คลังเรื่องเด่น
-
พระอาจารย์วัน อุตตโม : พระอริยเจ้าผู้สามารถเดินฝ่าดงกระสุนปืนได้
เมื่อวันที่15 พฤษภาคม พ.ศ.2513 เวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษๆ ขณะที่ท่านอาจารย์วัน อุตตโม และคณะศิษย์ประกอบด้วยพระ-เณร กับญาติโยมบางส่วนกำลังเดินเท้ากลับจากงานสวดมนต์เย็นที่บ้านส่องดาว พอออกจากหมู่บ้านเข้าป่าได้ราว 200 เมตร ก็มีเสียงตะโกนออกมาจากแนวป่าว่า
“หยุด”
ท่านอาจารย์วันที่ถือตะเกียงนำหน้าอยู่ก็หาหยุดไม่ คงนำหมู่คณะเดินต่อไปอย่างสงบ เสียงตะโกนซ้ำเข้ามาอีกว่า
“หยุด”
ท่านยังคงเดินเหมือนไม่ได้ยิน และแล้วเสียงต่อมาก็คือ ปืนเอ็ม 16 รัวดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งป่า ผสมผเสกับเสียงปืนอาการ์จนแทบแยกไม่ออก
พระและชาวบ้านถลาทรุดตัวลงหมอบ ใจคิดแต่ว่าตายเสียแล้ววันนี้ เณรองค์หนึ่งถึงกับวิ่งไปกอดขาท่านอาจารย์วันแน่น
ผู้อยู่ในเหตุการณ์ท่านหนึ่งเล่าว่า ทหารรัวปืนใส่กลุ่มท่านอาจารย์วันเป็นแนวครึ่งวงกลม น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ลูกปืนที่วิ่งแดงเป็นเส้นพุ่งตรงออกจากปากกระบอกแล้วก็พลันหยุดกึก ห่างจากองค์ท่านอาจารย์วันราว 5 เมตร เหมือนลูกกระสุนกระทบกับบางสิ่งที่มองไม่เห็น ก่อนที่จะตกลงมาแดงยังกับถ่านไฟอยู่บนดินรอบๆท่าน กว่าเสียงปืนจะสงบก็เล่นเอาหูอื้อเลยทีเดียว... -
ทำทานอย่างไรให้เกิดผลแห่งทานสูงสุด
ทำทานอย่างไรให้เกิดผลแห่งทานสูงสุด
"ทานที่เปี่ยมด้วยองค์แห่งทานครบ" จึงเป็นทานที่มีอานิสงส์สูง
ความอยากร่ำรวย สบายกายสบายใจนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ เพราะเป็นความต้องการพื้นฐาน หากกายสบายแล้ว ไม่ทุกข์ร้อน ไม่อดอยากก็เป็นบาทฐานให้ละในกิเลสกองอื่นๆ ได้ง่ายกว่า คนที่ยังต้องทนทุกข์ทางกาย ต้องอดอยากขัดสน เพราะเขาเหล่านั้นต้องพยายามดิ้นรนให้ชีวิตรอด แม้บางทีต้องยอมทำสิ่งไม่ดีเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นความยากจน จนกลายเป็นการสั่งสมความโลภ ความชั่วร้ายในจิต ทำให้ตกลงไปในกองทุกข์อีก
พระสีวลีมหาเถระเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำมหาทาน จนทำให้ท่านกลายเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็น พระเถระที่มีลาภสักการะมาก
ชาติที่ท่านได้พบกับพระพุทธเจ้าครั้งแรกคือ ในสมัยพระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ท่านเกิดเป็นพระราชาในนครชื่อหงสาวดี ท่านได้ไปฟังธรรมกับพระพุทธเจ้า ทรงเห็นพระพุทธเจ้าปทุมุตตระประกาศยกย่องให้พระสุทัสสนะ พระเถระในยุคนั้นให้เป็นพระเอตทัคคะผุ้มีลาภมาก ท่านจึงเกิดความเลื่อมใส ปรารถนาจะมีตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้าปทุมุตตระไปฉันภัตตาหารและถวายมหาทานถึง 7 วัน... -
สมเด็จพระพุทธกัสสป -หลวงพ่อฤาษีเตือน..การปฏิบัติแบบง่ายๆ เพียงวันละ ๑๐ นาที..."
..สมเด็จพระพุทธกัสสป ทรงทรงมีรับสั่งให้หลวงพ่อฤาษีเตือนลูกหลานเรื่องการปฏิบัติแบบง่ายๆ เพียงวันละ ๑๐ นาที..."
''...ฉันคิดว่า(หลวงพ่อ)...
" สมมุติว่าบริษัทของฉัน ลูกหลานของฉันยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ถ้าหากว่าเขามีวิมานแล้ว ในอันดับกามาวจรสวรรค์ก็ดี อันดับพรหมโลกก็ดี เลยไปก็ดี ที่เลยไปน่ะเมืองมหาเศรษฐี สมมุติว่าคนทุกคนเกิดมาแล้วการไม่ทำความชั่วไม่มีความผิดน่ะมันไม่มี ความชั่วที่ท่านเรียกกันว่าบาป การผิดศีลมันย่อมปรากฏ อย่างนี้ย่อมจะมีกับคนทุกคน ตรงนี้ฉันห่วงมาก ห่วงมากเพราะเกรงว่าจะพลัดที่อยู่ จึงกราบลงไปแล้วทูลถามสมเด็จบรมครูว่าภันเต ภควา ข้าแต่พระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัยที่องค์พระจอมไตรทรงชี้แจงให้ข้าพระพุทธเจ้าทราบว่า ลูกหลานของพระพุทธเจ้าเป็นคนมีวิมาน ๗ ประการก็ดี วิมานอยู่พรหมก็ดี วิมานอยู่นิพพานก็ดี
...แต่คนทั้งหลายเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าทุกคน แต่ใครจะเป็นบ้างนั้นข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบ สมมุติว่าถ้าเขายังไม่เป็นพระอริยเจ้ากันทุกคน คนทุกคนย่อมมีความผิด ย่อมตกอยู่ในความชั่ว เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องบีบบังคับ... -
การทำบุญต้องเร็ว ๆ ไว ๆ "ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง"
การทำบุญต้องเร็ว ๆ ไว ๆ
เรื่องของท่านจูเฬกสาฎก จากพระธรรมบท
โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
มีเรื่องในธรรมบท ท่านว่า เวลานั้น พระพุทธเจ้าพักอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร เวลานั้นองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ ๆ คำว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ปรากฏในโลก แต่คำว่าอรหันต์นี่ชาวบ้านรู้เรื่อง เขาต้องการอรหันต์กัน แต่ยังไม่รู้จักอรหันต์จริง ๆ
วันนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่เมืองสาวัตถี และก็ไปพักที่พระเชตวันมหาวิหาร บรรดาทายกก็ประกาศว่า เวลานี้องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ คือพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ขอบรรดาท่านทั้งหลายจงไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ใครจะไปกลางคืนก็ได้ ใครจะไปกลางวันก็ได้
ในตอนนั้นท่านบอกว่า มีพราหมณ์คู่หนึ่ง สองตายาย สองสามีภรรยาชื่อว่า จูเฬกสาฎก แต่ว่าพราหมณ์จูเฬกสาฎกตามบาลีท่านบอกว่า ในสมัยพระวิปัสสี พราหมณ์คนนี้ชื่อว่า มหาสาฎก แปลว่า สาฎกใหญ่ สมัยพระพุทธเจ้าองค์นี้มาเกิดใหม่ก็ชื่อ สาฎกตามเดิม ชื่อ จูเฬกสาฎก แปลว่า สาฎกเล็ก
พอตาพราหมณ์ได้ฟังก็บอกกับท่านยาย ถามท่านยายว่า ยาย จะไปฟังเทศน์กลางคืนหรือว่ากลางวัน เพราะเราไปพร้อมกันไม่ได้ เพราะจนมาก... -
