ไขความปริศนาธรรม จาก มหากาพย์ไซอิ๋ว

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย หนึ่ง99999, 23 มีนาคม 2009.

  1. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">บทที่ ๑๖

    ละกามสุขด้วยภาวนาสุข

    พระถังซัมจั๋งใช้ให้โป้ยก่ายไปบิณฑบาต โป้ยก่ายก็แอบไปหลับอยู่ในพงหญ้า ซัวเจ๋งทิ้งพระถังไว้แล้วออกไปตาม พระถังทนนั่งเฉย ๆ ไม่ได้จึงออกไปเดินเล่น จึงหลงทางออกจากทางใหญ่ ซมซานอยู่ในป่า แลไปข้างหน้าเห็นยอดเจดีย์ ก็ดีใจยิ่งนัก คิดว่าเป็นอาราม รีบเดินตรงเข้าไป แต่กลายเป็นถ้ำอั้วจื้อปองฮ้วยต๋อง ของปีศาจอึ้งเพ้าไต้อ๋อง ซึ่งกำลังหลับอยู่ เมื่อมันลืมตาขึ้นเห็นพระถังก็วิ่งไล่จับไว้ได้

    จะขอเล่าย้อนไปถึงพระราชาเมืองเชียงโป้ก๊ก มีพระราชธิดา ๓ องค์ ปีศาจอึ้งเพ้าไต้อ๋องได้บันดาลเป็นลมหอบเอาพระธิดาองค์สุดท้องชื่อนางเง็กนึ่งฮวยเซียว ไปเป็นเมียอยู่ในถ้ำมาได้ ๑๓ ปีแล้ว จนมีลูกชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เมื่อเมียของปีศาจทราบว่าปีศาจจับพระถังมาขังไว้ในถ้ำ นางจึงได้โอกาสที่จะส่งข่าวถึงพระราชบิดา

    ฝ่ายโป้ยก่ายและซัวเจ๋งตามหาพระถังมาจนถึงถ้ำอั้วจื้อปองฮ้วยต๋อง ก็สู้รบกับปีศาจแต่สู้ไม่ได้ จึงพ่ายหนีไป ระหว่างนั้น นางเง็กนึ่งฮวยเซียวได้ปล่อยพระถัง พร้อมทั้งฝากจดหมายเซ็นสลักหลังว่า "ภาวนาสุข" ไปยังพระเจ้าเชียงโป้ก๊ก

    พระถัง โป้ยก่ายและซัวเจ๋ง และม้าขาวออกเดินทางไปยังเมืองเชียงโป้ก๊ก อันงดงามร่มรื่น แล้วทูลถวายหนังสือเพื่อขอผ่านเมือง พระราชาประทับตราแผ่นดินให้แล้ว ทรงขอร้องให้สานุศิษย์ผู้มีฤทธิ์ของพระถังไปปราบปีศาจอึ้งเพ้าไต้อ๋อง เพื่อปลดปล่อยพระธิดากลับคืน โป้ยก่ายกับซัวเจ๋งเหาะกลับไปสู้รบกับปีศาจ โป้ยก่ายก็เอาเปรียบแอบหนีไปนอนเสีย จนซัวเจ๋งเสียทีถูกปีศาจจับตัวไปขังไว้

    อึ้งเพ้าไต้อ๋องแปลงกายเป็นราชบุตรรูปงามเข้าไปในเมืองเชียงโป้ก๊ก แล้วร่ายเวททำให้พระถังกลายเป็นเสือเฒ่า แล้วทูลพระราชาว่าที่แท้พระถังคือปีศาจเสือแปลงมา ตนมาเพื่อจะช่วย พระราชาก็ซาบซึ้ง รักใคร่ในบุตรเขยยิ่งนักได้เลี้ยงดูกันเอิกเกริก

    เมื่ออึ้งเพ้าเมาสุราก็เผลอตัวกลับกลายเป็นปีศาจตามเดิม ได้สู้รบกับม้าขาวของพระถัง ม้าสู้ไม่ได้ก็ถอยหนีไป โป้ยก่ายกลับมาจากนอนหลับในป่ามาพบม้าขาวในสภาพสะบักสะบอมก็เลยคิดถึงเห้งเจีย จึงถือคราดเหาะลิ่วไปสู่ถ้ำจุ้ยเลี่ยมต๋อง อ้อนวอนให้เห้งเจียกลับไปช่วยพระถัง

    เห้งเจียจึงตีลังกามาในอากาศ ถึงถ้ำปีศาจก่อนโป้ยก่ายก็จัดการปลดปล่อยซัวเจ๋ง แล้วเข้าไปจับตัวบุตรชายหญิงของปีศาจลากขาแขนเหาะลอยละลิ่วเข้าไปในเมืองเชียงโป๊ก๊ก จับเด็กทั้งสองฟาดลงกับพื้นจนร่างแหลกเหลว แล้วเข้าสู้รบกับอึ้งเพ้า แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะปีศาจได้

    เห้งเจียจึงตีลังกาขึ้นสู่สวรรค์ ค้นที่มาของปีศาจก็พบว่าอึ้งเพ้าคือดาวดวงหนึ่ง หลงรักด้วยราคะต่อนางฟ้าตนหนึ่งซึ่งจุติมาเกิดเป็นพระธิดาองค์ที่สามของพระเจ้าเชียงโป๊ก๊ก จึงแปลงกายติดตามมาบันดาลเป็นลมหอบไปสมสู่ในถ้ำ

    อึ้งเพ้าจึงต้อโทษของสวรรค์ให้ไปเป็นพนักงานสุมไฟให้แก่พรหมท้ายเสียงเล่ากุน

    ฝ่ายเห้งเจียก็กลับไปรับพระราชธิดากลับสู่เมืองเชียงโป้ก๊ก ร่ายเวทคลายมนต์ปีศาจ เสือเฒ่าก็กลับกลายเป็นพระถังตามเดิม

    ศิษย์และอาจารย์ได้รับหนังสือผ่านเมืองมาแล้วก็ทูลลาพระราชา มุ่งหน้าสู่ไซที...



    [​IMG]



    นาม : ว่าแล้วเชียว พอให้ศีลนำทาง ขันติก็หลงเข้าถ้ำปีศาจทันที อึ้งเพ้าไต้อ๋องคืออะไรครับ ?

    โหงว : กามสุข เป็นเทพลงมาลักนางกงจู้ที่สาม คือภาวนาสุขไปสมสู่ในถ้า

    รูป :พระเจ้าเชียงโป้ก๊กเล่า...?

    โหงว :คือบุญหรือสุข มีธิดา ๓ องค์ คือ ๑.บุญเกิดจากการให้ทาน ๒. บุญเกิดจากการรักษาศีล ๓. บุญเกิดจากการภาวนา

    รูป : ไหงแต่งให้กามสุขข่มขืนภาวนาสุขเสียเล่า ?

    โหงว : เมื่อจิตยังสถาปนาตั้งมั่นไม่ได้ตราบใด ภาวนาสุขที่มีอยู่จะล้มลุกคลุกคลาน แส่ส่ายไปหากามสุข นี่คือกามสุขฉุดคร่าภาวนา ขันติ(พระถัง)จึงภูกขังในถ้ำปีศาจ ทำท่าจะไปไม่รอด ศีล(โป้ยก่าย) สมาธิ(ซัวเจ๋ง)เข้าแก้ไขก็ไม่ได้เพราะขาดปัญญา ครั้นปัญญาละกามสุข(อึ้งเพ้า)ได้แล้ว ภาวนาสุข(กงจู๋)ก็เป็นอิสระ

    นาม : เดี๋ยวก่อน ลูกของอึ้งเพ้าหญิงหนึ่งชายหนึ่งเล่า ?

    โหงว : หญิงชายทุกคนเป็นลูกของ "กามสุข" ติดกันงอมแงม ครั้นฆ่าความเป็น"ลูก"ของกามสุขได้ ภาวนาสุขก็มีมานะซี

    รูป : เมืองเชียงโป้ก๊กอาจจะเป็นเมือง ๆ หนึ่ง ระหว่างอินเดียกับจีนที่ยวนฉ่าง จะผ่านเข้าเมืองต้องขอวีซ่าเข้าไป

    โหงว : เอาอีกแล้วเจ้าเซ่อ ! การเดินทาง ๆ กายภาพอีกแล้ว การผ่านเมืองให้พระราชาประทับตราแผ่นดินในหนังสือเดินทางนั้นคือการสถาปนาจิตตามลำดับ

    นาม : แหม วิเศษจริงครับเปรียบการเลื่อนเข้าสู่ภูมิธรรมกับการขอวีซ่า - พาสปอร์ตผ่านเข้าเมือง

    โหงว :ฮื่อ...อย่ายอ ๆ บทต่อไปเรื่องปีศาจ๕ มีของวิเศษ ๕อย่าง ทั้งหมดรุกรบกันโกลาหลเจ้าอยากฟังไหมล่ะ

    รูป : ฟังต่อ ฟังต่อ


    (จบบทที่ ๑๖ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5377 vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">บทที่ ๑๗
    ละนิวรณ์ ๕ ด้วยองค์ฌาน ๕ ชีวิตจะ "บาน" ขึ้นระดับหนึ่ง

    ศิษย์และอาจารย์ออกจากเมืองเชียงโป้ก๊กแล้ว ร่าเริงบันเทิงใจ มุ่งเดินหมายทิศตะวันตก พักหนึ่งก็ลุถึงภูเขาเพ่งเต๊งซัว ณ ภูเขานั้นมีสำนักชื่อ เน่ยฮวยต๋อง เป็นนิวาสถานของปีศาจสองพี่น้องคือกิมกั๊กไต้อ๋อง กับงึ้นกั๊กไต้อ๋อง สองปีศาจมีอาวุธวิเศษ ๕ อย่าง

    กิมกั๊กผู้พี่มีขวดน้ำมนต์ทำด้วยหยกส่องสว่างไปทั้งถ้ำกับพัดไฟวิเศษ งึ้นกั๊กมีน้ำเต้าวิเศษกับเกี่ยม(ดาบ)วิเศษ ส่วนเชือกวิเศษนั้นฝากไว้กับมารดาที่เขาเอี๋ยมเล่งซัวถ้ำเอี๋ยมเล่งต๋อง

    ปีศาจสองพี่น้องทราบกิตติศัพท์ว่า พระถังกำลังเดินทางไปไซที ก็หมายจะจับกินเนื้อให้ได้ ก็จับโป้ยก่ายผู้เดินล่วงหน้าคณะไปขังไว้ งึ้นกั๊กแปลงกายเป็นตาเฒ่าถือพรต ขาพิการ และขอขี่คอเห้งเจีย เห้งเจียก็ให้ขี่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นปีศาจ ฝ่ายงึ้นกั๊กก็รู้ว่าเห้งเจียรู้ จึงเรียกภูเขา ๓ ลูกมาครอบทับเห้งเจียไว้ แล้วบันดาลเป็นลมหอบพระถังกับซัวเจ๋งเข้าไปขังไว้ในถ้ำ เตรียมจะต้มกินเนื้อ

    ฝ่ายเห้งเจียหลุดรอดมาจากเขาสามลูกเพราะเจ้าที่เจ้าเขาช่วย ยังมิทันได้ตามไปช่วยพระถัง ปีศาจทั้งสองก็มอบขวดน้ำมนต์หยกและน้ำเต้าให้สมุนใหญ่คือปีศาจเจ่งเสย และเส่งหลี เพื่อนำไปเรียกเห้งเจียเข้าไปในขวด เห้งเจียก็หลอกต้มเอาอาวุธทั้งสองเสีย กิมกั๊กงึ้นกั๊กทราบเช่นนั้นก็เดือดดาล ใช้ให้ปีศาจน้อยปาซัวเฮ้ากับกี๋ฮั้ยเล้ง ไปเชิญมารดามากินเลี้ยงเนื้อพระถัง พร้อมทั้งให้นำเชือกวิเศษมาด้วย เห้งเจียก็ตามไปฆ่าปีศาจน้อยทั้งสอง รวมทั้งมารดาของกิมกั๊กงึ้นกั๊กด้วย นางกลับกลายเป็นเสือปลาเก้าหาง

    เห้งเจียก็ปลอมเป็นมารดาของสองปีศาจกลับมาที่ถ้ำ ปีศาจจับได้ก็สู้รบกันโกลาหล เห้งเจียไม่รู้คาถาใช้เชือกวิเศษ เชือกจึงมัดเอาตัวเองล้มกลิ้ง ปีศาจทั้งสองจับได้ เห้งเจียดิ้นหลุด คว้าน้ำเต้าวิเศษของปีศาจ ร้องเรียกชื่องึ้นกั๊ก งึ้นกั๊กขานรับก็เลยถูกดูดเข้าไปอยู่ในน้ำเต้า ดิ้นขลุกขลัก

    ฝ่ายกิมกั๊กเห็นปีศาจน้องพ่ายแพ้แก่เห้งเจีย จึงหยิบดาบและพัดวิเศษออกมาสู้รบ แล้วเผลอสติง่วงหลับฟุบลง เห้งเจียก็แอบเข้าลักขวดน้ำมนต์หยกวิเศษได้ กิมกั๊กเห็นทีจะพ่ายแพ้ก็เหาะไปตามปีศาจอาชิดไต้อ๋องน้าชายมา พร้อมด้วยไพร่พลปีศาจชายหญิง เห้งเจียให้ซัวเจ๋งระวังพระถัง ตัวเองกับโป้ยก่ายก็รุมกันรบกับอาชิดไต้อ๋อง รบกับพักใหญ่ซัวเจ๋งก็เข้าช่วยด้วย โป้ยก่ายได้ทีก็เอาคราดวิเศษสับร่างของอาชิดตาย ร่างก็กลายเป็นเสือปลา

    ฝ่ายกิมกั๊กเห็นเช่นนั้นก็โกรธ เข้าสู้ไม่คิดหนี เห้งเจียได้โอกาสก็ร้องเรียกชื่อกิมกั๊ก กิมกั๊กเผลอขานรับก็ถูกดูดเข้าไปอยู่ในขวดน้ำมนต์วิเศษ

    เป็นอันว่าปีศาจถูกริบอาวุธทั้ง ๕ เสียหมดสิ้น เห้งเจียจึงนิมนต์พระถังขึ้นหลังม้าออกเดินทางต่อไป

    พักหนึ่ง พรหมท้ายเสียงเล่ากุนก็มาดักหน้าทวงอาวุธวิเศษของปีศาจ เพราะที่แท้นั้นกิมกั๊กกับงึ้นกั๊กคือกิมกงจื้อ ผู้รักษาเบ้าทอง กับงึ้นกงจื้อ ผู้รักษาเบ้าเงินของพรหมท้ายเสียงเล่ากุนที่แอบลักอาวุธวิเศษแล้วแปลงกายมาเป็นปีศาจในมนุษย์โลก เห้งเจียทำไก๋ว่าไม่ได้ริบอาวุธมา ท้ายเสียงเล่ากุนก็ขู่ตะคอก จนเห้งเจียต้องยอมคืนให้

    พรหมท้ายเสียกล่าวขึ้นว่า..."แม้นคณะไปไซทีไม่ผ่านการปราบปีศาจนี้แล้ว ไฉนจะบรรลุมรรคผลได้เล่า " เมื่อท้ายเสียงเล่ากุนกลับไปพรหมโลกแล้ว ศิษย์และอาจารย์ก็บันเทิงใจ รีบเร่งดุ่มเดินสู่ป่าใหญ่ หมายทิศตะวันตกเป็นสำคัญ




    [​IMG]



    รูป : แหม อ้ายปีศาจ ๘ ตัวนี่มันร้ายจริง ๆ

    โหงว :เราเล่าย่อน่ะ ความจริงดุเดือดกว่านี้มาก

    นาม : ทำไมอาจารย์ไม่เล่าให้ละเอียดล่ะ

    โหงว : เรื่องตอนนี้ มันดุเดือดอยู่ในใจเธอ หลายร้อยเท่าของหนังสือไซอิ๋วอีกซี

    รูป : เล่าต่อ

    นาม : เดี๋ยว ยังไม่เฉลย สำคัญเสียด้วย ที่ท้ายเสียงเล่ากุนกล่าวว่าหากไม่ผ่านปีศาจกลุ่มนี้แล้ว ไฉนจะบรรลุมรรคผลได้เล่า...

    โหงว : จริง...

    รูป : กิมกั๊ก งึ้นกั๊ก เจ่งเสย เส่งหลี ปาซัวเฮ้า กี๋ฮั้ยเล้ง มารดาของปีศาจสองพี่น้อง และอาชิดไต้อ๋องคือใคร ?

    โหงว : ใครอีกแล้วเจ้านี่ เจ้าต้องถามว่าคืออะไรซี ฟังให้ดีนะ...

    กิมกั๊กไต้อ๋อง คือ กามฉันทะ
    งึ้นกั๊กไต้อ๋อง คือ พยาบาท
    เจ่งเสย - เส่งหลี คือ ถีนะ - มิทธะ
    ปาซัวเฮ้า - กี๋ฮัยลั้ง คือ อุทธัจจะ - กุกกุจจะ
    มารดาของกิมกั๊กงึ้นกั๊ก คือ วิจิกิจฉา
    นาม : พุทโธ่ นิวรณ์ ๕ เครื่องปิดกั้นปัญญานั่นเอง

    กระสับกระส่ายเพราะติดรสแห่งกาม คือ กามฉันทะ
    ครุ่นเคียดแค้นชิงชังขัดใจอยู่ คือพยาบาท
    ง่วงงุน ซึมเซ่อ คือถีนะ
    ท้อถอยระโหยละเหี่ย คือ มิทธะ
    ฟุ้งซ่านว่อนอยู่ คืออุทธัจจะ
    รำคาญใจตนเองหงุดหงิด คือกุกกุจจะ
    ไม่อาจวางใจลงได้ เคลือบแคลง อยู่ในความลังเลสงสัยคือวิจิกิจฉา
    รูป :เขาไม่ได้ขอร้องให้อธิบายสักหน่อย อาจารย์ครับ แล้วอาชิดไต้อ๋องเล่า ?

    โหงว : เดี๋ยวรู้เองน่า

    นาม : อาวุธวิเศษละครับอาจารย์ ?

    โหงว :ดาบวิเศษ - วิตก, พัดวิเศษ - วิจาร, ขวดน้ำมนต์หยก - ปีติ, น้ำเต้าวิเศษ - สุข, เชือกวิเศษ - เอกัคคตา

    รูป :ลากเข้าหามันก็ได้ล่ะว้า...

    นาม : อาวุธวิเศษทั้ง ๕ คือ ฌานังคะหรือองค์แห่งฌานทั้ง ๕ นั่นเอง ละนิวรณ์ ๕ แล้วจะได้องค์แห่งฌาน ๕

    โหงว : เดี๋ยว...เจ้านั่นว่าเราแต่งลากเข้าหาความ
    'วิตก' อุปมาด้วยดาบคมกริบ
    'วิจาร' - การเคล้าเคลียกระพือของอารมณ์ เปรียบด้วยพัดไฟ
    'ปีติ' - ซาบซ่านกระตุ้นซู่ซ่าเย็น ๆ เปรียบด้วยขวดหยกมีน้ำมนต์
    'สุข' - ปีติได้แผ่ซ่านลงสู่สงบสุข ว่างกลวงดุจน้ำเต้า
    'เอกัคคตา' - จิตเป็นหนึ่งแน่วที่ได้รวบรวมเอาทุกองค์เข้าไว้ดุจเกลียวแห่งเชือก
    รูป : ก็ว่าไปได้เรื่อยแหละ เอ้า...เชิญลากเข้าหาความต่อ

    โหงว : ปัญญาทำให้ถีนะ- มิทธะถอยกำลัง ก็ได้ปีติ - สุขขึ้นระดับหนึ่ง นี่เป็นก้าวแรกของการละนิวรณ์ เปรียบด้วยเห้งเจียหลอกต้มเอาอาวุธวิเศษขวดหยกกับน้ำเต้าจากสองปีศาจสมุนเอกเจ่งเสย - เส่งหลี

    รูป : อ้าว...ว่าไป

    โหงว : เมื่อความซึมเซ่อง่วงงุน ท้อถอยหายไป ปีติ - สุขเกิดขึ้นระดับหนึ่ง ก็ละวิจิกิจฉาลังเลได้ นี่คือการฆ่ามารดาปีศาจตายลง ปีศาจปาซัวเฮ้า กี๋ฮั้ยเพ้ง(ฟุ้งซ่านรำคาญใจ) ก็พลอยตายไปพร้อม ๆ กับวิจิกิจฉานั่นแหละ ก็ได้เชือกวิเศษคือเอกัคคตาจิตมาระดับหนึ่ง - ชั่วระยะหนึ่ง

    นาม : แล้วไหงใช้เชือกวิเศษไม่เป็นกลับรัดคอตัวเองเข้า...?

    โหงว : นั่นซิ เพราะยังไม่ได้ละกามฉันทะ ซึ่งเป็นคู่ปรับ(เอกัตตะ = ธรรมที่เป็นคู่ปรับกัน)กับเอกัคคตา ละวิจิกิจฉาไปบางระดับ พอจะใช้เอกัคคตาไปสู้รบกับกามราคะ สู้ไม่ได้ กลับรัดตัวเองเป็นกาเมกัคคตา

    นาม : ไม่มีในหลักธรรมเลย ผมไม่เคยได้ยิน

    โหงว : นั่นซี คือว่า จิตไปมีความเป็นหนึ่งในกามฉันทะเข้า

    รูป : ไม่เข้าใจโว๊ย...!

    โหงว : ช่างเอ็ง ไอ้น้ำเต้าวิเศษ คือสุขแล้วพยาบาทก็หายไป เพราะสุขเป็นเอกัตตะของพยาบาท

    นาม :จึงให้เห้งเจียถือน้ำเต้าวิเศษร้องเรียกชื่องึ้นกั๊ก ๆ ๆ งึ้นกั๊ก(พยาบาท)จึงถูกสุขดูดมาขังไว้เสีย เป็นอันว่าละพยาบาทได้ สุขเกิด แล้วกามราคะตัวสำคัญละได้อย่างไร?

    โหงว :กามฉันทะเห็นทีจะแพ้ วิ่งไปตาม เมถุนสังโยค

    รูป :ชักเลอะกันใหญ่แล้ว นิทานบ้าอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีคน สัตว์ ตัวตน เรา เขา มีแต่นั่นวิ่งไปหาโน่น โน่นวิ่งไปหาโน้น โน้นวิ่งไปหานู้น...เฮ้อ กลุ้ม

    นาม :พุทโธ่ อาชิดไต้อ๋อง น้าของสองพี่น้องคือเมถุนสังโยค ๗ นั่นเอง มิน่าชื่ออาชิด เสือปลาเจ็ดหาง

    หางที่ ๑ ยินดีในการลูบไล้ การนวดแห่งมาตุคาม ปลื้มใจเพราะการบำเรอนั้น
    หางที่ ๒ ไม่ยินดีต่อการลูบไล้ แต่ชอบซิกซี้เล่นหัวกับมาตุคาม
    หางที่ ๓ ไม่ชอบซิกซี้ แต่ปลื้มใจที่ได้สบตากับมาตุคาม
    หางที่ ๔ ไม่ชอบสบตา แต่ชอบฟังเสียง ปลื้มใจเมื่อได้ยินเสียงมาตุคาม
    หางที่ ๕ ไม่ชอบใจในเสียง แต่ยังตามรำลึกถึงเรื่องเก่า ๆ
    หางที่ ๖ ไม่ชอบตามรำลึกถึงเรื่องเก่า แต่ยังชอบเห็นบุตรคฤหบดี ผู้พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ แล้วพลอยปลื้มใจ
    หางที่ ๗ ไม่ถึงอย่างนั้น แต่ประพฤติพรหมจรรย์ หวังจะได้เป็นเทพในสวรรค์ (หวังกามอีกเหมือนกัน)
    โหงว :คือว่า แม้กามราคะอย่างแรงกล้าของบรรพชิตที่แม้ปฏิญาณจนว่าเป็นพรหมจรรย์ ไม่เสพเมถุนกับมาตุคามแล้ว แม้นิวรณ์ข้อนี้จะจางลง ก็ยังมีกะลิ้มกะเหลี่ยถึงมันอีกตั้ง ๗ หางแน่ะ

    รูป : เสือปลา ๗ หาง แหม ยังเหลือหางแถวของกามฉันทะ ปีศาจหญิง - ชายของอาชิดไต้อ๋องเล่า คืออะไร?

    นาม : ก็คืออกุศลกรรมทั้งปวงที่เกิดจากความยึดถือว่าเป็นหญิง(อิตถีสัญญา) หรือเป็นชาย (ปุริสสัญญา) อันเป็นต้นเค้าของกามฉันทะ หรือเมถุนสังโยค

    โหงว : ไม่เลว กามฉันทะถูกละด้วยเอกัคคตา เพราะเป็นเอกัตตะแก่กัน แต่แท้จริงเอกัตตะเหล่านี้ แยกกันโดยเด็ดขาดไม่ได้ ย่อมเนื่องกันอยู่ ดังนั้นเราจึงให้อาวุธวิเศษถูกยืมใช้ไปใช้มา โดยกิมกั๊กกามฉันทะเป็นตัวบงการ

    นาม : ท้ายเสียงเล่ากุนมาทวงอาวุธวิเศษเล่า?

    โหงว : คืออุเบกขา

    รูป :อ้าว...ไหนว่าท้ายเสียงเล่ากุนคือเหลาจื้อ บ๊ะ กลับกลอกจริง

    โหงว : เอาอีกแล้วเจ้านี่ โดยรูปธรรมคือเหลาจื้อ แต่ใจของเหลาจื้อคืออุเบกขา (พรหม)

    นาม :หมายความว่า เมื่อชีวิตช่วงที่ปัญญาคือสมาธิ ละนิวรณ์ ๕ ได้ ก็ได้องค์ฌาน ๕ องค์ฌาน ๕ มารวบยอดที่อุเบกขา นั่นคือการพบเหลาจื้อ

    โหงว : ใช่ซี

    รูป :แล้วไหงให้ทวงของวิเศษไปเสียเล่า?

    โหงว : องค์แห่งฌานทั้ง ๕ ไม่ใช่ผลที่สุด จำต้องสละไปเพื่อเจริญวิปัสสนา คือใช้ปัญญาให้เห้งเจียได้ใช้ตะบองยู่อี่ *

    รูป : แหม หากว่าไม่ละนิวรณ์ ๕ แล้ว ไม่ได้องค์ฌาน ๕ มรรคผลเป็นอันเป็นไปไม่ได้ ผมคนหนึ่งล่ะ ไม่เอาด้วย โธ่ ! ทำฌานให้ปรากฏง่ายเสียเมื่อไหร่ ?

    โหงว : เปล่านะ แท้จริงกามฉันทะพยาบาทมันระงับไปเท่านั้น การระงับนิวรณ์ในกรณีนี้ใช้ปัญญา(เห้งเจีย)ปราบตลอด ดังนั้น แม้ไม่ได้ทำสมาธิโดยวิธีแบบฉบับ แต่โดยใช้ปัญญาก็อาจทำองค์ฌานให้ปรากฏขึ้นได้ในชีวิตประจำวันนี้เอง เข้มขึ้น แน่วแน่ขึ้น แล้วผ่านเลยไป และถ้าโป้ยก่าย ซัวเจ๋ง (ศีล สมาธิ) เข้าร่วมมือด้วย องค์ฌานทั้ง ๕ จะประจักษ์ตามระดับ มากน้อยตามส่วน เราจะเล่าต่อละนะ

    รูป : เดี๋ยวก่อนครับ ย้อนไปทีแรก ทำไมงึ้นกั๊กไต้อ๋อง(พยาบาท)ตอนแปลงเป็นตาเฒ่ามาขอขี่คอเห้งเจียล่ะครับ โป้ยก่ายกับซัวเจ๋งตัวโตกว่าอีก ?

    นาม : (หัวร่อกั้ก ๆ ) อ้ายเซ่อ พยาบาทมันก็ชอบขี่คอคนมีปัญญาซีวะ

    โหงว : ไม่มีคน ไม่มีคน

    นาม : ผมขอสรุปว่า ละนิวรณ์ ๕ ได้ ชีวิตก็ดุจดอกไม้ที่กลีบห้ากลีบ...คือองค์ฌาน ๕ ที่ทุกคนมีอยู่แล้วก็จะคลี่บานออก

    รูป : ถ้ำปีศาจแห่งนี้จึงมีชื่อว่า เน่ยฮวยต๋อง...ถ้ำดอกบัว

    โหงว : ไม่เลว แต่บานออกระดับหนึ่งเท่านั้น

    รูป : เล่าต่อ

    โหงว : บทต่อไปเราจะเล่าถึงช่วนจินเต้าหยิน สหายของงึ้นกั๊ก ชอบไปมาหาสู่กันนัก

    นาม : ?

    *ยู่อี่ โดยความหมายตรงกับมโนหรจินดามณี คือแก้วสารพัดนึกที่จะบันดาลอะไร ๆ ได้ดังใจ



    (จบบทที่ ๑๗ โปรดติดตามตอนต่อไป...
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5378 vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๑๘
    อรตินิวรณ์


    พระถังและสานุศิษย์เดินมาถึงภูเขาใหญ่ เห็นกำแพงเมืองอยู่ข้างหน้า ก็ชวนกันเดินตรงไป และคืนนั้น ได้ขอพักค้างที่พระอารามหลวงชื่อ โป๊ลิ้มยี่ เจ้าอาวาสถือตน ไม่ยินดีต้อนรับพระพเนจร จนเห้งเจียต้องแผลงฤทธิ์ข่มขู่ให้ต้อนรับพระถัง

    กล่าวถึงเหตุการณ์เมืองโอเกยก๊ก เมื่อ ๕ ปีก่อนฝนฟ้าแล้งจัด จนประชาชนระส่ำระสาย ฤาษีช่วนจินเต้าหยิน ได้ทำพิธีเรียกฝนให้ตกลงมาห่าใหญ่ จึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าโอเกยก๊ก ครั้นได้โอกาส ช่วนจินเต้าหยิน ก็ลอบปลงพระชนม์พระราชาเสีย โดยผลักลงบ่อแปดเหลี่ยม เอาแท่นหินปิดไว้ แล้วเกลี่ยทรายกลบ ปลูกต้นกล้วยไม้ไว้ข้างบน แล้วช่วนจินก็แปลงกายเป็นพระเจ้าโอเกยก๊ก มิมีใครรู้ ไทจื้อรัชทายาทก็ไม่ได้เข้าเฝ้าเป็นเวลา ๓ ปีแล้ว

    ฝ่ายซากพระศพของพระราชานั้น ได้จมลงถึงบาดาล พญาฮั้ยเล่งอ๋อง มิตรของโป้ยก่ายได้เก็บรักษาไว้มิให้เน่าเปื่อย

    คืนที่พระถังกับศิษย์พักค้างแรมที่อารามหลวงโป๊ลิ้มยี่นั้นเอง พระถังนั่งสวดมนต์อยู่จนดึก ศิษย์หลับหมดแล้ว วิญญาณของพระเจ้าโอเกยก๊กก็มาหา ร้องเรียกชื่อพระถังเบา ๆ พระถังก็กำลังเคลิ้ม ในหูได้ยินว่า ขอให้ส่งสานุศิษย์ไปช่วยให้พ้นจากบาดาล แล้ววิญญาณนั้นก็ทิ้งหยกตราประจำพระองค์ หมายสำคัญไว้ที่ประตู เพื่อให้เห้งเจียนำไปแสดงกับไทจื้อและฮองเฮา

    ตกดึกพระถังปลุกเห้งเจียแล้วเล่าเรื่องให้ฟัง รุ่งเช้าเห้งเจียเข้าไปพบไทจื้อ เล่าความจริงให้ฟังว่าพระราชาองค์ปัจจุบันเป็นองค์ปลอม ไทจื้อไม่เชื่อ เห้งเจียจึงแสดงหยกขาวให้ดู ทั้งวางอุบายให้ไทจื้อไปสอบถามฮองเฮาพระมารดาว่ารสสัมผัสของพระราชาเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่

    ฝ่ายไทจื้อจึงไปกราบทูลถามพระมารดาถึงความนัยนั้น ฮองเฮาก็เล่าความจริงว่า ๓ ปีมาแล้ว ที่รสสัมผัสของพระเจ้าโอเกยก๊กจืดชืด ไทจื้อจึงเชื่อว่าเป็นช่วนจินปลอมตัวมาจริง ๆ ก็นำความนั้นมาบอกเห้งเจีย

    เห้งเจียกับโป้ยก่ายก็ชวนกันไปที่บ่อแปดเหลี่ยม ด้วยฤทธิ์ตะบองของเห้งเจียโป้ยก่ายก็ลงไปในบ่อที่มีน้ำ ดำลงไปถึงบาดาล จนพบพญาฮั้ยเล่งอ๋องสหายเก่า แล้วแบกซากศพของพระเจ้าโอเกยก๊กขึ้นมา เห้งเจียเหาะนำหน้าศพมาที่อาราม แล้วตีลังกาขึ้นสู่พรหมโลกไปหาพรหมท้ายเสียงเล่ากุนขอยาชุบชีวิต เมื่อได้แล้วกผ็ลงมาชุบชีวิตพระราชาให้ฟื้นขึ้นมา แล้วถอดเครื่องทรงกษัตริย์ออกฝากไว้ในอาราม ให้นุ่งขาวห่มขาวแทน

    รุ่งเช้า ทั้งหมดก็เข้าไปในพระราชวัง เห้งเจียเข้าต่อสู้กับช่วนจินเต้าหยิน เต้าหยินจึงแปลงร่างเป็นพระถังอีกองค์หนึ่ง เห้งเจียแยกไม่ออกจึงร้องบอกให้พระถังร่ายคาถาบีบขมับ หากองค์ไหนร่ายคาถาแล้วเห้งเจียปวดหัว องค์นั้นคือองค์จริง เห้งเจียจึงจับช่วนจินได้ เงือดเงื้อตะบองจะฆ่า แต่บุ้นซู้โพธิสัตว์เหาะมาห้ามไว้ทัน แล้วเฉลยว่า ที่แท้ช่วนจินเต้าหยินคือ สิงห์พาหนะของพระองค์ พระองค์แกล้งใช้มาเพื่อลงโทษพระเจ้าโอเกยก๊ก เมื่อเห้งเจียมาแก้ไขแล้วก็เป็นอันว่าสิ้นเวรต่อกัน



    [​IMG]



    รูป : เรื่องตอนนี้เหมือนในเปาบุ้นจิ้น

    โหงว : ฮื่อ... เปาบุ้นจิ้นลอกของเราไปซี

    นาม : เห้งเจียแผลงฤทธิ์ บังคับให้สมภารวัดโป๊ลิ่มยี่มาต้อนรับ หมายความว่าอย่างไร ?

    โหงว : ปัญญาพยายามสถาปนาจิตครั้งที่ ๓

    นาม : ช่วนจิน ?

    รูป : ก็เต้าหยิน อาจารย์แกล้งด่านักพรตเต๋าล่ะ

    โหงว : อย่าสู่รู้น่า ช่วนจินเป็นสหายของงึ้นกั๊ก ชอบไปมาหาสู่กัน...ลองเดาดู...

    รูป : งึ้นกั๊กคือพยาบาท ช่วนจินก็...ก็...

    นาม : ? จนครับ

    โหงว : อรติ - ความไม่ชอบ ไม่รัก ไม่พอใจ จนอาจจะล้ำไปถึงความเกลียด ซึ่งเป็นสหาย ชอบไปมาหาสู่กับพยาบาท พอเกลียด ไม่พอใจก็แค้นใจ พอแค้นใจก็เกลียด

    นาม : ทำไมให้เป็นปีศาจเต้าหยิน ?

    รูป :อรตินั้น ดู ๆ คล้าย ๆ อุเบกขา คือไม่ชอบ ไม่รัก แต่ว่ามันเฉยแบบไม่ชอบ ซึ่งยังเป้นนิวรณ์ไม่ใช่อุเบกขา จึงว่าเป็นปีศาจเต้าหยินปลอมตัวมา...

    นาม :พระเจ้าโอเกยก๊ก ?

    โหงว :บอกแล้วว่า พระราชาทุกเมืองหมายถึงศรัทธา ตั้งแต่พระเจ้าไทจง พระเจ้าเชียงโป๊ก๊ก ตลอดจนถึงไซที

    นาม :ผมเข้าใจแล้ว นิวรณ์ ๕ ถอยกำลัง ชีวิตจึงดูคล้ายมีอุเบกขาอยู่ระยะหนึ่งแล้วจางไป เพราะอุเบกขานั้นค่อย ๆ กลายเป็นอรติ นั่นคือนิวรณ์นี้มาเป็นราชาแทน

    รูป :ศรัทธา จึงดิ่งลงบาดาล แต่ไม่ตายหมดสิ้น เพราะแนวโน้มของศีลช่วยไว้

    นาม : นั่นคือ ฮั้ยเล่งอ๋อง สหายของโป้ยก่ายรักษาซากศรัทธาไว้

    รูป : เอ๋...บ่อ ๘ เหลี่ยม ?

    นาม : โธ่ เจ้าเซ่อ มิจฉัตตะ ตรงข้ามกับอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่ดุจบ่อลึกถึงบาดาล

    รูป : มีอะไรบ้าง ?

    นาม : มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปโป มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันโต มิจฉาอาชีโว มิจฉาวายาโม มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ อ้าว...ทีนี้ยาของพรหมท้ายเสียงเล่า ?

