คลังเรื่องเด่น
-
สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ได้อานิสงส์อานุภาพแรงมาก
หากพูดเรื่องการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ทุกคนก็นึกถึงพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหลายที่อยู่ตามวัดวาอาราม หรือผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น จริงๆ แล้วการสวดมนต์ไหว้พระ ควรเป็นข้อปฏิบัติประจำของเหล่าชาวพุทธทั้งหลาย โดยเฉพาะการสวดมนต์ ไหว้พระในวันวันธรรมสวนะ หรือวันพระ หากเราพิจารณาความสำคัญของการสวดมนต์โดยเปรียบเทียบกับทุกศาสนา เราจะพบว่ามีปฏิบัติกันถ้วนหน้าทีเดียว ชาวคริสต์ต้องเข้าโบสถ์สวดมนต์
ทุกวันอาทิตย์ อิสลามิกชนก็จะมีการสวดมนต์ทุกวันสำคัญ และมีการละหมาดวันละ 6 เวลาทีเดียว เบื้องต้นน่าจะเห็นพ้องต้องกันว่าการสวดมนต์เป็นสิ่งที่ดี แต่คำถามที่มักจะได้ยินเสมอว่าก็คือ ดีอย่างไร
หากเรามองย้อนไปในอดีตตอนพวกเราๆ เป็นเด็ก จะพบว่าในรุ่นปู่ย่า ตายายของเรา แทบจะทุกคนที่จะไปวัดเพื่อสวดมนต์ ไหว้พระในวันพระเสมอ และยังมีการสวดมนต์ที่ค่อนข้างยาวทีเดียวก่อนนอนทุกวัน
หลายผู้อาจจะไปนั่งพนมมือด้วย หลายผู้ก็นอนฟังแล้วก็หลับไป หลายผู้อาจถูกปลูกฝั่งให้ปฏิบัติเอาเยี่ยงบ้าง
ก็มีผมเคยถามท่านทั้งหลายในรุ่นนั้น ว่าสวดมนต์ ไหว้พระแล้วได้อะไร ก็มักจะได้คำตอบว่า “ มันดี ”ทำให้ชีวิตดี หรือชีวิตมีสิริมงคล... -
การเข้าพระนิพพานในวิธีที่ง่ายและลัดตรงที่สุด โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
***การเข้าพระนิพพาน***
ในวิธีที่ง่ายที่สุด ลัดตัดตรงที่สุด
โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
สำหรับการที่จะเข้าพระนิพพานนั้น...
จิตจะต้องถูกฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี ซึ่งก็แยกย่อยออกไปได้หลายวิธี...
แต่วิธีที่ง่ายที่สุด ลัดตัดตรงที่สุด คือ...
1. ไม่สงสัย เชื่อมั่น และเคารพ
พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด (สุดจิตสุดใจ) ตลอดชีวิต
... ซึ่งความเชื่อนี้ รวมไปถึงพระธรรมคำสอนในข้อที่ว่า...
นิพพานัง ปรมัง สุขัง...
*พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง*
นิพพานัง ปรมัง สูญญัง...
พระนิพพานเป็นที่ที่สูญจากกิเลส จากอวิชชาทั้งมวล
จากพระธรรมทั้ง ๒ ประโยคนี้...
ทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่า พระนิพพานเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง
ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประทับอยู่จริง...
เมื่อเราเชื่อมั่นอย่างสุดจิตสุดใจว่า พระนิพพานมีจริง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระองค์อยู่จริง...
การที่เราจะได้มโนมยิทธิหรือไม่นั้น... ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด...
สิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ความเชื่อมั่น...
เชื่อมั่นว่าพระนิพพานมีอยู่จริง...
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีอยู่จริง...... -
ผลกรรมผู้หญิงแต่งกายไม่สำรวมเข้าวัด
ผู้หญิงเข้าวัดแต่แต่งตัวไม่สำรวม
ผู้หญิงที่เข้าวัดแต่แต่งตัวไม่สำรวมอวดเนื้อหนังให้พระหวั่นไหวต่อไปจะได้รับ
ผลกรรมอย่างไร...?
ขอบเขตของคำถามที่ว่า ‘แต่งกายไม่สำรวม’ เข้าวัดนั้น อาจทำให้เพ่งโทษคับแคบ ต้องค่อยๆ
มองให้คลุมข้อเท็จจริงตามลำดับครับ
โดยความเป็นเพศหญิง มีธรรมชาติดึงดูดใจ หรือล่อตาอยู่ในตัวเองเดินๆไปถ้าเป็นที่สนใจได้ก็ถือว่ามีรูปสมบัติอันพึงมีสมเพศตนถ้าวันไหนแต่งองค์ทรงเครื่องได้ถึงขนาดชายหญิงมองเหลียวหลังกันทั่วทุกหัวระแหงก็จะยิ่งภาคภูมิเต็มอิ่มประมาณเดียวกับที่นักวิ่งเข้าเส้นชัยได้เป็นคนแรกทีเดียว
ฉะนั้นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาดีเกือบทุกคนจึงอดไม่ได้กับการอยากทดสอบเสน่ห์ของตนแล้ว
อะไรจะเป็นเครื่องทดสอบได้ดีไปกว่าผู้ประกาศตนว่าสละเรื่องทางเพศแล้วไม่สนใจเพศหญิงอีกแล้ว
สมัยนี้พระทั่วไปไม่ใช่เครื่องทดสอบที่น่าท้าทายอะไรนักเนื่องจากข่าวฉาวที่ประดังเข้าหูเข้าตาผ่านหน้าหนังสือพิมพ์แทบไม่เว้นแต่ละวันทำให้ผู้หญิงยุคใหม่มองพระไม่ต่างจากชายนุ่งกางเกงนอกวัดทั้งหลายหากทำให้สนใจได้ยังไม่ถือว่าแน่อะไรนัก... -
ของฝากจากพระยายม...เรื่อง "วันหยุดนรกการ"
ภาพ : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง และ พ่อหลวงของเรา
ของฝากจากพระยายม
(เรื่อง การอุทิศส่วนกุศล ท่านพระยายม (ลุงพุฒิ) ท่านมาสั่งให้หลวงพ่อบอกลูกหลาน เมื่อวันปวารณาออกพรรษาปี ๒๕๓๑ ซึ่งหลวงพ่อได้เล่าให้ฟังดังนี้)
หลวงพ่อ : พระยายมกับท่านลุง (นายบัญชี) มาเที่ยววันออกพรรษา
พระยายม กับท่านลุงฯ บอกว่า “คนที่ผมจะช่วยได้ ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักผมเท่านั้นนะ!”
