เพศที่สาม สำเร็จฌานได้ไหมคะ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย สัจจวาจา, 20 มีนาคม 2009.

  1. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ศีลปฏิบัติจนเป็นธรรมดาแล้ว วินัยก็ปฏิบัติจนเป็นธรรมดาได้แล้ว
    สมาธิก็ปฏิบัติจนเป็นธรรมดาได้แล้ว คราวนี้ก็ปลดปล่อยปัญญาให้ประหาร สีลัพพตปรามาสเสียก่อน

    ไม่ต้ิองไปหวังผลไกลนะ ถ้าจะเอาเป็นขั้นเอาแค่ชั้นโสดาบันก็พอ
    แค่นี้ก็พอหากจะทำให้ความทะเยอทะยานอยากของจิตมันพุ่งออกไปไกลเกิน
    ทำความดีก็อย่าไปแข่งกับใคร คิดจะทำความไม่ดีก็อย่าให้มันเกิด ใช้สติปัญญาดักมันไว้เรื่อยไป ทำได้อย่างนี้แบบเฉียบขาด ตัดให้ขาด ก็โอแล้วครับ

    อนุโมทนาครับ
     
  2. nui_sirada

    nui_sirada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2008
    โพสต์:
    399
    ค่าพลัง:
    +371
    ขอให้พยายามน่ะค่ะ สำเร็จได้แน่นอน เอาใจช่วยค่ะ
     
  3. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    เท่าที่ศึกษาในพระไตรปิฎกและพุทธประวัติ
    ไม่มีแน่นอนที่เพศที่ 3 สำเร็จพระอริยบุคคล
    หรือถ้าใครที่มีข้อมูลหรือหลักฐานช่วยนำมาลงด้วยครับ
    เพื่อประโยชน์ต่อทุกท่านฯที่สนใจ
    แต่มีโอกาสได้บรรลุฌาณแน่นอน

     
  4. หมอพล

    หมอพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +4,175

    จะทำได้ หรือ ไม่ได้ ก็ต้องให้กำลังใจกัน ครับ.......คนทุกคน ก็ มีเวรมีกรรม กันมากอยู่แล้ว.......ขอให้ลองทำดู จนสุดความสามารถ ย่อมรู้ประจักษ์แจ้ง ด้วยตนเอง.......จริงๆ แล้ว ต้องเป็น "ติเหตุกบุคคล" เท่านั้นครับ....จึงจะสามารถ บรรลุธรรม ได้....คือ ขณะที่ จิต ปฏิสนธิในครรภ์มารดา นั้น ต้องปราศจากกิเลสอนุสัยมาปิดบัง สภาวจิต ณ ขณะนั้น......ซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก ต้องสั่งสมมหากุศลภายใน จิต ไว้มากจริงๆ เท่านั้น.......ย่อมไม่เป็นของทั่วไปแก่คนธรรมดาเลย

    แต่ การบำเพ็ญกุศลต่างๆ นั้น ย่อมเป็นการดี อยู่แล้ว......เป็นสิ่งที่ดี แน่นอน.....เป็นการ สั่งสมบารมีไปในตัวอยู่แล้ว ทุกขณะ นั้นเอง......


    ส่วน พระวินัย ย่อมมีปรากฏ ข้อห้ามต่างๆ อยู่แล้ว ตามเหตุและผลแห่งธรรม สำหรับ เพศที่ 3 นั้นเอง........


    ขอเรียนว่า... หาก อกุศล และ อนุสัยกิเลส ไม่หนาแน่นจนเกินไปแล้ว.......ย่อมสามารถ บรรลุธรรม บรรลุฌาน และ ญาณต่างๆ กันได้ ทุกคน นั้นเอง...


    มัคคาวรณ์ สัคคาวรณ์ คือ ห้ามสวรรค์ และ ห้าม มรรค ผล นิพพาน นั้น........ย่อมเกิดจาก เหตุในอดีต เช่น เรื่องของ เถรใบลานเปล่า เป็นต้น......และ เกิดจากเหตุในปัจจุบัน ได้แก่ มี "มิจฉาทิฏฐิ" หรือ อาสวะหนาแน่น หรือ การปรามาสในพระอริยบุคคล หรือ การมี "จิตวิปลาส" คือ มีความเห็นคลาดเคลื่อนจากพระธรรม เป็นต้น....