วิธีเอาชนะกรรม ที่พระพุทธเจ้าสอน
วิธีเอาชนะกรรม
ที่พระพุทธเจ้าสอน
การเอาชนะกรรมทุกกรรม
แบบเด็ดขาดต้องเริ่มจากใจ
หรือความคิด
ความคิดที่ถูกต้องหรือสัมมาทิฐินั้นถือเป็น เข็มทิศ สำคัญที่จะทำให้มนุษย์เอาชนะวิบากกกรรมทีเ่กิดขึ้นแก่ตนได้
คำว่า "mindset" หรือวิธีคิดทีถู่กก็คือ การเชื่อมั่นในการกระทำความดีว่าจะได้ผลที่ดี เชื่อในบุญว่ามีจริง บาปนั้นมีจริง การกระทำที่ถูกต้องและเหมาะสมกับเหตุและปัจจัยจะเป็นตัวนำทางและการหมั่นสะสมความดีไว้จะเป็นบาทฐานให้ชีวิตประสบำความสำเร็จ
การมัวหวังพึ่งแต่สิ่งอื่นๆ มากเกินไปนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ในครั้งอดีตที่พระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์ว่า
“ประโยชน์ได้ล่วงเลยผ่านพ้นคนโง่เขลาผู้มัวคอยคำนวณฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์ก็เป็นฤกษ์ของตัวประโยชน์นั่นเอง ดวงดาวจักทำอะไรได้”
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี มีผู้อาวุโสชาวบ้านคนหนึ่ง ไปขอลูกสาวชาวกรุงมาให้เป็นภรรยาของลูกชาย ซึ่งเขาได้ทำการนัดวันเวลาที่จะไปรับเอาตัวเจ้าสาวไปแต่งงาน แต่เมื่อถึงวันนัด หมาย เขาได้เข้าไปหาอาชีวกนักบวชที่สกุลตัวเองนับถือเพื่อถามหาฤกษ์ที่เหมาะสมว่า
“พระคุณเจ้าผู้เจริญ... -
ธรรมะในหลวง(ร.๙)ทรงสอน การควบคุม"จิต"ให้ผ่องใส ทำอะไรก็ได้ดี!!
ธรรมะในหลวง(ร.๙) ทรงสอน การควบคุม"จิต"ให้ผ่องใส ทำอะไรก็ได้ดี!!
คราวนี้ก็ยังไม่ได้พูดถึงว่า พุทธศาสนานี้ปฏิบัติที่ไหน ปฏิบัติอย่างไร เพราะว่าคนที่ศึกษาพระพุทธศาสนา หรือมาตั้งเป็นพุทธสมาคม หรือเป็นกลุ่มศึกษาพุทธศาสนา บางทีก็ยังไม่ทราบว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเริ่มที่ไหน
เพราะที่พูดถึงวิธีการที่จะเริ่มปฏิบัติได้นั้นก็ไม่ได้บอกว่าเริ่มปฏิบัติที่ตรงไหน นอกจากมาเปรียบเทียบว่าเข้าไปหาสวิตช์ไฟเพื่อจะเปิดให้มีความสว่าง และเมื่อมีความสว่างแล้วก็ดูทางได้ และไปดูทางที่จะทำให้สว่างยิ่งขึ้น สวิตช์ไฟนั้นอยู่ที่ไหน คือสวิตช์ไฟนั้น เราเอาแสงไฟเท่าที่เรามีริบหรี่นั้นไปฉาย แล้วก็ไปเปิดสวิตช์ไฟ สวิตช์ไฟนี้คืออะไร
เพราะท่านพูดอยู่เสมอว่า พระพุทธศาสนานั้น เมื่อได้ปัญญาก็มีความสว่าง เมื่อปฏิบัติธรรมก็ได้ปัญญา ได้แสงสว่าง ปัญญานั้นก็ดูจะเป็นสวิตช์ไฟ
แต่ถ้าดูๆ ไป ปัญญานี้ปัญญาในอะไร ก็ปัญญาในธรรมนี่ ปัญญาในธรรมไม่ใช่สวิตช์ไฟ ปัญญาในธรรมนั้นคือแสงสว่างสำหรับเปิดไฟให้สว่าง คือให้ได้ถึงปัญญานั้นก็จะต้องมีสวิตช์ไฟ สวิตช์ไฟนั้นคืออะไร หรือสวิตช์ไฟนั้นจะพบอย่างไร
แต่การที่จะบอกว่าสวิตช์ไฟคืออะไรนั้น... -
วิปัสสนาญาณ ขั้นสูง
''คำว่าวิปัสสนาญานขั้นสูง ก็หมายความว่า คิดไว้ว่าโลกนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์
การเกิดในมนุสสโลกก็ทุกข์ เป็นเทวดาหรือพรหมก็มีสุขชั่วคราว ก็ไม่สุขมากนัก
ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็มาทุกข์ใหม่ เราไม่ต้องการมนุสสโลก เทวโลก และพรหมโลก อย่างนี้เขาเรียกว่า ตัดอวิชชา เราต้องการจุดเดียวคือ นิพพาน หรือคิดว่าร่างกายที่เลวๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก ร่างกายที่มีธาตุ 4 มีอาการ 32 มีขันธ์ 5 มันมีทุกข์
อย่างนี้เราขอมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ถ้าต่อไปไม่มีกับเราอีก อันนี้คือ อารมณ์พระนิพพาน''
https://www.facebook.com/groups/287049074816527/?fref=nf -
ประสบการณ์ตรง"หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" พบ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ภิกษุลึกลับปรากฎตัวในงานบุญ แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ” นั้น เป็นที่รู้กันดีในวงนักปฏิบัติและพระอริยเจ้าด้วยกันว่า ท่านเป็นพระแม้เป็นพระวิมุตติบริสุทธิ์และยังทรงคุณธรรมพิเศษทางด้านมโนยิทธิ อภิญญาสมาบัติอีกด้วย มีปกติสนทนาติดต่อกับสิ่งลึกลับที่พวกเราคนปุถุชนสามัญธรรมดาไม่มีตารู้เห็นไม่อาจสัมผัสได้ แต่สำหรับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นท่านกลับสามารถพูดคุยสนทนาได้ปกติ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำนั้นท่านมีความสามารถทางเห็นผีเห็นวิญญาณมาแต่เล็ก เมื่อโตขึ้นครบบวชก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ “หลวงพ่อปาน” เพราะนิสัยซน อยากรู้อยากเห็น กล้าไม่กลัวใคร หลวงพ่อปานจึงเรียกท่านว่า “ลิง” และเหตุที่ท่านมีผิวคล้ำ หลวงพ่อปานจึงเรียกท่านว่า “ลิงดำ”
พระอริยเจ้าหลายท่านที่รับรองคุณวิเศษและความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เช่นหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา หลวงปู่บุดดา ถาว โร วัดกลางชูศรี สิงห์บุรี ครู บาชัยวงศ์ษา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดพระบาทวังมุย จ.ลำพูน ครูบาธรรมชัย จ.ลำพูน หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพสิรินทร์ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่... -
ไปดูรอยเท้าหลวงปู่ทวด ต้นกำเนิดตำนานเหยียบน้ำทะเลจืด
ไปดูรอยเท้าหลวงปู่ทวด ต้นกำเนิดตำนานเหยียบน้ำทะเลจืด
บ่อน้ำจืดธรรมชาติในทะเลตั้งอยู่ที่เกาะนุ้ย เป็นเกาะเล็กๆไม่ห่างจากชายฝั่ง ตั้งอยู่ที่ตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม บ่อน้ำจืดนี้มีมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยประมาณ 70 ซ.ม. มีลักษณะเป็นบ่อธรรมชาติขนาดเล็กซึ่งจะปรากฏให้เห็นต่อเมื่อเวลาน้ำทะเลลดระดับลง มีความมหัศจรรย์คือแม้จะอยู่กลางทะเล แต่ก็เป็นบ่อกลายเป็นน้ำจืด ชิมแล้วมีรสชาติจืดถึงกร่อย เกิดจากรอยแตกของชั้นหินที่ต่อกับตาน้ำจืดใต้พื้นดิน เมื่อยามน้ำลดน้ำจืดจะดันตัวนำน้ำทะเลออกจนหมดเหลือแต่น้ำจืด ส่วนชาวบ้านแถบนี้เชื่อว่า บ่อน้ำจืดนี้คือบริเวณที่ “หลวงปู่ทวด”เคยมาเหยียบน้ำทะเล ให้กลายเป็นน้ำจืดตามตำรา
