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า ญาติโยมมีจิตศรัทธามาก ศรัทธาล้นเกินตัวเงินที่ได้ทำบุญมา
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๗
โดย พระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สฺธมฺมปญฺโญ),ดร.
. -
ยามขัดข้อง พระโพธิสัตว์ท่านนึกถึงอะไร ( เทศนาโดยหลวงปู่เหรียญ วัดอรัญบรรพต )
"ยามขัดข้องพระโพธิสัตว์ท่านนึกถึงบุญบารมี"
พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายตามตำราท่านแสดงไว้เวลาท่านไปเกิดอุปสรรคความขัดข้องขึ้นในชีวิตอย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้งใดครั้งหนึ่งอย่างนี้ ท่านจะอธิษฐานใจถึงบุญญาบารมีที่ท่านได้สร้างสมอบรมมาเลย ท่านไม่ได้อธิษฐานนึกถึงพระอินทร์ พระพรหม พระยมบาล อะไรต่ออะไรให้มาช่วยเหลือตนน่ะท่านไม่ได้นึกหรอก ท่านนึกถึง “บุญบารมี” นู่น
แล้วบุญบารมีนั้นหากไปเตือนใจพระอินทร์พระพรหมให้มองด้วยทิพยเนตรลงมาเห็นพระองค์ท่านกำลังได้ประสบอุปสรรคความขัดข้องอย่างนั้นๆ นั่นแหละพญาอินทร์ถึงจะลงมาช่วย ให้เข้าใจอย่างนั้น
คนส่วนมากมันไม่เข้าใจอย่างว่านี่นะ พอตนได้ประสบความอุปสรรคขัดข้องภัยพิบัติอะไรมาแล้วไปนึกถึงอินทร์ถึงพรหมนู่นทันทีเลย นึกถึงเทวดา อินทร์ พรหมนู่น นั่นแหละแทนที่จะมานึกถึงบุญกุศลความดีที่ตนได้กระทำมา หรือว่านึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ที่ตนได้นับถือเลื่อมใสเคารพกราบไหว้บูชาอยู่เรื่อยมาอย่างนี้....ไม่ ไม่นึกแล้ว
อันนี้ให้พึงพากันรู้ไว้ นึกอย่างนั้นไม่ถูกทางหรอก พญาอินทร์ก็ไม่รู้นะ พญาอินทร์ไม่รู้หรอกนึกเพียงแค่นั้นน่ะ... -
ทำไมพญานาคจึงปรากฏมากกว่าพญาครุฑ ?
ถาม : ทำไมพญานาคจึงปรากฏมากกว่าพญาครุฑครับ ?
ตอบ : เวลาครุฑมาเขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ พญานาคมายังมีรอยให้เห็น มีคนบอกว่าเดี๋ยวตรงโน้นก็มีรอยพญานาค ตรงนี้ก็มีรอยพญานาค ไม่มีคนบอกว่ามีรอยพญาครุฑสักที ครุฑก็คือนกใหญ่ ที่มีขนาดใหญ่มาก ตามตำราเขาบอกว่าขยับปีกทีหนึ่งบินไปได้ ๑ โยชน์ (๑๖ กิโลเมตร)
คนจีนก็มี นกเผิง นกเผิงนี่เขาบอกว่ากางปีกโบยบินที่หนึ่งสามารถไปได้รอบโลก ก็แสดงว่าการรู้เห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ คนสมัยก่อนเขารู้เห็นคล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่าเรียกไม่ค่อยจะตรงกันเท่านั้น เรียกกันไปคนละอย่างสองอย่าง แต่ว่าลักษณะที่อธิบายก็คือแบบเดียวกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ถ้าสรุปไว้ค่อนข้างจะปลอดภัยหน่อยก็คือเชื่อว่ามี แต่ถ้าให้เชื่อเต็มที่ก็คือขอเห็นด้วยตัวเองสักที
ถาม : ยูเอฟโอนี่ใช่ครุฑไหมครับ ?
