แคร่ริมคลอง...วันวิสาข์พาไป "พิพิธภัณฑ์สักทอง"

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ณ., 19 สิงหาคม 2008.

  1. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    เอาปฏิทินปล่อยปลาปี 2554 และแผนที่มาฝากจ้า
    วันที่เป็นตัวปลาสีเหลืองคือวันปล่อยปลาประจำทุกเดือนนะคะ
    ไปรับปฏิทินปล่อยปลาได้ที่วัดเลยค่ะ

    หรือใครจะร่วมทำบุญถวายภัตตาหารเพลพระ 100 รูป ทุกเดือนของวันปล่อยปลา
    สามารถร่วมบุญได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ บัญชีวัดสระพัง ออมทรัพย์
    สาขากำแพงแสน เลขบัญชี 359-0-14952-6
    โทรศัพท์ 089-9191942, 089-9196655
    พระครูไพโรจน์ภัทรคุณ เจ้าอาวาสวัดสระพัง


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • AA.jpg
      AA.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.1 KB
      เปิดดู:
      489
    • BB.jpg
      BB.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.9 KB
      เปิดดู:
      482
    • Map1.JPG
      Map1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      74.6 KB
      เปิดดู:
      352
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2011
  2. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ต่อครับ(เรื่องที่2)เป็นเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ปฏิบัติธรรมที่เป็นผู้หญิง(อุบาสิกา)คิดว่าเป็นนิทานทางธรรมนะครับ
    เรื่องมีอยู่คือคุณแม่ของผมท่านชอบทำบุญที่วัดและก็เชื่อเรื่องคนทรงเจ้าก็จะพาผมไปทุกครั้งและก็หลายที่ไปมีทั้งบอกว่าร่างทรงพ่อร.5,สมเด็จพระนเรศวร,เจ้าแม่อวนอิม,ฤษีตาไฟ,และก็อีกหลายชื่อที่สำนักทรงจะตั้งขึ้น,เรื่องสำนักทรง(คนทรงเจ้า)ผมยังไม่ขอพูดถึง...แม่ผมท่านจะไปตามที่เขาบอก(คนทรง)คือไปถามเรื่องส่วนตัวและครอบครัวตอนนั้นแม่ของผมท่านยังไม่เข้าใจการนับถือ,เวลาท่านไปทำบุญท่านก็ไปทำบุญกับ(สมมุติสงฆ์)ที่วัดบ้านก็จะดูดวงและให้หวย,จนมาวันหนึ่งท่านมาพบเพื่อนของท่านแนะนำให้ไปวัด...วัดหนึ่งอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี...ท่านก็มาชวนให้ผมไปวัดกับท่านด้วย ผมก็ไปกับท่าน...การเดินไปวัดนี้ยากพอสมควรต้องนั่งรถแล้วไปต่อเรือ...แล้วต้องเดินเข้าไปในสวนทุเรียนที่อยู่ลึกและเปลียวมากและไปช่วงหน้าฝนด้วยกว่าจะเข้าถึงก็เหนื่อยพอสมควร...เมื่อมาถึงวัดก็งงมาก...วัดอยู่ในสวนแล้ว,มีต้นไม้เต็มไปหมด(เหมือนสวนป่า)ก็เจอพระเดินอยู่แต่เดินช้ามาก...จึงสังสัยว่าทำไมท่านจึงเดินช้า...ถามแม่ก็บอกไม่รู้...จึงเดินไปศาลาไม้ขนาดใหญ่พี่พระประธานตั้งอยู่ในศาลา...ก็พบพระหนุ่มที่ดูแลอยู่แม่ก็ถามว่า...หลวงพ่อเจ้าอาวาสอยู่ไหม...ท่านไม่ตอบแต่ท่านมองหน้าแบบมีเมตตา...จึงเชิญให้โยมนั่งก่อน...ท่านถามมาจากไหนบอกว่ามาจากลาดกระบัง...มาที่วัดโยมมีธุระกับเจ้าอาวาสหรึอมาทำบุญ...แม่บอกว่าจะมาช่วยวัดอะไรก็ได้ที่ได้ช่วย...ท่านเงียบ...แล้วจึงพูดว่า...ดีแล้วโยม ที่โยมจะมาช่วยวัด...ดีว่าไปช่วยผีและช่วยนักบวชที่ทำไม่ถูกพระวินัย...แม่กับผมก็งงว่าท่านพูดอะไร..แม่จึงถามท่านว่าเมื่อกี้พระอาจารย์พูดหมายความว่าเช่นไร...ท่านก็บอกว่าที่โยมไปกราบคนทรงเจ้าแทนที่จะกราบพระ...และไปกราบนักบวชปลอมที่อาศัยผ้าเหลืองหากินในพระพุทธศาสนา...เท่ากับเราไปสับสนุนคนผิด...แต่ก็ไม่เป็นไรผ่านไปแล้ว เมื่อมาถึงที่วัดแล้วก็ไปไหว้พระประธานก่อน...ผมก็ถามแม่พระท่านรู้ได้ยังไง...แม่ไม่ตอบก็เข้าไปไหว้พระประธานหลังจากไหว้เสร็จ...ท่านก็ถามว่านั่งสมาธิเป็นไหม...แม่ตอบว่าไม่เป็น..ท่านก็บอกว่าโยมให้ว่าตามอาตมา...ท่านก็ให้สวดมนต์และอนาทานศีล5และให้นั่งสมาธิ...แม่กับผมก็นั่งไม่เป็น...ท่านบอกให้ขาขวาทับขาซ้าย...มือขวาทับมือซ้าย...ตั้งกายให้ตรง...และดูลมหายใจเข้า-ออก...หายใจเข้าให้ภาวนาพุทธ-หายใจออกให้ภาวนา-โธ ให้ภาวนาไปเรื่อยๆ...สักพักก็ออกจากสมาธิ...ท่านก็ให้แผ่เมตตา...เสร็จก็ถามรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง...แม่ก็บอกตามตรงว่าปวดขามาก แต่ก็จะมีเหตุการณ์ที่ผ่านไปนานมากแล้วกลับนึกขึ้นมาในใจตอนนั่งสมาธิทั้งๆที่เรื่องสมัยเป็นเด็กๆผ่านมานานมากแล้วและก็ลืมไปแล้วแต่ทำไมจึงนึกขึ้นมาได้และจำได้ทุกขั้นตอน...ท่าน(หลวงพ่อ)ก็บอกจิตเรา(มนุษย์)...นี้ช่างมหัศจรรย์มากเก็บเรื่องเล่าตั้งแต่อดีตหลายปีได้และยังเก็บเรื่องเล่าในอดีตชาติได้ด้วย...แต่เราไม่รู้เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม...ไว้โยมปฏิบัติธรรมแล้วโยมจะเข้าใจเอง...แม่จึงกราบลาท่านและบอกว่าจะมาปฏิบัติธรรมใหม่...ตอนที่ไปวัดนี้ประมาณปี2526...คือวัดสังฆทาน...พระ...หลวงพ่อสนอง กตบุญโญ...และหลังจากนั้นแม่ผมไปวัดสังฆทานตลอดและชวนเพื่อนๆและญาติมาทำบุญที่วัด...ไม่ไปหาคนทรงเจ้าและนักบวชที่ดูดวงอีกเลย...แต่ก่อนการไปวัดจะไม่สะดวกเหมือนทุกวันนี้...และแม่ผมชอบไปกลางคืนคือหลังเลิกงานเพราะกลางวันทำงานหยุดวันเดียวจึงต้องไปช่วงกลางคืนและพักปฏิบัติที่วัด พร้อมไปช่วยวัดยกทราย,ยกหิน,ยกดิน,และทำครัวพร้อมบริจาคปัจจัย...บ้างครั้งพาเพื่อนๆไปเป็นหมู่คณะ...บ้างครั้งไปคนเดียว,บ้างครั้งพาผมไป...แต่ที่ผมงงมากคือท่านไปคนเดียวต้องเดินเข้าสวนทุเรียนเปลียวๆก่อนถึงวัด...ก็เคยถามท่านว่ากลัวบ้างไหม...แม่ตอบว่าก็กลัวเหมือนกัน...แต่สงสารวัดและหลวงพ่อ...วัดยังลำบากอยู่ต้องช่วยกัน...จึงเข้าใจคำว่า ศรัทธา ในบวรพระพุทธศาสนา...ทำให้ผมอยากเข้ามาศึกษา...และเข้าใจมากขึ้นในเวลาต่อมา...ต่อครับ...ท่านไม่เคยย้อท้อทั้งที่อายุเริ่มมากขึ้นไปทำบุญที่ไหนก็จะกลับมาปฏิบัติธรรมที่วัดสังฆทานตลอดท่านคงทำบุญกับหลวงพ่อสนอง,และวัดสังฆทาน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2011