หลวงปู่ทวด หรือ สมเด็จเจ้าพระราชมุนีสามีรามคุณูปรมาจารย์ หรือ สมเด็จเจ้าพะโคะ นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในประเทศไทยจากตำนานท้องถิ่นในฐานะพระศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์และอภิญญาแก่กล้าจนได้สมญาว่า“หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” โดยที่มาของสมญานามอันลือลั่นของท่าน มีที่มาดังนี้
ขณะที่สมเด็จเจ้าพะโคะกลับจากกรุงศรีอยุธยาได้ประจำพรรษาอยู่ ณ วัดพะโคะครั้งนี้คาดคะเนว่าท่านมีอายุกาลถึง ๘๐ปีเศษ... -
เหนื่อยจนตาย...ไม่ได้อะไร ??? (หลักธรรมอันลึกซึ้ง....ที่อาจตรงใจหลายคน)
"...ที่ไหนๆ ในโลก ไม่ว่าประเทศไทย หรือในต่างประเทศ จะพบว่ามีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยที่หรูหราใหญ่โตสวยงามให้เห็นกันอยู่มากมาย และถ้าจะถามว่า จิตใจของบุคคลที่อยู่ที่อาศัยในบ้านเรือนที่สวยงามเหล่านั้น จะมีความเยือกเย็นเป็นสุขกว่าใจของคนอื่นๆ ที่มีฐานะต่ำกว่าเขาหรือไม่ ก็คงจะตอบได้ว่า ไม่แน่เสมอไป
ทั้งนี้ก็คงเพราะว่าเรื่องของวัตถุนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดความสงบที่แท้จริงให้กับคนเราได้ วัตถุไม่ใช่สิ่งที่จะมาชำระล้างจิตใจของมนุษย์ได้ บ้านเรือนที่หรูหราจึงไม่ใช่เครื่องหมายที่จะบอกได้ว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นมีจิตใจสงบมากน้อยเพียงไร
สุข ทุกข์ อยู่ที่ใจ อยู่ที่ไหน ถ้าใจมันสงบระงับได้ มันก็เป็นสุขได้ ฉะนั้น การฝึกอบรมใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าจิตใจมีแต่ความยึดถือหลงใหลในสิ่งต่างๆ อยู่อย่างถอนตัวไม่ขึ้น จิตใจก็จะมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ตลอดไป ที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเรื่องของกาย เรื่องของใจทำงานอะไรก็เพื่อกาย เพื่อใจ ทั้งนั้น วิ่งวุ่นกันอยู่ตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย ก็เพราะเรื่องของกายกับใจ
คนเรามัวแต่วุ่นวายในงานต่างๆ ทั้งกลางวันกลางคืน... -
ประวัติความเป็นมา "พระมหาเจดีย์ชเวดากอง"
ในสมัยพุทธกาล... สัปดาห์ที่ ๗ หลังจากตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเสด็จประทับเสวยวิมุตติสุข ณ ใต้ต้นราชายตนะ (ต้นเกด หรือต้นไม้ที่อยู่แห่งพระราชา) ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลาอีก ๗ วัน แล้วจึงทรงออกจากฌานสมาบัติหรือสมาธิ
ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า... นับแต่พระพุทธองค์ตรัสรู้มา ๗ สัปดาห์ รวม ๔๙ วัน ยังมิได้เสวยภัตตาหารเลย จึงนำไม้สีพระทนต์ชื่อ "นาคลดา" พร้อมน้ำจากสระอโนดาตและผลสมออันเป็นทิพยโอสถจากเทวโลกมาน้อมถวายในตอนเช้าของวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๘ หรือเดือนอาสาฬหะ
ณ ที่แห่งนี้เอง... ได้มีพ่อค้าพานิช ๒ พี่น้องเป็นชาวพม่าชื่อ "ตปุสสะ" กับ "ภัลลิกะ" นำเกวียน ๕๐๐ เล่ม เดินทางผ่านมาทางตำบลพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
พ่อค้าทั้ง ๒ ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าขณะทรงประทับอยู่ใต้ต้นราชายตนะ มีพระรัศมีอันผ่องใสงดงามยิ่งนักก็บังเกิดความเลื่อมใส จึงนำ "ข้าวสัตตุผง สัตตุก้อน" ซึ่งเป็นเสบียงเดินทางของตนไปน้อมถวาย
ขณะนั้นพระพุทธองค์ยังไม่มีบาตร ท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔ จึงได้น้อมนำบาตรแก้วอินทนิลมาถวายองค์ละใบ ทรงดำริว่าใบเดียวก็เพียงพอแก่เรา... -
พระมหาเถระสมัยพระเจ้าอโศกมาแนะนำวิปัสสนา เห็นผลภายในสิบวัน
ได้พบพระมหาเถระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
เป็นพระอรหันต์ไม่ได้บอกชื่อไว้เสียด้วย น่าจะกลัวพระงูเหลือม ท่านก็บอกว่าเป็นอรหันต์นิพพานเมื่ออายุ ๙๗ ปีกับ ๓ วัน นี่ท่านพบกันแล้วท่านก็บอกว่าฉันเป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ฉันเป็นพระอรหันต์ แล้วฉันนิพพานเมื่ออายุ ๙๗ ปี ๓ วัน พระคุณเจ้ารูปนี้ นั้นได้โปรดแนะนำให้ทำวิปัสสนา ว่า จะเห็นผลภายในสิบวัน นี่อาจารย์นี่ย่องมาสอนเป็นพิเศษ ปกติพระมหากัจจายนะและสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า อาจารย์องค์นี้ย่องมาสอนต้องลัดคิว
ว่าจะเห็นผลภายในสิบวัน
ว่าให้ทำฌานแล้วให้ปลงในนิวรณ์ก่อน จำได้ไหมนิวรณ์ห้าประการ ปลงตัดมันเสียให้หมด แล้วก็ทำสมาธิ
แล้วพิจารณาขันธ์ห้าตามไตรลักษณญาณ ไตรลักษณ์ก็รู้แล้ว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่ให้มันสูง ปลงให้เห็นว่าอนิจจังนี่มันเป็นของไม่เที่ยงจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมดในโลกนี้ ถ้าไม่เที่ยงเราไปยึดมันเข้าแล้วมันเป็นทุกข์ ต้องปล่อยตามมันๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน แล้วในที่สุดมันก็เป็นอนัตตาพังสลายตัวหมด อย่าไปยึดไปถือมัน อย่าไปยึดว่าจะมีอะไรเป็นเราเป็นของเราต่อไป แม้แต่ร่างกายเรายังพัง... -
อานิสงค์การสวดมนต์ 15 ประการ : เทวดาคุ้มครองรักษา มีเสน่ห์ ผิวพรรณหน้าตาผ่องใส
ผู้ที่สวดมนต์ด้วยความตั้งใจจริงแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ คือผลความดี มากมายดังต่อไปนี้
1. ทำให้สุขภาพดี การสวดมนต์ออกเสียง ช่วยให้ปอดได้ทำงาน เมื่อปอดทำงาน เลือดลมก็เดินสะดวก เมื่อเลือดลมเดินสะดวก ร่างกายก็สดชื่น กระปรี้กระเปร่า และกระฉับกระเฉง
