โอวาทปาติโมกข์

ทำไมว่ายังอนุบาลล่ะครับ
แล้ววิปัสสนาญาณที่คุณ MindSoul1 เข้าใจเป็นอย่างไรครับ

 

ที่ผมพิมพ์แปลว่า
ถ้าเราภาวนาด้วยวิธีใดก็ตามทำให้อุปปาทานในขันธืห้า เบาบางกว่า ศัตรู
ในโลกของความคิด
แปลว่าเราไม่ได้อยู่กลางวงล้อมศัตรูในโลกจริง
ยิ่งศัตรูเข้าใจว่าจะเข้ามาพร้อมกันมากเท่าไหร่

คนที่เราปะทะ มีปฏิฆะจะมีได้แค่คนเดียว
ธรรมารมณืเดียวด้วย

คนที่หลุดไปแล้วจะเข้ามาไม่ได้ คนที่ยังไม่ได้เข้ามาก็จะเข้าไม่ได้

นั้นเราต้องมีกำลังถอดถอนอุปปาทานเหนื่อว่าศัตรูจริงๆเท่านั้นนะ

เราจะปฏิฆะกะศัตรูจริงๆ
แต่ทำได้แค่ที่ละคนเท่านั้น
ไม่มีทางเกินนั้นได้

 

คุณ bigtoo ไม่เดินช็อปปิ้งมา 14 ปี จะเอาแต่หนีผัสสะหรือครับ

 

ไปเฝ้นดูเอาเองหน่าคร้าบ

ถ้า " อิอิ " มันแอบอยู่ในกลางอก ยังบีบหัวใจ ก็จะ พยากรณ์ว่า เป็น " เดรัจฉาน "

ถ้า " อิอิ " มันแอบอยู่ในกลางอก ยังบีบหัวใจ แต่กดมันไว้ใม่ให้ หวอ อันนี้ไม่พยากรณ์
เพราะว่า ยังหลากหลายแล้วแต่ กรรมจะให้ผล


ถ้า " อิอิ " ถูกกำหนดรู้ จิตมีการสมาทานสิกขาแนบแน่น[มีเหตุ มีผล] ไม่หายไปจากจิต
ตรงนี้ ก็ไม่พยากรณ์ ไม่อนุโมทนา ไม่สาธุ ไม่ปฏิเสธ

 

การกำหนดรู้ยังเคลื่อนจิตออกไปคิดอยู่ค่ะ
วิปัสสนาญาณ เป็นญาณหยั่งรู้อนัตตาอัตโนมัติ

 

ด้วยเหตุที่เจ้ากรรมนายเวรมีเป็นตัวๆ
ก็เลยต้องทุกข์อยู่
แต่คนที่ภาวนาอุทิศกุศลบ่อยๆจะทราบว่า
จะมีช่วงพัก ระหว่างแต่ละเจ้ากรรมนายเวร
พอให้มีกำลังใจสู้ต่อไป

และบางที่คนที่เข้ามาปะทะ กลายเป็นกองเชียร์
พอเจอกลองเชียร์ ก็มีขวัญอยากจะยึ่ดไว้นานๆ
พอเป็ฯเจ้ากรรมนายเวร ก็อยากผลักไสไปให้พ้น

ไม่ได้ ทีละคน
ไว้ใจได้ที่ละคนเชื่อใจได้ทีละครั้ง

 

ผมไม่เคยคิดหนีผัสสะ ไม่เดินเพราะมันไรสาระ

 

จะเห็นว่าคือกรรม รับรองมรรคผลนิพาน
ชัดๆ เห็นจะๆ

 

ถ้าเป็ฯมรรค เป็ฯผล เป็ฯนิพพาน
มันจะเข้ามาทีละคน ทีละครั้งเท่านั้น
แรกๆก็ปล่อยไปก่อน อย่าไปยึดไว้ เดี๋ยวรอบหน้ามาใหม่

ถ้ายึดศัตรูจะล้อมเข้ามาใหม่อีกที

จากที่ศัตรูจะเข้ามาทีละคน
จะกลายเป็นรุมเข้ามาได้

 

เห็นกระแสแล้ว
เพราะเราอุปปาทานไปว่า มันจะมาเร็วกว่านี้ได้ และศัตรูจะมาช้ากว่านี้ได้
เชื่อผม มันมาทีละอัน
อย่าไปโยกอย่าไปตัดสลับเด็ดขาด
ห้ามบาล้าน ถ่วงดุลยเด็ดขาด

กะว่าเดี๋ยวกระแส มรรคผลนิพพาน ร้อยรัดเราแน่
ศัตรูจะร่นถอย

ศัตรูเลยเข้ามารุมยำเราเละเลย

 