  3. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    เพื่อนๆคงต้องการทราบว่าเกี่ยวอะไรกับการบวชพระและเกี่ยวผู้หญิง...ท่านอ่านนิทานเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ...ท่านจะเข้าใจ...คุณแม่ของผมท่านปฏิบัติของท่านตลอดจนมาวันหนึ่งท่านให้ผมพาไปหาหมอตรวจ...ผมก็พาท่านไปตรวจ...หลังจากตรวจเสร็จคุณหมอเรียกผมไปพบและบอกกับผมเป็นอะไรกับคนไข้...ก็บอกว่าเป็นลูก...หมอก็บอกให้ทำใจแม่คุณเป็น...มะเร็ง...ระยะ3...ระยะสุดท้าย...ผมฟังแล้วทรุดตัวน้ำตาไหลทั้งๆที่เราเป็นผู้ชาย...แล้วออกจากห้องแม่ผมรอหน้าห้อง...ท่านถามว่าหมอบอกแม่เป็นอะไร...ผมไม่พูดแต่ตาแดง(ผ่านการร้องไห้)ท่านพูดว่าหมอบอกว่าแม่เป็นมะเร็งใช่ไหม...ท่านรู้ได้อย่างไร...ผมถามแม่รู้...และท่านก็น้ำตาไหล...ให้พาท่านกลับบ้าน...ท่านกลับมาก็นั่งสมาธิ...พี่ๆรู้ให้ไปรักษา...ท่านก็พูดกับผมว่ารักษาไม่หายหรอกมันเป็นกรรมของเรา...แต่พี่ชายรู้จะให้รักษาทางแผนปัจจุบัน...ท่านก็ไม่ขัดก็ไปรักษาแต่ก็ไม่ดีขึ้น...แต่กำลังใจท่านดีมากก็ถามแม่ว่าไม่เจ็บไม่ปวดบ้างหรึอ...ท่านบอกว่าปวดซิและก็ปวดมากด้วย...แต่ท่านบอกว่าใช้ธรรมะรักษา...เป็นธรรมะโอศล...จึงถามท่านว่ารักษาได้ด้วยหรึอ...ท่านบอกรักษากายไม่ได้หรอก...แต่รักษาใจเราได้ไม่ให้เจ็บป่วยตามกาย...และท่านก็บอกให้พาไปรักษาศีล(จิตกับกาย)ที่วัดสังฆทาน...จึงขับรถพาไปและก็รักษาตัวที่วัด...จนถึงวาระสุดท้าย...พยาบาลที่วัดดูแลท่าน...โทรมาหาผมว่าคุณแม่จะไปแล้ว...ผมก็ขับรถมาตอนเช้า...เมื่อมาถึงแม่ชี,พระท่านบอกว่าโยมเขาจะไปแล้วณ. แล้วพยาบาลก็เข้ามาบอกว่ามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง...ผมก็บอกไว้ที่หลังและก็เดินเข้าไปในห้องเห็นท่านนอนอยู่บนที่นอนคนไข้แต่ไม่รู้สึกตัว...จึงเข้าไปประคองคอท่านแล้ว ผมก็นั่งลง...แล้วจิตก็บอกตัวเองว่า...ให้กรรมฐานท่าน...จึงพูดกับท่านว่า...แม่ผม(ชื่อ)มาแล้วนะ ท่านก็พยักหน้ารับรู้...จึงบอกกับท่านว่าแม่หายใจเข้าพุทธนะ...หายใจออกโธ...บุญที่แม่ทำมาดีแล้ว...แม่ได้ช่วยวัดและช่วยคนมามากและลูกๆทุกคนได้บวชและปฏิบัติก็เพราะแม่...เป็นพุทธะ..สมกับที่เป็นพุทธบริษัทสี่...แม่ได้พบสัจธรรมของชีวิตแล้ว(พบธรรมะของพระพุทธเจ้า)...แม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของหลวงพ่อแล้ว....ท่านก็ฟังและพนมมือไหว้พระน้ำตาไหลแล้วก็หลับไป(เสียชีวิต)...ผมก็เดินออกมาข้างนอกก็เห็นญาติๆมาถึงร้องไห้กัน...ก็เดินไปถามพยาบาลว่ามีอะไรจะบอก...เขาก็พูดว่า มีคนมาเรียกแม่คุณตั้ง3ครั้งทางหน้าต่าง...ได้ยินเสียงแต่มองไปข้างนอกไม่มีคน...เวลาครั้งแรกประมาณสามทุ่มกว่า...ผู้มาเรียกว่าไปได้แล้ว...แม่ตอบว่ายังไม่ไปครั้งที่สองเวลาเที่ยงคืน...ผู้มาเรียก...ว่าไปได้แล้วถึงเวลาแล้ว...แม่ตอบว่ายังไม่ไปรอลูกชายก่อน ครั้งที่สามเวลาประมาณตีห้า....ผู้มาเรียกว่า...เลยเวลาแล้วเขามากันหมดแล้ว...แม่ตอบว่ารอลูกชายก่อนเรียก(ชื่อ)ผมยังไม่ไป....จากนัันก็เงียบพยาบาลบอกว่ากลัวมากแต่ใจยังอยากฟังว่าเป็นใครมาเรียกตั้งสามครั้ง...ผมรับฟังแต่ก็ไม่ว่าอะไร...จนมาเฉลย(รู้)จาก...หลวงพ่อท่านบอกว่ายมฑูต...มาเรียกจะนำวิณญาณไป...แต่โยมมีบุญที่ต่อรองได้ว่าให้รอลูกชายมาให้กรรมฐานก่อนที่จะไป...หลวงพ่อจึงบอกว่า...เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...ว่าการประพฤติปฏิบัติธรรมมาดีแล้วไม่ต้องกลัวตาย...คนที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมถึงจะเป็นผู้หญิงก็ทำได้และก็ทำได้ดีด้วย และต่อรองกับเทวฑูต(ยมฑูต)ได้ จริงๆแล้วผู้ปฏิบัติธรรม เทวดาและเทวฑูตพร้อมวิณญาณเขาสรรญและคุ้มครอง...หลวงพ่อพูด...โยมจำไว้ให้ดีนะ...คนไหนดีหรึอไม่ดี...ให้ดูกันตอนตาย...จะแสดงออกมาให้เห็น...และงานของโยมมีคนมาร่วมงานโดยไม่รู้จักกันและเป็นผู้มีศีล...คือวันที่ท่านเสียเป็นวันพระใหญ่...มีคนมารดน้ำศพใส่ชุดขาว..และพระทั้งวัดมาร่วมรดน้ำศพ...ตลอดงาน3วันไม่มีใครใส่ชุดดำเลย...ไม่มีการจัดงานอะไรทั้งสิน...ไม่มีสวดศพมีแต่เทศนาเรื่อง...ความตาย(ไม่ให้ประมาท)...หลวงพ่อบอกว่าสวดยะถา..คือสวดให้คนเป็นฟังไม่ได้สวดให้คนตาย....โยม(แม่)ของโยมเขาทำบุญมาดีแล้วไม่ต้องไปสวดให้เขา....และท่าน(แม่)ได้รับความอนุเคราะห์จากหลวงพ่อให้นอนในโลงเย็น(ติดแอร์)โดยไม่ต้องฉีดยา(ฟอมารีน)พร้อมรับเป็นเจ้าภาพทั้งหมด...ก็เป็นบุญของท่านตอนบานปลายชีวิต

