เออ!...ตามมาทำไม..ถ้าไม่รักยายผีป่า?!!

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย DevilBitch, 23 มีนาคม 2005.

  1. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๔ (ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม : เป็นพระด้วยนะคะ?
    ตอบ : จะพระจะอะไรก็เถอะ คำว่าหยาบมากนี่คือว่าของเขาเองเขายังไม่เคยชินกับสภาพนั้น การภาวนาของเขาอาจไม่ได้ระยะนานอย่างของเรา ค่อยๆ สะสมตัวมาคนที่สะสมตัวมาลักษณะของมโนมยิทธิครึ่งกำลัง ถ้าหากว่ามันอยู่ตัวแล้วมันจะไปเรียบ แต่เราสังเกตอย่างหนึ่งนะ มันจะคล่องกว่าเดิมแค่นั้นเองจะมีความคล่องกว่าเดิม จะมีความชัดเจนแจ่มใสกว่าเดิม
    ถาม : ทุกครั้งสิ่งที่ทราบเวลาไปฝึกเต็มกำลัง สิ่งที่ได้รับจากสมเด็จพ่อ ท่านก็บอกว่าให้หนูทำงานเป็นสาธารณะกุศลทุกครั้งเลยค่ะ
    ตอบ : ก็ทำไปซิ ทุกอย่างที่ควรจะทำได้หลวงพ่อท่านบอกไว้แล้ว ถ้าเรายังรักษาอภิญญาสมาบัติสาธารณะปฏิปทาได้จะตามสงเคราะห์เราไปตลอด เรื่องทางด้านนั้นก็ทำดู อะไรที่ทำเกื้อพระศาสนาเพื่อแบ่งเบาภาระของหลวงพ่อก็ถือเป็นงานส่วนรวมทั้งนั้นล่ะ
    ถาม : อย่างนี้แสดงว่าท่านกำหนดตัวเลยใช่มั้ยคะ?
    ตอบ : ถ้าท่านบอกมาเหมือนเดิมทุกครั้ง ก็เป็นอันว่าโอเคแล้ว
    ถาม : แต่เพื่อนข้างๆ เขาจะได้ลาภ หมอเตือนใจเข้าไปสอนเขาว่า ลูกต้องทำให้ดีนะ ลูกต้องไปเป็นครูสอนเขาต่อไป ระยะเวลาเดียว พอนานไหมีการเปลี่ยนงานเหมือนกัน อย่างหลวงพ่อระยะแรกๆ ท่านรักษาโรคให้ด้วย พอรักษาไปๆ พอถึงเวลาหลวงปู่ธรรมชัยมาปุ๊บ ท่านบอกเจ้าของงานมาแล้ว ท่านหยุดเลย ต่อไปใครป่วยท่านไล่ไปหาหลวงปู่ธรรมชัย มันก็ดูด้วย บางอย่างมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน แต่ว่า กว่าจะเปลี่ยนก็ต้องรับหน้าที่นั้นไประยะหนึ่งซึ่งบางทีก็ยาว บางทีก็ไม่ยาวเท่าไหร่
    ถาม : อย่างนี้แต่ละคนนี่ ถูกกำหนดหน้าที่ใช่มั้ยคะ ว่าช่วงนี้ต้องทำอย่างนี้ๆ ?
    ตอบ : บางทีบุคคลที่โดนกำหนดมาไม่สามารถทำคุณสมบัติตัวเองให้เมาะสมกับหน้าที่นั้นได้ ก็มีการเปลี่ยนตัวแทนไป ตัวแทนน่ะแย่ซิมันไม่ใช่ความถนัดของตัว มันจะ....
    ถาม : สรุปแล้วท่านจัดสรรให้เอง?
    ตอบ : มันจะมีการจัดสรรกันอยู่ ลักษณะแบบเดียวกับที่ว่ามีคำทำนายจากสมัย ฝังลูกนิมิตที่โบสถ์วัดท่าซุงไง ว่าระยะนั้นเวลานั้นจะมีพระเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ช่วยงานหลวงพ่อได้ อะไรได้ ถ้าเราไม่เร่งทำนะ มันจะไม่ได้ตามระยะที่ท่านบอก แต่ถ้าเราเร่งทำจริงๆ ตั้งใจทำจริงๆ ไม่ทอดทิ้งบางทีมันจะเร็วกว่าที่ท่านบอก ยกเว้นว่าของเราเองไปตามเวลาตามระยะที่ท่านบอกพอดีเป๊ะ ก็ได้ตามจังหวะที่ท่านว่ามา
    ถาม : อย่างปกติหนูก็รับใช้ศาสนาเสาร์อาทิตย์จันทร์อย่างนี้ ตลอดไม่เคยขาด แต่อยู่ๆ ต้องไปเรียนมันเหมือนเราขาดช่วงไปค่ะ?
    ตอบ : มันไม่ขาดหรอก เพราะว่าตัวอาตมาเองตอนไปเป็นทหารมันก็เหมือนกับห่างหลวงพ่อไป แต่มันทำให้ใจเรายึดเกาะได้ดีกว่า มันเป็นการฝึกเราให้รู้จักปล่อยวาง ให้รู้จักความพอดีอะไรบางอย่างซะด้วยซ้ำไป เพราะว่าถึงเวลาแล้ว สมมติผ่านเวลาไปหนึ่งปีหรือสองปีเราก็จะรู้สึกว่า เออ.. จริงๆ แล้วหน้าที่มันสำคัญทั้งทางโลกทางธรรมนะ ถ้าหากว่าเราทุ่มเทแต่ว่าทางธรรมอย่างเดียวโลกมันก็ช้ำ ถ้าหากว่าเราทุ่มเทโลกอย่างเดียวธรรมมันก็เสียนะ เราอาจจัดระเบียบความพอดีตัว มัฌชิมาปฏิปทา ของเราขึ้นมาได้อีกซะด้วยซ้ำไป
    ถาม : ถ้าอย่างนี้ เราวางกำลังใจของเรา แต่หนูก็ (ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : ทำหน้าที่เฉพาะหน้าของตนให้ดีที่สุด นั่นแหละ ถ้าทำอย่างงั้นก็โอเค เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างของเราในปัจจุบันนี้เราต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าเราทำปัจจุบันดี อนาคตมันดีแน่นอน ใครเขามีโอกาสได้ทำ เราก็โมทนากับเขาถึงเวลาเรามีโอกาสเราก็กลับไปทำหน้าที่เดิม
    ถาม : บางครั้งก็น้อยใจว่าทำไมเราถึงทำบุญน้อยอย่างนี้?
    ตอบ : (หัวเราะ) ไม่ต้องไปน้อยใจเลย สมัยที่เป็นทหารมันฝึกกลางวันฝึกกลางคืน โอกาสจะไปหาหลวงพ่อแต่ละครั้งยากเย็นแสนเข็ญกว่าจะลาหยุดได้ ตอนนั้นรู้สึกว่าคิดถึงหลวงพ่อใจจะขาด ตื่นตีห้า กว่าจะได้นอนน่ะสามทุ่ม แล้วสี่ทุ่มเขาเป่านกหวีดให้ไปฝึกวิธีรบกลางคืนอีกกว่าจะนอนตีสอง เท่ากับว่ามีเวลานอนติดต่อกันจริงๆ คือช่วงตีสองถึงตีห้า เราเองก็ยังสละเวลา พอตีสามลุกขึ้นมาภาวนา เพราะว่าหลวงพ่อสอนมานานแล้วให้ทำอย่างนี้ๆ ถึงเวลามันนึกขึ้นมาได้ว่าเราต้องทำ ก็ลุกขึ้นมาทำมันจะมีตัวฉันทะ ตัววิริยะมากกว่าปกติซะด้วย เพราะรูว่าตอนนี้เราห่าง ยิ่งห่างถ้าเราไม่ยิ่งเร่งปฏิบัติของเราก็เหมือนกับว่าไกลครูบาอาจารย์ไปเรื่อย คราวนี้ของเราช่วงนี้ก็เหมือนกับว่าเราห่างใช่มั้ย? เราห่างก็จำเป็นที่ว่าเราต้องเร่งทางใจของเราให้มากกว่า อันนั้นมันเป็นงานทางกาย แต่ขณะเดียวกันใจมันเป็นสุขด้วยใช่มั้ย? คราวนี้มันก็เหลือแต่ว่าเราต้องเร่งทางใจของเราในช่วงที่มันไม่ได้ไป
    ถาม : แล้วอย่างนี้คนที่ไปอยู่เมืองนอก เขาไม่ยิ่งกว่าพวกเราเหรอ?
    ตอบ : ก็นั่นแหละ ตัวนี้แหละที่ว่าต้องลงใต้ คนใต้นี่เขาหิวพระต้องใช้คำนี้เลย คือเขาอยากจะให้ไปทุกเดือนเลย ประเภทว่าอยู่ประจำได้เลยยิ่งดี แต่ว่ามันไม่ไหวเพราะหน้าที่ของเรามันมีอยู่ ในเมื่อของเขาเองโอกาสเขาน้อย ถึงเวลาเขากอบโกยเต็มที่ สังเกตว่าเวลาหลวงพ่อไปต่างประเทศฝึกกรรมฐานให้ พวกนั้นจะได้ง่ายใช่มั้ย?
    พวกทางใต้ก็เหมือนกัน มาแต่ละคนนี่เวลาถามปัญหาธรรมนี่ ไอ้เราตกใจ เขาทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ คือของเขาเอง เขาอยู่ลักษณะที่ว่าต้องเร่งขวนขวายให้มาก เพราะว่าโอกาสใกล้ครูบาอาจารย์มันน้อย เมื่อวานนี้ก็มาที่นี้คณะหนึ่ง มาจากยะลาบอกว่าแวะมาก่อน เดี๋ยวจะไปวัดท่าซุง ไปร่วมงานสะเดาะเคราะห์ เป็นเรา เราจะมีอารมณ์นั่งรถเป็นพันๆกิโลมาอย่างเขามั้ย ? แล้วแต่ละคนอายุไม่ใช่น้อยๆ อย่างลุงสุชาติ อย่างป้าบุญเรือนอย่างนี้แต่ละคนนี่อยู่ในระดับยเลยเกษียณแล้ว ยังอุตส่าห์ขวนขวายมาต้องชมกำลังใจของเขามันถึงจริงๆ
    ขณะเดียวกันพวกเรามันอยู่ใกล้กลายเป็นหนูตกถังข้าวสารกินเมื่อไรก็ได้ เลยไม่ได้กินซักที มันต้องเร่งแบบของเขาทำเหมือนกับว่าเรามีวันนี้วัดเดียวนะ ทำแบบวันนี้มีวันเดียวนึกออกมั้ยว่าทำอะไรบ้าง พรุ่งนี้มันไม่มี ถ้ามันตายวันนี้เราเกาะนิพพานไม่ได้มันขาดทุนนี่
    ถาม : บอกให้ทรงกำลังใจนี่แสดงว่าช่วงนี้ก็ยังทำอยู่ใช่มั้ยคะ?
    ตอบ : ตลอดเวลาทุกวัน ยิ่งห่างพระยิ่งต้องทำให้หนัก
     
  2. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : แล้วอย่างการพูดจานี่เป็นของเก่าติดมาตั้งแต่อดีตชาติหรือเปล่าคะ?
    ตอบ : มันก็มีที่ติดมาด้วย ตัวอย่างชัดๆ ก็พระปิลินทวัจฉะ พระปิลินทวัจฉะท่านเกิดเป็นพราหมณ์ติดต่อกันมาตั้ง ๕๐๐ ชาติ พราหมณ์เขาถือว่าเป็นชาติตระกูลที่สูงมากใช่มั้ย? ก็เห็นคนอื่นต่ำหมดเลยติดปากคำว่าไอ้ถ่อย ถึงเวลาถามมาก็ ไปไหนมาไอ้ถ่อย..อย่างนี้ ถ้าตัวเองเป็นพราหมณ์อยู่มันไม่เป็นไรคราวนี้มาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา คนโกนหัวนี่สมัยก่อนเขาถึอว่าเป็นคนจัญไร แล้วไปพูดลักษณะนั้นกับเขา เขารับไม่ได้ เขาก็ด่าคืนเอา มันเลยกลายเป็นโทษกับเขาไป ตอนหลังท่านเลยไปอยู่ป่ากลายเป็นที่รักของเทวดา
    ถาม : เพราะอะไรเจ้าคะ?
    ตอบ : ท่านเองท่านเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว เป็นที่รักของเทวดาก็เพราะว่าเทวดาอยากจะให้อยู่ ก็พลอยได้รับความเยือกเย็นไปด้วยจากท่าน ท่านเมตตาสั่งสอน แต่ว่าเวลาอยู่กับคนท่านลำบากเพราะท่านไปติดปากตรงจุดนั้น คนเขาไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า ท่านเป็นพราหมณ์ติดต่อกันตั้ง ๕๐๐ ชาติคำนี้มันติดปากมาแล้วแก้ไม่ได้หรอก
    ถาม : บางคนก็ปากหวานนะคะหลวงพี่ พูดอะไรก็ โห..เหมือนไม่รู้พูดมาจากไหน ทำไมพูดดีจัง
    ตอบ : ปากหวานระวังก้นมันจะเปรี้ยว (หัวเราะ) แต่ว่าอย่างที่โบราณเขาว่านั่นแหละ อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หายใช่มัย? ปิยวาจาพูดดีเข้าไว้เคย ใครมันก็รัก
    ถาม : อย่างลูกสาวนี่ตอนเล็กๆ นะคะเขาไป เหมือนไปวัดก็ไปด้วยกันแม่ลูกสามคน พอโตนี่ชวนแกก็ไม่ยอมไป ไม่ทราบพอจะแนะนำอุบายอะไรได้มั้ยคะ?
    ตอบ : ไม่ต้องอุบายหรอกจ้ะ คือว่าเราเป็นแม่เราก็ทำของเราไป หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ชัดแล้วว่า คนต้นตรงกลางคดเดี๋ยวปลายมันก็ตรง พื้นฐานเก่าเขามี เหตุปัจจัยของการสร้างความดีของเขานี่แม่ให้ไว้เยอะแล้ว เดี๋ยวพอถึงเวลาพอเขาเกิดกระทบกระเทือนอะไรด้านจิตใจ เขาเลี้ยวเข้ามา ดีไม่ดี ไปได้มากกว่าเราเสียอีก
    ถาม : นั่นคือลูก แต่สามีล่ะคะ?
    ตอบ : สามีนี่ไม้แก่ดัดยาก (หัวเราะ) ก็พยายามช่วยเขามากที่สุด เท่าที่มากได้แล้วกันนะ
    ถาม : เหล้ายังกินเหมือนเดิมเลยค่ะ
    ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก คนกินเหล้าไม่ใช่คนเลว จำไว้ ตอนเหล้าเข้าปากส่วนใหญ่อารมณ์ดีอยากได้อะไรต้องรีบขอตอนนั้น (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วอย่างเวลาเขากินเหล้านะคะ บอกว่า พ่อ...แม่จะไปทำบุญนะเอาเงินฝากแล้วก็อธิษฐาน ตรงนี้มันจะไม่พร่องไปเหรอคะ?
    ตอบ : ก็พร่องบ้าง ก็ทำบุญแบบอสูรไง อสูรนี้เป็นเทวดาชนิดหนึ่ง แต่ว่าอันนั้นของท่านทำบุญ ท่านพร่องตรงที่ว่ามักจะขี้โกรธ ทำบุญผสมโทสะเลยเป็นอสูรของเราเองก็อาจเป็นประเภทพวกเดียวกับ อสุรินทราหูไง เขาบอกว่าราหูขี้เมา จริง ๆ เทวดาเขาไม่ได้ขี้เมา คนไปว่าท่านเองต่างหาก เป็นเทวดาถ้าไม่มีศีลก็เป็นเทวดาไม่ได้ใช่มั้ย?
    ถาม : แต่อย่างนี้เขาก็ได้บุญใช่มั้ย?
    ตอบ : ได้อยู่ เพียงแต่ว่าส่วนที่ควรจะได้เต็มมันก็พร่องไปหน่อย เพราะว่าวัตถุทานบริสุทธิ์ใช่มั้ย? ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ คราวนี้ว่า ผู้ให้ขาดความบริสุทธิ์ไปนิดหนึ่ง แล้วถ้าอีกสามส่วนบริสุทธิ์ก็อาจเหลือซักเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ก็ยังดีกว่าไม่ทำล่ะ
    ถาม : เวลาหนูชวนเขาทำบุญ ถ้าเป็นวัดอื่นก็ไป แต่ถ้าเป็นวัดท่าซุง เขาบอกไม่เอาล่ะ ก็เพิ่งทำไปแล้วนี่ ฝากไปตั้งนานแล้ว ทำอะไรกันอีกบ่อยๆ จะปฏิเสธทันทีอย่างนี้นะเจ้าคะ
    ตอบ : มันอาจอยู่ลักษณะบางที เขาได้ข่าวว่าวัดรวยแล้วอะไรอย่างนี้ มีเยอะนะที่เขาบอกว่าวัดนี้รวยแล้ว แล้วทำไมไม่ไปทำที่วัดอื่นบ้าง โดยที่เขาเองก็ไม่ได้รู้เดี่ยวกับเรื่องเนื้อนาบุญว่ามันเป็นยังไง เรื่องเนื้อนาบุญ จริงๆ แล้วสำคัญมาก น่าจะมีตัวอย่างของ อังกุระเทพบุตร กับ อินทกะเทพบุตร ให้เขาได้ฟังบ้าง จะได้รู้ว่าที่ตัวเองทำน่ะเหนื่อยแทบตายตั้งสองหมื่นปีทั้งกลางวันทั้งกลางคืนมีผลอยู่กระจึ๋งหนึ่ง ขณะที่อินทกะเทพบุตรตักบาตรครั้งเดียวในชีวิต กลายเป็นเทวดาที่มีศักดานุภาพที่สุดของดาวดึงส์ นั่นเพราะเนื้อนาบุญ
    คราวนี้คนพูดที่เขาเองขาดปัญญาตรงจุดนี้ เขาก็จะไม่เข้าใจ ทำไมต้องไปแต่วัดท่าซุง ที่อื่นไม่ไป ที่อื่นไปก็จะเหมือนกับที่ติดต่อกฐินให้เขานี่ พอโยมรู้ว่าความประพฤติเป็นยังไงนี่เฉาเลยล่ะ เฉาถึงขนาดที่จะเปลี่ยน แต่คราวนี้จะเปลี่ยนไม่ได้ รับปากเขาไว้แล้ว
    ถาม : ถ้าอย่างงี้เราจะใช้อธิษฐานบารมีได้มั้ยคะ ขอ พระ พรหม เทวดาทั้งหมด ขอให้ช่วยดลใจสมี ถ้าไปทำบุญที่ไหนขอให้อย่าขวางขอให้คล้อยตาม?
    ตอบ : อย่างนี้มันได้อยู่ แต่ว่ามันต้องดูช่วงกุศลกรรม อกุศลกรรมด้วย ถ้าเป็นช่วงที่กุศลกรรมส่งผลนี่มันจะมีผลทันทีตาที่เราต้องการเลย แต่ถ้าหากว่าบางช่วงอกุศลกรรมเข้าปุ๊บนี่ เขาจะเห็นผิดเป็นชอบอีกเหมือนเดิมอย่างนี้อย่าไปตำหนิกัน เพราะว่าของเขาเองถ้าหากว่าปรกติธรรมดาเขาไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันเป็นการดลจิตดลใจจาก กิเลส ตัณหา อกุศลกรรมอะไรต่างๆ นานา มันพาให้เป็นไปถ้าหากว่าเขาไม่ก็บอกว่า โอเคไม่เป็นไรหรอก แม่ทำเองแล้วก็ช่วยโมทนาด้วยอะไรก็ว่าไปเลย
    ถาม : .....
    ตอบ : อยู่ที่จิตใจสละออก ถ้าจิตใจเรามีการสละออกจริงๆ เรามีเงิน ๑๐ บาท เราทำบุญ ๑ บาท นี่ถือว่าเยอะนะ ๑๐ เปอร์เซ็นต์แล้วใช่ไหม? แต่ถ้าคนทำบุญ ๑๐๐ บาทแต่มันมีเงิน ๕๐ ล้านบาทอย่างนี้การสละออกมันน้อยกว่า เพราะฉะนั้นจำนวนเงินไม่สำคัญ สำคัญที่จิตใจสละออกเป็นการตัดความโลภ ถ้ามีจิตใจสละออกเป็นการลดความตระหนี่ถี่เหนียว มีน้อยทำน้อยในสายตาคนอื่น แต่จริงๆ แล้วในสายตาของเรา เราต้องใช้กำลังใจในการเสียสละมาก คนที่มีเป็น ๑,๐๐๐ ล้านควักมาทำบุญ ๑ ล้าน ขณะที่เรามี ๑๐ บาท ควักทำบุญ ๑ บาท ใครจำนวนมากกว่ากันถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ? เพียงแต่ว่าคนที่มีมากทำมาก เรามีน้อยทำน้อย
    สมมติว่าถ้าทำสังฆทานด้วยกันนะจะไปเกิดเป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน แต่ว่าคราวนี้มหาเศรษฐีมีทรัพย์อย่างต่ำ ๘๐ โกฐิ คงประมาณ ๘,๐๐๐ ล้านในปัจจุบัน ถ้ามีทรัพย์ ๘๐ โกฐิของเขาจะมีมากกว่าเรา แต่ว่าต่ำสุดนั้น ๘๐ โกฐิ
    ถาม : แล้วพวกนักการเมืองที่เขาคอรัปชั่นแล้วตายไปจะเป็นยัง?
    ตอบ : อันดับแรกถ้าจิตใจเศร้าหมองลงนรกก่อนตามโทษที่ตัวเองทำมาสารพัดสารเพ แล้วโทษคอรัปชั่นนี้จะมีในยมโลกีนรกคือนรกเล็ก ๆ ขุมหนึ่งที่มาคิดบัญชีต่างหาก พวกคอรัปชั่นนี้จะตกขุมที่เรียกว่า ปิสสกะปัพพตะนรก จะเป็นนรกภูเขาเหล็กแดงโร่เลยนะกลิ้งมาทับป่นเป็นแป้งเลย พอภูเขากลิ้งผ่านไป ลมกัมมัชชวาต พัดมาก็ฟื้นคืนมาเป็นตัวเป็นตนใหม่ ก็วิ่งหนีต่อให้เขาไล่ทับต่อไป
     