2. คลายความเครียด ขณะสวดมนต์จิตจดจ่ออยู่กับบทสวด สมองไม่ได้คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย
3. เพิ่มพูนศรัทธาในพระรัตนตรัย บทสวดแต่ละบทเป็นการระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย เมื่อสวดบ่อย จิตก็จะยิ่งแนบแน่นอยู่กับพระรัตนตรัย
4. ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะสวดต้องใช้ความอดทนเพื่อเอาชนะอาการปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ตลอดถึงอารมณ์ฝ่ายต่ำทั้งหลายมีความเกียจคร้าน เป็นต้น ยิ่งสวดบ่อย ความอดทนก็จะมีมากยิ่งขึ้น
5. จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะสวดจิตจดจ่ออยู่กับบทสวด ไม่วอกแวกฟุ้งซ่านไปที่อื่น จึงทำให้จิตสงบและเกิดสมาธิมั่นคง
6. บุญบารมีเพิ่มพูน ในขณะสวดมนต์ จิตใจย่อมปราศจากกิเลส มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น จึงได้ชื่อว่าเกิดบุญบารมี บุญบารมีนี้ เมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะเป็นทุนสนับสนุนให้บรรลุผลตามที่เราต้องการ... -
เคล็ดการไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภรับวันตรุษจีน
เคล็ดการไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภรับวันตรุษจีน
การไหว้เทพเจ้าโชคลาภปีนี้ เทพเจ้าโชคลาภท่านเสด็จมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งโต๊ะหลักหันไปทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โดยผู้ไหว้หันไปทางตะวันออกเฉียงเหนือด้านหลังผู้ไหว้เป็นตะวันตกฉัยงใต้
โดยเทพเจ้าโชคลาภจะเสด็จ มาพร้อมเทพอุปถัมภ์และเทพแห่งความปิติในช่วงเวลา ของวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๐ ช่วง ๒๓.๐๐-๐๐.๕๙ ในกรณีพื้นที่จำกัด ตั้งโต๊ะไหว้หันออกหน้าบ้าน
จุดธูปไหว้ไปทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่ออัญเชิญเทพ ฯหากเจ้าบ้านเกิดปีเถาะ ปีชวด ปีมะเมีย ห้ามขึ้นธูปก่อน ให้คนปีมะโรงหรือปีระกา ขึ้นธูปไหว้ก่อน ที่สำคัญต้องเปิดประตูหน้าบ้าน ปิดประตูหลังบ้าน (หากไม่สะดวกจะ ไหว้บนดาดฟ้าก็ได้ )ฤกษ์เปิดงานรับเจ้า(เปิดทำงานรับปีใหม่) วันอังคารที่ 31 มกราคม 2560เวลา ช่วง 07.00 น.
เครื่องสักการะ บูชาเทพเจ้าแห่งโชคลาภ มีดังนี้
1. รูปภาพ หรือรูปปั้น องค์ไฉ่ซิ่งเอี๊ย (จะเป็นรูปปางไหนก็ได้หากได้ทั้งบู๊บุ๋นก็ยิ่งดี)หากไม่มี เวลาไหว้ ก็ให้ระลึกถึง
2. แจกันดอกไม้สด 1 คู่
3. เทียนแดง 1 คู่
4. กระถางธูป 1 ใบ(ปกติให้ใช้แยกต่างหาก เพราะเมื่อไหว้เสร็จแล้ว... -
หลวงปู่จันทา ถาวโร พระอริยะที่ได้สนทนากับยมทูต
หลวงปู่จันทา ถาวโร พระอริยะที่ได้สนทนากับยมทูต
หลวงปู่จันทา ถาวโร เป็นพระอริยสงฆ์แห่งวัดป่าเขาน้อย อ. วังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ท่านได้กล่าวเล่าถึงประสบการณ์การได้สนทนากับยมทูตครั้งหนึ่งว่า
ครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2494 เมื่อออกพรรษาเป็นฤดูแล้ง ได้ไปพักอยู่ที่วัดเฉลียงลับ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์และได้ตั้งใจฝึกจิตภาวนาตามที่ครูบาอาจารย์คือหลวงปู่ทับได้สั่งสอนเอาไว้ โดยได้ให้คำสัตย์มั่นเอาไว้ว่าจะไม่ถือนอนเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่ถือฉันอาหารใดๆ จะทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถ 3 คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น แล้วก็ตั้งใจมั่นอธิษฐานจิตว่า “ถ้านรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ก็ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงทรงบันดาลให้ได้เห็นในวันนี้หรือคืนนี้ จะได้สิ้นสงสัยว่า พระรัตนตรัยเป็น “นายะโก” ผู้นำโลกสามารถนำหมู่สัตว์ออกจากวัฏสงสารและทุกข์ได้จริง” จากนั้นหลวงปู่ก็ออกเดินจงกรม ก้าวขวาว่า “พุทโธ” ก้าวซ้ายว่า “ธัมโม” ก้าวขวาว่า “สังโฆ” เมื่อครบสามรอบแล้วก็ย่นคำบริกรรมเป็น ก้าวขวาว่า “พุท” ก้าวซ้าย “โธ” ทำอยู่อย่างนั้นไม่ได้กำหนดเวลา มีแต่เดินกับยืนวันยังค่ำ
พอจิตยึดมั่นกับพุทโธได้ไม่นานจิตก็ปล่อยวางพุทโธ... -
เคยเป็นกันมั้ย? "ทำบุญไม่ขึ้น"!หลวงพ่อฤๅษีลิงดำสอนวิธีแก้ไขเมื่อเกิดเหตุการณ์ทำบุญไม่ขึ้น
เคยเป็นกันมั้ย? "ทำบุญไม่ขึ้น"!หลวงพ่อฤๅษีลิงดำสอนวิธีแก้ไขเมื่อเกิดเหตุการณ์ทำบุญไม่ขึ้น
เมื่อลูกศิษย์ใกล้ชิดกับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้เอ่ยคำถามแก่ท่านว่า : เจ็บใจเหลือเกินเจ้าคะ ทำความดีมาหลายครั้ง ปรากฏว่าทำบุญแล้วไม่ขึ้น
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้ตอบกลับไปว่า : การให้ถือว่าเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน เป็นตัวตัดความโลภ เมื่อความโลภมันตัดได้แล้ว กิเลสมันก็ยังอยู่อีกตัวหนึ่ง คือความโกรธ เขาก็มาซ้อมต้องจำไว้ว่าคนมีทั้งดีทั้งเลว จำไว้ว่าในโลกนี้ถึงจะทำความดีขนาดไหนก็ตาม คนที่เห็นความดีมันเห็นยาก ก็ไม่ควรจะมาโลกนี้อีกต่อไป ตัดสินใจอย่างนี้นะ ของที่ให้ไปแล้วก็ถือว่าก็แล้วกันไป ไอ้ที่เขาว่าก็ถือเป็นอโหสิกรรมไป แต่ว่าจำหน้าไว้ว่าคนนี้ไม่ควรให้ต่อไป
“ต้องทำตามพระพุทธเจ้าบอก อย่างบิดาท่านวิสาขา” ท่านแนะนำว่า "ผู้ให้เราจงให้ ผู้ไม่ให้เราอย่าให้"
โดยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า ถ้าเราให้เขาไป สมมุติเขามายืมของไป เขาส่งคืนเราก็ให้เขาต่อไป ถ้ายืมของไปแล้วเขาไม่ส่งกลับ คนนั้นเลิกให้ต่อไป แล้วไอ้คนที่เราให้ไปแล้วไม่รู้สึกคุณ ก็ไม่ควรจะให้ต่อไป
หลวงพ่อฤๅษีตอบปัญหาธรรมเรื่อง เจ็บใจ ทำบุญไม่ขึ้น... -
สุดอัศจรรย์!! 3วัน3คืน "หลวงปู่คะนึง"ท่องพิภพบาดาลเมืองพญานาคใต้แม่น้ำโขง!!