    โหงว : สุขที่ประณีต ทำให้ซากของศรัทธาในชีวิตค่อยฟื้นขึ้น

    รูป : (หัวร่อ) อาจารย์ ทำไมฮองเฮามเหสีถึงบ่นว่ารสสัมผัสของพระเจ้าโอเกยก๊กจืดชืดมาสามปีแล้ว ผมว่าพระราชาแก่ลงใช่ไหม ?

    โหงว : อรติที่ดูคล้าย ๆ อุเบกขานั้นมันไม่มีรสชาติเหมือนความสุขที่มาจากศรัทธาเลย

    รูป : ไปได้ทั้งน้ำขุ่น ๆ แหละ...

    นาม : แล้วช่วนจินปลอมเป็นพระถังเล่า ?

    โหงว : อรติกับขันติคล้ายกันมาก (ไม่ชอบ ไม่รัก กับทน)

    รูป : องค์ไหนร่ายคาถาบีบขมับเห้งเจียได้ องค์นั้นใช่ล่ะคือพระถังองค์จริง

    นาม : ขันติอดทนด้วยความรู้ อดทนเพื่อให้ปัญญาแห่งไตรลักษณ์ นี่คือพระถังแท้ ส่วนอรติไม่ชอบ แต่ต้องทน หากมิได้เพ่งอยู่กับไตรลักษณ์ จึงเป็นขันติเก๊

    โหงว : ไม่เลว ขันติไหนมีการเห็นแจ้งต่อไตรลักษณ์ นั่นคือองค์พระถังแท้

    รูป : ช่วนจิน คือสิงห์ของบุ้นซู้ มาใช้เวรพระราชา...?

    โหงว : บุ้นซู้คือ มัญชูศรีโพธิสัตว์ ตัวแทนของปัญญา อรติแปลงมาเป็นอุเบกขา เพื่อให้ปัญญาเห็นแจ้ง เพื่อว่าทางของโพธิสัตว์จะได้ไพบูลย์

    นาม : สรุปว่า จากเชียงโป้ก๊ก ละนิวรณ์ ๕ อรติและอกุศลธรรมที่อยู่ในระดับนิวรณ์ได้ ศรัทธาที่เหลือแต่ซากก็จะฟื้นขึ้นมาจากตาย นี่คือ การสถาปนาจิตอีกครั้งหนึ่ง

    รูป : อาจารย์เล่าเรื่องปีศาจตัวดุ ๆ หน่อยน่า

    โหงว : เอาล่ะ ต่อแต่นี้ปีศาจตัวดุที่สุด ให้แกฟังให้ดี โธ่...มันขี่คอเจ้าทั้งสองอยู่ทีเดียวล่ะเจ้าเอ๋ย...

    ดูให้ดี ผีหรือเทพ............เสพคบเจ้าอยู่เช้าค่ำ
    พอคิดผิดจิตมืดงำ.........ถ้ำของผีอยู่ที่ใจ
    พอคิดดี ผีก็ดับ.............กลับเป็นเทพ เสพย์สุขไฉน
    สวรรค์บันเทิง เหลิงฤทัย...คิดผิดผุด มุดลงนรก
    นาม : ทั้งนรก แลสวรรค์.....มันระทึก ลึกในอก

    โหงว : ต่อแต่นี้ ผีทารก....

    รูป : เชิญโกหกให้ ชื่นใจเอย...

    โหงว : ?


    (จบบทที่ ๑๘ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
     
  4. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">บทที่ ๑๙
    การทดใช้มิจฉาสังกัปปะ

    พระถังซัมจั๋งได้รับประทับตราหนังสือผ่านเมืองโอเกยก๊กแล้ว พร้อมทั้งสานุศิษย์ก็ทูลลาพระราชามุ่งสู่ทางไปไซที เวลานั้นเป็นเดือน ๙ เข้าเดือน ๑๐ ศิษย์และอาจารย์ก็บรรลุถึงภูเขาลักแป๊ะลี้จั๊บเพ้าพ้อซัว

    จะกล่าวถึงปีศาจทารกผมสามแหยม อั้งฮั้ยยี้หรือเซี้ยเอ็งไต้อ๋อง ลูกของปีศาจงู้หม้ออ๋อง (สหายเก่าของเห้งเจีย) เกิดจากนางล่อซัว

    อั้งฮั้ยยี้บวชเรียนที่สำนักฮ้วยเอี้ยมซัว สำเร็จทางด้านอัคคีฌาน มีนิวาสถานอยู่ถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง ที่มีห้วยน้ำไหลเชี่ยว รายล้อมด้วยดงสนแห้ง

    ปีศาจทารกอั้งฮั้ยยี้ แปลงกายเป็นเด็กทารก ๗ ขวบ ถูกผูกโยงต่องแต่งอยู่บนยอดไม้ ร้องอ้อนวอนให้พระถังช่วย เห้งเจียรู้ทัน แต่พระถังหลงกลสั่งให้เห้งเจียขึ้นไปปลดลงมา ปีศาจก็อ้อนวอนขอขี่หลังเห้งเจีย เห้งเจียยอมให้ขี่พักหนึ่ง พอเห็นได้ทีก็จับฟาดพื้น แต่ปีศาจก็ฤทธิ์กล้า สู้รบกันชุลมุน อั้งฮั้ยยี้จึงบันดาลเป็นพายุพัดหอบพระถังซัมจั๋งไปขังไว้ในถ้ำ

    ฝ่ายเห้งเจียครั้นไม่เห็นพระถัง ก็แผลงฤทธิ์เรียกเจ้าป่าเจ้าเขามาสอบถาม รู้ความแล้วก็ออกค้นจนพบปากถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง ที่มีสะพานหินยื่นข้ามห้วยน้ำไหล เห้งเจียก็ร้องท้าให้เปิดประตูถ้ำมาสู้กัน ฝ่ายอั้งฮั้ยยี้ก็เดือดดาล ให้เข็นเกวียนไปตั้งบรรจุธาตุน้ำ ไฟ ลม ดิน ไม้ แล้วกระโดดขึ้นยืยบนเกวียน กำมือทุบจมูกตัวเองสองที ทันใดนั้น ปากของอั้งฮั้ยยี้ก็พ่นเปลวไฟ จมูกก็พ่นควัน เกวียนก็ลุกแดง ทั้งควันทั้งไฟมืดมิดไปทั่ว

    ฝ่ายเห้งเจีย โป้ยก่าย เห็นเช่นนั้น ต่างก็วิ่งหนีออกไปพ้นห้วยน้ำไหลเชี่ยว เห้งเจียหกคะเมนตีลังกาลิ่วไปเชิญพระยาเง่ากวั๊งเล่งอ๋องทั้ง ๔ มาช่วยดับไฟ ก็หาดับไม่ เห้งเจียย้อนกลับเข้าไปสู้กับอั้งฮั้ยยี้ใหม่ แม้มิกลัวไฟ แต่ก็ถูกควันพิษและเปลวไฟลุกติดตัว วิ่งกระโจนลงดับในห้วยกลับร้อนมากขึ้นถึงสิบเท่า จนเห้งเจียล้มสลบลง

    โป้ยก่าย ซัวเจ๋งเห็นเช่นนั้นก็เข้าพยาบาล เห้งเจียฟื้นขึ้นมาร้องคำเดียวว่า "พระอาจารย์" แล้วร้องไห้เพราะไม่เคยพ่ายแพ้ใคร มาแพ้แก่ฤทธิ์อั้งฮั้ยยี้เป็นครั้งแรก เห้งเจียไม่มีแรงจะเหาะไปหากวนอิม โป้ยก่ายจึงรับหน้าที่แทน

    ฝ่ายอั้งฮั้ยยี้ทราบข่าวนี้ก็เหาะลิ่วไป แปลงเป็นกวนอิมโพธิสัตว์ดักหน้าโป้ยก่ายกลางทาง หลอกโป้ยก่ายเข้าถ้ำ แล้วจับมัดใส่ถุงผูกไว้บนเพดานถ้ำ ครั้นแล้วอั้งฮั้ยยี้ใช้ให้สมุนเอก ๖ คน คือ หุ้นลี้บู๊ บู๊ลี้หุ้น กิมยู่ฮวย ข่วยยู่ฮอง เฮ้งอั่งเฮง เฮงอั่งเฮ้ง ไปเชิญงู้หม้ออ๋องผู้บิดามากินเลี้ยงเนื้อพระถัง

    ฝ่ายเห้งเจียมีกำลังคืนมาก็แปลงกายเป็นแมลงวันเข้าไปสืบข่าว รู้เข้าก็แปลงกายเป็นงู้หม้ออ๋อง ไปนั่งดักรอสมุนปีศาจทั้ง ๖ อยู่ สมุนทั้ง ๖ ก็เชิญกลับเข้าไปในถ้ำของอั้งฮั้ยยี้

    อั้งฮั้ยยี้จับพิรุธได้ว่า เห้งเจียแปลงเป็นงู้หม้ออ๋อง จึงสู้รบกันโกลาหล เห้งเจียกลัวพิษควันไฟ ก็รีบเหาะหนีไปเฝ้ากวนอิมโพธิสัตว์ นิมนต์ให้มาช่วย กวนอิมนำฮุยไง้ศิษย์เอกมาด้วย แล้วให้ฮุยไง้เหาะไปยืมอาวุธวิเศษของเจ้าทีกังมา ๓๖ อัน แล้วเอากิ่งหลิวจุ่มน้ำมนต์วิเศษ เขียนอักขระลงกลางฝ่ามือจองเห้งเจียว่า 'บี๊' (เคลิบเคลิ้ม - นันทิ) แล้วให้เห้งเจียเข้ารบกับอั้งฮั้ยยี้

    เห้งเจียร้องตะโกนท้ารบพักหนึ่ง อั้งฮั้ยยี้ก็เปิดประตูถ้ำออกมาสู้กัน เห้งเจียก็ยกฝ่ามือขึ้นสู้รบ กวนอิมก็ทำอาวุธวิเศษของพระเจ้าทีกังทั้ง ๓๖ ให้กลับกลายเป็นกลีบบัวรองแท่นนั่ง แล้วขว้างไปกลายเป็นมีด ๓๖ เล่ม เสียบแทงปีศาจอั้งฮั้ยยี้ อั้งฮั้ยยี้ก็ล้มลง ครู่เดียวอั้งฮั้ยยี้ก็ดิ้นปึงปังขึ้นสู้ใหม่ พระโพธิสัตว์กวนอิมก็หยิบห่วงมงคลของพระพุทธเจ้าขว้างไปกลายเป็น ๕ วง เข้ารัดร่างของอั้งฮั้ยยี้ ๕ แห่ง ปีศาจก็ยอมแพ้ เห้งเจียจะฆ่า กวนอิมก็ห้ามไว้ แล้วลงโทษอั้งฮั้ยยี้ให้เดินก้าวหนึ่ง ยกมือประณมรำลึกถึงกวนอิมทีหนึ่ง จนถึงน่ำไฮ้ ให้เป็นสานุศิษย์ มีหน้าที่เฝ้าประตู เปลี่ยนชื่อให้เสียใหม่ว่า เสียนใช้ท่งจื้อ

    ฝ่ายเห้งเจียก็เข้าไปในถ้ำ ไล่ฆ่าบริวารปีศาจตายหมด แก้มัดพระถังกับโป้ยก่าย แล้วสมทบด้วยซัวเจ๋งก็เลี้ยงอาหารเจกันในถ้ำปีศาจ อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อไป...



    [​IMG]


    รูป :แหม...อ้ายผีเวรอั้งฮั้ยยี้ มันดุเด็ดขาดไปเลยนิ

    นาม : แหม...อ้ายบ้านี่ ขัดคออาจารย์เรื่อย

    โหงว : นั่นล่ะ อั้งฮั้ยยี้

    รูป : อาจารย์ว่าใครครับ...?

    โหงว : ก็ใครล่ะ ดำริผิด คิดประทุษร้ายอยู่ล่ะ

    นาม : !

    รูป : อั้งฮั้ยยี้ มิจฉาสังกัปปะ ทำไมมีผมสามแหยม งั้นก็...

    นาม : มิจฉาสังกัปปะนั้นมี ๓ คือ กามสังกัปปะ - ดำริกรุ่นไปในกาม วิหิงสาสังกัปปะ - ดำริกรุ่นไปในการเบียดเบียนผู้อื่น พยาปาทสังกัปปะ - ดำริกรุ่นไปในทางมุ่งร้าย นี่คือผมสามแหยม

    รูป : ทำไม มิจฉาสังกัปปะจึงอุปมาด้วยเด็กทารกอยู่ถ้ำ ห้วยน้ำไหลเชี่ยว ล้อมด้วยดงสนแห้ง และเป็นลูกของงู้หม้ออ๋องกับนางล่อซัว

    นาม : ?

    โหงว : งู้หม้ออ๋อง สหายของเห้งเจียสมัยเป็นพาลคือ มิจฉาทิฏฐิ เจ้าย้อนไปดูตอนซึงหงอคง(เห้งเจีย)มีสหายมิจฉาทิฏฐิ ๗ ตน

    นาม :ผมเข้าใจแล้ว งู้หม้ออ๋องคือ มีเมีย ๒ คน คือนางเง็กมิ่นกงจู้ที่อาจารย์เคยด่า คือ กามสุขขัลลิกานุโยค เมียน้อยแสนสวย ส่วนนางล่อซัวเป็นเมียหลวงคือ อัตตกิลมถานุโยค อันมีมูลมาจากวิภวตัณหา

    โหงว :เก่ง...เจ้างู้หม้ออ๋องชอบเมียน้อยคือกามสุขฯ มากกว่า เจ้าจะทราบตอนเห้งเจียผจญนางล่อซัว

    รูป : แล้วเกี่ยวอะไรกับอั้งฮั้ยยี้ มิจฉาสังกัปปะ

    โหงว : อ้าว มิจฉาทิฏฐิกับนางล่อซัว - ตัณหานั้น ออกลูกมาเป็นมิจฉาสังกัปปะ

    นาม : หมายความว่าความคิดดำริผิดทั้ง ๓ คือ ดำริในกาม เบียดเบียนมุ่งร้ายนี้ มีพ่อเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม่เป็นตัณหา

    โหงว :ถูกแล้ว ...ที่อยู่ของมันคือถ้ำกลางห้วยน้ำไหล

    รูป :คล้ายถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง(ท่านน้ำ)ของเห้งเจีย

    โหงว :ใช่ ความคิด เจตนาที่คิดดุจน้ำไหลกราก ดงสนแห้งคือ ความสุขที่ไหม้เกรียม

    รูป :หลับตาพูดไปได้ อะไรต้นไม้ต้นไร่ เอามาแปลความหมด

    โหงว :ต้นสนคือความสุข เจ้าจำให้ดี ตลอดเรื่องถ้ามีดงสนต้องหมายถึงความสุข ส่วนที่นี้ที่ถ้ำ มิจฉาสังกัปปะเป็นดงสนแห้งเกรียม สุขเหมือนกัน แต่สุขชนิดเผาเกรียม

    นาม :ทำไมให้อั้งฮั้ยยี้เป็นเด็กทารก ยังไม่ได้ตอบ

    โหงว :มิจฉาสังกัปปะ - ดำริผิด ดู ๆ จะเป็นเรื่องเล็ก แต่ที่ไหนได้ ฤทธิ์มันร้ายเหลือขนาดทำให้ปัญญาตามืดสลบเหมือดล่ะเธอเอ๋ย...

    รูป :
    ผีพ่นไฟทั้งเป่าควัน.....ชูกำปั้นยืนบนเกวียน
    ตั้งกองธาตุปีศาจเวียน.....ทุบจมูกตน พ่นควันพิษ
    นาม :
    ไฉนเกวียน นั้นลุกแดง.....พิษร้อนแรงร้ายอุกกฤษณ์
    ปัญญาอ่าโอ่ฤทธิ์..........ดำมิดห้วยเกือบม้วยมุด
    โหงว :
    เกวียนคร่ำคร่า คือกายา.........ธาตุนานาเดือดปุดปุด
    ทุบจมูก "ขันธ์"บริสุทธิ์..........ผุดทุบซ้ำ ย้ำ "อุปาทาน"
    รูป : ผมขอถามความสงสัย...

    โหงว : พอ เป็นอันว่า ทุบจมูกครั้งแรกคือ ขันธ์บริสุทธิ์เกิด ครั้นต่อมาก็ถูกยึดถือเป็นอุปาทานขันธ์ ดำริที่ถูกยึดมั่นถือมั่นนั้นดุจควันไฟ ชีวิตมืดมิด ครั้นจะดับมันด้วยความคิด คือคิดจะให้หายทุกข์ ร้อนนั้นกลับยิ่งร้อน

    นาม : เอาหลักเกณฑ์ไหนมาว่า...?

    โหงว :หลักในใจนั่นแหละ ยิ่งคิดจะได้หายพยาบาท มันกลับยิ่งพยาบาท ยิ่งคิดจะให้หายกรุ่นกามมันกลับยิ่งกรุ่น เพราะว่าให้เหยื่อแก่ความคิดปรุงแต่งเท่าเดิม

    รูป :จึงอุปมาด้วยเห้งเจียกระโดดลงห้วยหมายจะดับกลับยิ่งร้อน

    โหงว :ใช่

    รูป :ผมว่าอาจารย์เลียนหนุมานตอนเผากรุงลงกานา...

    โหงว :ก็ใช่นะซีโว้ย...

    นาม :ร้องเรียก "พระอาจารย์" เล่าครับ ?

    โหงว : "ขันติ ๆ - ทนหน่อย ทนหน่อย" เพราะไฟนี้คือ ซิมม้วยฮวย ไฟที่จะเผาให้จิตเป็นหนึ่งแน่ว ความร้อนของมิจฉาสังกัปปะนี้จะเร่งให้สติแนบเนื่องกับดำริ (ความคิด) ขึ้นทุกวัน ดังนั้นอย่ากลัว จงทน

    นาม :แต่ก็เล่นเอาปัญญา "เพลีย" ไปละครับ

    โหงว :เรื่องดำริผิดนี้ละไม่ได้ด้วยศีล

    นาม :ใช่ซีครับ มิจฉาสังกัปปะอยู่ในวิสัยของปัญญา ที่จะเปลี่ยนเป็นสัมมาสังกัปปะ

    โหงว :ขืนใช้ศีลไปเชิญเมตตาเมตตาของศีลจะกลายเป็นปีศาจ คือเมตตาของมิจฉาสังกัปปะ

    รูป :จึงอุปมาว่า โป้ยก่ายถูกปีศาจที่แปลงเป็นกวนอิมจับใส่ถุงชักรอกขึ้นเพดานถ้ำแล้ว สาวกปีศาจทั้ง ๖ คือใครครับ ?

    โหงว :ใครอีกแล้ว คืออะไรซี...ดำริผิดเกิดขึ้นแล้วในทางใดทางหนึ่ง (กาม พยาบาท เบียดเบียน) ทีนี้แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ขาดการสังวรจะไปเชิญพ่อของมิจฉาสังกัปปะ คือมิจฉาทิฏฐิ ให้เพิ่มขึ้นอีก เชิญพ่อมันมากินเลี้ยง

    นาม :หมายความว่าดำริผิดอยู่แล้ว ยังไม่สำรวมอินทรีย์อีก มิจฉาทิฏฐิก็เพิ่มขึ้น แล้วมันก็มาให้กำลังแก่มิจฉาสังกัปปะอีก ใช่ไหมครับ ?

    โหงว :ใช่แล้ว ทีนี้ก็ไปเพิ่มมิจฉาวาจาตลอดจนไปถึงสมาธิ ตามองค์แห่งมิจฉัตตะ ๘ เกิดเป็นมิจฉามรรค แล้วก็มิจฉาวิมุติทีเดียว

    นาม :น่ากลัวจริงครับ อ้ายเจ้าผีเด็กแดงคือดำริ คิด ๆ เอาทีละนิด ๆ ทางหนึ่งมันทำให้เกิดอริยมรรค ทางหนึ่งมันให้เกิดมิจฉามรรค

    โหงว :นี้เป็นไปตามกฏแห่งอิทัปปัจจยตา ตามที่เพราะสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น

    รูป :ทีนี้เห้งเจียปลอมเป็นแมลงวัน

    นาม :โธ่ อ้ายเซ่อ โยนิโสมนสิการของปัญญา ดุจลิงแปลงเป็นแมลงวัน ก็อาจเห็นได้ชัดว่าความไม่สำรวมอินทรีย์นั่นแหละ ชีวิตจึงไปเชิญมิจฉาทิฏฐิมา มันเพิ่งเกิดเมื่อไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เอง ทีนี้ปัญญา(เห้งเจีย)คือสัมมาทิฏฐิก็แปลงกายมาแทน คือ ทุกครั้งที่ตาเห็นรูป ก็เห็นด้วยปัญญาตามที่เป็นจริง สัมมาทิฏฐิก็เกิดขึ้น

    รูป :ก็อั้งฮั้ยยี้มันจับโกหกได้ กลแตกนี่

    โหงว :ปัญญามันยังเป็นโลกียะ ยังหยาบคาย มันก็ทำประณีตอยู่นานได้รึ ก็ต้องสู้รบกันโกลาหล เพราะทำในใจให้แยบคายได้ไม่นาน

    นาม :แล้วทำไมไม่ใช้ซัวเจ๋ง(สมาธิ)ช่วย?

    โหงว :เฮ้ย...ซัวเจ๋งต้องรักษาม้า(วิริยะ)กับพระถัง(ขันติ) แล้วมิจฉาสังกัปปะนั้นฆ่ามันไม่ได้หรอก มันเป็นกระแสหลั่งไหล จะต้องทดใช้มันไปในทางเมตตาจนกว่าจะบรรลุถึงเขตโซจ๊อก

    นาม :พุทโธ่ เข้าใจแล้ว นิมนต์กวนอิมมาปราบคือใช้เมตตาร่วมแรงกับปัญญา(เห้งเจีย) เพราะว่ามิจฉาสังกัปปะทั้ง ๓ รวมลงในข้อเดียวที่ว่า ดำริ "ประทุษร้าย" ตามสัญชาตญาณอย่างสัตว์ กามคือการประทุษร้าย พยาบาท - ก็ประทุษร้ายตัวเอง เบียดเบียน - ประทุษร้ายผู้อื่น จึงทดใช้ให้ดำริในทางเมตตาเสมอ เพื่อละสัญชาตญาณอย่างสัตว์

    รูป :แหม...กาม คือการประทุษร้าย

    นาม : !

    โหงว :ลองเฉลย กวนอิมเขียนอักขระลงบนฝ่ามือเห้งเจียว่า "บี๊"

    รูป :ผมแสดงมั่ง 'บี๊' เท่ากับเคลิบเคลิ้มหรือนันทิ ความเพลิน หมายความว่า แทนที่จะเพลิดเพลินในสัญชาตญาณอย่างสัตว์คือกาม พยาบาท เบียดเบียน ให้หันมาเพลินในเมตตา อั้งฮั้ยยี้ก็จังงังงวยงงด้วยคาถามหาละลวยของกวนอิม ด้วยประการฉะนี้ เอวัง

    โหงว :ยังไม่เอวังสิ เมตตานั้นมีศิษย์คือทาน เพลินที่จะดำริในการให้อยู่เสมอ

    รูป :อั้งฮั้ยยี้ก็ยังไม่ล้ม

    โหงว :ใช่ กวนอิมจึงต้องขอยืมอาวุธเจ้าทีกังมา ๓๖ อัน มาเป็นกลีบบัวรองนั่ง แล้วขว้างไปเป็นมีดเสียบปีศาจ

    นาม :พุทโธ่เอ๋ย เข้าใจแล้ว เมตตาทานอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องเอามงคล ๓๖ มาเป็น "กลีบ" รองสิ่งแวดล้อมของใจให้เกิดแนวโน้มในทางเสียบแทงปีศาจดุจมีดปลายแหลม

    รูป :ของเขามี ๓๘ ดันเอามาเพียง ๓๖ มีอย่างที่ไหน

    นาม :ข้อ ๓๖ วิรัชชัง - เว้นจากธุลี เขมัง - จิตเกษม นั้นเป็นเรื่องหลุดพ้นแล้ว ตอนนี้เอาแค่ ๓๖ ก่อน

    รูป :มงคล ๓๖ น่ะ อะไรบ้าง

    นาม :ไปเปิดตำราเอาเองซี นับแต่...ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต...

    รูป :เอาล่ะ อั้งฮั้ยยี้ดำริผิด มันเซไปหน่อย เดี๋ยวหนึ่งกลับฟื้นขึ้นมาฮึดฮัดอีกล่ะ...?

    โหงว :ทีนี้ต้องสวมห่วงมงคล ๕ ห่วง ในที่ ๕ แห่งให้มัน

    นาม :ดำริผิดจะต้องทดใช้ไปทางเมตตา ด้วยการแผ่เมตตาไปสู่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยอาการ ๕ คือ

    ๑. สพฺเพ สตฺตา - - สัตว์ทั้งหลาย
    ๒. สพฺเพ ปาณา - - สัตว์มีปราณ (ลมหายใจ) ทั้งหลาย
    ๓. สพฺเพ ภูตา - - สัตว์เกิดแล้วทั้งหลาย
    ๔. สพฺเพ ปุคฺคลา - - สัตว์คือบุคคลทั้งหลาย
    ๕. สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนฺนา - - สัตว์ผู้ที่ถึงแล้วซึ่งภาวะแห่งตนทั้งหลาย

    รูป :ทั้ง ๕ อาการ ว่างจากสัตตา ว่างจากปาณา ว่างจากภูตา ว่างจากปุคคลา ว่างจากอัตตา นี่คือมงคล ๕ ห่วง สวมเข้าไป ๕ ตำแหน่ง แล้วความดำริจะอยู่ในอำนาจ

    โหงว :เจ้าชักจะฉลาดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่เอวัง

    นาม :นอกจากนี้แล้ว ต้องแผ่เมตตาด้วยปัญญา (กวนอิมคือเมตตา - ปัญญา) ด้วยอาการ ๕ ที่ "ว่าง" จากสัตว์ทุก ๆ ย่างก้าวด้วย

    โหงว :ไม่ใช่ประณมที่มืออย่างเดียว จิตนั้นมีเมตตาประกอยด้วยสุญญตา

    รูป :บ้ากันใหญ่ เมตตา และว่างจากบุคคล ว่างจากสัตว์ ว่างจากชีวะ แล้วจะไปเมตตากะผีอะไรได้

    โหงว :ว่างจากคน มีแต่ธรรม

    นาม :อั้งฮั้ยยี้ได้เป็นสานุศิษย์ของกวนอิม เฝ้าประตูหน้าคือดำริแต่เมตตา นี่คือการทดใช้ความคิด(ดำริ)ที่เคยเถื่อน ประทุษร้าย

    โหงว :กายกรรมทดใช้ไปทางรับใช้ผู้อื่น ไม่หวังผลตอบแทน วจีกรรมทดใช้ไปทางรับใช้ผู้อื่นด้วย พูดแต่มรรคาของชีวิต ความดำริ ความคิดทดใช้ไปทางเมตตาการุณย์ต่อสรรพสัตว์ ใจรู้แจ้งต่อสุญญตา นี่คือการบวชตามโพธิสัตว์วิธี

    นาม :บวชกาย บวจวาจา บวชความดำริ และบวชปัญญา

    รูป :คือปีศาจเอ็กฮองไต้อ๋อง ปีศาจอึ้งฮองไต้อ๋อง ปีศาจทารกอั้งฮั้ยยี้ ซึงหงอคง(ปัญญาเห็นสุญญตา - เห้งเจีย) เล่าต่อดีกว่า

    นาม :เดี๋ยวก่อน กินเจ...?

    รูป :จะบ้าหรือแก กินเจก็คือกินผัก มังสวิรัติ จะไปแปลความให้เป็นด้านในทำไม

    โหงว :กินเจ คือ นิรามิสสุข - สุขที่ไม่อิงอามิส ชีวิตทดใช้มิจฉาสังกัปปะได้ ก็มีความสุข เพราะเมตตานี่คืออาหารที่ไม่เสพสัญชาตญาณอย่างสัตว์

    รูป :โอ้โฮ ลึกขนาดนี้เชียวรึแล้วกินโชล่ะ ? (โช = เนื้อเลือด)

    นาม : ก็คือเสพสัญชาตญาณอย่างสัตว์ ไร้เมตตา มีแต่สัญชาตญาณของการประทุษร้ายเป็นอาหารของชีวิต เรียกว่า สามิสสุข สุขเพราะอิงอามิส



    (จบบทที่ ๑๙ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5380 vAlign=bottom></TD><TD class=smalltext vAlign=bottom align=right>[​IMG] บันทึกการเข้า </TD></TR></TBODY></TABLE><HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๒๐
    อวิชชานิวรณ์ - อวิชโชฆะ


    ศิษย์และอาจารย์ออกจากถ้ำฮ้วยหุ่นต๋องแล้ว เดินทางมาพักใหญ่ บรรลุถึงฝั่งแม่น้ำเฮ็กขุ้ยฮ้อ พระถังและโป้ยก่ายก็ลงเรือข้ามลำน้ำไปก่อนเห้งเจีย จึงถูกปีศาจตะพาบน้ำ ชื่อกูเคียด จับตัวไปขังไว้ หวังจะต้มเนื้อกิน

    ฝ่ายเห้งเจัยนั้น ชำนาญแต่บนบก จึงให้ซัวเจ๋งแหวกน้ำลงไปรบล่อให้กูเคียดขึ้นมา ปีศาจกูเคียดรู้ทันก็กบดานอยู่ในลำน้ำเฉยเสีย เห้งเจียก็มิรู้จะทำอย่างไรดี ก็เรียกเง่าสูนเล่งอ๋องมาคาดคั้นเอาความจริงจึงรู้ว่า ปีศาจตะพาบน้ำกูเคียดที่แท้เป็นบุตรคนที่ ๙ ของพญาเล่งอ๋องที่กระทำผิดต่อคำสั่งสวรรค์ และเง็กเซียนฮ่องเต้ได้สั่งให้งุยเต็งประหารเสีย

    กูเคียดได้กลายเป็นตะพาบน้ำ มาแย่งศาลเจ้าอยู่ในแม่น้ำเฮ็กจุ้ยฮ่อ (แปลว่า "น้ำดำ") ครั้นจับพระถังกับโป้ยก่ายได้แล้วก็ส่งจดหมายถึงน้าชายทั้งสองให้มากินเลี้ยงเนื้อพระถัง

    แล้วเง่าสูนเล่งอ๋องจึงมอบหมายให้บุตรชายชื่อมอหงังไท้จื้อผู้มีอาวุธคือเหล็กสามเหลี่ยม ไปจับตัวกูเคียดมาให้เห้งเจียลงโทษ มอหงังรับคำแล้วก็ไปสู้รบ แล้วจับตัวกูเคียดมาหาเห้งเจีย เห้งเจียยกโทษให้ มอหงังจึงลากคอกูเคียดไปให้เง่าสูนเล่งอ๋องลงโทษ

    ฝ่ายเจ้าที่ที่อยู่ในศาลเจ้าก็แหวกน้ำดำให้เป็นทางโล่ง เชิญศิษย์และอาจารย์ให้ข้ามไปยังฝั่งตรงกันข้ามโดยปลอดภัย



    [​IMG]



    รูป : ฮื่อ อาจารย์นี่ไม่ใช่เล่น พระถังแหวกน้ำในแม่น้ำดำ เหมือนโมเสสแหวกน้ำทะเลแดงจริง ๆ นิ รามายณะไม่พอ...

    นาม :แต่ว่าความหมายวิเศษทางพุทธธรรมเป็นอัจฉริยะของท่าน

    รูป : ไหนแกลองเฉลยซิ

    นาม :กูเคียด ปีศาจตะพาบน้ำ คืออวิชชานิวรณ์ อาศัยอยู่ในแม่น้ำดำคือความมืดตื้อ

    รูป :จับกูเคียดได้ แหวกน้ำดำก็บรรลุอรหัตตผลน่ะซี

    นาม :โฮ้ย ยัง อวิชชาระดับนี้เป็นเพียงนิวรณ์หยาบ ๆ จึงเปรียบด้วยตะพาบน้ำ เมื่อทดใช้มิจฉาสังกัปปะได้ ก็จะละอวิชชานิวรณ์ได้ แล้วจะข้ามแม่น้ำใหญ่ แล้วทิฏฐิก็เริ่มตรงแน่ว ไม่วกวน

    รูป :ชักเลอะกันใหญ่แล้วซี ทีแรกบอกว่ามีสัมมาทิฏฐิ แล้วจะมีสัมมสังกัปปะ เดี๋ยวนี้บอกว่าทดใช้มิจฉาสังกัปปะ จะมีสัมมาทิฏฐิ กลับไปกลับมาได้ไง?

    นาม :มันอิงกันเหมือนไม้สองท่อน พิงเป็นมุมยอดอยู่ จะบอกว่าอันไหนเป็นเหตุหรือผลโดยส่วนเดียวก็ไม่ได้ สัมมาทิฏฐิมากขึ้นก็ทำให้ดำริถูกต้องมากขึ้น ดำริยิ่งถูกต้อง ความเห็นก็ยิ่งถูกต้อง

    รูป :เอ้า...ยอม ทำไมกูเคียดจึงเป็นบุตรคนที่ ๙ ของเล่งอ๋องที่ถูกงุยเต็งประหารตามคำสั่งสวรรค์

    นาม :ข้อนี้จนจริง ๆ เอ...อาจารย์ก็ไม่อยู่ แต่แน่ใจว่ากูเคียดคือหางแถวของอวิชโชฆะ คือเล่งอ๋องที่ถูกงุยเต็ง(โลกียสัมมาทิฏฐิ)ฆ่า ในฐานะที่ทำน้ำท่วม

    รูป :น้าทั้งสองของกูเคียด ?

    นาม : ทิฏโฐฆะ ภโวฆะ มีทิฏฐิจัดดุจน้ำท่วม มีภาวะจัดดุจน้ำท่วม พออวิชโชฆะท่วม ทิฏฐิและภพก็มารุมกินโต๊ะ

    รูป :แล้วกาโมฆะ (กำหนัดในกามจัดดุจน้ำท่วม)

    นาม :เฮ้ย...เมากามหาจัดเป็น "เล่ง" ได้ไม่ แต่ทิฏฐิและภพนี้เนื่องจากค่อนข้างมีปัญญา จัดเป็นเล่งอ๋องได้

    รูป :มอหงังไทจื้อผู้ปราบกูเคียด ?

    นาม :บุตรของเง่าสูนเล่งอ๋อง เง่าสูนคืออิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ที่เป็นคุณธรรมเครื่องให้ถึงความสำเร็จ แต่มอหงังเป็นทายาทเท่านั้นคือ เล็งเอาความประสงค์จะพ้นจากอวิชชาในระดับนิวรณ์

    รูป :แล้วทำไมเห้งเจียไม่ฆ่ากูเคียดเสียล่ะ

    นาม :ไม่ต้องสิ เพราะว่าแท้จริงอวิชชาก็คือโพธินั่นแหละ

    รูป :บ้า !

    นาม :ดี สิ่งไหนที่เป็นอวิชชา สิ่งนั้นมาจากโพธิ เป็นอัญญรูปของโพธิ พอรู้จักอวิชชาถูกต้องก็นั่นแหละโพธิ โพธิถูกรู้จัก ถูกเห็นเมื่อรู้จักอวิชชา และรู้ว่าอวิชชาเนื่องอยู่กับโพธิ ไม่มีอวิชชาแล้วโพธิมันจะมีมาได้อย่างไร

    รูป :เอาเข้าไป

    นาม :จริง ๆ นา อาจารย์จึงให้กูเคียดถูกลากคอมาหาเห้งเจีย มาให้รู้จักเท่านั้น

    รูป :แหวกแม่น้ำดำล่ะ ?

    นาม :ก็เฉลยแล้ว ใช้ปัญญากำหนดรู้อวิชชา แม่น้ำดำก็แหวกออก

    รูป :เป็นอันว่าแหวกไปขุ่น ๆ นั่นเอง

    นาม :เอ๊...ก็บอกว่า แม่น้ำดำแหวกออก โล่งโถง พระถังกับศิษย์ก็ข้ามไปได้

    รูป :เปล่า...ข้าว่าแกน่ะ แหวกเฉลยไปน้ำขุ่น ๆ

    นาม : !

    รูป :อ่านต่อซี เมื่อไหร่จะพบปีศาจดุ ๆ อีกไม่รู้...
     