เนี่ยะ พอพูดแบบนี้ ชัดเลย ไม่เคย เอาการภาวนาเป็นใหญ่


กำหนดรู้ลมหายใจที่เกิดดับไปตามความเป็นจริง
ใครเขาต้องคิด หรือ ส่งจิตออก กันหละ

กำหนดรู้ รู้ก็คือจิต กำหนดคือให้สังเกตุ บางสำนวน
จึงใช้ สำเนียก สำนึก ระลึก อยู่ที่ จิต(รู้)

ดังนั้น หากภาวนาถูกต้อง กำหนดรู้ กับ อารมณ์ที่ถูกรู้ ก็ไม่ได้เกิด
จาก เจตนาทั้งสองส่วน แต่จะอาศัย สภาพที่ ปรากฏอยู่แล้ว

นะ การเห็นอันยอดเยี่ยม ไม่เคยลงมือปฏิบัติ ไม่เคยยก

ไปเรียนเอาแบบ ภาษาศาตร์ ก ข ก กา แล้วสำคัญว่าเป็น ญาณทัศนะ

ก็เอาเหอะ เกาะไว้ ไม่ว่า ถ้าเกาะถูกก็ยังพอได้สวรรคิ์

แต่ถ้า " อิอิ " มันส่ายหาง บีบคั้นอยู่ ในจิต .....เดรัจฉาน เรียกพี่ ได้หน่าขอรับ
กำหนดรู้เอาไว้ด้วย

 

คุณ MindSoul1 ช่วยขยาย "ญาณหยั่งรู้อนัตตาอัตโนมัติ" ให้ด้วยครับ
เอายาวๆก็ได้ครับ

 

มันไร้สาระอย่างไรครับ ไม่ซื้อของหรือครับ

 

อักษร
ภาพ
นิมิต
ก็พอได้
แต่เชื่อผม มันจะเข้ามาทีละอัน
ภาพที่ประกอบเข้ามาเป็นภาพ จริงๆแล้วมันเข้ามาได้แค่ที่ละอัน
ภาษหรือตรรกะ หรือศาสตร์ สิลปะอะไรก็ตาม
เข้ามาได้ ที่ละอัน ผัสสะเราได้
อายตนะ ละ หนึ่งผัสสะเท่านั้น

มันจะเกิเแรงตึดผิวของความคิด เข้าใจว่าตนคือแมงมุม เดินบนน้ำได้
แมงมุมมีแปดขา
ผัสสะผิวน้ำเกิดแรงตึงผิวในโลก ไกอา ภะวะ
แต่ในโลก ความคิดแมงมุมจะจมน้ำ

 

ท่านดูตนเองนะถ้านอกจากปัจจัยสี่แล้ว. นั้นแหล่ะครับบุคคลที่ยังมีการปรุ่งแต่งอีกมาก. ผมไม่เคยซื้อสิ่งอื่นเลยนอกจากปัจจัยสี่.

 

หรือ จะอนุโลมให้ ยกพูดว่า " การกำหนดรู้คืออนุบาล "


ถ้า คนเราเพียรภาวนามาด้วย วิธี อนุบาล จนกระทั่ง ได้ดี ได้ ญาณทัสนะ ในที่สุด

คนแบบไหนกันเล่าที่จะ ตำหนิ รอยเท้า ที่ตนใช้ ก่อร่าง สร้างตัว อบรมจิต มาด้วยวิธี
อนุบาล เหล่านั้น

เขามีแต่ เวลาใครมาถาม ว่า ท่านๆ ท่านได้ ญาณทัศนะ อันเยี่ยมยอดมาด้วยวิธีใด

เขาก็ต้อง แนะนำอย่างนี้ สรรเสริญอย่างนี้ว่า การกำหนดรู้อนุบาล นั่นแหละ ที่ทำให้
เรามาถึงจุดนี้

ไม่ใช่ คิด ด้น เดา เทียบด้วย การคิด เอา มันเลย ขาด รากเง้า ในการมีกำพืชมาอย่างไร

ไปสรรเสริญเอาโน้น เอาชุดความคิด แบบสำเร็จอ้างลอยๆ

 

คุณ bigtoo อย่าสร้างความเข้าใจผิดให้กับคนอื่นครับ
ว่าโสดาบันจะต้องเป๊ะๆ ไม่เดินห้าง ไม่ใช้ของนอกจากปัจจัยสี่
การปรุงแต่งมีเยอะกว่านี้มาก ไม่ใช่แค่มีมือถือ มีรถ
จะต้องเป็นคนมีการปรุงแต่งมากอย่างนั้นครับ
แค่ทิฐินี้ของคุณ bigtoo ไม่ต้องเป็นพระอริยะ ปุถุชนได้อ่านก็รู้แล้วครับ

 

หุหุ. เข้าใจผิดอีกแล้ว. นี่คือผม. ส่วนคนอื่นจะเป็นอย่างไรผมไม่ไปรู้ได้. ผมไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้มานานมากันดับไปจากจิตวิญญานผมแบบสนิท ผมถามว่าถ้านอกจากปัจจัยสี่แล้ว. จะซื้อมาทำไมลองพิจารณาดู.