เป็นไปได้ไหม ว่า นิพพาน ก็ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดแห่งการดับทุกข์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย วรกันต์, 14 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ในโลกแห่งความเป็นจริงและในธรรมชาติแล้วมีอะไรบ้างที่สมดุลจริงๆ
    มีแต่มีความรู้สึกที่คิดว่าสมดุลเท่านั้น เป็นการคิดเองเออเองเสียมากกว่าครับ
    ผมว่าคุณเองเป็นคนช่างคิดเอามากๆครับ
    ต่อให้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกนี้อีกกี่พระองค์ก็ตาม
    คงรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปได้หมดไม่ใช่ง่ายหรอกครับ

    ผมให้คุณตักน้ำทะเลใส่ตุ่มที่ละขัน คุณหวังว่าเมื่อไหร่จึงจะหมด
    ในเมื่อคุณมีเวลาจำกัดในการตักแต่ละครั้ง

    ที่คุณถามว่าสักวันคงเต็มนั้น นั่นเป็นเพียงความเพ้อฝันเท่านั้น
    คุณเอาเวลาที่คิดๆๆๆแล้วก็คิด
    แม้แต่เวลานอนยังเอาความคิดไปแปลงเป็นความฝันต่ออีก...หยุดคิดเถอะครับ

    พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่อุบัติขึ้นมาในโลกนี้
    ล้วนทรงสอนให้เราชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง

    การคิดย่อมทำให้จิตเศร้าหมองได้ การรู้โดยไม่คิดได้มั้ย???
    ที่คิดเพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงใช่มั้ย???

    ส่วนเรื่องพระนิพพานนั้น คุณถามว่า
     
  2. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    อีกนิดนึงนะครับ ถ้านิพพาน เป็นเมืองแก้วจริง เหตุใด พระพุทธเจ้าถึงไม่ทรงกล่าวไว้ แลคำของพระที่ Mr.Surin นำมาโพส ถึงไม่มีองค์ใดเลยที่่กล่าวว่า พระนิพพาน มีตัว มีตน มีบ้าน มีเมือง เป็นเมืองแก้ว อันนี้ฝากไว้เป็นข้อสังเกตุให้ขบคิดพิจารณานะครับ คำว่านิพพานไม่สูญน่ะ ลึกซึ้งกว่านั้นนะครับ ลึกจนไม่สามารถเอาอะไรมาเปรียบเทียบได้ เพราะนิพพาน เป็นสิ่งที่สมมุติบัญญัติทั้งหลาย ไม่สามารถเอาไปเปรียบเทียบได้ ถ้าบอกว่านิพพานไม่สูญ แล้วนึกไปว่าไม่สูญ ก็ต้องเป็นตรงกันข้าม คือมีตัว มีตน มีบ้าน มีเมือง ถ้านึกไปอย่างนี้แสดงว่ายังติดอยู่ในภพ ในภูมิ เพราะสังสารวัฎนี้ เป็นของคู่ ขาว ดำ ดี เลว มีตัวตน ไม่มีตัวตน ที่เหลือไปคิดต่อเอาเองนะครับ
     
  3. mr.surin

    mr.surin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +129
    " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ
    เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ "

    พุทธพจน์

    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๑๕๘ ปฐมนิพพานสูตร


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2009
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คำว่า นิพพานไม่สูญน่ะ ลึกซึ้งกว่านั้นนะครับ ลึกจนไม่สามารถเอาอะไรมาเปรียบเทียบได้
    ถ้าลึกซึ้งเกินกว่าจะมีอะไรมาเปรียบได้
    แล้วที่พระพุทธองค์ท่านทรงเปรียบว่า
     
  5. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    ต้องทำความเข้าใจใหม่นะครับ ว่าผมไม่ได้บอกว่านิพพานไม่มีจริง แต่ผมตั้งใจหมายความว่านิพพานไม่ได้เป็นเมืองแ้ก้ว ผู้ที่ถึงนิพพานแล้วไม่ได้มี กายแก้ว หรือวิมานแ้ก้ว อันนี้ต่างหาก ดังนั้นไม่ขออธิบายอะไรเพิ่มเติม เพราะยิ่งอธิบาย ก็ยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่ ย้ำอีกทีนะครัย ผมไม่ใด้หมายความว่านิพพานไม่มีจริง ผมเชื่อเต็มหัวใจว่านิพพานมีจริงแท้แน่นอน แต่ไม่ใช่เป็นเมืองแก้ว เป็นภิภพใด ภิภพหนึ่งแน่นอน และที่บอกว่าลึกจนไม่สามารถมีอะไรมาเปรียบเทียบได้ ผมก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้นอีก ผมอาจใช้คำพูดผิดไป แต่ขอให้เข้าใจในเจตนา ผมต้องการจะอธิบายคล้าย คุณ ธรรมภูติ ในย่อหน้าสุดท้ายนั่นแหละ แต่อาจใช้คำพูดที่ไม่ถูก แต่ที่อยากจะย้ำเพราะดูเหมือนเจ้าของกระทู้จะเชื่อ ว่านิพพานเป็นเหมือนเมืองแก้ว นั่นแหละประเด็นสำคัญ
     