สุดอัศจรรย์!! 3วัน3คืน "หลวงปู่คะนึง"ท่องพิภพบาดาลเมืองพญานาคใต้แม่น้ำโขง!!
หลวงปู่คำคะนิง ท่องเมืองพญานาค
เรื่องถ้ำเรื่องป่าเขาแดนลี้ลับอันตรายต้องยกให้หลวงปู่คำคะนิง ท่านผ่านถ้ำผ่านภูเขามานับร้อยนับพันแห่งในอินโดจีนและฝั่งโขงทั้งสองฟาก
ผจญเสือ ผจญช้าง กระทิงป่า มหิงสา หมียักษ์และงูร้ายอสรพิษนานาชนิด มาแล้วอย่างโชกโชน ตลอดจนภูตวิญญาณร้ายกาจสารพัดภูตผีปีศาจคะนองไพร
และที่น่าสนใจที่สุด
“หลวงปู่คำคะนิงเคยเข้าไปในถ้ำใต้แม่น้ำโขง เดินสามวันสามคืนไม่หยุดยั้ง พบเมืองบาดาลนาคพิภพของพญานาค มหัศจรรย์ที่สุด”
หลวงปู่คำคะนิง จุลละมณีเป็นชาวคำม่วน แขวงคำม่วน ประเทศลาว (ปัจจุบันท่านได้มรณะภาพไปแล้ว) แรกเริ่มเดิมทีก่อนจะเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์นั้น มีครอบครัวลูกเมียเป็นฝั่งเป็นฝามาก่อน
แต่พออายุได้ 30 ปีก็เบื่อหน่ายชีวิตครองเรือน จึงอำลาลูกเมียออกบวชเป็นฤๅษีดาบส ท่องเที่ยวธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพร เป็นเวลานานถึง 15 ปี ไม่เคยเข้าอยู่หมู่บ้านเลย อยู่แต่ในป่าเป็นวัตร ถือสัจจะเคร่งในศีลฤๅษีโยคี ฝึกตนอย่างเคร่งเครียดละเว้นความชั่วทุกประการ
7 วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง 15 วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง... -
ศักดิ์สิทธิมาก!!!"คาถา อิติปิโสเรือนเตี้ย"หลวงปู่เอี่ยม"ให้"เสด็จพ่อ ร.๕ "ไว้ขจัดอุปสรรค ตอนเสด็จไปยุโรป
ศักดิ์สิทธิมาก!!!"คาถา อิติปิโสเรือนเตี้ย"หลวงปู่เอี่ยม"ให้"เสด็จพ่อ ร.๕ "ไว้ขจัดอุปสรรค ตอนเสด็จไปยุโรป
เมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ได้รับคำแนะนำจาก “พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์” ให้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ เข้าถวายนมัสการ “หลวงปู่เอี่ยม” วัดโคนอน เพื่อขอรับคำพยากรณ์ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น ภายหลังที่กำหนดการเสด็จวัดโคนอนได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นการส่วนพระองค์เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ส่งหมายกำหนดการไปถวายแด่หลวงปู่เอี่ยมเป็นการภายใน เพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับเสด็จ ขบวนเสด็จประกอบด้วยเรือพายสี่แจวที่ทรงประทับ และขบวนเรือคุ้มกัน ควบคุมโดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ ได้เคลื่อนที่เข้าคลองลัดสู่วัดโคนอน ชาวบ้านละแวกนั้นไม่ได้ไหวตัวหรือเอะใจแต่อย่างใด เพราะเห็นเป็นขบวนเรือธรรมดา มิได้ประดับประดาธงทิวให้แปลกไปกว่าเรือลำอื่น ดูเหมือนกับเรือที่ขุนนางหรือเศรษฐีผู้มีทรัพย์ใช้กันทั่วไป และผู้ที่ขึ้นมาจากเรือสี่แจวต่างก็แต่งกายแบบธรรมดา มีหมวกสวมไว้บนศีรษะ ใบหน้าบ่งบอกถึงเป็นผู้มีบุญ หนวดบอกถึงผู้มีอำนาจ ดวงตาฉายแววแห่งความเมตตาปราณีตลอดเวลา... -
อัศจรรย์! วิชาย่นระยะทางของหลวงปู่สรวง พาหลวงปู่สร้อยเดินเท้าข้ามจังหวัด
อัศจรรย์! วิชาย่นระยะทางของหลวงปู่สรวง พาหลวงปู่สร้อยเดินเท้าข้ามจังหวัด
หลวงพ่อสร้อยเล่าเรื่องหลวงปู่สรวง
หลวงพ่อสร้อย ท่านเป็นพระเขมร เล่าว่าท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่สรวงเทพเจ้าเดินดินของชาวเขมรและชาวศรีษะเกษ
ผู้เขียนเองได้ยินได้ฟังมาด้วยตนเองเกี่ยวกับหลวงพ่อสร้อยและหลวงปู่สรวงดังนี้ว่า
หลวงพ่อสร้อยท่านติดตามหลวงปู่สรวงมาแต่เด็กจากคำบอกเล่าของลูกศิษย์ลูกหา ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในชีวิตของหลวงพ่อสร้อยนั้นก็ได้พบปาฏิหาริย์หลายต่อหลายอย่างจากหลวงปู่สรวง
เช่นคราวหนึ่งมีญาติโยมจาก จังหวัดจันทบุรีมานิมนต์หลวงปู่สรวงไปฉันเพลที่บ้าน
หลวงปู่สรวงรับนิมินต์โดยกำหนดวันเวลาที่แน่ชัดแล้วเจ้าภาพก็กลับไป
ครั้นถึงวันจริงเข้าหลวงปู่สรวงก็ยังอยู่ที่ศรีษะเกศ ได้ปลุกเด็กชายสร้อยแต่เช้าตรู่ประมาณตี ๔ แล้วบอกว่าจะพาเดินไปจันทบุรีด้วยกัน เด็กชายสร้อยก็ออกเดินตามอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่ามันจะเดินไปถึงจริงๆ เหรอ
หลวงปู่สรวงด้วยด้วยเท้าเปล่าตั้งแต่เช้ามืดจนใกล้เพล เด็กชายสร้อยที่เดินตามมาหลายชั่วโมงก็เหนื่อยอ่อนเต็มทีและไม่มีความเชื่อว่าจากศรีษะเกศเนี่ยจะเดินไปถึงจังหวัดจันทบุรีได้... -
