ใครอยากได้ ฌาน เชิญ ท่างนี้ครับ

สมาธิ จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวข้องกับท่าทางครับ
จะนั่งพิง จะนอน ก็เข้าสมาธิได้
พระอริยะที่ฤทธิ์มาก จะหกคะเมนตีลังกาอยู่ ก็เข้าฌานได้ทันทีครับ
ถ้าอินทรีย์ยังไม่แข็งแรง เริ่มนั่งสมาธิจากการนั่งพิงหลังก็ได้ครับ ไม่ได้ผิดอะไร

 

อย่าให้เรื่องการนั่งพิงหลังได้ หรือ ไม่ได้ ปิดบังการเข้าถึงฌานของผู้อื่นเลยครับ

 

ขอบคุณครับสำหรับคำแนะนำ แต่การสวดมนต์ ก็เข้า ณานได้เหมือนกันนะครับ
ผมเลยแนะนำวิธีง่ายๆ กอนครับ

 

คือ สบายในที่ นี้ ไม่ได้หมายถึงว่า สบาย แล้วไม่ใช่สมาธินะครับ
คือ เมื่อ ไม่ต้องไปกังวล อาการปวดหลังปวดไหล่ รู้สึกว่ามันเป็นธรรมาชาติไม่มีอาการปวด จิตก็รวมเป็นสมาธิ ไวอ่ะครับ ผมก็เรื่อยๆ ไม่ได้หวังอะไร แค่ทำแล้ว จิตสงบเป็นสมาธิ แล้วรู้สึกดีแค่นั้น เอง ครับ

 

คำว่า "จริต" ในที่นี้หมายถึงสภาวะจิตของคนตามธรรมชาติจากการแบ่งจริตมนุษย์เป็น ๖ ประเภทใหญ่ๆ

1.ราคะจริต คือสภาวะจิตที่หลงติดในรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสจนเป็นอารมณ์

2.โทสะจริต หรือสภาวะจิตที่โกรธง่าย ฉุนเฉียวง่าย เพียงพูดผิดสักคำ ได้เห็นดีกัน

3.โมหะจริต หรือจิตที่มักอยู่ในสภาพง่วงเหงาหาวนอนหรือซึมเศร้าเป็นอาจิณ

4.วิตกจริต หรือสภาวะจิตที่กังวล สับสนและวุ่นวายฟุ้งซ่านแทบทุกลมหายใจ

5.ศรัทธาจริต คือสภาวะจิตที่มีปรัชญาหรือหลักการของตัวเองและพยายามผลักดันให้ตัวเองและผู้อื่นบรรลุถึงจุดหมายนั้น

6.พุทธิจริต คือสภาวะจิตที่เน้นการใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง คิดหาเหตุหาผลมาแก้ปัญหาต่างๆในชีวิต ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน รวมทั้ง มีความสนใจ เรื่องการยกระดับและพัฒนาจิตวิญญาณ

 

ขอโทษทีครับ พอดีติดตามอ่านอยู่ เห็นมีกล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องสติด้วย
ไหน ๆก็เชิญชวนคนเข้ามาอ่านแล้ว ขออ่านแบบสบาย ๆ สายตานิดนึง
พิมพ์เสร็จแล้ว รบกวนคุณ ตรวจทานข้อความก่อนส่งด้วยนะครับ
ตัวอักษรตกหล่นเยอะครับ ผมเองเวลาจะอ่านก็มักจะใช้สติอ่านในทุกตัวอักษร
เลยขอแจ้งมา ณ ที่นี้ ( ไม่มีเจตนาร้ายใด ๆ อาจจะผิดที่ผมเอง ที่ใช้สติ สมาธิ มากไป)

 

ทาน

อันว่าทาน ที่เราท่าน ทำกันอยู่
อยากให้รู้ มันมีคู่ อยู่จะสอน
อย่างแรกนั้น ทานของท่าน จะบั่นทอน
สิ่งเศร้าหมอง ไม่น่ามอง ออกจากใจ

อีกผ่านหนึ่ง คือผู้ซึ่ง รับเอาอยู่
ต้องควรคู่ และต้องรู้ คุณเจ้าของ
ทานเขานั้น ที่เราท่าน เอามาครอง
ต้องสะนอง ตามครรลอง จำสอนใจ