    อนึ่ง อนันตริยกรรม 5......คือ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต และ ยุยงพระสงฆ์ ให้แตกแยกกัน นั้น........ย่อม ห้ามสวรรค์ และ มรรค ผล นิพพาน แน่นอนที่สุด...ย่อมไปสู่ มหานรก แน่นอน...เช่น พระเทวทัต ไปอยู่ อเวจีมหานรก...พระเจ้าอชาตศัตรู ไปอยู่ โลหะกุมภีมหานรก.......เป็นต้น (แม้จะได้บวช และ ทำบุญมามาก ก็ตาม แต่ บุญเหล่านั้น ก็ช่วยอะไร ไม่ได้เลย เพราะ กรรมทั้ง 5 จัดเป็น "ครุกรรม" คือ เป็น กรรมที่หนักมาก แม้พระพุทธเจ้าเอง ก็ทรงช่วยไม่ได้)




    ธรรมะสวัสดี......<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- edit note -->

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2009
  5. ซาตานคลั่ง

    ซาตานคลั่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    496
    ค่าพลัง:
    +1,449
    ใครบอกไม่ได้บัญญัติล่ะ
    บัญญัติไว้อย่างชัดเจนเลยต่างหาก ไปดูสิว่ามีอะไรบ้างที่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาติให้บวช

    เช่น สัตว์เดียรัจฉาน (อยู่ในภูมิที่มืดบอดเกินกว่าจะเข้าถึงพระธรรมได้) อมนุษย์(มีจิตวิปราสจนเกินไป) บัณเฑาะ(มีความกระสันต์อยากสูงเกินกว่าจะทำฌาณสมาบัติได้) ผี ถ้าหมายถึงอสุรกาย ก็คืออยู่ในภูมิที่มืดจนเกินไปเช่นกัน แต่ถ้าหมายถึงผีพวกเทวดาชั้นล่างๆ ก็คือยังมีความสุขสบายเกินกว่าที่จะเข้าใจถึงความทุกข์
    อะไรอีก จำไม่ได้
    อ้อ คนป่า บวชได้นะ เพราะยังอยู่ในภูมิมนุษย์ ยังพอมีทางเห็นธรรมได้ เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในเมือง ไม่งั้นคงเรียกคนเมืองอะนะ


    เพียงแต่คนสมัยนี้ไม่ใส่ใจกันเฉยๆ เพราะเคยเห็นบางสำนัก รับสอนสัตว์เข้านิพพานยกเว้นแมว(ดูเหมือนคนสอนจะเกลียดแมวแล้วนะแบบนี้)
     
  6. Bill PEA31

    Bill PEA31 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +417
    เท่าที่ผมทราบ เพศที่3รักษาได้ด้วยศีล5ที่บริสุทธิ์เป็นปกติ และกว่าจะได้ฌาณอาการของเพศที่3ก็น่าจะหายก่อนได้ฌาณ เพราะต้องมีศีลเป็นฐานก่อน
     
  7. Bill PEA31

    Bill PEA31 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +417
    การบำเพ็ญฌาณ การสร้างบารมีต่างๆไม่มีการจำกัด เพศ ชนชั้น วรรณะ คน สัตว์ เทพ หรือแม้แต่ เปรต แต่ชาติมนุษย์นั้นเอื้อมากที่สุดในการปฏิบัติ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังติดใน กิเลส ขอเพียงเรามีความอดทนต่อการปฏิบัติ สิ่งที่ท่านทั้งหลายมุ่งหมายไว้สำเร็จแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว
    ขึ้นอยู่กับ บุญบารมีที่แต่ละคนสั่งสมมาด้วย เช่น เพื่อนของผม เพียงการนั่งปฏิบัติไม่กี่ครั้งก็ได้ตาทิพย์แล้ว ขอทุก อดทน และพยายามต่อไปนะครับ
     