ถามท่านว่า “ลุงมีข่าวอะไรส่งข่าวบ้างละ?”
ท่านบอก “ไม่มี! ผมหยุดนรกการ ๓ วัน”
รู้จักไหม… ชาวบ้านเขาหยุดราชการ ใช่ไหม..ท่านหยุดนรกการ ๓ วัน เมื่อวานนี้ (ออกพรรษา), วันนี้ (ปวารณา), และพรุ่งนี้
ถาม “ทำไม?”
ท่านบอก “วันสำคัญนี่ วันมหาปวารณาผมไม่สอบสวน”
เลยถามว่า “ถ้าเวลาที่ลุงไม่สอบสวน พวกที่คอยการสอบสวนเขามีอิสระใช่ไหม…?”
ท่านบอกว่า “ตามปกติเขาก็มีอิสระอยู่แล้ว ไอ้ที่ไปยืนที่นั่นเขายืนรอคนไม่ให้ลงนรกเท่านั้นเอง”
คือ ท่านมีหน้าที่ไม่ให้ลงนรก แต่ก็ต้องไปตามกฎของกรรม ถ้ารู้กฎของบุญนิดหนึ่งท่านให้ไปสวรรค์ก่อนเลย.. ท่านจัดอย่างนั้น.
เลยถามท่านว่า “ถ้าเขามีอิสระอย่างนี้เขาไปได้ไหม?”
ท่านบอกว่า “เขาไปไหนก็ได้... -
ตรวจศีล (ศีลขาด ศีลทะลุ ศีลด่าง ศีลพร้อย)
ตรวจศีลข้อ1
ศีลข้อ 1 ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
ศึกษาสมาทานเพื่อการลด งด เว้นขาดจากโทสะ
เจตนารมณ์ศีลข้อ 1 เพื่อล้างโทสะ ละเบียดเบียน
ศีลขาด
คือ เจตนาทำชีวิตสัตว์ให้ตกร่วง และแสดงออกซึ่งอาการโทสะทางกาย เช่น เตะหมา ตีแมว ต่อยคน ประทุษร้ายใครด้วยความโกรธ ฯลฯ (อริยกันตศีลเป็นศีลละเอียดกว่าศีลสามัญญตา)
ศีลทะลุ
คือ เจตนากล่าววาจาด้วยโทสะ หรือโกรธ เช่น สั่งฆ่า สั่งทำร้าย หรือพูดกระแทกแดกดัน ยั่วกันด้วยโทสะ ด้วยความไม่ชอบใจ หมั่นไส้ และวาจาใดอันอดมิได้ต่อโทสะภายใน
ศีลด่าง
คือ มีใจโกรธ อึดอัด ขัดเคือง อาฆาต พยาบาท ถือสาชิงชัง รังเกียจ ไม่ชอบใจหรือปรุงใจเป็นไปด้วยโทสะ (ยังครุ่นคิดแค้น คิดทำร้าย คิดทำไม่ดีไม่งามกับผู้อื่นอยู่)
ศีลพร้อย
คือ มีใจเบื่อ ซึม เซ็ง ซังกะตาย ถดถอย ท้อแท้ ไม่ยินดี โลกนี้เป็นสีเทา (อรติ)
เป็นไทโดยศีล
คือ ขัดเกลาตนจนอิสระเสรี ไม่มีความพร้อย ความด่าง ความทะลุ หรือขาดทางศีลธรรม โดยเฉพาะสายโทสะละเบียดเบียนนี้ ซึ่งจะรู้ชัดได้ดี เมื่อมีเมตตาสมาทานอย่างต่อเนื่อง
ตรวจศีลข้อ2
ศีลข้อ 2 อทินฺนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
ศึกษาสมาทานเพื่อการลด งด... -
เทวดาที่วัดบวรฯ
บทความนี้นํามาจาก อารยาฟอรั่ม • View topic - เทวดาที่วัดบวรฯ
วันเสาร์ที่ผ่านมาดิฉันได้นำอาหารไปถวายพระสงฆ์ที่วัดใกล้บ้านเช่นที่เคยทำทุกสัปดาห์
ปกติท่านเจ้่าอาวาสจะเทศนาเป็นภาษาอังกฤษแก่ผู้ที่ภาษาไทยไม่แข็งแรง(รวมทั้งลูกๆ
ของดิฉันด้วย) แต่สัปดาห์นี้ ท่านตอบคำถามของคุณแม่สามีของดิฉัน
คุณแม่เป็นคนที่กลัวผีมาก และเพิ่งกลับจากไปเที่ยวที่ Smoky Mountains, Tennessee
ท่านเล่าว่าถูกคนดึงขาถึงสองคืนที่พักอยู่ที่นั่น พบว่าโรงแรมสร้างอยู่ข้างๆสุสาน ท่านจึง
ถามว่า "ผี" มีจริงหรือไม่? ท่านเจ้าอาวาสจึงกล่าวว่า "อาตมามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง แล้วโยม
คิดกันเอาเองว่า "ผี" มีจริงหรือไม่? แล้วท่านก็เล่าเรื่องเป็นภาษาอังกฤษ ที่แปลเป็นไทย
ได้คล้ายๆแบบนี้
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2510 ได้มีชาวต่างชาติคนหนึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทย
ชาวต่างชาติผู้นี้มีความนิยมชมชอบในวัฒนธรรมไทย และยังศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่าง
แรงกล้า เมื่อมาอยู่เมืองไทยจึงชอบที่จะไปท่องเที่ยวตามวัดวาอารามต่าง ๆ
อยู่มาวันหนึ่งฝรั่งต่างชาติคนนี้ก็นั่งแท็กซี่มาที่วัดบวรนิเวศฯ แต่เช้าตรู่ รถก็พามาจอดตรงประตูทางเข้าพระอุโบสถ... -
พระอดีตวงศ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้มาตรัสรู้ในอดีตกาล
พระอดีตวงศ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ได้มาตรัสรู้ในอดีตกาลอันยาวนานหาที่สุดไม่ได้
พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า จำนวนพระพุทธเจ้ามีมากมาย
กว่าจำนวนเม็ดทรายในมหาสมุทร
เรียนเชิญผู้สนใจศรัทธาทุกๆท่านมาร่วม
ศึกษาและหาข้อมูลเท่าที่พอจะหาได้เกี่ยวกับ
พระพุทธเจ้าในอดีตกาลย้อนหลังไปอนึงเพื่อระลึกถึง
พระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
ในอดีตที่ได้มาตรัสรู้อันเป็นกระแสสายธารแห่งพุทธวงศ์
และเหล่าหน่อเนื้อพุทธภูมิมาจนถึงปัจจุบัน
และเรื่อยไปถึงเหล่าพุทธวงศ์ในอณาคต
ทั้งนี้ขอเรียนเชิญท่านทั้งหลายมาศึกษา
เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตกาล
เพื่อได้รับทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตกาล
และเพื่อน้อมถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆะบูชา
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ...