  3. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ดินแดนนรกกับดินแดนสวรรค์มีจริงไหม?
    ตอบ : อุตส่าห์เล่ามาขนาดนี้แล้วยังถามอีก มีจริง ๆ จ้ะ นรกสวรรค์จะไม่มีเลยถ้าไม่มีใครทำความดีความชั่ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อรองรับการกระทำของเราเอง เราทำชั่วมาก ๆ แดนนรกเกิดขึ้นมารับ ทำชั่วน้อยลงแดนเปรตขึ้นมารับ ทำชั่วน้อยลงไปอีกนิดหนึ่งแดนอสุรกายเกิดขึ้นมารับ ทำชั่วน้อยลงไปอีกก็แดนสัตว์เดรัจฉานเกิดขึ้นมารับ เป็นผู้ที่มีศีลห้าทรงตัวก็เกิดเป็นมนุษย์ แดนมนุษย์มีรองรับอยู่เห็น ๆ แล้วใช่ไหม มีศีลบริสุทธิ์มีความดีทรงตัวก็เกิดเป็นเทวดามีแดนเทวดารองรับอยู่
    ถ้าสร้างฌานสร้างสมาบัติได้ก็มีแดนพรหม ทำดีถึงที่สุดหลุดพ้นจากวัฏฏะก็มีแดนนิพพานรองรับอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาจากการกระทำของเรา ทั้งหมด ถ้าไม่มีการกระทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่มี เท่ากับว่าเราสร้างขึ้นมาเองแท้ ๆ เลย ตอนเราสร้างนี่ไม่เคยนึกเลยว่าจะสร้างได้น่ากลัวขนาดนั้น
    ถาม : หนูเคยฝันถึงทวดหนูน่ะค่ะ ตอนนั้นฝันบ่อย ฝันถี่ด้วยแล้วก็บอกหวยด้วย ตอนนี้เขาไม่มาแล้ว หนูฝันครั้งสุดท้ายว่าเขาพาหนูไปเที่ยวเป็นบ้านทรงไทย เขาลากคอเพื่อน เขารู้ว่าหนูกลัวเขาก็ลากคอเพื่อนหนูไป หนูก็ไป แล้วก็ตื่นขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็ไม่เข้าฝันหนูอีก
    ตอบ : ที่อยากให้มาเข้าฝันนี้ คิดถึงทวดหรือว่าอยากได้หวย
    ถาม : เปล่าค่ะ ถ้าหนูมีเรื่องอะไรหรือว่าไม่สบายใจหนูก็จะจุดธูปคุย
    ตอบ : ก็ดันไปจุดธูปเรียกเขา เขาก็มามาแล้วก็กลัวเลยต้องลากคอคุยกัน ไม่ได้เรื่องเลย ยิ่งมาง่ายเท่าไหร่แสดงว่าอานุภาพของท่านมากเท่านั้น ผู้ที่อานุภาพมากนี้ขอให้ท่านช่วยมันก็เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย
    ถาม : เวลาพระเสียใจมาก ๆ พระทำยังไงคะ?
    ตอบ : ถ้าพระจริงๆ เขาไม่เสียใจหรอก มีแต่รู้เห็นว่าธรรดาของโลกเป็นอย่างนั้น เราเรียกว่า ปลงธรรมสังเวช แต่ว่าถ้าไม่ใช่พระนี่ยังร้อยไห้อยู่ เอ๊ะ! ไม่แน่...ถ้าเป็นพระอย่างพระโสดาบันนี้ยังร้องไห้อยู่นะ แต่ถ้าพระสกิทาคามีขื้นไปนี่ชักตายด้านแล้ว ไม่ร้องกับใครง่าย ๆ หรอกเรื่องกระทบใจมีน้อย
    ถาม : แล้วเวลาเราเสียใจเราจะทำยังไงดีล่ะคะ ให้มันหมดความเสียใจจริงๆ?
    ตอบ : อาละวาด ร้องไห้ ดิ้นโครม ๆ เอาให้มันสะใจ ความจริงเราเสียใจมาก ๆ แล้วเราเก็บอยู่เป็นผลร้ายเหมือนกันนะ เพราะฉะนั้น ระบายมันออกมาให้เต็มที่เลยนะ ถ้าร้องไห้กลัวคนเห็นก็เข้าห้องน้ำเปิดน้ำแรง ๆ อาบน้ำไปร้องไห้ไปไม่มีคนรู้ ออกมาหน้าสมาเชียว ถามว่าเป็นอะไรตาแดง เมื่อกี้สระผมอยู่เข้าตา (หัวเราะ) ความจริงถ้าพิจารณาเป็น เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราได้ จิตยอมรับจริง ๆ มันก็เลิกเสียใจ
    ถาม : แล้วดวงชะตานั้นมีจริงไหมคะ?
    ตอบ : ดวงชะตาก็คือบุญกรรมที่เราทำมาส่งผลให้ เราทำความดี ผลดีก็ส่งผลให้เราเจริญรุ่งเรืองให้ร่ำให้รวย ให้มีโชคมีลาภ แต่เราทำชั่ว มาถึงเวลาก็ทำให้ตกต่ำเคราะห์ร้าย ต้องรับในเรื่องที่มันไม่ดีต่าง ๆ ที่มันประกอบกันเข้ามา ช่วงของบุญของบาป มันสลักกันมาให้ผล ถ้าบุญขาดช่วงลงบาปก็เข้าแทรก ถ้าหากกำลังบาปอ่อนตัวลงกำลังบุญก็ไล่บาปพ้นไป
    ความดีก็สลับกลับคืนมาใหม่ คราวนี้พวกบรรดาพราหมณ์นี้เขาเก็บสถิติมาเป็นพัน ๆ ปี เขาช่างสังเกต เขาสังเกตว่าคนที่เกิดวันนี้เวลานี้ที่มันใกล้เคียงกันน่ะถึงเวลาเท่านั้นๆ ผลดีผลร้ายจะเกิดขึ้นกับเขา คนที่เกิดใกล้เคียงกันแสดงว่าบุญบาปใกล้เคียงกันมันก็เลยสามารถที่จะสรุปลงมาเป็นตำราได้ว่าดวงชะตาของแต่ละคนเป็นอย่างไร แต่ว่ามีโอกาสผิดพลาดมาก ถูกเต็มที่ได้ไม่เกิน ๘๐ % แล้วอีกอย่างหนึ่งตัวที่ผันแปรดวงชะตาได้ดีที่สุดก็คือกำลังของความดีสูง ๆ อย่าง ทาน ศีล ภาวนา ๓ ตัวนี้ ถ้าเรามีการให้ทานเป็นปกติ รักษาศีลเป็นปกติ เจริญภาวนาเป็นปกติ ผลของดวงชะตาหรือบุญกรรมในอดีตส่วนใหญ่ที่เป็นผลบาปที่เราเรียกว่ากรรมให้ผลได้ไม่เกิน ๒๕ % ถ้าคนประเภทนี้หมอดูจะทายผิดประจำ เขาเรียกว่าพวกนอกเหตุเหนือผลเกินตำรา
    มีหมอดูอยู่คนหนึ่งเก่งมากเลยเป็นชาวพม่า ตอนสมัยหลวงพ่ออุตตมะ ยังบวชเณรอยู่ไปให้หมอดูทำนายดวงชะตา หมอดูดวงชะตาของหลวงพ่ออุตตมะแล้วบอกว่า ของท่านไม่สามารถจะทำนายได้ ถามว่าทำไม ท่านบอกว่าดวงชะตาของท่านเกินตำรา ไม่มีบอกเอาไว้ มันจะไปทายพระอรหันต์ (หัวเราะ) ใช่ไหม? ตำราบอกไม่ถึงเพราะว่าหลวงพ่ออุตตมะท่านเป็นพระดีถึงที่สุดแล้ว
    ตอนนั้นยังเป็นเณรอยู่นะแต่ว่าภายหลังท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนกระทั่งกลายเป็นพระดีที่สุดแล้ว หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ว่าหลวงพ่ออุตตมะเป็นพระวิชชาสาม ในเมื่อเป็นพระดีขนาดนั้นตำรามันว่าไม่ถึง เขายอมรับว่าตำราเขาไม่ถึง แต่เขาดูแม่นจริง ๆ พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วน่าจะมี ทิพยจักขุญาณด้วย ถ้าลำพังยึดตำราอย่างเดียวคงรู้ไม่ถึงขนาดนี้
    ถาม : ไสยศาสตร์มีจริงไหมคะ?
    ตอบ : จริงจ้ะ แต่ว่าพวกนี่เราไม่ต้องกลัวเขาเลย ถ้าเราภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวแค่เกินอุปจารสมาธิ เขาเรียกว่า อุปจารฌาน คือใกล้ความเป็น ปฐมฌาน ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวแค่นั้นเองเขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก แต่ว่าอารมณ์นั้นต้องทรงตัวตลอดนะ ถ้าคลายตัวลงแล้วเขาจ้องเล่นงานอยู่ก็มีโอกาสพลาดได้ ให้หาวัตถุมงคลที่เรามั่นใจติดตัวไว้ อย่างติด สมเด็จองค์ปฐมไว้ หรือไม่ก็หลวงพ่อสมเด็จคำข้าว หลวงพ่อสมเด็จหางหมาก กันได้แน่นอนเลย แต่ต้องอาราธนาทุกวันนะ ตั้งใจสวดมนต์อาราธนาขอบารมีพระคุ้มครอง พวกนี้ทำมาก็ด้านไปเอง
    ถาม : แล้วอย่างนี้เสน่ห์ยาแฝดก็มีจริงสิคะ?
    ตอบ : มีจริง ๆ จ้ะ พวกนี้เป็นวิชาต่ำ แทบจะไม่ได้อยู่ในสายตาของนักปฏิบัติเลย นักปฏิบัติแค่ภาวนาอารมณ์ใจทรงเป็นปรกติแค่เดินผ่านบางทีมันสลายไปเลย เป็นวิชาการขั้นต่ำ แล้วข้อห้ามมันเยอะ ห้ามกินฟัก กินแฟง กินน้ำเต้า กินผักกะเฉด โอ้ย...ของอร่อยทั้งนั้นสารพัดที่มันจะห้าม ห้ามลอดใต้ถุนบ้าน ห้ามลอดราวผ้า สมัยนี้ไปอยู่คอนโด ๒๐ ชั้นมันลอดไปกี่ชั้นล่ะ ก็เจ๊งน่ะสิ
    เพราะฉะนั้นพวกนี้ไม่ต้องกลัวหรอก ข้อห้ามเขาเยอะมันเสื่อมสบายได้ง่าย แต่ว่าถ้าดวงชะตาของเรามันตกส่วนของอกุศลกรรมให้ผลบางทีตรงจังหวะเขาเฉ่งเราพอดีมันก็อาจจะโดนได้เหมือนกัน ถ้าโดนเข้าวิธีแก้ไขก็คือว่าหาผู้ที่ทรงความดีสามารถทรงฌานทรงสมาบัติได้เป็นประจำที่เรามั่นใจ จะเป็นพระเป็นฆราวาสก็ได้ ให้เขาทำน้ำมนต์ด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ คือ อิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน ขออาราธนาบารมีพระขอให้ช่วย ทำลายไสยศาสตร์เสร็จแล้วกินหรืออาบก็ได้ หายเลย ฟังดูแล้วก็ง่ายไม่เห็นน่ากลัวเลยนะ
     
  4. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ผู้ใหญ่แนะนำว่าให้ขอขมาพ่อแม่
    ตอบ : ก็ดี แล้วไง? ควรจะทำ
    ถาม : แต่ว่าไม่รู้จะทำวันไหน?
    ตอบ : วันนี้ก็ได้ วันนี้วันวิสาขบูชา กัดฟันเดินเข้าไปพร้อมกับพวงมาลัยพวงสวย ๆ หนึ่งพวง กราบเท้างามๆ บอกว่าคุณพ่อเจ้าขา ความผิดทั้งหมดที่ลูกได้ล่วงเกินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ขอให้พ่ออโหสิกรรมให้ลูกด้วยนะ ลูกรู้ตัวแล้วว่าสิ่งที่ลูกได้ทำลงไปนั้นมันไม่ค่อยดี ต่อแต่นี้ ไปจะตั้งใจทำดี จะเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ต่อไป ทำไม่ยากหรอก ตอนแรกมันจะเขินจะอาย ถ้าทำได้สักทีนะ เรื่องอื่นเรื่องเล็ก
    ถาม : กลัวพ่อเขาไม่เหมือนเดิม
    ตอบ : ถ้าหากว่ามันเป็นกรรมที่เนื่องกันมาให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าท่านเอ่ยปากอโหสิกรรมให้กระแสมันจะขาดลงเลย แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ยังไม่ได้ทำแล้วไปกลัวซะแล้ว
    ถาม : หนูรู้ว่า...(ไม่ชัด)...ย่าหนูเขามีลูกอยู่ ๓ คนก็มีพ่อหนูหนนึ่งในนั้น พ่อหนูก็ส่งเงินไปให้ย่าทุกเดือน แต่ว่าอีก ๒ คน ไม่ส่งให้เลยแล้วเขาก็ไม่เคยมาดูแลด้วย ภาระที่บ้านให้เป็นหน้าที่ของหนูหมดเลย
    ตอบ : ดีแล้วไงเราจะได้บุญเยอะ
    ถาม : ไม่ใช่คะ หนูอยากทำไงก็ได้ให้เขาสนใจ จะได้ไม่ต้อง...(ไม่ชัด)...เวลาเขามาย่าเขามีความสุข
    ตอบ : ถ้าอย่างนั้นเรามีเวลาก็พาย่าไปหาเขา
    ถาม : ไม่ได้ค่ะ คือ ย่าเขาพิการ
    ตอบ : อ๋อ..พิการ เป็นอะไร?
    ถาม : เป็นอัมพฤกษ์ค่ะ
    ตอบ : เป็นอัมพฤกษ์ใส่รถเข็นไป
    ถาม : รถวิ่ง...(ไม่ชัด)...
    ตอบ : นั่นแหละ เสร็จแล้วก็ไปบอกเขาว่านี่ขนาดย่าพิการยังมาเยี่ยมเขาเลย แล้วของเราดีๆ จะไม่ไปเยี่ยมบ้างเรอะ
    ถาม : คนที่อยู่บ้านติดกันเขาไม่ค่อยมาวุ่นวายสุงสิงอะไร เงินทองแต่ก่อนก็ให้เดือนละ ๕๐๐ บาทอย่างนี้ นี่ไม่ให้เลย แล้วก็ไม่เคยสนใจอะไรเลยค่ะ หลวงพ่อคะเขาเป็นยังไง?
    ตอบ : ปล่อยวางได้ดีมากเลยนะ แสดงว่ากำลังใจดี แต่เสียไปหน่อยตรงที่ว่าไม่สนใจบุพการีของตัวเอง
    ถาม : กรรมของคนที่ไม่สนใจพ่อแม่จะเป็นยังไงคะ?
    ตอบ : ต่อไปตัวเองก็ไม่ได้รับความสนใจไปด้วย
    ถาม : มั่นใจมากไหมคะ?
    ตอบ : เท่าที่เห็นมากรรมที่ทำกับพ่อแม่เห็นผลทันตาทุกรายทันทีที่มีลูก โดนบ้าง ทำอะไรไว้กับพ่อกับแม่นี่ แหม...ได้คืนเยอะกว่าเดิมเลยมีกรรมอันนี้แหละเท่าที่เห็นมาว่า มันทันตาในชาติปัจจุบัน พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกๆจ้ะใช่ไหม? ไม่มีใครหรอกที่จะรักจะห่วงเรายิ่งกว่าพ่อแม่อีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างท่านทุ่มเทให้กับเราได้แม้กระทั่งชีวิต กว่าเราจะเกิดมาได้แม่เองก็แทบจะล้มประดาตาย กว่าจะเลี้ยงโตมาได้ไม่รู้ว่าพ่อเราเหน็ดเหนื่อยเท่าไร ทุกสิ่งทุกอย่างท่านหามาให้เราตลอด เท่ากับว่าท่านให้เราทั้งชีวิตเลย
    เพราะฉะนั้นบุญคุณของท่านมันนับไม่ได้ โบราณท่านว่า เอาโลกเป็นปากกา เอาฟ้าเป็นกระดาษ ยังเขียนไม่หมดเลย เพราะฉะนั้นคนที่ทอดทิ้งพ่อแม่ ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ ต่อไปเขาเองก็ต้องเจอกรรมอย่างนั้นบ้างแล้ว พอลูกหลานทอดทิ้งเขาเมื่อไหร่เขาจะนึกถึงจุดนี้
    ของจีนเขามีนิทานเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับว่าลูกเห็นว่าพ่อแม่แก่แล้ว ทำประโยชน์อะไรไม่แล้วนอกจากอยู่กินไปวันๆหนึ่ง ก็จัดแจงหากะลามาส่งให้บอกให้ไปขอทาน ทีนี้คนแก่คนเฒ่าก็อย่างว่า เสียใจแต่ว่าลูกไม่เลี้ยงก็ไม่รู้จะทำอะไรก็ไปยึดอาชีพขอทานปรากฏว่าตัวลูกนั้นน่ะเขาก็มีลูกเหมือนกันแต่ลูกยังเล็กๆ อยู่วันหนึ่งก็เห็นลูกมันนั่งขัดกะลาเล่นอยู่ก็ถามว่า ทำอะไรน่ะลูก? เขาบอกว่า เตรียมกะลาไว้ถ้าพ่อแม่แก่จะให้ไปขอทาน ตัวพ่อสะดุ้งแปดตลบเพิ่งรู้ว่าตัวเองทำไม่ดีกับพ่อแม่รีบไปตาม ตามคืนมา นั่นยังแก้ตัวได้ทัน ถ้าแก้ตัวไม่ทันนี่เจอแน่ๆ ลูกมันเตรียมไว้ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ถึงมันจะเตรียมแบบไร้เดียงสาก็เถอะ แต่มันกระทบใจพ่อแม่อย่างแรง เลยใช่ไหม? ตัวเรานี่ไม่แคล้วแน่ รีบไปตามคืน
     
  5. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : วันนั้นหนูฝันว่าเพื่อนหนูได้ให้พระมา เป็นพระ...(ไม่ชัด)...แล้วทีนี้หนูก็เอาไปไว้บนหนังสือน่ะค่ะ ก็วางไว้ตรงนั้นแหละค่ะ แล้วฝันว่าตื่นมาอีกทีพระองค์นั้นเป็นขุยยุ่ยเหมือนขนมปังเลย
    ตอบ : แล้วในฝันทำยังไง...กินเลย?
    ถาม : เปล่าค่ะ หนูก็รู้สึกเสียดาย หนูยังไม่ได้ไปทำอะไรเลย
    ตอบ : ตื่นขึ้นมาดีใจแทบตายยังไม่เป็นไรเลยใช่มั้ย? นั่นท่านอาจจะเตือนว่าจะทำอะไรที่มันเหมาะสมกว่านั้น ดีกว่านั้นในการบูชาท่านก็รีบทำซะ อย่าเอาไปทิ้งไว้อย่างนั้นมันเหมือนกับว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยเดี๋ยวมันจะเกิดโทษ
    ถาม : ตอนนี้หนูใส่กล่องไว้แล้วค่ะ
    ตอบ : หาทางไปเลี่ยมใส่ตัวไว้สิ ใช้ควบกับคาถาเงินล้าน ต้องการเงินเท่าไหร่ก็มี อันนี้กล้ายืนยัน สมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมากนี้จะให้ลาภหนักมาก โดยเฉพาะสมเด็จคำข้าวนี้จะถนัดทางลาภเป็นพิเศษ
    ถาม : ท่องคาถาเงินล้านก่อนใช่ไหมคะถึงค่อยเอาไปเลี่ยม?
    ตอบ : ไม่ต้องหรอก เลี่ยมเสร็จเอามาห้อยคอท่องคาถาเงินล้านทุกวันให้ประจำไว้
    ถาม : ท่อง ๙ จบ
    ตอบ : ๙ จบ! โอ้โห...เยอะจัง สมัยก่อนที่อาตมาท่องนี้อย่างต่ำก็รอบหนึ่ง ๓๐๐ จบต่อวัน มันมีเยอะกว่านั้น
    ถาม : พระที่เขาให้มาเขาก็แนะนำให้หนูท่องวันละ ๑๐๘ จบ
    ตอบ : ดีมั้ย?
    ถาม : หนูยังท่องไม่ได้
    ตอบ : ลมใส่! ๑๐๘ จบมันจะเท่าไหร่ ๙ ครั้ง ๑๒ หน
    ถาม : แล้วได้อานิสงส์เยอะไหมคะ?
    ตอบ : อย่างน้อย ๆ ก็ได้อานิสงส์ตรงจุดที่ได้สวด อันนี้พูดเล่นจ้ะ ถ้าหากว่าสวดมากแล้วกำลังใจมั่นคงทรงตัว ไม่ได้ทำเพราะความโลภนะจะได้ผลมากจริง แต่ต้องทำให้สม่ำเสมอจริงจัง อย่าไปทำๆ ทิ้งๆ ไม่ใช่ว่าวันนี้ ๑๐๘ จบ พรุ่งนี้เหลือ ๘ จบ ต้องทำเสมอกัน
    ถาม : แล้วถ้ายอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎก แล้วสวดมันดีไหม?
    ตอบ : อย่างน้อยๆ ก็ได้อนุสติในพุทธานุสสติ เพราะทุกๆอย่างนี้ขึ้นอยู่กับอิติปิโสภควา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ก็คือ พระพุทธเจ้านั่นแหละ
    ถาม : ............
    ตอบ : คนป่วยได้เปรียบกว่าเรามากตรงจุดที่ว่า รัก โลภ โกรธ หลง มันน้อย เหตุที่น้อยเพราะนอนแบบอยู่กับที่จะไปรักใครล่ะ จะไปโลภอะไร มันก็เอาไม่ได้แล้วนี่ อัมพาตกินอยู่อย่างนั้นจะไปโกรธใครก็คงได้แต่โกรธตัวเอง โกรธลูกโกรธหลานก็โกรธไม่ได้เพราะรักเขามากกว่า คราวนี้ที่ว่าหลงคงไม่หลงเพราะเห็นอยู่แล้วว่าร่างกายมันไม่ดี ถ้าได้รับคำสอนที่ถูกต้องไปบางทีทำใจได้นี่ดีไปเลย เพราะฉะนั้นถ้าว่าคนป่วยได้เปรียบกว่าเราตรงที่เขาเห็นทุกข์ชัดเจน เมื่อเห็นทุกข์ชัดเจนแล้วได้คำสอนของหลวงพ่อไปอย่างนี้ถ้าตัดสินใจทำตามดีไม่ดี เป็นพระอรหันต์เอาง่ายๆ
    ถาม : ถ้าหลงก็ไม่หลงอะไรหรอก หลงๆ ลืมๆ
    ตอบ : นั่นแหละ ยิ่งจำเป็นใหญ่เลยเปิดเราฟังด้วย ย่าฟังด้วย ถ้าย่าถามว่าเปิดทำอะไรก็บอกว่าหนูอยากฟัง หนูชอบฟัง
    ถาม : ชอบเอาหนังสือธรรมะไปอ่านให้เขาฟัง
    ตอบ : คราวนี้ไม่ต้องอ่านหรอก เอาเทปดีกว่าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก ถ้าหากว่าท่านเกาะเสียงพระ เสียงหลวงพ่ออย่างน้อยๆ ก็ได้ดี ถ้าทำใจได้ยิ่งได้ประโยชน์มาเข้าไปใหญ่
    ถาม : เขาจะหลับท่าเดียวเลยค่ะ
    ตอบ : ไม่เป็นไร เพราะว่าถ้าหากว่าเขาฟังแล้วกำลังใจเกาะเสียงพระแม้แต่นิดเดียวหลับไปตอนนั้นถือว่าทรงอนุสติเลยนะ ถ้านึกถึงพระพุทธก็เป็นพุทธานุสสติ เกาะในเสียงธรรมะเป็น ธัมมานุสสติ ถ้ารู้ว่าพระกำลังเทศน์ให้ตัวเองฟังก็เป็นสังฆานุสสติ ตอนนั้นได้เปรียบมหาศาลเลย
    ถาม : หนูจะทำยังไงให้เขามีความสุขมากกว่านี้ล่ะคะ?
    ตอบ : วิธีนี้แหละ ถ้าหากว่าเขาตายไปรับรองว่ามีความสุข สุขแน่ๆเลย เพราะตายแล้วไปดี หลังจากนั้นดีไม่ดี จะมาขอบคุณ คุณหลานจนหัวโกร๋นไปเลย มาเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน รักมากเหลือเกินอุตส่าห์ส่งให้ย่าไปได้ถึงขนาดนี้
    ถาม : ..............
    ตอบ : เอาไปเติม เทใส่โอ่ง น้ำทั้งโอ่งจะได้เป็นน้ำมนต์ไปด้วย ถ้าเวลาเราจะใช้ก็ใช้ของใหม่ ถ้าเอาน้ำมนต์เก่าเททับน้ำมนต์ใหม่ไปอย่างเช่นมีน้ำในโอ่งแล้วเอาน้ำมนต์เทลงไปก็เป็นทั้งโอ่ง แต่ถ้าหากว่าเราเอน้ำใหม่เททับน้ำเก่าที่เป็นน้ำมนต์ก็เป็นอันว่าจบกัน หมดอานุภาพอย่าเอาน้ำใหม่เททับน้ำมนต์ ใช้น้ำมนต์เททับน้ำใหม่ จะเติมเรื่อยๆเท่าไหร่ก็ได้ ใช้ได้เรื่อยๆ
    ถาม : เหมือนเติมหัวเชื้อลงไปเหรอคะ?
    ตอบ : อย่างนั้นแหละ แต่ใช้น้ำมนต์เติมใส่น้ำ อย่าเอาน้ำไปเทใส่ไปเหอะ ทำซะหน่อย
     