  8. Bill PEA31

    Bill PEA31 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +417
    ถ้าเป็นเรื่องของการบวชนั้น องค์พระสัมมา ท่านได้ตั้งก็ไว้ เพื่อควบคุมดูแลพระภิกษุ เพราะหากไม่แล้วก็จะทำให้พระศาสนาเป็นที่เสื่อมศรัทธาต่อคนทั่วไป เช่น พระในบ้างวัดนั้นละเมิดเรื่องการขบฉันที่ห้ามทานอาหารที่มีกากหลังจากที่ฉันเพลแล้ว เพราะเป็นเหตุให้ง่วงและปฏิบัติสมาธิได้รำบาก และยังทำให้อย่างเราๆท่านๆ หลายๆ คนเริ่ม เสื่อมศรัทธาต่อพระสงฆ์
     
  9. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    เป้นข้อสัณนิฐานที่คุณคิดเอาเอง เรื่องของศีลก็เป็นเรื่องของศีล
    แยกให้ออกระหว่างศีลกับธรรม...
    ไม่เกี่ยวกับการรักษาศีล5 แล้วอาการของเพศที่3 จะหายเป็นปกติ

    เพื่อนผมบวชพระมาจะ 20 พรรษา และอีกหลายรูปที่รู้จักกัน ไม่เห็นมีใครหายจากอาการของเพศที่3 เลยสักองค์ เพียงแต่ระมัดระวังสังวรณ์และสำรวมมากขึ้นในศีล227 เพียงแต่กิริยาท่าทางและจิตใจยังเป็นอยู่
    คุณลองคำถามนี้ไปถามพระสุปฏปัณโณก็ได้ครับ
    ผมเองตอบตามความเป็นจริงของหลักธรรมและวินัย
    ไม่ได้ตอบเอาใจใคร และไม่ได้ตอบเพื่อให้กำลังใจใคร
    ธรรมเป็นธรรม...ไม่ใช่กิเลส จะได้มุ่งเอาใจผู้ฟัง
    ตอบผิดไปจากนี้..จะทำให้ผิดหลักธรรมและวินัย
    เดี๋ยวจะเก่งเกินพระศาสดาที่ทรงธรรมทรงวินัย

    แต่กำลังใจที่มอบให้ก็คือ..เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ทำได้
    แต่จะให้บรรลุธรรม..ได้แค่ฌาณเท่านั้น
     
  10. mozard002

    mozard002 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +433
    สำเร็จได้ครับ อาจจะต้องทนสู้กับราคะแรงหน่อย แล้วถ้าเอาจริงเอาจังพออาการเพศที่สามจะลดลงและหายไป สุดท้ายแล้วอาจจะไม่ชอบซักเพศเลยก็ได้ เห็นหญิงก็หน่ายเห็นชายก็หนี เพียงแต่ต้องฝึกฌาณควบคู่กับวิปัสนา พิจารณากายเป็นเพียงธาตุ4หรือเป็นสิ่งไม่สวยงามและเป็นรังของโรค มีความเสื่อมเป็นที่สุด
     
  11. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ถ้าไม่มีในพระไตรปิฎกและพุทธประวัติ
    หรือว่า..เคยมีประวัติพระอริยบุคลที่เป็นเพศที่ 3 มาก่อน

    มาเป็นบทพิสูจน์หลักฐานยืนยัน...
    ถ้าเพียงแค่..ความคิดสัณนิฐานเอาเอง..
    ยืนยัน...เหมือนเดิม..ไม่เชื่อ
    จะมีพระอริยบุคลที่เป็นเพศที่ 3 มาก่อน
    เหมือนกับที่ใน
    พระไตรปิฎกได้กล่าวไว้..
    พระโพธิสัตว์ต้องเป็นบุรษเพศ
    พระพุทธเจ้า
    ต้องเป็นบุรษเพศ
    บรรพชิตต้องเป็นเพศที่สมบูรณ์

    ไม่ได้มีอคติหรือแสดงความเห็นเข้าข้างตนเอง
    แต่ในเมื่อมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า
    จะค้านได้หรือ...เพราะคำที่กล่าวมาจาก
    พระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า
    หนึ่งไม่มีสอง....
     
  12. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ตำรานั่นก็อย่าพึ่งเชื่อเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ไม่ให้เชื่อเอาซะเลย
    ควรใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อนถ้ามันจริงแล้วค่อยเชื่อ
    และจะเป็นการเชื่อแบบหมดคำถามไปเลย..