น้อมถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา
แก่พระรัตตรัย แต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต -
หลวงปู่คำคะนิงพบนางแบบลงนรก
หลวงปู่คำคะนิงเดินเที่ยวชมเมืองนรกต่อไป เห็นสถานที่แห่งหนึ่ง สว่างไสวรุ่งเรืองดุจแสงฟ้าแลบอยู่แปลบปลาบ เป็นยกพื้นเวทีกว้างคล้ายสะพานทอดยาวโค้งลงไปในสระน้ำอันกว้างใหญ่ สระน้ำนั้นลุกไหม้เป็นเปลวไฟแดงฉานโชติช่วง น่าสะพรึงกลัว ก็รู้ว่าเป็นขุมนรก
บนสะพานนั้นมีหญิงสาวรูปร่างอรชรสวยงามจำนวนมาก พากันเดินออกจากเวทีมีม่านผืนใหญ่มหึมา หญิงสาวเหล่านั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงาม เดินนวยนาดลงจากเวที ทอดแขนทอดขามาตามสะพาน
จ่ายมบาลอธิบายว่า มนุษย์ผู้หญิงเหล่านี้เป็นพวกนางงามนางแบบ กำลังเดินโชว์ร่างกายและเสื้อผ้า หลวงปู่คำคะนิงยืนงุนงงประหลาดใจยิ่ง
นางงาม นางแบบ เสื้อผ้าอาภรณ์อันสวยงามฉูดฉาดสะดุดตาเหล่านั้น เดินเรียงรายตามกันออกไปยืนอยู่กลางสะพาน แล้วเยื้องกรายเปลื้องเสื้อผ้าออกก่อน เหลือแต่ร่างเปลือยล่อนจ้อนอุจาดนัยน์ตา แต่ละนางร่างสวยงามด้วยส่วนสัดปานนางฟ้า
จากนั้นก็มีนกอินทรีตัวใหญ่บินมาจากไหนไม่รู้ นัยน์ตานกอินทรีแดงฉานพวยพุ่งออกมาเป็นเปลวไฟ มันบินมาตรงหน้าหญิงสาวแต่ละนางที่ยืนเปลือยกายอยู่
แล้วใช้จะงอยปากอันคมกริบจิกเข้าที่หน้าผากหญิงสาว กระชากทีเดียว... -
หลวงพ่อสด สอนเรื่องนิพพานแก่หลวงพ่อฤาษี..
หลวงพ่อสด สอนเรื่องนิพพานแก่หลวงพ่อฤาษี
อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์
วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตนแล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว... -
ผู้พิพากษาตายแล้วไปเกิดเป็นเวมาณิกเปรต
ตายจากคนเป็นผู้พิพากษาแล้วไปเกิดเป็นเวมาณิกเปรต
โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)
จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน
"..สำหรับเรื่องราวของเปรต อาตมาได้นำเอาเรื่องเปรตประเภทที่ท่านทั้งหลายไม่ได้คิดว่าเป็นเปรตมาเล่าสู่กันฟัง ในพระบาลีกล่าวว่า ในสำนักแห่งพระราชาธิบดีทรงพระนามว่า "พระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์" พระบาทท้าวเธอทรงปกครองมคธรัฐ หรือที่เรียกว่ากรุงราชคฤห์มหานคร จัดว่าเป็นกษัตริย์องค์แรกที่นับถือพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงแต่งตั้งบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมีปัญญามีความรู้ให้เป็น ผู้พิพากษาชำระอรรถคดี ท่านผู้นี้ในตอนต้นก็มีอุดมการณ์ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต ทำกิจการงานด้วยความซื่อตรงไม่มีความประสงค์ในการที่จะคดโกงอะไรทั้งนั้น ต่อมาในภายหลังเมื่อมีคนมาหาบ่อยๆ เขาต้องการชนะคดีก็มากราบมาไหว้ เอาเงินเอาทองมาให้ อาศัยที่ท่านผู้พิพากษาผู้นี้เป็นคนใจอ่อนมีเมตตาในด้านความชั่ว ต่อมาจิตใจของตนก็เกิดความโลภเข้ามาครอบงำจิต ติดในทรัพย์สินเป็นสำคัญ จึงประพฤติผิดในหน้าที่ คดีใดที่ควรจะแพ้แต่ถ้าเขาให้เงินมากก็ตัดสินให้ชนะ คดีใดที่ควรจะชนะแต่ทว่าไม่ให้เงินก็ตัดสินให้แพ้ เป็นการรับสินบน... -
อานิสงส์ของการเพ่งกสิณ
อานิสงส์ของการเพ่งกสิณ
Advantage of Kasina's Meditation
การทำสมาธิด้วยวิธีเพ่งกสิณ ถือว่าเป็นกรรมฐานอันดับหนึ่งที่ให้จิตมีอานุภาพเกิดขึ้นมากมายยิ่งกว่ากรรมฐานอย่างอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวอภิญญาอภินิหารทั้งหลาย ล้วนแต่เกิดขึ้นจากอำนาจของกสิณทั้งสิ้น ยกตัวอย่างอภิญญาที่เกิดขึ้นกับพระพุทธองค์และพระสาวกทั้งหลาย โดยมากจะเกิดด้วยอำนาจของกสิณ ทั้งที่เกิดขึ้นด้วยกสิณที่เจริญโดยตรงในชาตินี้ และทั้งที่เกิดโดยอ้อมจากกสิณในอดีตชาติส่งให้เกิดเมื่อบรรลุธรรมถึงที่สุดแล้ว ตามหลักฐานแล้วผู้เพ่งกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งมามีอานิสงส์ที่จะได้จากการเพ่งกสิณหลายอย่างด้วยกัน คือ
อานิสงส์ข้อที่ 1 การเพ่งกสิณสามารถทำจิตให้เป็นสมาธิได้เร็ว และตั้งมั่นอยู่ได้นานกว่ากรรมฐานอื่น ๆ ทั้งหมด ทั้งนี้เพราะการเพ่งกสิณเป็นการฝึกจิตด้วยวิธีการใช้กสิณเป็นสื่อเพื่อดึงจิตให้จับอยู่กับกสิณนั้น ๆ และเมื่อจิตจับอยู่กับกสิณนั้นนานๆ จิตจะสามารถเก็บเอาภาพของกสิณนั้นเข้าไปไว้ในสัญญาของเราได้ ภาพที่จิตของเราเก็บเอามาจากกสิณนั้น เราเรียกว่า นิมิต (Mental Image) ซึ่งถ้าหากจิตเก็บไว้ได้ดีภาพนั้นจะชัดเจนมาก... -
ทำไมต้องทำพิธีบวงสรวงในวัน "เสาร์ห้า" ?
ภาพประกอบจากเว็บวัดท่าขนุนดอทคอม
ทำไมต้องทำพิธีบวงสรวงในวัน "เสาร์ห้า" ?
ถาม : บวงสรวงทำไมถึงต้องวันเสาร์ห้า ?