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!!! สืบจากพยานบุคคล อายุหลวงปู่สรวงมากกว่ามนุษย์ธรรมดา จากคำสัมภาษณ์หลวงพ่อสร้อย วัดเลียบฯ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!!! สืบจากพยานบุคคล อายุหลวงปู่สรวงมากกว่ามนุษย์ธรรมดา จากคำสัมภาษณ์หลวงพ่อสร้อย วัดเลียบฯ
หลวงปู่สรวง คือเรื่องราวของผู้วิเศษท่านหนึ่ง ที่กล่าวขานกันว่าท่านคือผู้วิเศษแห่งภูตะแบง บ้างก็ว่าท่านคืออริยะเจ้าแห่งทุ่งละลม หากกล่าวถึงหลวงปู่สรวงท่านแล้วคงกล่าวได้ว่า ไม่มีใครที่มีความลึกลับเท่าท่านอีกแล้ว เพราะไม่มีใครเคยรู้ว่าแท้จริงแล้วท่านคือใครมาจากไหน อายุเท่าไหร่
(หลวงปู่สรวง)
แม้กระทั่งท่านเป็นพระหรือฤๅษีก็ไม่ทราบ ไม่มีใครบอกได้ แต่สำหรับในใจของใครต่อใครหลายคนต่างทราบดีว่าหลวงปู่คือพระแท้ พระทอง เป็นเพชรเม็ดงามแห่งที่ราบสูงโคราช เป็นที่พึ่งแก่ชาวสุรินทร์ ศรีษะเกษ ตราบถึงชาวเขมรทั่วไป
เรื่องราวของหลวงปู่สรวงเป็นความลี้ลับแห่งทุ่งละลมที่ยาวนานมาหลายชั่วอายุคน เป็นเรื่องที่ประจักษ์ด้วยสายตาของชาวบ้านทุกคนทั้งใกล้และไกลถึงอิทธิปาฏิหาริย์ที่ท่านแสดง แม้วันนี้หลวงปู่สรวงจะละสังขารไปแล้วก็ตามแต่เรื่องราวของท่านก็ยังเป็นที่สนใจ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือยังมีปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ภายหลังจากที่ท่านละสังขารไปแล้วเสมอๆ... -
สาธุ.."พระอรหันต์อยู่ในบ้าน"คำเทศน์สมเด็จโตฯที่ทำเอาร.๔ น้ำพระเนตรไหล
สาธุ.."พระอรหันต์อยู่ในบ้าน"คำเทศน์สมเด็จโตฯที่ทำเอาร.๔ น้ำพระเนตรไหล
" พระอรหันต์ที่อยู่นอกบ้าน พวกท่าน
ไม่อาจจะล่วงรู้ได้ว่าองค์ใดจริงหรือ
ไม่จริง แต่ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด และเป็น
ของจริง และบูชาได้อย่างแน่นอน ! "
มีคราวหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ให้แสดงธรรม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกมาท่ามกลางเหล่าขุนนาง ข้าราชการ และข้าราชบริพาร ครั้นพอพบหน้าท่านเจ้าผู้ครองแผ่นดินก็ทรงสัพยอกว่า “ท่านเจ้าคุณ เห็นเขาชมกันทั้งเมืองว่าท่านเทศน์ดีนักนี่ วันนี้ต้องขอพิสูจน์หน่อย”
สมเด็จโตทรงทูลว่า “ผู้ที่ไม่เคยฟังในธรรม ครั้นเขาฟังธรรม และได้รู้เห็นในธรรมนี้แล้ว เขาก็ชมว่าดี ขอถวายพระพร มหาบพิตร” และวันนี้อาตมาจะมาเทศน์เรื่อง “พระอรหันต์อยู่ในบ้าน”
ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเหล่าขุนนาง ข้าราชการและข้าราชบริพารต่างก็มีความสงสัย เพราะเคยได้ยินแต่ว่าพระอรหันต์ท่านจะอยู่ในถ้ำ ในป่า ในเขา ในที่เงียบสงัดหรือที่วัดวาอารามเท่านั้น แต่ทำไมสมเด็จโตจึงกล่าวว่าจะเทศนาเรื่องพระอรหันต์อยู่ในบ้าน... -
บารมีท้าวเวสสุวรรณวัดสุทัศน์ปราบอาถรรพ์ร่างทรง
บารมีท้าวเวสสุวรรณวัดสุทัศน์ปราบอาถรรพ์ร่างทรง
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของรุ่นน้องคนนึง คือน้องผมคนนี้เขาชอบไปตระเวณตามตำหนักทรงต่างๆ ผมขอเรียกว่า น้องม. เป็นรุ่นน้องในที่ทำงานเก่าของผม สมัยก่อนเราก็มักจะตระเวณหาพระเกจิด้วยกันต่อมาต่างคนต่างแยกตัวกันไป ต่อมาเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน เขาก็มาหาที่บ้านชวนไปกราบพระแถวเสาชิงช้า ผมเลยพาไปวัดสุทัศน์ผมก้ถามว่าทำไมหน้าเอ็งดำจัง มันก็บอกว่ามีคนทักผมเหมือนกันแต่แปลกพักนี้ผมนอนไม่ค่อยเต็มตื่นจะสะดุ้งและบางทีก็มีภาพหลอนบ่อยๆๆพี่ เลยนึกถึงพี่ให้พี่พามากราบพระเผื่อชีวิตจะดีขึ้น ผมก็ถามว่าเอ็งยังตระเวณนับถือร่างทรงอยู่ไหม แฟนเขาก็บอกว่า เมื่อวานก็ไปตำหนักแถวเมืองนนท์
ผมก็เลยวินิจฉัยว่าน้องม.มันต้องโดน อาถรรพ์ของพวกตำหนักทรงเจ้าแน่ๆ พอกราบพระตรีโลกเชษฐ์เสร็จก็พอดีผ่านศาลาโพธิ์ พี่ที่จำหน่ายวัตถุมงคลทางวัดสุทัศน์ทักผม ผมเลยนึกถึงท้าวเวสสุวรรณได้เพราะพ่อครูผมเคยบอกว่าท้าวเวสสุวรรณที่นี่ดีทุกรุ่น เพราะสืบตำราการสร้างมาจากท่านเจ้าคุณศรีสนธิ์ วัดสุทัศน์(แม้จะไม่ดัง)ก็เชื่อขนมกินได้ว่า ท้าวเวสสุวรรณที่นี่ราคาเบามากด้วยเทวดานุภาพ... -
คนภาวนามากๆ บุคคลผู้นั้นถ้าไม่รวย ก็ไม่ลำบาก
แต่ถ้าในอดีต เคยสร้างทานมหาทาน ถวายทองคำ สร้างกุฏิสงฆ์ ถวายที่ดินให้สงฆ์ทั้งหลายทั้งปวงนี้ เมื่อภาวนาแล้ว ของเก่าในอำนาจบารมีกุศลนั้นจะมาหนุนนำ จากลำบากก็สบายได้ ดังนั้นคนอยากรวยต้องภาวนา เพราะคนรวยส่วนมากจะมีปัญญา แต่ถ้าบุคคลใดรวยแล้วขาดการภาวนา ทรัพย์นั้นก็หมดได้ เรียกว่ารักษาทรัพย์นั้นไว้ไม่ได้ นั้นใครอยากรวยต้องภาวนา แต่ถ้าใครอยากพ้นทุกข์ต้องอดทน นั่นคือการเจริญขันติธรรม
.