    อนึ่ง..
    แล้วในคำกล่าวนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำได้ แล้วการบรรลุธรรมนั้นมันเป็นยังไงกันเล่า..
    คนเรานี่นะ..ต่างก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น.. ไม่ว่าจะคิดจะทำอะไร เอาตัวเองไว้ก่อน
    แม้แต่ความคิดเห็นก็ต้องของกูนำหน้า
    แม้แต่จะเชื่ออะไรก็ต้องเป็นความเชื่อของกู มันมีแต่ ตัวกู ของๆกู ตำราของกู กูอ่านของกูมาอย่างนี้
    กูเข้าใจของกูมาอย่างนี้ มีคนมาบอกว่ากูน่ะเข้าใจถูกแล้ว เพราะถ้าไม่ใช่กูก็ผิดสิ ..
    ก็เพราะเรื่องมันเป็นมาอย่างนี้ จึงยังมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้อย่างงมงายไร้สติปัญญาพิจารณาให้ประจักษ์แจ้งเสียก่อน
    ก็เลยพากันปฏิบัติกันไปอย่างหลงๆ ฝืนๆ..
    ฝีืนความรู้สึกจริงๆ ว่า..บางครั้ง บางอย่างมันไม่ได้เป็นไปตามความเป็นจริง แต่ก็แกล้งยิ้มเหมือนเจอแล้ว พบแล้ว สุขแท้แล้วเรา..


    อย่างกรณี บรรลุธรรม นี้ก็เช่นกันในเมื่อมีฝึกจนปัญญาเกิดแจ้งจริงแล้ว
    จะมัวกบดานอยู่กับ สังโยชน์ 3 ข้อแรกอยู่ทำไมกันเล่า
    เดินออกมาสลัดข้อสงสัย งมงาย ให้มันหลุดออกไปจากจิตด้วยความมั่นใจ
    และไม่กระเดียดที่จะประกาศธรรม
    อีกนัยนึงการบรรลุธรรมนั้นไม่ใช่ยศ ไม่ใช่ตำแหน่ง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ดินแดน ไม่ใช่สภาวะธรรม
    ถ้่าจะให้ดีคือการเอาคำว่า บรรลุธรรมออกเสียก่อนเพราะมันยากจะเข้าใจอนัตตา
    ยากจะเข้าใจในนามธรรม ฉนั้นมาตั้งเป้าใหม่เป็น ความหมดทุกข์
    ปฏิบัติไปเรื่อย ให้ทุกข์มันค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อเพิ่มพูนความไม่รู้
    ให้มันหนาติดหนึบ จนกรู่ไปกลับ เราจะรู้ได้เองว่าทุกข์มันเริ่มลดลงบ้างหรือไม่อย่างไร
    นั่นก็ต้องดูที่จิตตนเองด้วยความเป็นจริงทุกประการ..


    อนุโมทนาครับ สาธุ
     
  13. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    หลวงปู่ดู่ พรหรมปัญโญ

    วิธีวัดอย่างหนึ่งว่าผู้ใดปฏิบัติธรรมได้ดีเพียงใดนั้น ท่านให้สังเกตดูว่าผู้นั้นสามารถฝึกตน สอนตัวเองได้ดีเพียงใด การเตือนผู้อื่นไม่ให้หลงผิดได้นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่การเตือนตนให้ได้ย่อมดีกว่า

    การสอนของหลวงพ่อท่านจะทำให้เราดูเป็นตัวอย่าง ท่านสอนให้เราทำอย่างที่ท่านทำ มิได้สอนให้ทำตามที่ท่านสอน ทุกอย่างที่ท่านสอนท่านได้ทดลองทำและปฏิบัติทางจิตจนรู้จนเห็นหมดแล้วทั้ง สิ้น จึงนำมาอบรมแก่ศิษย์

    เหมือนเป็นแบบอย่างให้เราได้ยึดถือตามครูอาจารย์ว่า การแนะนำอบรมหรือสอนธรรมผู้อื่นนั้น เราต้องปฏิบัติจนแน่ใจตนเองเสียก่อน และควรคำนึงถึงสติปัญญาความรู้ความสามารถของตน ถ้ากำลังไม่พอแต่จะรับภาระมาก นอกจากผู้มาศึกษาจะไม่ได้รับประโยชน์แล้ว ตนเองยังจะกลายเป็นคนเสียไปด้วย ท่านว่าเป็นการไม่เคารพธรรม ไม่เคารพครูอาจารย์อีกด้วย<!-- google_ad_section_end -->
     