ตอบ : วันเสาร์ห้า ตามสายครูบาอาจารย์ท่านถือเป็นวันไหว้ครู พิธีบวงสรวงก็เหมือนกับรำลึกถึงครูบาอาจารย์ที่มีเมตตากรุณา สั่งสอนพวกเราสืบ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ลักษณะของงานบวงสรวงที่ทำ ก็ไหว้ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา เพราะพระพุทธเจ้าต้องเป็นครูใหญ่อยู่แล้ว
ถาม : วันเสาร์ห้านี้คืออะไร ?
ตอบ : วันเสาร์ขึ้นห้าค่ำ ถ้าได้เดือนห้ายิ่งดี ถ้าไม่ได้เดือนห้า เดือนไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นข้างขึ้น คือ ตามสายครูบาอาจารย์เขากำหนดมาอย่างนั้น
ถาม : ไม่มีเหตุผลเลยหรือคะ ?
ตอบ : มี..แต่ว่าเหตุผลนี้ยิ่งยอมรับยากใหญ่ อย่างเช่น วันเสาร์ห้านี้เป็นวันแข็ง เป็นวันที่กำลังสูง ถ้าทำอะไรผลประโยชน์ก็จะได้มาก
ถาม : ใช่ ๆ คือ คนนั้นชอบบอกแต่ว่ากำลังสูง วันแข็ง คำว่า “กำลังสูง” คำว่า “วันแข็ง” นั้นจริง ๆ แล้ว หมายถึงอย่างไร ?
ตอบ : อยู่กับช่วงระยะจังหวะเวลาการโคจรของดวงดาวเรา ต้องยอมรับว่าโลกของเรามีพลังงาน ดวงดาวทุกดวงมีพลังงานอยู่ จังหวะนั้น วาระนั้น เวลานั้น พลังงานจะหนุนเสริมกันมาสูงกว่าจังหวะอื่น... -
กรรมที่ทำให้เป็นนายนิรยบาลโดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
สนทนาสายลม 7
วันจันทร์ที่10 มีนาคม 2523
ญาติโยมถามว่าเดือนเมษาจะมาเมื่อไหร่ ก็ตอบว่า เฮ้ย วันเกิดท่านเจ้ากรมก็ควรจะแจกเหรียญวันเกิด ก็ควรจะแจกเหรียญวันเกิดด้วย ก็เลยยอมรับว่าเขาว่า แจกเท่าที่มีนะ มี 1เหรียญคนมาแสนคนก็แจกพอ ก็ถือเอาไว้เฉย (หัวเราะ) ใช่ไหม เป็นอันว่าวันนั้นเหนื่อยมาก เอ้ ญาติโยมพุทธบริษัทนั่งนิ่งสงบก็อยากจะนอนสักหน่อยก็ไม่ได้ไป ปรากฏท่านมากันเต็ม เอ้ คุยกันไปคุยกันมาท่านก็บอกว่า เออ วันนี้ จิตใจของเขาดีมาก แต่ความจริงละเอียดมีมาก ก็มีท่านที่มาใหม่ท่าน บางทีท่านก็ตั้งอารมณ์ไม่ถูกอยู่บ้างไม่กี่คน แค่คนสองคน ไม่ใช่ว่าทำถูกหรือทำผิดหรอกแต่ว่าอารมณ์นั้นยังไม่ทรงตัว นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่คุยกันเป็นพิเศษ พอญาติโยมสงบปั๊บก็มีแขกพิเศษมาสองท่าน นั้นคือ ท่านพระยายมกับท่านนายบัญชีใหญ่ งัดบัญชีเล่มเบ้อเร่อเลย
ถาม ทำไมจะทวงหนี้หรือไง
ก็บอก เอ้าก็คุณบอกว่าเขามีก็บัญชีกัน ผมก็แบกบัญชีมา
แล้วถามท่านว่า ความจริงบัญชีมันมีไหม
ท่านบอก เทวดาไม่เจ๊กขายกระดาษ แหม พ่อค้าระยำจริงๆ ถ้าไปขายที่นั้นไม่รู้รวยก็ไม่รู้จักไปขาย... -
คำอธิษฐานปีใหม่ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
คำอธิษฐานปีใหม่ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ก่อนวันขึ้นปีใหม่ หลวงพ่อแนะนำ ให้อธิษฐานอย่างนี้
ใกล้เวลา 5 ทุ่ม 45 นาที ใกล้ๆจะ 6 ทุ่ม(เที่ยงคืน)ใช่ไหมเล่า ก็ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป บูชาพระ นึกถึง
พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ เทวดา และพระพรหม ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทั้งหมด บูชาท่านขอลาภ
'' ขอให้ความซวยทั้งหมด ความยากจน จงไปกับปีเก่า แล้วความรวย ความดี ความโชคดี จงมากับปีใหม่ ''
หลังจากนั้นก็ ภาวนา พระคาถาเงินล้าน เรื่อยๆไป พอนาฬิกาตีเป๊ง ขึ้นปีใหม่
" ขอให้ความซวย จงหายไปพร้อมกับปีเก่า ฉันต้องการความรวย จากปีใหม่ "
แต่ถ้าทำตามน้ำทุกวันจะดีมากเลย จะมีการทรงตัว เงินจะเหลือใช้ ทำทุกวันดีกว่า
จะทำเป็นสมาธิ เวลาใดก็ได้ นั่นดีมากนะ ต่อไปจะรวยใหญ่
พระคาถาเงินล้าน
ตั้งนะโม 3 จบ
นาสังสิโม
พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม
มิเตพาหุหะติ
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระ อิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม
สัมปะติจฉามิ
เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ... -
รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า
พึ่งได้เข้ามาในส่วนนี้ของเวบ ยังไม่เห็นมีกระทู้โดยตรงเกี่ยวกับหลวงพ่อตอบปัญหา มีก็แต่ตอบเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วจบไป เลยขอตั้งกระทู้นี้โดยรวบรวมปัญหาต่างๆที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาลงรวมไว้ในกระทู้เดียว
รวมถึงเรื่องราวต่างๆของหลวงพี่นันต์ท่านได้เล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อเอาไว้ในคอลัมภ์จากคำบอกเล่า
ถ้าเป็นการซ้ำกับกระทู้อื่นที่เคยมีมาก่อนแล้วต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน.538477/ -
" เมตตา แผ่ให้ได้ผล "
พุทธศาสตร์ศึกษาโดยวิธีอุปมาอุปมัย
เรื่อง "วิธีทำบุญให้ได้ผลที่สุด" (ตอนที่ ๕ การแผ่เมตตา)
พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์