  6. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : (ถามเรื่องอุทิศส่วนกุศลให้เทวดา แล้วขอให้ท่านช่วย)
    ตอบ : ไม่ถือว่าเป็นสินบน เพราะว่าตัวนี้อย่างน้อยๆ มันก็เป็นตัว ปัตติทานมัย ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้กับคนอื่นเขา ยิ่งเวลาเดินทางนี่อาตมาก็ให้ประจำ ตั้งใจว่าบรรดาเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายที่ปกปักรักษาตลอดเส้นทางที่ลูกเกนทางในครั้งนี้ จะเป็นกาศเทวดา รุกขเทวดา ภูมิเทวดา ก็ดี ตลอดจนเหล่าสัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานที่อยู่ตลอดสองข้างทางก็ดี กุศลบารมีใดที่ข้าพเจ้าสร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ขอเธอทั้งหลายจงโมทนา จะได้รับประโยชน์ ได้รับความสุขเท่าไรขอให้เธอทั้งหลายได้รับด้วย ตั้งใจอย่างนี้แทบทุกครั้ง ต้องช้ำคำว่าถ้าไม่ลืมนะ แต่ส่วนใหญ่ไม่ลืมหรอก เพราะขึ้นรถภาวนาปั๊บนึกขึ้นมาได้ อ้อ ! เขาจะมาก็ให้เขา
    ถาม : ไม่จำเป็นว่าต้องใช้ระหว่างไปต่างจังหวัด ใช้ระหว่างจากบ้านไปทำงานแบบนี้ได้มั้ยคะ?
    ตอบ : ได้ เหมือนกันหมด ก็บอกแล้วตลอดระยะทางที่เราเดินทางในวันนี้ง่ายดี
    ถาม : หนูโดนจับบ่อย โดนตำรวจจับน่ะคะ
    ตอบ : (หัวเราะ) ใช้วิธีนั้นแหละ พอถึงเวลาแล้วก็ช่วย สงเคราะห์ให้ได้ แต่ว่าไอ้ที่บอกว่าให้ช่วยสงเคราะห์นี่ โน่นแน่ะ พอเข้าตาจนแล้วค่อยขอ
    ถาม : อย่างเราถวายของในบาตรนี่เป็นพุทธบูชาเลยใช่มั้ยคะ? (บาตรบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ)
    ตอบ : จ้ะ โดยเฉพาะถวายทองคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ท่านลุงพระยายม เคยบอกไว้ว่า บุคคลที่เคยถวายทองคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าทำอนันตริยกรรมทั้งห้า คือ ไม่ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท คือยุสงฆ์ให้แตกกัน ไม่ว่าอย่างไร ก็จะพยายามดลใจให้นึกถึงความดีให้ได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต ให้ไปรับกรรมดีก่อน
    แต่ถ้าหากว่าเราไปทำอนันตริยกรรมห้าอย่างนี้เข้า ท่านอยากจะช่วยก็คงช่วยไม่ไหว ดูอย่างเมณฑกเศรษฐี ถวายทองคำเท่าปีกริ้นบูชาพระรัตนตรัยอันนั้นเขาเกิดมาชาติใหม่นี่รวยจนนับไม่ได้เลย แก้ว แหวน เงิน ทอง นับไม่ได้อย่างคนอื่นเขา ต้องใช้ตวงเอาเป็นเกวียนๆ ว่ามีกี่เกวียนไอ้ประเภทกี่บาทกี่สตางค์ไม่ต้องนับเลย
    คราวนี้ของเรา เราถวายบูชาโดยตรง ถวายบูชาโดยตรงอานิสงส์ใหญ่มาก ถึงเวลาท่านให้พรไว้อย่างนั้นก็กลายเป็นว่าท่านจะพยายามช่วยให้เราไปรับความดีก่อน พอถึงเวลาที่เราไปรับความดี กุศลเดิมทั้งหมดที่เคยทำมาจะเป็นตัวส่งผลให้เราอยู่ที่นั่นในระยะเวลาที่ยาวนาน ช่วงนั้นถ้าไม่รู้จักต่อความดีก็สมควรลงใหม่ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่พอขึ้นไปแล้วก็หนีกันสุดขีดไม่มีใครเขาอยู่กันหรอก
    ถาม : หลวงพี่พักกี่โมงคะเนี่ย?
    ตอบ : สามทุ่ม
    ถาม : ทุกครั้งเลย?
    ตอบ : ทุกครั้งจ้ะ จะนั่งยาวประมาณเจ็ดโมงไปลุกเอาสามทุ่มส่วนใหญ่เขามากันตั้งแต่ตีห้ากว่า หกโมงเขามากันแล้ว พวกที่มาเลี้ยงอาหารเข้า เราเองมันจำเป็นต้องตื่นตามเวลา เพราะว่าต้องทำวัตรสวดมนต์ของเราก่อน งานพระทิ้งไม่ได้ หลวงพ่อท่านเคยเตือนเอาไว้ว่า การสวดมนต์ กรรมฐาน บิณฑบาต เป็นงานของพระ งานอื่นถึงสำคัญขนาดไหนก็ตาม เมื่อถึงวาระเวลาให้วางงานนั้น แล้วมาทำงานนี้ก่อน ท่านบอกว่า ถ้าหากว่าพวกแกตั้งใจสวดมนต์ทำวัตร อยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป ปากสวดปาวๆ อยู่ใจมันจะคิดชั่วขนาดไหนมันคงทำไม่ได้หรอก คือย่างน้อยๆ เราก็ประเภทได้ดีอยู่แป๊บหนึ่งล่ะ (หัวเราะ) นั่นล่ะสะสมความดีทีละนิดทีละหน่อยเดี๋ยวก็เต็มไปเอง ลักษณะนั้นแหละคือท่านบังคับให้ดี
    ก็มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อท่านมา ท่านสั่งงานสามข้อ มีอยู่ข้อหนึ่งท่านบอกว่าให้ทำวัตรสวดมนต์อย่าให้ขาด แล้วอีกสองข้ออะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ เพราะอีตอนนั้นน่ะคิดว่า ความจำเราดีสั่งยาวกว่านี้ก็ยังจำได้ แค่สามข้อเรื่องเล็ก ไปประมาทลืมคำครูไปหน่อย ไม่ได้จด ตื่นเช้าขึ้นมา พอตะวันขึ้นปุ๊บนี่แคะยังไงก็แคะไม่ออก ได้ข้อเดียวแหละ ยังสมน้ำหน้าตัวเองอยู่จนทุกวันนี้
    ถาม : ตอนนี้ยังจำไม่ได้เหรอคะ?
    ตอบ : นึกไม่ออกจริงๆ เพราะเรื่องของพระเรื่องของเทวดา ถ้าทอดระยะนานไปจะเลือนไปเลย
    ถาม : แล้วท่านได้มาเตือนซ้ำมั้ยคะ?
    ตอบ : ไม่ซ้ำนะ เรื่องของท่านนี่ไม่มีคำว่าซ้ำเลยนะ ครั้งเดียวจริงๆ ประเภท ถ้าจำไม่ได้ต้องถามตอนนั้น ถ้าหากว่าถามแล้วไม่จดเอาไว้ไปถามซ้ำไม่บอก ก็กลายเป็นว่ากระดาษกับปากกาต้องอยู่ใกล้บางทีก็ตื่นขึ้นมากลางคืน มันแต่เปิดไฟไม่ได้เดี๋ยวลืม เขี่ยๆไว้พอมีเลาๆก่อนแล้ว เสร็จแล้วค่อยเปิดไปมาเอารายละเอียดซะหน่อยหนึ่ง มันจะได้เตือนความจำได้ แล้วรุ่งเช้าค่อยไปลอกใส่สมุดบันทึก ต้องใช้วิธีนี้ บางทีท่านก็เล่นตลกมาถึงก็เขียนหวยให้ ท่านสั่งห้ามให้หวยแล้วท่านเขียนมาหน้าตาเฉย
    ถาม : แล้วหลวงพ่อทำยังไงคะ?
    ตอบ : ก็ประเภทรับรู้ไว้เฉยๆ ถึงเวลามา ดูซิมามั้ย? ก็มาจริงๆ
    ถาม : แต่ไม่ได้บอกญาติโยม?
    ตอบ : บอกไม่ได้เพราะว่าท่านสั่งห้ามมาตั้งแต่แรกแล้ว
    ถาม : แล้วเราจะพูดเป็นนัยๆอย่างนี้ได้มั้ยคะ?
    ตอบ : ก็ ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไอ้เรื่องที่ท่านห้ามเอาไว้แล้วนี่แล้วกันไปเลยดีกว่า หรือท่านเองท่านอยากจะรู้ว่าเราจะอกแตกตายมั้ยเวลาท่านบอกนี่นะ (หัวเราะ) เราจะทำใจได้มั้ย? รับรู้ไว้เฉยๆไม่งั้นมันไอ้สมัยก่อนมันคันปากยิกๆ อยากจะบอกเขา ไอ้สมัยนี้มันเลยคันแล้วเหนื่อย ขืนบอกแล้วคนมันมาเยอะจะลำบาก แล้วระยะหลังๆ นี่เจอประเภทที่ตะเกียกตะกายมาจากซอกไหนมุมไหนก็ไม่รู้ มันจะเอาแต่หวยท่าเดียว พวกนี้ไม่อยากจะคบเลย เจอหน้าแล้วอยากจะไล่เลย แต่ถ้าไม่ติดว่าเป็นพระแล้ว โดยมารยาทแล้วขับไล่โยมอย่างงั้นไม่ได้นี่ ไล่เตลิดไปเลย
    ถาม : ไม่เอาธรรมะเลยนะคะ?
    ตอบ : เขาไม่เอาเลย แต่ว่าพอไปดูๆ อย่างสมัยหลวงพ่อนี่ที่ไปเอาธรรมะก็นับว่าเป็นส่วนน้อยใช่มั้ย? บางคนไปเพราะอยากได้หวย บางคนไปเพราะอยากได้เครื่องรางของขลัง บางคนไปเพราะหลวงพ่อดังอยากจะไปดูว่าหลวงพ่อเป็นยังไง บางคนไปเพราะตามเพื่อนไป บางคนไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าวัดนี้ฉันก็ไปแล้วนะ ไอ้ที่ไปเอาธรรมนั้นมันน้อยเต็มที นั่นแหละคอยสังเกตๆ อยู่ เสร็จแล้วก็นั่งหัวเราะ หลวงพ่อบอกว่า เออ...ดูเป็นเหมือนกันนี่หว่า (หัวเราะ) ท่านอยากจะรู้ว่าเรา มันพอจะนึกออก ดูออกบ้างมั้ยว่าที่มาหาท่านเป็นคนประเภทไหนบ้าง พอถึงเวลาสรุปเสร็จท่านก็หัวเราะ เออ...ดูเป็นเหมือนกันนี่หว่า
    ไอ้ที่สังเกตน่ะเริ่มสังเกตจากบ้านตัวเอง พี่ๆ น้องๆ มาหาหลวงพ่อทุกคนแต่กำลังใจไม่ค่อยเท่ากันหรอก เพราะฉะนั้น พอสังเกตจากบ้านตัวเองเสร็จ ก็เริ่มสังเกตคนอื่น โดยเฉพาะตอนแม่ชม้อยไง พอแม่ชม้อยโดนจับ สองเดือนแรกสายลมแทบแตก คนไปเยอะกันขนาดนั้น คือจากที่เคยไปปกติเพิ่มสักห้าเท่าได้มั้ง เสร็จแล้วพอเดือนที่สามแม่ชม้อยไม่ออกจากคุกหายไปครึ่งหนึ่ง พอเดือนที่สี่เกือบหมด สองคนนั่งอยู่ข้างๆ กับ ลุงพุฒ ช่วยกันรับสังฆทาน ช่วยกันแจกของแทนหลวงพ่อไง นั่งมองหน้ากันลุงอย่าหายไปไหนเป็นอันขาดเชียวนะ ที่เขาเห็นๆ หน้ากันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าหายไปนี่คนอื่นมันไปกันมากกว่านี้อีก (หัวเราะ)
     
  7. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ลุงพุฒตอนนี้นี่ ไม่เห็นเลยคะ
    ตอบ : ระยะหลังนี้ลุงพุฒแกติดงาน เพราะว่าแกขับรถให้เจ้านายที่โรงงานประจำ แล้วแกต้องไปจอดรถที่วัดเทพศิรินทร์ แกเลยไปภาวนาที่วัดเทพศิรินทร์ ก็ถือว่าหลวงปู่อยู่นั่น ท่านเจ้าคุณนรฯ อยู่นั่น ระยะหลังนี่ลุงพุฒก้าวหน้าเยอะเลยนะ โดยเฉพาะตัวทิพจักขุญาณ บางที หลวงปู่มั่น ผ่านมา ไม่ทราบว่าท่านจะไปไหนน่ะ ก็หยุดสอนก่อน ลุงพุฒบอกว่า แหม ดีใจจังเลย เพราะท่านผ่านมาแท้ๆ ท่านยังอุตส่าห์เมตตาและมาบอกเราก่อนว่าต้องทำยังไง
    สมัยนั้นมีกันอยู่ไม่กี่คน ตอนที่ชวนบวชก็ได้แค่ลุงพุฒคนเดียว หลวงพ่อท่านต้องการสามองค์ไง พอไปชวนแล้ว คุณธรรมนูญ บอกเขาไม่ว่าง ช่วงนั้นเขายังติดราชการอยู่ ลุงพุฒเขาบอกโอเคผมบวชได้ ก็ไปด้วยกัน ไปกราบเรียนหลวงพ่อว่า ได้แค่สองคนครับ ขาดคนหนึ่ง หลวงพ่อต้องหาเพิ่มแล้วครับ หลวงพ่อท่านบอกว่าแกจำไว้นะ คนของข้าไม่มีคำว่าขาด จริงๆด้วย พอคนเขารู้ปุ๊บสมัครกันเข้ามาจากสามองค์กลายเป็นสามโหล สามสิบหกองค์ แป๊บเดียวเอง นั่นถ้าไม่ใช่รีบบวช คงจะเยอะกว่านี้อีก เพราะรุ่นหลังๆ อย่างรุ่น แสงชัย บวชนี่ร้อยแปดสิบ ร้อยแปดสิบนี่ตัดยอดนะ พวกติดสำรองเพียบเลย รอคนไหนไม่มา พอคนไม่มาปุ๊บ คนบนๆ นี่ตีปีกโดดใส่เลย (หัวเราะ) อยากบวชมาก
    ถาม : แต่ครั้งแรกที่เห็นท่านครองผ้าเหลืองแล้ว รู้สึกบอกไม่ถูก
    ตอบ : จ้ะ ช่วงนั้นมีหลายคนที่เขาถาม เขาถามว่าแล้วพี่จะไม่รอคุณชม้อยเขาเหรอ ไม่ล่ะ ถ้าหากว่ายิ่งมันมีเหตุการณ์อะไรที่มันเกิดขึ้น เราต้องยิ่งแสดงให้คนอื่นเขารู้ว่าของเราเอง เรารักเรามั่นคงในหลวงพ่อแค่ไหน คนอื่นที่เขามา เขามาเพื่อผลประโยชน์ถึงเวลาเขาก็ไป แต่ไอ้ของเรานี่เรามา เรารู้อยู่ว่าหลวงพ่อสอนอะไร สิ่งที่หลวงพ่อสอนให้พิจารณามาตลอดสิบเอ็ดสิบสองปีนี่ ไม่เคยเห็นท่านสอนผิดเลย โดยเฉพาะในด้านของธรรมะเราปฏิบัติอย่างไร มันก็เป็นไปตาที่หลวงพ่อบอกทุกอย่าง
    เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นนี่ คุณไปคิดว่าหลวงพ่อบอกผิด หลวงพ่อบอกไม่ถูก เกิดอาการพลาดขึ้นมาแล้ว คุณชม้อยทำไมล้ม ทั้งๆ ที่เขาบอกว่า ไม่ล้มอะไรอย่างนี้ ไอ้เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องของคุณจะคิด แต่ว่าเรื่องของผม ผมไม่คิดอย่างนั้น เพราะผมมาผมเอาธรรมว่างั้น
    ถาม : แต่ว่าคุณชม้อยเขาก็ยังไปนะคะ
    ตอบ : เขาไปอยู่เหมือนปกติอยู่
    ถาม : เห็นไปอยู่ทุกวันจันทร์
    ตอบ : คือจริงๆมันไม่ได้ผิดอยู่ตรงคุณชม้อย มันผิดตรงคนที่เอาเงินคุณชม้อยไป โอ้โห...ไปกว่าของเขาทีตั้งแปดพันล้าน คุณรวยขนาดไหนล่ะ ไปเอาเขาทีขนาดนั้น ต่อให้กิจการเขาดีขนาดไหนก็เจ๊งน่ะ เสร็จแล้วมารับปากอีกว่าให้ศาลยกฟ้อง พอบอกให้ช่วยให้ศาลยกฟ้อง
    คุณชม้อยส่งข่าวมาขออยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดท่าซุงตลอด ทางด้านวัดก็จัดตึกขาวเอาไว้ ตึกขาวสี่ชั้นที่อยู่เยื้องๆ กับศาลาหลวงพ่อสี่องค์ก็เตรียมสถานที่ พวกคุณผดุงเกียรติ คุณอะไรที่คุ้นๆกับคุณชม้อยซี้กันก็เตรียมรถจะไปรับ ปรากฏว่าศาลตัดสินมาสองพันกว่าปี หงายท้องตึงเลย
    ถาม : แต่ก็อยู่ไม่นาน?
    ตอบ : ไม่นานเพราะว่า กฎหมายตอนช่วงนั้นบอกว่าถึงจะมีโทษกี่ปีก็ตามก็ให้จำคุกสูงสุดยี่สิบปี คราวนี้ยี่สิบปีถ้าเป็นนักโทษดีเด่น นักโทษชั้นเยี่ยม ก็ลดโทษครึ่งหนึ่ง ก็เหลือสิบปี พอปีที่สองถ้าเป็นนักโทษชั้นเยี่ยมอีก ก็ลดอีกครึ่งหนึ่งเหลือห้าปี พอปีที่สามจะลดอีกครึ่งหนึ่งไม่ต้องลดแล้ว เพราะเขาติดมาสองปีแล้ว ปีที่ผ่านก็เป็นอันว่าคุณพ้นไป
    ถาม : แป๊บเดียวเองนะ
    ตอบ : ติดแค่สองปีกว่า ออกมาตั้งนานเนกาเลแล้ว ยังสร้างพระถวายที่วัดท่าซุงองค์หนึ่ง ได้ไปเดินดูมั้ยล่ะ?
    ถาม : แล้วบางคนเขาติดตลอดชีวิตล่ะคะ?
    ตอบ : ตลอดชีวิตนั้นส่วนตลอดชีวิต ของคุณชม้อยนั่นมันหลายคดีรวมกัน เพราะว่าคนไปฟ้องร้องเขาเยอะ พอรวมๆ กันแล้วอายุความมันสองพันกว่าปี แต่สองพันกว่าปีมันไม่ใช่โทษจำตลอดชีวิต เขาก็เลยกลายเป็นว่าถึงเวลาแล้วสูงสุดให้แค่ยี่สิบปี มันไม่ใช่โทษหนักแบบ โทษยาเสพติด หรือข่มขืนฆ่าคนอะไร พวกนั้นมันเป็นโทษอุกฉกรรจใช่มั้ย อุกฉกรรจเขามีคำตัดสินจำโทษตลอดชีวิตได้
    ถาม : แล้วพวกจำคุกตลอดชีวิตนี่เขาจะได้ลดโทษมั้ยคะ?
    ตอบ : ก็โอกาสมันมี ถ้าหากว่าเขามีการถวายฎีกาในหลวงท่านก็อาจลดโทษให้ถ้าเห็นว่าสมควร เขาก็ทูลเกล้ากันทุกปีนั่นแหละ
     
  8. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : .........
    ตอบ : สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ราวๆ พ.ศ.๓๒๕ ท่านส่งสมณทูต ๙ สายออกไปเผยแพร่พระศาสนา สายของพระโสณะ พระอุตตระเถระ นี่มาขึ้นที่นครปฐม สมัยนั้นนี่นครปฐมอยู่ชายทะเล แต่ตอนนี้มันงอกออกไปถึงชะอำ แสดงว่าช่วงสองพันกว่าปีนี้มันเล่นงอกออกไปสามจังหวัดเลยมั้ง ราชบุรี เพชรบุรี สองจังหวัด เพราะชะอำนี่มันติดกันหัวหินใช่มั้ย? หัวหินนี่ของประจวบ สองพันกว่าปีนี้ได้มาสองจังหวัด แล้วทำไมว่าสมัยโน้น ภูกระดึง อยู่ในทะเลจะเป็นไปไม่ได้ใช่มั้ย? มันก็เป็นไปได้ งอกมาเรื่อยๆ ยาวออกมาเรื่อย
    ดูในเรื่องตาที่สามที่ ลามะรอปสัง ลัมปา ท่านเขียน ท่านลงไปฝึกมรณานุสสติ ในอุโมงค์ใต้ดิน มันขุดลึกเข้าไป จนบอกไม่ถูกว่าลึกลงไปใต้แผ่นดินมากเท่าไร เขาบอกว่าอากาศมันเต็มไปด้วยไฟฟ้าสถิต ถึงขนาดว่า ต้องถือทองไปแท่งหนึ่ง พอเดิน ๆ แล้วเอาทองจี้กับผนัง ไฟฟ้าจะแล่นปรี๊ดๆๆ ออกไปเลย พอลงไปถึงตรงนั้นแล้ว จะมีซากศพของบรรพบุรุษของทิเบตอยู่ ผู้ชายสูงสี่เมตร ผู้หญิงสูงสามเมตร ซากศพยังสมบูรณ์อยู่เพราะเขาเก็บเอาไว้ในที่ ๆ อุณหภูมิขนาดนั้นมันอยู่ตัวเลยล่ะมันแห้งถึงขนาดไฟฟ้าสถิตมันเกินทั่วไปหมด เชื้อโรคมันเกิดไม่ได้มันก็เลยไม่เน่า แล้วเขามีการปิดทองปิดอะไรด้วย ลามะรอปสัง ท่านไปนั่งสมาธิตรงนั้น เห็นอดีตชาติของตัวเองว่าในชาติที่เห็นผู้ชายผู้หญิงใหญ่ขนาดนั้นท่านก็เคยเกิด ชาติที่ท่านเกิดท่านบอกว่าทิเบตอยู่ชายทะเล
    คราวนี้พวกศึกษาธรณีวิทยาเขาบอกว่า อนุทวีปอินเดียนี่ แต่แรกเริ่มมันไม่ได้อยู่ติด มันเป็นลักษณะ เหมือนประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันนี้ คือ เป็นเกาะขนาดใหญ่ ออสเตรเลียนี่เป็นทวีปเลยนะแต่เป็นเกาะ โดนแรงกดดันกับการเคลื่อนที่ของพื้นโลกจนกระทั่งชนเอากับทิเบต แล้วก็ดันเอาทิเบตลอยสูงขึ้นไปกลายเป็นเทือกเขาหิมาลัย จากพื้นที่ชายทะเลมันดันสูงขึ้นไปทีเจ็ดแปดกิโลเมตรนี่มันน่าคิดนะ มันไปตรงกันว่านักธรณีวิทยา เออ...เขาก็คำนวณของเขาถูก ขณะเดียวกันของท่านที่พอนั่งสมาธิไปเกิดอตีตังสญาน ย้อนหลังไปก็รู้ว่าสมัยนั้นท่านก็เกิดริมทะเลเหมือนกัน แล้วคิดดูว่าจากทิเบตลงมา มันตั้งกี่ประเทศกว่าจะมาถึงทะเล
    ถาม : .............
    ตอบ : เด็กสาว ๆ นะ คุณทิพวดี เหลืองตระกูล อยู่นครนายกภาวนาแล้ว เข้าถึงฌานได้เร็วมากกายทิพย์หลุดออกไปเลย แล้วเขาเอง เขาก็ไม่แน่ใจขั้นตอนอะไรต่าง ๆ ก็เลยมาถาม เคยมาที่นี่หนเดียว เขาไม่มาเยอะหรอก เขาเอาจริง (หัวเราะ) ถามครั้งเดียวแล้วมันทำเลยล่ะเป็นไง ถ้ามียังงี้มันก็น่าชื่นใจประเภทมาแล้วมาอีกก็ต้องเตรียมไม้เรียวไว้รอ มาถึงก็ฟาดเลย
    ถาม : แก้ขันธมาร แก้ยังไง?
    ตอบ : ขันธมารไม่ต้องแก้ แค่พิจารณาว่า ธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ จะตายก็ช่างมัน เราจะทำความดีนะ หรือไม่ก็จับอยู่กับอานาปานสติมันจะกินได้น้อยมาก ไอ้ที่นั่งทนอยู่ทุกวันนี้จริงๆก็คือว่ามันได้ด้วย ถ้ามันไม่ได้ ก็ไม่มาทนนั่งหรอก โอ้โห! ทรมาทรกรรมวันหนึ่งสิบกว่าชั่วโมง ฟังแล้วซุมไปเลยมั้ย? เขามาครั้งเดียวเขาทำได้ขนาดเนี่ยะ เขาจะไปต่อสมาบัติแปดแต่ต่อไม่ออก เหตุที่ต่อไม่ออก เพราะว่าพอถึงฌานสี่ปั๊บกายในมันจะหลุดไปเลย ตั้งภาพกสิณไม่ทัน บอกว่าถ้าได้ขนาดนั้นไม่ต้องมาเสียเวลาต่อหรอก ไปยาวเลยเป็นเราจะเสียเวลามาต่อมั้ย นั่นมันยิ่งกว่า สมาบัติแปดแล้วนะ สมาบัติแปดคือกำลังมันเท่ากันไง มันใช้กำลังของฌานสี่ในการพิจารณาคล้าย ๆ วิปัสสนาญาณเลย แต่ว่ามันพิจารณาด้วยกำลังของฌานสี่มันก็เลยละเอียดมาก
    ถ้าถึงอากิญจัญญายตนะฌานนี่ มันเห็นชัด ๆ เลยว่า คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของทุกอย่าง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่านกลาง ในที่สุดก็สลายหมดแม้กระทั่งตัวเราก็ไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่นิดนึงก็ไม่ ตอนนั้นพูดง่าย ๆ ว่าทั้งโลก ทั้งจักรวาลแสนโกฏจักรวาลนี่มันเกลี้ยงไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี มันรู้สึกว่ากำลังของมันกว้างไกล แต่ถ้าไปติดอยู่ตรงนั้นนี่มันแย่เลยมันก็ต้องต่อยอดไว้นิดหนึ่ง เออ! ตายก็ตายไป เราจะไปนิพพาน จบประกันความเสี่ยง
     