    สุดท้ายนี้ทำให้ผมเข้าใจว่า ผู้หญิงถ้าปฏิบัติธรรมแล้วก็ไม่แพ้ผู้ชายและก็มีความกล้าหาญในการที่เสียงชีวิตเพื่อจะได้ปฏิบัติธรรมและก็มีศรัทธาแรงกล้ามาก...ถ้าเรามาดูทุกๆวันนี้จำนวนผู้ที่เข้าวัดมากที่สุดคือผู้หญิง...ถ้าขาดผู้หญิง การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา...พระและวัดจะอยู่ลำบาก...และทำให้เชื่อว่าผู้หญิงไม่ได้เป็นภัย กับพระ...กับช่วยงานวัดและเสียสละแรงกายทำงานครัวและหลายอย่างเท่าที่จะทำได้พร้อมทำนุบำรุงโดยบริจาคกำลังทรัพย์(เงิน)บำรุงวัด...ที่ๆอันตรายของพระ(สมมุติสงฆ์)...คือตัวท่านเองที่ให้กิเลสมาครอบจิต...และก็ไปเพ่งโทษผู้อื่น(ผู้หญิง)....ต่อครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2011
  4. ฐาปานีย์

    ฐาปานีย์ ปลูกด้วยรัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +400
    สาธุ บุญที่แม่คุณชานนคนไทย มีบุตรที่นำทางสว่างให้แม่ได้
    แต่...ยังมีอีกหนึ่ง ที่ต้องใช้ความพยายาม อีกมากอย่างตั้งใจกว่านี้
    ไม่ทราบว่า ใครเหมือนที่เป็นอยู่บ้าง คือ อยากให้แม่มาอยู่ใกล้กินข้าวด้วยกัน
    อยากดูแล พาไปวัด กราบพระ ไหว้พระ ฟังธรรม ถือศีล ปฎิบัติธรรม
    ยิ่งอยากใกล้ ก็เหมือนห่างไกล ถอยหนีลูก
     