ตอบ : คนละเรื่องเดียวกัน ยูเอฟโอเป็นของมนุษย์ต่างดาว เอาเป็นอันว่าที่เขาถ่ายมายังไม่มีหน้าตาเป็นพญาครุฑก็แล้วกัน พญาครุฑเขตประจำของท่านอยู่รอยต่อระหว่างชั้นจาตุมหาราชกับเขาพระสุเมรุ คราวนี้ในเมื่อที่ประจำของเขาอยู่ตรงนั้น การเข้าออกก็อยู่บริเวณนั้นประจำ ส่วนพญานาคนั้นทางเข้าออกมีอยู่ทั่วโลก... -
พิจารณาขันธ์ห้าละสักกายทิฏฐิ :หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
พิจารณาขันธ์ห้าละสักกายทิฏฐิ
ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
สักกายทิฎฐิ
เห็นว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา
ท่านละความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์บุคคล เราเขาเสียได้
โดยเห็นว่า..
ร่างกาย
นี้เป็นเพียงแต่ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ประชุมกันชั่วคราว เป็นที่อาศัยของนามธรรม คือ
เวทนา
ความรู้สึก สุข ทุกข์ และไม่สุข ไม่ทุกข์
คืออารมณ์วางเฉยจากอารมณ์สุขทุกข์
สัญญา
มีความจดจำเรื่องราวที่ล่วงมาแล้ว
สังขาร
อารมณ์ชั่วร้ายและอารมณ์เมตตาปรานีสดชื่น
อันเกิดต่ออารมณ์ที่เป็นกุศลคือ ความดี
และอารมณ์ที่เป็นอกุศล คือความชั่ว
ที่เรียกกันว่า อารมณ์เป็นบุญและอารมณ์เป็นบาปที่คอยเข้าควบคุมใจ
วิญญาณ
คือ ความรู้ หนาว ร้อน หิวกระหาย เผ็ดเปรี้ยว
หวานมันเค็ม และการสัมผัสถูกต้องเป็นต้น
*** วิญญาณนี้ ไม่ใช่ตัวนึกคิด ตัวนึกคิดนั้นคือจิต
วิญญาณกับจิตนี้คนละอัน
แต่นักแต่งหนังสือมักจะเอาไปเขียนเป็นอันเดียวกัน
ทำให้เข้าใจไขว้เขว ควรจะแยกกันเสีย เพื่อความเข้าใจง่าย ***
อีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาอาศัยกาย และไม่ตายร่วมกับร่างกาย
สิ่งนั้นก็คือ จิต
ส่วน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ... -
หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สนทนาธรรม ตอน คนฉลาดเท่านั้นหรือที่บรรลุธรรมได้
หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สนทนาธรรม ตอน คนฉลาดเท่านั้นหรือที่บรรลุธรรมได้
บันทึกการสนทนาธรรม
ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธมฺโม) กับ
ศาสตราจารย์ ดร.เจมส์ สจ๊วตท์ ผู้เชี่ยวชาญวิชาจิตวิทยา
เป็นครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๑
หลวงพ่อได้เมตตาให้ ศาสตราจารย์ ดร.เจมส์ สจ๊วตท์
เข้าพบเป็นครั้งที่สอง ในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๑
เพื่อถามปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับคำสอนของพุทธศาสนา
(ตามเอกสารที่ได้ส่งให้หลวงพ่อ)
และหลวงพ่อได้เมตตาตอบแต่ละข้อดังนี้ :
ถาม : เป็นความจริงหรือไม่ว่าคนฉลาดเท่านั้น
สามารถบรรลุมรรคผลนิพานได้
ส่วนคนมีสติปัญญาต่ำจะไม่สามารถบรรลุนิพพานได้เลย
ตอบ : คนทุกคนไม่ว่าจะมีสติปัญญาสูงหรือไม่