ข้อปฏิบัติประการหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ของผู้ที่ปฏิบัติธรรม หลังจากการสวดมนต์ภาวนา และปฏิบัติกัมมัฏฐานแล้ว คือ "การสวดแผ่เมตตา" ซึ่งมีบทสวดเป็นภาษาบาลีที่อ่านเป็นไทยได้ว่า "สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ สัพเพ สัตตา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ" แปลเป็นไทยได้ว่า "สัตว์โลกทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น จงอย่ามีเวรซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด จงอย่าพยาบาท เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงอย่ามีความลำบาก จงอย่ามีความเดือดร้อน จงอย่ามีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย"
การสวดแผ่เมตตานี้เป็นบุญกิริยาอย่างหนึ่งจัดอยู่ในประเภท "การทำทาน" ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่ ๒ และเป็นกิจกรรมที่มีส่วนช่วยให้เจตสิกของท่านผู้นั้นได้รับการฝึกและพัฒนาเกิดเป็น "อัปปมัญญาเจตสิก" ที่เฝ้าคอยกระตุ้นจิตให้ระลึก มีอารมณ์มีความสงสารเห็นใจผู้ที่กำลังได้รับทุกข์เวทนา... -
เคราะห์กรรมของคนช่างนินทา
เคราะห์กรรมของคนช่างนินทา
เรื่องโดย วารี
คุณเคยได้ยินกลอนบทนี้ของท่านสุนทรภู่บ้างไหม
“อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แค่องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา”
แม้คำนินทาจะอยู่คู่โลกทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ดิฉันก็ไม่คิดว่าการพูดนินทาคนอื่นจะเป็น “กรรม” หนักหนาสาหัสอะไร เพราะใครๆก็คงเคยพูดนินทาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจกันมาบ้าง
ครั้งหนึ่งดิฉันเคยไปฟังพระเทศน์เกี่ยวกับการนินทา พระท่านเป็นผู้มีความรู้ จึงคิดบัญญัติศัพท์เกี่ยวกับการนินทาด้วยคำชวนหัวว่า นินทาวิทยา ( Gossipology ) ตามความหมายและคำแปลจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานให้ความหมายว่า นินทาคือ “คำติเตียนลับหลัง”
แต่พระท่านว่า หากพิจารณาจากที่ไปที่มาและสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่ในสังคมอาจหมายรวมไปถึงการตำหนิ เพราะผู้พูดไม่ชอบใจ ผู้พูดไม่สบอารมณ์ และไม่ตำหนิต่อหน้าหรือไม่ได้ว่ากล่าวตักเตือนต่อหน้า แต่กลับนำเรื่องของเขาไปตำหนิลับหลัง ทั้งๆที่เขาเป็นคนดี ทั้งๆ ที่เขาทำดีอยู่แล้ว เพราะการนินทาหมายถึง การเล่าเรื่องในทางที่ไม่ดี เล่าเรื่องในแง่ที่ไม่ดีของคนอื่นลับหลัง... -
หลวงปู่ดู่สอนศิษย์เรื่อง กรรมทางวาจา
หลวงปู่ดู่สอนศิษย์
หลวงปู่ท่านมักกล่าวถึงมงคลที่สำคัญที่ท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้
นำไปปฏิบัติ คือ มงคล 38 ประการ มงคลที่ท่านพูดถึงบ่อย ๆ
นั่นคือ สัมมาวาจาชอบ คือ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล
ท่านว่าคนส่วนมากมักสร้างกรรมทางวาจา เพราะกรรมนี้สร้างได้ง่าย
แต่เขาไม่รู้หรอกว่าผลของกรรม เมื่อส่งผลจะร้ายแรงเพียงไร
คำพูดนั้นสำคัญมาก บางคนพูดไม่ดีกับผู้อื่น
จนเป็นเหตุถึงโกรธเกลียดกันชั่วชีวิตก็มี
บางรายคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ไม่พูดกันไปหลายปี
คนส่วนมากที่ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือทะเลาะกันจนไปถึงฆ่ากันตาย
ก็เพราะคำพูดที่ไม่ดีนี่แหละ
หลวงปู่ท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดีกับใครเขา
ถ้ามีคนมาว่าหรือด่าเราแต่เราไม่ว่าหรือด่าเขาตอบมันก็จะไม่มีเรื่องกัน
แต่ถ้าแกไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่ ท่านสอนศิษย์เสมอว่า
อย่าไปพูดทำลายความหวังของใครเขา
เพราะนั้นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่เขามีอยู่
ถ้าแกไปพูดเข้าเมื่อไหร่กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเอง
ท่านบอกไว้อีกว่า คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่นรวมไป
ถึงการพูดไม่ดีต่าง ๆ กับคนอื่นนั้น กรรมจะมาเร็วมาก
เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรูทั้งภายนอกและภายใน
ไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป... -
พระคาถาล้างกรรม หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
พระคาถาล้างกรรม หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
พระคาถานี้คุณยายฟื้น ข้างวัดบางนมโคท่านมักมาขึ้นพระกรรมฐานกับหลวงปู่ปาน เป็นประจำ วันหนึ่งมีชายสองคนมาคุมร่างแกไปถึงสำนักพระยายมราชเมื่อตรวจดูก็รู้ว่าเอามาผิดคน ท่านพระยายมราช จึงให้เอาไปส่งก่อนกลับท่านได้ฝากสองคาถานี้ให้นำมาถวายหลวงปุ่ปาน วัดบางนมโค คือ๑.คาถาล้างกรรม เพื่อที่ลูกหลานคนใดได้สวดบรรพบุรุษจะบรรเทากรรมหนักลง และ๒.บทกรวดน้ำ ที่สามารถกรวดให้แก่วิญญาณสัมภเวสีให้พ้นทุกข์ เมื่อคืนมายังเมืองมนุษย์คุณยายฟื้น ได้นำมาถวายหลวงปู่ปาน ซึ่งคาถานี้อยู่ในหนังสือเล่มเก่าของวัดบางนมโค ต่อมาคาถานี้ได้หายไปในการพิมพ์หนังสือใหม่ ผมมีต้นฉบับของเก่าเลยถ่ายมาลงเป็นวิทยาทานครับ