  5. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    นิทานชีวิตเรื่องนี้...ได้บอกได้สอนผมให้เข้าใจ...คำว่า ศรัทธา ถ้าเราศรัทธาและเชือมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า...พร้อมพระสาวก(พระอริยะเจ้า)ที่ท่านนำคำสอนมาเทศนาให้...เราได้รับรู้รับฟังเพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติ...ถึงจะเป็นผู้หญิงก็ไม่มีอุปสรรคถ้าตั้งใจทำ ก็ถึงธรรมได้เหมือนกัน...และทำให้รับรู้ว่าขณะความตายมาหาท่าน ท่านยังมีสติที่จะประเชิญกับสิ่งที่ทุกคนกลัว...ทำให้มีกำลังใจว่าผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นผู้ที่มีสติไม่ประมาท...จึงบอกกับเพื่อนๆว่าถ้าเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม...จงมั่นใจและศรัทธาตัวเราว่า...เราทำได้...ถึงจะทำไม่ได้มากเท่ากับ...ผู้อื่น...แต่เราได้ทำแล้วในชาตินี้...ไม่เสียดายที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา...การที่เราจะไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นว่าเราไม่มีวาสนา...เหมือนเขา...เขาทำบุญมามาก...จึงได้พบได้เห็นและได้ฟังธรรมกับพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ...จริงแล้วๆคำว่าวาสนาและบุญไม่เท่ากัน...ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนได้รับและได้ฟังและได้อ่านประวัติพ่อแม่ครูอาจารย์มาแล้ว...ก็เก็บมาเป็นอารมณ์ในจิต...ผมเคยได้รับฟังจาก...พระธุดงค์ที่อยู่ในป่าดงดิบ(ป่าดงพระยาเย็น)สมัยเป็นพระได้ธุดงค์เข้าป่าและก็ได้พบและได้เห็นเป็นธรรมะ...คือเคยคิดที่จะเดินองค์เดียวแต่ครูอาจารย์ท่านห้ามท่านบอกว่าต้องมีครูอาจารย์(พระที่เคยผ่านการเดินธุดงค์)ไปด้วยท่านจะได้แนะนำ...ให้รู้ข้อวัตรปฏิบัติธรรมว่าการอยู่ป่าต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง...ใจก็คิดว่าเราก็อยู่ป่าช้ามาสองปีแล้วก็น่าจะไปได้...แต่จริงแล้วก็คิดผิด...เมื่อได้มีโอกาสไปธุดงค์กับพระผู้ใหญ่(15พรรษา)ไปกันแค่สองรูปเพราะท่านจะเดินองค์เดียวตลอดและท่านจะดูดุๆและเงียบไปค่อยพูดและเข้าหมู่คณะจะอยู่รูปเดียว...อยู่ๆ(ท่านก็เมตตา)มาถามผมว่าจะไปเดินธุดงค์กับท่านไหม...ผมตอบเลย...ว่าไปครับถ้าไปให้เตรียมบริขารให้พร้อมหลังออกพรรษานี้...เมื่อถึงออกพรรษา(ปวารณาออกพรรษา)คำว่าปวารณาแปลว่า...อนุญาติหรือยอมให้...คำว่าออกพรรษาแปลว่า...ถึงเป็นการสิ้นสุดการจำพรรษาหรือออกจากการอยู่ประจำที่วัดในช่วงฤดูฝนตลอด3เดือนของพระสงฆ์...พระสงฆ์สามารถจาริกไปที่ต่างๆได้หรือค้างคืนที่อื่นได้โดยไม่ผิดพระวินัยสงฆ์(พุทธบัญญัติ)แล้วอยู่รอรับกฐิน...คำกฐินหมายว่า...ทางพระวินัยเรียกว่าสังฆกรรมที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาติแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว(คร่าวๆ)
    ...เพื่อแสดงออกซึ่งความสามัคคีของพระสงฆ์ที่จำพรรษาร่วมกัน
    ...โดยให้พร้อมใจกันยกมอบผ้าพื้นหนึ่งที่เกิดขึ้นให้แก่คณะสงฆ์
    ...ให้แก่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งในหมู่คณะที่มีคุณสมบัติสมควร
    เมื่อหมดจากงานกฐิน....จากนั้นก็เตรียมตัว...จึงไปถามท่านว่าจะไปธุดงค์ที่ไหน..ท่านก็บอกว่าที่ๆคนไม่ไปกันแต่เราจะไปกัน...ผมก็เลยไม่รู้ว่าที่ไหนท่านไม่บอก...ผมก็คิดว่าธุดงค์ที่ไหนก็ได้ที่ได้ไป...<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ก็เริ่มเดินออกจากวัดหลังฉันท์อาหารเรียบร้อยพร้อมเก็บกวาดบริเวณที่กุฏิให้สะอาดพร้อมไปกราบลาพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านก็ให้ข้อคิด(โอวาท)...ว่าการที่จะเข้าป่าให้เรามั่นคงและรักษาศีลให้ดีและจงสำรวมเพราะเราเป็นสมณะ(บรรพชิต)จะได้ไม่ให้เทวดามาว่าได้...จงจำไว้ว่าเรามาขัดเกลาจิตใจ(กิเลส)เราให้สะอาดเราถึงมาบวชเป็น(พระ)ทำตัวให้เหมาะสมกับ เป็นกลุบุตรของพระศาสนา
    แล้วศีลจะคุ้มครองเราให้ปลอดภัย...เมื่อรับโอวาทเรียบร้อยก็กราบลาพ่อแม่ครูอาจารย์...เดินจาก(วัด)อุบลไปตามทางท่านจะเลียงไม่ให้เดินเข้าทางถนนหลักจะให้เข้าทุ่งนาและเลาะเข้าป่าห่างไกลผู้คน...ท่าน(อาจารย์)จะเดินเร็วมากไม่พัก...มาพักก็เข้าป่าลึกแล้ว...ท่านบอกเห็นอะไรหรือว่าได้ยินเสียงอะไรในป่าให้...มีสติไม่ต้องสนใจให้ตั้งใจปฏิบัติภาวนาสมาธิอย่างเดียว...ก่อนที่จะเข้าป่าก็...ปวารณาขอธุดงค์วัตรก่อนและตั้งจิตตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมแม้น ตายก็ยอมถวายร่างกายเป็นพุทธบูชาในการธุดงค์ครั้งนี้...เป็นการให้สัตย์จะกับตัวเราเอง...การเดินธุดงค์ใจต้องมั่นคง...และถือธุดงค์วัตร(รักษาให้ได้)คำว่าป่ามีสิ่งที่เราไม่รู้มีอยู่อีกมาก...พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเมตตาเล่าว่ามี(สมมุติสงฆ์)ที่นำชีวิตไปทิ้งไว้ในป่ามากมายคือไปแบบหาของวัถตุและไม่สำรวมและไม่ศึกษาข้อพระวินัยสงฆ์...เช่นไม่มีอะไรทานก็ไปหาเก็บผลไม้มาทาน,เก็บอาหารไว้ทานวันอื่นเป็นต้น...เป็นการไม่เคารพพระวินัยที่พระพุทธเจ้า(พุทธบัญญัติ)ไว้...เทวดา,และ....เห็นแล้วไม่ต้องการให้อยู่...แต่ถ้าประพฤติดีปฏิบัติธรรมดีสมที่เป็นกุลบุตรของพระศาสนา...เทวดาและ...เขาจะดูแลคุ้มครองนิมนต์ให้อยู่ไม่อยากให้ไปไหนอยากให้อยู่โปรดเขาตลอดไป...ต่อครับผมก่อนที่จะปักกลดก็ต้องดูสถานที่นี้ว่าเป็นทางผ่านของสัตว์หรือเปล่า...ถ้าไม่มีก็อธิฐานจิตปวารณาของปฏิบัติธรรมในที่ตรงนี้และบอกกล่าว...ว่าอาตมาขออนุญาติต่อผู้ดูแลพื้นป่านี้และท่านทั้งหลายที่อยู่ณ.ตรงนี้อาตมา มาประพฤติปฏิบัติธรรมขัดเกลากิเลสของตัวเองเพื่อให้รู้แจ้งในธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...สิ่งใดที่เป็นบุญอุศลในการปฏิบัติธรรมของอาตมาครั้งนี้ก็ขอให้ผู้ดูแลพื้นป่านี้และท่านทั้งหลายได้รับผลบุญนั้นด้วยเถอญ...เมื่อบอกกล่าวเสร็จ...ก็ปักกลดก็ปฏิบัติธรรมต่อสวดมนต์และก็เดินจงกรมสลับกับนั่งสมาธิไม่กล้านอน...เพราะจิตตื่นตลอด(ก็ยังมีความกลัวอยู่บ้าง)ท่าน(อาจารย์)ไปปักกลดหาจากผมประมาณ20กว่าเมตร...(คิด)ว่าถ้าเกิดมีอะไรขึ้นกับตัวผมท่านจะได้ยินไหม...ยังคิดไม่จบ...ท่านก็ตอบมาว่า(ทั้งที่ผมคิดในใจแล้วไกลด้วย)ผมกลับได้ยินชัดเจนเหมือนอยู่ใกล้...ท่านยังกลัวอยู่อีกหรือ...ไหนบอกว่าอยากมาธุดงค์คนเดียว(ท่านรู้อีก)...ผมรีบตอบว่า...ไม่กลัวครับเพียงแต่แปลกที่ครับ...คืนนั้นไม่มีอะไรเงียบปกติดี...รุ่งเช้าไปบิณฑบาตเดินไกลมากเจอหมู่บ้านแค่ประมาณ4หลังคา...ก็ได้ข้าวเหนียวมา2ก้อนพร้อมปลาครึ่งตัว...ก็กลับมาที่กลด...พร้อมกับรับบาตรอาจารย์พร้อมนำอาหารที่บิณฑบาตมาร่วมแล้วให้อาจารย์พิจารณาก่อน...แล้วผมจึงพิจารณา...จริงแล้วตามข้อวัดสังฆทาน...ต้องให้ความเคารพพระ(อาวุโส)พรรษา...ก่อนออกบิณฑบาตต้องไปรับบาตของพระผู้ใหญ่มาถือไว้จนถึงบ้านโยมจึงนำให้ท่าน...และหลังจากบิณฑบาตจากบ้านโยมเสร็จจะกลับเข้าวัดก็ต้องมารับบาตพระผู้ใหญ่มาถึอไว้จนถึงวัดนำอาหารที่บิณฑบาตไปไว้ส่วนกลาง...แล้วนำบาตรไปล้างทำความสะอาดและผึ่งแดดเสร็จก็นำบาตรไปวางไว้ที่ของท่าน...จากนั้นก็ไปปูอาสนะให้พระผู้ใหญ่...เมื่อเสร็จกิจจึงกลับไปทำธุระส่วนตัวเช่นล้างบาตรของตัวเอง,และกวาดลานวัด,ก็ไปกวาดที่กุฏิที่เราพัก,ท่านต้องการสอนให้เคารพพระผู้ใหญ่,และให้เสียสละทำงานเพื่อส่วนร่วม(หมู่คณะ)...ต่อหลังจากพิจารณาอาหารเสร็จก็ทำหน้าที่ตามที่กล่าวมาข้างต้น(ให้กับพระอาจารย์)จึงออกเดินธุดงค์ต่อ...ก็ผ่านไปหลายที่...และมาเจอที่ๆหนึ่งปฏิบัติธรรม(นั่งสมาธิ)ตอนกลางคืนอยู่ในกลดฝนตกหนักมาก..ฟ้าก็ร้องตลอดสักพักฝนหยุด...ผมตั้งใจจะออกไปเดินจงกรมแต่มาคิดว่าพื้นคงเปียกไปหมด...แต่ก็เปิดกลดและมองออกไปพร้อมมือแตะพื้นกับไม่มีน้ำ...พื้นแห้งสนิท...เป็นไปได้อย่างไร...จึงตั้งใจจะเดินไปถามอาจารย์...ท่านกลับตอบมา...ว่าที่ผมบอกท่านเห็นอะไร...และได้ยินเสียงอะไร...อย่าไปสนใจให้มีสติ...และตั้งใจปฏิบัติธรรมต่อ...แล้วท่านก็เงียบ...แต่ใจผมซิไม่เงียบแต่ยังสังสัยว่าฝนตกหนักแต่ข้างนอกกลดกลับไม่เปียก...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2011
  7. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,634
    ขอร่วมทำบุญเพื่องานบรรพชา-อุปสมบทหมู่ ชมรมพุทธศาสตร์ ม.มหิดล จำนวน 300 บาท โอนไปวันที่14/03/2554 (เป็นการทำบุญวันเกิด)