  9. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : เราต้องพิจารณา (ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : ได้ ถ้าหากว่าเป็นอรูปฌานนี่ มันจะต้องตั้งภาพกสิณขึ้นมาก่อน เพราะงั้นมันก็เลยต้องได้ฌานสี่ด้วย แต่คราวนี้ของเรานี่ยังไงล่ะ เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้างไปมั่งก็ได้ มันไม่ได้ถึงขนาดนั้นเราก็พิจารณาไว้ก่อนใช่มั้ย? ถึงมันจะไม่เป็นอรูปฌาน มันก็เป็นวิปัสสนาญาณไปเลย เกิดปัญญาไปเลย หมดเรื่องไป
    สมัยนี้เสียท่าเด็กน่ะ โน่นแน่ะ ตัวเปี๊ยก มันไปเล่นที่วัดมาแล้วน่ะ (หัวเราะ) เด็กตัวขนาดเนี่ย กำลังใจมันไปถึงวัดมาแล้วนั่นน่ะ ใครว่าวัดไกล ตามญาติไปตามผู้ใหญ่ไป บอกเขาว่าเดี๋ยวคราวหน้ามาอีกนะ มาคะมา เด็กหญิงกำไร กำไรไม่ยอมขาดทุน ฟังแล้วชื่นใจ ของเขามามันเหมือนกันเดินรอยเดียวกันมาเลย แต่แรกทางบ้านเขา แม่เขาคุมมาเลย เพราะกลัวลูกเขาจะบ้า บอกไม่ได้บ้าหรอก สติมันดีกว่าโยมเยอะเลย (หัวเราะ) เขาแปลกใจว่าลูกเขาเป็นผู้หญิงรุ่น ๆ แท้ ๆ ทำไม ไม่กินไม่เที่ยวอย่างกับญาติโยมเพื่อนฝูงอย่างนั้นน่ะ ตั้งหน้าตั้งตา ภาวนาอย่างเดียว สติดีกว่าเยอะ ในท่ามกลางความวุ่นวายเร่าร้อนของโลกนี้ เขามีสติรู้อยู่ว่ามันไม่ดี พยายามจะปลีกตัวออกจากมันคนที่คิดอย่างนี้ทำอย่างนี้ ไม่ใช่บ้านะ ดีกว่าเราเยอะเลย
    คอยดูนะนี่ปีที่แล้วมา นี่ปีนี้โทรมา เดี๋ยวดูว่าปีหน้าจะมีอะไรก้าวหน้ากว่านี้ พวกนี้ถ้าทำถึงตรงจุดนี้แล้ว ไม่ต้องพึ่งครูบาอาจารย์อย่างเราๆ นี่ได้เลย เพราะว่าครูบาอาจารย์ข้างบนนี่สำคัญกว่า กราบทูลถามตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย หรือไม่ก็นู้น ถามหลวงพ่อก็ได้ ถามท่านแม่ก็ได้ ถามท่านปู่ก็ได้ ถามท่านย่าก็ได้ พวกเรานี่พอใกล้พระทีหนึ่ง กำลังใจดีทีหนึ่ง ของเขานี่อยู่ห่างก็ดีได้
    ถาม : มันมีบารมีเก่าหรือเปล่าครับ?
    ตอบ : มันมีส่วนด้วย แต่ขณะเดียวกัน จุดสำคัญที่สุดคือการกระทำที่ต่อเนื่อง พวกเรามันขาดการกระทำที่ต่อเนื่อง พอเราทำๆเสร็จ เราก็ทิ้งไปใช้ผลของมัน แหม ! รื่นเริงกระดี๊กระด๊า อารมณ์ใจดีจังใช่มั้ย สักพักเดียวฟัง หน้าดำมาอีกแล้ว นั่นน่ะเราขาดการกระทำที่ต่อเนื่อง ส่วนของเขา เขาทำต่อเนื่องตามกันไปเรื่อย ไปเรื่อย คนที่ทำต่อตามกันถึงมันจะเป็นโลกียฌาน ก็ตามกิเลสมันกินได้ยาก มันไม่เปิดโอกาสให้น่ะ ยังไงๆ กูก็เกาะฌานเอาไว้ก่อน
    ถาม : .........
    ตอบ : .........ท่านบอกว่า ฉันไม่ยอมให้จิตเคลื่อนจากนิพพานแม้แต่วินาทีเดียว เป็นเราทำอย่างนั้นเครียดตายเลยใช่มั้ย? แต่กำลังของท่านถึงท่านทำได้ ต้องให้มันต่อเนื่องตามกัน ตอนนั้นนี่ปัญญามันชัดมากเลย มันรู้ว่าเปิดช่องแม้แต่นิดเดียว กิเลสมันจะตีเราอีกท่าไหน แล้วถ้ามันตีเราได้แล้ว คราวนี้ตายแน่
    หลวงพ่อท่านบอกว่าประมาทคิดว่าได้สมาบัติแปดแล้วสบายมาก ปรากฏว่าวันนั้นมันพังโครมเดียวเหลือแค่อุปจารสมาธิ เท่านั้นเอง ต้องใช้คำว่าอุปจารฌาน คือ มันหนักแน่นกว่าอุปจารสมาธินิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่ปฐมฌาน งัดยังไงก็ขึ้นปฐมฌานไม่ได้ ท่านบอกว่าไอ้บ้านมีแปดเสา อยู่ ๆ มันเหลือเสาแค่ครึ่งต้น มันจะโดนทับตายเอา นั่นน่ะประมาทนิดเดียวเอง
    พอได้บทเรียนนี่เข็ด ไม่ยอมเปิดโอกาสให้มันอีกเลย ขืนเปิดโอกาสให้มันอีกเสร็จแน่ ๆ มันตีเรานี่มันไม่เลี้ยงนา มันจะเอาเราไว้เป็นบริวารของมัน มันทรมานสารพัดต้องดิ้นรนต้องต่อสู้ ต้องฝืน ทวนกระแสโลก ทวนไปทวนมาเหนื่อยก็ข้ามกระแสพักมันเลยหมดเรื่อง ข้ามฝั่งแล้วมันไม่ต้องไปทวนกับใครใช่มั้ย? น้ำแรงแค่ไหนก็พัดเราไปไม่ได้ ก็ขึ้นฝั่งไป
    ถาม : อย่างนี้ถือว่า เขาคิดว่าเขาเป็นภิกษุณีแล้ว อย่างนี้ถือว่า ผิดมั้ย?
    ตอบ : จริง ๆ แล้ว มันเป็นไม่สมบูรณ์ ถ้าหากว่าทำตัวสูงกว่าเขาอย่างเช่นว่าในลักษณะของการได้รับการกราบไหว้บูชา ถ้าหากว่าเขากระทำในเจตนาเพื่อสงฆ์จริงๆ อย่างเช่นว่า อาจมีการถวายสังฆทานถ้าหากว่ารับนี้ตัวเองไม่สามารถที่จะใช้ได้ ถ้าใช้นี่ผิด จะไปกินไปใช้ในลักษณะนั้นนี่ผิด เพราไม่ใช่สงฆ์ที่แท้จริงใช่มั้ย? ก็จำเป็นที่จะต้องเอาไปเพื่อส่วนรวมเท่านั้น ถ้าเพื่อตัวเองเมื่อไรก็แปลว่าได้รับโทษแน่นอน
     
  10. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ถ้าเพื่อส่วนรวม แต่ว่าฉันด้วย?
    ตอบ : ส่วนหนึ่งมันต้องดูเจตนาคนที่เขาให้ ถ้าหากว่าเขาให้มาแล้วเราแบ่งไปใส่บาตรพระซะหมดเรื่องหมดราวไป ได้ที่เหลือแล้วค่อยมาว่ากัน ลำบากมาก
    ในปัจจุบัน ไม่ใช่แต่ภิกษุณีหรอก บรรดานักบวชด้วยกันนี่ ถ้าหากมีผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส คือขาดความเป็นพระชั่วคราว กับผู้ที่ต้องอาบัติปาราชิก คือ ขาดความเป็นพระไปแล้ว แต่ยังนุ่งเหลืองห่มเหลืองอยู่ ถึงเวลาแล้วเข้าไปในพิธีของการบวชนั้น ไม่ว่าจะเข้าไปในฐานะของอุปัชฌาย์หรือในฐานะของคู่สวด หรือเข้าไปในฐานะของพระอันดับเพื่อให้ครบองค์สงฆ์ มีอยู่แม้แต่คนเดียวสังฆกรรมนั้นเสีย การบวชพระนั้นจะไม่เป็นพระเป็นแค่เณรเท่านั้น มันก็จะไปซวยตัวคนบวชตัวเองเป็นแค่เณรแต่คิดว่าเป็นพระ แล้วไปกินร่วมกับพระนอนร่วมกับพระ ทำสังฆกรรมร่วมกับพระ ก็บรรลัยน่ะซิมันกลายเป็นโทษมากขึ้นทุกวัน ๆ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าบวชมาแล้วถูกต้องแล้ว ในปัจจุบันนี้มันมากต่อมากด้วยกัน ไม่ใช่แต่ภิกษุณีบวชแล้วไม่เป็นภิกษุณีหรอก ภิกษุบวชแล้วไม่เป็นภิกษุก็เยอะ
    ถาม : แต่ทีนี้คือ เจนาเขาก็ไม่ทราบ?
    ตอบ : เขาไม่รู้จริงๆ มันเกิดโทษโดยไม่รู้ตัว แบบเดียวกับยาพิษไง กินรู้หรือไม่รู้มันตายเหมือนกัน อันตรายมากเลย
    ที่วัดท่าซุงสมัยช่วงที่บวชอยู่มีอยู่สองปีติดกัน ที่ถึงเวลาวันเข้าพรรษาหลวงพ่อท่านจะสวดญัตติให้ใหม่ ต่อหน้าพระประธาน พระประธานคือพระพุทธเจ้า เท่ากับเป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเท่ากับเป็นคู่สวด สวดญัตติให้ใหม่เลย ไอ้เราก็สงสัยข้องใจอยู่ ปรากฏว่าพระพี่ๆ ท่านอาวุโสกว่า ท่านบอกว่า สังฆกรรมวันนั้นต้องมีพระที่ขาดความเป็นพระอยู่ด้วยแน่เลย เพราะฉะนั้นเมื่อมีอยู่ ถึงเวลาพอเข้าพรรษาเหลือเฉพาะพระวัดของเรา ท่านก็เลยสวดญัตติให้ใหม่ เพื่อให้มาเริ่มต้นเป็นพระกันใหม่วันนั้นเลย มีอยู่สองปีติดกันประมาณปี ๒๕๒๙, ๒๕๓๐ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีอีก แสดงว่าสังฆกรรมครั้งหลังๆนี้ บริสุทธิ์
    แต่ว่าอย่างว่าแหละ ถึงบวชแล้วถูกต้องกลายเป็นภิกษุไปแล้วปฏิบัติผิดโทษมันก็สาหัส ฟัง ๆ แล้วน่าหนักใจน่ะ ไปบวชเองซะหน่อยก็จะรู้ (หัวเราะ) พอบวชได้สามพรรษาอาตมามีความคิดว่า ที่เขาบวช ๆ กันได้จะชั่วจะดีอะไรก็ตาม ถ้ามันบวชได้นาน ๆ นี่ ยอมกราบเท้าได้ทุกองค์เลย เห็นมั้ย? จะดีจะเลวกราบได้ทั้งนั้น ทำไมเขาอึดขนาดนั้นอยู่ได้ยังไง กว่าเราจะปรับตัวให้เข้ากับศีลได้ ให้ลงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ขยับตัวเมื่อไหร่ให้รู้ว่าศีลจะบกพร่องมั้ยนี่สามปีกว่า
    ดังนั้นมันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หลวงพ่อท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโคอยู่หกปี ช่วงนั้นใครเอาลูกไปบวชกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่าต้องบวชสามปี ถึงจะให้บวช หลวงพ่อบอกว่าข้านึกว่าคนจะไม่มาบวชวัดบางนมโคแล้ว ปรากฏว่าบวชกับเยอะขึ้น บังคับว่าต้องบวชสามปี คือปีแรกศึกษาศีลในพระปาติโมกข์สองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อให้ครบ ปีที่สองมาเริ่มขยายมาให้เกี่ยวกับอภิสมาจาร คือมารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นศีลละเอียดเพิ่มขึ้นอีก ศีลพระไม่ได้มีแค่สองร้อยยี่สิบเจ็ดนะ ถ้ารวมอภิสมาจารแล้วบานเบอะเลยล่ะ พอปีที่สามนี้รู้ครบทั้งสองอย่างแล้ว ทีนี้จะอยู่หรือจะสึกก็เชิญ
    เพราะฉะนั้น สมัยที่หลวงพ่ออยู่วัดบางนมโคนี่ หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าคนเอาลูกไปบวชกันเยอะแล้วชอบใจด้วย เพราะหลวงพ่อท่านเข้มงวดอบรมดี ล่อซะสามพรรษาเลย ไม่สึกไปซะเยอะ (หัวเราะ) คนไหนหวังว่าลูกหลานจะสึกไปแต่งงาน หรือสึกไปทำมาหากินนี่กลายเป็นพระยาไปเลยก็มี
    ถาม : แล้วมีคนสึกมั๊ย?
    ตอบ : ท่านบอกแล้วว่า ถ้าหากว่าบวชที่ท่านก็ต้องสามปีแต่ถ้าหากว่าสามปีไปแล้วจะบวชหรือจะสึกท่านไม่ว่า เป็นเราได้ยินสามเดือนก็จะแย่แล้ว นี่สามปีจะไหวมั้ย? อกแตกตายพอดี
    ถาม : คนที่กำลังเดินจงกรม ผมนึกไปนึกมา แล้วก็นึกว่าเวลาที่เขาเดินจงกรมเขาต้องจับลมหายใจยังไง พอนึกไปเรื่อย ๆ ผมว่าคนเดินจงกรมนี่ก็ต้องเหาะได้ซิทำอย่างนี้ มันก็ต้องเดินลอยไปในอากาศแล้วผมก็รู้สึกมันเหมือนกับเป็นจริงเป็นจัง แล้วอย่างนี้ผมฟุ้งซ่านหรือเปล่าครับ?
    ตอบ : มันไม่ฟุ้งซ่านหรอก ทำถึงที่สุดจริง ๆ ถ้าพื้นฐานเก่าของวาโยกสิณมันก็ไปได้หรอก
    ถาม : ........
    ตอบ : ไม่ต้องแก้ เพราะว่าวิสัยของเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าคนหวงสมบัติ อยากจะแก้ต้องแนะนำเขาเกี่ยวกับเรื่องทานบารมี อย่างเช่นให้เขาทำบุญอย่างนี้มันจะค่อย ๆ ลด ละตัวนี้ลงไปได้ทีละน้อย ถึงมันจะช้า แต่ว่ามันยังดี เพราะว่า จะช่วยให้เขาสร้างสมบุญสร้างสมบารมีให้มากขึ้น ตัดตัวโลภ ตัวตระหนี่ให้น้อยลง แล้วพอระยะหลังๆ เดี๋ยวเขาก็ให้คล่องตัวเขาเอง คราวนี้มันสำคัญอยู่ตะรางแนะนำนั้นแหละ เพราะว่าต้องดูว่าท่านชอบแบบไหน อย่างเช่นบางคนบอกให้สร้างโบสถ์ สร้างศาลา ทำกฐิน ไม่ทำหรอกแต่ว่า หากให้เลี้ยงเด็กยากจนสงเคราะห์คนตาบอก ดีอกดีใจ อยากจะทำอะไรอย่างนี้ ต้องดูจังหวะให้ดี ๆ ไม่งั้นเดี๋ยวพลอยจะโกรธเราไปด้วย
    ถาม : แล้วก็เขาจะเป็นโรคเวียนหัวบ่อย ๆ มียาทาแล้วเหมือนจะเป็นเวรเป็นกรรมยังไงไม่ทราบ ต้องเวียนเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ ยังไงไม่รู้ พอออกมานี่เขาเล่าให้ฟังว่า นอนอยู่บนเตียงคนไข้ข้างในนี้ร้อนมากเลย ร้อน ๆ เผาไหม้อยู่ข้างใน ส่วนข้างนอกในห้องนี่เย็น แล้วปวดหัวติ้วๆ ไปหมดเลย
    ตอบ : พวกที่เป็นโรคปวดหัวประจำ มันเป็นเศษกรรมจากการผิดศีลข้อสุราเมรัย ในชาติก่อนนี้กินระเบิดเถิดเทิงเลยนั่นน่ะ แต่ขนาดนั้นยังเรียกว่าน้อยนะ พวกโรคปวดหัวประจำนี่ถือว่ากินน้อย ถ้าหากว่าพวกที่เป็นโรคประสาทนี่กินปานกลาง ถ้าบ้าเลยนี่กินเยอะ เพราะฉะนั้นอย่างนั้นน่ะ ถือว่าน้อยนะ เศษกรรมมันตามมา
    ถาม : แล้วชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้านี่มีจริงหรือเปล่าคะ?
    ตอบ : มีซิ เมื่อวานมีมั้ย? แล้วพรุ่งนี้มีมั้ย? แบบเดียวกัน ชาติก่อนก็มี ชาตินี้ก็มี ชาติหน้าก็มี อยากพิสูจน์นี่ฝึกให้ได้แล้วไปดู จะได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เราเป็นอย่างไรมา แต่ละชาติจนที่สุดก็จนแล้ว รวยที่สุดก็รวยแล้ว มีอำนาจก็มีแล้ว ได้วาสนาก็เป็นแล้ว มันจะเบื่อจะได้เข็ดซะที อะไรอย่างนี้ ดีไม่ดี มันก็คิดจะหล่อซะเอง ไม่ใช่มีแฟนหล่อนะ ขอเกิดใหม่ หล่อซะเองอยากเป็นผู้ชายมั่ง
    ถาม : มีความรู้สึกว่าไม่ถูกกับพ่อเลย
    ตอบ : หา...ไม่ต้องถูก อยู่ห่าง ๆ ไว้ บางคนเป็นในลักษณะนั้นคือเกิดมาแล้วเขาไม่ชอบหน้า ไม่จำเป็น เราตั้งใจแผ่เมตตาให้เขาเป็นปรกติ ต่อไปกรรมตัวนี้จะค่อยๆ คลายตัวลง อยู่ครอบครัวเดียวกันมันต้องมีกรรมเนื่องกันมามันถึงเกิดเป็นพ่อเป็นลูกกัน แต่ว่าขณะเดียวกันในชาติก่อนเราอาจทำผิดคิดร้ายอะไรไว้ ทำให้เขาไม่ชอบขี้หน้ารา แต่ว่ากรรมทุกอย่างถึงเวลาถึงวาระมันจบลงมันสิ้นลง ถึงวาระมันสบายตัวลงได้
    เพราะฉะนั้นเราก็อย่าไปโกรธไปเกลียดอะไรท่าน นึกซะว่าเราทำไม่ดีเอง ถึงได้เจออะไรลักษณะอย่างนี้ ตั้งใจแผ่เมตตาให้กับท่านสงเคราะห์ท่านอยู่ตลอด ทำบุญเมื่อไรก็นึกถึงท่าน ให้ช่วยด้วย ขอให้ผลบุญอันนี้ขอให้พ่อหายโกรธหายเกลียดเราซะที ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวดีขึ้นเอง แล้วของเราลูกมั้ย
    ถาม : (ฟังไม่ชัด-ถวายข้าวพระพุทธ) ทานได้หรือเปล่าคะ?
    ตอบ : ได้ ถ้าหากว่าเป็นข้าวที่ถวายพระพุทธรูปในบ้านของเรา ลามาแล้วก็กินได้เลย แต่ถ้าหากเป็นพระพุทธรูปในวัดกินเมื่อไรก็ชำระหนี้สงฆ์ซะดี ๆ ไม่งั้นติดหนี้แน่ ๆ บรรดามัคทายักน่ะมันเอาบ่อยข้าวดี ๆ กับข้าวดี ๆ เอาไปถวายพระพุทธรูป แล้วเสร็จแล้วพอถึงเวลามันลาไปฟาดเอง อย่างนั้นติดหนี้สงฆ์อยู่ทุกวัน ถ้าเป็นที่บ้านไม่เป็นไร แล้วอีกอย่างหนึ่งมีหลายคนที่ตั้งใจใส่บาตรที่หน้าบ้านตัวเองแล้วพระไม่มา ลักษณะอย่างนั้น ถ้าตั้งใจจะใส่จริง ๆ แล้วไปวัดเลย ไม่ทันเข้าก็ถวายเป็นอาหารเพลไป แต่ถ้าเวลาไปวัดเองไม่มี ก็กินเองซะเลย เอาไปถวายพระพุทธรูป เอาอานิสงส์ซะหน่อยหนึ่งก่อน เมื่อพระสงฆ์ไม่มานี่นะ ถวายพ่อใหญ่ไปเลย หมดเรื่องไป อันนั้นยังถือเป็นของ ๆ เราอยู่นะ กินได้ไม่เป็นไร
    ถาม : แล้วเวลากรวดน้ำคะ จะแผ่ส่วนกุศลให้ใครได้บ้างนอกจากญาติมิตร?
    ตอบ : สารพัด สารเพเลยจ้ะ สรรพสัตว์ทุกภูมิทุกเหล่าถ้าใครโมทนาได้ ก็ให้มาโมทนา แต่ถ้ามาให้ญาติให้โยมของเรานี่ ถ้ารู้จักชื่อนามสกุลให้ตรง ๆ ไปเลย เพราะถ้าท่านกำลังน้อยเดี๋ยวจะแย่สู้เขาไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าให้คนอื่นไปแล้วเราจะให้ใครอีกเท่าไหร่ก็ได้ ผลบุญนั้นไม่ลดลง ยิ่งเยอะยิ่งดี ตัวเราจะได้ตัวเมตตาบารมีเพิ่มขึ้น
    ถาม : แล้วพระที่เดินซื้อซีดีที่คลองถมคะ บาปมั้ยคะ?
    ตอบ : จะไปบาปตรงไหนล่ะ ท่านไม่ขโมย เพียงแต่ว่าอย่าเป็นซีดีหนังโป๊แล้วกัน
    ถาม : มันรวม ๆ ปน ๆ กันคะ?
    ตอบ : จ้ะ แต่ถ้าหากเป็นซีดีเพลงจะไปฟังด้วยอะไรด้วยก็บรรลัยเลย ตอนซื้อนะไม่บาปหรอก แต่ถ้าเป็นหนังไปนั่งดู ไปนั่งเชียร์หรือว่าเป็นหนังโป๊ไปนั่งเพลินน้ำลายยืดไปเลย หรือว่าเป็นเพลงอะไรมัน ๆ แทบจะเต้นเองก็โอเค ตอนซื้อไม่บาปหรอก ไปบาปตอนทำ ตอนฟัง ตอนดูใช่ไหม? แต่ส่วนใหญ่เจตนา เป็นอย่างนั้นใช่มั้ยล่ะ?
     