ขอผลบุญ จงช่วยหนุน ใจท่านเถิด
สิ่งดีเลิส ให้บังเกิด พร้อมมรรคผล
พูลพิพัฒน์ ด้วยสมบัติ อย่าอับจน
พบทางพ้น ที่ทุกคน จะต้องไป

ของหลวงพี่น้อย ท่าน เขียนมาให้ผมอ่านตอนผมบวช อยู่ครับ

 

ศีล
สีเลนะ สุคติ ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา
สีเลนะ นิพพุติง ยังติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย

ศีล ๕ อย่าให้ขาด อย่าให้คลาด จากหัวใจ
พกติด กับตัวไว้ ที่หัวใจ ทุกคืนวัน
ให้รัก เสียยิ่งกว่า ชีวิตหนา ชั่วนิรันดร์
อย่างนี้ ไม่ไหวหวั่น จะพบธรรม นำสุขใจ

ศีล ๘ ก็ดั่งว่า อย่าหย่อนกว่า ๕ แล้วกัน
ต้องอด ทนกว่านั้น มากกว่ากัน ยิ่งขึ้นไป
ศีล ๑๐ ยิ่งถ้วนถี่ ยิ่งกว่านี้ จงเข้าใจ
แล้วจะ พบความใน ธรรมมะไซร้ ในใจเอย

เริ่มแล้ว อย่าได้หยุด อย่าได้ทรุด ลงข้างทาง
ทำดี ไม่หนีห่าง สิ่งกีดขวาง จะจางไป
ทำไป ให้มันสุด ก็จะหลุด จงตั้งใจ
เส้นชั้ย อยู่ไม่ไกล อย่าหวั่นไหว นะใจเอย

ของหลวงพี่น้อย ท่าน เขียนมาให้ผมอ่านตอนผมบวช อยู่ครับ

 

กอนที่ผมจะอุปสมบท ประมาน 7 วัน มีคนมากระซิปข้างหู ว่าให้ไปที่วัด แต่ตอนนั้นผมยังไม่เก่งเรื่องสมาธินะครับ ผมก็เดินไปที่วัด ไปหา พระอุปัชฌาย์ อยู่ดีดี ก็ไปบอกหลวงพ่อว่าหลวงพ่อครับผีเข้าครับช่วยด้วยครับ หลวงพ่อท่าน ก็ให้กล้วยปิ้ง มา 1 หวี ให้ผมกินพอกินเส็ด หลวงพ่อก็ให้สวดมนต์ จุด ธูป ปกติ จะ หยิบธูป 3 ดอก แต่ดันหยิบธูปมา 5 ดอก บังคับ ตัวไม่ได้เหมือนโดนคนอื่นสั่งให้ทำนั้น นี้ โน้น
หลวงพ่อท่านบอกมาให้เปิดหน้าไหนสักหน้านิละแล้วเปิด แต่ยังไง ก็ไม่เจอจำไม่ได้ว่าหลวงพ่อบอกหน้าไหน เปิดไปก็เจอแต่ คาถาต่อกระดูด คาถาผูกจิตร คาถาพ่นตาแดง ฯลฯ สุดท้าย ก็ท่อง นะโม 3 จบ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา ฯลฯ พอเส็ด หลวงพ่อท่านเดินไป ข้างนอกกุฏิ หลวงพ่อบอก จะปิดไหม อยู่ดีดี ผมก็บอกเองเลยว่าปิดเลยครับ ปิดเลย มันกำลังจะมาแล้วครับหลวงพ่อ ล๊อกเลยกุฏิด้วยครับ ฯลฯ หลวงพ่อก็ถามว่าล๊อกเลยนะ ท่านก็เดินออกไป เส็ด คราวนี้มาเลยครับ บังสุกุลเป็น บังสุกุลตาย มาในหูเลยครับ แล้วก็ นอน เหมือนอยู่ใน โรงศพ ทำอะไรไม่ได้เลย ขยับ ไปไหนไม่ได้เลย
เหมือนโดนใครคุมจิตร อยู่ครับ (เหมือนตายทั้งเป็น) อีกอย่าง ผมสักยันต์ ไว้ด้านหลัง มี ยันต์พญาเต่า จิ้งจก
แล้วก็ปู่ ฤาษีเดินดง ฯลฯ (แต่ตอนนี้ไม่ยึดติด ด้านนี้แล้วนะครับ คือปล่อยวางแล้ว)

ตอนนี้ ผม ถือ แค่ นี้ครับ

กตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ นั้นละ ของดี อย่าเถี่ยงพ่อแม่ สุดยอดแล้ววิชา
ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา

--------------------------------------------------------------

การได้ ณาน มา พระพุทธเจ้า ตรัส ไว้ว่า ไม่สรรเสริญ พระพุทธเจ้า
ท่านตรัสว่า ให้อยู่กะปัจจุบัน.... ดีที่สุด

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

สาธุ ทุกท่าน ที่ ปฎิบัติ ธรรม ครับ

 

พี่ ๆ เพื่อน ๆ ถ้านั่งสมาธิ ได้ ฌาน แล้วนะครับ ได้ไปเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ไปนั้นไปนี้ไปที่โน้นอะไรประมานนั้น รู้วิธีการเข้า สมาธิ ออก สมาธิ เรียก สติ ว่า เห็นหน่อ เห็นหน่อ เห็นหน่อ แล้วก็ นั่งหน่อ นั่งหน่อ นั่งหน่อ คอยๆๆ เรียก จิต มา สู กาย หรือว่า สังขาร ของเราที่หยาบต่อไป
ให้ มานั่ง ดู สังขาร ของเรา ว่า สังขารนั้นไม่เที่ยง มี เกสา // โลมา // นะขา // ทันตา // ตะโจ // เกสา แปลว่า ผมทั้งหลาย โลมา แปลว่า ขนทั้งหลาย นะขา แปลว่า เล็บทั้งหลาย ทันตา แปลว่า ฝันทั้งหลาย ตะโจ แปลว่า หนัง หรือ ถ้าไม่ชิน
ก็ พุทโธ ดู ลมหายใจ แล้ว กำหนด ลมหายใจ ให้ไปอยู่ ที่เส้นผม แล้วเราจะรู้ สึก ได้ว่า ลมขึ้นไป ถึง เส้นผม ถ้าทำ ได้ก็ ย้าย ไปดู ที่ หัวใจ ว่าหัวใจเราเต้นแรงดีนะ อะไรประมาน นั้น ทำแบบไม่ต้องคิดเยอะนะครับ

ถ้าคิดเยอะเด๋วจะเป็นแบบนี้

---------------------------------------------------------
กิเลส ตัณหา อยู่ที่ตัวเราครับ

ป่างครั้งที่ผม จนผมรู้สึก ได้ว่า การหายใจของเรานั้น วิ่งไปตามกระเสเลือดเลยครับ เช่น หายใจเข้า วิ่งเข้าไปในสมอง แต่ ในการนั่งของผม นั้น มันไม่ได้ แบบ นี้ทุกวันนะครับ
ป่างที ก็นั่งไม่ได้เลย เพราะว่า ความอยากรู้ ของตัวผม ว่าเห้ย จะได้มากกว่านี้ไหม !!!
มันก็กลายเป็น กิเลส ทำให้ผม อยากรู้ สุดท้ายก็ กายเป็นคิดมาก

วันนี้ ผมได้นั่งปรึกษาธรรมะจากหลวงพี่น้อย หลวงพี่น้อยบอกว่า ท่านยังมี กิเลสความอยากรู้ อยู่ ผมเลยถามหลวงพี่น้อยว่า แค่คิดก็เป็นกิเลสแล้วหรอครับ หลวงพี่ท่านบอกว่า
ใช่ แค่นี้ก็คือ กิเลสแล้ว ไม่ต้องมาก มาย มันก็คือ กิเลสตัวเดี่ยวกัน เพราะกิเลสนั้นมันชั้งน้ำหนักไม่ได้ แค่คิดออกมาจากสมอง ก็เป็นกิเลส
ที่ผมเคยได้กล่าว ไปครับ
-------------------------------------------------------------------

การได้ ณาน มา พระพุทธเจ้า ตรัส ไว้ว่า ไม่สรรเสริญ พระพุทธเจ้า
ท่านตรัสว่า ให้อยู่กะปัจจุบัน.... ดีที่สุด

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

สาธุ ทุกท่าน ที่ ปฎิบัติ ธรรม ครับ

 

ทำตามที่ผมว่าไปได้ต่อไปจะมี เจ็บไข้ได้ป่วย น้อยลงมาก (อินทรีย์ ๕ ต้องแข็งแรงนะครับ) เพราะ จิตเรา แยกกะ กายออกแล้ว เวลาเราไม่สบาย เราก็ ปลงสังขาร อ่ะ ปวดข้า ก็ ปวด ไปดิ สังขารไม่ใช่ของเรา
มันก็ไม่ปวดแล้วครับผม เป็น แบบ นี้ มาประมาน 5 ครั้ง ครั้ง ที่ 4 ก็จะ หายเอง
(แต่ต้องนั่งสมาธินะครับ) แล้วกำหนดลมหายใจ เอา ว่า สังขารมันไม่ใช่ของเรา