    ข้าพเจ้า พ.จ.อ.พรพิทักษ์ จาดเจริญ นางวิมลวรรณ คุ้มเวช ขอถวายปัจจัยในการทำบุญครั้งนี้ให้เป็นสังฆทาน วิหารทานและธรรมทาน เพื่อเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ขอให้ผลานิสงส์ผลบุญและอานิสงส์ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำบุญในครั้งนี้ จงเป็นพลวัตรปัจจัยให้เกิดผลในชาติปัจจุบันนี้เป็นต้นไปจนถึงอนาคตกาล
    ขอให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองดั่งสมัยพุทธกาล ขอให้พระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ขอให้สถิตย์มั่นอยู่ในไอศูรย์ราชสมบัติ ตราบจิรัฏฐิติกาลสมัย ขอทรงเป็นฉัตรแก้วคุ้มภัยแก่ปวงข้าพเจ้าทั้งหลายตราบสิ้นกาลนาน ขอให้ประเทศชาติสงบร่มเย็น ขอให้พวกข้าพเจ้าและครอบครัวได้ปฏิบัติธรรมสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน จนบรรลุแจ้งในมรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 ในชาติปัจจุบัน ขอให้รู้จักแต่คำว่า มี – รู้ - สำเร็จ ขอให้พวกข้าพเจ้าและครอบครัวมีแต่ความสุข
    ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่พวกข้าพเจ้าทำในครั้งนี้ ไปให้คุณแม่ลัดดา จาดเจริญ คุณพ่อธงชัย จาดเจริญ ญาติทั้งหลาย ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ เทพเทวาทุกรูปทุกนามทั้ง 20 ชั้นพรหมโลก 6 ชั้นเทวะโลก และมนุษย์โลก มารโลก ยมโลก อบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์ อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของพวกข้าพเจ้าและครอบครัว ที่เคยล่วงเกินท่านมา แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดีและเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นพยาธิโรคที่ทำให้ข้าพเจ้าเจ็บป่วยอยู่ในขณะนี้ ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกับพวกข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงอโหสิกรรมให้ แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่ พระนิพพาน ด้วยเทอญ
    ถ้าแม้นมิสำเร็จมรรคผลนิพพานในชาตินี้ ขอให้พวกข้าพเจ้าได้เกิดในดินแดนพระพุทธศาสนาในครอบครัวนักปราชญ์ ครอบครัวมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ค้ำจุนพระพุทธศาสนา ระลึกชาติได้ตั้งแต่เกิด เข้าถึงธรรมะของพระพุทธองค์ตั้งแต่เยาว์วัย รักษามั่นคงจนสิ้นอายุขัย ขอท่านเทพเทวาและท่านพญายมราช โปรดเป็นสักขีพยานในทำบุญครั้งนี้ เทอญ

    นิพพานปัจจะโยโหตุ


    [FONT=TH SarabunIT๙]<O:p</O:p[/FONT]
     
  8. city

    city เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +627
    อนุโมทนาบุญกับพี่ชานนและทุกๆท่านด้วยครับ พอดีวันที่ 27 มีนาคม ผมต้องไปถวายพระประธานร่วมกับทางเจ้าภาพที่วัดป่าภูเขาน้อย จ.ขอนแก่น เลยไม่ได้ไปร่วมงานบวชพี่ชานน ขออนุญาตโอนเงินไปร่วมเป็นเจ้าภาพกับชมรมพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลแทนนะครับ ไว้มีโอกาสผมจะแวะไปกราบที่วัดนะครับ
     
  9. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    <TABLE border=3 cellPadding=5><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]
    เครื่องบริขารสำหรับการจาริกธุดงค์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ต่อครับ...ใจไม่เงียบแต่ก็ไม่คิดต่อจึงปฏิบัติธรรมเดินจงกรมตามปกติ...ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น(ฝนตกแบบไม่เปียก)ก็กลับเข้าจำวัตรรุ่งเช้าก็ออกไปบิณฑบาตกับพระอาจารย์ที่หมู่บ้าน...ชาวบ้านถามอาจารย์อยู่ที่ตรงนั้นมีอะไรเกิดขึ้นไหม...ท่านนิ่งสักพักก็ตอบว่าไม่มีอะไรหรอกโยม...มีแต่เสียงฝนตกโยมๆก็ไม่ถามต่อ...แต่ในใจ(คิด)ผมอยากจะพูดว่าโยมฝนตกจริงแต่ไม่มีน้ำฝนสักหยด...ท่านอาจารย์ก็หันมามองหน้าผม...เราคิดในใจแต่ท่านคงรู้...และท่านก็เดินนำหน้ากับที่พักเมื่อถึงที่พักท่านก็ไม่พูดอะไร...ผมก็จัดการทำตามหน้าที่นำอาหารมาร่วมกันตรงกลางแล้วให้ท่านพิจารณา...จากนั้นผมก็รับไปพิจารณาต่อ...เมื่อฉันท์เสร็จผมก็นำบาตรของท่านมาล้างและเช็ดพร้อมนำไปตากแดด...ท่านก็บอกให้เตรียมเก็บบริขารจะเดินธุดงค์ต่อใจอยากถามท่าน...เรื่องฝน(เมื่อคืน)ก็ไม่ถามรอให้ท่านบอกดีว่า...ถ้าไปถามท่านอาจจะโดนว่าได้...จึงออกเดินจากที่นั้นมาจนมาเย็นที่แถวๆป่าโล่ง...ท่านก็บอกว่าเราจะพักปฏิบัติธรรมกันที่ตรงนี้...ผมก็ช่วยจัดการรับบริขารท่านมาแล้วก็จัดปูอาสนะให้ท่านหลังจัดเสร็จแล้วก็ไปจัดการของตัวเอง...ท่าน(อาจารย์)ก็พูดว่าจัดบริขารเสร็จแล้วให้มาหาท่าน...ผมก็ตอบ ขอรับ...หลังจากจัดเรียบร้อยแล้วจึงรีบไปหาท่าน...คิดว่า ท่านคงจะเมตตาสอนสั่งและอบรมเรื่องการปฏิบัติธรรม...เมื่อมาถึงท่านบอกว่าให้ปลงอาบัติกับท่าน...ผมตอบว่าขอรับแต่ก็นึกว่าเราผิดศีลข้อไหน(พระวินัยบัญญัติ)...การปลงอาบัติ...หมายถึง
    การปรับ อาบัติทุกกฏ หรืออาบัติทุพภาสิต เป็นการลงโทษขั้นพื้นฐาน จนเป็นที่เสื่อมเสียแก่ตนเองและหมู่คณะ ขาดความเป็นระเบียบร้อยและขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ทั้งยังให้ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาขาดความเลื่อมใสศรัทธา เป็นเหตุให้พระศาสนาเสื่อมได้
    เมื่อภิกษุรูปใดรูปหนึ่งต้องอาบัติ ก็ถือว่าภิกษุรูปนั้นไม่บริสุทธิ์ จะไม่สามารถลงโบสถ์ร่วมทำสังฆกรรมกับภิกษุอื่นๆ ได้ จึงต้องแก้อาบัติให้ตนกลับมีความบริสุทธิ์เสียก่อน การไม่กระทำความผิดข้อใดๆ ก็คือการรักษาศึลให้บริสุทธิ์อย่างเคร่งครัดนั่นเอง


    <CENTER></CENTER>

    <TABLE border=0 borderColor=#ff0000 width="87%" align=center><TBODY><TR><TD height="100%"><CENTER>[​IMG] [​IMG] การปลงอาบัติ ลหุกาบัติ [​IMG] [​IMG]</CENTER><CENTER>[​IMG][​IMG]

    การออกจากอาบัติประเภทลหุกาบัติ (อาบัติเบาๆ) ซึ่งสามารถที่จะปลงอาบัติได้ทุกวัน แต่มักนิยมปลงอาบัติทุกครั้งที่ลงอุโบสถิ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]</CENTER>
    <CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=1 borderColor=#ff0000 width=690 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc colSpan=2><CENTER>[​IMG] วิธีแสดงอาบัติ [​IMG]
    </CENTER>
    </TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD width=165 align=middle>(พรรษาอ่อน ว่า)

    </TD><TD width=509>สัพพา ตา อาปัตติโย อาโรเจมิ (ว่า ๓ หน)
    สัพพา คะรุละหุกา อาปัตติโย อาโรเจมิ (ว่า ๓ หน)
    อะหัง ภันเต สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย อาปัตติโย
    อาปัชชิง ตา ตุมหะ มูเล ปะฎิเทเสมิ
    </TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD align=middle>(พรรษาแก่ รับว่า)</TD><TD width=509>ปัสสะสิ อาวุโส ตา อาปัตติโย</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD align=middle>(พรรษาอ่อน ว่า)</TD><TD width=509>อุกาสะ อามะ ภันเต ปัสสามิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD align=middle>(พรรษาแก่ รับว่า)</TD><TD class=StyleT18 width=509>อายะติง อาวุโส สังวะเรยยาสิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD align=middle>(พรรษาอ่อน ว่า)</TD><TD class=StyleT18 width=509>สาธุ สุฎฐุ ภันเต สังวะริสสามิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD></TD><TD class=StyleT18 width=509>ทุติยัมปิ สาธุ สุฎฐุ ภันเต สังวะริสสามิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD></TD><TD class=StyleT18 width=509>ตะติยัมปิ สาธุ สุฎฐุ ภันเต สังวะริสสามิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD></TD><TD width=509>นะ ปุเนวัง กะริสสามิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD></TD><TD width=509>นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD height=35></TD><TD width=509>นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ</TD></TR><TR bgColor=#cccccc><TD height=5 colSpan=2 align=middle>[​IMG] จบพรรษาอ่อน [​IMG]</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD width=165 align=middle>(พรรษาแก่ ว่า)