ต่างก็มีศักยภาพที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ทั้งนั้น
แต่ส่วนจะบรรลุสิ่งนี้ได้เร็วหรือช้านั้นเป็นเรื่องของปัจจัยต่างๆ
หลายประการและบุญบารมีของแต่ละคนที่สร้างไว้
หลวงพ่อให้สังเกตว่า คำว่า "สติปัญญา" นี้
มีความหมายแตกต่างกันในทางโลกและทางธรรม
และวิธีการวัด "สติปัญญา" ก็แตกต่างกันด้วย
คนที่มีสติปัญญา ในทางโลกไม่จำเป็นต้องมีสติปัญญาในทางธรรม
ถาม : การที่ศาสนาพุทธมีคำสอนต่างๆ... -
จิตที่บริสุทธิ์แล้วสูญไหม :หลวงตาพระมหาบัว ตอบปัญหาธรรม
"..จิตไม่ได้ตาย ถึงจะไปตกนรกหมกไหม้ จิตก็ไม่เคยตาย
ทุกข์ยอมรับว่าทุกข์ ทุกข์แสนสาหัสกี่กัปกี่กัลป์
ในนรกหลุมนั้น ๆ จิตก็ไม่เคยฉิบหาย
เสวยทุกข์อยู่ตลอดจนกระทั่งสิ้นกรรมนั้นแล้วถึงจะพ้น
ขึ้นมา ก็เป็นจิตดวงนั้น ไปสวรรค์ พรหมโลก ก็จิตดวงนั้น
ทีนี้ผลสุดท้ายพ้นจากทุกข์นี้แล้วไปนิพพาน ก็คือจิตดวงนี้
แต่จิตดวงนี้เป็นจิตที่บริสุทธิ์แล้ว ไม่ตายอีกเหมือนกัน
จึงขอเทียบข้อนี้ให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า
จิตที่บริสุทธิ์แล้วสูญไหม
จุดแห่งความสูญสิ้นของจิตนี้อยู่ที่ตรงไหน
เราจะแยกให้ฟังตั้งแต่ภพชาติของสัตว์ที่เกิดตาย ๆ นี้ไม่มีสูญ
เกิดตายเรื่อยมาอย่างนี้ นี้เป็นวัฏวน
เป็นเครื่องดำเนินของกิเลสพาสัตวโลกให้เกิดตาย ๆ
ไม่ได้เคยพาสัตวโลกให้ไปสูญ
ทีนี้พอพ้นจากนี้แล้วถึงวิมุตติพระนิพพาน
ด้วยการชำระสะสางเชื้อที่พาให้เกิดให้ตายนี้ ออกจากจิตใจ
ไม่มีอะไรเหลือแล้ว จิตนี้หลุดพ้นออกไปก็ถึงพระนิพพาน
ท่านเรียกว่าแดนพระนิพพาน แดนพระนิพพาน
แดนสมมุตินี้คือน้ำมหาสมุทรทะเลหลวง..."
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
ตอบปัญหาธรรมรายการ Twilight Show ทางทีวีสีช่อง ๓
เมื่อวันที่ ๑๑... -
..อภิญญา-หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง (ใช้พลังจิตลากรถไฟ)..
อภิญญา-หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
หลวง พ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้ายค่าย จ.ระยอง เกิดที่กรุงเทพมหานคร เดิมชื่อประจงวาส ต่อมาเปลี่ยนเป็นประยุทธิ วรวุธิ นามสกุลอาภรณ์สิริ บิดาท่านคือพระพาหิรรัชฏพิบูลย์(ประวัติ อาภรณ์สิริ) นามมารดาคือนางพาหิรรัชฏพิบูลย์ สมัยเป็นฆราวาส ท่านได้สมรสกับนางประชุมศรี อาภรณ์สิริ มีบุตรชาย2 คน บุตรหญิง 2 คน
หลวงพ่อกัสสปมุนีเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ต่อมาจึงได้ย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญ โดยเลือกภาษาอังกฤษเป็นวิชาเลือก จนจบชั้นม.6