  11. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม : ......
    ตอบ : ลักษณะนี้ที่ไหนมันก็มี โบราณเขาถึงได้บอกว่า
    อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นให้
    จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน (หัวเราะ)
    ถาม : ทำไมเราพูดแล้วเขาหาว่าเราแต่เรื่องแต่เขาพูด (ฟังไม่ชัด).....?
    ตอบ : หน้าฉากของคน กับไอ้การกระทำมันส่วนใหญ่คนละอย่างกัน เขาว่าปากหวานแล้วก็ก้นเปรี้ยว ธรรมดาของมันเป็นอย่างนี้ บางทีเขาเห็นเรารายได้ดีอะไรดี เขาก็อิจฉาเอา เป็นเรื่องปกติ
    ถาม : เขาทำของเรามั้ยครับ?
    ตอบ : ถ้าเรื่องนั้นกลัว หาสมเด็จองค์ปฐมให้ได้แล้วตั้งใจบูชาทุกวัน ผู้ใดบูชาสมเด็จองค์ปฐม ใครคิดร้ายจะแพ้ภัยตัวเอง นั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรหรอก วันๆ เราสวดมนต์ไหว้พระเสร็จก็ยืนยิ้มขายของได้ ใครมันกลั่นมันแกล้งอีท่าไหน มันจะรับเละคืนไปหลายเท่าเลย
    ถาม : หนูอ่านหนังสือไม่ได้ ไม่ได้เรียนมา
    ตอบ : อ่านหนังสือไม่ได้ก็ไม่ว่า ไม่ได้เรียนก็ไม่เป็นไรนี่ ตั้งใจบูชาสวดมนต์ได้แค่ไหนเอาแค่นั้นไม่ได้อะไร นะโม ตัสสะ ก็พอ
    ถาม : แล้วมีวิธีไหนที่ให้เขาเลิกทำ?
    ตอบ : เวรกรรม ก็บอกวิธีแก้อยู่นี่ไง ก็แหม ... ไม่คิดจะฟังเหรอ?
    ถาม : คือเขากัดไม่ปล่อย
    ตอบ : ก็เรื่องของเขา มันยิ่งกัดเราแรง ถ้าทำตามวิธีที่ว่า โดนเองหนัก เราไม่ทำอะไรเขา ไม่ได้คิดร้ายต่อเขา เขาทำแล้วผลการกระทำของเขาเกิดแก่เขาเอง
    ถาม : แล้วอย่างเขาใช้เดียรัจฉานวิชามาทำเรานี่?
    ตอบ : ถ้าทำอย่างอาตมาว่า ให้เดียรัจฉานอีกแปดขาก็ทำอะไรไม่ได้หรอก อย่างว่าแต่สี่ขาเลย ถ้าทำอย่างที่ว่านี่มีแต่ว่าจะอยู่เท่าไหร่ ถ้าเขาต้องการให้เราไปเขาก็ไปเอง ถ้าเขาต้องการให้เราเจ๊งเขาก็เจ๊งเอง ง่ายดีมั้ย? เราอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเอาอย่างหลวงพ่อซิ หลวงพ่อท่านบอกว่าถ้าท่านยิ้มให้สองครั้งแล้ว ไม่เอาด้วยนี่ ครั้งที่สามไม่ตอบเป็นว่าเลิกกัน มันก็แค่นั้นแหละ อยู่ด้วยความดี อยู่ตามระเบียบวินัย ตามแบบแผน ถ้าเราไม่ผิด เขาทำอะไรไม่ได้หรอก
    ถาม : เดี๋ยวเป็นตรงนั้น เดี๋ยวเป็นตรงนี้
    ตอบ : ธรรมดา คนเราทุกคนเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดจากกรรมเก่าของการฆ่าคน ฆ่าสัตว์ ในอดีตเคยทำไว้ ต้นทุนใช้หนี้เขาแล้ว เหลือแต่เศษกรรม เศษกรรมนี่ทำให้ป่วยบ่อย ถ้าไม่ต้องการให้ป่วยบ่อย หมั่นปล่อยชีวิตสัตว์ที่จะถูกฆ่า จะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา อะไรก็ได้ ที่เขาขายให้เป็นอาหารนั่นน่ะ ซื้อปล่อยมันซะทุกเดือน เดือนละตัวเสองตัวก็ได้ เรื่องพวกนี้จะเบาลง
    ถาม : เรื่องงานที่จะมีปัญหา ต้องอยู่กันไปตลอด หรือจะเรียบร้อย?
    ตอบ : งานทุกอย่างมีปัญหาทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเราจะมีสติแก้ไขปัญหานั้นหรือเปล่า ไม่มีปัญหามันก็ไม่ใช่งานซิ แล้วมีใครมีงานไม่มีปัญหามั่ง ถ้าใครมีจะไปช่วยทำ
    ถาม : อยู่กันมาสามปีกว่าสี่ปีไม่เคยมีปัญหาเลย เริ่มต้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เรื่อยๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ทีนี้จะรบกวนให้ดู บุคคลสองคนนี้จะพึ่งใครได้มั้ย?
    ตอบ : เอากลับไปเลย ไอ้เรื่องนี้ไม่ดูให้ใคร ดูไปมันก็จะประเภทไปรักคนหนึ่ง เกลียดคนหนึ่ง ไม่มีประโยชน์สำหรับพระที่จะทำ ถ้ายิ่งลูกถามว่าพึ่งใครได้ ไม่พึ่งใครได้นี่ไล่เลยนะ ลูกเรา พึ่งได้หรือไม่ได้ ก็ต้องเลี้ยงเขา ต้องดูแลเขา ต้องให้การศึกษาเขาให้เต็มที่ บางคนลูกเกิดมาปุ๊บไปถาม:หมอดู หมอดูบอกพึ่งไม่ได้ก็เลยเกลียดลูกมาตั้งแต่เล็กโดยที่ไม่ใช่ความผิดของลูกเลยก็มี เพราะฉะนั้นเรื่องพรรค์นี้ไม่ต้องถามพระ พระบอกไม่ได้ บอกได้ก็ไม่บอก
    ถาม : อยากจะทราบว่า มีอะไรที่เราทำไม่ถูก อยากจะแก้ไขอะไรอย่างนี้?
    ตอบ : เราอยู่ที่ไหนก็ตาม ในแต่ละสถานที่จะมีสิ่งไม่มีตัวตนที่เป็นเจ้าของสถานที่อยู่ ถ้าเราให้ความเคารพ ให้ความเกรงใจเขาอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ จำเอาไว้ให้แม่นๆ ยกเว้นว่าเราไม่ให้ความเคารพกี่ปี ๆ ก็ข้ามหัวเขา อย่างนั้นล่ะจะมีเรื่องบ้าง
    ถาม : ..........
    ตอบ : บอกอะไรแล้วฟัง ฉันเป็นคนพูดน้อย แต่มักตีตรงเป้า เพราะฉะนั้นมันจะแรง เหมือนยังกับถูกด่า แล้วตั้งใจฟังให้ดีๆ ถ้าบอกแล้วไม่ฟัง ฉันก็เลิกพูดด้วย แค่นั้นเอง วันนี้วันเสาร์ ไม่ใช่หรือ คุณตุ๋ย วันเสาร์ต้องใส่สีดำสิ เพราะว่า
    <TABLE height=1 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD> เสาร์วโรรุจิล้วน </TD><TD> ดำดี</TD></TR><TR><TD> ทรงสรรพาวุธลี</TD><TD> ลาศเต้า</TD></TR><TR><TD> ออกแย้งยุทธไพรี</TD><TD> รณภาพ</TD></TR><TR><TD> เทเวศร์อวยชัยเช้า</TD><TD> ค่ำให้สถาพร</TD></TR></TBODY></TABLE>
    สีแดงต้องวันอาทิตย์ (หัวเราะ) <TABLE height=1 cellPadding=10 border=0><TBODY><TR><TD> ระวิสิทธิด้วย</TD><TD> อาภรณ์</TD></TR><TR><TD> แดงพิจิตร อลงกรณ์</TD><TD> ก่องแก้ว</TD></TR><TR><TD> ทรงแสงธนูศร</TD><TD> ลีลาศ</TD></TR><TR><TD> เสด็จสู่สงครามแผ้ว</TD><TD> ผ่องพัน ไพรี</TD></TR></TBODY></TABLE>
    วันอาทิตย์เขาใส่สีแดง ตำราพิชัยสงคราม <TABLE height=1 cellPadding=10 border=0><TBODY><TR><TD> จันทรวารภูษณพื้น</TD><TD> โขมภัสตร์</TD></TR><TR><TD> กรกลึงดาบขัด</TD><TD> เพริศแพร้ว</TD></TR><TR><TD> เสด็จจรกำจัดดัส</TD><TD> กรราช</TD></TR><TR><TD> ตามพิชัยฤกษ์แล้ว</TD><TD> ล่มล้าง ศัตรู</TD></TR><TR><TD> ภุมวารพิเศษด้วย</TD><TD> ชมพู</TD></TR><TR><TD> ทรงพระแสงกรชู</TD><TD> ดาบดั้ง</TD></TR><TR><TD> เฉกองค์มฤตยู</TD><TD> ยุรยาตร</TD></TR><TR><TD> มวลอรินทร์ ต่อตั้ง</TD><TD> แตกด้วย เดชา </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เขาจะบอกให้ทุกวัน ระวิ ก็วันอาทิตย์ ภุมมะ ก็วันอังคาร เป็นคนสมัยใหม่รู้เรื่องเก่าไว้หน่อยก็ดี แต่วันนี้มันแปลกๆ เด็กสมัยนี้เขาเรียน กับของเราเรียนมันคนละตำรากัน สมัยเด็ก ๆ ที่เรียนจำได้ว่า พฤหัสสีน้ำเงิน วันศุกร์สี่ม่วง วันเสาร์สีดำ สมัยนี้เขาเปลี่ยนหมด เปลี่ยนเป็นพฤหัสสีส้ม ศุกร์สีอะไรไม่รู้กลายเป็นคนละตำรากัน
    สมัยก่อนกว่าจะโตขึ้นมาเป็นผู้เป็นคนได้ต้องเรียนสารพัดวิชา ฤกษ์ล่าง ฤกษ์บน ตำราอาวุธ ตำราพิชัยสงคราม ปลุกเสก เลขยันต์ อะไรสารพัดสารเพ ต้องแม่นตำรา ต้องคล่องตำรา แค่การรบใช่มั้ยมันต้องเริ่มต้นมาจากโน่นยกทัพแล้วต้องใช้ฤกษ์อะไร มีกระทั่งการฤกษ์ล่าง ฤกษ์บน ดูดาว ดูลม
     
  12. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : .........
    ตอบ : อยากเก่งไม่ใช่เรื่องผิดโยม แต่ว่าในขณะที่ปฏิบัติ เราต้องลืมคำว่าอยากให้ได้ ถ้าตราบใดที่เรายังอยากอยู่จิตใจจะวอกแวก เขาเรียกว่า อุทธัจจะกุกุจจะ คือ ฟุ้งซ่าน ในเมื่อฟุ้งซ่านก็แสดงว่า ตัวนิวรณ์คือเครื่องกั้นความดี นั้นยังทำหน้าที่ของมันอยู่ เราก็ไม่สามารถเข้าถึงที่สุดของอารมณ์ได้ คราวนี้การที่เราอยากเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่อยากก็ไม่มาปฏิบัติ แต่เราตั้งความหวังว่าเราทำอย่างนี้เพื่ออะไรแล้วให้ลืมความคิดนั้นเสียตั้งหน้าตั้งตาภาวนาอย่างเดียว มันจะเป็นอย่างไรช่างมัน มันจะได้อย่างไรช่างมัน ถ้าทำอย่างนี้ได้จะเกิดผลเร็วมาก แต่ถ้าเรายังทำไปอยากไปอยู่ ผลมันจะช้า หรือไม่ก็ไม่ได้สักที
    ถาม : แล้วถ้าหากจะไม่ให้โกรธล่ะเจ้าคะ?
    ตอบ : อันนี้ต้องมีสติรู้ให้ทัน ความโกรธจะเข้ามาหาเราง่ายที่สุด ทางตากับทางหู ตาเห็นรับเข้าไปสู่ใจ ไม่พอใจ หูได้ยินรับเข้าไปสู่ใจ ไม่พอใจ ในเมื่อไม่พอใจ มันก็จะเริ่มกรุ่นขึ้นมาลักษณะเหมือนกับควันขึ้นแล้ว พอควันขึ้นถ้าเราปล่อยโดยการที่ไปนึกคิดปรุงแต่งต่อ มันก็จะเป็นเปลวไฟไหม้ล่ะ คราวนี้กลายเป็นโทสะ
    พอทำเขาไม่ได้ ด่าเขาไม่ได้อย่างใจ ทำร้ายเขาไม่ได้อย่างใจ คราวนี้ พยาบาท จ้ะ มันก็มีแต่เผาเราอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นสติต้องรู้เท่าทัน พอตาเห็นปุ๊บสักแต่ว่าให้มันเห็นเท่านั้น หูได้ยินปุ๊บสักแต่ว่าให้มัน ได้ยินแค่นั้น ให้คิดว่าธรรมดาของเขาเป็นอย่างนั้น
    บุคคลที่ยังไม่เห็นทุกข์เห็นโทษว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นโทษ แก่คนอื่นอย่างไร เป็นโทษแก่ตัวเองอย่างไร เขาก็ยังทำสิ่งนั้นอยู่ด้วยความยินดีและเต็มใจ แต่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น โทษสาหัสกับเขาในภายภาคหน้า เขาไม่สามารถจะมองเห็นได้ คนที่มองไม่เห็นโทษของตัวเองจริงๆแล้ว ไม่ใช่คนที่น่าโกรธ หากแต่เป็นคนที่น่าสงสารที่สุด ถ้าเรารู้จักคิดอย่างนี้มันก็จะไม่โกรธ หรือไม่ก็โกรธน้อยลง อย่าลืมว่าสติต้องทันนะ ถ้าสติไม่ทันนี่มันพาเราไปหลายกิโลเลย กว่าจะดึงมันกลับได้
    ถาม : เคยบอกว่าถ้าทำพรหมวิหารสี่ แล้วจะมองเห็นเหมือน....(ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : ก็คือว่าให้อารมณ์ของพรหมวิหารสี่นี้ทรงอยู่ในใจตลอดเวลา สมมติว่าโยมเริ่มในช่วงเช้า โยมพิจารณา ว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้มีปกติก็คือว่า เกิดแก่ เจ็บ ตาย เหมือนกับเรา เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลางสลายไปในที่สุด ไม่มีตัวตน เราเขาผู้ใดผู้หนึ่งที่จะทรงอยู่ได้นะ ทุกคนล้วนแล้วแต่เวียนว่ายอยู่ในทุกข์ทั้งสิ้น เราจะเบียดเบียนเขาหรือไม่เบียดเบียนเขา เขาก็ทุกข์ เขาจะไม่เบียดเบียนเรา เราก็ทุกข์ ต่างคนต่างทุกข์อยู่แล้ว เราอย่าไปเพิ่มเติมความทุกข์อันนั้นให้แก่ผู้อื่นและตัวเราเลย ขอให้เขาทั้งหลาย เหล่านั้นจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ตั้งใจแผ่เมตตา ออกไปในทิศทั้งสี่ จนกระทั่งกำลังใจของเราเยือกเย็นทรงตัวแล้ว
    ให้โยมจับตัวอานาปานุสสติ คือลมหายใจเข้าออกของเรานี่ภาวนาต่อไปเลย พอภาวนาอารมณ์ทรงตัวแล้วรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้ ตัวอารมณ์พรหมวิหารสี่ก็จะทรงอยู่กับเราตลอดเวลาที่เรามีสติรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ ถ้าหลุดจากลมหายใจเข้าออกเมื่อไรมันจะค่อยๆสลายตัวไป เพราะฉะนั้นถ้าโยมจะทรงให้ได้ทั้งวันอย่างที่ว่า โยมต้องเกาะอารมณ์ภาวนาอยู่ตลอดคือหลังจากที่แผ่เมตตาจนอารมณ์ใจเยือกเย็นทรงตัว แล้วเกาะอารมณ์ภาวนาต่อไปเลย มันก็จะเข้าถึงอารมณ์สูงสุดของตัวนั้นได้ ถ้าเราเข้าถึงอารมณ์ของฌานสี่ยิ่งได้สมาบัติแปดยิ่งดี เราก็เกาะ ตรงจุดนั้นเอาไว้ เราก็จะทรงพรหมวิหารสี่ได้ตลอด
    ถ้าตัวนี้อยู่กับเราตลอด เราก็จะไม่โกรธใคร เพราะว่าเรารักเขาเหมือนกับตัวเรา ไม่คิดอยากจะเบียดเบียนใครสงสารเขาอยากให้เขาพ้นทุกเหมือนกัน ถ้าเขาทำอะไรดีก็พลอยยินดีเมื่อเขาอยู่ดีมีสุข ถ้าเขาตกอยู่ในความทุกข์ช่วยเหลือเขาจนสุดความสามารถแล้ว ไม่สามารถช่วยเหลือได้ จึงปล่อยวางอยู่ในอุเบกขา อารมณ์เหล่านี้จะทรงอยู่กับเราตลอด
    ถ้าอารมณ์อุเบกขาทรงตัวศีลก็จะบริสุทธิ์โดยอัตโนมัติ แล้วขณะเดียวกันว่าอารมณ์ตัวโกรธมันก็ลดลง ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ถ้าหากว่าจิตใจเรายิ่งเยือกเย็นในพรหมวิหารสี่ตลอดไป ตัวไฟโทสะมันก็ดับมอดไปเรื่อยจนกระทั่งมันสิ้นเชื้อไปเอง จริง ๆ แล้วพวกเราเวลาแผ่เมตตาอะไรเสร็จแล้ว เราไม่ได้ ภาวนาต่อให้อารมณ์มันทรงตัว หรือว่าถึงภาวนาต่อจนอารมณ์ทรงตัว แต่ว่าเราลุกขึ้นแล้วเราไม่รักษาอารมณ์นั้นไว้ เราไปปล่อยเลย
    ตัวรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องนั้นสำคัญที่สุดสำหรับนักปฏิบัติทุกคน ถ้าเราไม่รักษาอารมณ์นั้นให้ต่อเนื่อง มันเหมือนว่ายทวนน้ำมาระยะหนึ่งแล้วพอ เลิกปุ๊บเราก็ปล่อยมนลอยตามน้ำไปเลย แทนที่จะพยายามตะเกียกตะกายว่ายให้มันคงอยู่ในระดับนั้น ในเมื่อเราลอยตามน้ำไปไกลแล้ว พอถึงเวลาว่ายกลับมาใหม่ มันก็จะได้อย่างเก่งก็ได้กว่าเดิมหน่อยหรือน้อยกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ มันก็กลายเป็นว่าได้แต่งาน แต่ผลงานไม่ได้ เพิ่มขึ้น ก็ขาดทุนไปเรื่อยเพราะว่ามันก็เหนื่อยฟรี พอทำไปหลายๆ ปีเข้าชักท้อ มันไม่ก้าวหน้าสักที ความจริงเราเองทำผิดวิธีจ้ะ ขยันน่ะยังขยันอยู่ แต่พอขยันผิดวิธีคราวนี้หมดกำลังใจ
    ถาม : เวลาทำได้แล้ว ไม่ทราบว่าทำอย่างไหนมาก ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย?
    ตอบ : เอาอย่างหลวงพ่อว่านั่นแหละ ถ้าได้มโนมยิทธินี่ง่ายเลยโดดขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน ตั้งใจขออยู่กับท่านไม่ไปไหนแล้วล่ะ ทำอย่างไรก็ได้ สวดมนต์ภาวนาอะไรก็ได้ รักษาอารมณ์ใจจดจ่ออยู่ตรงนั้น รัก โลภ โกรธ หลง จะกินเราไม่ได้เป็นวิธีตัดกิเลสที่ง่ายที่สุด ถ้าไม่ได้มโนมยิทธิให้ตั้งใจภาวนา หลวงพ่อท่านสอนว่าให้จับภาพพระพร้อมกับลมหายใจเข้าออก
    ถ้าหากว่าพระเป็นสีเขียว สีเหลือง สีขาว ให้ตั้งใจจับสีนั้นด้วยภาวนาไปนึกถึงภาพพระไป ใช้คำว่าง่าย ๆ ว่า พุทโธ การภาวนานึกถึงลมหายใจเข้าออกเป็นอานาปานุสสติ การใช้คำว่าพุทโธ และเพ่งภาพพระเป็นพุทธานุสสติ การกำหนดภาพพระหรือเห็นภาพพระอยู่เป็นกสิณ เราจะได้สามอย่างพร้อมกัน ในเมื่อเราทำไป ๆ จนให้อารมณ์ใจมันทรงตัวไปต่อไม่เป็นแล้วก็คลายอารมณ์ใจถอยลงมาให้พิจารณาดูว่า โลกนี้ไม่เที่ยงทุกอย่างในโลกนี้เป็นทุกข์ ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ถึงเวลาทุกอย่างก็ตาย ก็พังหมด คนสัตว์ วัตถุธาตุสิ่งของ มีสภาพเดียวกันหมด
    ในเมื่ออารมณ์ใจมันทรงตัวดีแล้ว มันจะภาวนาของมันต่อโดยอัตโนมัติ พอมันภาวนาโดยอัตโนมัติ จนถึงจุดตันแล้วประคองมันไว้ให้มันค่อย ๆ ถอยออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วมาคิดพิจารณาใหม่ จะพิจารณาในแบบไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได้ จะพิจารณาแบบอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคก็ได้ แต่ว่าอริยสัจสี่นี่จับแค่สองตัวหรือจะจับแค่ตัวเดียวก็ได้ จับแค่สองตัวก็คือสมุทัยเหตุของทุกข์ แล้วพอเราไม่สร้างเหตุนั้นทุกข์ก็ดับ หรือไม่ก็จับตัวทุกข์ตัวเดียวว่ามันทุกข์อย่างนี้แหละเราไม่เอามันอีก
    แล้วถ้าหากเราไม่คล่องตัวจะถนัดทางวิปัสสนาญาณเก้าอย่าง ก็หันมาจับวิปัสสนาญาณเก้าอย่างแทน คือพิจารณาเห็นความเกิดและดับอย่างหนึ่ง พิจารณาแต่ความดับบ้าง พิจารณาเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย พิจารณาเห็นมันเป็นโทษเป็นภัย พิจารณาเห็นมันเป็นของน่ากลัว เหล่านี้เป็นต้น ค่อยๆ ดูไป เรื่อย ๆ การพิจารณามันจะได้เปรียบตรงว่า อารมณ์ใจมันจะทรงตัวแล้วมันจะกลายเป็นภาวนาเองโดยอัตโนมัติ แต่ว่าการภาวนา ถ้าหากว่าเราไม่ประคองมันให้ดี พอมันไปถึงจุดสุดของมันแล้ว มันถอยกลับมา ถ้าเราไม่ประคับประคองให้มันคิดในด้านดีด้านถูก มันจะเริ่มฟุ้งซ่านไปกับ รัก โลภ โกรธ หลง ใหม่ โยมทำอย่างนี้ ภาวนาแล้ว พิจารณาสลับไปเรื่อย ๆ ยิ่งพิจารณาได้ตลอดยิ่งดี
     