  6. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">บทที่ ๒๑ โพธิสัตวยาน

    ย่างเข้าเดือนสามเดือนสี่ สองข้างทางร่มรื่น ดอกไม้บานหอมกรุ่น ศิษย์และอาจารย์แลไปข้างหน้าเห็นกำแพงเมืองใหญ่ และเห็นพระสงฆ์หมู่ใหญ่กำลังลากเกวียนพร้อมส่งเสียงตะโกน "มหาพลังโพธิสัตว์" ดังกระหึ่ม

    พระถังได้ยินเสียงนั้นก็ซาบซ่านใจ ฝ่ายเห้งเจียพิจารณาดูหมู่สงฆ์ เห็นทางสองแพร่งทางลัดตัดตรงทางหนึ่ง และทางลาดชันอีกทางหนึ่ง แต่สงฆ์หมู่ใหญ่นั้นลากเกวียนบรรจุอิฐทราย กระเบื้อง ไม้ไปทางลาดชันเพื่อไปสร้างหอตามคำสั่งบังคับของ ๓ เต้าหยิน - เฮ้าลัดไต้เซียน ลกลัดไต้เซียน เอี๋ยวลัดไต้เซียน เซียนทั้ง ๓ ได้ทำบุญคุณกับพระราชาสมัยฝนฟ้าแห้งแล้ง โดยเรียกลมฝนมาตก พระราชาเมืองเซียตี้ก๊กนี้จึงบูชา

    ฝ่ายเซียนทั้ง ๓ ก็ข่มขี่พระสงฆ์โดยบังคับให้ทำงาน ซึ่งแต่เดิมมีกว่า ๑,๐๐๐ รูป ลำบากคับแค้นตายไปเสีย ๖๐๐ กว่ารูป คงเหลือ ๕๐๐ เศษ ที่ยังยืนยงไม่มีอะไรฆ่าได้ แต่ต้องทนทรมาน จนกว่าคณะไปไซทีจะมาช่วย

    ฝ่ายเห้งเจียเข้าไปสอบถามพระสงฆ์เหล่านั้น ทราบความคับแค้นใจแล้ว ก็ยกเกวียนที่มีวัสดุก่อสร้างฟาดเสียแหลก แล้วฆ่าเต้าหยินสมุนรองของ ๓ เซียนเสีย พร้อมกับถอนขนของตนให้พระสงฆ์เหน็บไว้ที่เล็บนิ้วนางทุกองค์ สำหรับคุ้มภัย พระสงฆ์ทั้ง ๕๐๐ ก็เป็นไทแก่ตัว สงฆ์เหล่านั้นสำนึกในบุญคุณก็เชิญคณะไปไซทีเข้าพักค้างที่พระอารามหลวงตี้เซียนยี่

    ครั้นตกดึก เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง ก็แอบเข้าไปในสถานที่บูชาซัมเซง(สามพรหม คือ ง่วนซุ้ยทีกุน เล่าโป๊เต้ากุน และท้ายเสียงเล่ากุน) และแอบขโมยของบูชากินเสียสิ้น ซ้ำยังถ่ายปัสสาวะให้พวกเต้าหยินกิน หลอกต้มว่าเป็นน้ำมนต์ พวกเต้าหยินจับได้ก็สู้รบกันโกลาหล เห้งเจียก็พาลทำลายแท่นบูชา แล้วทั้งสามก็กลับไปยังวัดตี้เซียนยี่

    พอรุ่งเช้า เห้งเจียก็นำหน้าพระถังและคณะเข้าไปในพระราชวัง เพื่อขอประทับตราผ่านเมือง พวกเต้าหยินจำได้ก็ทูลให้พระราชาทราบความ พระราชาเซียตี้ก๊กพิโรธ จะลงโทษ เห้งเจียทูลขอแสดงการเรียกลมเรียกฝนแข่งกับเซียนทั้ง ๓ เพื่อแลกหนังสือผ่านเมือง

    ด้วยเดชของตะบองวิเศษของเห้งเจีย เต้าหยินทั้ง ๓ ไม่อาจเรียกลมเรียกฝนมาได้เลย พอถึงคราวเห้งเจีย พญาเล่งอ๋องถูกเรียกมาแล้ว ให้พระถังขึ้นนั่งบนแท่นสวดภาวนาพระคัมภีร์ซิมเกงเท่านั้น พญาเล่งอ๋องก็บันดาลใทั้งลมทั้งฝนเกิดขึ้นได้ดังประสงค์ โดยไม่ต้องตั้งพิธีเผากระดาษ (กงเต๊ก)

    ฝ่ายเซียนทั้ง ๓ โกรธแค้นยิ่งนัก ก็ร้องท้าให้ฝ่ายเห้งเจียมานั่งสมาธิแข่งกัน กติกาวางไว้ว่า หากฝ่ายใดกระดุกกระดิกกายก่อนถือว่าเป็นฝ่ายแพ้ เห้งเจียไม่ยอมรับคำท้า เพราะสันดานของตนไม่อาจอยู่นิ่งได้ พระถังซัมจั๋งจึงขันอาสาสู้แทนเห้งเจีย เพราะพระถังนั้นรู้เคล็ดลับของการทำสมาธิว่า "คือการสำรวมจิต เพ่งดูการเกิด - ดับของอารมณ์"

    ฝ่ายเซียนทั้ง ๓ ให้ทำแท่นสูงลิ่วสองแท่น พระถังปีนขึ้นนั่งไม่ได้ เห้งเจียก็อุ้มแล้วเหาะพาขึ้นไปนั่ง การแข่งขันก็เริ่มขึ้น คู่แรกระหว่าง พระถังซัมจั๋งกับเฮ้าลัดไต้เซียน

    ลกลัดไต้เซียนคิดจะช่วยเฮ้าลัด จึงถอนขนท้ายทอยของตัว เสกขว้างไปเป็นหนอนเกาะกะโหลกพระถังอยู่ พระถังก็เริ่มหงุดหงิด เห้งเจียตาไว แลไปเห็นหนอนก็รู้ว่าศตรูเล่นไม่ซื่อ ก็ถอดทิ้งคราบเห้งเจียยืนอยู่ที่เดิม ตัวจริงหายวับกลับไปเป็นแมลงวันมาแก้ไขให้พระถัง แล้วแปลงจากแมลงวันกลายเป็นตะขาบกระโดดไปเจาะจมูกเฮ้าลัด เฮ้าลัดก็สะดุ้งตกใจ ตกจากแท่นสูง พ่ายแพ้แก่พระถัง

    ถัดมาจึงเป็นคราวของลกลัดไต้เซียน ร้องท้าให้ทายในสิ่งที่กำบัง ลกลัดจัดซ่อนสิ่งไหนไว้ เห้งเจียก็ร่ายคาถาแปลงให้ผิดเพี้ยนไปเสียก่อน แล้วกระซิบบอกพระถัง พระถังก็ทายถูกทุกครั้งไป ลกลัดก็พ่ายแพ้ไปอีก

    ฝ่ายเฮ้าลัดเดือดดาลร้องท้าให้ตัดหัวแข่งกัน เห้งเจียก็ตัดหัวตัวเองให้ดู แล้วหัวกลับงอกใหม่ไม่ขาด เมื่อถึงคราวเฮ้าลัด เห้งเจียก็ปลอมเป็นสุนัขคาบหัวเฮ้าลัดไปทิ้งแม่น้ำ เฮ้าลัดก็ขาดใจตาย

    ลกลัดจึงท้าเห้งเจียผ่าอก สาวไส้แข่งกัน เห้งเจียก็แสดงให้ดู เมื่อถึงคราวลกลัด เห้งเจียก็ปลอมเป็นอีแร้งโฉบไส้ลกลัดบินหนีไป ลกลัดก็สิ้นใจตายกลายเป็นกวางขาว

    ฝ่ายเอี๋ยวลัดเดือดดาล ร้องท้าให้อาบน้ำมันเดือดแข่งกัน เห้งเจียก็ลงในกระทะน้ำมันเดือด ดำผุดดำว่ายเล่นเย็น ๆ ใจ ครั้นถึงคราวของเอี๋ยวลัด เอี๋ยวลัดลงไปดำเล่นได้เช่นกันเห้งเจียประหลาดใจ พิจารณาดูก็รู้ว่า เอี๋ยวลัดมีมังกรเย็นช่วยให้น้ำมันเดือดนี้กลับเย็นลง เห้งเจียจึงร่ายเวทเรียกพญาเล่งอ๋องมาให้เรียกมังกรเย็นกลับคืน เอี๋ยวลัดจึงถูกน้ำมันเดือดลวกตายร่างกลายเป็นแพะป่าไป

    ฝ่ายพระราชาเซียตี้ก๊ก เห็นฤทธิ์เห้งเจียแล้วก็เคารพบูชายิ่งนัก ประทับตราหนังสือผ่านแดนให้ พระสงฆ์ทั้ง ๕๐๐ ก็คืนขนคุ้มตัวแก่เห้งเจียแล้ว ศิษย์และอาจารย์ก็ทูลลาพระราชา ออกมุ่งหน้าสู่ไซที



    [​IMG]



    รูป : (หึ ๆ ) พระสงฆ์หมู่ใหญ่ลากเกวียน เคยมีตั้งพันกว่ารูป ตายเสียหกร้อย เหลือห้าร้อยเศษ ลากเกวียนไปก็ร้องตะโกนไป "มหาพลังโพธิสัตว์ มหาพลังโพธิสัตว์ " โธ่...น่าสงสาร

    นาม : แกไม่รู้ความถึงได้สงสาร ส่วนผู้รู้ได้ยินแล้วซาบซ่าน

    รูป : อ้ายคนใจหิน พระถูกบังคับให้ทำงานเป็นกุลียังซาบซ่านอยู่ได้

    นาม : เอาอีกแล้ว พระสงฆ์ ๑,๐๐๐ รูปอาจารย์ท่านหมายถึงโพธิสัตว์ศีล แต่เดิมมีอยู่พันกว่า ขาดตกไปหกร้อย เดี๋ยวนี้เหลืออยู่ ๕๐๐ ที่ยังอยู่ ๕๐๐ ข้อนี่แหละที่เป็นมหาพลังโพธิสัตว์

    รูป :แล้วทางสองทางล่ะ ลัดสั้นกับทางชัน ทำไมพระสงฆ์หมู่นั้นโง่เง่าถึงกับลากเกวียนขึ้นทางชันและก็ยาวด้วย ทางลัดสั้นก็มีไม่ยักชอบ

    นาม : ทางลัดคือหินยาน - เรื่องหลุดพ้นเฉพาะตน ส่วนทางชันและยาวคือมหายาน ลากเกวียนบรรทุกทราย กระเบื้อง หิน ฯลฯ ไปด้วย คือโพธิสัตวยาน

    รูป :เกวียนบรรทุกทราย กระเบื้อง หิน ฯลฯ ...?

    นาม :ประชาสัตว์ที่สักว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ พระโพธิสัตว์ลากจูงประชาสัตว์ไปด้วยมหายานวิถี โดยความรู้สึกของความที่ไม่มี "สัตว์" ที่จะลากจูงไป แต่เป็นดุจ อิฐ หิน ทราย กระเบื้อง...

    รูป :เฮ้อ...กลุ้ม ลากจูงสัตว์ แต่ไม่ใช่สัตว์ พูดจาช่างไม่มีสัจจ์เสียเลยแก

    นาม :เอ้า...นี่แหละกลับเป็นบรมสัจจ์ของพระโพธิสัตว์ล่ะ

    รูป :เดี๋ยว...ก็โป้ยก่ายคือศีล แล้วจะมีโพธิสัตว์ศีลอะไรอีก?

    นาม :โป้ยก่ายคือศีลของปัจเจก ศีลที่จะสมทบกับปัญญาเป็นองค์แห่งมรรค แต่โพธิสัตว์ศีลเป็นอุดมคติ เป็นรูปแบบที่งดงามที่สุด

    รูป :เแปลว่า ไม่ต้องมีปัญญา

    นาม :อ้ายเซ่อ ก็เห้งเจียถอนขนคุ้มตัวให้พระสงฆ์องค์ละเส้นเสียบไว้ในเล็บมือไม่ใช่รึ ?

    รูป :เอ้อ...จริง โพธิสัตว์ศีลทั้ง ๕๐๐ ต้องแทรกปัญญาสุญญตาในทุก ๆ ข้อ เอ๊ะ แล้วทำไมต้องเสียบที่มือ ?

    นาม :โพธิสัตว์ศีลทุกข้อล้วนแต่ให้เสียสละเพื่อผู้อื่น อุปมาด้วยมือที่หยิบยื่นอยู่เสมอ แต่ให้โดยสุญญตา แก่ประชา"ธาตุ"

    รูป :ภาษาบ้าอะไรของแก...ประชาธาตุ ?

    นาม :เอาละเป็นอันว่าเมื่อมีปัญญาเรื่องสุญญตาแล้ว โพธิสัตว์ศีลก็เป็นไปได้อย่างคล่องตัว อิสระ

    รูป :มิน่า จึงให้เห้งเจียฟาดเกวียนเสียแหลก เอ้า...เฉลยต่อว่า ๓ เซียนคือใคร ?

    นาม :เจ้าขี้เลือน...คืออะไร...ไม่ใช่คือใคร...

    รูป :แพะ กวาง เสือ...?

    นาม :โธ่เอ๊ย...นึกออกแล้ว เฮ้าลัด คือมหายานอย่างเซ็น (พุทธยาน) - ยานเทียมด้วยโค ลกลัด คือมหายาน - ยานเทียมด้วยกวาง เอี๋ยวลัด หินยาน - ยานเทียมด้วยแพะ

    รูป :เฮ้าลัดคือปีศาจเสือไม่ใช่โค...

    นาม :ตอนนี้ยังเป็นเซ็นปลอม ก็ต้องเทียมด้วยเสือไปก่อนซี หินยานนั้นคับแคบ อุปมาด้วยยานเทียมด้วยแพะ เป็นเรื่องมุ่งหลุดพ้นส่วนตัว จึงปฏิบัติสะดวก เอาตัวรอดคนเดียว

    รูป :มหายานนั้นใจกล้ารับภาระหนัก ชักจูงประชาสัตว์ไปสู่นิพพาน ดุจยานเทียมด้วยกวางขาว

    นาม :มหายานอย่างเซ็นนั้นเทียมด้วยโคขาว คือพุทธยาน ทั้งหมดยังต่ำกว่าโพธิสัตวยาน โพธิสัตววิธีคือ ปณิธานที่จะกวาดต้อนประชาสัตว์เข้าสู่นิพพานให้หมดสิ้น ตนจะเป็นผู้ยอมทน

    รูป :อาจารย์ไปไหนมา ?

    โหงว : เมืองจีน

    นาม :เชิญอาจารย์พักหายเหนื่อยสักครู่ แล้วเล่า "มุ่งตะวันตก" ต่อเถอะครับ

    โหงว :ขอพักเหนื่อยหน่อย เจ้าอ่านถึงตอนไหนแล้วล่ะ

    นาม :สถาปนาจิตลงบนโพธิสัตววิธี

    โหงว :เอาล่ะ ตอนต่อไปเป็นปีศาจร้ายกาจน่ากลัวที่สุด ที่คณะไปไซทีต้องผจญ ;
    ผีเรียนมากปากพ่นหมอก... .....ดูไม่ออกรู้หรือหลง
    ปรัชญาพ่นจนคนงง....
    รูป :เอากระด้งบังหันหลังแล่น

    โหงว :เรื่องให้ละกิเลสจริง....พ่อจอมสิงห์วิ่งอกแอ่น

    รูป :กลับเป็นแมวแจวไปแจ้น

    นาม : แค่นไค้เขาอิเหนาเป็นเอง-เอย


    (จบบทที่ ๒๑ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5382 vAlign=bottom></TD><TD class=smalltext vAlign=bottom align=right>[​IMG] บันทึกการเข้า </TD></TR></TBODY></TABLE><HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๒๒
    ปริยัติเฟ้อดุจหมอกมัว


    ท่ามกลางแสงจันทร์สว่างในคืนฤดูร้อน และตอนกลางวันมีท้องฟ้าแจ่มใส ศิษย์และอาจารย์รอนแรมมาจนบรรลุถึงแม่น้ำ ทงทีฮ้อ(ฟ้าทะลุ) ฝั่งกว้างไกลสุดวิสัยสายตาของเห้งเจียจะแลเห็นได้ มีเสาศิลาสลักอักษรว่า "เกียก่วยโป๊ยเชยลี้โก๊โป้นั้งเกี๊ย - ข้ามได้สิ้นแปดพันลี้(หาก)เดินมาไม่มีผู้เดิน"
    ศิษย์และอาจารย์ตริตรองแล้วก็เดินเลียบฝั่งมาพักที่หมู่บ้าน ตั๊นแกจึงได้พบกับตาเฒ่า ๒ พี่น้องแซ่ตั๊น อันเป็นแซ่เดียวกันกับพระถัง (ตั๊นเหี้ยนจึง) คนพี่ชื่อตั๊นเท่ง มีธิดาชื่อเจ๊กชิ้นกิม ตาเฒ่าผู้น้องชื่อตั๊นเซง มีบุตรชายชื่อตั๊นกวนโป๊

    ตาเฒ่า ๒ พี่น้องได้เล่าความทุกข์ความโศกให้เห้งเจียฟัง เพราะถึงวาระที่พวกตนจะต้องส่งบุตร-ธิดา ให้ปีศาจเล่งก้ำอึ้ง ที่มันมาแย่งอำนาจในลำน้ำทงทีฮ้อ จากเต่าขาว ทุก ๆ ปีชาวบ้านตั๊นแกจึงจะต้องจัดบุตรธิดาไปไว้ที่ศาลเจ้า ริมแม่น้ำ สังเวยแก่ปีศาจร้าย

    เห้งเจียสงสารตาเฒ่าก็รับอาสาจะช่วย ชวนโป้ยก่ายไปที่ศาลเจ้าโดยปลอมเป็นเด็กหญิงชายทั้งคู่ ฝ่ายปีศาจเล่งก้ำอึ้งถึงเวลามากินเครื่องเซ่นก็โผล่จากแม่น้ำขึ้นมาที่ศาล โป้ยก่ายเผลอตัวแสดงพิรุธ ปีศาจจึงรู้ทันจึงสู้รบกันโกลาหล ปีศาจสู้สองเกลอไม่ได้ก็ผูกอาฆาต หลบหนีลงน้ำไปคิดแผนการจะจับพระถังมากินเนื้อ
    ในตอนดึกคืนนั้น พระจันทร์สว่างขาวนวล เล่งก้ำอึ้งได้บันดาลให้เกิดหมอกมัวฟุ้งขาวไปทั้งลำน้ำ ทำให้ผิวน้ำจับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง แล้วให้สมุนปีศาจแปลงเป็นพ่อค้าจูงลาจูงม้าข้ามไปมาบนผิวน้ำ เพื่อล่อลวงพระถัง ฝ่ายพระถังนั้นมีใจจดจ่อแต่การไปให้ถึงไซที ครั้นตื่นขึ้นกลางดึกได้ยินเสียงพ่อค้าจูงลาเดินข้ามมาบนผิวน้ำแข็งก็ปลุกสานุศิษย์อำลาเจ้าของบ้านแล้ว ให้เห้งเจียนำหน้า ซัวเจ๋งจูงม้าเดินมาท่ามกลางแสงเดือนและหมอกขาว ครั้นพอถึงกลางลำน้ำทงทีฮ้อ ปีศาจเล่งก้ำอึ้งก็บันดาลให้น้ำแข็งละลาย ทางเดินก็ยุบฮวบลง จึงจับตัวพระถังไว้ได้ เอาไปขังไว้ในปราสาทใต้น้ำ เตรียมต้มกินเนื้อ

    ฝ่ายเห้งเจียเหาะขึ้นบนฟ้าได้ทัน โป้ยก่าย ซัวเจ๋งและม้านั้นชำนาญทางน้ำจึงรอดมาได้ ก็กลับมาสู่หมู่บ้านตั๊นแกจึงตามเดิม โป้ยก่าย ซัวเจ๋งลงไปรบล่อปีศาจให้ขึ้นบก เพื่อให้เห้งเจียฆ่า แต่ไม่สำเร็จ ปลุกปล้ำกันโกลาหล จนเห้งเจียต้องเหาะลิ่วไปเขาน่ำไฮ้ เพื่อนิมนต์พระโพธิสัตว์กวนอิมมาช่วย

    ฝ่ายพระโพธิสัตว์กวนอิมทราบอยู่แล้วว่า ปีศาจเล่งก้ำอึ้งนั้นที่แท้คือปลาทองที่พระองค์ทรงเลี้ยงไว้ดูเล่นในสระ และมันชอบโผล่ขึ้นมาฟังเทศน์ทุกวันอยู่นานปี ยู่มาวันหนึ่งน้ำเกิดท่วมท้น ปลาทองได้โอกาสก็แปลงเป็นปีศาจมาเป็นใหญ่อยู่ในแม่น้ำทงทีฮ้อ(ฟ้าทะลุ)

    ครั้นพอเห้งเจียไปถึงสำนัก ก็พบกวนอิมกำลังสานตะกร้าไม้ไผ่ เสร็จแล้วทั้งสองต่างเหาะกลับมายังแม่น้ำ กวนอิมทรงขว้างตะกร้าไม้ไผ่ลงไปลากตัวปลากิมหลีฮื้อ(ปลาทอง)ขึ้นมาได้ ก็นำกลับไปเลี้ยงยังสระที่น่ำไฮ้ โป้ยก่าย ซัวเจ๋งผู้ถนัดทางน้ำก็ลงไปแก้มัดพระถังขึ้นมา

    ฝ่ายชาวบ้านตั๊นแกจึงรู้ข่าวว่าปีศาจถูกจับไปแล้ว เพราะลูกศิษย์ของพระถัง ก็ยินดียิ่งนัก ตามมาจะเอาเรือไปส่งฟากตรงข้าม ขณะที่รีรอกันอยู่นั่นเอง เต่าขาวตัวมหึมาได้โผล่ขึ้นริมน้ำ ร้องตะโกนอย่างสุภาพว่า ขออาสาพาพระถังกับลูกศิษย์ข้ามน้ำ เป็นการทดแทนบุญคุณที่เห้งเจียช่วยให้ปราสาทใต้น้ำของตนพ้นจากการยึดครองของปีศาจ

    เห้งเจียนั้นไม่ค่อยวางใจเต่าขาวนัก แม้ชักชวนกันขึ้นยืนบนหลังเต่ารวมทั้งม้าขาวแล้วก็ตาม มือขวาเห้งเจียยังถือตะบองยู่อี่จ้องจะทุบหัวเต่า มือซ้ายเอาเชือกคล้องคอต่างบังเหียน

    เต่าขาวพาศิษย์และอาจารย์ว่ายมาสิ้นวันหนึ่งก็บรรลุถึงฝั่งตรงข้าม พระถังกล่าวคำอำลาว่ามิรู้จะแทนคุณอย่างไร ฝ่ายเต่าขาวขอร้องพระถังว่า "เมื่อท่านไปถึงพระพักตร์พระยูไลแล้ว โปรดช่วยทูลถามด้วยว่า..."เมื่อไหร่รูปเต่านี้จะถูกถอดออกเป็นรูปมนุษย์ได้เสียที" พระถังก็รับคำ แล้วลาจากกันไป




    [​IMG]



    รูป :ปลาทองสวย ๆ ของกวนอิมแปลงเป็นปีศาจมังกรเล่งก้ำอึ้ง

    นาม :เพราะน้ำท่วมสระ

    รูป :มันชอบฟังเทศน์ มีความรู้แตกฉาน

    นาม :พุทโธ่ ปริยัติเฟ้อดุจน้ำท่วม ความรู้อันเป็นเพียงเครื่องประดับหรือดุจปลาทองสีสวย ๆ ไว้ดูเล่นกลับกลายเป็นปีศาจขึ้นมาได้

    รูป :คือว่ารู้มากเกินไป ล้นออกมาจนฟ้าทะลุ

    "เข้าคอกไหนขวิดไม่เลือก.....เที่ยวแส่เสือกควายเขากาง
    เป็นอ้ายบ้าหอบฟ่อนฟาง.....หรือปีศาจหางไหม้ไฟ"

    นาม :อาจารย์ครับ ทำไมต้องให้เป็นปีศาจปลาทองของกวนอิมโพธิสัตว์ด้วยล่ะครับ ?

    โหงว : ช่วยสรรพสัตว์ต้องแสวงหาความรอบรู้ แต่เผลอเข้ามันกลับเป็นปีศาจได้เหมือนกันนะเออ

    รูป :ผลของปริยัติเฟ้อ ?

    โหงว : ก็กลายเป็นปีศาจคอยจับเด็กหญิงชายกิน ทั้งหญิงทั้งชายถูกปีศาจบ้าความรู้จับกิน เทศน์ทะลุฟ้าอยู่นั่น

    นาม :ตาเฒ่าตั๊นเท่ง ตั๊นเซง เจ๊กชิ้นกิม ตั๊นกวนโป๊ ทั้งตระกูลแซ่เดียวกับพระถัง ?

    โหงว : สัมมัปปธาน ๔ เฒ่าตั๊นเท่งคือ สังวรปธาน - เพียรสำรวมระวังไมให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น, ลูกหญิงเจ๊กชิ้นกิม คือ ปหานปธาน - เพียรละอกุศลธรรมที่เกิดแล้ว, เฒ่าตั๊นเซง คือ ภาวนาปธาน - เพียรสร้างกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด, ตั๊นกวนโป๊ คืออนุรักขนาปธาน - เพียรตามรักษากุศลที่เกิดแล้วให้ดำรงอยู่, ทั้งสี่แซ่ตั๊น เพราะเป็นองค์แห่งมรรค คือสัมมาวายาโม - ความเพียรชอบ ความเพียรก็ต้องแซ่เดียวกับขันติ(พระถัง)ซี

    รูป :แล้วไงดันใหเปีศาจปริยัติเฟ้อมากินชาวบ้านตั๊นแกนี้ทุกปีเล่า?

    นาม :พุทโธ่ งายออก เรียนมากแล้วมันไม่คิดปฏิบัติ ปริยัติเฟ้อจนกุศลธรรมอ่อน ๆ ที่เปรียบด้วยเด็กชายหญิงที่มีอยู่บ้างก็ถูกปีศาจเขมือบหมดน่ะซี

    รูป :ปีศาจผูกอาฆาตที่เห้งเจีย โป้ยก่ายไปรบกวนมัน ?

    นาม :ปัญญาและศีลเตรียมจับเท็จ ปริยัติเฟ้อ ปัญญาปริยัติเฟ้อ มันก็เตรียมแก้ตัวซีวะ

    รูป :แล้วปีศาจบันดาลเป็นหมอกมัวฟุ้งเฟ้อไปทั้งลำน้ำฟ้าทะลุเล่า ?

    นาม :(หัวเราะ) ความรู้สุมยิ่งคลุมเครือ..........มันมืดเหลือแต่ "มืดขาว"
    ดุจพร่าหมอกหลอกตาพราว....ปิฏกปรุ เทศน์ทะลุฟ้า

    รูป :(หัวเราะ) ทางผีล่อพอได้ที................ปีศาจฉุดต้องงุดหน้า
    หันพึ่งเต่า"ไร้เดียงสา"..........ข้ามปลักปริยัติ หัด "ทำโง่"

    นาม :นี่แกรู้รึว่าเต่าขาวคืออะไร ?

    รูป :พุทโธ่ ดูถูกกันได้ เต่าขาวคือคุณธรรมอย่างง่าย คือซื่อ บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ที่หมู่นักปริยัติทั้งหลายหาว่าโง่ดุจเต่านั่นแหละ แท้จริงมันอาจข้ามความรกรุงรังของปริยัติไปได้ ในขณะที่ปริยัติมากมายกลับเป็นอุปสรรคขึ้นเสียเอง เป็นผีมาแย่งปราสาทเต่า

    นาม :นี่คือข้อหาที่นักปริยัติโจทก์แก่ผู้มีคุณธรรม "เต่าขาว" ทั้ง ๆ ที่โดยเนื้อแท้นี่กลับเป็นการข้ามฟากอย่างง่ายดาย

    รูป :เห้งเจียไม่ค่อยเชื่อนัก ถือตะบองจ้องจะทุบหัวอยู่เรื่อย ฮื่อ เจ้าปัญญานี่ลังเลต่อความซื่อเพราะมันเกรงว่าจะโง่

    โหงว : เพราะเหตุที่มนุษย์ทั่วไปหมิ่นคุณธรรมพื้นฐานนี้นั่นแหละ เต่าขาวจึงฝากพระถังไปถามพระตถาคตว่า...

    รูป :...เมื่อไหร่หนอ ? หมู่มนุษย์จะยอมรับกันว่า ความเป็นเต่าขาวนี้แหละ คือมนุษยธรรมที่แท้

    นาม :จึงฝากถามว่าเมื่อไรหนอ เต่าจึงจะถอดรูปเป็นมนุษย์

    โหงว : จริง ๆ นา เราจะเล่าว่าในตอนสุดท้าย พระถังจะต้องได้รับเคราะห์ เพราะเหตุดูถูกคุณธรรมชนิดนี้ มัวมุ่งแต่แบกปิฎกอยู่

    รูป :เดี๋ยวก่อน ในตอนต้นมีเสาศิลาจารึกที่ริมแม่น้ำทงที

    นาม : "ข้ามได้สิ้นแปดพันลี้.........หากไม่มีผู้เดินมา

    รูป : พุทโธ่เอ๋ยเฉลยว่า.............. "ไม่มีคน" ดล "หนทาง"

    โหงว : จะจับปลาเฟ้อปริยัติ........ให้ขัดตะกร้าตาห่างห่าง ?

    นาม : ถี่เกินกลับ "ลอย"คว้าง...........ปีศาจเห็นเผ่นหนีทัน

    รูป : สุญญตาตะกร้าโหว่.........ปีศาจโผล่พลันติดตัน

    โหงว : ต่อแต่นี้ผีสยองขวัญ..........ต็อกกั๊กกุย "แรดนอเดียว"

    รูป :!!

    นาม :!!



    (จบบทที่ ๒๒ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





    ** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๑๒ - ๑๑๘ )

    บทที่ ๒๓
    อัสมิมานะ ดุจปีศาจแรดนอเดียว


    ย่างเข้าฤดูหนาว พระถังซัมจั๋งและสานุศิษย์รอนแรมฝ่าลมหนาวและน้ำค้างมาจนลุถึงภูเขาสูงใหญ่ยอดเทียมเมฆ ชื่อกิมเต๋าซัว พระถังหิวจึงให้เห้งเจียเหาะไปบิณฑบาตมา เห้งเจียเกรงว่าจะมีปีศาจแอบมาจับพระถังตอนตนเองไม่อยู่ จึงได้เอาปลายตะบองยู่อี่ขีดวงว่างล้อมพระถังไว้ แล้วสั่งห้ามมิให้ออกนอกวง ด้วยกำลังอยู่ในเขตอันตราย เห้งเจียกล่าวกับพระถังว่า "อันวงว่างนี้มั่นคงยิ่งกว่ากำแพงเหล็ก ถึงจะมีสิงสาราสัตว์ ภูตผีปีศาจ ยักษ์ร้ายก็ไม่อาจเข้ามาใกล้ได้ ขอแต่พระอาจารย์อย่าได้ออกนอกวงนี้โดยเด็ดขาด" สั่งแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นฟ้าไป

    ฝ่ายโป้ยก่ายได้โอกาสก็ยุให้พระถังออกจากวงว่างนั้น อ้างว่าอากาศกำลังหนาว ให้ไปหาที่หลบลมกันดีกว่า จึงทั้ง ๓ คือพระถัง โป้ยก่ายและซัวเจ๋งพาม้าขาวออกเดินทาง มีโป้ยก่ายนำหน้า ไม่ช้าก็เผลอเข้าไปในถ้ำของปีศาจต็อกกั๊กกุยไต้อ๋องโดยไม่ทันรู้ตัว โป้ยก่ายกับซัวเจ๋งเห็นเสื้ออยู่ในถ้ำก็รีบสวมเพื่อกันหนาว หาเฉลียวใจไม่ว่าเป็นเสื้อของปีศาจ สวมเสร็จเสื้อก็เริ่มหดรัดตัวตรึงมือและเท้าล้มกลิ้งลง ฝ่ายปีศาจต็อกกั๊กกุยไต้อ๋องเฝ้าดูอยู่เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะก้อง ออกมาจับพระถังและศิษย์เข้าไปขังไว้ในถ้ำลึกและเตรียมรอจับเห้งเจีย เพื่อจะได้ต้มเนื้อเลี้ยงดูกันกับเหล่าสมุน

    กล่าวถึงเห้งเจีย กลับมาจากบิณฑบาตทางท้องฟ้า แลไปที่วงว่างไม่เห็นพระถังก็ร้อนใจ รู้ว่าต้องถูกปีศาจจับเสียแน่แท้ เที่ยวเดินค้นหาจนพบกับตาเฒ่าพระภูมิเจ้าที่จำแลงมาชี้ถ้ำกิมเต๊าต๋องอันเป็นสำนักของต็อกกั๊กกุยปีศาจแรดนอเดียว เห้งเจียก็ฝากอาหารบิณฑบาตไว้กับพระภูมิเจ้าที่แล้วก็รีบไปยังปากถ้ำ ร้องตะโกนท้ารบอยู่โหวก ๆ

    ฝ่ายปีศาจต็อกกั๊กกุยได้ยินเสียงท้ารบก็ออกมาสู้กับเห้งเจีย ต็อกกั๊กกุยขว้างห่วงวิเศษไปรวบคล้องตะบองยู่อี่ของเห้งเจียได้ เห้งเจียเสียทีปีศาจก็วิ่งไปนั่งร้องไห้ด้วยจนปัญญาที่จะช่วยพระถัง พักหนึ่งก็คิดขึ้นได้ ก็หกคะเมนเหาะขึ้นฟ้าไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ ทูลปัญหาให้ฟัง ฝ่ายเง็กเซียนฮ่องเต้ก็โปรดให้ถักทะลีทีอ๋องและโลเฉียผู้บุตร ยกกองทัพรามสูรลงไปปราบปีศาจต็อกกั๊กกุย ก็กลับพ่ายแพ้ ถูกห่วงวิเศษของต็อกกั๊กกุยรวบเก็บอาวุธวิเศษหมดสิ้น

    เห้งเจียก็เหาะไปตามเทพฮ้วยเต็กแชกุน(พระเพลิง) จุ๊ยเต็กแชกุน(พระสมุทร) มาสู้ ก็กลับถูกห่วงวิเศษของปีศาจรวบเก็บอาวุธได้หมด เห้งเจียจึงถอนขนของตนออกเป็นเห้งเจียน้อย ๆ มากมาย ก็ถูกห่วงวิเศษเก็บรวบไว้หมด เห้งเจียแอบตามเข้าไปในถ้ำปีศาจ ขโมยอาวุธวิเศษออกมาได้เข้าสู้รบใหม่ ก็กลับถูกห่วงวิเศษริบไปอีก หลายครั้งหลายหนจนเห้งเจียหมดหนทางจะเอาชนะปีศาจต็อกกั๊กกุยได้ จึงได้รำลึกถึงพระยูไล ก็เหาะหกคะเมนลิ่วไปยังไซที เขาเล่งซัว วัดลุยอิมยี่ เข้าทูลอุปสรรคที่เกิดกับพระถังให้ทรงทราบ

    ฝ่ายพระยูไลทรงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าอยู่แล้ว จึงรับสั่งให้พระอรหันต์ทั้ง ๑๘ เหาะไปพร้อมกับเห้งเจีย พร้อมด้วยยาเม็ดกิมตันเพื่อปราบปีศาจ พระยูไลได้สั่งความกับพระอรหันต์ ๒ องค์ใน ๑๘ องค์นั้นว่า หากมิเป็นการแล้วให้เห้งเจียเหาะขึ้นไปหาพรหมท้ายเสียงเล่ากุนเถิด

    เมื่อพระอรหันต์ทั้ง ๑๘ ไปถึงปากถ้ำกิมเต๊าต๋อง เห้งเจียก็ไปร้องท้ารบกับต็อกกั๊กกุยอีก ต็อกกั๊กกุยจับห่วงวิเศษออกมาสู้รบกันพักหนึ่ง ต็อกกั๊กกุยขว้างห่วงวิเศษรวบจับยากิมตันของพระอรหันต์เสียหมดสิ้น เห้งเจียเห็นมิเป็นการก็เหาะลิ่วไปหาพรหมท้ายเสียงเล่ากุนทูลความให้ทรงทราบ

    ฝ่ายพรหมท้ายเสียงเล่ากุนสำรวจวิมานดูแล้ว ก็รู้ว่าที่แท้ปีศาจต็อกกั๊กกุยนั้นคือแรดนอเดียว พาหนะของพระองค์เอง ท้ายเสียงก็จับพัดวิเศษเสด็จลงมาที่ถ้ำกิมเต๊าต๋อง เห้งเจียเข้าไปร้องท้ารบ เมื่อต็อกกั๊กกุยออกมาก็ถูกพัดวิเศษของท้ายเสียงโบก จนร่างกลับเป็นแรดนอเดียว พรหมท้ายเสียงก็ขึ้นขี่เหาะกลับไปพรหมโลก

    ฝ่ายเห้งเจียก็เข้าไปถ้ำกิมเต๊าต๋อง แก้มัดพระถัง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้าขาวออกมาได้แล้วพระภูมิเจ้าที่ก็นำอาหารบิณฑบาตมาถวาย พระถังกับศิษย์ฉันภัตตาหารอิ่มแล้วก็ออกเดินทาง หมายทิศตะวันตกเป็นสำคัญ




    [​IMG]



    รูป :สำคัญ สำคัญ อ้ายแรดนอเดียวนี้

    นาม : พาหนะของเหลาจื้อ พรหมท้ายเสียงเล่ากุน ความจริงภาพของเหลาจื้อเขามักวาดให้ขี่ควาย
    ไหงอาจารย์ดันให้ขี่แรดนอเดียวไปเสียฉิบ

    โหงว : ฮื้อ เจ้าอย่าเผลอว่าเป็นเหลาจื้อสิ ธรรมของเหลาจื้อนั้นคืออุเบกขา และนี่ไม่ใช่รึ พรหมผู้สูงส่งด้วยมานะ

    นาม : อัสมิมานะ มานะว่า "ฉันก็หนึ่ง" อุปมาด้วยแรดนอเดียว

    รูป :เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ทรงประกาศการละอัสมิมานะพวกพรหมจึงสะดุ้งโหยง

    นาม : ย่างเข้าฤดูหนาว น้ำค้างลงเย็นจัด เห้งเจียไม่อยู่ ขีดวงให้พระถังนั่ง โป้ยก่ายยุให้ออกนอกวง ทั้งหมดหมายความว่าอย่างไร ?

    โหงว : ง่าย ๆ นา ลองทาย

    รูป :ชีวิตผ่านพ้นหมอกน้ำค้าง คือปริยัติเฟ้อ จนจับสาระของคุณธรรมอย่างง่ายขั้นพื้นฐาน คือ ซื่อ บริสุทธิ์ ไร้เดียงสาได้ ก็พบกับความเยือกเย็นโดดเด่นอยู่

    นาม : และในความเยือกเย็นนี้...