เพราะเหตุที่ภาษาอังกฤษของหลวงพ่อกัสสปมุนีอยู่ในขั้นดีมาก เมื่อเรียนจบ ท่านจึงเข้าทำงานที่บริษัทวินเซอร์ของอังกฤษ แต่บิดาท่านให้ย้ายออกมาทำที่กรมสรรพากร ซึ่งท่านก็อนุโลมตามใจบิดาท่านด้วยแรงกตัญญู ซึ่งท่านก็ได้เจริญในหน้าที่การงานและทางโลกด้วยดียิ่งตลอดมา จนกระทั่งได้รับการโอนย้ายไปอยู่กระทรวงอุตสาหกรรม และได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบอันมีเกียรติยิ่ง แต่ท่านขอไม่รับ เพราะเริ่มมีดวงตาเห็นธรรมและเบื่อหน่ายในโลกียวิสัย ท้ายสุด ท่านก็ได้ขอลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุถึง 3 ปี... -
คุณธรรมของพระอรหันต์ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
ในอธิกรณสมถะ ๗ *นั่นน่ะ เพิ่นจึงว่า สงฆ์นั้นน่ะสวดประกาศให้สมมติ
แก่พระอรหันต์ว่าเป็น “ผู้มีสติเต็มที่”เพื่อไม่ให้ใครโจทก์ท่านด้วยอาบัติ
พระอรหันต์นั้นท่านมีสติเต็มที่เลย มีสติอยู่ตลอดเวลา ท่านไม่หลง
ท่านมีความไม่หลงเป็นธรรมดา นี่จึงว่า “สติ” นี้มันสำคัญขนาดไหน
ให้พากันฟังแล้วพิจารณาดู
แสดงว่า ท่านผู้ละอาสวะกิเลสขาดจากสันดานแล้วนั้น
ท่านมีจิตแน่วแน่อยู่ตลอดไป เมื่อมีจิตแน่วแน่อยู่อย่างนั้น
ก็มีสติประจำตัวอยู่ตลอดไป เพราะมันไม่มีกิเลสมารบกวนที่จะให้จิตนี้
ระลึกไปในเรื่องที่ไม่เป็นสาระประโยชน์อะไรต่ออะไรหมู่นั้น มันไม่มี
กิเลสเหล่านั้นท่านละหมดแล้ว เหตุนั้นจิตของท่านจึงเป็นปกติรู้ ปกติเห็น
ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างไป เห็นก็สักแต่ว่าเห็น
ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยินไปเท่านั้นเอง ภายในจิตใจนั้นไม่ได้วิตกวิจารณ์
ไม่ได้หวั่นไหวไปด้วยความยินดียินร้ายอะไรเลย
นี้เป็น “คุณธรรมของพระอรหันต์ทั้งหลาย”
เรียกว่า ท่านมี "ฉฬงฺคุเปกขา” เป็นเครื่องอยู่เพิ่นว่า
เรียกว่า... -
เพื่อการกุศล ก้อนผงสัมฤทธิ์...เพื่อค่าโฮสพลังจิตทั้งหมดเหลือ 5 ก้อน....เชิญบูชาเพื่อช่วยเวป ดูที่หน้าสุดท้ายครับ
ก่อนอื่นต้องขออนุญาตทางเวปมาสเตอร์ครับ ผมมีปัจจัยไม่เยอะจึงขอนำก้อนผงสัมฤทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ ออกมาให้ท่านผู้ศรัทธา ได้บูชาโดยรายได้ทั้งหมดผมขอมอบให้ทางเวปเพื่อเป้นคาโฮสของเวปพลังจิตอันทรงคุณค่าของพวกเรา ขอทางเวปมาสเตอร์ไได้โปรดอนุญาตด้วยนะครับ ค่าจัดส่งของทั้งหมดผมขอเป็นผู้รับผิดชอบเองครับ
......จึงขอเรียนเชิญทุกท่านได้ร่วมบุชาก้อนผงสัมฤทธิ์อันหาได้ยากยิ่งนี้กันครับ......
โดยท่านสามารถโอนเข้าบัญชีของทางเวปแล้วแจ้งที่อยู่จัดส่งได้เลยครับ ดังนี้ครับ
ธนาคารกรุงเทพ 088-0-61051-4
ธนาคารกรุงไทย 493-0-35939-2
ธนาคารไทยพาณิชย์ 365-242228-2
ชื่อบัญชี
วีระชัย แก่นภักดี (Veerachai Kanphugdee)
....ขออนุโมทนากับทุกท่านที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เวปของอันทรงคุณค่าของชาวไทยได้ใช้กันอย่างสะดวกสบายครับ......
มีให้ร่วมบุชาจำนวน 30 ก้อน ให้บูชาก้อนละ 1800 บาท
....รับรองได้ว่าหาที่ไหนอีกไม่ได้แล้วครับเพราะผมบดผงไปหมดแล้ว.....