  13. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ทีนี้เวลาภาวนาปกติจะใช้ว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา?
    ตอบ : จ้ะ ดีเลยจ้ะ คราวนี้มันไม่ใช่ภาวนาเฉย ๆ มันต้องเห็นอย่างนั้นจริง ๆ เห็นอย่างนั้นจริง ๆ แล้ว จิตยอมรับจริง ๆ โยมลองถามตัวเองว่าร่างกายนี้ใช่ของโยมมั้ย? แล้วให้ใจมันตอบออกมาจริง ๆ ว่า ใช่ หรือไม่ใช่ ไม่ใช่ว่า ตอบ เพราะรู้ว่า ต้องตอบว่าไม่ใช่ถึงจะถูก ถ้าอย่างนั้นใช้ไม่ได้ มันต้องเป็นคำตอบที่ออกจากใจจริง ๆ ว่าไม่ใช่ของของเรา เราไม่สามารถทำให้จิตใจมันยอมรับได้
    ก็ดูว่าร่างกายนี่มันประกอบจากอะไร มันก็มีธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม คราวนี้ดินน้ำไฟลมนี้ก็ต้องแยกเป็นส่วน ๆ ส่วนที่แข็งเป็นแท่งเป็นก้อนเป็นชิ้นเป็นอันคือ ดิน ประกอบไปด้วยขน ผมเล็บฟัน หนัง กระดูกเส้นเอ็น พวกอวัยวะภายในอย่าง ตับไต ไส้ ปอด กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ เหล่านี้เป็นต้น เป็น ธาตุดิน มันจับได้ต้องได้ มันแค่นมันแข็งเป็นชิ้นเป็นอันเป็นท่อน เราก็แยกเป็นกองไว้ส่วนหนึ่ง ธาตุน้ำคือส่วนที่เหลวไปไหลมาในร่างกายของเรา มีเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลายน้ำดี เหงื่อ ไขมัน ปัสสาวะ อย่างนี้เป็นต้น ไขมันนี้ก็คือไขมันในเลือดน่ะ แล้วก็ธาตุลมก็คือสิ่งที่เคลื่อนไหวไปมา พัดไปมาในร่างกายของเรา ได้แก่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างอยู่ในท้องในไส้ที่เขาเรียกว่าแก็ส ลมที่พัดไปมาทั่งร่างกายไม่ว่าจะพัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดลงทั่วกายที่เขาเรียกว่า ความดันโลหิต แยกไปไว้อีกส่วนหนึ่ง ส่วนที่เป็นความอบอุ่นของร่างกายเรียกว่าธาตุไฟ มีธาตุไฟที่เผาร่างกายให้เสื่อมโทรมลง ธาตุไฟที่เผาผลาญย่อยอาหาร ธาตุไฟที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโตขึ้น เหล่านี้เป็นธาตุไฟ
    พอโยมแยกออกเป็นสี่ส่วน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก ไส้ ปอด เหล่านั้นเป็นกองหนึ่ง เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ เหล่านี้แยกไว้กองหนึ่ง พวกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในท้องในไส้ ลมพัดไปมาในเบื้องสูง เบื้องต่ำทั่วร่างกายไว้กองหนึ่ง ความอบอุ่นในร่างกายก็คือไฟธาตุที่ย่อยอาหาร ที่กระตุ้นร่างกายให้เติบโต ให้เสื่อมโทรมแยกไว้กองหนึ่ง หมดเกลี้ยงพอดีไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา
    พอเราจับเจ้าสี่กองนี้มาปั้นเข้าใหม่นะ เป็นหัวเป็นหูเป็นหน้าเป็นตาขึ้นมา เราก็ไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ความจริงมันเป็นเปลือกที่เราอาศัยอยู่ ร่างกายนี้เหมือนกับรถคันหนึ่ง ตัวเราที่เป็นจิตคือคนขับรถ ถึงเวลาที่มันพังไปตามกาลตามเวลาของมัน เราที่เป็นจิตก็ต้องไปหารถคันใหม่ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างเอาไว้
    เมื่อถึงวาระนั้นถึงตอนนั้นถึงจะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ พยายามแยกแยะอย่างนี้บ่อย ๆ ให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะละเอียดได้ จนกระทั่งจิตใจมันยอมรักจริง ๆ ว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ของเรา ร่างกายคนอื่นก็ไม่ใช่ของเขา ทั้งเขาและเรามีสภาพเดียวกันก็คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
    พอจิตมันยอมรับแล้วต่อไปเราแค่คิดว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเรา มันยอมรับก็ใช้ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องคิดมากตอนแรกๆ นี่ต้องคิดเหมือนยังกับเหวี่ยงแห จะเอาปลาทั้งทะเล แต่หลังจากที่คัดไปคัดมา ก็เลือกเอาปลาตัวที่ดีที่สุด มันก็เหลือนิดเดียว ตอนแรกของการปฏิบัติต้องการะจายออกกว้างมาก แต่พอรวบเข้าแล้วมันจะเหลือแก่นแค่นิดเดียวเท่านั้นใช่มั้ย? ถ้าทำจนใจยอมรับอย่างนี้ต่อไปแล้วจะสบาย เพราะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดา พอโยมเกาะตัวธรรมดาติด หากินได้ตลอดชาตินี้และก็ชาติต่อ ๆ ไปเลย คราวนี้แยกออกแล้วยังจ้ะ
    ตอบ : ต้องกลับไปแยกที่บ้านก่อน
    ตอบ : จ้ะ ค่อย ๆ ไปนั่งแยกมัน ให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้
    ตอบ : เคยเพ่งอสุภะ เพ่งไปเพ่งมา ก็เห็นคนเป็นโครงกระดูกหมดเลยจนถึงลืมตา
    ตอบ : จ้ะ ฉันเองตอนใช้อสุภกรรมฐาน ฉันก็ถนัดอัฏฐิกัง ปฏิกุลัง คือการเพ่งกระดูกมากที่สุด พอสาวสวย ๆ มาฉันก็แบ่งครึ่งฉึบ ครึ่งหนึ่งปรกติ อีกครึ่งหนึ่งให้เป็นกระดูก ดูแล้วมันเพลินดี (หัวเราะ)
    ตอบ : ชอบโครงกระดูก เวลาเพ่งศพแรง ๆ พอขึ้นมาก็เป็นโครงกระดูกหมดเลย
    ตอบ : เราอาจถนัดอันนั้น ก็จับโครงกระดูกแทน เสร็จแล้ว พิจารณาต่อไปเลยว่าสภาพร่างกายของเรามันเป็นอย่างนี้แหละ แก่นสารของมันมีนิดเดียวคือกระดูก แล้วกระดูกมันก็ค่อย ๆ เก่าไป ๆ ในที่สุด ก็ค่อยๆ เปื่อยผุพังเป็นดินไปหมด
    พอไม่มีกระดูกร่างกายมันก็อยู่ไม่ได้ มันเปื่อย มันสลาย มันจมดินไป กลับกลายเป็นธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหมือนๆ กันขึ้นชื่อว่าร่างกายที่หาสาระไม่ได้เช่นนี้เราไม่ต้องการมันอีกแล้ว ถ้าหากว่าเราตายตอนนี้ขอไปนิพพานที่เดียว คิดต่อไปเลยจ้ะ ต้องใช้ตัวนี้ต่อยอดไว้เสมอยังไง ๆ อย่าทิ้งนิพพานถ้าทำอย่างนั้นจะก้าวหน้าเร็ว ใจมันจะเกาะและรักนิพพานอยู่เสมอ ๆ
    ตอบ : เคยปฏิบัติอยู่ ตอนนั้นยังไม่เจอหลวงพ่อ (ฟังไม่ชัด) เจอตาโบ๋ ๆ มาหลอกแฮ่กระโดดขึ้นข้างหน้า ท่านว่าเห็นอะไรนี่ไม่ใช่นะ
    ตอบ : ตอนนั้นน่าจะพิจารณาไปเลยนะ รูป คือสิ่งที่เห็นใช่มั้ย? เสียงก็คือ นาม ใช่มั้ย? พิจารณาต่อไปเลยโยม (หัวเราะ) ลืมใช่มั้ย?
    ตอบ : ก็บอก ฉันไม่กลัวหรอก ผมฟู ๆ ยี ๆ ฉันกับผีก็เหมือนกันน่ะ
    ตอบ : เราน่ากลัวกว่า ผีมันกลัวคนหน้าด้านกว่า ... โยม ไอ้ผีมันกลัวคนหน้าด้านกับคนบ้า ถ้าเราหน้าด้านกว่าเราไม่กลัวมันก็เลิก หรือไม่เราบ้ากว่ามั้นก็เลิก มันไม่หลอกต่อ แต่จริง ๆ แล้วน่าจะพิจารณาต่อไปเลย ของเราตอนนี้มันน่ากลัวกว่าเขาเพราะเราเป็นผิดิบ ผีดิบ นี่มันยังประเภท เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ประเภทหิวกระหายร้อนหนาว อยู่ใช่มั้ย? ผีอย่างเขานั่นสบายกว่าเราซะอีก แต่ว่าถึงจะเป็นแบบเขาหรือแบบเราก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เพราะฉะนั้นขึ้นชื่อว่าการเกิดแล้วจะภพไหนภูมิไหนก็ตามมันไม่ได้เรื่องทั้งนั้นแหละไปนิพพานซะดีกว่าคิดต่อไปเลย
    ตอบ : ตอนนั้นยังไม่เจอหลวงพ่อ
    ตอบ : จ้ะ อีตอนเจอแล้วมันยังไม่ยอมหลอกใช่มั้ย? (หัวเราะ)
     
  14. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : หลวงพ่อสอนให้คิดว่า สัตว์โลกทั้งหลายเกิดเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น (ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : อันนั้นหลวงพ่อถือเป็นคติประจำใจของท่านเลยจ้ะ หลวงพ่อจะติดป้ายเอาไว้ใกล้ที่นอนของท่านเลยว่า สัตว์โลกทั้งหลายเกิดเท่าไหร่ ตายหมดเท่านั้น คือพระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้เป็นพุทธภาษิตเลย เพราะฉะนั้นถ้าคิด ตามพระพุทธเจ้าคิดตามหลวงพ่อนี่ยืนยันได้เลยว่าไม่ผิดแน่นอน
    ถาม : เจ้ากรรมนายเวร เราใส่บาตรกรวดน้ำให้ทุกวัน ๆ ก็ยังไม่พออีกเหรอคะ?
    ตอบ : เราทำเขาไว้เยอะจ้ะ ถึงเวลาให้เขายังไม่พอ ถ้าให้เขาพอเมื่อไหร่เขาก็เลิก
    ถาม : (ดูภาพถ่ายที่ อ.เล็ก ไปพม่า
     
  15. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : เอ๊ะ ... หลวงพี่ครับ ไอ้นี่มันเคยถามผมว่า ทำไมหลวงพี่มานอนที่นี่ได้ ไม่ผิดเหรอครับ?
    ตอบ : ไม่ได้นอนกับผู้หญิงนี่หว่า ตูนอนคนเดียว
    ถาม : แต่มันไม่ใช่วัดไม่ใช่อะไร?
    ตอบ : พระเขาไม่ได้บังคับว่าให้ต้องอยู่วัด เขาใช้คำว่าให้อยู่ในที่สงัดนะ ไอ้ที่สงัดนี่มันจำเป็นสำหรับการปฏิบัติขั้นแรก พอเลยจากนั้นไปถ้ากำลังใจมันทรงตัวอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
    ถาม : ไม่มีบทบัญญัติเลยว่าต้องเป็นวัดเท่านั้น?
    ตอบ : ท่านบอกว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ จะอยู่ในป่าช้า อยู่ในป่าชัฏ อยู่ในบ้านร้าง อยู่ในเรือนโรง อยู่ในกองเกวียน ไอ้กองเกวียนนี่มันยุ่งกว่า นี่อีกเยอะ เพราะสมัยก่อนเขาเดินทางกันบางทีมันตั้งครึ่งค่อนปี ไปตามคาราวานเกวียนเขา ให้จำพรรษาในกองเกวียนก็ได้ คราวนี้ก็มีการว่ากำหนดเขตติจีวรวิปปวาส คือเขตที่ภิกษุจะอยู่ได้โดยปราศจากไตรจีวรได้ ไอ้อยู่ในกองเกวียนนี่รู้สึกการกำหนดเขต จะอยู่ประเภทที่เรียกว่าผ่อนผันมากเกินไปคือให้สุดระยะของกองเกวียน แล้วคิดดูว่าถ้าเกวียนสักร้อยเล่มล่ะ แต่ว่าอันนี้ถือเป็นพุทธบัญญัติเลยว่ากันไม่ได้ คือท่านผ่อนผันให้จริง ๆ ว่าคนที่มีความจำเป็นต้องไปกับกองเกวียนขนาดนั้น ต้องได้รับความลำบากเรื่องอื่นพอแล้ว
    เพราะฉะนั้นเรื่องไตรจีวรนี่ก็เลยผ่อนผันให้ว่าไอ้เขตอยู่ปราศจากไตรจีวรก็ต้องขนาดนั้นไม่อย่างนั้น ถ้าเขาเกิดจอดเกวียนลงตัวเองอยู่ท้ายอย่างนี้แล้วจะเดินไปฉันข้างหน้า ต้องแบกของทุกอย่างไปฉันก็แย่เหมือนกันใช่มั้ย? ก็เลยอนุญาตให้
    ถาม : บางทีมันเหมือนกับ ผมว่าการบวชพระนี่มันเหมือนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเหมือนกันนะ
    ตอบ : จริง ๆ โอ้โห! รายละเอียดลำบากมากเลย สมัยก่อนจึงได้มีการอยู่ติตถิยปริวาสไง คือการอยู่แบบคนนอกก่อนสามเดือน เพื่อศึกษาระเบียบวินัยของพระ ถ้าสามเดือนศึกษาแล้วยังไม่มั่นใจว่าปฏิบัติได้ ให้ศึกษาต่ออีกสามเดือน รวมสามครั้งเก้าเดือนถ้าปฏิบัติไม่ได้ คุณไม่ต้องบวช
    ถาม : เดี๋ยวนี้ไม่เห็นอะไรเลยครับ สวดไม่ได้ พรุ่งนี้ยังสวดได้
    ตอบ : ไอ้นี่มันส่วนใหญ่ แต่ว่าส่วนน้อยที่ท่านเข้มจริง ๆ อย่างสาย หลวงปู่มั่นอย่างนี้ คุณต้องเป็นตาผ้าขาว ถือศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดก่อนสองปี แล้วค่อยบวช
    ถาม : อย่างหลวงตาบัว ใช่มั้ยครับ?
    ตอบ : อือ สายโน้นเขาเอายังงั้น
    ถาม : พอพูดถึงเลยนึกถึงเรื่องนี้เลย ที่เลี้ยงเสือ
    ตอบ : นั่นวัดป่าหลวงตาบัว
    ถาม : ใช่ครับ อย่างนี้ไม่ถือว่าผิด ใช่มั้ยครับ?
    ตอบ : ผิดตรงไหนล่ะ
    ถาม : ก็คือให้เมตตาเลี้ยง?
    ตอบ : ตามปกติ พระมีหน้าที่ต้องสงเคราะห์อยู่แล้วสรรพสัตว์ทั่วหน้า
    ถาม : นักข่าว มันเกิดไปเอาข่าวมา
    ตอบ : ยังไงล่ะ มันเห็นก็คงทึ่งล่ะใช่มั้ย? ไอ้เสือตัวโตเท่าบ้านเท่าตึกมากอยู่กันเป็นฝูงเลย แล้วก็คลุกคลีอยู่กับพระด้วยกัน แล้วพอเรื่องมันไปถึงปุ๊บ มันก็จะมีคนอยากดังออกมาแสดงความเห็น เรื่องมันยุ่งอีตรงนั้นแหละ คือถ้าไม่มีคนอยากดังออกมาแสดงความเห็น เรื่องมันก็จบแค่นั้นแหละ
    ถาม : แล้วอย่างล่าสุดนี่ มีพระอยู่วัดหนึ่งเลี้ยงเสือ อีกวัดหนึ่งเลี้ยงหมาฝรั่ง
    ตอบ : ก็แล้วแต่ท่าน ที่สะสมรถเบนซ์ก็ยังมีเลยใช่มั้ย? เห็นว่าท่านสะสมรถเบนซ์เก่าไว้ตั้งสามสิบกว่าคันเลย
    ถาม : อย่างนี้ก็ถือว่าเอาเงินสงฆ์มาใช้ผิดด้วยซิครับ?
    ตอบ : ก็ถ้าใช้ผิดโทษเป็นของเขาเอง ดูว่าโยมเขาเจตนาให้มาเพื่ออะไร ถ้าเขาเจตนาให้มาเพื่อซื้อหมาก็ซื้อไปเถอะแบบเดียวกับ วัดท่าซุงมันมีบัญชีหนึ่งเป็นบัญชีเงินหมาโดยเฉพาะ ดูแล้วน่าอิจฉา นั่นโยมเขาถวาย เขาระบุโดยเฉพาะเลยว่าเป็นค่าอาหารหมาพระไม่มีสิทธิไปแย่งมันกินด้วย อันนั้นเขาระบุไว้ชัดเลยว่าไว้เลี้ยงหมาก็เฉพาะตึกหลวงพ่อตึกเดียวก็สองร้อยกว่าตัวเข้าไปแล้ว ลูกของพ่อนิลแม่นาคนั่นแหละ
    ถาม : คู่เดียวเองเหรอครับ?
    ตอบ : คู่เดียวเอง สองร้อยกว่าตัว
    ถาม : ยังอยู่หรือเปล่าครับ?
    ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ายังอยู่หรือเปล่า แต่ว่าตอนที่ออกจากวัดมาคู่นี้ยังอยู่คู่เดียวแตกหน่อออกมาภายในไม่กี่ปีเอง คือพอไอ้ครอกหนึ่งผ่านไป มันก็เริ่มกระจายครอกได้แล้ว เยอะขึ้น เยอะขึ้น
     
  16. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : เมื่อซักสามอาทิตย์พอดีเลย ผมนอนดูทีวีอยู่ แล้วมีโฆษณามีนักร้องใหม่ไปเอาเพลงเก่ามาร้อง ผมนอนฟังเสร็จก็เอ้ย! คนนี้มันร้องเพลงเพราะว่ะ แล้วผมก็เปิดแอร์นอน ลูกก็เล่นข้างๆ พอคิดอย่างนี้แล้ว พอมันเย็นปั๊บ ข้างในมันวิ่งเลย แล้วมันเหมือนทรงอารมณ์ฌานทันทีเลย แล้วผมก็ยังลืมตาดูทีวีอยู่ ผมก็สงสัยว่า เอ๊อ! อยู่ๆมันเข้าอารมณ์นี้ได้ยังไงในเมื่อเราก็ไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็เราไม่ได้คิดอะไรเลย?
    ตอบ : ไอ้ตัวไม่ได้ตั้งใจ บางทีอารมณ์ใจมันชิน มันลงร่องของมันได้เหมือนกัน แต่ว่าอย่างนั้นมันมีปัจจัยจากภายนอกเกื้อหนุนอยู่ หน่อยหนึ่ง คือว่ามันเป็นสิ่งที่ตาเห็นสิ่งที่หูได้ยินแล้วมันพอใจ พอมันพอใจในอารมณ์นั้นมันก็ดึงใจเข้าหาอารมณ์นั้น แต่บังเอิญว่าไอ้อารมณ์นั้นมันเท่ากับการปฏิบัติของเราพอดี เลยลงล็อกแป๊ะเลย
    ถาม : เมื่อวานผมก็ได้ยินโฆษณานี้เหมือนเดิมนะ แล้วอาการก็ใกล้ ๆ เดิม แต่ไม่เป็น
    ตอบ : ต่อไปได้ยินอีกทีก็ไม่ได้แล้ว เพราะว่าความเคยชินมันเกิดซะแล้ว
    ถาม : ผมก็ยังสงสัยตัวเองว่า เอ๊ะ! ทำไมมันแว็บเร็วมากเลยแต่ก็เป็นได้ไม่นาน แล้วซักพักหนึ่งมันก็หาย
    ตอบ : เราไม่ได้รักษาอารมณ์ต่อเนื่อง ถึงเวลาเราคลายสติจากตรงจุดนั้น ไม่ให้ความสนใจ มันไปสนใจเรื่องอื่นมันก็คลายตัวไปหมด สติหลุดจากจุดนั้นเมื่อไหร่ผลงานมันก็หายไปด้วย
    ถาม : แล้วอย่างนี้เวลาผมนั่งสมาธินะครับ ผมก็จะรู้สึกว่า พอได้ถึงจุดหนึ่งเราก็จะคิดตามถึงมันอีกจุดหนึ่งก็เหมือนกับรบกันอยู่อย่างนี้เหมือนมันตามกันทันตลอด แล้วบางทีมันเหมือนกับหลอกตัวเองว่า เอ๊ะ! เราเก่งแล้วเราตามทันตรงนี้แล้ว แล้วอีกทีก็เอ๊ะ! คิดผิดอีกแล้ว คิดว่าเก่งมันถึงได้มาตามทันอย่างนี้ แล้วมันก็วิ่งไปวิ่งมาอย่างนี้ มันจะก้าวหน้ามั้ยครับ?
    ตอบ : ตรงจุดนั้นจะเป็นจุดที่สนุกที่สุดของการปฏิบัติ เพราะว่ามันจะต้องลุ้นว่าแต้มต่อไป มันหรือเราจะได้ ถ้าเราปักใจมั่นอยู่ตะรางอารมณ์นั้นในระหว่างที่สติกับปัญญากำลังต่อต้านอำนาจกิเลส น่ะมันสนุกยิ่งกว่าดูหนังดูละครอีก เพราะฉะนั้น จะสังเกตว่าพระปฏิบัติพอถึงตรงจุดนั้น ส่วนใหญ่ไม่อยากพูดกับใครหรอกหลีกไปอยู่ตัวคนเดียว ท่านกลัวว่าพอเปลี่ยนความสนใจไปทางอื่นแล้วกิเลสมันจะชนะ ท่านก็เลยจะต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อย ก็เหมือนกับหลวงตาบัว ท่านบอกนะ มัวแต่สนใจอยู่ข้างใน ข้างนอกก็เลยเลยชนต้นไม้โครมเข้าให้ แต่ก็จะเอาความสนใจไปข้างนอกก็ไม่ได้ เพราะว่าข้างในมันกำลังฟัดติดพัน มั่วกันอยู่ก็ต้องสนใจข้างในต่อไป แล้วก็ชนเข้าให้อีกโครมหนึ่ง (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วผมก็คิดต่อด้วยว่า การที่ผมเล่าให้ฟัง ก็เหมือนกับมันเหมือนอวดตัวแน่หน่อย ๆ ด้วยเหมือนกัน เอ้ย! อะไรอย่างนี้ อยากที่จะไปเล่ามันเป็นกิเลสอีกแล้ว แล้วมันก็คือ...?
    ตอบ : คือเสียท่ามันแล้ว
    ถาม : อ๋อ (หัวเราะ)
    ตอบ : คือสิ่งที่เขาจะพยายามชักเราไง พอเขาชักเราปุ๊บ เราคลายความสนใจ คือเราแบ่งกำลังไปส่วนอื่น ไอ้กำลังที่จะสู้กับมันก็ไม่ทัน ฝีมือมันเยอะ ลูกเล่นมันเยอะ
    ถาม : แต่นี่เป็นครั้งแรกนะครับที่ผมรู้สึกว่ามัน....มันส์
    ตอบ : พอทำถึงตรงนี้จะรู้สึกสนุกมาก แรก ๆ นี่จะแพ้มันตลอดหลังจากนั้นเริ่มมีชนะบ้าง ไอ้ตอนที่แพ้กับชนะก้ำกึ่งกันเป็นตอนที่มันส์ที่สุด
    ถาม : เอ๊ะ! แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรครับว่าเมื่อไหร่แพ้ เมื่อไหร่เราจะชนะ?
    ตอบ : ตอนที่มันสามารถดึงเราเบนความสนใจจากอันนั้นไปสนใจโลกภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เบี่ยงออกไปเมื่อไหร่ก็แสดงว่าเสร็จมันแล้ว หรือไม่ก็สังเกตได้ว่านิวรณ์ห้า มันกินใจเราได้แล้ว รัก โลภ โกรธ หลง มันกินใจเราได้แล้ว แต่ว่าขณะใดที่เราสามารถทำให้นิวรณ์ห้ามันสงบอยู่ไม่สามารถกำเริบขึ้นมาได้ มีสติรู้อยู่ว่าสิ่งต่างๆเข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เราต้องสกัด มันไว้ไม่ให้มันเข้าใจได้ ถ้าเราชนะ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ชนะ เราแค่เสมอ แต่ถ้าเผลอเราแพ้
    ถาม : แล้วมีอีกที มันเหมือนกับรู้สึกตัวกลางดึกน่ะครับ แต่พอรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วมันก็ ก็เหมือนกำลังทรง เต็มที่เลย แล้วรู้สึกเลยว่าจะออกไม่ออก จะออกไม่ออก พอรู้สึกอย่างนี้ปั๊บก็มาตื่นเต้นเลย เฮ้ย!มันจะออกแล้วเว้ย (หัวเราะ)
    ตอบ : พออารมณ์ไปใส่ร่วมกับมันเข้า พวกนี้เป็นตัวฟุ้งซ่านน่ะ ตัววิจิกิจฉา มันมาตัดเข้า กำลังฌานมันก็ลดลงก็เข้าไม่ถึงฌาน พอกำลังมันเข้าไม่ถึงจุด มันก็ไม่พอที่จะหลุดออกไปข้างนอก
    ถาม : แล้วอย่างนี้ทำยังไงให้มันรู้ตัวได้ครับหรือต้องรบกับมันไปบ่อย ๆ?
    ตอบ : นั่นแหละ คือถ้าหากว่าเราไม่ค่อยภาวนา สติตามรู้มันอยู่ตลอด ก็ต้องรบกับมันไปเรื่อย จนกว่าจะประเภทเข็ดกันไปข้างหนึ่งน่ะ พอมันเริ่มเข็ดแล้ว คราวนี้มันก็เริ่มจ้องแล้ว คราวที่แล้วพลาดยังไง หัดไประวัง แล้วหลังจากนั้นมันก็จะชนะตรงจุดนั้น จุดนี้ พอทำได้ทีแล้ว มันก็จะได้ตลอด ขยับเมื่อไหร่มันจะรู้ว่ามันพอดีตรงไหน
    ถาม : มันจะจำได้เองเหรอครับ?
    ตอบ : มันจะจำได้เอง แต่ว่าก่อนที่จะถึงไอ้ตรงจุดนั้นนี่แหละปล้ำกันนานเลย
    ถาม : อย่างนี้แหละครับ ผมจำได้ว่าตอนทรงอารมณ์ตอนนั้นน่ะผมรู้สึกยังไง แต่ทำไมตอนผมนั่งคุยตอนขณะนี้ผมกลับไปทรงอารมณ์อย่างนั้นไม่ได้ทั้งที่ผมว่าผมจำได้ว่าตอนทรงอารมณ์อย่างนั้นเป็นยังไง?
    ตอบ : กำลังมันไม่เท่ากัน มันสูงกว่านี้นิด ตำว่านี้หน่อย เราต้องช่างสังเกตอารมณ์ใจตัวเอง
    ถาม : อย่างนี้เหมือนกับเราต้องเตือนสติตัวเองอยู่ตลอดเวลา
    ตอบ : ต้องรู้อยู่ตลอดเวลา รู้เฉพาะหน้าตลอดเวลา
    ถาม : แล้วอย่างหลวงพ่อท่านสอนว่า ฌานหนึ่ง ฌานสอง ฌานสาม ฌานสี่ มันต้องรู้ตลอดว่าใครทำถึงไหนต้อง รู้จุดนั้น?
    ตอบ : มันศึกษาอาการจากตำรา แต่ว่าตำรา มันพูดเป็นของหลาย พอเราทำถึงปุ๊บเราจะรู้ว่าตำราหมายถึงอะไร อย่าง เช่นสุข หมายถึงสุขเยือกเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก เราก็รู้แค่นี้แหละ พอทำถึงปุ๊บมัน อ๋อ เลย
    ถาม : ไอ้นี่คือ ฌานอะไรครับ?
    ตอบ : มันยังจะไม่ทันจะฌานซะด้วยซ้ำ ฌานมันต้องเลยสุขไปนิดหนึ่ง มันต้องเป็นเอกัคตารมณ์
    ถาม : เพราะผมรู้สึกแค่ว่า อย่างผมเข้ามานั่งกุฏินี้ ผมก็รู้สึกอย่างนี้แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย
    ตอบ : มันมาอาศัยรับประทานของคนอื่นเขา
     