ในขณะที่โยมสาธยายมนต์อยู่นั้น เวทนาก็ดี ทุกข์ก็ดีที่มันคืบคลานในกายสังขาร ก็ขอให้ทนและมีสติตั้งมั่นจดจ่อในอักขระคาถาที่โยมสวดอยู่ ความตายกับเวทนาที่โยมทนได้ยากนั่นล่ะจ้ะอาการเดียวกัน อาการเดียวกันอย่างไร เพราะเมื่อโยมมีเวทนามาก สติโยมนั้นจะเริ่มไม่ตั้งมั่น นั่นหมายถึงว่าธาตุขันธ์ของโยมนั้นกำลังจะปรวนแปร กำลังจะแตกสลาย เพราะมันกำลังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปแบบถี่ๆ มันจึงไปบีบหัวใจโยม
.
ดังนั้นโยมต้องกำหนดรู้และตั้งมั่นให้มาก นั่นด้วยอำนาจแห่งฌานไปข่ม คือจิตเพ่งไปอยู่ในอาการนั้น เพ่งแล้วปล่อยแล้ววาง เพ่งแล้วปล่อยแล้ววาง มันก็จะเกิดการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เกิดดับ เกิดดับ เมื่อมันเท่าทันกันเมื่อไหร่... -
หลักการปฏิบัติจริงๆ ที่เราทิ้งไม่ได้
อันดับแรก ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก จะใช้คำภาวนาหรือพิจารณาอย่างไรให้ตามอัธยาศัยของเรา
อันดับที่สอง เมื่อกำลังใจทรงตัวแล้ว เริ่มคลายออกมา ให้หาวิปัสสนาญาณต่างๆ มาพิจารณา ไม่อย่างนั้นแล้วกำลังใจที่ทรงตัว มีความเข้มแข็งมาก ก็จะไปใช้ในการฟุ้งซ่านแทน และระงับได้ยากเพราะว่ามีกำลังสูง
อันดับที่สาม ก็คือว่า พยายามรักษาศีลของเราทุกสิกขาบท ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นเขาทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ
การรักษาศีลนั้น มีหลายท่านสงสัยว่า ถ้าประกอบอาชีพการงานต่างๆ อย่างเกษตรกรรม ต้องมีการฉีดยาฆ่าแมลงบ้าง หรือว่าเลี้ยงสัตว์ขายบ้าง แล้วสอบถามมาว่า ถ้าอย่างนั้นจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์อย่างไร ? คงไม่มีหวังเลยใช่ไหม ? ก็ขอยืนยันว่ารักษาได้ โดยที่ให้เรารักษาศีลเป็นเวลา อย่างเช่นว่า ตั้งแต่เลิกงานจนกว่าจะหลับ เราจะรักษาศีลห้าหรือศีลแปดให้บริบูรณ์ แล้วตั้งใจงดเว้นรักษาให้ได้ตามนั้น หรือว่าตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งไปถึงที่ทำงาน เราจะรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เป็นต้น ถ้าสามารถทำได้ ต่อไปกำลังใจที่เข้มแข็งขึ้น ก็จะทำให้เราสามารถรักษาศีลได้นานขึ้น... -
ถวายสังฆทานให้พระองค์เดียวได้ไหม : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
#หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมเรื่องอานิสงส์ของการถวายสังฆทาน
ผู้ถาม :- "หลวงพ่อคะ ถวายสังฆทานให้พระองค์เดียวได้ไหมคะ.?"
หลวงพ่อ :- "ได้ แต่พระไปกินองค์เดียวพระองค์นั้นลงนรก นี่เรื่องจริงนะ อย่างฉันรับนี่ฉันรับองค์เดียว แต่ว่าองค์เดียวนี่ถือว่าเป็นผู้แทนคณะสงฆ์นะ อย่าไปกินไปใช้แต่ผู้เดียว นี่ไม่ได้ ของเขาย่อมมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ พระองค์เดียวหรือพระ ๓ องค์ ถือว่าเป็นผู้แทนสงฆ์ พระ ๓ องค์ก็แบ่งไปใช้แค่ ๓ องค์ไม่ได้ จะต้องไปรวมทั้งคณะ คำว่า สังฆทานสังฆะ เขาแปลว่า หมู่"
ผู้ถาม :- "ลูกเป็นคนยากจนมีเงินน้อย อยากจะได้อานิสงส์มาก ๆ จะทำบุญอย่างไรดีคะ...?"
หลวงพ่อ :- "คืออานิสงส์จริง ๆ ต้องทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ สมมุติว่าเรามีเงินอยู่ ๑๐ บาท จะไปมาที่นี่เสียค่ารถ ๖ บาท กินก๋วยเตี๋ยว ๓ บาท ได้ครึ่งชามแล้ว หมดไป ๙ บาท เหลือ ๑ บาท เขียนที่หน้าซองเลยว่า เงินนี้ถวายสังฆทาน วิหารทาน และธรรมทาน อันนี้อานิสงส์มากเหลือเกิน จำนวนเงินเขาไม่จำกัด เขาจำกัดกำลังใจ ถ้ากำลังใจมุ่งด้านดีนะ
การทำบุญมากๆ คำว่า ทำมาก หมายความว่า ทำบ่อยๆ แต่คำว่า บ่อย ไม่ต้องทุกวันก็ได้นะ คำว่า มาก หมายความว่า... -
ข้ามขีดจำกัดของการสื่อสาร!! "สมเด็จพระญาณสังวรฯ" ทรงใช้ "โทรจิต" นิมนต์คณะพระเถระอีสานที่อยู่กระจัดกระจายในป่าให้มารวมกัน ณ จุดนัดพบ!!
ข้ามขีดจำกัดของการสื่อสาร!! "สมเด็จพระญาณสังวรฯ" ทรงใช้ "โทรจิต" นิมนต์คณะพระเถระอีสานที่อยู่กระจัดกระจายในป่าให้มารวมกัน ณ จุดนัดพบ!!
"สมเด็จพระญาณสังวรฯ" นั้น คนจำนวนมากอาจไม่รู้หรือไม่ทราบว่าทรงมีบารมีธรรมในด้านปาฏิหาริย์ กระทั่งเข้าใจว่าทรงเป็นแค่พระสงฆ์ธรรมดาที่ปกครองคณะสงฆ์และปฏิบัติธรรมวินัยไปตามปกติ แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
สมเด็จพระญาณสังวรฯ ทรงเป็นผู้ทรงอิทธิปาฏิหาริย์ตามภูมิธรรมอันสูงที่พระองค์ทรงบรรลุแล้ว อิทธิปาฏิหาริย์นี้ก็คือการกระทำความมหัศจรรย์เหนือกว่าความสามารถของมนุษย์ธรรมดา ซึ่งเคยมีผู้เห็นประจักษ์หลายครั้ง ดังที่จะยกมาเป็นตัวอย่างต่อไปนี้
สมเด็จพระญาณสังวรฯ
เมื่อครั้งที่ยังมีสงครามระหว่างรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงรับสั่งให้นิมนต์พระมหาเถระทางภาคอีสานหลายรูปซึ่งเป็นพระป่า ไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง แต่มีภูมิธรรมขั้นสูง ทว่าเนื่องด้วยข้อจำกัดของการคมนาคมและการสื่อสารในสมัยนั้น ตลอดจนอุปสรรคในด้านความปลอดภัย เจ้าหน้าที่จึงไม่สามารถติดต่อนิมนต์พระมหาเถระเหล่านั้นได้
เวลาต่อมา พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์... -
ผีกัด...อย่ากัดตอบ!! สุดสยอง...เมื่อ "ผีกองกอย" ในป่าดิบเขตลาวพยายามจะเอาชีวิตหลวงปู่แหวน ... แต่สุดท้ายต้องยอมสยบให้กับ "พลานุภาพแห่งความสงบ"!!