ปล. ความหมาย อินทรีย์ ๕

อินทรีย์ หรือ อินทรีย์ ๕ คือ ความสามารถหลักทางจิต ห้า ประการ ได้แก่
สัทธินทรีย์ คือ ความศรัทธา ในโพธิปักขิยธรรม
วิริยินทรีย์ คือ ความเพียร ในสัมมัปปธาน
สตินทรีย์ คือ ความระลึกได้ ในสติปัฏฐาน
สมาธินทรีย์ คือ ความตั้งมั่น ในญาณ
ปัญญินทรีย์ คือ ความเข้าใจ ในอริยสัจ

 

ปฏิบัติธรรม จะแบกอะไรไว้มากมายกันครับ
ธรรมะพระพุทธองค์ท่านสอนให้ละ

นี่จะแบก ทั้งขน เล็บ ผม หนัง ฟัน แบกทั้งยืนทั้งนั่งทั้งเห็น

เยอะไปไหม?? ลองพิจารณาดูใหม่นะครับ

 

สาธุ ดีแล้ว...
มีเคล็ดวิธีให้ละเวทนาได้ โดยไม่ต้องทำสมาธิด้วยนะครับ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ คุณน่าจะได้รู้ด้วยตัวเอง

 

ผมจะตีความหมายให้ประมานนี้ครับพี่

ใครที่นั่งได้แล้วแล้วอยากได้ลึกกว่านี้ครับ ให้ ดูที่ สังขาร เราครับ เพราะ สังขารเรามัน หยาบมาก มี พยาธิ มี สิ่งที่เน่าเหม็นอยู่ในตัวครับ

หมายถึงกายทิพย์ จิตวิญญาณ ที่ ผม กำลัง ฝึกอยู่ครับ แต่ยังไม่ชำนานครับ

จนจิตใจสะอาด สดใส

เพราะ นี่ละหนอ อารมณ์คนที่เรียกว่า “ อารมณ์ปุถุชน ” ที่ยึดหลง อยู่กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

ผมกำลังไม่ยึดติดใน รสชาติ รูป กลิ่น เสียง สัมผัส เพราะมัน ยาก ที่สุด ใน การทำ ของ คนครับ

 

แจกครับ หนังสือแนวคำสอนสมเด็จโต สมาธิ ทางสงบ ถอดจิต
ผมกำลังศึกษาอยู่

pass: workgroup

การได้ ณาน มา พระพุทธเจ้า ตรัส ไว้ว่า ไม่สรรเสริญ พระพุทธเจ้า

ท่านตรัสว่า ให้อยู่กะปัจจุบัน.... ให้มีสติ ดีที่สุด !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

สาธุ ทุกท่าน ที่ ปฎิบัติ ธรรม ครับ

 

วิธีการของคุณที่แนะนำมาดีครับ ถ้าได้แล้วกำลังสมาธิจะมั่นคงดีครับ...
แต่ถ้าจะพูดถึงว่าจะได้เร็วหรือเปล่า.ผมบอกได้เลยครับว่ายังช้าอยู่ครับ.และสิ่งที่คุณจะยังไม่มีคือกำลังสติในทางธรรมครับไม่งั้นคุณจะไม่เขียน rep#ที่ 4,และ 33 และการเดินปัญญาจะเป็นแบบทางโลกๆที่สามารถทำให้แค่เข้าใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ปัญญาในแบบที่จะคลายกิเลสออกจากจิตและให้จิตยอมรับตามความเป็นจริงได้จริงๆครับ และที่น่ากลัวมากๆคือผมคิดว่าคุณยังไม่ทันความคิดที่เกิดจากจิต ที่ตอนนี้เค้าปรุงร่วมกับจิตหลอกคุณอยู่ในเรื่องแนวทางการเดินปัญญาด้วยครับ.....ต้องขออภัยที่ต้องพูดตรงๆนะครับ..เพราะลักษณ์กิริยาบางอย่างที่คุณกล่าวมันฟ้องจริงๆครับ...สาเหตุที่ช้าอีกอย่างคือ เพราะจิตจะเกิดความเครียดขึ้นได้โดยที่เราไม่รู้ตัวจากรูปแบบที่เป็นพิธีการครับ.และก็ยังขาดเรื่อง การเพิ่มความเมตตาในชีวิตประจำวัน เรื่อง อิทธิบาท 4 เวลาทำงาน ยังขาดเรื่องการดับความอยากเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวัน และเืรื่องการสำรวมอายตนะทั้ง 6 การเจริญสติในชีวิตประจำวันด้วยครับ..​