  17. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมิถุนายน ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม : (หัวเราะ) มันก็แค่นี้ มันก็เป็นแล้วครับ ผมยังเคยสังเกตตัวเอง พยายามจะคิดไม่ดีอย่างนี้มันคิดไม่ได้ด้วย
    ตอบ : มันหยาบเกินไป หยาบเกินไป จริง ๆ แล้วไอ้ตัวสุข ถ้าหากเป็นตัวสุขในฌานจริงๆ น่ะ มันเกิดจากการที่ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นไฟกองใหญ่สี่กองโดนอำนาจของฌานกดดับลงชั่วคราว ไอ้คนโดนไฟเผาตลอดเวลา อยู่ ๆ มีสิ่งมาดับไฟให้สบายยังไงอธิบายถูกมั้ยล่ะ ? อธิบายไม่ถูกหรอก ภาษามนุษย์กับภาษาหนังสือมันหยาบเกินไปที่จะอธิบายภาษาธรรมะที่เกิดจากใจ หลวงพ่อท่านพูดได้ดีที่สุดแล้ว แต่ก็เป็นแค่ส่วนหยาบเท่านัน อันนี้กล้าพูดได้เต็มปาก แต่คงไม่มีใครพูดได้ง่ายกว่าหลวงพ่ออีกแล้ว
    ถาม : แล้วเดี๋ยวนี้รู้สึกว่าตัวเอง เริ่มฝันแม่น แต่ก่อนเวลาตัวเองฝันต้องเอาตรงข้าม
    ตอบ : เดี๋ยวก็เสร็จมันอีกหรอก</B> พอเริ่มฝันแม่นก็เริ่มรับรู้ไว้เฉย ๆ แต่อย่าไปอยากให้มันฝันแบบนั้น ถ้าอยากแล้วเสร็จมัน พวกนี้ลีลามันเยอะสารพัด</B> จนกระทั่้งสู้กันไปจนถึงวาระสุดท้าย ถึงได้บอกได้เต็มปากเต็มคำว่ากิเลสมาร กับความดีหน้าเหมือนกันทุกอย่างเลย เหมือนกันเปี๊ยบเลย เดินมาก้าวเดียวกันหมด ยกเว้นก้าวสุดท้าย กิเลสมันพาเราลงต่ำ ขณะที่ความดีพาเราขึ้นสูงแค่นั้นเอง
    ถาม : จริง ๆ แต่ก่อนผมนึกว่ามันง่าย ๆ นะครับ แต่พอฟังจริง ๆ แล้วก็ ผมรู้สึกว่า เหมือนกับเราต้องรู้ตัวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย เพราะฉะนั้นมันโดนชนักตลอดเลย
    ตอบ : ก็อย่างตอนนี้ คุยกันไปเนี่ย เราต้องมีสติรู้อยู่ มันก็ต้องมีจุดพอดีของมัน ถ้าเกินจุดนั้นมันจะเป็นฟุ้งซ่าน แล้วเราจะเบรกมันไม่อยู่ จะกลายเป็นท่อประปาแตก แล้วมันจะไปเรื่อย
    ถาม : ใช่ครับ แล้วผมก็คิดไปโน่นเลย เป็นบ่อยด้วย
    ตอบ : ขนาดแค่ตรงนี้ ถ้าตามมันไม่ทัน ก็เสร็จมัน
    ถาม : ทั้ง ๆ ที่เรากำลังคิดถึงเรื่องความดีด้วยซ้ำ ?
    ตอบ : ใช่....บอกแล้วว่ากิลเสกับความดี หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลย คือมันหลอกเราได้ทุกวิถีทาง มันขี่คอกันมา เดินก้าวเดียวกันด้วยอย่า
    ถาม : แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้ยังไงครับว่า เราชนะมันแล้ว ?อย่าง
    ตอบ : ถ้าทำถึง ญาน คือเครื่องรู้จะปรากฏ ถึงเวลานั้นจะรู้เองว่าเป็นอย่างไร เหมือนที่ท่านใช้คำว่า ญานังโหติ ชาติวุสิตัง พรัหมจริยัง กะตังกรณียัง เครื่องรู้ก็เกิดขึ้น รู้ว่าชาติสิ้นสุดลงแล้ว พรหมจรรย์ถึงจุดจบแล้ว จะรู้ขึ้นมาเอง
    ถาม : เป็นอาการเดิมอีกแล้ว พอหลวงพี่พูดปั๊บ มันเหมือนมีอะไรใส ๆ ปิ๊ง ขึ้นมาอย่างนี้ประจำเลย แล้วมันเหมือนตามทันอีกแล้ว แต่พอขาดสติมันก็หายอีกแล้ว (หัวเราะ)
    ตอบ : ตอนนี้มันเป็นเงาในน้ำ พอมันเป็นเงาในน้ำแล้ว เราตั้งใจเอื้อมมือจะไปจับ จะแตกกระจายเลย ปล่อยมันอยู่ตรงหน้าเฉย ๆ รู้ไว้เฉย ๆ แล้วอย่าไปดิ้นรนไขว่คว้ามัน เพียงแต่ว่าประคับประคองมัน
    ถาม : อย่างนี้แหละครับ ผมว่ามันจะชนะกันยาก้ดวย ก็อย่างที่ผมบอกว่าตัวเองน่ะชอบอวดชอบอะไรอย่างนี้ พอมันติดปั๊บก็จะมาอย่างนี้
    ตอบ : คือตอนนี้มันยังไม่เห็นโทษของมันพอเห็นโทษของมันว่า อวดทีไรเราเจ๊งทุกที เดี๋ยวพอมันเข็ดเขา มันก็เลิกได้ ตอนนี้มันต้องปล่อย มันยังคันอยู่ต้องให้มันก่อน ถ้าไม่เกาเดี๋ยวขาดใจตายเพราะมันคัน ให้มันเกาซะเกาไปเกามาหนังถลอกปอกเปิก ชักแสบชักร้อน มันก็เลิกเอง
    ถาม : เนี่ยครับ อย่างนั่้งสมาธิอย่างนี้ คัน ๆ เฮ้ย ! อย่าไปเกาพอเกาเสร็จเดี๋ยวสมาธิตก พอเริ่มเดินสมาธิดี เฮ้ย ! ไม่คันแล้ว เฮ้ย ! เราเก่งอีกแล้ว อย่างนี้ก็คือโดนมัน เสร็จมันอีกแล้วซิ รู้สึกทันทีเลยพอมันหายคันปั๊บก็....
    ตอบ : เรื่องของอาการคันเป็นของประสาทร่างกาย พอเราเอาใจมาอยู่กับสมาธิจิตกับกายมันก็เริ่มแยกจากกันมันก็จะไม่รับรู้อาการทางกาย พอไม่รับรู้ปุ๊บก็รู้สึกว่าอาการคันมันหายไป แต่ความจริงมันยังคันอยู่แต่เราไม่สนใจมันต่างหากล่ะ
    ถาม : (คุยเรื่องซีดี และเว็บไซด์ที่โหลดเสียงเทศน์หลวงพ่อวัดท่าซุง) ....คลิกเข้าไปในเว็บนี้แล้วตอนเปิด เปิดไม่ได้
    ตอบ : ถามสองพี่น้องนั่นเขาเหอะ เขาเรียนมาโดยตรง ทิดก้องมันก็จบเรื่องนี้มาโดยตรงนี่ แต่ว่าตอนนี้มันไม่สนใจเรื่องธรรมะหรอก มันกำลังมันกับเกมส์อยู่ เล่นกันข้ามวันข้ามคืน นั่นน่ะ คือตัวฉันทะ ถ้าเขาเล่นแล้วเขารู้จัก สังเกตอารมณ์ใจของตัวเอง เขาจะได้ประโยชน์เยอะ เคยเล่าให้ฟังว่า มันมีอยู่ยุคหนึ่งที่ว่า บวชอยู่ด้วยกันใหม่ ๆ นี่แหละ แล้วเพื่อนพระเขาอ่านกำลังภายในน่ะ ไอ้โน่นก็คุยกันไป ไอ้นี่ก็คุยกันมา ก็เฮ้ย ! คุณส่งโอวัลตินมาทีก็ส่งข้ามหัวมันไปนั่นแหละ ไอ้โน่นก็น้ำตาลหน่อยครับก็ส่งกลับมา ไป ๆ มา ๆ ไอ้นั่นมันไม่สนใจเลย ประสาทมันตัดสิ้นเชิงเลย มันอยู่แต่ตรงหน้าของมันอย่างนี้ มันไม่รับรู้โลกภายนอกเลยว่าเขามีอะไร ไอ้เรามาดู ๆ
    เฮ้ย ! ไอ้นี่มันระดับนิโรธสมาบัติเลยนี่หว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ ดับสัญญาและเวทนาโดยสิ้นเชิงเลย มันไม่กินไม่ขี้เลยก็ได้ มันนั่งของมันอย่างนี้อยู่อย่างเดียว ตัวฉันทะของมันแรงขนาดนี้เลยหรือ ก็เลยมานั่งจับจุดว่า ฉันทะคือความพอใจมันเกิดขึ้น เพราะว่าเขาต้องการทำในสิ่งนั้น เขาชอบในสิ่งนั้น แล้วถ้าเราเอาตัวนี้มาภาวนาล่ะ ? พอคิดปุ๊บแยกออกมาปั๊บ เฮ้ย ! เราต้องทำให้ได้
    แล้วหลังจากนั้น เรื่องไหนเอ็งอ่านสนุกยืมมั่ง พอมันอ่านเราก็อ่านแต่เราภาวนาด้วยชักลูกประคำไปด้วยคาถา ว่าไปกี่จบเราจำด้วย แล้วในเนื้อเรื่องมันว่าอย่างไรพระเอกนางเอกเป็นอย่างไรต้องรู้ไปด้วย โอ้โห ! มันมากเลยตอนนั้นน่ะ เสร็จแล้วเราก็แซงมันไปขณะที่มันก็ยังนั่งอ่านอยู่แค่นั้นแหละ (หัวเราะ)
    ถาม : ผมเข้าใจครับ เวลาผมอ่านแล้วมันก็จะหายเข้าไปกับหนังสือนั่นเลย
    ตอบ : นั่นแหละคือ เราพอใจที่จะทำไง คราวนี้</B>เราเอาความพอใจนั่นมาใช้ในการปฏิบัติแทน กำลังใจมันเท่ากัน</B>
     
  18. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : แล้วถ้าเกิดผมจับแค่ลมหายใจ แต่ไม่ภาวนาล่ะ ?
    ตอบ : แล้วแต่ การจับลมหายใจนี่ อารมณ์มันทรงตัวอยู่แล้ว จะมีคำภาวนาหรือไม่มีคำภาวนาก็ได้ จะรู้ลมกระทบกี่จุดก็ได้ และรู้ตลอดก็ได้มันกว่าเยอะ ยันยัน และยิ่งถ้าเล่นอะไรแปลก ๆ ได้ ยิ่งมันเข้าไปอีก
    ถาม : มันรู้สึกว่า ผมรู้สึกว่าผมทำได้ แต่ทำไมทำไม่ได้ ไม่รู้ ?
    ตอบ : ตัวอยากมันกั้นอยู่ อารมณ์ที่เราใช้มันเกิน มันไม่ใช่พอดี
    ถาม : อย่างเรื่องเหาะนี่ ผมก็บอกตัวเองอย่างนี้ มันไม่ยากเลยนะ เหาะ แค่คิดอย่างนี้เราก็เหาะได้แล้ว แล้วรู้สึกว่าตัวคิดมันทรงอารมณ์อย่างนี้ได้จริง ๆ
    ตอบ : ตัวนี้โดนล่ามโซ่อยู่ การใช้อภิญญาเราต้องยอมรับกฏของกรรมถึงใ้ช้ได้ ถ้านิสัยอย่างของเรามันไม่ยอมรับกฏของกรรมอย่างง่าย ๆ เดี๋ยวมันก็เที่ยวเอาอำนาจอภิญญาไปช่วยคนโน้น สงเคราะห์คนนี้ ไปอวดคนนั้นถ้าไม่สามารถที่จะยอมรับกฏของกรรมได้ ก็ยังไม่สามารถใช้อำนาจของอภิญญาได้จริง ๆ มันก็ได้สะเก็ดนิด ๆ หน่อย ๆ
    ยิ่งปฏิสัมภิทาญาณนี่คุมทั้งอภิญญาทั้งวิชชาสามและสุขวิปัสสโก นี่ยิ่งหนักเลย ปฏิสัมภิทาญาณจะเกิดขึ้นเมื่อเป็นพระอนาคามีแล้วเท่านั้น แล้วพระอนาคามีนี่ท่านตัดรักเด็ดขาด ตัดโกรธเด็ดขาดบ้านเรือนอะไรนี่ท่านก็ไม่เอาแล้ว ต้องระดับนั้นน่ะ ท่านถึงจะให้ใช้ได้เต็มที่ ถ้าไม่มีการควบคุมเอาไว้บรรลัยจริง ๆ เลย
    ถาม : แต่ ผมรู้สึกอย่างนี้จริง ๆ นะ ว่ามันง่ายนี่หว่า
    ตอบ : ก็ใช่ทีนี้ว่า แค่สร้างอารมณ์ของเราให้ยอมรับกฎของกรรมอีกนิดเดียวก็ได้เดี๋ยวนั้นเลย จะสังเกตไหมว่าในพระไตรปิฎก พระที่ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์บรรลุพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ บรรลุพร้อมอภิญญา บรรลุพร้อมวิชชาสาม ก็คือว่ากำลังใจท่านเข้าถึงจุดนั้นปั๊บของเก่าทั้งหมดใช้ต่อได้เลย คราวนี้ของเก่าของเรานี่มันรอเราอยู่นิดเดียวแค่นั้นเอง มันรออยู่ว่าเมื่อไหร่เราจะยอมรับกฎของกรรมแค่เท่านั้น
    แบบเดียวกับที่เขาว่าพระอรหันต์สุขวิปัสสโก ไม่มีฤทธิ์ไม่มีอำนาจอะไร อย่าไปเชื่อเชียวนะ อาตมาเจอมาแล้ว อภิญญานี่ถ้าหากเป็นโลกียะนี่สู้ท่านไม่ได้เลยล่ะ ท่านทำได้ยิ่งกว่าทำได้อีก หลวงปู่มหาอำพันเป็นตัวอย่างชัดเลย คราวนี้ก็วิกุพนาฤทธิ์คือฤทธิ์ที่เกิดจากอภิญญาโดยตรงจากการฝึกกสิณสิบ มันเป็นแค่หนึ่งในสิบอย่างเท่านั้น ของท่านมันเป็นทั้งบุญฤทธิ์ เป็นทั้งอธิษฐานฤทธิ์ เป็นทั้งฌานฤทธิ์ มันได้หมดน่ะ ฤทธิ์ที่เกิดจากฌาน ฤทธิ์ที่เกิดจากอธิฐาน ฤทธิ์ที่เกิดจากการสร้างสมบุญมาอะไรมา ท่านตั้งใจให้เป็นยังไงมันก็เป็นยังงั้น สิ่งต่าง ๆ ที่ มันออกรอบด้านนี่ท่านตัดมันออกแล้ว มันเหลือแต่ตรงแล้ว ถ้าถามว่าลักาณะอย่างนั้นต้องการฝึกอภิญญาเมื่อไหร่มันก็ได้เมื่อนั้น เพียงแต่ท่านหมดอยากแล้ว ไม่รู้จะฝึกไปทำไม
    ถาม : อย่างนี้ก็เหมือนกันนะครับ ผมฟังอยู่ก็เข้าใจนะครับ เต็ม ๆ เลยตอนนี้ แต่ไม่รู้ว่าจิตตรงกัน
    ตอบ : พอ ๆ กับไอ้ลูกก๊อสซิบ่าน่ะ จะพ่นไฟแต่พ่นไม่ออกสักที (หัวเราะ)
    ถาม : ผมรู้สึกว่ามันไม่ยากด้วยมันง่ายด้วย
    ตอบ : ก็บอกแล้วว่ามันง่าย มันก็เหลือแค่เรายอมรับกฏของกรรมเมื่อไหร่ มันก็เริ่มใช้ได้เมื่อนั้น ไปใต้งวดนี้ก็ไปเจอเพิ่มมาอีกหลายคน ที่เขาได้ขึ้นมาโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้นะ ไอ้คนมันได้ดีแล้วตัวเองไม่รู้นี่น่าเตะนะ เขาฝึกมโนมยิทธิไม่ได้ หันไปฝึกธรรมกายทุ่มเทมากเลย ยังไงต้องจับดวงกแก้วศูนย์กลางกายให้ได้ ก็ไม่ได้ทำไปทำมาเบื่อ นอนดีกว่า พอนอนปุ๊บพระพุทธเจ้าเสด็จมาเทศน์ให้ฟัง บอกว่าทุกอย่างต้องมีความพอดี คือ มัชฌิมาปฏิปทา ถ้าหากว่ามากเกินไปก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค น้อยเกินไปก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยค เทศน์ฟังเสร็จ เขาดันมาถามเราว่าที่เขารู้มาถูกมั้ย ?
    ถาม : (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าเทศน์เอง
    ตอบ : ตูจะกล้าไปรับรองธรรมะพระพุทธเจ้ามั้ยเนี่ย (หัวเราะ)
    ถาม : ก็เล่นเอาสูงสุดมาแล้ว
    ตอบ : เอ้อ ! นึก ๆ แล้วบางทีก็....สังเกตมั้ยว่า เขาฝึกมโนไม่ได้ แล้วก็ฝึกธรรมกายก็ไม่ได้ เพราะว่า</B>เขาใช้กำลังมากเกินไป ทุ่มเทกับมันมากเกินไป</B> แล้วเสร็จแล้วพอเขาฝึกแล้วฝึกเล่า ฝึเท่าไหร่ก็ไม่ได้ เขาหมดอารมณ์น่ะ เฮ้ย ! ช่างหัวมันเว้ย กูนอนดีกว่า มันได้ตรงนั้นน่ะ อารมณ์ใจมันลดลงมาตรงพอดี
    ถาม : ผมจะนอนภาวนาอยู่เรื่อยเลย แล้วพอนอนภาวนาทีไรมันก็จะ....
    ตอบ : ถ้ามันพอดีมันก็ได้ สำคัญตรงนั้นน่ะ
    ถาม : แต่ผมรู้สึกแปลก ๆ ชอบตื่น มากลางดึกแล้วไ้ด้ยินประโยคตรงใจอยู่บ่อย ๆ ผมจะเปิดเทปหลวงพ่อไปเรื่อย ๆ มันจะวนไปวนมา
    ตอบ : จดไว้แล้วก็ทบทวนการปฏิบัติของตัวเอง เก็บเอาไว้ใช้ได้ตลอดชีวิต
    ถาม : อย่างสมมุติว่าเราปล่อยปลา ปล่อยปลาตัวไหนห้ามกินปลาตัวนั้น พอปล่อยไปเสร็จปลามันยังไม่ทันตายเราตายก่อน พอตายก่อนจิตมันผูกพันกับคนโน้นคนนี้ กลับมาเกิดเป็นลูก แล้วดันไปเอาปลาตัวนั้นมา
    ตอบ : คนละชาติกัน ไม่นับแล้ว
    ถาม : แล้วอย่างเราฝากเงินเขาไปแล้ว เราก็ไม่รู้เขาไปซื้อกะละมังไหนล่ะครับ ก็เหมือนกับเราเป็นเจ้าภาพร่วมไปปล่อยด้วยเหมือนกันก็เหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ก็โทษมันไม่เท่าเดิม ถ้าเจี๊ยะลงไปมันไม่หนักเท่ากับปล่อยเอง
    ถาม : ถ้าเราไปซื้อมาปล่อย โดยไม่รู้ว่ามันตายแล้ว ?
    ตอบ : บุญเราได้แล้ว ส่วนกรรมของเขามันก็หนัก แทนที่เขาจะได้รับอิสระ ก็ปรากฏว่าถึงแก่ชีวิตเสียก่อน แต่ว่านะอย่าหอบเต่าจากสุไหงโกลกไปปล่อยหนองคายนะ งวดนี้ไปเจอมาแล้วตายไปสองตัว
    ถาม : แล้วทำไมไปปล่อยถึงโน้นเลยครับ ?
    ตอบ : ก็เขาศรัทธาหลวงปู่ทองทิพย์ที่วัดป่าสีดารามลักษณ์รัตนโคตร ที่หนองคาย หอบเต่าจากสุไหงโกลกไป ให้ที่วัดหลวงปู่ทองทิพย์ปล่อย ตายไปสองตัว
    ถาม : แต่ผมว่าศรัทธาเขาแรงนะครับ อุส่าห์หอบเต่าจากสุไหงโกลกไปถึงหนองคาย
    ตอบ : กรรมไอ้เต่านั้นมันแรง (หัวเราะ) มันต้องลำบากจากสุไหงโกลกไปหนองคาย หลวงปู่ทองทิพย์ท่านเล่าเรื่องของรามเกียรติ์ เหมือนยังกับท่านเป็นตัวละครในรามเกียรติ์เอง คนก็เลยคาดว่าท่านต้องเป็นหนึ่งในตัวละครรามเกียรติ์นั่นน่ะ แล้วท่านสร้างวัดท่านก็ยังใช้วัดป่าสีดารามลักษณ์รัตนโคตร เพิ่งมรณภาพไปได้เดือนกว่านี่เอง ใครถวายแหวนท่านใส่หมดล่ะ สิบนิ้วนี้ล้นมือเลย นิ้วละหลาย ๆ วง ใส่ประเภทที่เรียกว่าลักษณะสงเคราะห์โยมเขา ให้มันได้บุญ เสียดายว่าท่านรีบมรณภาพเสียก่อน ไม่งันจะต้องมีตวอยากดังมันไปหาเรื่องจนได้ แล้วก็คอยกรุณาสงสารมันจะลงอเวจีหรือเปล่า
     