คาถาล้างกรรม
(ให้ตั้งนะโม 3 จบ)
*พุทโธ อะระหัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวัณโณ พุทโธ อะระหัง กัมมะโตเมตัง กัมมะภันทะนัง ชีวิตตังให้ไปจุติ ให้ทุกชีวิตทุกวิญาณจงไปผุดไปเกิด (3 จบ)
บทกรวดน้ำ
*อิมินา ปุญญกัมเมนะ ขอเดชเดชะกุศลผลบุญ ที่ข้าพเจ้าอุทิศไปให้คุณบิดามารดา ญาติกาทั้งหลาย สมณชีพราหมณ์ อีกทั้งเรือด ริ้น ลา พระอินทร์เจ้าฟ้า พระโคดม พระพรหมมีฤทธิ์ พระอาทิตย์ พระจันทร์... -
พรปีใหม่จากหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
พรปีใหม่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
คัดย่อจากหนังสือกรรมฐาน ๔๐ หน้า ๒๓๕-๒๔๒
ปีใหม่ก็จะคืบคลานเข้ามาถึง ก็เป็นอันว่าชีวิตของเราก็ล่วงเข้ามาอีก ๑ ปี
ปีใหม่ที่เคลื่อนเข้ามาเราก็จะแก่เข้าไปอีก ชีวิตของเราก็จะเดินเข้าไปหาความดับ
เพราะธรรมดาของชีวิตเมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง
และมีการตายแตกทำลายพันธุ์ไปในที่สุด นี่เป็นกฎธรรมดาของสิ่งมีชีวิตที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ ฯ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โลกมีอันจะต้องฉิบหายไปในที่สุด ไม่มีอะไรทรงตัว
ทีนี้สำหรับเราเหล่าพุทธบริษัท ในฐานะที่ท่านทั้งหลาย เป็นพุทธมามกะ คือนับถือพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ
พระบาลีกล่าวว่า บุคคลผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยย่อมจะไม่สลาย คือ จะต้องไม่พินาศไปด้วยอำนาจของโลก
ซึ่งเต็มไปด้วยความแปรปรวน ฯ
ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงอย่าวางใจ จงอย่าประมาทในชีวิต จงคิดว่าคุณของพระพุทธเจ้า
คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ทั้ง ๓ ประการ จะสามารถทรงเราให้มีชีวิตอยู่ได้ นี่กล่าวโดยเฉพาะ
ถ้าเราสิ้นอายุขัย... -
พระบางรูปบรรลุอรหันต์ แต่ท่านพูดไม่เพราะ เพราะอุปนิสัย (เราควรระวังอย่าตำหนิท่าน)
พระบางรูป บรรลุธรรมะแล้ว แต่ท่านอาจพูดไม่เพราะ เป็นเพราะอุปนิสัยของท่าน อย่าคิดว่าท่าน
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕
ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
๖. ปิลินทวัจฉสูตร
[๗๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล
ท่านพระปิลินทวัจฉะย่อมร้องเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยคำพูดว่าคนถ่อย ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ี่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระปิลินทวัจฉะย่อม ร้องเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยคำพูดว่าคนถ่อย ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า ดูกรภิกษุ เธอจงไปเรียกปิลินทวัจฉภิกษุมาตามคำของเราว่า ดูกรอาวุโสวัจฉะ พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน
ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้วเข้าไปหาท่านพระปิลินทวัจฉะถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านปิลินทวัจฉะว่าดูกรอาวุโส พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ท่านพระปิลินทวัจฉะรับคำภิกษุนั้นแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ... -
อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐมและการสร้างฐานพระ โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม
โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
หลวงพ่อ “ช่างมาถามเกี่ยวกับลักษณะองค์ปฐม
อาตมาบอกสร้างแบบพระพุทธรูปธรรมดา
แต่ต้องอ้วนหน่อยนะ คือมีเนื้อมากหน่อย
ไม่ใช่อ้วนพุงพลุ้ยนะ และก็เวลาลงไปสอนกรรมฐาน
เมื่อเสร็จแล้วเขาก็คุยกันเขาก็ถามปัญหา
ถามไปถามมา เขาถามถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐมว่า
ถ้าจะสร้างจะมีอานิสงส์ยังไง ลุงสองลุง
นายบัญชี กับลุงพุฒิ ท่านมายืนอยู่นานแล้ว
ท่านไม่มีโอกาสคุย เพราะอาตมาขึ้นไปคุยกับพระซะ
ท่านบอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่
เอาบัญชีมาให้ดู บอก นี่…บัญชีเล่มนี้
(คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา)
“บัญชีสีทอง” เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย
ฉันอยากได้บัญชีเอามาขาย
ท่านบอก.. ถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้โดยเฉพาะ
ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่
ต้องเป็นคนมีบุญมาก…หรือไง?
แต่ก็ไม่ได้หมายความต้องเงินมากนะ
