CTR (Click Through Rate) คืออะไร ทำไมนักการตลาดต้องรู้

ในห้อง 'คอมพิวเตอร์ & อินเตอร์เน็ต' ตั้งกระทู้โดย monkeydluffy, 21 พฤศจิกายน 2022.

  1. monkeydluffy

    monkeydluffy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2022
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +1
    CTR คืออะไร? CTR ย่อมาจาก Click Through Rate นับเป็นศัพท์ที่นักการตลาดออนไลน์ หรือคนในแวดวงดิจิทัลหลายคนเคยได้ยินและพบเจออยู่บ่อยๆ CTR ถือว่าเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับการยิงโฆษณาธุรกิจของคุณ ค่า CTR จะช่วยบอกให้คุณรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นคุ้มค่าหรือไม่ สามารถนำมาพัฒนาหรือปรับปรุงอย่างไรได้บ้าง

    ในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Click Through Rate หรือ CTR ว่า CTR คืออะไร? สำคัญแค่ไหน CTR ที่ดีควรมีลักษณะแบบใด รวมถึงตอบคำถามยอดฮิตอย่าง CTR Facebook ต่างกับ CTR Google ไหม? CTR กับ Conversion Rate แตกต่างหรือเหมือนกัน? ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันเลย!

    GT0Wp8.jpg

    CTR คืออะไร
    CTR (Click Through Rate) คือ อัตราการคลิกต่อจำนวนการมองเห็น หรืออัตราส่วนที่แสดงว่าผู้ที่เห็นโฆษณาของคุณคลิกเข้ามาที่โฆษณาบ่อยเพียงใด อาจกล่าวง่ายๆ ว่าเป็นตัวชี้วัดในการดูอัตราการคลิกโฆษณาหรือเว็บไซต์ ต่อจำนวนการมองเห็นของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต หากค่า CTR ยิ่งสูงแสดงว่าโฆษณาของคุณมีความน่าสนใจ น่าดึงดูด หรือมีประโยชน์ เมื่อเห็นแล้วผู้ใช้งานอยากคลิกเข้ามาดูรายละเอียดต่อ โดยค่า CTR สามารถใช้วัดประสิทธิภาพของโฆษณา คีย์เวิร์ด ข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงต่อไปได้



    GT0NsP.png

    สูตรคำนวณ CTR
    การคำนวณค่า CTR คือการคำนวณเพื่อหาอัตราการคลิก เพื่อวัดประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ด โฆษณา และข้อมูลต่างๆ โดยสูตรคำนวณ CTR (Click Through Rate) มีดังนี้

    อัตราคลิก = (จำนวนการคลิก หาร จำนวนการแสดงผล) คูณ 100
    หรือ Click Through Rate = (Click / Impressions) * 100
    ตัวอย่างเช่น : CTR = 30% หมายถึง
    • คนเห็น (Impression) จำนวน 1,000 คน
    • คนคลิก (Click) จำนวน 300 คน
    ความสำคัญของ CTR (Click Through Rate)
    ความสำคัญของ CTR คือช่วยให้คุณรู้ว่าโฆษณาที่ลงไปมีความน่าสนใจมากพอหรือเปล่า เพื่อให้คุณสามารถนำมาปรับปรุงและพัฒนาได้ทันที CTR ที่สูงเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าผู้ใช้งานเห็นว่า โฆษณาของคุณมีประโยชน์และเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ค่า CTR ยังส่งผลโดยตรงต่อ Quality Score หรือคะแนนคุณภาพของ Keyword ที่คุณใช้ลงโฆษณา Google Ads อีกด้วย หากคุณมีค่า CTR สูง Quality Score ของคุณก็จะสูงตามขึ้นไปด้วย

    โดย Quality Score จะวัดผลการโฆษณาจาก Keyword หรือความเกี่ยวข้องคำโฆษณา และ Landing Page หากคุณสามารถส่งสารที่จะสื่อไปยังกลุ่มเป้าหมายและตอบโจทย์กลุ่มคนเหล่านั้นได้ ก็ยิ่งได้รับ Quality Score ที่สูงขึ้น Google Ads หรือ ช่องทางการตลาดออนไลน์อื่นๆ มักจะเสนอส่วนลดราคาสำหรับโฆษณาที่มีความเกี่ยวข้องกันสูง (Ad Relevance) หากโฆษณาของคุณมีคุณภาพก็ช่วยให้คะแนน Quality Score สูง เมื่อมีคะแนนสูงก็ช่วยให้อันดับโฆษณาคุณสูงขึ้น แสดงบ่อยขึ้น และค่าคลิกถูกลงอีกด้วย ดังนั้น CTR (Click Through Rate) จึงจำเป็นอย่างมากเพื่อช่วยให้คุณได้รับคะแนน Quality Score ที่ดี