    </TD><TD width=509>สัพพา ตา อาปัตติโย อาโรเจมิ (ว่า ๓ หน)
    สัพพา คะรุละหุกา อาปัตติโย อาโรเจมิ (ว่า ๓ หน)
    อะหัง อาวุโส สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย อาปัตติโย
    อาปัชชิง ตา ตุยหะ มูเล ปะฎิเทเสมิ
    </TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD align=middle>(พรรษาอ่อน รับว่า)</TD><TD width=509>อุกาสะ ปัสสะถะ ภันเต ตา อาปัตติโย</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD align=middle>(พรรษาแก่ ว่า)</TD><TD width=509>อามะ อาวุโส ปัสสามิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD align=middle>(พรรษาอ่อน รับว่า)</TD><TD class=StyleT18 width=509>อายะติง ภันเต สังวะเรยยาถะ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD align=middle>(พรรษาแก่ ว่า)</TD><TD class=StyleT18 width=509>สาธุ สุฎฐุ อาวุโส สังวะริสสามิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD></TD><TD class=StyleT18 width=509>ทุติยัมปิ สาธุ สุฎฐุ อาวุโส สังวะริสสามิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD></TD><TD class=StyleT18 width=509>ตะติยัมปิ สาธุ สุฎฐุ อาวุโส สังวะริสสามิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD></TD><TD width=509>นะ ปุเนวัง กะริสสามิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD></TD><TD width=509>นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ</TD></TR><TR borderColor=#dceda7><TD height=26></TD><TD width=509>นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ</TD></TR><TR bgColor=#cccccc><TD height=5 colSpan=2 align=middle>[​IMG] เสร็จพิธีแสดงอาบัติ [​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เมื่อปลงอาบัติเสร็จแล้ว...ท่าน(อาจารย์)บอกว่าตอนท่านตักน้ำล้างบาตรท่าน...ท่านได้กรองน้ำหรึอเปล่า...ผมตอบว่าเปล่าครับ..ท่านต้องพิจารณาด้วย...ถึงไม่เจตนาแต่ก็ผิดตามวินัยสงฆ์...ผมก็นึกได้ตอนล้างบาตรได้ตักน้ำในลำคลองขึ้นมาโดยไม่ได้ใช้ที่กรองน้ำ(อาจมีสัตว์อยู่ในนั้น)...เมื่อล้างบาตรเสร็จก็น้ำเทลงพื้น...ท่านจึงพูด เราต้องศึกษาข้อวัตรปฏิบัติให้ดี(หนังสือนวโกวาท)จะได้ไม่ทำผิด(พระวินัยบัญญัติ)เพราะถ้าไปเดินธุดงค์คนเดียวจะไม่มีผู้ปลงอาบัติ(ต่อศีล)จะทำให้เราศีลพร่อง...จะเป็นอันตรายกับจิตใจเรา...การเดินธุดงค์ในป่าต้องสำรวมและมีสติและเข้าใจข้อวัตรปฏิบัติธรรม...ผมตอบ...ขอรับ...ท่าน(อาจารย์)พูดว่าเรื่องเมื่อคืน(ฝนตกแต่ไม่เปียก)ก็ไม่ต้องคิดและกังวนในจิตใจเพราะบ้างเรื่องในป่ามีอะไรหลายอย่างที่เราไม่รู้อีกมาก...ที่เราเห็นเป็นการแสดงอิทธิฤิทธิของเจ้าป่าที่เขาต้องการทดสอบ...ถ้าเรามั่นคงในศีล...ไม่มีอะไรมาทำร้ายเราได้...นอกจากเราทำร้ายตัวเราเอง...คือไม่รักษา...ศีล(พระวินัย)แล้วท่านก็ให้ผมกลับไปปฏิบัติธรรมที่พัก(กลด)ต่อ...ทำให้ผมเข้าใจว่าการอยู่ในป่ามีคนดูเราอยู่ตลอด...คือเทวดา,เจ้าป่าเจ้าที่,และก็วิณญาญ,เขาต้องการได้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติดี(พระ)ที่เข้ามาในป่าที่เขาอยู่เพื่อเขาจะได้ชมบารมีและร่วมอนุโมทนาบุญด้วย...ต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2011
  10. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ต่อครับตอนที่ธุดงค์กับท่าน(พระอาจารย์)ท่านจะไม่อยู่กับที่ไหนนาน(ปฏิบัติธรรม)เคยถามท่าน...ท่านตอบว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม...ต้องอยู่สันโดษและไม่อยู่ติดที่...เคยเห็นญาติโยมนิมนต์ให้ท่านอยู่โปรดนานๆไม่อยากให้ไปบ้างครั้งก็นิมนต์ให้ให้อยู่สร้างวัด...แต่ท่านก็จะตอบกับญาติโยมว่าอาตมายัง เป็นผู้ที่ยังสอนตัวอยู่ ก็ยังไม่รู้ธรรมะ...ที่อาตมา เดินธุดงค์ในป่าก็เพื่อมาศึกษาจิตใจตัวของอาตมาเอง..คงจะสอนญาติโยมได้ไม่มาก...กระผมก็ฟังและคิดตามว่า...ท่าน(พระอาจารย์)ที่ท่านตอบไม่รู้(ธรรมะ)ยังสอนตัวเองอยู่...จริงๆแล้วท่านแตกฉานและรู้วาระจิตของคนได้ละเอียด...แต่ท่านต้องตอบแบบนั้นก็เพราะไม่ต้องการให้ญาติโยมยึดติดท่าน(ให้อยู่สร้างวัด)...และท่านก็เมตตาสอนกระผมว่า...เราต้องรู้หน้าที่ของเราก่อนว่ากำลังทำอะไรอยู่...หน้าที่ของเราตอนนี้ ยังต้องอบรมจิตใจเราไม่ให้ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส...คือ ลาภ,สักการะ,กับการยึดติด...กระผมก็ยังไม่เข้าใจว่าเกี่ยวอะไรกับญาติโยมที่นิมนต์ให้อยู่...ท่านก็คงจะรู้ความคิดของกระผม...ท่านจึงเมตตาพูดขึ้นมาว่า...นี้คือกับดักของผู้ปฏิบัติธรรม<!-- google_ad_section_end -->
     