คือว่าโดยมากเราจะนึกไม่ถึงกันใช่ไหม
เรานึกกันถึง พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป
แต่ยังไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม ส่วนใหญ่ไปนึกถึง พระศรีอาริย์
ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ใช่ไหม นี่องค์นี้เป็นองค์แรก... -
การกระทบกระทั่งกันของสังคมคนปฎิบัติธรรม - คำสอน หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
ทัศนะต่างกันและอุเบกขาธรรม
หลวงปู่ดู่ พฺรหฺมปัญโญ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
จากหนังสือ พรหมปัญโญบูชา
ทรรศนะต่างกัน
การมาอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกันมากเข้าย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ทิฐิความเห็นย่อมต่างกัน ขอให้เอาแต่ส่วนดีมาสนับสนุนกัน อย่าเอาเลวมาอวดกัน การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจ้วงจาบในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือท่านที่มีศีลมีธรรมก็ดี จะเป็นกรรมติดตัวเราและขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า ดังนั้น หากใครทำความดี ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย แม้ต่างวัดต่างสำนักหรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม ไม่มีใครผิดหรอก เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุด เท่านั้น ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า แล้วเราล่ะถึงที่สุดแล้วหรือยัง
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
อุเบกขาธรรม
การอยากชวนคนมาวัด มาปฏิบัติให้มาก ๆโดยลืมดูพื้นฐานจิตใจของบุคคลที่กำลังจะชวนว่า เขามีความสนใจมากน้อยเพียงใด หลวงปู่ท่านบอกว่า
ให้ระวังให้ดีจะเป็นบาป เปรียบเสมือนกับการจุดไฟไว้ตรงกลางระหว่างคน 2 คน ถ้าเราเอาธรรมะไปชวนเขา เขาไม่เห็นด้วย... -
รวม ธรรมะสั้นๆ เข้าใจง่าย ของครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น - พระป่าธรรมยุติ etc.
"สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้กระทำความผูกพันและมั่นใจในสิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้
ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียวโดยความไม่สมหวังตลอดไป
อนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้นเป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน
อดีตปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตปล่อยไว้ตามกาลของมัน
ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ ไม่สุดวิสัย"
...เถระวาจาหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ
(ปล.จะพยายาม update เรื่อยๆนะครับ
ที่มา: รวบรวมมาจากหลายๆที่ ฯลฯ) -
ทรงฌานในพุทธานุสสติกรรมฐาน
ตามวิสุทธิมรรค ท่านบอกว่าบุคคลใดเจริญกรรมฐานเข้าถึงอุปจารสมาธิ ท่านผู้นี้ตายจากความเป็นคนเลือกสวรรค์กามาวจรทั้ง ๖ ชั้นอยู่ได้ตามชอบใจ
ถ้าว่ากันอย่างนี้ คนที่ได้แล้วก็ไม่หนักใจนัก แต่คนที่ยังไม่ได้ก็หนักใจหน่อย แต่ความจริงคนที่ได้แล้วจะประมาทก็ไม่ได้ เพราะฌานโลกีย์เอาแน่นอนไม่ได้ ฌานโลกีย์ประเดี๋ยวทรงตัว เดี๋ยวก็ไม่ทรงตัว ฉะนั้นเพื่อการปฏิบัติสะดวกของบรรดาท่านพุทธบริษัทเพื่อหวังกามาวจรสวรรค์ คือสวรรค์ ๖ ชั้น
ข้อ ๑. ทุกคนให้มี พุทธานุสสติกรรมฐาน ประจำใจ นั่นก็หมายความว่า ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า การยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าจะให้เกิดความมั่นใจจริง ๆ ก็ต้องมีนิมิตเครื่องหมายว่า เราจะไหว้พระพุทธเจ้า พระพุทธรูปเวลาไหนกันบ้าง
วันนี้ก็ขอแนะนำว่า ก่อนจะหลับ ตอนเย็นงานเลิกแล้วรับประทานอาหารเสร็จพักผ่อนดีแล้ว ก็ตั้งใจบูชาพระพุทธรูปสัก ๑๐ นาที เป็นอย่างมาก ความจริงถ้าจะทำอย่างน้อยแค่ ๒ - ๓ นาที ก็ได้
ขอให้ทำด้วยความตั้งใจจริง ถ้าถามว่าการบูชาทำอย่างไร ก็ขอแนะนำว่าถ้าตั้ง นโม เป็นว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เป็น ว่า อิติปิ โส จบใช้ได้เลย แต่ว่าเวลาว่าตามนั้นให้ตั้งใจว่าด้วยความเคารพ... -
กายในกาย โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
“ กายในกาย ”
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
ใน “มหาสติปัฏฐานสูตร”
พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถึง “กายในกาย” ไว้
สำหรับนักปฏิบัติขั้นต้น ... ก็ถือเอา อวัยวะภายใน เป็น กายในกาย
ส่วนท่านที่ได้ “จุตูปปาตญาณ” แล้ว
(จุตูปปาตญาณ คือ ญาณหยั่งรู้การจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย)
ก็ถือเอา กายที่ซ้อนกาย อยู่นี้เป็น กายในกาย
“กายในกาย” มีได้อย่างไร ?