    โหงว : มักจะมีปีศาจร้าย

    รูป :สงบสงัดจัดเท่าใด

    นาม : ผี "นอเดี่ยว"เปลี่ยวตีแปลง

    รูป :เฮ้อ...กลุ้ม ! วุ่นวายก็มีกิเลส สงบสงัดก็มีกิเลส

    โหงว : อัสมิมานะนั้นประณีต เป็นกิเลสชั้นพรหม

    รูป :แล้วชั้นราช ชั้นเทพ ชั้นธรรมล่ะ ?

    นาม : ชักนอกเรื่องแล้วแก ฟังอาจารย์ดีกว่า

    โหงว : วงว่างคือสุญญตา จะต้องแน่วแน่อยู่แต่สุญญตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า ความสุขสงบสงัดที่เกิดในชีวิตนั้นเป็นตน หรือของตน อย่างนี้จะปลอดภัย แม้จะหนาวแสนหนาว

    รูป :คือสงบแสนสงบก็ไม่ใช่ตนไม่ใช่ของตน แล้วอุตริไม่เชื่อปัญญา ไปเชื่อศีล พอเชื่อศีล หลงศีล เมาศีล อัสมิมานะว่าฉันมีศีล ก็มีมานะ

    นาม : จึงพาขบวนการของชีวิตเข้าสู่ถ้ำปีศาจ

    โหงว : แต่นั่นมิใช่เสียหายอะไร ชีวิตจำต้องผ่านถ้ำนี้ เพื่อให้ปัญญาได้ทำงาน

    รูป :ทีนี้เสื้อกันหนาวของปีศาจล่ะ ?

    นาม : รัด มัดตัว ให้ทั้งศีลและสมาธินอนกลิ้งอยู่ ?

    รูป :โธ่ คิดว่าจะใส่ให้อุ่น กลับติดกับของผีไปได้

    โหงว : คิดว่า "ฉัน" เป็นผู้สงบรำงับเหนือใคร ๆ ผู้อื่นโง่ไม่รู้ค่าของความสงบ หารู้ไม่ว่านี่เป็นการให้กำลังแก่อัสมิมานะ ที่มันสวมรัดเอาชีวิตเข้าแล้ว ศีล- สมาธิขาดปัญญาจะสวมเสื้อผี

    นาม : ห่วงวิเศษของด็อกกั๊ก รวบอาวุธของใคร ๆ ไว้หมดสิ้น ของถักทะลีทีอ๋อง ของโลเฉีย เทพต่าง ๆ และแม้ยาเม็ดกิมตันของพระอรหันต์นี่มันคืออะไรน่ะ ?

    โหงว : ห่วงวิเศษคือสมถะ ด้วยอำนาจของความสงบรำงับที่มีเหนืออำนาจปรุงแต่งใด ๆ จนดูคล้ายกับความว่างไปได้ซีน่า อาวุธวิเศษของกองทัพสวรรค์ ถักทะลีทีอ๋อง โลเฉีย และเทพต่าง ๆ คือปุญญาภิสังขารนี้ถูกข่มไว้สิ้น

    รูป :ยาเม็ดของพระอรหันต์ ?

    โหงว : สมาบัติ ก็ไม่อาจละอัสมิมานะได้

    นาม : จึงอุปมาว่า ห่วงวิเศษ "อัสมิ" รวบเอาไว้สิ้น แม้ตะบอง "ยู่อี่" ก็เงียบกริบ

    โหงว : จนกว่าปัญญาจะไต่เต้าจนเห็นเหตุชัดเจน กำหนดรู้ชัดเจนว่า อัสมิมานะระดับนี้คืออะไร ? มาจากอะไร ? ระงับมันอย่างไร ? แล้วต็อกกั๊กกุยไต้อ๋องก็หมดความเป็นปีศาจ

    นาม : ต็อกกั๊กกุย คืออัสมิมานะ เชิดเขาว่า "ฉันก็เป็นหนึ่ง" ที่เนื่องจากความสงบ ดุจแรดนอเดียวเที่ยวไป

    รูป :เอ...ค้านกับพุทธภาษิตเสียแล้วสิ ที่ทรงแนะให้เที่ยวไปคนเดียว ไม่มีตัณหาเป็นเพื่องสอง ดุจนอแรด

    นาม : แต่นี่มันเป็นภวตัณหา เที่ยวไปดุจนอแรด เชิดเขาไปทำท่าเป็นพระอริยเจ้า น่าเกลียด

    รูป :เล่าต่อขอฟัง

    โหงว : พระถังตั้งครรภ์ !

    นาม : เอ๊ะ ! นั่นสัปดน

    โหงว : อย่าฉงนเลยเธอ



    (จบบทที่ ๒๓ โปรดติดตามตอนต่อไป...)

    บทที่ ๒๔
    นัตถิกทิฏฐิ "น้องชาย" ของอุทเฉททิฏฐิ


    ศิษย์และอาจารย์ออกจากถ้ำกิมเต๊าต๋องก็บ่ายหน้าไปสู่ไซที รอนแรมมาถึงฝั่งแม่น้ำจื๊อป๊อฮ้อ ที่มีน้ำสีเขียวเยือกเย็น ศิษย์และอาจารย์ลงเรือจ้างของหญิงเฒ่า ครั้นถึงกลางลำน้ำ พระถังกับโป้ยก่ายกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงได้วักน้ำดื่ม หญิงเฒ่าเจ้าของเรือมองหน้าพระถังกับโป้ยก่ายแล้วหัวเราะ เพราะว่าผู้ใดดื่มน้ำจากแม่น้ำจื๊อป๊อฮ้อแล้วจะตั้งครรภ์ไม่ว่าหญิงหรือชาย ศิษย์และอาจารย์ขึ้นฟากฝั่งตรงข้ามแล้วก็ไปพักที่บ้านของหญิงเฒ่า

    พระถังกับโป้ยก่ายรู้สึกจุกเสียดในท้อง ต่างร้องครวญครางอ้อนวอนถามถึงยาแก้การตั้งครรภ์ หญิงชราเจ้าของบ้านที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านไซเหลียงหรือว่าเมืองแม่ม่ายนี้ จึงบอกยาแก่พระถังว่า แต่เดิมใครตั้งครรภ์ขึ้นแล้ว ประสงค์จะทำลายครรภ์ให้ไปดื่มน้ำในสระโละทัยจั๊ว ข้างถ้ำถั้วยี้ต๋อง ภูเขาเก๊ยเฮียงซัว สักอึกหนึ่ง แล้วท้องก็จะยุบหายเป็นปกติ

    แต่หญิงเฒ่าเล่าว่า บัดนี้ได้มีเต้าหยินรูปหนึ่งนามว่ายู่อี่จินเซียน มาจับจองถ้ำ เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักจิ๋วเซียนอาน ย่อมเป็นการยากที่ใคร ๆ จะไปตักน้ำนั้นมา หากว่าไม่มีของกำนัลแก่เต้าหยิน

    ฝ่านเห้งเจียรู้เช่นนั้น จึงเหาะไปที่สำนักจิ๋วเซียนอาน เพื่อขอน้ำในสระโละทัยจั๊วมาให้แก่พระถังและโป้ยก่าย แทนที่จะได้โดยง่าย กลับสู้รบกันกับยู่อี่จินเซียนเต้าหยินพัลวัน เพราะว่าเต้าหยินองค์นั้นที่แท้เป็นอาของอั้งฮั้ยยี้ ที่เห้งเจียทำให้เป็นสานุศิษย์ของพระโพธิสัตว์กวนอิม

    เต้าหยินยู่อี่จินเซียนเป็นน้องของปีศาจงู้หม้ออ๋อง ผูกอาฆาตเห้งเจียที่ทำให้หลานของตนเป็นเช่นนั้น จึงได้โอกาสจะแก้แค้นแทนหลาน

    เห้งเจียเห็นมิเป็นการ ก็เหาะกลับไปยังหมู่บ้านหญิงเฒ่า ไปพาซัวเจ๋งมาช่วย ตัวเองรบล่อ แล้วให้ซัวเจ๋งตักน้ำในสระ พอเห้งเจียได้ทีก็รวบอาวุธของยู่อี่จินเซียนมาหักเป็นสองท่อน ซัวเจ๋งก็ตักน้ำได้ ทั้งสองก็เหาะกลับมา เอาน้ำให้พระถังกับโป้ยก่ายดื่ม ครรภ์ก็ตก ศิษย์และอาจารย์ก็ปรกติดังเดิม น้ำวิเศษจากสระที่เหลือ หญิงเฒ่าขอเก็บเอาไว้ใส่ในโลงศพของตน




    [​IMG]



    รูป :(หัวเราะ) พระภิกษุยวนฉ่างตั้งครรภ์ สัปดนจริง ๆ

    นาม : ฮื่อ โป้ยก่ายด้วย มืดแปดด้านเลยเรา ?

    โหงว :ย้อนไปคิดตั้งแต่ปีศาจต็อกกั๊ก "แรดนอเดียว" ชีวิตหลุดจากอัสมิมานะมาระดับหนึ่ง ก็เข้าสู่อีกระดับหนึ่ง ภวตัณหาในระดับนี้คือสายน้ำเขียว

    นาม : จึงขันติและศีลกินเข้าก็ตั้งครรภ์ ภว - ภพ อุปมาด้วยการมีครรภ์

    รูป :แล้วน้ำในสระโละทัยจั๊วของยู่อี่จินเซียน ?

    โหงว : ยู่อี่จินเซียนคือนัตถิกทิฏฐิ

    นาม : น้องของงู้หม้ออ๋อง - อุทเฉททิฏฐิ (จากบทที่ ๑๙ - การทดใช้มิจฉาสังกัปปะ)

    โหงว : นัตถิกทิฏฐิมันแค้นว่า ปัญญาชักพาอั้งฮั้ยยี้ มิจฉาสังกัปปะไปเป็นสัมมาสังกัปปะ ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับมัน

    รูป :ทำไมเปรียบนัตถิกทิฏฐิกับเต้าหยิน ?

    นาม : ฮ่าย...ไม่มี ๆ นัตถิ ๆ พ่อแม่ไม่มี ทานไม่มีผล ฯลฯ ไม่ต้องใช้ปัญญาอะไร แต่อาจล้างภพได้ชั่วคราวแม้มันจะเป็นพาล ๆ อยู่

    รูป :จึงอุปมาว่าน้ำในสระของนัตถิกทิฏฐินั้น ทำให้ครรภ์ตกได้

    นาม : ใช่แล้ว เมื่อชีวิตเกิดมีครรภ์ คือเกิดภพใดภพหนึ่งขึ้นภาวนา นัตถิ ๆ ๆ ไม่มี ๆ ๆ แม้เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ใช้ได้ ใช้ปัญญากำกับเอาได้ ไม่ให้เป็นพาล

    รูป : จึงให้เห้งเจียพาซัวเจ๋งไปตักน้ำ

    นาม : นั่นคือ เมื่อมีทุกข์ ให้รวบรวมกำลังสมาธิด้วย ทำความรู้สึกว่า อะไร ๆ ก็ไม่มี อะไร ๆ ไม่มี

    รูป :แม้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ?

    โหงว : ก็ยังใช้ได้ในบางกรณี...เอ้า...ฟังต่อ

    รูป :เดี๋ยว...แล้วยายเฒ่าขอน้ำที่เหลือไว้ใส่โลงศพเล่า อาจารย์?

    โหงว :(หัวเราะ) นัตถิกทิฏฐิ บุญ - บาปไม่มี สำหรับคนพาล บางคนนั้นพา "เข้าโลง" ไปด้วย ไม่ยอมละ...

    นาม : เท่า ๆ กับสัสสตทิฏฐิที่ยืนยันว่ามี ๆ ๆ

    รูป :พาเข้าโลงกันทั้งสองทิฏฐิ ไม่ยอมเป็นสัมมาทิฏฐิ คือทางสายกลาง

    นาม : ไม่ใช่มี หรือไม่ใช่ไม่มี อันเป็นความเห็นสุดโต่ง แต่ถ้าสิ่งนี้มี สิ่งนี้จะมี ถ้าสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จะดับ หัวใจพุทธธรรม

    รูป :ดู ๆ เป็นเรื่องเล็ก ๆ ขี้ผง

    นาม : แต่ "อิทัปปัจยตา" นี้ ขยายให้ครอบคลุมไปหมด นี่คือตะบองเท่าเข็มเสียบในรูหูของเห้งเจีย

    รูป :ผู้ใดเข้าถึงมัน...

    โหงว :ไม่มี "ผู้" เข้าถึงมันดอก มีแต่การซึมซาบถึง

    นาม : ก็คือความได้ดังใจ

    โหงว :จึงเรียกกันว่า ตะบอง "ยู่อี่" (ได้ดังใจ)

    รูป :มโนหรจินดามณี ดุจได้แก้วมณีที่ทำให้สำเร็จการทุกสิ่งดังใจจง

    โหงว : คือความเป็นเอง

    นาม : คือพระสยัมภูวญาณ (ญาณรู้เห็นความเป็นเอง)

    รูป :ขอให้เราตั้งใจปรารถนา...

    โหงว :ปรารถนาที่จะสิ้นความปรารถนาในสิ่งที่ทั้งปวง เพื่อรู้แจ้งสุญญตา - ความสูญ



    (จบบทที่ ๒๔ โปรดติดตามตอนต่อไป...)


    บทที่ ๒๔
    นัตถิกทิฏฐิ "น้องชาย" ของอุทเฉททิฏฐิ


    ศิษย์และอาจารย์ออกจากถ้ำกิมเต๊าต๋องก็บ่ายหน้าไปสู่ไซที รอนแรมมาถึงฝั่งแม่น้ำจื๊อป๊อฮ้อ ที่มีน้ำสีเขียวเยือกเย็น ศิษย์และอาจารย์ลงเรือจ้างของหญิงเฒ่า ครั้นถึงกลางลำน้ำ พระถังกับโป้ยก่ายกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงได้วักน้ำดื่ม หญิงเฒ่าเจ้าของเรือมองหน้าพระถังกับโป้ยก่ายแล้วหัวเราะ เพราะว่าผู้ใดดื่มน้ำจากแม่น้ำจื๊อป๊อฮ้อแล้วจะตั้งครรภ์ไม่ว่าหญิงหรือชาย ศิษย์และอาจารย์ขึ้นฟากฝั่งตรงข้ามแล้วก็ไปพักที่บ้านของหญิงเฒ่า

    พระถังกับโป้ยก่ายรู้สึกจุกเสียดในท้อง ต่างร้องครวญครางอ้อนวอนถามถึงยาแก้การตั้งครรภ์ หญิงชราเจ้าของบ้านที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านไซเหลียงหรือว่าเมืองแม่ม่ายนี้ จึงบอกยาแก่พระถังว่า แต่เดิมใครตั้งครรภ์ขึ้นแล้ว ประสงค์จะทำลายครรภ์ให้ไปดื่มน้ำในสระโละทัยจั๊ว ข้างถ้ำถั้วยี้ต๋อง ภูเขาเก๊ยเฮียงซัว สักอึกหนึ่ง แล้วท้องก็จะยุบหายเป็นปกติ

    แต่หญิงเฒ่าเล่าว่า บัดนี้ได้มีเต้าหยินรูปหนึ่งนามว่ายู่อี่จินเซียน มาจับจองถ้ำ เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักจิ๋วเซียนอาน ย่อมเป็นการยากที่ใคร ๆ จะไปตักน้ำนั้นมา หากว่าไม่มีของกำนัลแก่เต้าหยิน

    ฝ่านเห้งเจียรู้เช่นนั้น จึงเหาะไปที่สำนักจิ๋วเซียนอาน เพื่อขอน้ำในสระโละทัยจั๊วมาให้แก่พระถังและโป้ยก่าย แทนที่จะได้โดยง่าย กลับสู้รบกันกับยู่อี่จินเซียนเต้าหยินพัลวัน เพราะว่าเต้าหยินองค์นั้นที่แท้เป็นอาของอั้งฮั้ยยี้ ที่เห้งเจียทำให้เป็นสานุศิษย์ของพระโพธิสัตว์กวนอิม

    เต้าหยินยู่อี่จินเซียนเป็นน้องของปีศาจงู้หม้ออ๋อง ผูกอาฆาตเห้งเจียที่ทำให้หลานของตนเป็นเช่นนั้น จึงได้โอกาสจะแก้แค้นแทนหลาน

    เห้งเจียเห็นมิเป็นการ ก็เหาะกลับไปยังหมู่บ้านหญิงเฒ่า ไปพาซัวเจ๋งมาช่วย ตัวเองรบล่อ แล้วให้ซัวเจ๋งตักน้ำในสระ พอเห้งเจียได้ทีก็รวบอาวุธของยู่อี่จินเซียนมาหักเป็นสองท่อน ซัวเจ๋งก็ตักน้ำได้ ทั้งสองก็เหาะกลับมา เอาน้ำให้พระถังกับโป้ยก่ายดื่ม ครรภ์ก็ตก ศิษย์และอาจารย์ก็ปรกติดังเดิม น้ำวิเศษจากสระที่เหลือ หญิงเฒ่าขอเก็บเอาไว้ใส่ในโลงศพของตน




    [​IMG]



    รูป :(หัวเราะ) พระภิกษุยวนฉ่างตั้งครรภ์ สัปดนจริง ๆ

    นาม : ฮื่อ โป้ยก่ายด้วย มืดแปดด้านเลยเรา ?

    โหงว :ย้อนไปคิดตั้งแต่ปีศาจต็อกกั๊ก "แรดนอเดียว" ชีวิตหลุดจากอัสมิมานะมาระดับหนึ่ง ก็เข้าสู่อีกระดับหนึ่ง ภวตัณหาในระดับนี้คือสายน้ำเขียว

    นาม : จึงขันติและศีลกินเข้าก็ตั้งครรภ์ ภว - ภพ อุปมาด้วยการมีครรภ์

    รูป :แล้วน้ำในสระโละทัยจั๊วของยู่อี่จินเซียน ?

    โหงว : ยู่อี่จินเซียนคือนัตถิกทิฏฐิ

    นาม : น้องของงู้หม้ออ๋อง - อุทเฉททิฏฐิ (จากบทที่ ๑๙ - การทดใช้มิจฉาสังกัปปะ)

    โหงว : นัตถิกทิฏฐิมันแค้นว่า ปัญญาชักพาอั้งฮั้ยยี้ มิจฉาสังกัปปะไปเป็นสัมมาสังกัปปะ ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับมัน

    รูป :ทำไมเปรียบนัตถิกทิฏฐิกับเต้าหยิน ?

    นาม : ฮ่าย...ไม่มี ๆ นัตถิ ๆ พ่อแม่ไม่มี ทานไม่มีผล ฯลฯ ไม่ต้องใช้ปัญญาอะไร แต่อาจล้างภพได้ชั่วคราวแม้มันจะเป็นพาล ๆ อยู่

    รูป :จึงอุปมาว่าน้ำในสระของนัตถิกทิฏฐินั้น ทำให้ครรภ์ตกได้

    นาม : ใช่แล้ว เมื่อชีวิตเกิดมีครรภ์ คือเกิดภพใดภพหนึ่งขึ้นภาวนา นัตถิ ๆ ๆ ไม่มี ๆ ๆ แม้เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ใช้ได้ ใช้ปัญญากำกับเอาได้ ไม่ให้เป็นพาล

    รูป : จึงให้เห้งเจียพาซัวเจ๋งไปตักน้ำ

    นาม : นั่นคือ เมื่อมีทุกข์ ให้รวบรวมกำลังสมาธิด้วย ทำความรู้สึกว่า อะไร ๆ ก็ไม่มี อะไร ๆ ไม่มี

    รูป :แม้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ?

    โหงว : ก็ยังใช้ได้ในบางกรณี...เอ้า...ฟังต่อ

    รูป :เดี๋ยว...แล้วยายเฒ่าขอน้ำที่เหลือไว้ใส่โลงศพเล่า อาจารย์?

    โหงว :(หัวเราะ) นัตถิกทิฏฐิ บุญ - บาปไม่มี สำหรับคนพาล บางคนนั้นพา "เข้าโลง" ไปด้วย ไม่ยอมละ...

    นาม : เท่า ๆ กับสัสสตทิฏฐิที่ยืนยันว่ามี ๆ ๆ

    รูป :พาเข้าโลงกันทั้งสองทิฏฐิ ไม่ยอมเป็นสัมมาทิฏฐิ คือทางสายกลาง

    นาม : ไม่ใช่มี หรือไม่ใช่ไม่มี อันเป็นความเห็นสุดโต่ง แต่ถ้าสิ่งนี้มี สิ่งนี้จะมี ถ้าสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จะดับ หัวใจพุทธธรรม

    รูป :ดู ๆ เป็นเรื่องเล็ก ๆ ขี้ผง

    นาม : แต่ "อิทัปปัจยตา" นี้ ขยายให้ครอบคลุมไปหมด นี่คือตะบองเท่าเข็มเสียบในรูหูของเห้งเจีย

    รูป :ผู้ใดเข้าถึงมัน...

    โหงว :ไม่มี "ผู้" เข้าถึงมันดอก มีแต่การซึมซาบถึง

    นาม : ก็คือความได้ดังใจ

    โหงว :จึงเรียกกันว่า ตะบอง "ยู่อี่" (ได้ดังใจ)

    รูป :มโนหรจินดามณี ดุจได้แก้วมณีที่ทำให้สำเร็จการทุกสิ่งดังใจจง

    โหงว : คือความเป็นเอง

    นาม : คือพระสยัมภูวญาณ (ญาณรู้เห็นความเป็นเอง)

    รูป :ขอให้เราตั้งใจปรารถนา...

    โหงว :ปรารถนาที่จะสิ้นความปรารถนาในสิ่งที่ทั้งปวง เพื่อรู้แจ้งสุญญตา - ความสูญ



    (จบบทที่ ๒๔ โปรดติดตามตอนต่อไป.


     
  8. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๒๕
    ธรรมวิวาห์ - ธรรมนันทิ


    ครั้นรุ่งเช้า ศิษย์และอาจารย์ลายายเฒ่ามุ่งหน้าเดินทางสู่เมืองไซเหลียงก๊ก ที่มีแต่หญิงสาวล้วน นางพญาไซเหลียงก๊กทราบข่าวการมาของน้องยาเธอแห่งแผ่นดินไต้ถังก็เกิดกระสัน ใคร่จะได้พระถังเป็นสวามี ส่วนสานุศิษย์นั้น พระนางวางแผนที่จะฆ่าเสีย เพราะเห้งเจีย โป้ยก่ายและซัวเจ๋งนั้นดูหยาบคายและเป็นก้างขวางคอพระนาง

    ฝ่ายเห้งเจียก็หยั่งทราบแผนการนั้นแล้ว ก็ออกอุบายให้พระถังซัมจั๋งยอมเข้าสู่พิธีวิวาห์ เพื่อจะได้หนังสือผ่านเมืองโดยง่าย พระถังมิรู้จะทำประการใดก็จำยอม นางพญาก็ยินดียิ่งนัก จัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โต พร้อมทั้งยอมประทับตราหนังสือผ่านเมืองให้แก่สานุศิษย์ทั้งสาม แล้วเร่งให้ไปเสีย

    พระถังซัมจั๋งก็ทำทีออกมาส่งสานุศิษย์ที่ประตูเมือง ฝ่ายนางพญาไม่ไว้ใจก็ตามออกมาด้วย โดยพระราชรถ ครั้นพ้นประตูเมืองแล้ว พระถังก็ลงจากรถถวายพระพรลา นางพญาก็เร่งให้สาวสนมรีบจับตัวไว้ให้ได้ โป้ยก่ายเห็นดังนั้นก็ร้องตวาดก้องขึ้น จนนางสนมกำนัลเหล่านั้นล้มสลบลงหมดสิ้น

    ทันใดนั้น.........




    [​IMG]



    รูป :(หัวเราะ) เมืองแม่ม่าย

    นาม : พระได้เมีย

    รูป :โอ๊ย...ละเหี่ยนรก ?

    โหงว :อย่าตกใจเลย

    รูป :เร่งเฉลยอาจารย์

    โหงว : ธรรมกาโม ธรรมราคะ ธรรมนันทิ ใคร่ในธรรม ซับย้อมอยู่ด้วยธรรม เพลิดเพลินในธรรม นี่คือธรรมวิวาห์ ที่ชีวิตต้องประดิษฐานจิตลงช่วงหนึ่งจึงจะผ่านต่อไปได้

    รูป :พระถังไม่เต็มใจนี่...

    นาม : ขันติไม่ชอบที่จะย้ำให้จิตติดธรรมะ แต่ปัญญารู้ ว่าแม้ธรรมะก็ต้องละในที่สุด

    รูป :โป้ยก่ายร้องตวาดสาวสนมกำนัลเล่า

    นาม : ...?

    โหงว :...ทันใดนั้น !
     
  9. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๒๖

    นันทิราคะอุปมาด้วยแมงป่อง ที่ต้องละด้วยสติ อุปมาด้วยเสียงไก่ขัน


    ...ทันใดนั้น นางปีศาจแมงป่องที่ปลอมแปลงมาเป็นหญิงขาวเมืองไซเหลียงก๊ก ก็ได้โอกาสบันดาลเป็นลมเข้าตะครุบหอบพระถังพาไปยังสำนักเขาต๊อกตี่ซัว(ศตรูอันมีพิษ) ถ้ำปี้แป้ต๋อง(ถ้ำเครื่องสาย)

    นางปีศาจแมงป่องผู้มีอาวุธร้ายคือสากตำข้าว จับพระถังเข้าถ้ำได้แล้ว ก็ทำเสน่ห์ยาแฝดให้พระถังเคลิบเคลิ้ม แล้วเข้าเล้าโลมปลุกปล้ำจะให้พระถังยินดีด้วย ก็พอดีเห้งเจียแปลงเป็นผึ้งตามเข้ามาทันการ เห้งเจียเห็นอาจารย์จวนจะเพลี่ยงพล้ำ จึงกลับร่างเดิม ชักตะบองวิเศษออกจากหู เข้ารุกไล่ตีนางปีศาจร้าย นางปีศาจแมงป่องโมโหหนักที่เห้งเจียมาขัดขวางความสุข ก็พ่นควันและไฟออกทั้งทางปากและจมูกคลุ้งไปทั้งถ้ำ แล้วใช้สากวิเศษขว้างมาตำใส่หัวของเห้งเจียดังสนั่น เจ็บปวดเหลือจะกล่าว ฝ่ายโป้ยก่ายกับซัวเจ๋งเห็นเช่นนั้น ต่างก็วิ่งหนีนางปีศาจ ตามหลังเห้งเจียไปติด ๆ ทั้งสามมานั่งหอบปรึกษากันอยู่

    ครั้นตกกลางคืน นางปีศาจก็เข้าเล้าโลมพระถังอีก พระถังก็นั่งสมาธิดุจดังคนใบ้ไร้ความรู้สึก นางปีศาจเล้าโลมไม่สำเร็จก็เดือดดาล จับพระถังสวมขื่อคาไว้

    ถึงตอนเช้า เห้งเจียให้ซัวเจ๋งเฝ้าม้าและจีวร ตนเองและโป้ยก่ายเข้าไปร้องท้าทายนางปีศาจ นางปีศาจก็ออกจากถ้ำมา ขว้างสากตำข้าววิเศษตำลงบนปากของโป้ยก่ายเต็มแรง ทั้งสองก็วิ่งหนี โป้ยก่ายนั้นส่งเสียงครวญครางลั่นป่า

    เห้งเจีย โป้ยก่ายวิ่งหนีกันมาพักหนึ่ง ก็ได้พบพระกวนอิมโพธิสัตว์จึงได้รับความรู้เรื่องนางปีศาจแมงป่องจากกวนอิมว่า นางปีศาจแมงป่องนี้เคยอยู่ที่วัดลุยอิมยี่ มันชอบฟังธรรม เพลิดเพลินในธรรม ฝ่ายพระยูไลเห็นมันเข้าก็ไม่ชอบใจเอามือปัดให้พ้น มันกลับต่อยพระยูไล จึงทรงรับสั่งให้ท้าวกิมกังจับตัวมัน มันจึงได้หนีมาปลอมตัวปะปนกับคน เป็นหญิงชาวเมืองไซเหลียงก๊ก

    เมื่อเห้งเจียขอร้องให้กวนอิมไปช่วย พระกวนอิมโพธิสัตว์กลับตอบว่า พระองค์เองเข้าใกล้นางปีศาจนี้ไม่ได้ แต่ขอแนะให้เห้งเจียไปตามหาดาวเบ้ายิดแชกุน(ดาวลูกไก่)

    เห้งเจียจึงลากวนอิม หกคะเมนลิ่วขึ้นสวรรค์ ชวนเบ๊ายิดแชกุนลงมาแล้ว เห้งเจียก็ร้องท้านางปีศาจให้ออกมาสู้รบกัน นางปีศาจก็คว้าสากตำข้าวผลุนผลันออกมา เบ๊ายิดก็โก่งคอขันขึ้น พอได้ยินเสียงไก่ขัน นางปีศาจแมงป่องก็ล้มลงขาดใจตาย

    เห้งเจีย โป้ยก่ายจึงเข้าไปในถ้ำ แก้ไขพระถังแล้วจึงได้พบว่า นางปีศาจได้จับหญิงชาวไซเหลียงก๊กมาขังไว้จำนวนมาก จึงได้ทำการปลดปล่อยให้เก็นอิสระกลับไปดังเดิม

    ทั้งสองช่วยกันเอาไฟเผาถ้ำปีศาจเสียหมดสิ้น แล้วนิมนต์อาจารย์ขึ้นม้ามุ่งสู่ไซที



    [​IMG]



    รูป : แหม...กำลังเพลินในธรรม มีธรรมนันทิ ธรรมวิวาห์อยู่ดี ๆ กลับกลายเป็นผีอุ้มไปเสียฉิบ

    นาม : มันคืออะไร ?

    รูป : นันทิราคะแห่งถ้ำปี้แป๋ คือเครื่องสายแห่งความเพลินในราคะตัณหา ปีศาจแมงป่องเจ้าราคะครอบงำให้มืดดุจอยู่ในถ้ำผี

    โหงว :เพลิดเพลินในธรรมจนเผลอไปเพลินด้วยราคะในอารมณ์ของตัณหาเข้า หามืดไม่กลับสว่างจ้าจนตามัวเพราะเข้าใจไปว่าเพลินในธรรม ที่แท้เพลินกาม

    นาม : แกคิดว่า สากตำข้าวอาวุธวิเศษของนางปีศาจคืออะไรฮึ ?

    รูป : ที่มันทิ่มหัวเห้งเจียและโป้ยก่ายเข้าจังเบ้อเร่อน่ะ ถ้ามิใช่โทสะแล้วมันจะเป็นอะไรได้

    นาม : ทำไมเป็นโทสะ?

    รูป : ราคะคู่กับโทสะเสมอ พอไม่ได้ดังราคะต้องการมันก็เกิดโทสะเท่านั้น นั่นล่ะคือสากตำข้าวที่มักตำเจ้าตัวปัญญา แล้วเป็นเหตุให้ทุศีล

    นาม : นั่นคือทิ่มกระหม่อมของเห้งเจีย ตำปากของโป้ยก่าย

    โหงว :ปวดขมับด้วยโทสะอันเนื่องมาจากไม่ได้ราคะดังใจ แล้วผลักดันให้ด่า ดุ ตะคอกขู่มึง ๆ กู ๆ ปากขมุบขมิบ

    รูป : นั่นแหละ...สากทิ่มปากโป้ยก่ายเข้าแล้ว

    นาม : ถ้าเพียงหงุดหงิดขัดใจล่ะ ?

    รูป : หงุดหงิดก็เนื่องจากราคะ ขัดใจก็ราคะ

    นาม : ถ้าแค่นี้จะอุปมาด้วยอะไรดี มันไม่ถึงกับเป็นสากใหญ่ ๆ ยาว ๆ

    โหงว :แค่สากสั้น ตะบองสั้น หรือแค่ไม้ตีพริก

    รูป : เห้งเจีย โป้ยก่าย เข้าสู้รบกับนางปีศาจเป็นอันวิ่งป่าราบเลย

    นาม : ใช่ซี ปัญญาและศีลยังไม่อาจเอาชนะนันทิราคะได้ทันที

    รูป : ถึงมีปัญญา รู้โน่น รู้นี่ ก็หาทานแรงนันทิราคะได้ไม่ ได้แต่รู้ ถึงมีศีลขนาดไหนก็ทุศีลอยู่ลึก ๆ

    นาม : จนกว่าพบกวนอิม - เมตตา

    โหงว :เมตตายิ่งเข้าใกล้ราคะไม่ได้ จะไปทำเป็นเมตตากับราคะเดี๋ยวก็เสร็จมันเท่านั้น

    รูป : ฮื้อ เห็นมามากแล้ว

    โหงว :ทีนี้จะละมันได้อย่างไรล่ะ เจ้าปีศาจแมงป่อง ราคะที่คอยต่อยตอดให้ปวดอยู่นี่น่ะ ?

    รูป : หาไก่มาจิกเสีย

    นาม : ไม่ใช่ หาไก่มาขันให้มันได้ยิน มันจะตายเอง

    โหงว :แล้วมันคืออะไรล่ะ ไก่ขันน่ะ ?

    นาม : สติสัมปชัญญะดุจไก่ขันขึ้น ใช้สติ- ระลึกตื่นตัว รู้ตัวทั่วพร้อมให้ทันท่วงที เพื่อละความเพลินในอารมณ์ทุกชนิด

    รูป : ความเพลิน - นันทิราคะก็พลันล้มลงขาดใจตาย

    โหงว : แล้วชาวเมืองไซเหลียงที่นางปีศาจจับมาล่ะ ?

    นาม : ธรรมนันทิ - ความเพลินในธรรม ก็ถูกแยกเด็ดขาดจากนันทิราคะ แต่ก่อนในธรรมนันทิยังมีผีนันทิราคะแฝงอยู่ เจตสิกธรรมคือ หญิงชาวเมืองธธรรมนันทิ ถูกผีราคะอำอยู่ บัดนี้ถูกปลดปล่อย

    รูป : ดูเหมือนว่า เพลินทางธรรมอยู่ เผลอหน่อยเดียวเป็นเสร็จผี...

    นาม : ไม่ใช่ดอก แต่ขืนเพลินทางธรรมอยู่อย่างสามัญ สงบเย็นอยู่ก็เดินทางต่อไม่ได้ เดินต่อไม่ได้แม้สงบสุข ถึงไม่ใช่ปีศาจมันก็จะต้องกลายเป็นปีศาจขึ้นมาวันหนึ่ง

    รูป : งั้นออกเดินทางให้ปีศาจจับข่มขืนแล้วก็ใกล้นิพพานเข้าไปรึ ?

    นาม : การผจญผีแล้วปราบมันได้ นั่นคือทาง

    รูป : เข้าฌาน ทำสมาธิ หยุดพฤติของจิตก็เพียงสงบ คือได้เมีย หรือแต่งงานเท่านั้น หาใช่การเดินทางไม่

    โหงว :จิตที่หยุดอยู่ในฌานเฉย ๆ รู้ธรรมยาก

    นาม : เพราะว่า เราต้องการรู้ว่ากิเลสคืออะไร เกิดจากอะไร ปราบมันได้อย่างไร แล้วผลของการปราบกิเลสได้คืออะไร รวมความว่าแยกออกว่า อะไรคือกิเลส อะไรคือโพธิ

    โหงว :เท่านั้นยังหาใช่รู้ธรรมไม่ รู้จริงจะเห็นว่าผีกับเทพหรือพาหนะของเทพนั้นเป็นอันเดียวกัน สังสารวัฏฏกับนิพพานนั้นไม่แยกจากกันได้

    รูป : เพราะว่ากิเลสนั่นแหละคือทาง

    นาม : ปีศาจทุกตัวจะกลายเป็นเทพ หรือพาหนะของเทพ ผีทุกตัวเนื่องอยู่กับเทพ และทั้งผีทั้งเทพจะช่วยให้การเดินทางเป็นไปจนถึงไซที

    โหงว :เพราะว่าการเดินทางคือความแจ่มแจ้งในอริยสัจจ์

    นาม : ลำพังเห้งเจีย - ปัญญา ก็อาจเหาะไปอาราธนาพระไตรปิฎกได้ ด้วยการหกคะเมนทีเดียวถึงพระพักตร์พระยูไล

    รูป : คือถึงพุทธะได้ด้วยปัญญา ภายในวูบเดียว

    นาม : คือวูบถึง แล้ววูบ ถูกไล่กลับมามือเปล่า

    โหงว :คิดให้ถึงมันก็ถึง คิดว่าว่างมันก็ว่าง

    รูป : แต่พระยูไลไม่รับรอง การมาชนิดคอรัปชั่นนี้

    นาม : เห้งเจียจะต้องพาพระถัง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และจำต้องผจญ ทั้งผีทั้งเทพจึงจะสำเร็จจริง

    โหงว :คือ แจ่มแจ้งต่ออริยสัจจ์ ๔ คือความจริงเรื่องทุกข์ ความจริงเรื่องเหตุแห่งทุกข์ ความจริงเรื่องความดับทุกข์ และความจริงเรื่องข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

    นาม : ซึ่งสรุปเหลือ ๒ คือ ทุกข์ และความดับทุกข์

    รูป : ความประจักษ์แจ้งต่อผีและเทพคือทาง

    โหงว :ทั้งผีและเทพเป็นหนึ่งเดียว

    นาม : อริยสัจจ์ ๔ จึงต้องรู้ด้วยความเป็นหนึ่งเดียว

    รูป : อาจารย์ผมวานเล่า...