  19. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ท่านมรณภาพไปนานหรือยังครับ ?
    ตอบ : ประมาณเดือนนึง ตอนท่านอยู่ไม่กล้าพูดหรอก ถ้าหากว่าพระที่อยู่แล้ว ประเภทที่เรียกว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปกวนท่าน เดี๋ยวอาตมาแย่ไปด้วย
    ถาม : จะแย่กว่านี้อีกเหรอครับ ?
    ตอบ : โห....อย่าลืมว่าตอนนี้อาตมาแค่นี้นะ เวลาพักยังไม่มีแล้วน่ะ เกิดมันอยู่ได้ซักแปดสิบล่ะ ?
    ถาม : อ้าว...หลวงพี่บอกผมว่า ๑๒๙ ไม่ใช่เหรอครับ ผมจำแม่นนะหลวงพี่
    ตอบ : ๑๒๖ ไหนบอกจำแม่น
    ถาม : ผมจำกลับหัว (หัวเราะ) ผมอยู่ไม่ถึงร้อยอยู่แล้วครับ
    ตอบ : เห็นตัวเลขก็จะขาดใจตายเดี๋ยวนี้แล้วล่ะ ก็หลวงพ่อไง หลวงพ่อ ๑๒๐ พอดี ๑๒๐ จะขึ้น ๑๒๑ แต่หลวงพ่อท่านไปตอน ๗๙, ๘๐ มันไม่ไหว มันเข็นไอ้นี่ไม่ไป ในเมื่อเข็นมันไม่ไปก็ใช้ขันธ์ทิพย์ทำงานต่อ ครบเวลาก็ไปจ้อย ตอนนี้หลวงพ่อท่านก็ยังเหลืออีกประมาณ ๗๐ ปี ได้มั้ง เดี๋ยวปีนี้มีอะไร เหลืออีก ๓๕ ปี เรื่องมันเลยมาแล้ว แล้วหลวงพ่อก็มรณภาพไปแล้ว แต่ระวังโดนฟาดกะบาล เผลอเมื่อไหร่โผล่มาทุกที
    ถาม : แต่ผมขี้เกียจ มันไม่จดน่ะ ฝึกตัวเองไม่ได้ซักทีขนาดเตรียมกระดาษปากกาไว้หัวนอน แล้วก็ยัง
    ตอบ : ไม่เป็นไร เดี๋ยวพอทำถึงจุด ๆ หนึ่ง แล้วจะรู็ว่าเวลาที่ผ่านไปนัน ถ้าเราตายเสียก่อนมันน่าเสียดายเหลือเกิน
    ถาม : ผมก็คิดครับ บางทีเดี๋ยวนี้ก็ยังนึกอยู่เลยว่า นี่เราประมาทคุยกับไอ้ป๊อบอยู่เลยว่า เราไม่ศรัทธากันจริง ๆ เพราะถ้าศรัทธากันจริง ๆ เราต้องเชื่อมั่นว่าเราตายได้เสมอ เราก็ต้องทำแล้ว ไม่ใช่ว่ามารี ๆ รอ ๆ แล้วไม่ได้ทำซักที ก็พอพูด จบ ซักวันสองวันก็....
    ตอบ : เหมือนเดิม (หัวเราะ) สม่ำเสมอดีมาก มีสมานัตถตาเนอะ
    ถาม : ผมว่าการใช้ชีวิตในชีวิตประจำวัน มันเหมือนกับเราผจญ เราเครียดอย่างนี้ เราหลอกตัวเองหรือเปล่าครับ ? เหมือนกับไปฝักใฝ่กับมันเหนื่อยกับมัน
    ตอบ : ไม่ใช่หลอกตัวเองหรอ เขาหลอกเรา
    ถาม : สมัยก่อนอ่านไปก็วิจารณ์หลวงพ่อไป ทำไมสอนอย่างนั้น ทำไมสอนอยา่งนี้เป็นเรา เราไม่ทำอย่างนี้แน่ ๆ เลย
    ตอบ : มาถึงสมัยนี้ หลวงพ่อสอนขนาดนั้น มันยังไม่เอาเลย (หัวเราะ)
    ถาม : แต่เดี๋ยวนี้ก็ย้ังเป็นอยู่ ก็ยังมาติเหมือนกัน ก็ยังมาติตลอด
    ตอบ : ก็บรรดาพวกหนังสือหนังหาอะไร แล้วก็คนใหญ่คนโตในแผ่นดินบางส่วน (หัวเราะ) เขาจะไม่สนับสนุนให้ธรรมะของหลวงพ่อแพร่หลาย เพราะเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องของฤทธิ์ของเดชมากเกินไป มันจะไปติดกันอยู่ตรงนั้นมาก เขาว่า ต้องเอาธรรมะบริสุทธิ์แบบ</B>สายพุทธทาส</B> หรือวัดชลประทานนั่น เดินเข้าไปดูซิมุมพระพุทธศาสนาน่ะ มีแต่ตำราของสองท่านนี้ เกินแปดสิบเปอร์เซนต์ล่ะมัง ตัวกูของกู คู่มือมนุษย์ อะไรอย่างนี้พี่น้องสองอรหันต์ อิทิปปัตจยตา อานาปาณสติ ๑๖ ขั้น
    ถาม : ผมรู้สึกเลยว่า เหมือนเรา ผมรู้สึกไง เหมือนกับ....
    ตอบ : มันจะเริ่มใส่อารมณ์ไปด้วย
    ถาม : ใช่ครับ ก็รู้สึกตัวเองเลวไง ไปเห็นคนอื่นเลวแล้ว โดนมารหลอกไปอีกแล้ว
    ตอบ : มันดึงไปตั้งไกลแล้ว
    ถาม : อย่างนี้ยังทันมั้ยครับ ?
    ตอบ : ทัน ช้าไปหน่อย</B> ช้าแค่ไหน ถ้ารู้ตัวก็ถือว่าทัน</B>
    ถาม : ความจริงพยายาม บางทีแบบเคยนั่งอ่าน ใส่แล้วใส่อีกก็ยังไม่เข้าใจ (หัวเราะ) อ่านเข้าใจยากจริง ๆ
    ตอบ : อาตมาเคยอ่านเรื่องเดียวอยู่สามวัน กว่าจะเข้าใจว่าท่านพูดถึงอะไร
    ถาม : เรื่องอะไรครับ ?
    ตอบ : หลวงพ่อท่านบอกว่าบุคลที่ไม่ได้ทำบุญร่วมกันมา ไม่ได้อธิษฐานตามกันมา จะฟังกันเข้าใจยาก มิน่าเราแคะอยู่สามวันแคะไม่ออก แต่คนอื่นอ่านมันซาบซึ้งกันจัง
    ถาม : การตื่นเวลาตรงกันอยู่ทุก ๆ วันนี่มันเกี่ยวเนื่องกับอะไรหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : สั่งมัน เรื่องของการปฏิบัตินี่ มันเหมือนยังกับมีนาฬิกาปลุกพิเศษอยู่ในตัว เรากำหนดใจว่าจะตื่นเมื่อไหร่เวลาไหนมันจะตรงเป๊ะเลย แล้วไอ้ที่ตลกที่สุดช่วงที่ปฏิบัติหนัก ๆ สมมุติว่าเราตั้งไว้ตีสาม แล้วมันจะตื่นก่อนห้านาทีทุกวันเลย มันจะตื่นตีสองห้าสิบห้าเป๊ะเลย จะเป็นอย่างนั้น นาฬิกาของเรามันเพี้ยน มันเผื่อให้ห้านาทีเผื่อบิดขี้เกียจ
    ถาม : ................
    ตอบ : ระยะหลัง ๆ มานี่คนใช้มโนมยิทธิในทางที่ผิดยังไม่พอ คือประเภทที่ว่าแทนที่จะรู้เพื่อละหรือเพื่อยึดเกาะพระนิพพานโดยตรง ก็เอาไปใช้แล้วก็ไปยึด ตรงนี้เราถือว่าผิดมากแล้ว ถัดมาจากตรงนี้ยังมีอีก ใช้มโนมยิทธิในการจัดการกับผู้อื่นโดยการว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ในลักษณะเป็นศัตรูแล้วก็ขับไล่ออกไป...เก่งมาก....พวกนี้มันเก่งเกินครูอาจารย์
    ถาม : ถ้าเกิดเป็นลูกแท้ ๆ อย่างนี้ ตายเลย
    ตอบ : น่ากลัวมั้ย ? การเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้น่ากลัวขนาดนี้ ขนาดบุคคลที่ี่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นแล้วยังเห็นผิดได้ถึงปานนี้ ขึ้นชื่อว่าผู้อื่นที่จะไม่ทุกข์แล้วมันจะมีอยู่หรือ
    ถาม : ผมว่า ............(ไม่ชัด)...........แสดงว่าของเก่าเขาไม่น้อยแสดงว่าเราต้องทำกันมาไม่ใช่น้อย ๆ มันต้องเยอะมากเหมือนกัน
    ตอบ : มีอยู่วันหนึ่งประชุมกันในโบสถ์ หลวงพ่อบอกว่าพวกแกยังไม่มีใครได้มโนมยิทธิจริง ๆ หรอก พวกเราก็ เอ๋อ....รับประทาน กติกาข้อแรกเลยว่าคุณจะบวชต้องได้มโนมยิทธิก่อนไม่งั้นไม่ให้บวช ทำไมไม่มีใครได้เลยเหรอ ? หลวงพ่อท่านเฉลยว่า บุคคลที่จะไ้มโนมยิทธิจริงจะต้องเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น เพราะจิตท่านสะอาดปราศจากกิเลสจริง ๆ นอกนั้นโอกาสโดนมารแทรกมีสูงมาก ขนาดหลวงพ่อท่านยังเคยเล่าให้ฟังว่าท่านโดนมารมันหลอก เพียงแต่ว่าท่านรู้ทัน...รู้ทันมารในลักษณะพระพุทธเจ้าไง หลอกท่านซะเปื่อยไปทีหนึ่งแล้ว พอขึ้นไปอีกทีทำกำลังใจถูกต้องไปต่อว่า พระท่านบอกไม่ใช่ฉันดูซิใคร นั่งยิ้ม ๆ ไป ยิ้มมา .......เขี้ยวงอก
    ถาม : แล้วตกลงเป็นใครครับ ?
    ตอบ : มารเขาหลอก
    ถาม : มารนี้มันตัวตนใช่ไหมครับ ?
    ตอบ : มีจริง ๆ
     
  20. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : คือ เทวดาที่ท่านทำหน้าที่ ?
    ตอบ : กล้ายืนยันว่ามีจริง เพราะเจอกันมาแล้ว แล้วมากันอย่างชนิดที่เรียกว่าเราไม่นึกว่าเขาจะเยอะอย่างนั้น ของเราเราว่าเราเป็นคนที่บ้าเลือดแล้วไม่ค่อยกลัวอะไรง่าย ๆ นะ พอเจอเข้าจริง ๆ ใจมันฝ่อเหลือนิดเดียว รู้เลยนะว่าเราลุ้นเขาไม่ขึ้น เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิที่มีโอกาสทำบุญใหญ่อย่างไม่ได้เจตนา บุญใหญ่นั้นส่งให้เขารับความดีในลักษณะของเทวดาชั้นสูงสุดของชั้นกามาวจรด้วย แต่ว่าหน้าที่เอกเขาก็คือคอยขวางคนอื่น เขาไม่อยากให้คนอื่นได้ดี
    ถาม : ......................
    ตอบ : จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าตราบใดที่เขายังไม่หมดบุญตรงนั้นเขาก็ยังทำไปเรื่อย พอถึงเวลาผ่านไปเดี๋ยวคนอื่นก็มาแทนเยอะนี่
    ถาม : มันคือผลกรรมหรือเปล่าครับ มันก็คือเนื่องกันมา.............?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่มีอะไร เขาไม่ใช่ศัตรูของเรา คิดดูแล้วเขาเป็นครูที่ดีที่สุดด้วยซ้ำไป เพราะเขาทดสอบอยู่ทุกวินาที เผลอเมื่อไหร่มันลากเราไปเมื่อนั้น
    ถาม : ครับ ผมว่านี่ขนาดผมนั่งอยู่กับหลวงพี่ผมยังรู้สึกอยู่ตลอด นี่เผลออีกแล้ว นี่โดนอีกแล้ว นี่โดนอีกแล้วเนี่ย
    ตอบ : เดี๋ยวนี้เฮียเขาก้าวหน้าแล้วจ้ะ จากกัน ๓ วันต้องประเมินกันใหม่ (หัวเราะ)
    ถาม : ..................
    ตอบ : ก็ใช่น่ะสิ บอกว่า ๓ วันต้องประเมินกันใหม่ นี่จากกันตั้งนาน เขาว่าอะไรนะ..........
    <TABLE height=1 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD> เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม </TD><TD> ดนตรี</TD></TR><TR><TD> ห้าวันอักขระหนี </TD><TD> เนิ่นช้า</TD></TR><TR><TD> สามวันจากนารี </TD><TD> เป็นอื่น</TD></TR><TR><TD> หนึ่งวันเว้นล้างหน้า </TD><TD> หม่นไหม้ หมองศรี</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ถาม : ..............
    ตอบ : หมายความว่ารู้ตัวอยู่ว่าเผลอเมื่อไหร่เขาก็เอาเรา คือในระหว่างที่ใจกับกิเลสมันสู้กันอยู่ เผลอสติเมื่อไหร่กิเลสมันจะชนะ มันเหมือนกับต่อยมวยกันอยู่เผลอเมื่อไหร่การ์ดตกมันก็เปรี้ยงเต็ม ๆ
    ถาม : เมื่อสมัยก่อนหัวเกรียนเลย
    ตอบ : เขายาวจนประบ่าไปทีหนึ่งแล้ว แล้วเขารำคาญก็เกรียนไปกะจะโกนเลย ไป ๆ มา ๆ มันยาวอีก ใครชอบอย่างไหนก็อย่างนั้น ตามเขาให้ทันเถอะ ถ้ามัวไปสนใจเรื่องอื่นกำลังมันโดนแย่งเอาไปเยอะ พอมันแย่งเอาไปเยอะกำลังที่จะสู้กิเลสมันน้อยลง เพราะฉะนั้นปิดรอยแยกมันให้ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดมันให้หมดให้เหลือใจอย่างเดียว มันเคยทำได้นี่ เพียงแต่เราเห็นว่าอย่างอื่นมันดีกว่าเท่านั้นเอง ตอนนี้เราก็แค่ย้อนกลับมาเห็นว่าการปฏิบัติธรรมมันดีกว่า เปลี่ยนความตั้งใจ เปลี่ยนความพอใจ จากทางเดินทางโน้นกลับมาด้านนี้เท่านั้นเอง กำลังมันเท่ากันน่ะไอ้ที่ใช้
    ถาม : มันขึ้น ๆ ลง ๆ ครับ
    ตอบ : คนเคยทำได้แล้วมันไม่ยาก เพียงแต่ว่าสำคัญตรงทำให้ต่อเนื่อง เผลอแม้แต่วินาทีเดียวมันก็หลุด ต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ </B>ไม่ใช่ว่าหยุดภาวนาแล้วก็เลิก ลุกจากการภาวนาแล้วก็เลิก ลุกจากการสวดมนต์ไหว้พระแล้วเลิก อย่างนั้นขาดทุนทำจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้วรักษาอารมณ์นั้นอยู่กับเราให้นานที่สุด พลาดเมื่อไหร่ก็รีบตะเกียกตะกายหามันใหม่</B>
    ถาม : ...................
    ตอบ : นึกเสียว่าสิบล้อมันวิ่งก็แล้วกันโยม รู้อยู่..........แต่พูดเล่น คือว่ามันมีหลายปัจจัยด้วยกันแต่จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าพูดแบบเมื่อกี้ที่ตือเขาพูดก็คือว่าเขาดึงความสนใจของเราไปจากจุดที่เราภาวนาอยู่ พอเราไปสนใจข้างนอกเมือ่ไหร่ ส่งใจออกนอกก็เสร็จเขา กำลังใจของเราแทนที่จะอยู่กับการภาวนา ........ไปอยู่กับรูปแล้ว เสียท่าเขาแล้ว เขาเจตนาจะเปลี่ยนความสนใจของเราจากการภาวนานี้ ซึ่งมันจะต้องได้แน่ ๆ
    ถ้าทำต่อไปให้ไปสนใจข้างนอกแทน แล้วก็ทำไม่สำเร็จ.....ไม่น่าเชื่อนะ แป๊บเดียวที่ใจเราไปสนใจทางโน้น.....เสร็จมันแล้ว ! มันลากคอเราไปแล้ว พวกเรื่องละเอียด ๆ นี่บางคนที่เขาทำไม่ถึงจะท้อไปเลย ..........มันยากมันเย็น ขนาดนั้นอย่าไปสู้มันเลย เป็นพวกเดียวกับมันไปเลยดีกว่า
    ถาม : ..........(ไม่ชัด)..........ตอนนั้นหนูอยู่เมืองกาญจน์..........เขาสู้กับคนไม่ดี คือเขาว่าเราเป็นคนไม่ดี เราอยู่เฉย ๆ ของเรา..........เราก็สามารถหาวิธีหลบหลีก........ทีนี้เรานึกถึงคำว่าก่อกรรมนี่ค่ะ เราไม่อยากก่อกรรม แต่ว่าถ้าเราอยู่เฉย ๆ....ในแง่ทางดลกนี้ผลกระทบมันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วที่พยายามคิดนี่ตัวโมหะมันอื้อเลยค่ะ .........(ไม่ชัด)........?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วคือเราทำถูก แต่ว่ามันถูกแค่ขณะนั้น ถูกแค่กำลังใจของเราตอนนั้น คำว่าก่อกรรมเราใช้ได้ถูกมากเลย คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างพอมีการกระทำขึ้นมาไม่ว่าจะดีหรือชั่วผลของการกระทำจะส่งผลให้เราในอนาคตแน่นอน นั่นคือการก่อกรรมขึ้นมา
    คราวนี้ กำลังใจของเราน่ะอยู่จุดนั้น พอถึงเวลาแล้วความรักตัวของเรามันมีมากกว่ามันก็จำเป็นจะต้องตอบโต้เพื่อเป็นการป้องกันตัวของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ว่าถ้าหากเป็นผู้ที่กำลังใจสูงกว่านั้น ในลักษณะที่เรียกว่ายอมตายถวายชีวิตลักาณะที่ว่าเพื่อให้มันเด็ดขาดลงไป กรรมตรงนี้มันสิ้นไปเลย ถึงเขาจะฆ่าเราก็ยอม อันนั้นก็อีกระดับหนึ่งของกำลังใจ แต่ละคนแต่ละกำลังใจไม่เท่ากัน
    ดังนั้นการกระทำของแต่ละคนไม่มีอะไรน่าตำหนิเลย เขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดีแล้ว เขาจึงได้ทำ ถ้าเขารู้ว่าไม่ดีคงไม่มีใครทำหรอก จุดนั้นเขาเห็นว่าเขาทำแล้วดีเขาก็ทำ ของเราเองก็ เออ....เอากับเขาซะหน่อยมันก็คงจะดีก็เลยทำบ้าง มันกลายเป็นว่ากรรมมันกว้างออกไปเรื่อย จากการกระทำที่ไม่ได้หยุดลง คราวนี้ถ้าหากว่าอยากจะหยุดการกระทำอันนั้นมันก็ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่านั่นแหละ ยอมตายถวายชีวิตบูชาธรรมไปเลย แต่กำลังใจของเราไม่ถึงตรงจุดนั้น ในเมื่อเรายังไม่ถึงตรงจุดนั้นเราทำตรงนั้นลงไป ตอนนั้นก็ถือว่าสมควรแล้ว
    ถาม : แต่ถึงแม้ว่า ....สมมุติว่าหนูอยู่เฉย ๆ ไม่ตอบโต้คนอีกฝ่ายหนึ่ง เขาพยายามจะหาผลประโยชน์จากเรา เขาคงไม่หยุดหย่อน ถ้าสมมุติว่าในกรณีนี้เราอยู่เฉย ๆ ไม่ตอบโ้ต้เขา .........(ไม่ชัด)...........ซึ่งตรงนั้นวัฏจักรในอนาคตนี่มันย้อนกลับมา เกี่ยวข้องกับเราอีก ?
    ตอบ : มันย้อนกลับมาแต่ว่ามันเป็นกรรมในลักษณะเดียวมันจะเป็นกรรมด้านเดียว ในเมื่อกรรมด้านเดียวมันอยู่ที่ว่าเราจะเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวหรือเขาจะถูกกระทำโดยกรรมนั้นมาสนองฝ่ายเดียว แต่ว่าพอกระทำไปปุ๊บมันก็ยังคงเป็นกรรมต่อไปอีกจนได้ จนกว่ามันจะเป็นอโหสิกรรมต่อกันไป คือ ทั้งโจทก์ทั้งจำเลยตกลงกันต่อหน้าว่าเรื่องทั้งหลายที่ทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้ขอให้มันเลิกแล้วต่อกัน ให้อโหสิกรรมต่อกัน ถ้าหากเขาตอบรับก็คือจบกันเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...