  11. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    คำกับดักของผู้ปฏิบัติธรรม...ถ้าเรารับ(นิมนต์)อยู่สร้างวัด เราก็จะยุ่งการก่อสร้างภายนอก...แต่ไม่มาสร้างที่จิตใจเรา(ปฏิบัติธรรม)...ยังไม่ถึงเวลาให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ท่านจิตมั่นคง(พระอาริยะเจ้า)ผู้พ้นนิสัยรู้แจ้งทางธรรม...เพราะถ้าเราไปรับสร้างทั้งที่ตัวเรายังไม่มีฐานที่มั่นคงในจิตใจ(ภูมิธรรม)จะทำให้จิตใจสั่นคลอน...และไปสร้างและสอนญาติโยมแบบผิดๆ...สอนตามใจกิเลส(รู้แบบผิดๆ)เพราะยังพ้นนิสัย...จะเป็นบาปกับตัวเราเอง...ท่านเมตตาถาม...กระผมว่าท่านเข้าใจหรือยัง...กระผมตอบเข้าใจแล้วครับ...การธุดงค์ครั้งนั้นก็ได้เรียนรู้ข้อวัตรปฏิบัติธรรมในการอยู่ป่าและเข้าใจว่าถ้าเรายังไม่รู้จริงการปฏิบัติธรรมก็ไม่ควรไปสอนผู้อื่น...เพราะเรายังสอนตัวเองเองไม่ได้...และหน้าที่สอนธรรมเป็นหน้าที่ของพระ(กลุบุตรของพระศาสนา)...คือพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ท่านพบสัจธรรมแล้ว...จริงๆแล้วกระผมก็ได้พบหลายเรื่อง(ที่เดินธุดงค์)ซึ่งบ้างครั้งก็เป็นเรื่องเหลื่อเชื่อเหมือนกัน...กับนิทาน...ช่วงหนึ่งที่กระผมเดินเข้าไปในป่าทึบก็พบพระธุดงค์ท่านนั่งสมาธิอยู่โคนต้นไม้...เห็นท่านก็เกิดศรัทธาอยากเข้าไปกราบท่าน...ท่านนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่ก็ไม่กล้าไปรบกวนท่าน...จะเป็นบาปแก่ตัวเรา(ท่านกำลังเข้าณานสมาบัติ)ก็เพราะตัวท่านไม่ติดพื้นลอยห่างจากพื้นประมาณ10ซ.ม...(พระอาจารย์)ท่านก็พูดว่าให้กระผมกราบท่านห่างๆจะได้ไม่เป็นการรบกวนท่าน...เมื่อกราบเสร็จแล้วก็เดินต่อไปได้ประมาณกะว่าสักครึ่งกิโล...แล้วก็พบท่านนั่งตรงหน้าที่โคนต้นไม้...ก็หยุดเดินแล้วคิดท่านมาได้เร็วว่าเราได้อย่างไรเพราะตอนเรากราบท่านเสร็จกระผมก็เดินออกมาก่อนท่าน...และก็มองเห้นท่านยังนั่งอยู่...ท่าน(พระอาจารย์)คงจะรู้ความคิดของผมจึงเมตตาพูดขึ้นว่า...ถ้าท่านอยากรู้ก็ไปถามท่านได้...ก็คิดว่าจะดีหรือ...แล้วอยู่ๆท่าน(พระธุดงค์ที่นั่งอยู่โคนต้นไม้)ท่านก็เรียกเบาๆแต่กระผมได้ยินชัดเจนเหมือนกับท่านอยู่ใกล้ๆท่านเรียกว่า...หลวงพี่เข้ามาก่อน...กระผมก็คลานเข้าไป...ท่าน(พระธุดงค์ที่นั่งโคนต้นไม้)ก็เมตตาพูดขึ้นว่า หลวงพี่ต้องการรู้อะไรก็ถามมาได้...ท่านรู้ได้อย่างไรว่าผมอยากรู้อะไร...กระผมจึงถามว่า...หลวงพ่อครับ...หลวงพ่ออยู่ที่ตรงนี้มานานกี่ปีครับ...ท่าน(พระธุดงค์)เงียบสักพักก็ตอบว่า...อยู่ตั้งแต่...กรุงเทพยังไม่เกิดเลย(ยังไม่มี)<!-- google_ad_section_end -->
     
  12. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    กระผมก็ไม่อยากคิดต่อ...แต่ถ้าคิดก็ประมาณ200กว่าปี...จะเป็นไปได้อย่างไรท่านดูไม่หน้าถึง70ปี...กระผมกำลังคิดอยู่...ท่าน(พระธุดงค์)ก็เมตตาพูดว่ามีอีกหลายที่หลวงพี่ไม่รู้ในโลกธาตุ...ปฏิบัติธรรมไปแล้วจะรู้เอง...ถ้าไม่ท้อหรือหยุด...แล้วจะเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า...หลวงพี่จงจำที่ผมพูด...ให้ทำที่ปัจจุบันให้ดี(ประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง)...แล้วปัจจุบันก็จะส่งผลถึงอนาคต...ทุกอย่างเกิดขึ้นที่ปัจุจบันจึงทำให้ผมมาพบกับหลวงพี่(กำลังจะคิด)ท่าน(พระธุดงค์)เมตตาสอนต่อ...บุญเกิดที่ตัวเราบาปเกิดที่ตัวเรา...แต่ถ้าหยุดสร้างบุญสร้างบาป...ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม(ขัดเกลากิเลสในใจตัวเรา)...ก็ถึง...แดนพระนิพพาน...ท่านพูดจบก็หลับตาเหมือนเดิม...กระผมก็ไม่กล้าถามต่อ...ก็ก้มลงกราบลาท่าน...<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    แล้วก็เดินธุดงค์ต่อ...แต่ก็หันหลังกลับไปมองท่าน(พระธุดงค์)...ก็ไม่พบท่านแล้ว...จึงหยุดเดินจะถาม...พระอาจารย์ท่านก็บอกให้เดินต่อ...ก็ไม่ได้ถามเลย...จนมาเย็นที่ชายป่าที่จะออกสู่ป่าโล่ง...ท่าน(พระอาจารย์)ก็เมตตาให้หาที่ปักกลด...กระผมจึงช่วยแบกรับบริขารท่านมา...และปักกลดและปูอาสนะให้ท่าน...อยู่ๆท่านก็เมตตาพูดกับกระผมว่า...ได้สนทนาธรรมกับท่าน(พระธุดงค์)แล้วเข้าใจความหมายธรรมของท่านไหม...กระผมจึงเรียนบอกว่ายังไม่เข้าใจคำว่า...หยุดสร้างบุญและสร้างบาป...ท่าน(พระอาจารย์)เมตตาพูดว่า...คน(มนุษย์)ส่วนมากจะชอบทำบุญสร้างวัด,สร้างวิหาร,และก็สร้างไปเรื่อยๆ...เพราะเข้าใจว่าทำบุญเยอะจะได้สบายไปเกิดแดนสรรค์...และคำว่าสร้างบาปคือ...ทำบาปให้กับตัวเอง...เช่นรู้ว่าทานเหล้า,ไม่ดีทำลายสุขภาพ(ร่างกาย)ก็ยังทำเล่นการพนัน,ทำให้หมดตัวก็ยังเล่น,และสุดท้ายก็ขโมยลักทรัพย์ของผู้อื่นทำให้ต้องถูกจ้องจำ(ติกคุก)......หยุดสร้างบุญสร้างบาป...หมายความคติธรรมของท่าน(พระธุดงค์)คือ...มนุษย์(ตัวเรา)ไม่เคยมาสร้างอะไรให้กับตัวเราเอง(จิตใจ)สร้างแต่ภายนอกกาย(นอกจิตใจ)...ท่านบอกให้หันมาสร้างที่ตัวเราเอง(ในจิตใจ)คือให้มาประพฤติปฏิบัติธรรม(ทำสมาธิ)ขัดเกลากิเลสในจิตใจ...เพราะทางที่จะพ้นทุกข์มีอยู่ทางเดียวคือ...ปฏิบัติธรรม(ทำสมาธิทำให้เกิดปัญญา)...จะหยุดเกิดแดนสรรค์(บุญ)หยุดบาปหยุดแดนนรก...เข้าถึงซึ้งแดนนิพพาน
    ท่าน(พระอาจารย์ก็หยุดพูดและมองหน้ากระผม)...กระผมก็ตอบเข้าใจครับแต่ก็ไม่ง่ายๆครับ...ท่านก็เมตตาบอกว่า...จงใช้ความ...เพียร(ขยันทำทุกๆวัน)ท่านบอกเหมือนกับเราเติมน้ำใส่โอ่งทุกๆวันอย่างไงก็ต้องเต็มวันใดวันหนึ่ง...ทำให้กระผมเข้าใจธรรมมากขึ้นแต่ก็ยังต้องสู้กับใจ(กิเลส)เราที่จะคอยหลอกล่อเราหยุดทำบ้างทุกวันนี้ก็ยังแพ้กิเลสอยู่...แต่ก็จะสู้กับ(กิเลสในจิตใจ)ให้ถึงที่สุดไม่มันตายก็เราตาย...ก็ขอจบนิทานแค่นี้ครับ...ต้องเตรียมใจและกายขึ้นวัดวันที่17/3/54โทษด้วยครับจริงๆแล้วเรื่องที่ผมเขียนก็คิดเป็นนิทานอ่านแล้วได้ความรู้สึกที่ดีนะครับ...ทุกท่านก็มีโอกาสพบและสัมผัสได้ถ้าบุญสัมพันธ์กันมาก่อนเพราะผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมต้อง
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  14. ชานนคนไทย