    โหงว :ถ้างั้นเจ้าจงเฝ้าฟัง...............ถัดแต่นี้องค์พระถัง
    ถูกเห้งเจียทุบแทบตาย

    นาม : เอ๊ะเห้งเจียเนี่ย...บ้า?

    โหงว :เจ้าอย่ากระเดียดเอาง่าย - ง่าย
    คือลิงหกหูหน้าละม้าย..............คล้ายเห้งเจียเสียครามครัน

    รูป : เห้งเจียรบเห้งเจีย !

    นาม : นัวเนียบาดาลสะท้านสวรรค์

    โหงว :สองจิตฤทธิ์พอกัน.........ลั่นถึงหูพระยูไล!



    (จบบทที่ ๒๖ โปรดติดตามตอนต่อไป...)






    ** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๓๔ - ๑๔๐ )

    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">บทที่ ๒๗

    กิเลส(ภวตัณหา)กับโพธิปัญญา

    พระถังซัมจั๋งและศิษย์รอนแรมกันมาระหว่างทาง ถูกนายโจร ๒ คนคุมพรรคพวกเข้าปล้น เห้งเจียก็ชักตะบองออกตีจนตาย พระถังก็โกรธเห้งเจียว่าโหดร้ายไร้ศีลธรรม เห้งเจียก็เถียงว่าขืนไม่ฆ่ามัน มันจะฆ่าอาจารย์ อาจารย์และศิษย์ให้นึกเคืองซึ่งกันและกัน

    ครั้นตกกลางคืน พระถังและศิษย์ขอเข้าพักค้างที่บ้านบิดาของสมุนโจรที่เห้งเจียตีตาย บุตรชายเจ้าของบ้านสมุนโจรคิดแค้น จึงคุมสมัครพรรคพวกเข้าจับตัวเห้งเจีย จะฆ่าแก้แค้นให้นายเห้งเจียจึงตีจนตาย แล้วยังตัดคอให้พระถังได้ชม พระถังโกรธสุดขีด จึงร่ายคาถาบีบขมับเห้งเจีย มงคลที่สวมหัวก็บีบจนเห้งเจียล้มกลิ้งไปมา พระถังเดือดดาลใส่เห้งเจียไม่ให้ร่วมทางไปไซที เห้งเจียน้อยใจ จึงร้องท้าทายกับพระถังว่าจะไม่ร่วมทางอีก ครั้นจะกลับไปถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋องก็นึกละอายสมุนลิง จึงเหาะลิ่วไปสำนักน่ำไฮ้ของกวนอิมโพธิสัตว์ กวนอิมขอให้เห้งเจียอยู่ที่นั่น เพราะเล็งญาณรู้ว่า การไปไซทีนั้นปราศจากเห้งเจียนำทางแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าพระถังให้โป้ยก่ายนำทางจะเข้าที่คับขัน และจะต้องมาตามเห้งเจียที่นี่อยู่ดี

    ฝ่ายพระถังเมื่อไล่เห้งเจียไปแล้ว ก็ให้โป้ยก่ายจูงม้านำทางพอตะวันใกล้เที่ยงพระถังก็ให้โป้ยก่ายเหาะไปบิณฑบาต โป้ยก่ายก็เหาะหายไปนานจนพระถังหิวทุรนทุราย ซัวเจ๋งจึงรับอาสาไปหาน้ำมาให้พระถังรองท้อง พระถังจึงอยู่กับม้าขาวและหาบห่อจีวรตามลำพัง

    ทันใดนั้น เห้งเจียก็ผลุนผลันเข้ามาเอาหม้อน้ำถวาย ฝ่ายพระถังยังไม่หายโกรธก็ร้องด่าและขับไล่เห้งเจียก็ดกรธจึงฉวยตะบองมาทุบตีพระถังจนล้มคว่ำสลบแน่นิ่ง เห้งเจียก็รวบหอบเอาข้าวของห่อจีวรหนีไปยังถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง ภูเขาฮ้วยก๊วยซัว

    ฝ่ายโป้ยก่ายกับซัวเจ๋งไปพบกันกลางทางก็รีบกลับมาหาพระถัง เห็นนอนนิ่งอยู่ก็เข้านวดเฟ้นแก้ไขจนฟื้นขึ้นมา เมื่อพระถังเล่าเหตุการณ์ให้ฟังทั้งสองก็โกรธแค้นเห้งเจียนักที่ทรยศเนรคุณต่ออาจารย์ของตัว

    พระถังซัมจั๋งไม่มีจีวรจะครองก็เศร้าใจ ขอร้องให้ซัวเจ๋งไปตามคืนมาให้ได้ ซัวเจ๋งก็คว้าตะบองเหาะลิ่วไปถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง พบเห้งเจียกำลังจัดขบวนไปไซทีใหม่ โดยเนรมิตพระถังซัมจั๋ง โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง และม้าขาวขึ้นด้วยฤทธิ์ ซัวเจ๋งก็โกรธสุดขีด คว้าตะบองเข้าไล่ทุบตีซัวเจ๋งตัวปลอมจนตาย ฝ่ายเห้งเจียก็เรียกให้ลูกสมุนเข้าจับตัวซัวเจ๋ง

    ซัวเจ๋งเห็นเหลือกำลังก็ล่าถอย เหาะไปยังน่ำไฮ้เพื่อจะไปฟ้องพระกวนอิม เรื่องการทรยศเนรคุณของเห้งเจียและคิดกำเริบจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกด้วยตัวเอง

    ครั้นถึงเขาน่ำไฮ้ ซัวเจ๋งก็พบเห้งเจียยืนอย่ข้างกวนอิมก็โกรธฉวยตะบองได้ก็ไล่ทุบ จนกวนอิมต้องร้องห้าม เมื่อซัวเจ๋งทราบความว่าเห้งเจียอยู่ที่เขาน่ำไฮ้กับกวนอิมตลอดมิได้ไปไหนเลย ก็ประหลาดใจ เล่าความที่ตนเองไปพบเห้งเจียที่ถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋องให้ทราบ เห้งเจียก็โกรธที่มีผู้บังอาจปลอมแปลงเป็นตนไปทำร้ายพระถัง จึงชวนซัวเจ๋งเหาะลิ่วไปสู่เขาฮ้วยก๊วยซัว

    พอเห็นเห้งเจียอีกตนหนึ่งแล้ว เห้งเจียก็โกรธ ชักตะบองออกจากรูหู กระโดดเข้าทุบตี ต่างสู้รบกันนัวเนีย จนซัวเจ๋งไม่รู้จะช่วยฝ่ายไหน เห้งเจียจึงรบล่อไปจนถึงพระพักตร์พระกวนอิม เพื่อให้ภาวนาคาถาให้มงคลบีบขมับ

    ครั้นเมื่อกวนอิมภาวนาคาถาแล้วเห้งเจียทั้งสองต่างล้มกลิ้งไปมาด้วยกันทั้งค่ ร้องเรียกชื่อก็ขานรับเหมือนกัน จนแยกไม่ออกว่าตัวไหนจริงตัวไหนปลอม เมื่อไม่สำเร็จเห้งเจียก็รบล่อลงไปถึงนรก ให้ยมบาลเปิดบัญชีดูว่าใครบังอาจปลอมแปลงมา ก็ไม่สำร็จ

    ฝ่ายพระโพธิสัตว์เตจ๋องอ๋อง(ขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในพื้นดิน)ได้ใช้ให้สิงห์ที่นอนหมอบอยู่แทบเท้า(ชื่อทีเทีย)นั้นนอนกกลงกับดินแล้วก็ได้รู้ความลับเรื่องเห้งเจียทั้งสองสิ้น เมื่อทีเทียทำตามคำสั่งแล้วก็กราบทูลพระโพธิสัตว์ว่า แม้เห้งเจียปลอมนี้ก็จริงเหมือนกัน แต่ไม่ควรพูดออกมาในบัดนี้ เพราะจะเกิดจลาจลโกลาหล แล้วจะไม่มีความสุขเลย เพราะฤทธิ์ของเห้งเจียทั้งสองเสมอกัน ไม่มีใครแยกได้ เว้นแต่พระยูไล พระโพธิสัตว์เตจ๋องอ๋องจึงแจ้งความลับนี้ให้แก่เห้งเจียทั้งสองทราบ

    ฝ่ายเห้งเจียตัวจริงเมื่อได้ยินดังนั้นก็รบล่อไปไซที เสียงก้องอึกทึกทั้งฟ้าดิน พระยูไลจึงตรัสเรียกให้สาวกมาดูว่า "เธอจงสำรวมจิตให้เป็นหนึ่ง คอยดูสองจิตรบกันให้ดี " แล้วทรงเล่าให้สาวกฟังถึงกำเนิดของลิง ๔ ประเภท เรียกว่า มูลวานร ๔ คือ ๑. เจื๊อเก๊า มีฤทธิ์แปลงกายได้ทุกอย่าง รู้ฟ้า - ดิน ๒. เบ๊เก๊า รู้ฟ้าดินด้วย รู้เรื่องมนุษย์ และเป็นอมตะ ๓. อวนเก๊า มีฤทธิ์อาจลูบพระอาทิตย์พระจันทร์ได้ ๔. มิเก๊า (หกหู) รู้แจ้งสิ่งทั้งปวง มีหูที่ฟังเสียงได้ไกลนับพันโยชน์

    พระยูไลตรัสมูลวานร ๔ แล้วก็เอาบาตรขว้างไปครอบ</B>ลิงลักฮี้เกา</B>ที่เหมือนกับเห้งเจียทุกประการไว้ได้ เห้งเจียกำลังโกรธ มิฟังเสียงห้ามของพระยูไล ก็เอาตะบองกระทุ้งลงในบาตร จนลิงหกหูถึงแก่ความตาย แล้วทูลลา เหาะมุ่งกลับไปหาพระถัง

    ฝ่ายโป้ยก่ายเหาะไปที่ถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง เอาคราดเก้าซี่สับพระถังปลอม โป้ยก่ายปลอมตายสิ้น แล้วหอบห่อจีวรของพระถังเหาะกลับมาสมทบกัน เห้งเจียกับพระถังคืนดีกันแล้วก็ออกเดินทางรอนแรมมุ่งทิศปราจีนต่อไป.............



    [​IMG]


    รูป : เฮ้อ...เล่ายาวเหยียด เดี๋ยวเนื้อก็หายหมดหรอก

    นาม : จริงด้วย ไซอิ๋วของอาจารย์ถูกกลบความหมายหมด เพราะเล่าแจกออกมากไป

    โหงว :ไม่เล่าอย่างนี้มันจะเป็นนิทานปริศนาได้รึ ?

    นาม : ตัดตอนว่าพระถังทะเลาะกับเห้งเจีย ขัดใจกัน พระถังไล่ไม่ให้ติดตาม กลับให้โป้ยก่ายจูงม้า

    โหงว :พอศีลออกหน้านำทางจูงวิริยะ(ม้าขาว) ชีวิตก็ถูกกิเลสทุบเสียสลบเหมือด

    รูป : ทั้งโป้ยก่ายและซัวเจ๋งทิ้งพระถังไว้ลำพังนี้ล่ะ หมายความว่าอย่างไร ?

    นาม : ศีล สมาธิ ปัญญา แยกกันไปคนละทิศ ไม่ทำงานด้วยกัน ไม่ให้ปัญญาจูงวิริยะละก็ กิเลสชื่อว่า ภวตัณหาเป็นเล่นงานล่ะ

    โหงว :พอโพธิปัญญาไม่อยู่ กิเลสก็ทุบโครมเข้า

    รูป : กิเลสกับโพธิ ทำไมเหมือนกันยังกับพิมพ์เดียว ไม่มีใครแยกออก

    นาม : เว้นแต่พระยูไล คือพุทธภาวะชี้ขาด เดี๋ยวคงรู้ ?

    โหงว :กิเลสอยากเป็นโพธิสัตว์ อยากเป็นพระอรหันต์ จัดปลอมแปลงขบวนไปไซที แต่ขโมยจีวรครองของพระถังองค์จริงไป

    นาม : คือภวตัณหา จึงเหมือนโพธิปัญญายังกับแกะ

    รูป : อยากเป็นพระอรหันต์มันเป็นกิเลสตรงไหนเล่าแก ?

    นาม : ที่ตรงอยากเป็นนั่นแหละ พระอรหันต์นั้นท่านหมดอยากที่จะเป็นอะไร ยิ่งอยากเป็นพระอรหันต์ก็ยิ่งไม่ได้เป็น ที่จริงต้องอยากพ้นทุกข์จึงจะถูก

    รูป : ขืนให้ละความอยาก ในที่สุดก็เลยหมดอยากพ้นทุกข์ จึงสรุปเอาดื้อ ๆ ว่า มีกิเลสมีทุกข์นี่ดีแล้ว เรื่องอะไรจะไปเพิ่มความอยากให้ลำบากกิเลสเปล่า ๆ

    นาม : นั่นแหละทีเทียจึงว่า แม้เห้งเจียปลอมนี้ก็จริงเหมือนกัน ขืนพูดว่าไม่จริงจะยุ่งกันใหญ่ หมายความว่า ให้อยากเป็นผู้หมดกิเลสก่อนเถอะน่า

    รูป : ดังนั้นเราอยากเป็นพระอรหันต์นั่นแหละ แล้วค่อย ๆ ให้พุทธภาวะตัดสิน ค่อย ๆ ละตัวอยากออกไปในที่สุด

    โหงว :ใช่แล้ว อยากดับทุกข์ อยากหลุดพ้นไว้ก่อนจะปลอดภัย หากไม่อยากหลุดพ้นก็จะจมลึกเข้าอีกที

    นาม : เป็นอันว่าโพธิกับกิเลสซึ่งเหมือนกันดิก รบกันโกลาหล แยกไม่ออกว่าไหนเป็นปัญญา ไหนเป็นกิเลส แต่ก็พอแลเห็นได้ด้วยการสำรวมจิตให้เป็นหนึ่งว่า สองจิตรบกันอยู่

    รูป : อ้อ จิตหนึ่งอยาก อีกจิตหนึ่งเพียรละความอยาก

    โหงว :นี่คือโสหังและเนติ

    นาม : อ้อ คือทั้งเป็นและไม่เป็น ทั้งอยากและไม่อยาก คืออยากที่จะละความอยาก

    รูป : เห้งเจียทั้งสองปวดขมับด้วยกัน เมื่อมงคลบีบล่ะ ทำไมเป็นเช่นนั้น ?

    นาม : กิเลสก็บวชได้เท่า ๆ กับปัญญานั่นแหละ หรือว่าไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของกิเลสก็มีคือว่าง อันธพาลนั่นเอง สิ่งทั้งปวงไม่เทียง สิ่งทั้งปวงไม่ใช่เรา จะไปถือมั่นอะไรได้ อยากทำอะไรก็ทำตามชอบ ไม่มีตัวตนเสียอย่าง

    รูป : ทีนี้มูลวานร ๔ ?

    นาม : คือปฏิสัมภิทา ๔ คือ :
    ๑ . ธรรมปฏิสัมภิทา รู้แตกฉานในข้อธรรม คือลิงเจื๊อเก๊า รู้แปลงกายได้ทุกอย่าง ธรรมะหมวดไหนรู้หมด พลิกพลิ้วสโมธานได้สิ้น

    ๒. อรรถปฏิสัมภิทา รู้แตกฉานในอรรถะ คือเนื้อหาสาระของธรรมะ อุปมาด้วยลิงเบ๊เก๊า รู้ฟ้าดิน เป็นอมตะ

    ๓. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา รู้แตกฉานในปฏิภาณ ดุจลิงอวนเก๊า ที่อาจใช้ปฏิภาณลูบเดือนลูบตะวันเล่นได้

    ๔. นิรุกติปฏิสัมภิทา รู้แตกฉานในนิรุกติ - ศัพท์และภาษาบรรดามีของมนุษย์ ดุจลิงหกหูมิเก๊าที่มีหูฟังเสียงภาษามนุษย์ได้ทุกชนิด


    รูป : เฮ่ย ปฏิสัมภิทา ๔ เขาเป็นเรื่องสูงเรื่องดีเอามาเปรียบกับลิงไปได้

    นาม : ก็ทีโพธิเปรียบกับลิง ศีลเปรียบกับหมู สมาธิเปรียบกับเงือกยังได้นี่นา

    โหงว :ปฏิสัมภิทา ๔ อยู่ในประเภทปัญญา

    รูป : จึงอุปมาว่าเป็นลิงเหมือนเห้งเจีย

    นาม : ตัวสุดท้าย นิรุกติ แตกฉานภาษา คิดกำเริบจะเป็นพระอรหันต์ ด้วยการเรียนรู้ภาษาบาลีสันสกฤตเอาทีเดียว

    รูป : เห้งเจียเลยกระทุ้งเสียขมองทะลุ

    โหงว :ที่จริงพระยูไลขอไว้ คือไม่ต้องถึงกับฆ่าการเรียนรู้ภาษา(บาลี - สันสกฤต)ดอก ครอบไว้ด้วยบาตรพระนั่นแหละอยู่หมัดดีกว่า แตกฉานก็เรื่องของแตกฉาน แต่ก็ยังเป็นพระผู้เลี้ยงชีพอยู่ด้วย"บาตร"อย่างพระ ไม่ใช่เอาความแตกฉานมาหากิน

    นาม : ทำไมรู้ธรรมะด้วยบาลี จึงแยกไม่ออกจากโพธิ ฮึ?

    รูป : รู้แตกฉานบาลี อธิบายธรรมะได้ยิ่งกว่าพระอรหันต์อีกรู้หรือเปล่า ทั้ง ๆ ที่หาเข้าใจจริงไม่

    นาม : แยกแยะรากศัพท์บาลี ทะลุปรุแล้วปรุอีก แต่กิเลสหาปรุตามไปด้วยไม่

    รูป : เผลอ ๆ กิเลสรู้นิรุกติคืออหังการกลับท่วมเสียปรี่เลย

    นาม : รู้บาลีสันสกฤต คล่องแคล่วในการแยกแยะธรรมะแล้วจะเผลอคิดว่าเข้าถึงพระธรรม เพราะฟุ้งซ่านในภาษา ในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนต้มตัวเองได้สำเร็จ ว่าเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก หาใช่แตกฉานไม่

    โหงว :พุทธะ พุทธบุคคล พุทธภาวะเท่านั้นจะตัดสินได้ว่า ไหนเก๊ ไหนจริง

    รูป : เหมือนพาลัรบกับสุครีพ พระรามแยกไม่ออก อาจารย์ก็ฉลาดใช่เล่น แปลงมาเป็นสองเห้งเจีย

    นาม : พอปัญญาแท้ฆ่าลิงรู้ภาษาบาลีสันสกฤตชนิดนี้แล้ว โป้ยก่าย - ศีลก็เอาคราดสับขันติเก๊ ศีลเก๊เสียยับ

    รูป : ลิงอีกสามไม่ต้องฆ่าซีน่า เพราะไม่มีปัญหาเหมือนนิรุกติ

    โหงว :เชี่ยวนิรุกติ์ฉุกใจคิด..............สันสกฤต - บาลีฉาน
    แจงศัพท์แจกแตกซ่าน...........ดังผาลลอย ไม่ไถดิน

    นาม : (หัวเราะ) ง่ายนักหนาไถนาธรรม.............เรียนเช้าค่ำจำหมดสิ้น

    รูป : (หัวเราะ) ไถไป ไถไป ไม่จดดิน................

    โหงว : คงได้ข้าวดอกเจ้าเอย

    รูป : อยากฟังต่อ................


    (จบบทที่ ๒๗ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





    ** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๔๑ - ๑๔๙ )
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5442 vAlign=bottom></TD><TD class=smalltext vAlign=bottom align=right>[​IMG] บันทึกการเข้า </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


     
  10. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">บทที่ ๒๘

    อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค
    และการละอุทเฉททิฏฐิ

    พระถังและศิษย์พ้นภัยจากลิงลักฮี้เกาแล้ว ก็บุกป่าฝ่าดงมุ่งสู่ทิศปราจีน ในขณะนั้นย่างเข้าฤดูฝน แต่อากาศกลับวิปริต แปรปรวนกลับเป็นร้อนจัด เพราะว่าบัดนี้อาจารย์และสานุศิษย์ ได้บรรลุถึงเขตภูเขา ฮ้วยเอี้ยมซัว อันเป็นเขตทุรกันดาร ลุกเป็นไฟอยู่ แม้แต่เหล็กและทองแดงในบริเวณนั้นก็หลอมละลายเพราะความร้อน

    ฝ่ายเห้งเจียก็เที่ยวสืบช่องทางที่จะระงับไฟจนถูกแนะให้ไปที่ภูเขาจุ๊ยหุ้นซัว ถ้ำปอเจียวต๋องอันเป็นสำนักของนางล่อซัว นางมีพัดวิเศษทำด้วยเหล็กมีมาตั้งแต่เริ่มมีฟ้าเริ่มมีดิน พัดวิเศษนี้อาจใช้ดับไฟได้ เห้งเจียก็รีบเหาะไปที่ถ้ำปอเจียวต๋อง แต่ครั้นได้พบกับนางล่อซัวเข้า เห้งเจียให้นึกครั่นคร้าม เพราะว่านางล่อซัวคือมารดาของอั้งฮั๊ยยี้ และเป้เมียของงู้หม้ออ๋อง แต่เห้งเจียก็ทำเป็นใจดีสู้เสือเข้าไปขอยืมพัดจากนางล่อซัว

    ฝ่ายนางล่อซัวนั้นนึกได้ว่าเห้งเจียคือศตรูที่พาลูกชายของตนไปเป็นศิษย์ของพระกวนอิม จึงเดือดดาลที่ยังด้านหน้ามาขอยืมพัดอีก นางจึงเอาพัดโบกจนเห้งเจียปลิวไปตามลมไกลถึง ๘๔,๐๐๐ โยชน์

    ฝ่ายเห้งเจียเมื่อถูกพัดวิเศษพัดจนปลิวไปนั้น ก็เอามือและเท้าคว้าจับภูเขากุ้ยซัว อันเป็นที่พำนักของพระโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดไว้ทัน จึงไม่ถึงแก่อันตราย ครั้นเข้าเฝ้าเล่งเกี๊ยดแล้ว จึงได้ยาวิเศษระงับลม เห้งเจียเหาะกลับไปถ้ำปอเจียวต๋อง ร้องท้านางล่อซัวออกมาสู้รบกัน คราวนี้พัดวิเศษของนางล่อซัวทำอะไรเห้งเจียไม่ได้ ด้วยอำนาจของยาวิเศษของโพธิสัตว์เล่งเกี๊ยดคุ้มตัวอยู่

    เมื่อนางล่อซัวเห็นเช่นนั้นก็หนีเข้าถ้ำ ลั่นดาลประตูปิดตาย แล้วนั่งซดน้ำชาครุ่นคิดอยู่ เห้งเจียก็แปลงเป็นแมงหวี่ลอดเข้าไปในถ้ำแล้วปนลงไปในกากชา เมื่อนางล่อซัวซดชาลงไปในท้อง เห้งเจียจึงติดลงไปด้วย เมื่อถูกเห้งเจียบิดไส้กระทุ้งหัวใจนางล่อซัวจึงร้องครวญครางขอชีวิต และยินยอมมอบพัดวิเศษให้เห้งเจียเป็นการแลกเปลี่ยน

    เมื่อได้พัดวิเศษแล้วเห้งเจียก็ไม่รอช้า ตรงไปที่เขตภูเขาฮ้วยเอี้ยมซัว ที่แผ่นดินลุกเป็นไฟอยู่ ยกพัดขึ้นพัดโบก แต่ไฟกลับลุกท่วมขึ้น ร้องทุรนทุรายมากกว่าเดิมเสียอีก เพราะพัดนั้นเป็นพัดปลอม ต่อมาเห้งเจียจึงทราบว่า ไฟที่ลุกท่วมแผ่นดินอยู่นั้นที่แท้เป็นไฟที่ตนทำมันขึ้นเอง สมัยที่ก่อการจลาจลบนสวรรค์ชั้นพรหม คราวเมื่อต้องโทษของพรหมท้ายเสียงเล่ากุน ถูกจับเข้าเตาหลอม เห้งเจียกลับถีบเตาหลอมพังพินาศ ไฟจึงหล่นลงมายังพื้นโลกลุกท่วมทางอยู่

    เห้งเจียจึงเหาะไปหางู้หม้ออ๋อง สามีของนางล่อซัว ซึ่งบัดนี้ไปหลงเมียใหม่ชื่อนางเง็กมิ่นกงจู๊ อยู่ ณ สำนักเจ็กลุ่ยซัว ถ้ำม่อหุ้นต๋อง นางเง็กมิ่นร่ำรวยสมบัติและรูปสวย งู้หม้ออ๋องจึงหลงใหลจนลืมกลับไปหานางล่อซัว ครั้นเห้งเจียเหาะไปถึงถ้ำม่อหุ้นต๋องก้พบนางเง็กมิ่น เห้งเจียก็ไล่ทุบนางวิ่งเข้าไปในถ้ำไปหางู้หม้ออ๋อง ผู้เป็นนักศึกษา ชอบดูตำราไม่ได้หยุด ครั้นงู้หม้ออ๋องทราบว่าเห้งเจียมารังควานเมียใหม่ของตนก็โกรธ ออกมาสู้รบกับเห้งเจียเป็นสามารถ ไม่อาจแพ้ชนะกันได้ พอดีกับงู้หม้ออ๋องถูกสหายมาตามตัวไปกินเลี้ยงที่ใต้บาดาล จึงขอหย่าศึกชั่วคราว เห้งเจียสบโอกาสก็แปลงกายเป็นงู้หม้ออ๋องกลับไปหานางล่อซัว

    ฝ่ายนางล่อซัวร้างสามีมานาน ครั้นเห็นงู้หม้ออ๋องก็ตัดพ้อต่อว่าตามประสาหญิงว่า ทอดทิ้งนางไปมีเมียใหม่ งู้หม้ออ๋องเก๊ก็เล้าโลมเอาอกเอาใจ แล้วหลอกเอาพัดวิเศษที่นางล่อซัวอมไว้ในปากจนได้ แล้วหนีมาพบกับโป้ยก่ายกลางทาง โป้ยก่ายขอเป็นผู้รักษาพัด เห้เงจียก็มอบให้ไป โป้ยก่ายก็กลายร่างเป็นงู้หม้ออ๋อง เห้งเจียรู้ว่าตนเสียทีปีศาจควายก็โกรธชักตะบองออกมารบกันโกลาหล โป้ยก่ายตัวจริงมาทันรุมกันรบปีศาจควาย ก็มิอาจเอาชนะมันได้ไม่ ปีศาจแปลงกายเป็นสัตว์ต่าง ๆ เห้งเจียก็แปลงเป็นสัตว์คู่อริ ไล่ตีไล่ต่อยจนปีศาจต้องล่าถอยเข้าถ้ำปอเจียวต๋องของนางล่อซัว

    ฝ่ายโป้ยก่ายหวนกลับไปที่ถ้ำนางเง็กมิ่นกงจู๊ แล้วเอาคราดเก้าซี่สับร่างนางเง็กมิ่นจนตาย ทั้งจุดไฟเผาสมุนปีศาจและถ้ำเสียสิ้น แล้วย้อนกลับมาสมทบกับเห้งเจียเข้าล้อมถ้ำปอเจียวต๋อง ที่งู้หม้ออ๋องกับนางล่อซัวซ่อนตัวอยู่ แล้วพังทลายถ้ำเสียวินาศ งู้หม้ออ๋องเหาะขึ้นบนอากาศก็พลัดตกลงในวงล้อมของเทพยดาที่พระยูไลสั่งให้มาล้อมจับทั้ง ๔ ทิศ เบื้องบนเง็กเซียนฮ่องเต้สั่งให้ถักทะลีทีอ๋องและโลเฉียคุมทัพสวรรค์สกัดไว้ เบื้องล่างเห้งเจียกับโป้ยก่ายรุกไล่ขึ้นไป

    ในที่สุดงู้หม้ออ๋องก็ยอมแพ้ ยอมกลับใจมาในทางของพุทธธรรม ร่างจึงกลับเป็นควายขาว จอมทัพแห่งสวรรค์ก็จูงจมูกขึ้นสวรรค์ไปทูลรายงานต่อเง็กเซียนฮ่องเต้

    ฝ่ายนางล่อซัวเห็นสามีกลายร่างจากควายดำเป็นควายขาว ก็ผลัดเครื่องแต่งกาย กร้อนผมบวชเป็นชี นุ่งขาวห่มขาวออกมาขอขมาโทษต่อเห้งเจีย แล้วมอบพัดวิเศษให้แต่โดยดี เห้งเจียก็ใช้พัดวิเศษนั้นพัดไฟจนค่อย ๆ ดับไป แล้วส่งพัดคืนแม่ชีล่อซัว นางก็อมไว้ในปากตามเดิม

    ครั้นเหตุการณ์เรียบร้อยปกติแล้ว เห้งเจียก็เชิญพระถังขึ้นม้า แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางมุ่งไซทีต่อไป.....................



    [​IMG]


    รูป :(หัวเราะ) ตอนนี้อาจารย์ถอดจากรามเกียรติ์ตอนไหนฮึ?

    นาม : (หัวเราะ) พระรามแผลงศรพลายวาตะของรามสูร(ปสุราม)ดับไฟป่า

    รูป :โธ่เอ๋ย! นางล่อซัวคือรามสูร แล้วศรพลายวาตะคือพัดวิเศษดับไฟนั่นเอง

    โหงว : เอาละ ในที่นี้นางล่อซัวแม่ของอั้งฮั้ยยี้ เมียหลวงของงู้หม้ออ๋องปีศาจควายดำที่ไปมีเมียใหม่คือนางเง็กมิ่นกงจู๊ลองทายดูที ?

    รูป :จนจริง ๆ ครับ

    นาม : อย่าเพิ่งจนซี ลองไล่ไปดู อั้งฮั้ยยี้ คือมิจฉาสังกัปปะ - ดำริผิด งู้หม้ออ๋องคืออุทเฉททิฏฐิ - ความเห็นว่าขาดสูญ บุญบาปไม่มีสวรรค์ไม่มี นรกไม่มี ทานไม่มีผล ฯลฯ ซึ่งเคยคบหาเป็นสหายกับเห้งเจียในสมัยที่ยังเถื่อนอยู่...

    รูป :อ๋อ...ยังงั้น แม่ของมิจฉาสังกัปปะ เมียของอุทเฉททิฏฐิก็คือตัณหา

    นาม : อุทเฉททิฏฐิสมรสกับตัณหา จึงได้ลูกเป็นมิจฉาสังกัปปะ

    รูป :ทีนี้เมียน้อยคือเง็กมิ่นกงจู๊ แม่เลี้ยงคนสวยของมิจฉาสังกัปปะเล่า ?

    นาม : ก็ตัณหาเช่นกัน แต่คนละตัณหา

    รูป :อะไรของแกน่ะ ตัณหาเหมือนกัน แต่คนละตัณหา...?

    นาม : นางล่อซัวคือวิภวตัณหา ซึ่งพอได้สามีอุทเฉททิฏฐิก็จะผลักดันให้ประพฤติตนในอัตตกิลมถานุโยค - สุดโต่งทางทรมานตน ทั้งสำนักจึงอยู่ในเขตไฟลุกท่วมพื้นดิน

    โหงว : ไม่เลว ๆ แต่ว่าอัตตกิลมถานุโยคนั้นมาจากสัสตทิฏฐิด้วยนะเธอ

    รูป :แต่ว่า มันกลับไปกลับมานะซีครับ ระหว่าง ๒ มิจฉาทิฏฐินี้

    นาม : ส่วนนางเง็กมิ่นคนสวยนั่นคือกามตัณหา พอได้สามีอุทเฉททิฏฐิก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยค คือประพฤติพัวพันหมกมุ่นอยู่ในกาม

    รูป :อีนี่เอง ที่อาจารย์เคยด่าผม โธ่ อาจารย์...

    นาม : ความเห็นว่าขาดสูญ ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป มันก็คือคนพาลหาเหตุ หากามสุขนี่คือเมียใหม่ หรือไม่ก็น้อมไปทางวิภวตัณหาคือไม่อยากเป็นโน่นนี่ นี่คือเมียเก่า

    รูป :แต่ว่าร้อยทั้งร้อยลองเป็นอุทเฉททิฏฐิแล้วมุดมาทางกามสิ้น อ้างเหตุผลเป็นไฟเพื่อกาม พูดธรรมะเป็นน้ำ คล่องปาก แต่ลับหลังตะกลามแต่กามสุข

    นาม : จึงว่างู้หม้ออ๋อง - ปีศาจควายดำนั่นเป็นนักศึกษา ชอบค้นคว้าตำราอยู่ในถ้ำจนดึกดื่น รู้สารพัดเพื่อเอาเหตุผลมาแก้ตัวให้กิเลสตะกลามสุข

    โหงว : เห้งเจียปราบกันแทบตาย

    รูป :ทั้งปัญญาทั้งศีลหาสู้อุทเฉททิฏฐิได้ไม่

    นาม : กองทัพสวรรค์คือกุศลเจตสิก, ท้าวกิมกังทั้ง ๔ คือความรู้เรื่องอริยสัจจ์สี่ห้อมล้อม สมทบกับปัญญาและศีล อุทเฉททิฏฐิก็ยอมแพ้

    รูป :จากปีศาจความยดำไม่เชื่อบุญเชื่อบาปกลับเป็นควายขาว ถูกจูงสู่สวรรค์ คือ เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อสวรรค์ เชื่อนรก...

    นาม : ...ที่ใจ

    รูป :กว่าจะเชื่อได้แทบแย่ และโป้ยก่ายต้องฆ่านางเมียคนสวย - กามสุขัลลิกานุโยคเสียก่อนด้วย...

    นาม : ...คือ ด้วยอริยศีลอันมีอาวุธวิเศษ คราดเก้าซี่ คือสังฆคุณ ๙ นั้นใช้ทุบกามสุขให้แหลกเหลวไป

    โหงว : กามสุขถูกละได้ อุทเฉททิฏฐิก็เป็นสัมมาทิฏฐิ

    นาม : แล้ววิภวตัณหาที่เคยน้อมไปสู่อัตตกิลมถานุโยคก็บวชชี...

    รูป :...คือขาวสะอาดขึ้น แล้วยังมีคุณต่อชีวิตในทางดับไฟที่ท่วมทางด้วยพัดวิเศษ

    โหงว : ไฟคืออะไร ? พัดวิเศษคืออะไร ?

    นาม : ความร้อนของกายและจิตที่ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ ความกระวนกระวาย กระสับกระส่าย ของกายและจิตเนื่องจากทิฏฐิยังไม่ตรง เมื่อละอุทเฉททิฏฐิได้ คือพิจารณาเห็นแล้ว เบื่อหน่ายในผัสสะทั้งหลาย ทางตา ทางหู ฯลฯ ความร้อนใจร้อนกายก็รำงับ จิตที่หายกระสับกระส่าย ความเห็นของผู้นั้นจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ ความดำริก็เป็นสัมมาสังกัปปะ ฯลฯ

    รูป :มิใช่เรียนรู้แล้วจะเป็นสัมมาทิฏฐิได้ ยิ่งเรียน แม้จะเรียนธรรมะ ยิ่งพาลยิ่งเร่าร้อน เพราะไม่เรียนที่ตาเห็นรูป ฯลฯ แล้วปล่อยวาง หน่ายในการยินดีในตา ในรูป ในวิญญาณทางตา เป็นต้น เห้งเจียสมัยเรียนมากจึงก่อเหตุ ทำให้ไฟท่วมทาง แล้วก็ต้องผจญเอง

    โหงว : ไฟเริ่มรำงับด้วยพัดวิเศษ ...พัดวิเศษคืออะไรเล่า ?

    นาม : เมื่อมีความร้อนกายกระวนกระวายใจ เป็นทุกข์ ภาวนาทำความรู้สึกว่าไม่มี ไม่มี ไม่มี ไม่มี นัตถิ กิญจิ, นัตถิ กิญจิ

    รูป :คืออากิญจัญญายตนะ - อะไร ๆ ไม่มี อะไร ๆ ไม่มี

    นาม : น้อมไปทางไม่ปรารถนาอะไร เบื่อหน่ายต่อตาต่อรูป ต่อจักขุวิญญาณ ฯลฯ

    รูป :นี่คือวิภวตัณหา ที่บวชชีเพราะสามีคือ อุทเฉททิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว

    นาม : วิภวตัณหาก็กลายเป็นประโยชน์ไปได้

    รูป :สมัยที่ผัวยังอยู่ พัดวิเศษมี ๒ อันคือจริงกับเก๊ อันเก๊พัดแล้วไฟกลับกระพือท่วมโพลงขึ้น นี่ละมีความหมายอย่างไร ?

    นาม : "อะไร ๆ ไม่มี" ถ้าพาลก็เป็นพัดเก๊ ไม่อยากได้อะไรจำเพาะ ที่ไม่ชอบ แต่ตะกละสิ่งที่ชอบ คือวิภวตัณหา ของอุทเฉททิฏฐิ ส่วนอะไร ๆ ไม่มีหรือ "ว่าง ๆ " ของสัมมาทิฏฐิคือพัดวิเศษจริง ดับไฟได้

    รูป :พัดนี้สร้างมาพร้อมกับฟ้าดิน ?