    CTR ที่ดีควรมีลักษณะแบบใด
    หลายคนคงมีคำถามว่า แล้ว CTR ที่ดีควรมีค่าเท่าไร? หรือ ควรมีลักษณะแบบใด? จริงๆ แล้วไม่มีตัวเลขที่ตายตัว เพราะค่า CTR จะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับปัจจัยหลากหลายอย่าง โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพ CTR (Click Through Rate) มีดังนี้
    • Bid Keyword
    • ค่าคลิก
    • Ad Text และ Landing Page
    • การแบ่งกลุ่มคำเพื่อการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น
    • การวางแผนโฆษณาในแต่ละแคมเปญ
    • อันดับของโฆษณาที่แสดงผลในหน้าการค้นหานั้นๆ
    • ธุรกิจแต่ละประเภทที่แตกต่างกันก็ส่งผลให้ค่า CTR ต่างกัน
    การสร้างข้อความโฆษณาดีๆ และ Keyword ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยดึงดูดลูกค้าได้ดี และยังเป็นการเพิ่ม CTR ให้กับโฆษณาของคุณ โดย CTR ที่ดีนั้นต้องสัมพันธ์กับสิ่งที่คุณโฆษณา หากโฆษณาของคุณมี CTR ที่สูงก็จะเป็นตัวบ่งบอกที่ดีว่าผู้ใช้งานเห็นโฆษณาของคุณเป็นประโยชน์และเกี่ยวข้อง ปกติแล้วในเครือข่ายการค้นหา CTR ที่ดีควรมีค่า 1% ขึ้นไป

    เมื่อไหร่ที่ CTR เริ่มส่งผลเสียต่อธุรกิจ
    หาก Keyword คำโฆษณาของคุณมีอัตราการคลิก หรือค่า CTR ที่สูงแต่ไม่สามารถสร้างยอดขายได้ (Low Conversion Rate) นั่นเป็นสัญญาณว่า CTR จะเริ่มส่งผลเสียต่อธุรกิจของคุณ โดยคุณจะเสียเงินต่อการคลิกมากขึ้น หรือถ้าคุณใช้ Keyword ที่มีราคาสูงมากเกินไป ถึงแม้ว่าจะสามารถทำให้เกิด Conversion ขึ้นแต่ก็ไม่สามารถสร้างกำไรได้

    ดังนั้นคุณควรกำหนด Keyword ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายก่อนเพื่อดึงดูดผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมถึงเลือกใช้ Keyword ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Landing Page หรือข้อเสนอของคุณ หรือควรเลือกใช้ Keyword ที่เข้าถึงได้ง่ายเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายที่คุณต้องเสียในการโฆษณา

    ตัวอย่างการวิเคราะห์ค่า CTR สำหรับโฆษณา
    หากคุณต้องการให้แคมเปญโฆษณาที่ทำอยู่มีค่า CTR หรือ Click Through Rate สูงตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ คุณจะต้องมุ่งไปที่สิ่งสำคัญหลักๆ 2 อย่าง คือ Ad Rank และ Quality Score โดยปัจจัยทั้งสองมีส่วนช่วยให้มีค่า CTR สูงดังนี้
    • Ad Rank จะช่วยชี้วัดว่าโฆษณาของคุณควรจะแสดงผลในอันดับที่เท่าไรในหน้า Search Engine สำหรับโฆษณาที่อยู่อันดับแรกไม่ใช่คนที่ bid ด้วยงบที่สูงเสมอไป เพราะการที่อันดับโฆษณาจะติดอันดับต้นๆ ขึ้นอยู่กับการประเมินค่า CTR ของ Algorithm ด้วย โดย Algorithm จะประเมินค่า CTR ที่มีคนคลิกเข้ามาจริงๆ (Actual CTR) กับค่า CTR ที่เราคาดการณ์เอาไว้ (Expected CTR)
    • Quality Score จะวัดผลโฆษณาจาก Keyword และ Landing Page หากคุณมีข้อมูลตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายก็จะทำให้ได้รับ Quality Score ที่ดี โดยการคำนวณ Quality Score จะประเมินจากเรต CTR ที่ตั้งไว้ ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา และ UX ของ Landing Page
    ตัวอย่างการวิเคราะห์ค่า CTR สำหรับโฆษณา เช่น คุณยิง Ads หลายตัว แต่ค่า CTR ที่ได้กลับต่ำมาก Algorithm ก็จะคาดการณ์และประเมินว่าโฆษณาตัวต่อไปของบัญชีโฆษณาคุณจะต้องมีค่า CTR ต่ำเหมือนโฆษณาที่ผ่านมา จึงส่งผลให้อันดับโฆษณาของคุณตกไปอยู่ด้านล่างนั่นเอง