  14. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    อุปสรรคขวางความดีที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ นิสัยชอบจับผิดผู้อื่น
    ภาษาพระเรียกว่าการ เพ่งโทษผู้อื่น


    ครูบาอาจารย์มักเตือนเสมอว่าถ้ารัก ดี ควรหลีกเลี่ยงไม่ไปเพ่งโทษผู้อื่น แล้วหันมาเพ่งโทษตัวเองให้มาก เตือนตัวเองให้มาก บางคนมีความตั้งใจดีในการปฏิบัติ หรือมีความเคร่งครัดในการปฏิบัติ กิเลสก็มักจะมาหลอกเจ้าของ (ตัวเรา) ว่าไม่มีใครใคร่เคร่งเท่าฉัน ไม่มีใครตั้งใจปฏิบัติเท่าฉัน ไม่มีใครมีปัญญาเท่าฉัน ฯลฯ แล้วสอดส่ายสายตามองภายนอก คนนั้นก็ทำไม่ถูก คนนี้ก็ทำไม่ถูก มุ่งแต่จะไปแก้ไขคนอื่นยิ่งกว่าแก้ไขตนเอง

    สุดท้ายใจเจ้าของนั้นเองแหละที่เศร้าหมอง ไม่แจ่มใสเบิกบาน
    ดังนั้น ความตั้งใจปฏิบัติในตอนต้นซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นกุศล ก็เลยแปรเปลี่ยนเป็นอกุศล ขวางทางสร้างความดีไม่ให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป

    มุ่งแก้ไขคนอื่นเขาเป็นเรื่องโลก แต่มุ่งแก้ไขที่ตัวเราเป็นเรื่องธรรม<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    นี่ก็เป็นคำสอนของหลวงปู่นะครับ
    ไม่ใช่ว่าออกมาจากปัญญาเราเอง
    ฉนั้นคำสอนมันมีมาอย่างนั้นก็อย่าพึ่งเชื่อ ต้องปฏิบัติจนเห็นแจ้งตามจริงนั้นเสียก่อน
    และก็ไม่ใช่ ไม่ให้เชื่อคำสอน เพียงแต่ให้พิจารณาเสียก่อน ประจักษ์แจ้งแก่ตนเองก่อนนะครับ

    อนึ่งผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่แล้วมักจะเอาคำสอนของครูบาอาจารย์มาชนกัน เอามาวัดกันแล้วตัดสินถูกผิด
    แต่ไม่ได้เอาความจริงมาพูดคุยกัน
    อย่างเรื่อง เพศที่สามนี่ก็เช่นเดียวกัน ท่้านทั้งหลายจะไปชี้ชะตา ขีดเส้นกรอบชีวิตของคนอื่นไปทำไมกันเล่าหนอ..
    หันกลับมาดูจิตตนดีกว่า มันเสียเวลา ..
    ในเื่มื่อตัวท่านทั้งหลายยังไม่เข้าใจในสภาวะจิต ที่เป็นธรรมชาติของตนเอง

    กลับมาดูตนเองว่าได้เพ่งโทษผู้อื่นอยู่หรือเปล่า ?
    หรือเอาเพียงแค่ความคิดเห็น ความเข้าใจของตนตัดสินคนอื่นอย่างนั้น น่ะหรือที่เรียกว่าทำความดีแล้วน่ะ..แทนที่จะให้กำลังใจเขา เพราะทั้งเราทั้งเขาต่างก็ทุกข์อยู่เนืองๆ..หือ.??
    ขอจงพิจารณาใหม่เถิด

    ปล.กระทู้ถูกตั้งไว้นานแล้ว แต่ จขกท เขาไปไหนต่อไหนแล้วแต่ยังมีความ คห ใหม่ๆอยู่เรื่อยเกิดขึ้น แปลกจริงหนอ..
     