    นาม : ใช่ซี "ว่าง ๆ ๆ" "ไม่มี ๆ ๆ" หรือ "อากาศไม่มีที่สิ้นสุด"เป็นของวิเศษ เป็นของเกิดก่อนฟ้าดิน คือความไม่มีอะไร คือเนื้อที่ว่าง

    โหงว : เอาละ ถ้าเจ้าทั้งสองอยากรู้เรื่องการเดินทางของพระถังต่อ ก็จงฟังบทต่อไป



    (จบบทที่ ๒๘ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5443 vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    บทที่ ๒๙
    ชำระมลทิน ๙ แล้ว "เจดีย์ใจ" จะสว่างรุ่งเรือง


    พระถังและศิษย์พ้นจากเขตไฟท่วมแผ่นดินไปได้ ก็มีความร่าเริงผาสุกยิ่งนัก ไม่นานนักก็ลุถึงเมืองใหญ่ชื่อเจ่จั๊ยก๊ก เข้าพักค้างที่พระอารามหลวงกิมกวางยี่ ในบริเวณวัดนั้นมีเจดีย์สูงบรรจุพระสารีริกธาตุ ซึ่งเป็นของวิเศษอันเป็นเหตุให้เจดีย์ส่องสว่างโชติช่วง

    ครั้นก่อนหน้าที่พระถังจะมาถึง พระเจดีย์กลับมีมลทินมัวหมอง ไปด้วยน้ำฝนที่ตกลงมาเป็นน้ำเลือด ทั้งนี้จากการบันดาลของพญาเล่งอ๋องบ้วนเซี้ย ผู้เป็นสหายของปีศาจงู้หม้ออ๋อง สมคบกันกับบุตรเขยชื่อเก๊าเท้า ปีศาจหนอน ๙ หัว ทั้งพ่อตาและลูกเขยช่วยกันทำเหตุ แล้วขโมยพระธาตุวิเศษเอาลงไปบาดาล ฝ่ายนางบ้วนเซี้ยกงจู๊ ภรรยาของเก๊าเท้าก็ขึ้นไปบนสวรรค์แอบขโมยหญ้าเล่งกี่เช้า ๙ ยอด อันเป็นยาวิเศษของอ๋องโป๊เนียเนี๊ย เทวีแห่งสวรรค์ลงมาปลูกที่บาดาล

    พระราชาเมืองเจ่จั๊ยก๊กพิโรธจัด เข้าพระทัยว่าพระภิกษุในวัดแกล้งทำเล่ห์ขโมยพระธาตุเสียเอง อันเป็นเหตุให้หัวเมืองน้อยใหญ่ไม่ส่งบรรณาการให้ จึงจับพระสงฆ์ตรึงตรวนไว้หมดทุกองค์

    ฝ่ายเห้งเจียเมื่อทราบความทุกข์ยากของพระสงฆ์ในวัดก็อาสาช่วย คืนหนึ่งเห้งเจียก็จับปีศาจสมุนของพญาเล่งอ๋องที่ลอบมาคุยกันบนเจดีย์ แล้วบังคับให้ชี้บอกที่อยู่ของพญาเล่งอ๋อง คือที่ภูเขาล้วนเจี๊ยซัว บึงเพ็กปอท้ำ

    เห้งเจียก็ชวนโป้ยก่ายไปยังบึงที่อยู่ของเล่งอ๋อง แล้วร้องท้าทายกันขึ้น ปีศาจหนอน ๙ หัวเก๊าเท้าก็ขึ้นมาสู้รบด้วย โป้ยก่ายพลาดท่าถูกจับตัวลงบาดาลไป เห้งเจียก็แหวกน้ำลงไปแก้ไขขึ้นมาได้

    แล้วเห้งเจียก็บอกให้โป้ยก่ายลงไปรบล่อให้เล่งอ๋องบ้วนเซี้ยขึ้นมาบนบก พอได้โอกาสเห้งเจียก็ใช้ตะบองทุบหัวเสียแหลกเหลว ส่วนปีศาจบุตรเขยนั้นกบดานอยู่ใต้น้ำไม่ยอมขึ้น
    เห้งเจียโป้ยก่ายไม่รู้จะทำประการใด ได้แต่หนักใจกันทั้งสองคน

    ในขณะนั้น ยี่หนึงจินกุนกับพี่น้อง ๖ คน กลับจากล่าสัตว์ผ่านมาพบเห้งเจียกับโป้ยก่ายเข้า เห้งเจียให้รู้สึกละอายแก่ยี่หนึงจินกุน เพราะตนเคยพ่ายแพ้ฤทธิ์สมัยเมื่อยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่แม้กระนั้นเมื่อถึงคราวลำบากเช่นนี้เห้งเจียก็จำต้องขอร้องให้ยี่หนึงจินกุนช่วยร่วมปราบปีศาจหนอน ๙ หัวด้วย

    เมื่อยี่หนึงรับคำแล้ว เห้งเจียให้โป้ยก่ายลงไปรบล่อเก๊าเท้าขึ้นบก ครั้นแล้วยี่หนึงก็ลั่นธนู สุนัขของยี่หนึงก็กระโดดกัดถูกศีรษะของปีศาจหนอน ปีศาจสะบัดหลุดหนีสาบสูญไป

    ฝ่ายเห้งเจียเห็นเช่นนั้นก็แปลงกายเป็นปีศาจเก๊าเท้า ลงไปหานางกงจู๊ภรรยาของเก๊าเท้า หลอกล่อเอาพระธาตุวิเศษได้ โป้ยก่ายก็ตามลงไปเอาคราด ๙ ซี่ สับนางกงจู๊เมียปีศาจหนอน ๙ หัวตาย ส่วนมารดาของนางนั้นเห้งเจียพาขึ้นมาให้การต่อพระพักตร์พระราชาเจ่จั้ยก๊ก เพื่อให้ปลดปล่อยพระสงฆ์ที่ถูกจำตรวนอยู่อย่างไร้ความผิด

    นางเล่งอ๋องเปิดเผยความลับว่า ของวิเศษทั้ง ๒ คือ พระธาตุวิเศษกับหญ้า ๙ ยอดนั้น หากอยู่ด้วยกันเมื่อใดจะไม่มีอะไรทำอันตรายได้ และโดยเฉพาะหญ้าวิเศษ ๙ ยอดนั้น หากกวาดลงทีหนึ่ง ที่นั่นจะมีรัศมีช่วงโชติ

    เห้งเจียทราบคุณวิเศษเช่นนั้นแล้ว ก็ทูลขอไถ่โทษต่อพระราชา ให้นางเล่งอ๋องเป็นผู้เฝ้าพระเจดีย์ ฝ่ายพระราชาเมื่อได้ของวิเศษคืนมาก็ให้ปล่อยพระสงฆ์ในวัด แล้วพร้อมด้วยขุนนางทำพิธีบรรจุพระธาตุวิเศษของพระพุทธเจ้าเข้าไว้ชั้นสูงสุดของเจดีย์

    แล้วเห้งเจียก็เอาหญ้า ๙ ยอดวิเศษนั้นต่างไม้กวาด กวาดพระเจดีย์ตั้งแต่ชั้นล่าง จนถึงชั้นยอดสุด พระเจดีย์ก็หมดมลทินจากน้ำเลือด เกิดรัศมีโชติช่วงปรากฏแก่สายตาประชาชน
    เมืองขึ้นต่าง ๆ ของเมืองเจ่จั้ยก๊ก ก็ส่งบรรณาการมาให้ตามเดิม

    ฝ่ายพระถังจึงยื่นหนังสือขอผ่านเมืองกับพระราชา พระราชาประทับตราแล้วก็ส่งคืนให้ อาจารย์และศิษย์ก็เตรียมออกเดินทางต่อ พวกพระสงฆ์รักใคร่พระถังก็ขอติดตามไปด้วย พระถังห้ามก็มิฟัง จนเห้งเจียต้องแปลงกายเป็นเสือโคร่งขวางหน้าไว้ พระสงฆ์จึงยอมกลับอาราม

    อาจารย์และศิษย์ก็มุ่งหน้ายังไซทีต่อไป...


    [​IMG]



    รูป :โอย...ขนาดฟังเล่ายังเหนื่อยแทบตาย เมื่อไหร่จะถึงไซทีเสียทีล่ะ

    นาม : ตอนนี้มืดมนจริง ๆ ครับอาจารย์

    โหงว :ค่อย ๆ คิดไป เอาละ ล่อให้ว่างู้หม้ออ๋องคืออุทเฉททิฏฐิ บ้วนเซี้ยเป็นสหายสนิท ชอบไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน

    รูป :บ้วนเซี้ยเล่งอ๋อง อยู่ใต้บาดาลที่เชิญงู้หม้ออ๋องไปกินเลี้ยงขณะที่กำลังรบกับเห้งเจียใช่ไหมครับ

    โหงว :ใช่แล้ว

    นาม : พุทโธ่ ! ...เจ้าเล่งอ๋องบ้วนเซี่ยที่แท้คืออกิริยทิฏฐิ - ความเห็นว่าการกระทำไม่เป็นการกระทำ ทำดีก็หาใช่ดีไม่ ฯลฯ ความเพียรไร้ผล ไม่ต้องปฏิบัติอะไร ไม่ต้องละกิเลสอะไร...

    โหงว :นี่ไงคือสหายของอุทเฉททิฏฐิ เห็นว่าบุญทานนั้นไม่เป็นผล ขาดสูญ คล้ายกันมาก

    นาม : นางเล่งอ๋องภรรยาก็คือภวตัณหาน่ะซี

    โหงว :พอไปได้

    นาม : ลูกสาวนางบ้วนเซี้ยกงจู๊ ก็คือนันทิราคะ ลูกของภวตัณหานั่นเอง

    รูป :เจ้าเก๊าเท้าฮู่เบ๊ปีศาจหนอน ๙ หัว บุตรเขยล่ะ ?

    นาม : มละ ๙ คือมลทิน ๙ : โกรธ ลบหลูคุณท่าน ริษยา ตระหนี่ มายา มักอวด พูดปด ปรารถนาลามก และมีความเห็นผิด

    รูป :อ้าว...ยังงั้นอ้ายหนอน ๙ หัวตัวดีนี่เอง ที่ร่วมมือกับพ่อตาบันดาลให้พระเจดีย์รุ่งเรืองกลับมีมลทินด้วยน้ำเลือด

    นาม : คือ อกิริยทิฏฐิ พ่อตา กับมละ ๙ ลูกเขยนี่เอง ที่ทำให้เจดีย์เปื้อน แล้วแอบขโมยพระธาตุลงบาดาลไปเสีย

    โหงว :เจดีย์คืออะไรรึเธอ ?

    รูป :อะไรน๊อ...? เคยส่องสว่างช่วงโชติ เพราะมีพระธาตุแล้วกลับเปื้อนมลทิน

    นาม : เจดีย์คือใจ ที่มีแก่นพุทธภาวะ คือพระธาตุวิเศษอยู่เองแล้ว จึงประภัสสรโชติช่วงอยู่

    รูป :จริงด้วยซี ตอนเริ่มต้นพระถังอธิษฐานว่าจะขอกราบพระเจดีย์ทุกชั้นตลอดทางแกจำได้ไหม ก็คือการชำระมลทินให้ใจประภัสสรอยู่เรื่อยไป

    นาม : ฮื่อ แสงประภัสสรนั้นประชาชนเห็นได้แต่ไกล

    รูป :ประชาชนคือเจตสิก รู้เห็น รู้สึกแต่แสงสว่างนั้นอยู่

    โหงว :แล้วทำไมถูกขโมยเสียเล่า?

    นาม : ...ก็อุตริสมาทานมิจฉาทิฏฐิขึ้นภายหลังครับผม

    โหงว :หมายความว่ามิจฉาทิฏฐิและมลทิน ๙ นั้นมาขโมยของวิเศษไปบาดาล

    นาม : คือ ความประภัสสรมิได้หายไปไหนดอก แต่มันกบดานอยู่ เพราะชีวิตอุตริสมาทานมิจฉาทิฏฐิเข้า

    รูป :ความร่วมมือของนางบ้วนเซี้ยกงจู๊ มันไปขโมยหญ้า ๙ ยอดของสวรรค์มาล่ะ หมายความว่าอย่างไร ?

    นาม : หญ้า ๙ ยอดคือพุทธคุณ ๙ ที่ถูกกลบอยู่ใต้บาดาลเพราะมิจฉาทิฏฐิ

    รูป :เห้งเจียเลยตามไปทุบหัวบ้วนเซี้ยเล่งอ๋อง - อกิริยทิฏฐิ คือ ปัญญาทำให้เห็นว่าการกระทำมีผล ความเพียรมีผล

    นาม : ทีนี้หนอน ๙ ห้ว มลทิน ๙ นั้นถูกละได้อย่างไร ?

    รูป :ยี่หนึงจินกุน คือสัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง ซึ่งเป็นอีกฝ่ายของศีลธรรมที่เคยปราบเห้งเจียสมัยเป็นมิจฉาทิฏฐิมีความเห็นผิดให้กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิ

    ยี่หนึงมีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน คือ อัตถิตา ๗ ตรงกันข้ามกับนัตถิตา ๗ คือ :

    ๑. ทานที่ให้แล้ว ผลวิบากของกรรมดีหรือชั่ว มีผล
    ๒. ยัญที่บูชาแล้ว การบวงสรวงที่ทำแล้ว มีผล
    ๓. โลกนี้มี
    ๔. โลกหน้ามี
    ๕. มารดามี บิดามี (หมายถึงมีพระคุณ)
    ๖. สัตว์พวกที่คอยเกิดมี (โอปปาติกะ)
    ๗. สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติชอบผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ มี
    โหงว :แต่สัสสตทิฏฐิหาอาจละมลทิน ๙ ได้ไม่ เพียงแต่มันหนีหายไปเท่านั้น

    นาม : นางบ้วนเซี้ย กงจู๊นันทิราคะ โป้ยก่ายสับด้วยคราดสังฆคุณ ๙ จนตาย ?

    รูป :นางเล่งอ๋อง - ภวตัณหาในความมี ความเป็นถูกอภัยโทษ ให้เฝ้าเจดีย์คือ ชดใช้แรงตัณหาที่เคยเป็นเมียอกิริยทิฏฐิ ให้เป็นความเพียรเฝ้าดูเจดีย์คือใจ

    โหงว :พระธาตุวิเศษกับหญ้าวิเศษอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีอันตรายใด ๆ ...?

    นาม : จริงซีครับ โดยเฉพาะพุทธคุณ ๙ นั้นคือไม้กวาด : นึกถึงพุทธคุณ ๙ แล้ว ใจช่างสว่างไสวรุ่งเรือง ไม่มีอันตรายใด ๆ ทำได้เลย

    รูป :จึงอุปมาว่า ไม้กวาดหญ้า ๙ ยอด กวาดลงที่ไหนแล้วเกิดแสงโชติช่วง

    โหงว :พระสงฆ์จะติดตามพระถังและศิษย์ไปด้วยล่ะ ?

    นาม : ...คือศีลมากมายเกินจำเป็นเกิดแก่ชีวิตเพราะว่ารำลึกถึงพุทธคุณ ๙

    รูป :ปัญญาเห็นว่าเจตสิกศีลเหล่านั้นเกินจำเป็น ขับไล่ให้กลับ

    โหงว :เพราะว่าศีลของอริยมรรค คือโป้ยก่ายก็เพียงพอแล้ว



    (จบบทที่ ๒๙ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





    บทที่ ๒๙
    ชำระมลทิน ๙ แล้ว "เจดีย์ใจ" จะสว่างรุ่งเรือง


    พระถังและศิษย์พ้นจากเขตไฟท่วมแผ่นดินไปได้ ก็มีความร่าเริงผาสุกยิ่งนัก ไม่นานนักก็ลุถึงเมืองใหญ่ชื่อเจ่จั๊ยก๊ก เข้าพักค้างที่พระอารามหลวงกิมกวางยี่ ในบริเวณวัดนั้นมีเจดีย์สูงบรรจุพระสารีริกธาตุ ซึ่งเป็นของวิเศษอันเป็นเหตุให้เจดีย์ส่องสว่างโชติช่วง

    ครั้นก่อนหน้าที่พระถังจะมาถึง พระเจดีย์กลับมีมลทินมัวหมอง ไปด้วยน้ำฝนที่ตกลงมาเป็นน้ำเลือด ทั้งนี้จากการบันดาลของพญาเล่งอ๋องบ้วนเซี้ย ผู้เป็นสหายของปีศาจงู้หม้ออ๋อง สมคบกันกับบุตรเขยชื่อเก๊าเท้า ปีศาจหนอน ๙ หัว ทั้งพ่อตาและลูกเขยช่วยกันทำเหตุ แล้วขโมยพระธาตุวิเศษเอาลงไปบาดาล ฝ่ายนางบ้วนเซี้ยกงจู๊ ภรรยาของเก๊าเท้าก็ขึ้นไปบนสวรรค์แอบขโมยหญ้าเล่งกี่เช้า ๙ ยอด อันเป็นยาวิเศษของอ๋องโป๊เนียเนี๊ย เทวีแห่งสวรรค์ลงมาปลูกที่บาดาล

    พระราชาเมืองเจ่จั๊ยก๊กพิโรธจัด เข้าพระทัยว่าพระภิกษุในวัดแกล้งทำเล่ห์ขโมยพระธาตุเสียเอง อันเป็นเหตุให้หัวเมืองน้อยใหญ่ไม่ส่งบรรณาการให้ จึงจับพระสงฆ์ตรึงตรวนไว้หมดทุกองค์

    ฝ่ายเห้งเจียเมื่อทราบความทุกข์ยากของพระสงฆ์ในวัดก็อาสาช่วย คืนหนึ่งเห้งเจียก็จับปีศาจสมุนของพญาเล่งอ๋องที่ลอบมาคุยกันบนเจดีย์ แล้วบังคับให้ชี้บอกที่อยู่ของพญาเล่งอ๋อง คือที่ภูเขาล้วนเจี๊ยซัว บึงเพ็กปอท้ำ

    เห้งเจียก็ชวนโป้ยก่ายไปยังบึงที่อยู่ของเล่งอ๋อง แล้วร้องท้าทายกันขึ้น ปีศาจหนอน ๙ หัวเก๊าเท้าก็ขึ้นมาสู้รบด้วย โป้ยก่ายพลาดท่าถูกจับตัวลงบาดาลไป เห้งเจียก็แหวกน้ำลงไปแก้ไขขึ้นมาได้

    แล้วเห้งเจียก็บอกให้โป้ยก่ายลงไปรบล่อให้เล่งอ๋องบ้วนเซี้ยขึ้นมาบนบก พอได้โอกาสเห้งเจียก็ใช้ตะบองทุบหัวเสียแหลกเหลว ส่วนปีศาจบุตรเขยนั้นกบดานอยู่ใต้น้ำไม่ยอมขึ้น
    เห้งเจียโป้ยก่ายไม่รู้จะทำประการใด ได้แต่หนักใจกันทั้งสองคน

    ในขณะนั้น ยี่หนึงจินกุนกับพี่น้อง ๖ คน กลับจากล่าสัตว์ผ่านมาพบเห้งเจียกับโป้ยก่ายเข้า เห้งเจียให้รู้สึกละอายแก่ยี่หนึงจินกุน เพราะตนเคยพ่ายแพ้ฤทธิ์สมัยเมื่อยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่แม้กระนั้นเมื่อถึงคราวลำบากเช่นนี้เห้งเจียก็จำต้องขอร้องให้ยี่หนึงจินกุนช่วยร่วมปราบปีศาจหนอน ๙ หัวด้วย

    เมื่อยี่หนึงรับคำแล้ว เห้งเจียให้โป้ยก่ายลงไปรบล่อเก๊าเท้าขึ้นบก ครั้นแล้วยี่หนึงก็ลั่นธนู สุนัขของยี่หนึงก็กระโดดกัดถูกศีรษะของปีศาจหนอน ปีศาจสะบัดหลุดหนีสาบสูญไป

    ฝ่ายเห้งเจียเห็นเช่นนั้นก็แปลงกายเป็นปีศาจเก๊าเท้า ลงไปหานางกงจู๊ภรรยาของเก๊าเท้า หลอกล่อเอาพระธาตุวิเศษได้ โป้ยก่ายก็ตามลงไปเอาคราด ๙ ซี่ สับนางกงจู๊เมียปีศาจหนอน ๙ หัวตาย ส่วนมารดาของนางนั้นเห้งเจียพาขึ้นมาให้การต่อพระพักตร์พระราชาเจ่จั้ยก๊ก เพื่อให้ปลดปล่อยพระสงฆ์ที่ถูกจำตรวนอยู่อย่างไร้ความผิด

    นางเล่งอ๋องเปิดเผยความลับว่า ของวิเศษทั้ง ๒ คือ พระธาตุวิเศษกับหญ้า ๙ ยอดนั้น หากอยู่ด้วยกันเมื่อใดจะไม่มีอะไรทำอันตรายได้ และโดยเฉพาะหญ้าวิเศษ ๙ ยอดนั้น หากกวาดลงทีหนึ่ง ที่นั่นจะมีรัศมีช่วงโชติ

    เห้งเจียทราบคุณวิเศษเช่นนั้นแล้ว ก็ทูลขอไถ่โทษต่อพระราชา ให้นางเล่งอ๋องเป็นผู้เฝ้าพระเจดีย์ ฝ่ายพระราชาเมื่อได้ของวิเศษคืนมาก็ให้ปล่อยพระสงฆ์ในวัด แล้วพร้อมด้วยขุนนางทำพิธีบรรจุพระธาตุวิเศษของพระพุทธเจ้าเข้าไว้ชั้นสูงสุดของเจดีย์

    แล้วเห้งเจียก็เอาหญ้า ๙ ยอดวิเศษนั้นต่างไม้กวาด กวาดพระเจดีย์ตั้งแต่ชั้นล่าง จนถึงชั้นยอดสุด พระเจดีย์ก็หมดมลทินจากน้ำเลือด เกิดรัศมีโชติช่วงปรากฏแก่สายตาประชาชน
    เมืองขึ้นต่าง ๆ ของเมืองเจ่จั้ยก๊ก ก็ส่งบรรณาการมาให้ตามเดิม

    ฝ่ายพระถังจึงยื่นหนังสือขอผ่านเมืองกับพระราชา พระราชาประทับตราแล้วก็ส่งคืนให้ อาจารย์และศิษย์ก็เตรียมออกเดินทางต่อ พวกพระสงฆ์รักใคร่พระถังก็ขอติดตามไปด้วย พระถังห้ามก็มิฟัง จนเห้งเจียต้องแปลงกายเป็นเสือโคร่งขวางหน้าไว้ พระสงฆ์จึงยอมกลับอาราม

    อาจารย์และศิษย์ก็มุ่งหน้ายังไซทีต่อไป...


    [​IMG]



    รูป :โอย...ขนาดฟังเล่ายังเหนื่อยแทบตาย เมื่อไหร่จะถึงไซทีเสียทีล่ะ

    นาม : ตอนนี้มืดมนจริง ๆ ครับอาจารย์

    โหงว :ค่อย ๆ คิดไป เอาละ ล่อให้ว่างู้หม้ออ๋องคืออุทเฉททิฏฐิ บ้วนเซี้ยเป็นสหายสนิท ชอบไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน

    รูป :บ้วนเซี้ยเล่งอ๋อง อยู่ใต้บาดาลที่เชิญงู้หม้ออ๋องไปกินเลี้ยงขณะที่กำลังรบกับเห้งเจียใช่ไหมครับ

    โหงว :ใช่แล้ว

    นาม : พุทโธ่ ! ...เจ้าเล่งอ๋องบ้วนเซี่ยที่แท้คืออกิริยทิฏฐิ - ความเห็นว่าการกระทำไม่เป็นการกระทำ ทำดีก็หาใช่ดีไม่ ฯลฯ ความเพียรไร้ผล ไม่ต้องปฏิบัติอะไร ไม่ต้องละกิเลสอะไร...

    โหงว :นี่ไงคือสหายของอุทเฉททิฏฐิ เห็นว่าบุญทานนั้นไม่เป็นผล ขาดสูญ คล้ายกันมาก

    นาม : นางเล่งอ๋องภรรยาก็คือภวตัณหาน่ะซี

    โหงว :พอไปได้

    นาม : ลูกสาวนางบ้วนเซี้ยกงจู๊ ก็คือนันทิราคะ ลูกของภวตัณหานั่นเอง

    รูป :เจ้าเก๊าเท้าฮู่เบ๊ปีศาจหนอน ๙ หัว บุตรเขยล่ะ ?

    นาม : มละ ๙ คือมลทิน ๙ : โกรธ ลบหลูคุณท่าน ริษยา ตระหนี่ มายา มักอวด พูดปด ปรารถนาลามก และมีความเห็นผิด

    รูป :อ้าว...ยังงั้นอ้ายหนอน ๙ หัวตัวดีนี่เอง ที่ร่วมมือกับพ่อตาบันดาลให้พระเจดีย์รุ่งเรืองกลับมีมลทินด้วยน้ำเลือด

    นาม : คือ อกิริยทิฏฐิ พ่อตา กับมละ ๙ ลูกเขยนี่เอง ที่ทำให้เจดีย์เปื้อน แล้วแอบขโมยพระธาตุลงบาดาลไปเสีย

    โหงว :เจดีย์คืออะไรรึเธอ ?

    รูป :อะไรน๊อ...? เคยส่องสว่างช่วงโชติ เพราะมีพระธาตุแล้วกลับเปื้อนมลทิน

    นาม : เจดีย์คือใจ ที่มีแก่นพุทธภาวะ คือพระธาตุวิเศษอยู่เองแล้ว จึงประภัสสรโชติช่วงอยู่

    รูป :จริงด้วยซี ตอนเริ่มต้นพระถังอธิษฐานว่าจะขอกราบพระเจดีย์ทุกชั้นตลอดทางแกจำได้ไหม ก็คือการชำระมลทินให้ใจประภัสสรอยู่เรื่อยไป

    นาม : ฮื่อ แสงประภัสสรนั้นประชาชนเห็นได้แต่ไกล

    รูป :ประชาชนคือเจตสิก รู้เห็น รู้สึกแต่แสงสว่างนั้นอยู่

    โหงว :แล้วทำไมถูกขโมยเสียเล่า?

    นาม : ...ก็อุตริสมาทานมิจฉาทิฏฐิขึ้นภายหลังครับผม

    โหงว :หมายความว่ามิจฉาทิฏฐิและมลทิน ๙ นั้นมาขโมยของวิเศษไปบาดาล

    นาม : คือ ความประภัสสรมิได้หายไปไหนดอก แต่มันกบดานอยู่ เพราะชีวิตอุตริสมาทานมิจฉาทิฏฐิเข้า

    รูป :ความร่วมมือของนางบ้วนเซี้ยกงจู๊ มันไปขโมยหญ้า ๙ ยอดของสวรรค์มาล่ะ หมายความว่าอย่างไร ?

    นาม : หญ้า ๙ ยอดคือพุทธคุณ ๙ ที่ถูกกลบอยู่ใต้บาดาลเพราะมิจฉาทิฏฐิ

    รูป :เห้งเจียเลยตามไปทุบหัวบ้วนเซี้ยเล่งอ๋อง - อกิริยทิฏฐิ คือ ปัญญาทำให้เห็นว่าการกระทำมีผล ความเพียรมีผล

    นาม : ทีนี้หนอน ๙ ห้ว มลทิน ๙ นั้นถูกละได้อย่างไร ?

    รูป :ยี่หนึงจินกุน คือสัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง ซึ่งเป็นอีกฝ่ายของศีลธรรมที่เคยปราบเห้งเจียสมัยเป็นมิจฉาทิฏฐิมีความเห็นผิดให้กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิ

    ยี่หนึงมีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน คือ อัตถิตา ๗ ตรงกันข้ามกับนัตถิตา ๗ คือ :

    ๑. ทานที่ให้แล้ว ผลวิบากของกรรมดีหรือชั่ว มีผล
    ๒. ยัญที่บูชาแล้ว การบวงสรวงที่ทำแล้ว มีผล
    ๓. โลกนี้มี
    ๔. โลกหน้ามี
    ๕. มารดามี บิดามี (หมายถึงมีพระคุณ)
    ๖. สัตว์พวกที่คอยเกิดมี (โอปปาติกะ)
    ๗. สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติชอบผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ มี
    โหงว :แต่สัสสตทิฏฐิหาอาจละมลทิน ๙ ได้ไม่ เพียงแต่มันหนีหายไปเท่านั้น

    นาม : นางบ้วนเซี้ย กงจู๊นันทิราคะ โป้ยก่ายสับด้วยคราดสังฆคุณ ๙ จนตาย ?

    รูป :นางเล่งอ๋อง - ภวตัณหาในความมี ความเป็นถูกอภัยโทษ ให้เฝ้าเจดีย์คือ ชดใช้แรงตัณหาที่เคยเป็นเมียอกิริยทิฏฐิ ให้เป็นความเพียรเฝ้าดูเจดีย์คือใจ

    โหงว :พระธาตุวิเศษกับหญ้าวิเศษอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีอันตรายใด ๆ ...?

    นาม : จริงซีครับ โดยเฉพาะพุทธคุณ ๙ นั้นคือไม้กวาด : นึกถึงพุทธคุณ ๙ แล้ว ใจช่างสว่างไสวรุ่งเรือง ไม่มีอันตรายใด ๆ ทำได้เลย

    รูป :จึงอุปมาว่า ไม้กวาดหญ้า ๙ ยอด กวาดลงที่ไหนแล้วเกิดแสงโชติช่วง

    โหงว :พระสงฆ์จะติดตามพระถังและศิษย์ไปด้วยล่ะ ?

    นาม : ...คือศีลมากมายเกินจำเป็นเกิดแก่ชีวิตเพราะว่ารำลึกถึงพุทธคุณ ๙

    รูป :ปัญญาเห็นว่าเจตสิกศีลเหล่านั้นเกินจำเป็น ขับไล่ให้กลับ

    โหงว :เพราะว่าศีลของอริยมรรค คือโป้ยก่ายก็เพียงพอแล้ว



    (จบบทที่ ๒๙ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
     
  11. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๓๐
    วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ดุจพงหนาม


    พระถังและศิษย์ออกเดินทางจากเมืองเจ่จั้ยก๊กแล้ว ก็บ่ายหน้าสู่ทิศปราจีน บรรลุถึง "ทางที่ไม่มีคนเดินเสียนานแล้ว จึงได้เกิดเป็นพงหนามยาวตั้ง ๘๐๐ โยชน์" โป้ยก่ายจึงเนรมิตกายให้ใหญ่แล้วใช้คราดวิเศษ คราดพงหนามนำหน้าคณะไปจนเวลาจวนค่ำก้หาพ้นจากพงหนามได้ไม่

    ทั้งหมดได้พบศาลเจ้า มีปีศาจตาเฒ่ากับปีศาจหน้าเขียวออกมาร้องเชิญให้พระถังเข้าไปกินขนมแก้หิว เห้งเจียพิจารณาดุก็รู้ว่าเป็นปีศาจจึงชักตะบองออกจากหูเงื้อจะตี ปีศาจทั้งสองก็บันดาลให้เป็นสายลมพัดหอบพระถังซัมจั๋งหายไป ศิษย์ทั้งสามเที่ยวตามหาโกลาหลก็ไม่พบ

    ปีศาจตาเฒ่าชื่อจับโป้ยกง หอบพระถังมาได้แล้วก็เรียกปีศาจน้องชายอีก ๓ คน คือตาเฒ่าโกเต็กกง ตาเฒ่าลินกงจื๊อ และตาเฒ่าฮุดหุ้นโซ้ ให้มาฟังพระถังเทศนา ปีศาจเฒ่าทั้งสี่นั้นเป็นปีศาจที่ใคร่ในการฟังธรรมยิ่งนัก เวลานั้นเดือนหงายกระจ่างฟ้า พระถังให้มีใจเคลิบเคลิ้มและยินดีต่อการแสดงธรรม จึงได้เทศน์เสียไพเราะลึกซึ้งเป็นอัศจรรย์ ปีศาจทั้งสี่สรรเสริญไม่หยุดปาก แล้วชวนพระถังต่อกลอนโต้กันไปมา เป็นที่เพลิดเพลิน

    ยังมีปีศาจอีกตนหนึ่งชื่อนางเซียนหนึง เห็นพระถังแล้วให้มีใจรักใคร่กำหนัด ครั้นเห็นพระถังเคลิบเคลิ้มก็เข้าเกี้ยวพาราสีด้วยโคลงกลอนอันไพเราะกลางแสงเดือน ฝ่ายพระถังเมื่อรู้สึกตัวว่าถูกผู้หญิงเกี้ยวก็โกรธ ร้องตวาดไล่แล้วตัวเองก็วิ่งหนี พวกปีศาจเฒ่าทั้ง ๔ พร้อมทั้งสาวใช้ ๒ คนของนางเซียนหนึงก็วิ่งไล่จับ ล้อมสกัดไว้ทุกทิศ พระถังเลยจนมุมอยู่ตรงกลาง

    ขณะนั้นเองพระถังก็ได้ยินเสียงเรียกของเห้งเจีย เพราะเสียงตวาดไล่นางเซียนหนึงของพระถังทำให้เห้งเจียจำได้จึงขานรับ

    ครั้นแล้วปีศาจทั้ง ๘ ก็อันตรธานหายไปด้วยเสียงของเห้งเจีย เห้งเจียเห็นแต่พระถังนั่งอยู่ที่เพิงหินมีต้นไม้ใหญ่ครึ้มแผ่คลุมอยู่ จึงได้กำหนดรู้ว่าเป็นปีศาจต้นไม้ทั้ง ๘ นั่นเองที่มาจับพระถังไว้

    ตาเฒ่าจับโป้ยกงคือปีศาจต้นสน
    ตาเฒ่าโกเต็กกงคือปีศาจต้นเป็ก
    ตาเฒ่าลินกงจื๊อ คือปีศาจต้นไทร
    ตาเฒ่าฮุดหุ้นโซ้คือปีศาจต้นไผ่
    ปีศาจหน้าเขียวคือต้นเคี่ยม
    นางเซียนหนึงคือปีศาจต้นตะเคียน
    สาวใช้ทั้ง ๒ คือปีศาจต้นสารภีและอบเชย

    ฝ่ายโป้ยก่ายเมื่อรู้ตามที่เห้งเจียบอกแล้ว ก็เอาคราดวิเศษ ๙ ซี่ล้มต้นไม้ ก็มีโลหิตไหลออกมา โป้ยก่ายก็ถอนรากถอนโคนเสียตายสิ้น



    [​IMG]



    รูป : สำคัญ ๆ ปีศาจชอบฟังธรรม กิเลสในธรรมะแน่ ๆ

    นาม : วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ประการน่ะซี

    รูป : ก็ปีศาจมี ๘ ตัวเท่านั้นนี่...?

    นาม : สิบ ลองไล่ภูมิดูก่อน มีหลักว่าหลังจากพระโยคาวจรหรือผู้ปฏิบัติธรรมเฝ้าสังเกตด้านในจนเกิดอุทยัพพยญาณ - ญาณเห็นการเกิดดับของสังขารธรรมแล้ว จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าอุปกิเลสในวิปัสสนานั้น ๆ อันเป็นเหตุให้สำคัญตนนั่นนี่ให้วุ่นไป

    รูป : สิบประการอะไรบ้าง ว่ามา...?

    นาม : ๑. โอภาส คือแสงสว่าง จนสำคัญตนว่าได้ของวิเศษ
    ๒. ญาณ คือความรู้แจ่มแจ้งในธรรมสโมธาน จนเป็นเหตุให้สำคัญตนว่าบรรลุอรหัตตผล
    ๓. ปัคคาหะ มีความเพียรที่มากจนเกินพอดี กลายเป็นมิจฉาวายามะ
    ๔. ปัสสัทธิ ความสงบรำงับเกิดขึ้นชนิดไม่เคยมีมาก่อนจนทำให้ยึดมั่นถือมั่นว่าได้ของวิเศษ
    ๕. ปีติ
    ๖. สุขะ
    ๗. อุเบกขา
    ๘. สติแน่วแน่
    ๙. อธิโมกข์ (ศรัทธากล้า)
    ๑๐. นิกันติ (ตัณหา - อาลัย) ไม่อยากเลื่อนไปที่อื่น
    ทั้งหมดนี้จะเป็นที่ตั้งแห่งความสำคัญตนว่า "เราได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว" ซึ่งที่แท้เป็นอุปกิเลสของวิปัสสนาเท่านั้น

    รูป : ถ้าอย่างนั้นก็อย่าปฏิบัติธรรมดีกว่า เกิดกิเลสเปล่า ๆ

    นาม : เจ้าเซ่อ....อุปกิเลสในวิปัสสนานี่แหละจะเป็นทาง

    รูป : เป็นไปได้อย่างไร ?