[/URL][/IMG]
1.odudomsuk*****โอนแล้ว****
2.พีรยุทธ0929425536*****โอนแล้ว****
3.พีรยุทธ0929425536*****โอนแล้ว****
4.Powernext*****โอนแล้ว****
5.
6.
7.พัส1616*****โอนแล้ว****... -
@.. บุพการีกับการสร้างบารมี ฯลฯ..@
ถ้าบุพการีของท่าน
เป็นมิจฉาทิฐิ มากน้อย ต่างกัน เพียงใด
เมื่อประสพกับอารมณ์อันไม่คาดคิด ไม่พึงปรารถนา
จากการกระทำทางกาย วาจา ใจ ของท่านเหล่านั้น
.........ในชีวิตจริงของท่านผู้ปรารถนาฯ มีอุบายและความเพียร
ในการรักษาอารมณ์ใจของท่านอย่างไร...
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
ความหมายของมิจฉาทิฐิ
มิจฉาทิฐิ หรือ มิจฉาทิฏฐิ เรียกโดยย่อว่า "ทิฐิ"[1] หมายถึง ความเห็นผิด การเห็นกงจักรเป็นดอกบัว พระพุทธองค์ตรัส[2]ไว้ว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์บางพวกมีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
การบูชาไม่มีผล
การบวงสรวงไม่มีผล
ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี
โลกนี้ไม่มี
โลกอื่นไม่มี
มารดาไม่มีบุญคุณ
บิดาไม่มีบุญคุณ
สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี
สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทราบถึงโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง และสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ตามด้วย ไม่มี"
ซึ่งจากการประพฤติผิดมิชอบนี้เอง จะส่งผลให้บุคคลนั้น ๆ ต้องไปเกิดยังนรกอเวจีเพื่อใช้กรรมที่ตนเองก่อไว้หลายร้อยชาติ
อ้างอิง
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต).... -
ทำเหมือนพระพุทธรูป : หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
...
มีเหตุอย่างไรไม่ทราบ
วันหนึ่ง "หลวงปู่สิม" ท่านเทศน์เสียงเข้มข้นว่า
"หลวงปู่น่ะเลียนแบบพระพุทธรูปและหลวงปู่ทำได้จริง
พระพุทธรูปน่ะ..ใครจะติจะฉิน ท่านก็นิ่งได้
หลวงปู่น่ะเลียนแบบพระพุทธรูปและหลวงปู่ทำได้จริง"
อีกโอกาสหนึ่งเมื่อมีพระอาคันตุกะ
ขึ้นไปกราบนมัสการองค์หลวงปู่ที่ถ้ำผาปล่อง
แม้เป็นพระนวกะก็กล้าหาญชาญชัย
ถึงกับพูดจาในทำนองติเตียนหลวงปู่ด้วยเรื่องต่างๆ
โดยไม่กลัวบาปกรรมเลย
หลวงปู่นั่งฟังด้วยอาการสงบ "วางเฉยเหมือนแผ่นดิน"
อย่างที่ท่านสอนลูกศิษย์จนติดหู
จนกระทั่งได้โอกาสท่านจึงย้อนถามด้วยเสียงเรียบๆว่า
"อย่างหลวงปู่นี่..ต้องให้ท่านสอนด้วยรึ"
...
วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งเป็นวันครบรอบ
วันมรณภาพของ "หลวงปู่บุดดา ถาวโร"
หลวงปู่หลวง กตปุญฺโญ พระเถระซึ่งเป็นญาติ
และคุ้นเคยกับหลวงปู่สิมเป็นอย่างดี
ได้รับนิมนต์ไปแสดงธรรม ท่านได้พูดถึงหลวงปู่สิมไว้ว่า
หลวงปู่บุดดาก็เคารพหลวงปู่สิมเหมือนกัน
ว่าหลวงปู่สิมนั้นเป็น 'พระเจ้าทอง' ว่าอย่างนี้
คำว่า... -
การพิจารณากาย..หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
..การที่ใช้การค้นคว้า เรียกว่า “ปัญญา”
การนึกคิดปรุงแต่งของร่างกายของเรา
นึกคิดถึงอันใดก็แล้วแต่ สิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบใจ
ก็เอามาพิจารณา เป็นแก้วแหวนเงินทองข้าวของที่รัก
ที่ชอบใจอันใดอันหนึ่งก็เอามาพิจารณา
ว่าอันนั้นเมื่อเราตายแล้วเป็นของเราหรือเปล่า
แล้วสิ่งนั้นเขาว่าเป็นของของเราหรือ
หรือเราไปยึดเขา ก็ดูหัวใจเรา
ที่เอื้อมไปพิจารณาอย่างนั้นด้วย อันนั้นเขาว่าอะไร
ใจเรานี้ต่างหากเป็นคนไปว่า เป็นของของเรา
ของสวยของงามใครมาลักมาเอาไปไม่ได้
นี่...มันก็ต้องดูตัวนี้อีกทีหนึ่ง
มองดูหัวใจที่มันคิดไปอย่างนั้น นี่...ต้องพิจารณาอย่างนี้
พิจารณาลงไปอย่างนั้นแล้ว เมื่อพิจารณาแล้ว
เราก็มาหยุดใจ ให้เป็นปกติ ไอ้ใจที่เป็นปกตินี้
มันไม่มีว่าอะไรนี่ มันมีแต่หน้าที่แต่ “รู้” อยู่อย่างเดียวเท่านั้น
อยู่กับความปกติของใจ
นี่...เพราะฉะนั้นจึงต้องค้นคิด พิจารณา
การพิจารณาเป็นบาทสำคัญ แต่ว่า การพิจารณาอย่างนี้
คนไม่ค่อยชอบ เพราะมันต้องคิด ต้องนึก ต้องปรุง
ยิ่งปรุงในร่างกายเท่าไร พิจารณาร่างกายเท่าไร
ใจนั้นยิ่งสงบ เยือกเย็นลงเป็นลำดับ
เมื่อใจได้พิจารณาถึงกาย พิจารณาตั้งแต่หัว
มีตา มีหู มีจมูก มีปาก... -
อานิสงส์สร้างเจดีย์บรรจุกระดูกพ่อแม่ โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
อานิสงส์สร้างเจดีย์บรรจุกระดูกพ่อแม่
หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม
ผู้ถาม :- “สร้างเจดีย์ไว้ในพระพุทธศาสนา
แล้วเอากระดูกพ่อกระดูกแม่บรรจุไว้ ถามว่า
พ่อแม่จะมีอานิสงส์หรือไม่ และผู้สร้าง
จะมีอานิสงส์อย่างไรครับ…?”
หลวงพ่อ :- “พ่อแม่มีอานิสงส์หรือไม่…
ผู้สร้างมีอานิสงส์หรือไม่ …ยังไม่ตอบ
แต่ขอตอบว่าพระมีอานิสงส์”
ผู้ถาม :- “พระได้ยังไงครับ…?”
หลวงพ่อ :- “บังสกุลทุกปี อนิจจา วะตะ สังขารา…”
ผู้ถาม :- “อ๋อ…” (หัวเราะ)
หลวงพ่อ :- “ทำไมล่ะ พ่อแม่จะมีอานิสงส์หรือไม่…
อยู่ที่ลูกว่าอุทิศส่วนกุศลให้หรือเปล่า…แล้วก็
ท่านมีโอกาสโมทนาหรือเปล่า…เราก็ทราบอยู่แล้ว
ถ้าให้แล้วไม่มีโอกาสโมทนา ก็ไม่ได้ ลูกได้แน่
ได้ ๒ ชั้น สร้างเจดีย์ไว้ในเขตวัด ก็เป็นพุทธบูชา
ธรรมบูชา สังฆบูชา เอากระดูกพ่อแม่ไปตั้งในนั้น
เป็นกตัญญูกตเวที
พระพุทธเจ้าว่ายังไง “นิมิตตัง สาธุรูปานัง
กตัญญูกตเวทิตา” ผู้ที่มีความกตัญญูรู้คุณ
แก่ท่านผู้มีอุปการะแล้ว และตอบสนองคุณท่าน
เรากล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นคนดี
นี่ว่าภาษาไทยนะ เขามีอานิสงส์ ๒-๓ ชั้น พอถึงปี
ถึงเวลาสงกรานต์ เขานิมนต์พระมาบังสกุล...
หน้า 405 ของ 414