  16. visutto

    visutto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,541
    ค่าพลัง:
    +1,167
    ดีหรือชั่ว..อยู่ที่เจตนาและการกระทำ
    ไม่ใช่อยู่ที่..ขี้ปากคนอื่น
    การสอนผู้อื่น..น่าจะเป็นหน้าที่ของครูอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิชอบ
    หรือพระภิกษุสงฆ์ที่มีศีลสูงกว่าเรา
    ไม่ใช่ใครก็ได้..ไปเที่ยวสั่งสอนผู้อื่น..
    มันเหมือนตาบอดจูงมือคนตาบอด..
    มีกระจกเอาไว้ส่องความผิดผู้อื่น
    แต่ลืมส่องขี้ตาตนเอง..
    ส่วนเรื่อง..ดูจิต..ดูที่เจ้าของดีกว่า..
    การที่นำคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นไปด้วยความเคารพ
    ไม่ได้ต้องการอวดอ้างปัญญาตน
    เิพราะรู้อยู่เต็มใจ..กิเลสของเจ้าของเองยังกองท่วมตัว
    ถึงต้องอาศัยคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นที่พึ่ง
    ไม่ได้ต้องการเอาแพ้เอาชนะกับใครหรือแม้แต่กัยจขกท.
    เป็นแค่..ความเห็นหนึ่ง...เท่านั้น

    ส่วนการเข้ามาตอบ..คงยุติเท่านี้...
    ตามที่เรียนข้างต้น...
    ดีหรือชั่ว..อยู่ที่เจตนาและการกระทำ
     
  17. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    มันไม่ใช่แค่ดีกับชั่ว มันเป็นเรื่องจริงของธรรมชาติ

    ไม่ใช่อยู่ที่..ขี้ปากคนอื่น
    การสอนผู้อื่น..น่าจะเป็นหน้าที่ของครูอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิชอบ
    หรือพระภิกษุสงฆ์ที่มี ปัญญา สูงกว่าเรา
    เพราะมันไม่้ได้วัดกันที่ ศีัล นะ


    นั่นแหละถูกแล้วการดูจิต น่ะนะ..ดูของตัวเองนั่นแหละ
    ฉนั้นอย่าไปฟันธงว่าเพศที่สามหรือสี่ ห้า หก จะไม่สามารถบรรลุธรรมได้
    เพราะว่า กูอ่านตำรามาว่าอย่างนี้ ... อุปาทานน่ะเริ่้มเห็นมาหรือยังจ๊ะ ?


    การนำคำสอนของครูบาอาจารย์มาสอนคนอื่นนั้นตนเองต้องปฏิบัติจนประจักษ์เสียก่อน
    แล้วก็ค่อยมาสอนคนอื่น หรือถ้าจะแนะนำคนอื่นนั้นควรจะมีสัมมาทิฐิเป็นฐาน
    หาใช่พูดกล่าวไปโดยเอาความพอใจ ไม่พอใจ การคาดเดา การสมมติ ต่างๆนานาของตนใส่เข้าไปด้วย
    การใช้คำสอนของครูบาอาจารย์สอนคนอื่นนั้นดีอยู่แล้ว แต่ก็ควรใช้ปัญญาไม่ใช่เชื่อซะทีเดียว หรือ ไม่เชื่อเลย
    นี่คือการกล่าวถึงหลักความเป็นจริงเท่านั้นนะครับ ขอให้เข้าใจไว้อย่างนี้ก่อน แต่ไ่ม่ใช่ให้เชื่อนะ


    มันเป็นธรรมดา เราๆท่านๆทั้งหลายล้วนก็อาศัยหลักคำสอนของพระพุทธองค์ เป็นที่พึ่งจนกว่าจะถึงฝั่ง
    แต่ทำให้พอดีๆ ขอให้เป็นแค่ราวเกาะนะ..


    คงยุติเท่านี้

    ดีหรือชั่ว..อยู่ที่ใจตัวเรานี่แหละ

    อนุโมทนา
     
  18. vidar_boyzai

    vidar_boyzai Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2008
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +36
    อนุโมทนาและเป็นกำลังใจครับเพราะผมเองก็ชายไม่เต็มร้อย

    และตอนี้ก็เริ่มฝึกสมาธิอยู่เหมือนกันครับ

    จะได้ไม่ได้นั้นขอเป็นเรื่องของเวรกรรมแล้วกันครับ

    หากชาตินี้ไม่ทันจะอีกกี่ชาติก็ขอได้พบนิพพานครับ

    ขอกำลังใจด้วยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...