    นาม : อุปเกลเส อนิจจาทิวสเต โสทยัพพเย ปัสสโต วีถิโนกกันต ทัสสนัง วุจจเต ปโถ. แปลว่า ความเห็นอันไม่พลาดไปจากวิถีแห่งวิปัสสนาของพระโยคาวจร ผู้เห็นอยู่ซึ่งอุปกิเลสว่า ยังอยู่ในอำนาจของอนิจจัง เป็นต้น คือยังมีการเกิด - ดับ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า (นั่น)เป็นทาง(มรรค)

    รูป : อธิบายหน่อยพ่อนักอภิธรรม

    นาม : คือว่า การกำหนดรู้ว่า วิปัสสนูปกิเลสนั้นยังอยู่ในวิสัยของอนิจจังคือเปลี่ยนได้อีก นั่นแหละจะเป็นมรรคขึ้นมา

    รูป : ถึงอุทยัพพยญาณแล้วเกิดวิปัสสนูปกิเลส อันเป็นเหตุให้เผลอยึดมั่นว่าได้บรรลุแล้ว ครั้นสังเกตว่ามันแปรเปลี่ยน นั่นแลเป็นทาง

    นาม : ใช่

    รูป : เดี๋ยวก่อนพ่อ ปีศาจมี ๘ ตนเท่านั้น อาจารย์คงเผลอ หรือฟั่นเฟือนลืมเสีย ๒ ตน

    โหงว : เปล่านะ นับให้ดี ครบทั้งสิบ

    นาม : เอ้า...ลองนับดู

    ตาเฒ่าจับโป้ยกง ปีศาจต้นสน คือสุขะ
    ตาเฒ่าโกเต็กกง - ปีศาจต้นเป็ก คืออุตสาหะ(วิริยะ)
    ตาเฒ่าลินกงจื้อ - ปีศาจต้นไทร คือปัสสัทธิ (ความสงบรำงับ)
    ตาเฒ่าฮุดหุ้นโซ้ - ปีศาจต้นไผ่ คืออุเบกขา
    นางเซียนหนึง - ปีศาจต้นตะเคียน คือปีติ
    สาวใช้ - ปีศาจต้นสารภี คือ สติ
    สาวใช้ - ปีศาจต้นอบเชย คืออธิโมกข์ (ศรัทธากล้า)
    ปีศาจหน้าเขียว - ต้นเคี่ยม คือนิกันติ (ตัณหา - อาลัย)

    เอ๋...แล้วโอภาสกับญาณคือปีศาจอะไรฮึ ?

    รูป : ก็ช่วยเติมให้อาจารย์หน่อยก้ได้ ต้นหญ้าต้นบอนต้นแสงอาทิตย์คือโอภาส ต้นทุเรียนคือญาณ...

    โหงว : คิดให้ดี

    นาม : พุทโธ่เอ๋ย...โอภาสก็คือแสงเดือนคืนเดือนหงายนั่นเอง

    รูป : ถ้าอย่างนั้น ญาณก็คือความเคลิบเคลิ้มของพระถัง ที่เทศน์เสียอย่างน่าอัศจรรย์ แคล่วคล่องดุจบรรลุพระอรหัตตผลแล้วนั่นเอง

    โหงว:
    ทางรกหนักหนา..........เพราะว่าขาดผู้
    ใจเพชรรอบรู้..............มุ่งสู่มรรคผล
    นาม :
    จึงเกิดพงรก...............พาวกอลวน
    หลงสำคัญตน............ว่าเป็นอรหันต์
    รูป :
    (เออ...ก็)ทั้งสุขทั้งสงบ....แจ้งจบธรรมขันธ์
    ศรัทธากล้าครัน...........มั่นทางวางเฉย
    โหงว :
    สำคัญตนแปร้............ว่าแน่แล้วเหวย
    หลุดพ้นสะเบย...........ใครเคยเท่ากู !
    รูป : เอ...อาจารย์ครับ แล้วที่พระถังร้องตวาดนางเซียนหนึงจนเห้งเจียตามมาทันนั่น หมายความว่าอย่างไรครับ ?

    โหงว :
    ครั้นปัญญาพินิจ......เห็นเป็นอนิจจ์อยู่
    โยคีเพ่งดู............หยั่งรู้ความจริง
    นาม : นั่นแลคือมรรค

    รูป : พอ...ข้าจักฟังยิ่ง

    โหงว : ต่อนี้ผีสิงห์...............อึ้งไบ๋เล่าฮุด

    รูป : เล่าต่อ เล่าต่อ .....ขอฟังอย่าหยุด

    โหงว : ผีเป็นพระพุทธ.......

    รูป + นาม : โอ๊ย....เดี๋ยวได้รุดลงนรก!



    (จบบทที่ ๓๐ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
     
  12. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๓๑
    วิปัสสนูปกิเลส "เราบรรลุอรหัตตผลแล้ว"


    ศิษย์และอาจารย์ดั้นด้นออกพ้นพงหนาม แล้วรอนแรมมาถึงภูเขายอดสูงเทียมเมฆ มีอารามชื่อว่าเซี้ยวลุ่ยอิมยี่ ตำบลเซี้ยวไซที อันเป็นอารามที่ปีศาจอึ้งไบ๋เล่าฮุดเนรมิตขึ้นแล้วจำแลงตนเป็นพระยูไลนั่งรอพระถังอยู่

    เมื่อคณะเดินทางเห็นป้ายอาราม พระถังก็ปักใจเชื่อว่าได้บรรลุถึงอารามลุ่ยอิมยี่ เขตไซที อันเป็นที่พำนักของพระยูไลแล้ว แต่เห้งเจียนั้นปัญญาไว เห็นคำว่า"เซี้ยว"อยู่ด้วย จึงได้เตือนให้พระถังระวังตน เกรงว่าจะเป็นปีศาจแปลงตนเป็นพระพุทธเจ้า

    ฝ่ายพระถังหาเชื่อคำของเห้งเจียไม่ ปีศาจอึ้งไบ๋จึงจับไว้ได้ทั้งคณะ เห้งเจียนั้นถูกฉาบทอง อาวุธวิเศษของปีศาจรวบติดอยู่ ไม่สามารถออกมาได้ จนเทพารักษ์ได้ช่วยให้หลุดออกจากฉาบ แต่ก็กลับถูกปีศาจอึ้งไบ๋ขว้างด้วยอาวุธวิเศษอีกอันหนึ่งคือไถ้ล้อมฟ้ารวบมัดไว้สิ้น

    เห้งเจียหนีออกมาได้ เที่ยวไปตามใคร ๆ มารบปีศาจก็ไม่มีใครเอาชนะอาวุธวิเศษคือไถ้ล้อมฟ้านั้นได้ เห้งเจียสิ้นคิดก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว

    กล่าวฝ่ายพระศรีอาริยเมตไตรยเสด็จออกตามหาพนักงานตีระฆังที่จำแลงมาเป็นปีศาจอึ้งไบ๋เล่าฮุดอยู่ มาพบเห้งเจียเข้าจึงทราบความ พระศรีอาริย์ก็เอาน้ำลายกายสิทธิ์เขียนมนต์ลงบนฝ่ามือเห้งเจีย เพื่อให้ไปรบกับปีศาจ

    เห้งเจียก็ไปร้องท้าอึ้งไบ๋ที่หน้าอาราม หลังจากเข้าสู้รบกันแล้วปีศาจก็ถูกฝ่ามือมนต์ของเห้งเจียที่ศีรษะถึงแก่งงงวย เห้งเจียก็รบล่อปีศาจไปที่ไร่แตงโม ตามที่นัดหมายกับพระศรีอาริย์ไว้ ฝ่ายพระศรีอาริย์ก็แปลงเป็นตาเฒ่าเจ้าของไร่ เห้งเจียปลอมเป็นผลแตงโม ปีศาจอึ้งไบ๋เสียกลขอกินแตงโมจากตาเฒ่าเพราะกระหายน้ำ พอแตงโมลงถึงท้อง เห้งเจียก็เริ่มบีบ หยิก ตบ ตี บิดเครื่องในของปีศาจจนมันยอมแพ้ยอมคืนไถ้ล้อมฟ้าให้แก่พระศรีอาริย์ เห้งเจียจึงออกจากท้อง แล้วเข้าไปช่วยพระถังออกจากที่ขังในอาราม แล้วจุดไฟเผาปีศาจเล็ก ๆ น้อย ๆ เสียสิ้น

    คณะไปไซทีเป็นอิสระแล้ว ก็ออกเดินทางจากอารามเซี้ยวลุยอิมยี่มุ่งทิศปราจีนต่อไป...




    [​IMG]




    รูป : (หัวเราะ) เจ้าปีศาจอึ้งไบ๋นี่สำคัญ ปลอมเป็นพระพุทธเจ้ามานั่งรอพระถังอยู่ได้

    นาม : วิปัสสนูปกิเลสว่า "กูบรรลุอรหัตตผลแล้ว"

    รูป : พระพุทธเจ้าเก๊นี่คงนั่งยิ้ม ร้องทักพระถังว่า "ถังซัมจั๋ง ทำไมมาช้านักเล่า เรารออยู่เชียว "

    นาม : สำคัญ ๆ อาจารย์ช่างอุปมาแท้ ที่ให้อาวุธวิเศษของปีศาจมีทั้งฉาบทองและไถ้ล้อมฟ้า

    รูป : ฉาบทองคืออะไร ? ไถ้ล้อมฟ้าคืออะไร?

    นาม : ? ? ?...

    โหงว : ตราบใดที่ยังรู้สึกว่า "กูบรรลุอรหัตตผลแล้ว" นั้นหาใช่พุทธะไม่ เป็นเพียงปีศาจคนตีฉาบ ตีระฆังที่หน้าแท่นบูชาพระศรีอาริย์เท่านั้น

    รูป : อุปมาไม่เห็นเข้าท่า แล้วไถ้ล้อมฟ้าล่ะ ?

    นาม : อาจารย์ครับ ไถ้ล้อมฟ้านี้คือพรหมชาลใช่ไหมครับ ?

    โหงว : ฮื่อ ตาข่ายดักติดถึงชั้นพรหมทีเดียวล่ะเธอ

    รูป : ทำไมให้พระศรีอาริย์มาปราบก็ไม่รู้แล้ว ให้กินแตงโมเสียด้วย...?

    นาม : โธ่...ง่ายออก เมื่อเกิดวิปัสสนูปกิเลสแล้ว ให้ทำตามในบทก่อน แต่มีเคล็ดว่าให้ตั้งใจไว้ล่วงหน้าด้วยว่า อะไรเกิดขึ้นนั้นยังไม่ใช่ ไม่ใช่ ต้องรอก่อน รอก่อน...

    รูป : อ้อ...นี่เอง คือศรีอาริยเมตไตรยจะมาให้รอก่อน รอก่อน ขืนว่าใช่แล้วก็เป็นอันเจอปีศาจแปลงมา อ้าว...แล้วแตงโมล่ะ ?

    นาม : ไม่ใช่แตงโม แต่เป็นแตงเห้งเจียต่างหาก

    โหงว : ใช้ปัญญาหาเงื่อนงำ...............เข้าขยำย่ำพุงผี
    บีบท้องถองลิ้นปี่....................ปีศาจพ่ายฟายน้ำตา

    รูป : เล่าต่อเถิดอาจารย์

    โหงว : ถึงทางผ่านเหม็นนักหนา..........
    ลุยอุจจาระคละคลุ้งฟ้า............อุดจมูกไว้ให้ดีดี

    รูป : ..??

    นาม : ...??



    (จบบทที่ ๓๑ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
     
  13. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๓๒
    ทางเหม็นอุจจาระ


    อาจารย์และศิษย์รอนแรมไปทางทิศปราจีน สองข้างทางมีดอกไม้บานสะพรั่ง เดินทางมาอีกเดือนเศษ ตกเย็นวันหนึ่งก็มาถึงบ้านตาเฒ่าแซ่ลี้ ณ หมู่บ้านท้อล้อจึง เมื่อตาเฒ่าทราบความประสงค์ว่าจะไปไซที เพื่ออาราธนาพระไตรปิฏกมาเมืองจีนแล้ว ตาเฒ่าแซ่ลี้ก็ร้องห้ามว่า มาผิดทางเสียแล้วทาง ๆ นี้มิใช่ทางไปไซที เพราะว่าข้างหน้าจะเป็นทางเหม็นเหลือทน เนื่องจากลูกมะพลับจะสุกในฤดูฝน และหล่นลงมาทับถมกันจนเน่าเหม็นฟุ้งท่วมทางไม่อาจผ่านไปได้ ชาวบ้านทั่วไปเรียกทางนี้ว่า "ทางอุจจาระ"

    พระถังและสานุศิษย์ได้ขอพักค้างแรมบ้านตาเฒ่าในคืนนั้น เฒ่าแซ่ลี้ได้เล่าถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านแถบนั้นให้ฟัง ถึงภัยที่เกิดจากปีศาจโสโครกตนหนึ่ง ที่มารังควานชาวบ้านกินวัว กินควาย หมูเห็ดเป็ดไก่ จนประชาชนลำบากมาก มันมักมากลางคืนเพราะกลัวแสงสว่าง บรรดาหมอผีที่ชาวบ้านไปเชิญมาปราบ ทั้งที่เป็นฆราวาส และพระก็ถูกฆ่าตายหมดสิ้น เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็ขันอาสาจะฆ่าปีศาจโสโครก จึงให้ตาเฒ่าหาผู้ใหญ่บ้าน ๘ คน มาเพื่อเป็นพยานในการปราบผี

    พอตกดึกของคืนนั้น ปีศาจร้ายก็มา ในมือถือทวนเล่มใหญ่ มืดทะมึนสูงจดฟ้า เห้งเจียให้ซัวเจ๋งรักษาพระถัง ตัวเองกับโป้ยก่ายก็เหาะทะยานขึ้นไปรบกับปีศาจโสโครก ฝ่ายปีศาจเห็นดังนั้นก็ปล่อยกลิ่นเหม็นเหมือนอุจจาระออกมา เห้งเจีย โป้ยก่ายเอามืออุดจมูกเข้าสู้รบ จนปีศาจสู้ไม่ได้ก็กลายเป็นงูแสงอาทิตย์ตัวมหึมาตามกำเนิดเดิม หัวและหางคือทวนคู่มือนั่นเอง

    เห้งเจียโป้ยก่ายก็ไล่จับงูนั้น งูเลื้อยหนีลงรู โป้ยก่ายจับหางไว้ได้แต่หลุดมือไป เห้งเจียตามลงไปในรูงูก็โผล่ขึ้นมาอีกทางหนึ่ง เอาหางฟาดโป้ยก่ายล้มลง เมื่อเห้งเจียวิ่งเข้าไปใกล้งูใหญ่นั้นก็กลืนเห้งเจียลงไปในท้อง เห้งเจียจึงใช้ตะบองวิเศษค้ำท้องงูให้งอตัวโค้งเป็นสะพาน โป้ยก่ายเห็นดังนั้นก็ร้องตะโกนบอกว่า ถึงเป็นสะพานก็ไม่มีใครกล้าเดิน เห้งเจียร้องออกมาจากท้องงูว่า จะทำให้งูเป็นเรือ แล้วใช้ตะบองกระทุ้งทะลุหลังงูเป็นเสากระโดง งูเจ็บปวดก็แล่นไปเหมือนเรือ ในที่สุดก็สิ้นชีวิต โป้ยก่ายจึงเอาคราดสับงูที่ตายแล้วซ้ำอีก เห้งเจียก็ท้วงว่าไม่มีประโยชน์ โป้ยก่ายสารภาพว่าตั้งแต่เกิดมาชอบตีแต่งูที่ตายแล้วเท่านั้น

    สองสหายปราบปีศาจโสโครกเน่าเหม็นเสร็จแล้ว เห้งเจียก็นิมนต์พระถังออกเดินทาง ก่อนการตะลุยทางอุจจาระ เห้งเจียขอให้ชาวบ้านเลี้ยงอาหารโป้ยก่ายจนอิ่มแปร้ โป้ยก่ายจึงเต็มใจแปลงกายเป็นสุกรตัวมหึมา ใช้ปากคุ้ยทางเหม็นนำหน้าขบวนเดินทาง โป้ยก่ายคุ้ยผลมะพลับเน่าเบิกทางไปพักใหญ่ ทั้งคณะก็พ้นทางเหม็น ศิษย์และอาจารย์ก็ลงล้างเนื้อตัวให้หายกลิ่นอุจจาระ แล้วต่างมีความสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก สองข้างทางก็มีไม้ดอกบานสะพรั่ง

    ทั้งคณะก็บ่ายหน้ามุ่งทิศปราจีนต่อไป..........



    [​IMG]



    รูป : เหม็นเหลือทน เหม็นเหลือทน !

    นาม : ฮึ ที่จริงนั้นหอมจนโดดเข้าตะครุบ

    รูป : ตะครุบอุจจาระน่ะเรอะ?

    นาม : ก็แกไม่รู้รึว่า "ทางเหม็น" หมายถึงอะไร ?

    รูป : โธ่ ก็มะพลับมันหล่นลงในหน้าฝนแล้ว เน่าเหม็นเท่านั้นแหละน่า

    นาม : ทางเหม็นหรือทางอุจจาระคือลาภสักการะ และเสียงสรรเสริญเยินยอ ที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านวิปัสสนูปกิเลส

    โหงว : ทำไมเป็นอย่างนั้นไปได้เล่า ?

    นาม : วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ นั่นแหละผลักดันให้พูด ๆ ๆ ผลักดันให้เคร่ง ๆ ๆ ผลักดันให้เฉย ๆ ๆ ชาวบ้านทายกทายิกาก็เลื่อมใส เล่าลือกันไป ลาภก็ไหลมาเทมา สักการะก็หนาแน่น

    รูป : แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอุจจาระ ?

    นาม : เจ้าเซ่อ ทางอุจจาระที่ชาวบ้านเรียกนั้นคือ ลาภซึ่งจะได้มาบริโภคแล้วถ่ายออกมา ยิ่งลาภมากยิ่งถ่ายมาก...

    รูป : แล้วทางเหม็น...?

    นาม : ก็คือสักการะ เสียงสรรเสริญซึ่งปุถุชนประสงค์กันนัก เพราะคิดว่าเป็นทางหอม แต่บัณฑิตหรือผู้รู้ย่อมกล่าวว่ามันคือทางเหม็น

    รูป : ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นไปได้ ได้เสียงสรรเสริญชื่อออกหอมกรุ่น

    นาม : ครั้นเสียงเยินยอถอยเล่า เสียงนินทาก็เหม็นฟุ้งขึ้นมาซี...

    โหงว : นอกจากเหม็นเพราะเสื่อมลาภเสื่อมยศแล้ว ยังเหม็นเพราะจิตของผู้ปฏิบัติจะต่ำทรามลงด้วยซี

    รูป : ถ้าอย่างนั้นต้องหลบให้พ้นทางอุจจาระเหม็นฟุ้งนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

    นาม : หลบไปไหน ? หลบอย่างไร ?

    รูป : ไม่ทำอะไรเลย อยู่เฉย ๆ ไม่สอนใคร

    นาม : ยิ่งสงบเฉย เขายิ่งนับถือ หนักเข้าก็กองอุจจาระเต็มกุฏิเหม็นอีก

    รูป : งั้นก็เลิกปฏิบัติธรรมเสียให้สิ้นเรื่อง

    นาม : แกก็ยิ่งเหม็นเน่าเฟะยิ่งกว่านั้นอีก จำเป็นต้องลุยผ่านทางอุจจาระนี้

    รูป : ตาเฒ่าแซ่ลี้บอกว่ามิใช่ทางไปนิพพานนี่

    นาม : เห้งเจียหัวเราะชอบใจ ขันอาสาปราบปีศาจมิใช่หรือ ปัญญามันกล้า

    รูป : งั้นจะทำอย่างไรดี.................จึงพ้นที่ทางเน่าน่ะ
    ทางเหม็นอุจจาระ.................ท่านพระถังทำยังไง?

    นาม : ปัญญาอาสาปราบ................กำราบผีอย่าสงสัย
    ผีเขมือบหมูเป็ดไก่.................อีกวัวควายของชาวเมือง

    รูป : อาจารย์ผีโล้นเหลือบ..............เขมือบหมูแสนหมดเปลือง
    คืออะไรในท้องเรื่อง................เฉลยไม่ตกนรกจะกิน

    โหงว : พระสงฆ์องค์พ่ายรส...............หมูหมดคอกเพราะแพ้ลิ้น
    ไม่พิจารณาเป็นอาจินต์............เป็นผีอาจมต้มชาวเมือง

    นาม : โอย...คบอาจารย์คร้านลงนรก

    รูป : แต่งโกหกได้ปราดเปรื่อง

    โหงว : ปล่อยข้าว่าตามเรื่อง...............ผีเขมือบหมูอยู่เป็นนิตย์

    รูป : ปัญญาและศีลช่วยกันปราบผีกินหมูเป็ดไก่ก็เข้าใจแล้ว แต่ชาติกำเนิดของมันเป็นงูแสงอาทิตย์เลื้อยลงรู โป้ยก่ายจับหางกลับถูกฟาดเสียล้มคะมำ แล้วยังกลืนเห้งเจียเสียอีก นี่ผมยังงง ?

    นาม : อย่าคิดมากเลยน่า กิเลสในลาภสักการะนั้นลำพังศีลเอาไม่อยู่ดอก มันฟาดศีลเสียคว่ำไปเลย ก็อุตริไปจับงูข้างหางนี่

    รูป : อ้าว แม้ปัญญาก็ถูกกลืนลงท้อง ก็จบกัน...?

    โหงว : แต่พอกลืนถึงท้อง.............ชักตะบองกายสิทธิ์
    ปัญญาแรงสำแดงฤทธิ์.......แปลงงูพิษเป็นสะพาน

    รูป : โธ่...ผมเข้าใจแล้วครับ คือว่าใช้ปัญญาทำลาภสักการะให้เป็นเครื่องมือเสีย แทนที่จะเป็นของเหม็น แปลงงูเป็นสะพานหรือเรือไปเลย ด้วยตะบองวิเศษ ให้ลาภและสักการะเสียงสรรเสริญเยินยอกลับเป็นเครื่องมือในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

    นาม : ศีลร้องโวย ใครจะกล้า.........ลื่นหนักหนาลาภสักการ
    เล่นกับมันพลันฟุ้งซ่าน.........สะพานงูดูหวาดเสียว

    รูป : ปัญญาจับบังคับงู................ให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าเทียว
    ใจสูงไม่ยุ่งเกี่ยว....................เจ้างูร้ายก็ตายพลัน

    นาม : โป้ยก่ายเป็นหมูยักษ์

    รูป : คุ้ยขี้ตักดุจจักรผัน

    โหงว : คือศีลที่วิสุทธิ์อัน....................พระอริย์นิยมชม

    นาม : บริสุทธิ์ผุดผ่องใจ....................ไม่เมาลาภเมาอาจม

    โหงว : ผ่านเรื่องอุจจาระจะรื่นรมย์.......ชีพสะพรั่งดั่งไม้บาน


    (จบบทที่ ๓๒ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





    ** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๗๘ - ๑๘๔ )
     
  14. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">บทที่ ๓๓
    โรคอาลัย "เหยื่อ"

    พระถังซัมจั๋งและสานุศิษย์รอนแรมมาจนบรรลุถึงเมืองจูจิ๊ก๊ก อันมีผู้คนพูดจาอ่อนหวาน พระราชาทรงประชวรหนัก เพราะเมื่อ ๓ ปีก่อนหน้านี้ ปีศาจไซ้ทั้ยส่วยแห่งสำนักภูเขาขี้ลินซัว ถ้ำเก๊ยเฉียต๋อง ได้มาแย่งพระมเหสีกิมเชี้ยเกงเนี้ย (หอทองอริยะ)ไปเสีย ได้ออกหมายประกาศหาหมอผู้สามารถรักษาพระราชาให้หาย จะได้รางวัลหนัก

    เห้งเจียก็อาสาเข้าตรวจโรคของพระราชา แล้วบอกว่าพระองค์เป็นโรค "วิหคพลัดคู่" พอเห้งเจียระบุชื่อโรคถูก พระราชาก็มีอาการดีขึ้น เห้งเจียจึงกลับมาที่พักแล้วเริ่มปรุงยา อันประกอบด้วยตัวยาดังต่อไปนี้

    ๑.ต๊ายอิ้ง (น้ำเต้า ?)
    ๒.ปาเต๊า (สลอด)
    ๓.แป๊ะเช้าเซียง (เขม่าก้นหม้อ)
    ๔.น้ำเยี่ยวม้าขาวของพระถัง(ม้ามังกรลูกพญาเล่งอ๋อง)

    เมื่อเห้งเจียบดผสมกันเข้าแล้ว สำเร็จเป็นยา ๓ กลอน ชื่อ โอกิมตัน ซึ่งจะต้องใช้น้ำกระสาย ๒ ประเภท

    น้ำกระสายประเภทแรกมีของ ๖ สิ่งนำมาต้มรวมกัน ได้แก่

    ๑. ขนนกการะเวก
    ๒. น้ำเยี่ยวปลากิมหลีฮื้อ(ปลาทอง)
    ๓. แป้งผัดหน้าอ๋องโป๊เนี่ยเนี้ย(เทวีแห่งสวรรค์)
    ๔. ขี้เถ้าในเตาไฟของพรหมท้ายเสียงเล่ากุน
    ๕. ชายผ้าโพกพระเศียรของเง็กเซียนฮ่องเต้
    ๖. หนวดมังกร(เล่งอ๋อง) ๕ เส้น

    ส่วนน้ำกระสายอย่างที่ ๒ คือน้ำที่ตกจากอากาศเรียกว่า "น้ำไม่มีราก"

    พวกขุนนางผู้คอยเฝ้าพยาบาลพระราชาอยู่ ครั้นได้ทราบสรรพคุณและน้ำกระสายยาของเห้งเจียแล้วก็เลือกเอาน้ำกระสายอย่างหลังคือ "น้ำไม่มีราก"

    ดังนั้น เห้งเจีย โป้ยก่ายและซัวเจ๋ง จึงมายืนรวมกันกลางลาน แล้วออกกำลังร้องเรียกพญาเล่งอ๋องเง่าก๊วงให้มาบ้วนน้ำลายลงเป็นฝน แล้วนำน้ำไม่มีรากนั้นมาละลายยาโอกิมตันถวายให้พระราชาเสวย พระราชาเสวยแล้วก็ถ่ายสิ่งโสโครกออกมามากมายและหายประชวร แล้วเล่าเรื่องที่ปีศาจมาข่มขู่เอาพระมเหสีไป ให้พระถังกับสานุศิษย์ฟัง

    เห้งเจียก็ขันอาสาไปปราบปีศาจ พระราชาจึงมอบสายประคำทอง เครื่องประดับคู่พระทัยของมเหสีให้แก่เห้งเจียไว้เป็นเครื่องหมาย เห้งเจียรับมาแล้วก็เหาะขึ้นอากาศไปจนถึงเขตถ้ำเก๊ยเฉียต๋อง ภูเขาขี้ลิ่นซัว แล้วแปลงกายเป็นสมุนปีศาจชื่อ "มีมาก็มีไป" ลักลอบเข้าไปในถ้ำ แล้วก็ได้ทราบว่าพระมเหสีถูกปีศาจกักตัวไว้ถึง ๓ ปี แต่ปีศาจมิสามารถแตะต้องตัวพระนางได้ เพราะในวันที่นางถูกลักพาตัวมา จี๋เอี๊ยงจีนหยิน เต้าหยินองค์หนึ่งได้เอาเสื้อหนามพุงดอ มาสวมกายพระนางไว้ ปีศาจจึงมิอาจลวนลามได้

    เมื่อพบพระมเหสี เห้งเจียก็แสดงสายประคำทองให้พระนางเห็น แล้วขอให้พระนางแสร้งโอนอ่อนผ่อนตามปีศาจ เพื่อให้มันไว้ใจ ยอมมอบระฆังวิเศษ ๓ ใบซึ่งเป็นอาวุธที่น่ากลัวที่สุดให้กับพระนาง เมื่อริบอาวุธนี้ได้แล้ว การรบกับปีศาจก็จะง่ายเข้า

    พระมเหสีได้ทำตามคำขอของเห้งเจีย จนปีศาจมอบระฆังวิเศษให้แล้ว นางก็มอบให้เห้งเจียซึ่งแปลงกายเป็นสาวใช้ปรนนิบัตินางอยู่ แต่ความที่เห้งเจียใจร้อนจึงแก้ห่อระฆังออก มันก็ระเบิดเป็นไฟและควันคลุ้งไปทั้งถ้ำ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว

    เมื่อปีศาจไซ้ทั้ยส่วยได้ยินเสียงนั้นก็ระดมให้สมุนปิดปากถ้ำ แล้วค้นหาศตรู ก็หาพบตัวเห้งเจียไม่ มันจึงไปทวงระฆังวิเศษจากพระมเหสี แล้วผูกไว้กับสะเอว ฝ่ายเห้งเจียก็แปลงเป็นตัวเล็น ไปกัดเนื้อที่เอวของปีศาจ ปีศาจก็เกาไม่หยุด จนต้องปลดระฆังออกส่งให้พระมเหสีช่วยเก็บไว้ตามเดิม เห้งเจียได้ระฆังวิเศษแล้วก็เนรมิตระฆังปลอม ๓ ใบขึ้นมาแทน มอบให้พระมเหสีเก็บไว้

    ครั้นรุ่งเช้า เห้งเจียก็ชักตะบองออกขู่คำราม ท้าทายปีศาจให้ออกมาสู้รบกัน ไซ้ทั้ยส่วยก็คว้าระฆังจากพระมเหสีมาสู้รบกับเห้งเจีย เห้งเจียจึงชูระฆังจริงให้ดู ปีศาจก็ตกตะลึงหมดเรี่ยวแรงทันที ขณะที่เห้งเจียกำลังจะฆ่าปีศาจ กวนอิมก็เสด็จมาห้ามไว้ แล้วทรงบอกว่าปีศาจไซ้ทั้ยส่วยคือสิงห์พาหนะของพระองค์เอง หนีมาเป็นปีศาจเพื่อลงโทษพระราชากับพระมเหสีที่เคยพรากคู่นกผัวเมียมาก่อน

    เมื่อพระกวนอิมจูงสิงห์ของพระองค์จากไปแล้ว เห้งเจียก็เอาไฟจุดเผาสมุนปีศาจเสียสิ้นแล้วทูลเชิญพระมเหสีกลับเมือง

    ฝ่ายพระราชาก็ออกมารับพระมเหสี ด้วยพระทัยปีติโสมนัสยิ่ง ทรงทำสักการะใหญ่แก่เห้งเจีย อีกทูลเชิญพระถังซัมจั๋งขึ้นเสวยราชสมบัติแทนพระองค์ แต่พระถังปฏิเสธ ขอแต่หนังสือผ่านเมืองเท่านั้น ครั้นได้หนังสือผ่านเมืองแล้ว พระถังและศิษย์ก็ทูลลาพระราชา บ่ายหน้าทางทิศปราจีน มุ่งสู่ไซทีต่อไป.........




    [​IMG]



    รูป : โรคกิเลสนี่แปลก พอระบุชื่อ รู้สมุฎฐานเท่านั้นก็อาการดีขึ้น

    นาม : ใช่ซี พอรู้ว่าอ้ายนี่แหละคือกิเลสนั้น ๆ มันก็กลายเป็นปัญญา กลายเป็นแสงสว่างขึ้นมาทีเดียว

    รูป : อย่างโมหะคือความมืดมนไม่รู้ ครั้นโมหะถูกกำหนดได้ว่า...อ้าว...นี่แหละโมหะล่ะ ความรู้คือแสงสว่าง เมื่อแสงสว่างเกิดความมืดก็หายไป

    โหงว : นอกจากว่าแสงสว่างของความรู้นั้น มันจะกลับเป็นความมืดชนิดสีขาวขึ้นมาอีก

    รูป : คือเป็นโมหะซ้อนโมหะ แล้วเป็นเหตุให้รู้สึกเหมือนรู้ เสียจนหลุดพ้นโง่ ๆ ไปงั้นเอง

    นาม : เอาล่ะ โรควิหคพลัดคู่แกว่าคืออะไร ?

    รูป : ชีวิตเพิ่งละลาภสักการะ ทางเหม็นมาหยก ๆ มันก็ต้องโรคชินที่จะอาลัยเหยื่อน่ะสิ

    นาม : จริง ๆ คือว่า ไม่อาลัยลาภสักการะดอก แต่มันเคย "สวาปาม" เข้าไปสะสมของเน่า โสโครกไว้มาก

    รูป : จึงต้องกินยาถ่าย รุของโสโครกออกเสียให้หมด

    โหงว : ยานั้นคืออะไรเล่า...?

    นาม : ปัญญาก็มาปรุงยา รักษาโรคติดของเน่าโสโครก สัจจะคือน้ำเต้า, ทมะ คือ เขม่าก้นหม้อ , ขันติคือ น้ำเยี่ยวม้าขาว จาคะคือสลอด

    รูป : แกนี่ลากหาความเก่งชะมัด ไหนลองเฉลยอุปมาดูซิ

    นาม :
    สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ คือ ธรรมะ เครื่องมือที่จะละโรคอาลัยกิเลส เป็นยาขนานเอกที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ
    อิงฺฆ อญฺเญปิ ปุจฺฉสฺสุ ปุถู สมณพฺราหฺมเณ ยทิ สจฺจา ทมา จาคา ขนฺตยา ภิยฺโยธ วิชฺชตีติ - เชิญท่านไปลองถาม สมณพราหมณ์อื่นดูบ้างว่า มีธรรมะหมวดไหนเลิศไปกว่า สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ในโลกนี้
    สัจจะคือ ตั้งสัจจะจริงจัง จริงใจ ซื่อตรง ปักใจตรงต่อสิ่งที่จะทำ คือจะละอาลัยในกิเลส
    ทมะ เมื่อตั้งสัจจะแล้ว ก็ต้องข่มใจให้ทำตามที่ตั้งสัจจะไว้ เพราะถ้าไม่ข่มมันจะเปลี่ยนอุดมการณ์
    ขันติ เมื่อข่มจิตเข้ามันก็เจ็บปวด จะต้องทน อดทน ทนทาน ทรหด ไม่ยอมเปลี่ยนอุดมการณ์ที่ตั้งสัจจ์ไว้
    จาคะ ทนมาก ๆ เดี๋ยวมันจะทนไม่ไหว เก็บกดมาก ๆ เดี๋ยวมันระเบิด ก็หาทางระบายสิ่งที่เป็นอุปสรรค คือละกิเลสเสีย ละสันดานเลวเสีย ละอาลัยเสีย จะได้ไม่ต้องทนมากนัก
    รูป : จาคะคือถ่ายรุสันดานเลว สันดานกิเลสออกดุจกินสลอดซีนะ

    นาม : ใช่ซี

    รูป : ขันติก็คือวิริยะ(ม้าขาว)อุปมาด้วยน้ำมูตรม้าขาว ทีนี้ทมะทำไมเปรียบด้วยลูกน้ำเต้า ?

    นาม : จนจริง ๆ

    โหงว : ฉันก็จนใจจริง ๆ

    รูป : ผมก็จนใจ โธ่ แต่งเองยังจน...

    นาม : เอาล่ะ ทีนี้มาถึงยาที่ประกอบด้วยตัวยา ๔ อย่างนี้ ต้องมีน้ำกระสาย มิฉะนั้นกินไม่ลงใช่ไหมครับ ?

    โหงว : ใช่ซี ยาขนานนี้แสนขม เพราะเป็นทั้งการข่มใจและละสันดาน ถ่ายรุกิเลสใครจะกล้ากินล้วน ๆ เล่า

    รูป : น้ำกระสาย ๒ ชนิดช่วยให้กินลง

    นาม : คือ ฉันทะ ปีติพอใจต่อการกระทำนั้นแหละ จะหล่อเลี้ยงให้กินยา ดุจน้ำกระสายช่วยให้กินยาได้ง่ายขึ้น

    โหงว : น้ำกระสายชนิดแรก มี ๖ สิ่ง...?

    นาม : จนใจจริง ๆ

    รูป : เฮ้อ...ลากเข้าหาความก็ได้ละน้า...

    นาม : จน

    โหงว : ของไม่มี ของหาไม่ได้เพราะไม่มี

    นาม : เอาความไม่มีไม่เป็นเข้าเป็นน้ำกระสาย เด็ดดวงไปเลย ทีนี้ น้ำไม่มีรากล่ะ ?

    โหงว : น้ำไม่มีรากที่ต้องใช้เห้งเจีย โป้ยก่ายซัวเจ๋ง และพยาเล่งอ่องร่วมกันทำ คือปีติ ที่เกิดขากปัญญา ศีล สมาธิ และเจริญด้วยอิทธิบาทสี่ มีฉันทะเป็นต้น

    รูป : ด้วยปัญญา ศีล สมาธิประกอบกับฉันทะ ทำให้มากจนน้ำไม่มีราก คือปีติหลั่งลงให้ความชุ่มชื่นแก่ชีวิต

    โหงว : ปีติดุจฝน นี่คือน้ำกระสายยา เมื่อมีปีติหล่อเลี้ยง สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ก็ทำงานของมันได้เต็มที่ ไม่มีเบื่อ ไม่ทนทรมาน ไม่เก็บกด

    รูป : (หัวเราะ)พระราชาก็ถ่ายของโสโครกออกหมดพุง

    นาม : โรคอาลัย "เหยื่อ" ก็สร่างซา

    โหงว : ทีนี้ปัญญาก็อาสาไปปลดปล่อยพระมเหสี

    รูป : ตอนนี้ผมว่าอาจารย์เลียนแบบรามเกียรติ์ เอ้า...

    โหงว : ก็ใครว่าไม่ใช่เล่า

    นาม : คือตอนไหน...?

    รูป : ตอนหนุมานถวายแหวน แต่ของอาจารย์กลับเป็นเห้งเจียแสดงสายประคำทอง แล้วความร้อนที่กันไม่ให้ทศกัณฐ์เข้าใกล้นางสีดาในรามเกียรติ์นั้น ของอาจารย์กลับเป็นให้มเหสีสวมเสื้อหนามพุงดอไปฉิบ...!