    คำถามที่เกี่ยวข้องกับ CTR
    Click-Through Rates vs. Conversion Rate
    CTR (Click Through Rate) นั้นแตกต่างกับ Conversion Rate โดยค่า CTR สูงไม่ได้หมายความว่าจะได้ Conversion Rate สูงตามไปด้วย เพราะ CTR คือการวัดค่าจำนวนคนที่เห็นและคลิก Ads เข้ามา ไม่ได้วัดยอดการซื้อขาย สมัครสมาชิก ลงทะเบียน เป็นต้น ในขณะที่ Conversion จะวัดจากการที่ผู้ใช้ตอบโต้กับโฆษณาและดำเนินการตามที่คุณได้ระบุไว้ ตั้งแต่การลงชื่อสมัคร การโทรศัพท์มายังธุรกิจของคุณ การคลิกเว็บไซต์ หรืออะไรก็ตามที่คุณวางไว้ให้เป็น Conversion

    ดังนั้นการมีค่า Conversion Rate ที่สูงค่อนข้างสำคัญมากในการวัดผลความสำเร็จของแคมเปญทั้งหมด ถึงแม้ว่า CTR จะไม่ได้ส่งผลต่อ Conversion โดยตรงแต่ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญเพราะ CTR จะส่งผลต่อ Ad Rank และ Quality Score

    CTR Facebook แตกต่างจาก CTR Google อย่างไร
    จริงๆ แล้วหากพูดกันตามความหมาย CTR Google กับ CTR Facebook คืออัตราการคลิกผ่านลิงก์เหมือนกัน โดยเปอร์เซ็นต์ของจำนวนครั้งที่คนเห็นโฆษณาของคุณจะช่วยเพิ่มยอดให้กับจำนวนการคลิกลิงก์

    CTR Facebook สามารถดูได้จาก Metrics CTR ต่างๆ ว่าแต่ละตัวใช้วิเคราะห์อะไร เช่น CTR (All) คืออัตราการกระทำทุกอย่างในตัวโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นการ Click link, See More, View Photo, Share, Comment เป็นต้น คุณสามารถเลือกดูค่า CTR ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเพื่อนำมาปรับปรุงโฆษณาได้ อาจจะปรับที่ส่วน Creative เพื่อให้โฆษณาของคุณน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เช่น การเขียน Copywriting การเลือกใช้ Keyword การใช้รูปภาพ เป็นต้น

    ส่วน CTR Google สามารถดูได้จากบัญชีของคุณเอง โดยโฆษณา ข้อมูล และคีย์เวิร์ดแต่ละรายการจะมี CTR เป็นของตนเอง การเพิ่ม CTR Google Ads จะค่อนข้างแตกต่างจากแพลตฟอร์ม Facebook ตรงการทำ Text Ads สำหรับ Google Ads การเพิ่ม CTR คุณต้องนำเสนอสิ่งที่ผู้ใช้งานอยากได้ โดยการทำ Text Ads ให้เกี่ยวข้องกับ Keywords ที่คนเสิร์ชมากที่สุด

    หลายๆ คนมักสงสัยว่าทำไมค่าเฉลี่ย CTR Facebook ถึงต่ำกว่า CTR google ads จริงๆ แล้วเราสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลอย่างแรกคือ Facebook มีรูปแบบการโฆษณาที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มโดยตรง ที่อาจจะไม่เยอะเมื่อเทียบกับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าไปค้นหาใน Search Engine รวมถึงเหตุผลสุดท้ายคือความสนใจของผู้ใช้งานใน Facebook มักไม่ให้ความสนใจเมื่อมีโฆษณายิงมาหาเรา ทำให้หลายคนเลื่อนผ่านแบนเนอร์โฆษณาได้

    สรุปหัวข้อ CTR
    Click Through Rate หรือ CTR คือตัวชี้วัดในการดูอัตราการคลิกโฆษณาหรือเว็บไซต์ ต่อจำนวนการเห็นของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต หากค่า CTR ยิ่งสูงแสดงว่าโฆษณาของคุณมีความน่าสนใจ ดึงดูดให้คนคลิกเข้ามา การทำความรู้จัก CTR จำเป็นอย่างมากสำหรับนักการตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน ทำให้เราได้รู้ว่าโฆษณาที่ลงทุนทำไปนั้นได้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร ควรพัฒนาหรือปรับปรุงตรงไหนเพื่อให้การทำโฆษณามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...