ผีกัด...อย่ากัดตอบ!! สุดสยอง...เมื่อ "ผีกองกอย" ในป่าดิบเขตลาวพยายามจะเอาชีวิตหลวงปู่แหวน ... แต่สุดท้ายต้องยอมสยบให้กับ "พลานุภาพแห่งความสงบ"!!
"หลวงปู่แหวน สุจิณโณ" อดีตเจ้าอาวาสวัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ เคยเล่าว่า เมื่อครั้งที่ท่านไปธุดงค์ในป่าดิบทึบในเขตคำม่วน ประเทศลาว พร้อมกับ "หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม" นั้น ท่านทั้งสองได้ผจญภัยกับ "ฝูงผีกองกอย" (ข้อมูลบางแห่งเรียกว่า "อสุรกาย") ในเวลากลางคืนด้วย ลักษณะของมันเหมือนเด็กอายุประมาณ ๑๓-๑๔ ปี รูปร่างผอม แต่พุงป่อง ผิวคล้ำ ผมเผ้ารุงรัง จมูกบี้แบน ในมือถืออาวุธคล้ายหน้าไม้หรือธนูอันเล็กๆ ส่งเสียงร้อง "ก๋อย...ก๋อย...ก๋อย"
ผีกองกอยพยายามจะเข้ามาทำร้ายหลวงปู่ทั้งสอง แต่ท่านก็รับมือกับพวกมันด้วยการนั่งสมาธิ และด้วยพลานุภาพของสมาธิจิต พวกมันจึงไม่อาจทำอะไรท่านได้
จวบจนกระทั่งรุ่งเช้า ผีกองกอยก็ยอมแพ้ ขอขมาต่อหลวงปู่ทั้งสอง และได้นิมนต์ท่านไปยังที่อยู่อาศัยของพวกมัน ท่านจึงพบว่า แท้จริงแล้ว ผีกองกอยฝูงนี้ก็คือ "คนป่าเผ่าข่าระแด" ซึ่งมีพฤติกรรมล่าและฆ่ามนุษย์ที่ล่วงล้ำเข้ามาในถิ่นของพวกมัน แล้วเอาเนื้อมากิน!!
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ... -
"ในหลวง ร.๑๐" พระราชทานภาพวาดฝีพระหัตถ์ พร้อมคำอำนวยพร จำหน่ายนำรายได้ทูลเกล้าฯเป็นพระราชกุศล "รัชกาลที่ ๙" ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้
"ในหลวง ร.๑๐" พระราชทานภาพวาดฝีพระหัตถ์ พร้อมคำอำนวยพร จำหน่ายนำรายได้ทูลเกล้าฯเป็นพระราชกุศล "รัชกาลที่ ๙" ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานภาพวาดฝีพระหัตถ์ เพื่อจัดทำ บัตรอวยพร ปี 2560 รวม 4 แบบ เพื่อนำรายได้จากการจำหน่ายทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายเป็นพระราชกุศลใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมทบทุน ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ โดยได้ทรงวาดภาพ และทรงเขียนคำอำนวยพร และหลักปรัชญาในการปฏิบัติตนเพื่อให้เกิดความสุข ซึ่งภาพวาดฝีพระหัตถ์ทุกภาพ จะมีภาพบ้าน ต้นคริสต์มาส ตุ๊กตาหิมะ กล่องของขวัญ คนที่กำลังมีความสุข และสุนัข
โดยบัตรอวยพรแบบแรก ยังมีภาพพระพุทธรูป และคนที่กำลังสักการะ พร้อมข้อความ "ดับทุกข์ ดับโศก ดับโรค ดับภัย ด้วยใจ หนักแน่น มีจิตและศีลสังวร สมาธิแนบแน่น สงบ และเจริญปัญญา ความสุขมีแน่ ค่อยเป็นค่อยไป" ส่วนที่ด้านข้างมีข้อความ "ส.ค.ส. ส่ง ความสุข ด้วยใจรัก หวังดีต่อกัน คิดดี ๆ สุขใจจริง ๆ" พร้อมภาพเทวดา มีดาว และโทรศัพท์" ที่ด้านล่างมีข้อความ "ส่งความสุข เพิ่มพูนสติ สร้างปัญญา มุ่งเดินหน้า ด้วยคิดดี เมตตา และรอบคอบ... -
อานุภาพพระบรมสารีริกธาตุ
อานุภาพพระบรมสารีริกธาตุ
พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"
“เรื่องพระธาตุรวมตัว ที่พระ...ท่านสัมผัสได้ว่า
แต่ละองค์มีรัศมีป้องกันเขตพื้นที่ไปในระยะ
๑๐ กิโลเมตรนั้น เป็นความจริง และสมควรที่จัก
ได้กระจัดกระจายไปตามวัด และสถานที่ต่าง ๆ
ตามที่สมควร อย่าพะวงว่าเขาทำไม่ได้ทุกอย่าง
เป็นไปได้ตามที่พระธาตุเหล่านั้นได้เสด็จมา
ตามจุดประสงค์เพื่อรักษาเขตประเทศไทย
ในยามเกิดสงครามใหญ่โดยเฉพาะ”
“แต่อย่าคิดเชียวนะว่า ผู้มีพระธาตุบูชาจักไม่ตาย
เพราะที่สุดในโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ คนหรือสัตว์
วัตถุธาตุพังหมด จักมายึดว่ามีพระธาตุบูชา แล้ว
จักพ้นความตายไปนั้นไม่ได้
ท่านเพียงแต่ป้องกันอันตรายจากภัยสงคราม
ชีวิตหรือทรัพย์สิน หากไม่พ้นกฎของกรรม
ท่านก็ช่วยได้เท่านั้น แต่ถ้าหากจักต้องชดใช้
กฎของกรรม ท่านก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน”
“ภิกษุใด นักบวชใด ที่ไม่เชื่อในพุทธคุณ
จงอย่าให้ เพราะเขาไม่เชื่อหรอกว่าเป็นพระธาตุ
พวกนี้อวดว่าตนเองมีความรู้ดี ทั้ง ๆ ที่สังโยชน์ ๑๐
ยังอยู่ครบ จะเป็นเหตุให้เขาต้องโทษปรามาส
พระรัตนตรัยได้โดยไม่รู้ตัว”
“สำหรับฆราวาสที่เชื่อถือในพุทธคุณ ก็ให้เขา
ไปบูชาได้ บอกว่ามีอานุภาพป้องกันภัยสงคราม... -
ตะลึง! ยอดคนดูล้านกว่าคน! เพียงวันเศษ " ศพไม่มีญาติเผาให้ฟรี คนอยากบวชบวชให้ฟรี" ที่วัดบางมดโสธราราม
ที่แฟนเพจ ของเรา พลังจิต Palungjit.org พุทธศาสนาและธรรมะ
ได้โพสรูปด้านล่าง ทั้งสมาชิกและชาว Facebook แห่กันกดไลค์กดแชร์
เพียงวันเศษๆ ยอดคนเข้าดู 1ล้านกว่าคน
วัดบางมดโสธราราม
ศพไม่มีญาติ ทำพิธีเผาให้ฟรี
คนอยากบวช
แต่ยากจนไม่มีเงิน
บวชให้ฟรี
ติดต่อ พระครูพิศุทธิ์จันทรังษี
เจ้าอาวาธวัดบางมดโสธราราม
โทร 099 413 3323
หน้า 399 ของ 414