ผมเห็นว่าคุณมีเจตนาที่ดีนะครับในการนำเสนอ..แต่ผมอยากให้คุณเห็นจิตคุณให้ได้จริงๆก่อน ให้รู้ก่อนว่าลักษณะกิริยาของเค้าเป็นอย่างไร ฐานของเค้าอยู่ไหน อาการจิตว่างเป็นอย่างไรที่ใช้สำหรับการพิจารณาต่างๆ ความคิดที่เกิดจากจิตคุณแยกเค้าให้ได้ก่อนนะครับ ไม่งั้นคุณไม่มีทางทราบได้แน่ๆครับว่านิมิตรต่างๆนั้นจริงหรือปลอม..อีกทั้งตอนนี้คุณยังไม่มีวิธีการตรวจสอบด้วย.อาการของขันธ์ 5 นามธรรมเป็นอย่างไร ฐานเค้าอยู่ตรงไหน ถึงเวลานั้นคุณมาแนะนำก็ยังไม่สายนะครับ...
หวังว่าจะเข้าใจในเจตนาที่ผมสื่อนะครับ​

 

อนุโมทนาในเมตตาธรรม

แต่โปรดพิจารณาในชื่อกระทู้ อีกครั้งด้วยว่า เหมาะแก่การที่ องค์พระสัมมา ท่านตรัสไว้หรือไม่ เจตนาหรือไม่เจตนา เราเองย่อมรู้ดีครับ

 

ขอบคุณพี่ nopphakan มากๆ ครับ ผม ยังอายุ ยังน้อยอยู่ครับ โทสะ ทาง กาย ป่างที ยัง สำรวม ไม่ได้ดีพอครับ ยังไม่นิ่ง
ผมเคยอ่าน แพทย์ทางเลือก วิถีธรรม หมอ เขียวครับ เค้าบอกว่า กาม ตัด ง่าย กว่า รสชาติ เพราะ 2 ตัวนี้ ตัดลำบากมาก แต่ถ้าตัด กาม ตัด ง่าย กว่า รสชาติ ของ อาหาร ครับ ผมก็มานั่งคิด ดูมันก็จริงนะครับ เพราะ จริต คนเรามันไม่เหมือนกัน ครับ
ถ้าให้ สำรวม ทุก อินทรีย์ ๕ ก็อยาก ครับ

 

พี่ๆ ป่างคน PM มาถามครับ ผมเลยแนะนำ ไป แบบนั้นครับผม ผม อยากรู้ ว่าจริงไหม ก็เหมือนวัยรุ่นคน 1 ครับ อยากรู้ ต้องรอง ครับ ว่า กายทิพ เป็นยังไง กลิ่น ขี้หมา เราทนได้ไหม เวลาผมไปกวาดวัดผมก็ใช่ จุดนี้ช่วยเหมือนกันครับ ผมกำลังไม่ยึดติดใน รสชาติ รูป กลิ่น เสียง สัมผัส เพราะมัน ยาก ที่สุด ใน การทำ ของ คนครับ
ผมเดินทางลูกรังมา ง่ายๆ เลยครับ เดนสังคม เลยก็ว่าได้


แต่ตอนนี้ อยากเดินใน ที่มัน สบายๆๆ ครับ ผมขอโทษพี่ด้วยนะครับ คำพูดผม ป่างคำอาจจะแรงไป ต้องขออภัยด้วยครับ พี่ๆ ทุก คน ครับ

สาธุ ทุกท่าน ที่ ปฎิบัติ ธรรม ครับ

 

อนุโมทนาอีกครั้งครับ

พึงสร้างขันติ และเมตตาธรรม แก่ตนเองเป็นสิ่งที่ดีแล้ว
ความสำเร็จใด ๆ นั้นมาจากความตั้งใจของตนเอง
เส้นทางเดินอาจจะยาวไกล แต่สักวันยังไงก็ต้องไปถึง เพียรไว้เสมอ ๆ ครับ