ขอตอบว่า เป็นกายประเภท อทิสมานกาย
คือ ดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น
ต้องดูด้วย “ญาณ” ... จึงเห็น
ตามปกติ กายในกาย หรือ กายซ้อนกายนี้
ก็ปรากฏตัวให้เจ้าของกายรู้อยู่เสมอ ... ในเวลาหลับ
ในขณะหลับนั้น ฝันว่าไปไหน
ทำอะไรที่อื่น จากสถานที่เรานอนอยู่
ตอนนั้นเราว่าเราไป และทำอะไรต่ออะไรอยู่
ความจริงเรานอน และเมื่อไปก็ไปจริง จำเรื่องราวที่ไปทำได้
บางคราวฝันว่าหนีอะไรมา พอตื่นขึ้น ก็เหนื่อยเกือบตาย
กายนั้นแหละที่เป็น กายซ้อนกาย หรือ กายในกาย
ตามที่ท่านกล่าวไว้ใน “มหาสติปัฏฐาน”
ตามที่ นักเจโตปริยญาณ ต้องการรู้
(เจโตปริยญาณ คือ ญาณหยั่งรู้ใจผู้อื่นได้)
“กายในกาย” แบ่งออกเป็น ๕ ขั้น คือ
๑. กายอบายภูมิ
มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับขอทาน... -
ความเกี่ยวเนื่องกันในการสร้างบารมีของผู้ปรารถนาโพธิญาณ
การปรารถนาโพธิญาณนั้นเป็นเรื่องของผู้ที่มีความต้องการที่จะเป็น พระพุทธเจ้าในอนาคต ต้องขออธิบายให้ทราบกันทั่วหน้าก่อนว่า พระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ มิได้มีเฉพาะพระพุทธโคดม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้เท่านั้น หากแต่ในอดีตกาลล่วงเลยผ่านมาแล้วนั้น ก็ได้บังเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้วมากมายเหลือคณานับ ผู้อ่านหลายท่านอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน แต่ขอให้ เปิดใจ ทำใจสบายๆ ทำความเข้าใจและศึกษาเรื่องของพระโพธิสัตว์ ยิ่งรู้มากขึ้นก็จะสามารถน้อมนำกำลังพลังงานของพระโพธิสัตว์มาใช้ในชีวิตประจำวันได้สามารถช่วยเหลือเราได้ ทั้งทางโลกและทางธรรม โพธิญาณหรือพระโพธิสัตว์ จะทำงานเป็นหมู่คณะ ทำไมจึงพูดเช่นนั้น เป็นเพราะว่าการสร้างบุญบารมีนั้นหากสร้างคนเดียว อานิสงค์ที่บังเกิดจะมีเพียงส่วนเดียว
สำหรับพระโพธิสัตว์ที่มีกำลังและมากไปด้วยปัญญาจะนำพาหมู่คณะสร้างบุญบารมีกันเป็นจำนวนมากเข้าไว้ เนื่องด้วยการสร้างบุญบารมีเป็นหมู่คณะนั้น กำลังบุญของแต่ละคนมีมากอยู่แล้ว กำลังบุญทั้งหมดทั้งมวลจะรวมกระแสกันเป็นมหาบุญ มหากุศลมีกำลังมาก... -
อานิสงส์การลอยกระทง โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ วันลอยกระทง
อานิสงส์การลอยกระทง
โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ก่อนที่เราจะลอยกระทงก็จงตั้งใจบูชาพระรัตนตรัยก่อน
และหลังจากนั้น ก็ขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดา
ที่เราได้เคยปรามาสในพระรัตนตรัย ถ้าเราไม่เคยปรามาส
โทษอันใดของเราก็ไม่มี ทำจิตของเราให้ผ่องใส
และที่เคยปรามาสแล้ว ถ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา
ทรงสงเคราะห์ยกโทษให้เราก็หมดไป กำลังใจของเราก็พึงมีแต่กุศล
เอาล่ะบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนโดยถ้วนหน้า ถ้าจะถามว่าลอยกระทง
มีอานิสงส์อย่างไร ก็ขอกล่าวว่า
อานิสงส์การลอยกระทง ถ้ากำลังใจของท่าน ทำด้วยกำลังใจเป็นกุศล
ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนยังอ่อนที่จะต้องเร่ร่อน
ไปในวัฏสงสาร อย่างน้อยที่สุดทุกท่านก็เกิดเป็นเทวดา
เพราะอำนาจของพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ
ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทมีความมั่นคง
จิตตั้งตรงเป็นฌาน ท่านก็เกิดเป็นพรหม
ถ้าบุคคลใดไม่นิยมในร่างกายของตน เห็นว่าองค์สมเด็จพระทศพล
ทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ มีความดีประเสริฐสุดยิ่งกว่ามนุษย์ เทวดา
และพรหม ขันธ์ ๕ ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังพัง
เราก็คิดว่า...
หน้า 1 ของ 407