    ชานนคนไทย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ผ่าน...ก็ขอให้เรามีความตั้งใจจริงประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วไม่อะไรที่เราตั้งใจแล้วจะทำไม่ได้ถ้าจะทำคือ...ความดีให้กับตัวเรา(ปฏิบัติธรรม)ขอให้ธรรมรักษาเพื่อนๆสมาชิกและครอบครัวมีความสูขตลอดไปตราบเข้าซึ้งพระนิพพาน...คงได้พบกันทางธรรม...กราบลาสวัสดีครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    กราบโมทนากับพี่ชานน และทุกๆ ท่านในทุกกุศลผลบุญด้วยค่ะ... ^__^
     
  16. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ค่ำคืนของวันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม
    กว่าจะทำโน้นทำนี่เสร็จก็ปาไปเที่ยงคืนแล้ว
    สองวันมานี่อากาศมันหนาวได้ใจดีจริงๆ
    อากาศทุกวันนี้มันแปรปรวนเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว
    ใครที่สุขภาพไม่ค่อยดีนักก็อาจจะป่วยได้ง่ายๆ
    คืนนี้ก็ยังไม่วายหนาวววววซะเหลือเกิน


    ไม่อยากจะถูกน้ำเล้ยจริงๆ อีกสองชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว
    ดองเอาไว้ก่อนก็แล้วกาน...อิอิ ตอนนี้ของีบเอาแรงสักนิ๊ดดีกว่า
    ...กำลังอุ่นได้ที่ เสียงอะไรมันกี๊ดๆๆร้องขัดห้วงนิทราซะจริงๆ
    ปรือตาขึ้นมามองนาฬิกาที่ส่งเสียงเสียดแทงประสาทหู
    ตีสองเอง...ขออีกนิ๊ดน่า....อีกนิ๊ด
    จนเวลานิ๊ดหนึ่งเลยมาครึ่งชั่วโมงกว่า
    คราวนี้ตาเหลือกเลย สปริงเด้งในตัวทำงาน
    ตาลีตาลานรีบกดโทรศัพท์ไปเรียก Taxi
    ก็จะไม่ให้เรียกได้ไง ต้องออกเดินทางตอนตีสามอะ
    กลางดึกสงัด บนเส้นทางสายเปลี่ยว
    แถมยังเป็นสาวสวยสะโอดสะองซะขนาดนี้ ไว้ใจได้ซะที่ไหน
    โฮะๆๆๆ ยังไงเพื่อความสบายใจของคนขับ...
    เอ้ย...ไม่ใช่...เพื่อความสบายใจของบุคคลอันเป็นที่รัก
    เลยต้องใช้บริการพี่ Tax...


    ใช้เวลาในการวิ่งผ่านน้ำเย็นเจี๊ยบไม่กี่นาที
    จับตัวเองยัดลงในกางเกงยีนส์ ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย
    ก็รีบจ้ำอ้าวไปหน้าหมู่บ้าน เพราะพี่Tax โทรมาแจ้งว่ารออยู่แล้ว
    "พี่ปั๊มปตท.สนามเป้า ขึ้นด่วนไปโลดเลย"
    พี่ Tax ก็บริการรวดเร็วได้ดั่งใจ มาถึงที่นัดก่อนตีสี่ตั้ง 25 นาที
    มาถึงก่อนยังไงๆ ก็ดีกว่าอยู่แล้ว...
     
  17. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    จากนั้นก็รอบรรดาผู้ร่วมเดินทาง
    ได้เวลา 04.15 น. รถตู้สองคัน ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จุดหมาย
    ทางมันโล่ง ใช้เวลาไม่เท่าไหร่เราก็มาถึงสิงห์บุรี
    แวะหามื้อเช้ารองท้อง จากตอนแรกคิดว่าน่าจะถึงตอน 7 โมงกว่า
    แต่นี่มาถึง 05.30 น.แต่ที่นี่เขาก็มีอาหารให้รองท้องได้แล้ว
    ข้าวต้มร้อนๆ เกาเหลาเลือดหมู ข้าวเปล่า
    พออิ่มหน่ำสำราญท้อง เราก็เดินทางกันต่อ


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A01.JPG
      A01.JPG
      ขนาดไฟล์:
      23.6 KB
      เปิดดู:
      537
  18. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    จนเวลาเกือบเที่ยงเข้าเขตภาคเหนือมาแล้ว
    เราก็มาหยุดพักรถกันอีกจุดหนึ่งและเพิ่มพลังให้ท้องกันด้วย
    ที่นี่บรรยากาศดี มีลำคลองเล็กๆ ไหลผ่าน
    ต้นไม้ใบไม้สดชื่น

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • B01.jpg
      B01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61 KB
      เปิดดู:
      527
    • B02.jpg
      B02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.5 KB
      เปิดดู:
      513
    • B03.jpg
      B03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.4 KB
      เปิดดู:
      530
    • B04.jpg
      B04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.3 KB
      เปิดดู:
      503
    • B05.jpg
      B05.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.7 KB
      เปิดดู:
      502
    • B06.jpg
      B06.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.5 KB
      เปิดดู:
      518
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2011
  19. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ราวบ่ายโมง เราก็มาถึงวัดพระธาตุลำปางหลวง
    ขึ้นไปกราบนมัสการพระธาตุ และร่วมทำบุญ
    มีรถม้าให้นั่งชมรอบๆ กันด้วย
    หลายคนอดใจไม่ไหวขอไปเก๊กท่าทำสวย
    ขอชักภาพไว้เป็นที่ระทึก...เอ้ยระลึกกันหน่อย ^^


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • C01.JPG
      C01.JPG
      ขนาดไฟล์:
      89.1 KB
      เปิดดู:
      536
    • C02.JPG
      C02.JPG
      ขนาดไฟล์:
      36.3 KB
      เปิดดู:
      519
    • C03.JPG
      C03.JPG
      ขนาดไฟล์:
      44.2 KB
      เปิดดู:
      482
    • C04.JPG
      C04.JPG
      ขนาดไฟล์:
      56.9 KB
      เปิดดู:
      519
  20. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    วัดพระธาตุลําปางหลวง ตั้งอยู่ใน อ.เกาะคา จ.ลําปาง
    วัดพระธาตุลําปางหลวงเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองลําปางมาแต่โบราณ
    เล่ากันสืบมาว่ามีมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี
    ในราวพุทธศตวรรษที่ 20 ตอนปลาย


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • D01.JPG
      D01.JPG
      ขนาดไฟล์:
      70.9 KB
      เปิดดู:
      692
    • D02.JPG
      D02.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.7 KB
      เปิดดู:
      491
    • D03.JPG
      D03.JPG
      ขนาดไฟล์:
      88.8 KB
      เปิดดู:
      525
    • D04.JPG
      D04.JPG
      ขนาดไฟล์:
      78 KB
      เปิดดู:
      493
    • D05.JPG
      D05.JPG
      ขนาดไฟล์:
      53 KB
      เปิดดู:
      481
    • D06.JPG
      D06.JPG
      ขนาดไฟล์:
      70.7 KB
      เปิดดู:
      479
    • D07.JPG
      D07.JPG
      ขนาดไฟล์:
      102.8 KB
      เปิดดู:
      505
    • D08.JPG
      D08.JPG
      ขนาดไฟล์:
      56.1 KB
      เปิดดู:
      556
    • D09.JPG
      D09.JPG
      ขนาดไฟล์:
      34.4 KB
      เปิดดู:
      489

แชร์หน้านี้

Loading...