    (จบบทที่ ๓๓ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





    ** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๘๕ - ๑๙๒ )



    บทที่ ๓๔

    อกุศลเจตสิก ๑๔ ดุจปีศาจแมงมุมและผึ้ง

    อาจารย์และศิษย์พากันเดินทางรอนแรมมาจนลุถึงบ้านปั๊วซือเนี้ย ถ้ำปั๊วซือต๋อง อันเป็นที่พำนักของนางปีศาจแมงมุมอันดุร้ายทั้ง ๗ มันแปลงกายเป็นหญิงสาว ๔ สาวกำลังนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่อีก ๓ สาวกำลังจับกลุ่มเล่นหัวกันอยู่ทางหนึ่ง พระถังเข้าไปบิณฑบาตอยู่ผู้เดียว ถูกนางปีศาจทั้ง ๗ หลอกล่อให้รออาหาร ครั้นพระถังเห็นผิดสังเกตก็วิ่งหนี นางปีศาจจึงปล่อยสายใยจากสะดือรวบรัดพระถังเอาไว้ แล้วมัดมือชักรอกโยงไว้บนเพดานถ้ำ หวังจะต้มกินเนื้อพระถัง

    นางปีศาจแมงมุมทั้ง ๗ จับพระถังได้แล้วก็ออกจากถ้ำเพื่อไปอาบน้ำที่สระย๊อกโกจั๊วที่เคยเป็นที่อาบน้ำของนางฟ้าทั้ง ๗ ซึ่งนางปีศาจทั้ง ๗ ได้แย่งมาเป็นกรรมสิทธิ์

    ฝ่ายเห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋งออกติดตามหาพระถังกันวุ่นวาย ครั้นเห้งเจียสอบถามเจ้าที่เจ้าทางจึงทราบความ

    ขณะที่นางปีศาจทั้ง ๗ ไปอาบน้ำ เห้งเจียก็แปลงกายเป็นเหยี่ยวไปคาบผ้านุ่งนางปีศาจที่เปลื้องไว้มาให้โป้ยก่ายดู โป้ยก่ายนึกสนุกขึ้นมาจึงไปที่สระ แล้วแปลงกายเป็นปลาช่อน ลงแหวกว่ายวนเวียนเคล้าเคลียขาอ่อนของนางปีศาจ นางปีศาจทั้ง ๗ ก็กระโดดขึ้นจากสระทั้ง ๆ ที่เปลือยกาย พอโป้ยก่ายกลายเป็นหมูตามขึ้นมา นางปีศาจก็พุ่งสายใยเหนียวออกจากสะดือ ล้อมรัดโป้ยก่ายล้มกลิ้งลง นางทั้ง ๗ ก็กลับไปที่ถ้ำที่ขังพระถังไว้ ซึ่งนางปีศาจหัวหน้าได้สั่งให้นางผึ้งทั้ง ๗ ที่เป็นลูกบุญธรรมอยู่เฝ้าถ้ำระวังพระถังไว้แล้ว ทั้ง ๗ นางก็ออกจากถ้ำปั๊วซือต๋อง มุ่งไปสู่สำนักอึ้งฮวยก๊วน ที่พำนักของแป๊ะงั้นหม้อกุน หรือปีศาจพันตา ผู้สำเร็จทางอัคคีฌาน

    เห้งเจีย โป้ยก่าย ซัวเจ๋งออกติดตามหาพระถังมาจนถึงถ้ำปั๊วซือต๋อง ก็ถูกนางผึ้งมีพิษเหล็กในร้ายกาจทั้ง ๗ แปลงกายออกนับหมื่นนับแสนระดมกันต่อย เห้งเจียก็ฆ่าตายเสียสิ้น

    จากนั้นก็เข้าแก้ไขพระถัง แล้วก็ออกเดินทางมุ่งสู่ไซทีต่อไป......................



    [​IMG]



    รูป : นางปีศาจแมงมุมเปลือยเปล่านั่นยังไม่ตาย...

    นาม : ตาย...แต่ธิดาบุญธรรม ๗ คน เอ...ปีศาจแมงมุม ๗ ปีศาจผึ้ง ๗ นางฟ้าที่เคยเป็นเจ้าของสระอีก ๗...?

    รูป : เฮ่ย...นางปีศาจแมงมุมนั้นแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม คือ ๓ คนที่นั่งเล่นหัวกันอยู่ กับอีก ๔ คนนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่

    โหงว :คิดดูให้ดี คิดดูให้ดี

    นาม : จนครับอาจารย์

    โหงว :ปีศาจแมงมุม ๗ ตน กับธิดาบุณธรรม คือแมงผึ้งมีพิษอีก ๗ รวมเป็น ๑๔

    นาม : พุทโธ่เอ๊ย... อกุศลเจตสิก ๑๔ นั่นเอง ผมเข้าใจแล้ว นางปีศาจแมงมุม ๓ ตน คือ โลภะ โทสะ โมหะ ส่วนอีก ๔ ตนคือ อหิริกะ อโนตตัปปะ ทิฏฐิ และมานะ นางแมลงผึ้งมีพิษร้าย ธิดาบุญธรรมคือ อุทธัจจะ วิจิกิจฉา อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ ถีนะ และมิทธะ รวมเป็นอกุศลเจตสิก ๑๔

    รูป : แล้วนางฟ้าทั้ง ๗ ที่เคยเป็นเจ้าของสระ...?

    นาม : ?

    โหงว :คือฌานังคเจตสิกทั้ง ๗ ที่เป็นคู่ปรับ(เอกัตตะ)กับอกุศลเจตสิก ๑๔

    นาม : คือวิตก วิจาร ปีติ เอกัคตา โสมนัส โทมนัส และอุเบกขา

    รูป : เป็นอันว่าฌานังคเจตสิกทั้ง ๗ถูกอกุศลเจตสิก ๗ เข้าแย่งชิงสระอาบน้ำ คือปีศาจแมงมุมแย่งที่นางฟ้า

    นาม : สระย๊อกโกจั๊ว คือจิตที่...ผีมานางฟ้าหนีหมด

    รูป : ตายเจ็ดเหลืออีกเจ็ด.....ผีระเห็ดไปถึงไหน?

    โหงว :ไซอิ๋วตอนต่อไป............พบผีห้าวท้าวพันตา

    นาม : !!

    รูป : !!


    (จบบทที่ ๓๔ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





    ** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๑๙๓ - ๑๙๖ )




    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5875 vAlign=bottom></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๓๕
    มิจฉาสติดุจท้าวพันตา


    เดินทางกันไปพักใหญ่ ก็ผ่านมาถึงสำนักอึ้งฮวยก๊วน ที่มีลำห้วยน้ำไหลร่มรื่น เป็นที่พำนักของปีศาจพันตาแป๊ะงั้นหม้อกุน อันเป็นศิษย์ผู้พี่ของนางปีศาจแมงมุมทั้ง ๗

    แป๊ะงั้นหม้อกุนได้ต้อนรับคณะเดินทางเป็นอย่างดี ครั้นนางปีศาจแมงมุมกระซิบบอกว่า ศิษย์และอาจารย์คณะนี้แหละคือศตรูที่ทำให้ตนเดือดร้อนต้องหนีมาพึ่ง แป๊ะงั้นก็โกรธ จึงวางยาพิษโป้ยก่ายซัวเจ๋งและพระถังเสียอาเจียนจนสลบไป รอดแต่เห้งเจียซึ่งเฉลียวทัน

    เห้งเจียจึงชักตะบองวิเศษออกสู้รบกับปีศาจพันตาเป็นโกลาหล ก็มิอาจเอาชนะได้ มิรู้จะทำประการใด จึงไปเชิญหญิงวิเศษชื่อไผ้นาฝอ มารดาของเบ้ายิดแชกุน(ดาวลูกไก่) มา นางไผ้นาฝอใช้อาวุธของเบ๊ายิดแชกุนคือเข็มวิเศษทำด้วยแก้วตา(คล้ายกับตะบองวิเศษของเห้งเจีย)เข้าแก้ไขพระถังกับศิษย์ออกมาได้

    ฝ่ายเห้งเจียได้ทีก็ใช้ตะบองวิเศษตีปีศาจแมงมุมทั้ง ๗ จนตายสิ้น เมื่อจะฆ่าปีศาจแป๊ะงั้นหม้อกุนมันก็กลับกลายเป็นตะขาบใหญ่ ไผ้นาฝอก็ร้องขอชีวิตมันไว้เพื่อนำไปเป็นคนเฝ้าประตูที่สำนักของนาง เห้งเจียก็ไว้ชีวิต ไผ้นาฝอก็จูงตะขาบไป

    เห้งเจียจึงจุดไฟเผาสำนักอึ้งฮวยก๊วนเสียสิ้น แล้วนำทางคณะมุ่งสู่ไซทีต่อไป...




    [​IMG]




    รูป : (หัวเราะ) ท้าวพันตาน่ะ อาจารย์ถอดมาจากรามายณะได้ไม่เลวเลย

    นาม : เอาละ เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่ปีศาจแมงมุม ๗ ตนนั่นทำไมดันมาเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับท้าวพันตาได้ ?

    โหงว :ก็แป๊ะงั้นหม้อกุนคืออะไรเล่า...?

    รูป : มันอยู่สำนักอึ้งฮวยก๊วน มีลำห้วยไหลริน...?

    นาม : ถ้าอย่างนั้นปีศาจตะขาบนี่ต้องเป็นธรรมะประเภทเดียวกับมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ

    รูป : แกรู้ได้อย่างไร ?

    นาม : ห้วยน้ำไหลของเห้งเจียสมัยที่ยังเถื่อนอยู่ที่ถ้ำจุ๊ยเลี่ยมต๋อง คือมิจฉาทิฏฐิ ห้วยน้ำไหลของอั้งฮั้ยยี้สมัยที่ยังเป็นปีศาจที่ฮ้วยหุ่นต๋อง คือมิจฉาสังกัปปะ เพราะฉะนั้น ที่นี่คือมิจฉาสติ

    รูป : จริง มันจึงเป็นศิษย์ผู้พี่ของนางปีศาจแมงมุมทั้ง ๗ เพราะมิจฉาสติเป็นพี่ใหญ่ของอกุศลเจตสิก คืออหิริกะ(ไม่ละอายต่อบาป) อโนตตัปปะ(ไม่สะดุ้งกลัวต่อบาป) ทิฏฐิ มานะ โลภะ และโมหะ

    นาม : ปีศาจนี้มีพันตา หมายถึงว่ามันจ้องที่จะฟุ้งซ่านอยู่แต่ในกิเลสจนพูดได้ว่ามีตาตั้งพัน คอยแต่จะจ้องยินดี - ยินร้าย

    โหงว :ทีนี้ ไผ้นาฝอ มารดาของเบ๊ายิดแชกุนล่ะ ?

    รูป : คือสัมปชัญญะ

    นาม : แกรู้ได้อย่างไร ?

    รูป : โธ่ เบ๊ายิดแชกุน คือไก่ที่เคยขันขึ้น แล้วนางปีศาจแมงป่องตาย นี่มิใช่สติหรือ ทีนี้มารดาของสติก็คือสัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอในการก้าว การนั่ง การเดิน การดื่ม ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของการมีสติ

    นาม : แล้วทำไมให้ไผ้นาฝอยืมเข็มวิเศษจากเบ๊ายิดแชกุนลูกชายมาช่วยเห้งเจีย และเข็มนั่นเหมือนกับตะบองยู่อี่เสียด้วย ?

    รูป : เซ่อไปได้ เข็มวิเศษทำด้วยแก้วตา ก็คือโยนิโสมนสิการ - การกระทำในใจไว้โดยแยบคาย หรือคือการเฝ้าดูเฝ้าพินิจด้วยโยนิโสมนสิการนั้นต้องประณีตประดุจเข็มทำด้วยแก้วตา นั่นล่ะคือจักษุของชีวิตล่ะ ผู้มีโยนิโสมนสิการดีแล้ว จะหลุดพ้นจากทุกข์ได้ มันเป็นอาวุธวิเศษ

    นาม : แหม แกนี่ไม่เลวเลย ทีนี้เห้งเจียตีนางปีศาจแมงมุมทั้ง ๗ วินาศล่ะ?

    รูป : โธ่ อ้ายเซ่อ...มีปัญญา มีสัมปชัญญะ มีสติในการเฝ้าดูด้านในอย่างแยบคาย(โยนิโสมนสิการ)แล้ว อกุศลเจตสิกก็พินาศไปเองน่ะสิ

    นาม : แล้วแป๊ะงั้นหม้อกุนไหงกลายเป็นตะขาบไปฉิบ...?

    รูป : นั่นน่ะสิ แล้วไผ้นาฝอยังขอไปเฝ้าประตูสำนักเสียอีก ?

    นาม : มิจฉาสติคือปีศาจ...........อวดอำนาจกำแหงหาญ
    พันตาบ้าฟุ้งซ่าน..............อกุศลผุดดุจฝุ่นฝอย
    โหงว :มนสิการโดยแยบคาย.......กิเลสมลายลงผลอยผลอย
    ให้สติต่อทยอย.................ดุจตะขาบเลื้อยเจื้อยเจื้อยมา
    รูป : ครั้นเจตสิกบริสุทธิ์............พระถังผุดฟื้นชีวา

    โหงว :ต่อแต่นี้สามผีบ้า...............คือตัณหาของพระพุทธ

    นาม : โอ๊ย...อาจารย์วานลงนรก.......

    รูป : ตกอบาย อย่าได้ผุด

    นาม : น้ำทองแดงเดือดปุดปุด.........

    โหงว :ตกก็ช่าง ฟังให้ดี



    (จบบทที่ ๓๕ โปรดติดตามตอนต่อไป...)
     
  16. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    บทที่ ๓๖

    มูลของอุปกิเลส - ทิฏฐิ มานะ ตัณหา

    เวลานั้นสิ้นสุดฤดูร้อนเริ่มย่างเข้าฤดูฝน พระถังและสานุศิษย์รอนแรมไปจนบรรลุถึงภูเขาไซท่อซัว ณ ถ้ำ ไซท่อต๋อง เป็นที่พำนักของปีศาจยักษ์ร้ายกาจ ๓ ตน มีบริวารที่มีชื่อนับได้ ๘๔,๐๐๐ ตน ที่ไม่มีชื่ออีกนับไม่ถ้วน
    ๓ ปีศาจแยกกันอยู่คนละเขตแดน แต่มักมาชุมนุมกันที่ถ้ำไซท่อต็อง ปีศาจไต้อ๋องตนแรกมีฤทธิ์แปลงกายได้สารพัด เคยขึ้นไปรุกถึงสวรรค์กลืนกินเทวดาเสียหลายสิบหมื่น

    ปีศาจไต้อ๋องตนที่สอง รูปงามจมูกยาว อาจยื่นจมูกไปม้วนรัดศตรูได้
    ปีศาจไต้อ๋องตนที่สาม มีปีก อาจกระพือปีกให้หวั่นไหวไปทั้งมหาสมุทรได้
    แล้วยังมีขวดวิเศษ "อิมเอียงยี่ขี่เพ้ง" ที่อาจจะเรียกใครลงไปแล้วละลายร่างจนกลายเป็นน้ำเลือดหมด

    ฝ่ายเห้งเจียทราบถึงฤทธิ์ร้ายของขวดวิเศษนี้แล้ว ให้นึกครั่นคร้ามยิ่งนัก จึงให้โป้ยก่าย ซัวเจ๋ง อยู่รักษาอาจารย์ ตัวเองแปลงกายเข้าไปสอดแนมในถ้ำ แต่กลับเสียทีปีศาจ ถูกจับตัวไว้ได้ ปีศาจสั่งให้สมุนผี ๓๖ ตน หามขวด "อิมเอียงยี่ขี่เพ้ง"มา อันขวดนั้นบรรจุด้วยธาตุโป๊ยก่วยทั้ง ๘ และไออากาศอีก ๒๒ ในขวด มีงูพิษ ๔๐ ตัวกับมังกรไฟ ๓ ตัว ปีศาจไต้อ๋องสั่งให้จับเห้งเจียยัดลงในขวด เห้งเจียก็กระชากงูในขวดจนขาดออกเป็นสองท่อนทั้ง ๔๐ ตัว แต่มังกรไฟทั้ง ๓ นั้นพิษร้ายแรงเหลือทน จึงได้ถอนขนคุ้มตัวที่กวนอิมมอบไว้ให้ใช้เมื่อคราวจำเป็นออกมาใช้ จึงรอดจากขวดมฤตยูนั้นมาได้

    เห้งเจียหนีรอดไปได้แล้ว ก็ไปตามโป้ยก่ายมาช่วยกันรบกับปีศาจ ปีศาจตนที่หนึ่งกลืนเห้งเจียลงในท้อง เห้งเจียก็เตะถีบบี้จี้ไส้พุงจนปีศาจต้องยอมแพ้ และร้องขอให้ปีศาจน้องทั้งสองให้ยอมแพ้ด้วย จากนั้นก็วางแผน อุบายอาสาหามพระถังขึ้นเสลี่ยงไปส่งให้พ้นเขตเมืองไซท่อก๊กนี้

    เห้งเจียกับพระถังก็หลงเชื่อปีศาจ ให้พระถังขึ้นนั่งเสลี่ยงที่หามโดยสมุนปีศาจ ๘ ตน สมุนผีอีก ๘ นำหน้าขบวน ร้องตวาดเบิกทาง รวมสมุนปีศาจทั้งหมด ๑๖ ตน

    เมื่อขบวนผ่านเข้าเขตเมืองไซท่อก๊ก อันเป็นที่พำนักของปีศาจตนที่ ๓ ปีศาจทั้งหมดก็เข้ารุมรบกับเห้งเจีย โป้ยก่ายซัวเจ๋ง สมุน ๑๖ ตนที่หามเสลี่ยงอยู่ก็พากันแบกพระถังวิ่งเข้าเมือง พร้อมทั้งจูงม้าและข้าวของไปขังไว้

    ปีศาจที่หนึ่งอ้าปากคาบโป้ยก่ายได้ ปีศาจที่สองเอางวงรัดซัวเจ๋ง เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงตีลังกาหนีไปในอากาศอย่างรวดเร็ว แต่ก้หาพ้นฤทธิ์ของปีศาจที่สามไม่ มันกางปีกออกบินตามไปโฉบจับเห้งเจียมาจนได้

    สามปีศาจสั่งให้สมุนผี ๑๐ ตัวจับพระถังกับศิษย์ตุ๋นด้วยหม้อนึ่งใบใหญ่ทั้งคืน เพื่อจะกินเนื้อในวันรุ่งขึ้น เห้งเจียเป่ามนต์กันร้อนไว้ได้ แล้วเสกตัวหนอนหาวนอน ๑๐ ตัวไปชอนไชรูจมูกสมุนผีทั้ง ๑๐ จนมันเคลิ้มหลับไปสิ้นเห้งเจียจึงแก้พระถังกับพี่น้องออกมาได้ แต่ก็กลับถูกปีศาจรวบจับไปใส่ตู้เหล็กไว้อีก รอดมาได้แต่เห้งเจีย

    เห้งเจียมิรู้จะทำประการใด จึงหกคะเมนไปในอากาศ ไปหาพระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊ว กราบทูลเรื่องความทุกข์ยากของพระถังซัมจั๋งให้ฟัง พระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊วทรงเล่าให้เห้งเจียรู้ว่า ที่แท้ปีศาจไต้อ๋องที่หนึ่งนั้นเป็นสิงห์พาหนะของพระบุ้นซู้โพธิสัตว์ ปีศาจไต้อ๋องที่สองคือช้างเผือกของพระเพ้าเหี้ยนโพธิสัตว์ ส่วนปีศาจไต้อ๋องที่สามตัวร้ายกาจนั้นคือนกอินทรีร้ายลูกของพญาหงส์ผู้เป็นจอมแห่งสัตว์ปีก นกอินทรีนี้มีน้องคือนกยูง

    พระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊วทรงเล่าให้เห้งเจียฟังว่า ก่อนสมัยที่พระองค์จะตรัสรู้ นกอินทรีตัวนี้ได้กลืนพระองค์ลงไปในท้อง พระองค์จึงพุ่งทะลุขึ้นกลางหลังมัน ขี่หลังบังคับให้ไปยังเขาเล่งซัวเพื่อลงโทษ แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงห้ามปรามว่า หากฆ่านกอินทรีนี้ก็เท่ากับฆ่าพุทธมารดา จึงทรงขนานนามมันว่ามหาราชาแห่งนกผู้เป็นที่มาแห่งพุทธมารดา

    พระยูไลจึงเสด็จจากวัดลุยอิมยี่ พร้อมด้วยพระบุ้นซู้โพธิสัตว์ พระเพ้าเหี้ยนโพธิสัตว์และเห้งเจีย เหาะตรงมายังเมืองไซท่อก๊ก พระบุ้นซู้โพธิสัตว์ กับพระเพ้าเหี้ยนโพธิสัตว์สามารถปราบปีศาจไต้อ๋องที่หนึ่งและที่สองได้ มันก็กลับกลายเป็นสิงห์และช้างพาหนะเดิมของเจ้าของ

    ฝ่ายปีศาจไต้อ๋องที่สามคือนกอินทรีนั้น หายอมแพ้แต่โดยดีไม่ พระยูไลต้องเนรมิตก้อนเนื้อแดง ๆ ล่อไว้บนพระเศียร ปีศาจอินทรีสำคัญว่าเป็นอาหารก็บินโฉบลงมาจิก พระยูไลจึงรวบจับขาทั้งสองข้างของมันไว้ มันจึงยอมแพ้ จากนั้นพระยูไลและพระโพธิสัตว์ทั้งสองต่างขับขี่พาหนะของตนเหาะกลับไปยังเขาเล่งซัว

    เห้งเจียจึงเข้าไปแก้ไขพระถังและพี่น้องออกจาตู้เหล็กได้ เลี้ยงอาหารกันอิ่มหนำสำราญแล้ว เห้งเจียก็กุมตะบองวิเศษออกนำหน้าขบวน โป้ยก่ายตามหลัง ซัวเจ๋งจูงม้าที่พระถังขี่ พร้อมทั้งหาบสัมภาระต่าง ๆ

    ศิษย์และอาจารย์บ่ายหน้าไปทางไซทีต่อไป.............




    [​IMG]




    รูป : ปีศาจไต้อ๋องที่หนึ่งคือสิงห์ อ้าปากกลืนพรหมโลก...คืออะไรรึแก?

    นาม : คืออุปกิเลส ชื่อมานะ

    รูป : ปีศาจที่สองคือช้างเผือก ใช้งวงรัดศตรูให้พ่ายแพ้ ?

    นาม : คืออุปกิเลสที่ชื่อ ทิฏฐิ

    รูป : ปีศาจที่สามคือนกอินทรีขยับปีกกระเทือนทั่วมหาสมุทร เห้งเจียก็หนีไม่พ้น...?

    นาม : คืออุปกิเลสชื่อตัณหา.มานะ ทิฏฐิ ตัณหา คือมูลรากของอุปกิเลสที่เคยกล่าวแล้วในบทก่อน ๆ

    รูป : ขวด "อิมเอี๋ยงยี่ขี่เพ้ง" ที่เป็นอาวุธวิเศษของตัณหาประกอบด้วยธาตุโป้ยก่วย ๘ และไออากาศ ๒๒ มีงูพิษ ๔๐ ตัว มังกรไฟ ๓ ตัวเล่า หมายความว่าอย่างไร ?

    นาม : อาวุธวิเศษของ "ตัณหา" (อินทรียักษ์)คือขั้วบวก-ลบ, หยิน - หยาง อำนาจของฟ้าดิน มี นันทิราคะ- ความเพลินใจในอารมณ์ทั้งหลายอันประกอบด้วยโลกธรรม ๘ (ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์) คือธาตุโป๊ยก่วย มังกรไฟ ๓ คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เพลินไปในตัณหานี้แล้วจะร้อนดุจมังกรพ่นไฟ

    รูป : ไออากาศ ๒๒ งูพิษ ๔๐ เล่า

    นาม : จนจริง ๆ ครับ อาจารย์ช่วยด้วย

    โหงว : ?

    รูป : เอ้า...ค้างไว้ก่อน เฉลยต่อซิว่า "ขนคุ้มตัว" คืออะไร ?

    นาม : สติในสุญญตา คือขนคุ้มตัวรอดทุกคราวไป

    รูป : มานะ - ปีศาจไต้อ๋องที่ ๑ กลืนเห้งเจียลงในท้อง กลับถูกบิดไส้ล่ะ ?

    นาม : ปัญญาบีบมานะให้หันมายอมแพ้ และให้มีมานะในทางใหม่คือ มานะในการเดินทางต่อไปยังไซที

    รูป : (หัวเราะ)...แต่มันหายอมง่าย ๆ ไม่ กลับเป็นมานะของปีศาจ แม้จะมีท่าทีว่าปฏิบัติธรรมอยู่ ใช่ไหม ?

    นาม : ใช่ มันเสแสร้งเป็นมานะที่เชื่อง แบกขันติ(พระถัง)พาไปสู่เมืองของทิฏฐิ และส่งไปยังตัณหา...

    รูป : ปีศาจสมุน ๘ ตนหามเสลี่ยง อีก ๘ นำขบวนร้องตวาดเบิกทาง โอ้โฮ พระถังผู้ทรงเกียรติ แต่ว่า อนิจจา เป็นเสลี่ยงผี ๑๖ ตนนำไปสู่เมืองตัณหา

    นาม : อุปกิเลส ๑๖ สมุนผีหามเสลี่ยง คือกิเลสประจำวันที่เป็นดอกตูมของกิเลส ซึ่งแจกออกมาจาก มานะ ทิฏฐิ ตัณหา นั่นเอง คือ [​IMG]
    อภิชฌาวิสมโลภะ - โลภเพ่งอยากได้
    โทสะ - ครุ่นพยาบาท
    โกธะ - โกรธ
    อุปนาหะ - ผูกโกรธ
    มักขะ - ลบหลู่คุณท่าน
    ปลาสะ - ตีตนเสมอท่าน
    อิสสา - ริษยา
    มัจฉริยะ - ตระหนี่

    ปีศาจ ๘ นี้ร้องตวาดเบิกทางขบวนเสลี่ยง
    มายา - เสแสร้งมารยา
    สาเถยยะ - โอ้อวด ตอแหล ขี้คุย
    ถัมภะ - หัวดื้อ หัวรั้น
    สารัมภะ - บิดพลิ้ว ดันทุรัง
    มานะ - หยิ่งยโส ยกตน
    อติมานะ - หยิ่งยโสจนข่มผู้อื่นเข้า
    มหะ - มัวเมา
    ปมาทะ - ประมาท
    รูป : เป็นอันว่า ขึ้นวอเข้าเมืองตัณหา ปีศาจที่ ๑ กลืนโป้ยก่าย ไต้อ๋องที่ ๒ เอางวงรัดซัวเจ๋ง ไต้อ๋องที่ ๓ ขยุ้มจับเห้งเจีย หมายความว่าอย่างไร ?

    นาม : มีศีลยิ่งเพิ่มมานะ แก่สมาธิเพิ่มทิฏฐิ มีปัญญาก็หาพ้นตัณหาได้ไม่

    รูป : (หัวเราะ) ว่าไปขุ่น ๆ งั้นเองแหละน่า...

    นาม : ไปไหนมาอาจารย์ ผมติดปัญหา เฉลยไม่ได้...

    โหงว : ฮือ เอาเป็นว่า มานะ ทิฏฐิ ตัณหา รวบจับปัญญา ศีล สมาธิ ขันติ วิริยะได้สิ้นก็แล้วกัน

    รูป : แต่ที่แท้ มานะ ทิฏฐิ ตัณหานี้ คือสิงห์พาหนะของพระโพธิสัตว์บุ้นซู้(มัญชุศรี) ช้างเผือกพาหนะของพระเพ้าเหี้ยนโพธิสัตว์ และนกอินทรีของพระเซ็กเกียมองนี่ฮุดโจ๊ว

    โหงว : อุปกิเลสคือโพธิ.............ที่ปัญญาไม่จ้าฉาน
    พอเห็นกลับเป็นยาน.......ขี่กิเลสโลด โปรดประชา
    นาม : ไฉนว่าฆ่าอินทรี..............คือประหารพระมารดา
    แห่งพระพุทธสุดสงกา.....อาจารย์จะตกหมกโลกันต์
    รูป : ชักเลอะใหญ่ ตัณหาเป็นสิ่งควรละ กลับแต่งว่าขืนละตัณหาชนิดนี้เท่ากับฆ่าพระพุทธมารดาไปได้...?

    โหงว : ตัณหานั้นคือความอยาก ถ้าอยากด้วยอวิชชา จึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ ส่วนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่หลุดพ้นจากกิเลสแล้วท่านยังมีพลังแห่งเมตตา คือ มีความอยากที่ประกอบด้วยวิชชาในการโปรดสัตว์ ท่านอยากให้สัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์ นี่แหละคือตัณหาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นที่มาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หากท่านขวนขวายในการโปรดสัตว์น้อย ท่านจะทรงเป็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงมหากรุณาได้อย่างไรกันเล่า การฆ่าตัณหาชนิดนี้ จึงเท่ากับฆ่าพุทธมารดาผู้ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าทีเดียว

    รูป : แต่งหวาดเสียวเฉี่ยวจะตก.....นรกหนาอาจารย์ฉัน

    โหงว : ตอนต่อไปน่าใจสั่น................พระจริงนั้น "ไม่มีใจ"!

    นาม : !!?

    รูป : !!?



    (จบบทที่ ๓๖ โปรดติดตามตอนต่อไป...)

     
  17. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    <TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">บทที่ ๓๗

    ภิกษุต้อง "ไม่มีใจ"

    พระถังและศิษย์เดินทางรอนแรมไปจนถึงเขตเมืองปี๊เบียก๊ก(เมืองภิกษุ) แต่ขณะนั้น ชาวเมืองได้เปลี่ยนชื่อเป็น เมืองเซี้ยวจื๊อก๊ก เพราะเหตุที่พระราชาได้สนมเอกธิดาของปีศาจที่แปลงมาเป็นเต้าหยินเชียงก๊ก พระราชาทรงหลงใหลในเมถุนที่นางสนมเอกบำเรอ จนซูบผอมเกิดโรคร้ายขึ้น เฒ่าเชียงก๊กจึงบอกยารักษาโรคที่ต้องใช้น้ำกระสายที่ทำจากตับเด็ก ๑,๑๑๑ ตับ ทั้งนี้ปีศาจจะกินตับเด็ก ประชาชนต้องถูกบังคับให้นำบุตร - ธิดา มาใส่กรงห่าน ตั้งไว้หน้าบ้าน เพื่อรอเวลาฆ่าเอาตับ

    เมื่อพระถังทราบถึงปัญหาของชาวบ้านเฃแล้ว เวทนาสงสารเด็ก ๆ ยิ่งนัก จึงขอให้เห้งเจียช่วยเหลือ เห้งเจียจึงบันดาลให้มีลมพัด มาหอบกรงห่านที่บรรจุเด็กเหล่านั้นไปซ่อนไว้ในป่า แล้วพระถังพร้อมด้วยลูกศิษย์ ก็เข้าเฝ้าพระราชาเพื่อขอตราประทับหนังสือผ่านเมือง

    ในขณะนั้น เฒ่าเชียงก๊กเห็นว่าพระถังเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ก็กล่าวคำสบประมาทคำสอนของพระพุทธเจ้าต่าง ๆ นานา แล้วแสร้งเพ็ดทูลพระราชาว่า หากใช้หัวใจดำของพระถังเป็นน้ำกระสายแทนตับเด็กแล้ว อายุจะยืนนับหมื่นปี พระราชาทรงยินดียิ่งนัก จึงกล่าวขอหัวใจกับพระถัง

    ฝ่ายเห้งเจียเห็นมิเป็นการ จึงร่ายมนต์จำแลงตนเองเป็นพระถัง กำบังพระถังให้เป็นเห้งเจียแล้ว พระถังเก๊ก็แสดงความยินดีที่จะมอบหัวใจถวายพระราชา ครั้นแล้วพระถังจำแลงก็ใช้มือแหวกหน้าอกให้ทุกคนในที่นั้นดู แต่หามีใจที่ปีศาจต้องการไม่ (คือว่าเห้งเจียนั้น ไม่มีใจ)

    เมื่อเห้งเจียแหวกอกให้ดูแล้วก็กลับร่างเข้าสู่ร่างเดิม ชักตะบองวิเศษออกไล่ฆ่าปีศาจเชียงก๊ก ปีศาจรุดหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ถ้ำเชงฮั้วต๋อง ที่มีห้วยน้ำใสสะอาดและมีดงสน

    เห้งเจียกับโป้ยก่ายก็เหาะตามปีศาจมาหมายจะฆ่าเสียให้ตาย เห้งเจียค้นพบประตูกลแล้ว ประตูถ้ำก็เปิด เห้งเจียก็มองเห็นเฒ่าเชียงก๊กกำลังนั่งกอดธิดาสาวอยู่ จึงเข้าสู้รบกันโกลาหล ในขณะนั้น โป้ยก่ายก็เอาคราดเก้าซี่สับต้นสนต้นใหญ่ มีโลหิตคนไหลออกมา โป้ยก่ายก็พูดขึ้นว่า " ต้นสนนี้นานปีเข้ามักกลายเป็นปีศาจ"

    ฝ่ายเห้งเจียสู้รบกับเชียงก๊ก ครั้นพอได้โอกาสก็ใช้ตะบองทุบธิดาสาวเสียแหลกเหลว ร่างกลับกลายเป็นเสือปลาขาว ในขณะที่เห้งเจียจวน ๆ จะฆ่าปีศาจเชียงก๊กนั้น เทพเจ้าประจำดาวน่ำก๊กลิ้วแชได้เหาะมาทันและร้องขอชีวิตไว้ บอกว่าปีศาจนั่นคือกวางขาว พาหนะของตน เห้งเจียก็ไว้ชีวิต แล้วชวนโป้ยก่ายเหาะกลับเมืองปี๊เบียก๊ก แล้วไปนำเด็ก ๆ ที่ซ่อนไว้ในป่ากลับมาคืนบิดามารดา พระราชาก็หายประชวร ชาวเมืองก็สักการะคณะเดินทางไปไซทียิ่งนัก

    ทั้งหมดถวายบังคมลาพระราชาแล้วออกเดินทางมุ่งสู่ไซทีต่อไป..................



    [​IMG]



    นาม : ปีศาจเชียงก๊ก อาศัยอยู่ในถ้ำเชงฮั้วต๋อง มีห้วยน้ำใสสะอาดมีดงสน...

    รูป : ดงสนที่นานวันเข้าจะกลายเป็นปีศาจ

    นาม : ต้นสนคือ ความสุขที่เป็นสุขของกิเลส จึงยิ่งสุขนานเข้าจะกลายเป็นปีศาจฉุดชีวิตไว้

    รูป : ปีศาจเชียงก๊กกับธิดาสาวคืออะไร ?

    นาม : มิจฉาอาชีโว - อาชีพผิด อาชีพชั่ว

    รูป : อาชีพผิด อาชีพชั่ว แล้วจะสุขได้หรือ ?

    นาม : เป็นภิกษุ หรือฆราวาสมีอาชีพผิด อาชีพชั่วก็เป็นสุขของกิเลสน่ะสิ

    รูป : โป้ยก่ายเอาคราดเก้าซี่สับต้นสนใหญ่พินาศล่ะ ?

    นาม : ศีลของภิกษุ คือ สังฆคุณ ๙ นั่นล่ะ จะมาทำลายความสุขจอมปลอมให้หายไป

    รูป : เห้งเจียฆ่าธิดาปีศาจ ?

    นาม : ปัญญาก็ฆ่าอาชีพผิด อาชีพชั่ว ที่เป็นพระเพียงเพื่อใช้จีวรคลุมกายแสวงหาความสุขให้แก่กิเลสน่ะซี

    รูป : นี่คืออาชีพผิด อาชีพชั่ว เอาจีวรบังหน้า ดุจดังเสือปลา...

    โหงว : เห้งเจียไว้ชีวิตกวางขาวล่ะ ?

    นาม : เพราะว่าสัมมาอาชีโว คืออาชีพชอบที่อุปมาด้วยกวางขาว เป็นพาหนะของชีวิตทางธรรม

    รูป : (หัวเราะ) แล้วตอนเห้งเจียแหวกอก เหมือนรามเกียรติ์ตอนหนุมานฉีกอกให้ทศกัณฐ์ดูว่ามีแต่สีดากับพระราม อาจารย์กลับแต่งให้เห้งเจียมีแต่ใจชนิดที่ผีไม่ปรารถนา

    นาม : ใช่ซี ภิกษุผู้มีปัญญาเป็นพระจริงนั้นต้องไม่มีใจ คือใจที่ปราศจากสิ่งทุกสิ่ง ใจที่ไร้ใจ ไร้กิเลส ไร้ทุกสิ่ง

    โหงว : ด้วยเหตุที่ภิกษุ "ไม่มีใจ" จึงฆ่ามิจฉาอาชีโวเสียได้ คือกลับเป็นผู้มีอาชีพชอบ

    รูป : อาจารย์ไม่กลัวตกนรกบ้างหรือครับ แต่งพิเรนอย่างนี้ ?

    โหงว : ตกก็ตก

    นาม : ทีนี้ขอฟังเรื่องปีศาจ..........ตัวฉกาจเถิดอาจารย์

    โหงว : เอ้า...ผีสาวจากบาดาล.....ต้องการน้ำกระสายยา
    จำเพาะน้ำสัมภวะ...........ของพระถังนั่นเทียวหนา
    รูป : โอ๊ย ผีจัญไร เล่นบ้าบ้า

    นาม : สัปดนเสียจริงจริ๊ง



    (จบบทที่ ๓๗ โปรดติดตามตอนต่อไป...)





    ** คัดจาก "เดินทางไกลกับไซอิ๋ว" โดย "เขมานันทะ" หน้า ๒๑๑ - ๒๑๕ )
    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR><TR><TD class=smalltext id=modified_5879 vAlign=bottom></TD><TD class=smalltext vAlign=bottom align=right>[​IMG] บันทึกการเข้า </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. หนึ่ง99999

    หนึ่ง99999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,369
    ค่าพลัง:
    +1,922
    ยังมีให้อ่านต่อครับเดียวจะลงให้อีกครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...