  6. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    และนี่ก็เป็นตัวอย่างง่ายๆจากการเอา สมมุติบัญญัติ พยายามไปอธิบาย พระนิพพาน ซึ่ง เป็นเหตุให้คุณ ธรรมภูติ ต้องติงมา แต่ดีแล้วครับ เพราะว่่าถ้าเกิดผมไปทำให้ใครเข้าใจผิดจะเป็นบาปแก่ผมเองเปล่าๆ ดังนั้นทำตาม หนทางที่พระพุทธองค์บอกเถิด แล้วเมื่อนั้นก็จะเข้าถึงพระนิพพานเอง โดยรู้เอง เห็นเอง หมดทุกข์ไปเอง
     
  7. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82

    พุทธพจน์ บทนี้ ทำให้ผมช่วงนึงก็ตีความไปเองว่า พระนิพพาน น่าจะเป็นเมืองแก้ว ที่จะไม่มีการเกิดแก่เจ็บตายที่นั่น ซึ่งต่อมาผมก็รู้ว่าผมเข้าใจผิดทั้งหมด ที่พระพุทธพจน์กล่าวไว้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วมันอยู่ที่เราเองว่าเราเข้าใจหรือปล่าว การไปตีความโดยที่ยังเข้าไม่ถึงสภาวธรรม มีโอกาศที่จะเข้าใจเป็นแบบที่ผมเคยเข้าใจมีอยู่มาก(ผมเองก็ยังไม่เข้าถึงสภาวะธรรมหรอกนะครับ) ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือปฎิบัติ ตาม มรรค นั่นแหละที่จะทำให้เรารู้เอง ว่านิพพานเป็นเช่นไร
     
  8. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อุปาทานขันธ์ห้าดับ ^-^
     
  9. mr.surin

    mr.surin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +129
    สอบถามครับว่า

    เพราะอะไร จึงทำให้คุณอภิภูคิดว่า เข้าใจผิดทั้งหมดครับ
     
  10. Bkkianmar

    Bkkianmar Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +55
    เป็นไปได้แต่ไม่น่าจะเป็น
     
  11. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อุปาทานขันธ์ห้าดับไปจากจิต(ไม่ใช่จิตดับ)^-^
     
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน? คือ แม้ความเกิดเป็นทุกข์
    แม้ความแก่เป็นทุกข์ แม้ความตายเป็นทุกข์ แม้ความโศก ความรำพัน ความทุกข์กาย ความ
    ทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์ แม้ความที่ไม่ได้สิ่งที่ตนอยากได้ ก็เป็นทุกข์ โดยย่อ
    อุปทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อุปทานขันธ์ห้าเป็นไฉน? คืออุปทานขันธ์
    คือ รูป อุปทานขันธ์คือเวทนา อุปทานขันธ์คือสัญญา อุปทานขันธ์คือสังขาร อุปทานขันธ์คือ
    วิญญาณ. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็อุปทานขันธ์คือรูปเป็นไฉน? คือ มหาภูตรูป ๔ และรูป
    ที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ก็มหาภูตรูป ๔ เป็นไฉน? คือปฐวีธาตุ อาโปธาตุ
    เตโชธาตุ วาโยธาตุ.
     
  13. ลูกพ่อลิงดำ

    ลูกพ่อลิงดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +13,560
    เป็นไปไม่ได้ครับ พระอรหันต์ท่านต้องการพ้นทุกข์ นิพพานก็เป็นสภาวะของนิพพาน ไม่ใช่ทั้งอัตตาและอันนตาแต่เป็นสภาพของนิพพาน "นิพพานธาตุ" เราไม่ใช่พระอรหันต์เราไม่สามารถรู้ได้ ถ้ายังกลับมาเกิดได้ ท่านก็ตคงไม่อยากเป็นพระอรหันต์หรอกเพราะเหมือนกัน คุณจะเอาภาวะสมดุลมาจากตรงไหน "นิพพานมันเหนือสมมุติไปแล้ว นิพพานไม่มีที่สิ้นสุด" "แล้วคนบนโลก เปรตในนรก ในสวรรค์ พรหม ก็ยังมีอีกมาก นับไม่ได้" คุณไม่ต้องกลัวหรอกว่าโลกจะว่าง ถ้าโลกว่างยิ่งจะดี กิเลศตัณหามันจะได้หมด จะได้นิพพานกันให้หมด ถ้าคนบนโลกเป็นพระอรหันต์หมดก้คงจะดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ทุกวันนึ้พระอรหันต์ยังมีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ในโลกเลย ดังนั้น คุณไม่ต้องไปคิด ทํายังไงคุณเองถึงจะเป็นพระอรหันต์ "กลัวกิเลศตนเองดีกว่า ไปกลัวเรื่องคนอื่น"
     
  14. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ฉวิโสธนสูตร

    ดูกรท่านผู้มีอายุ อุปาทานขันธ์อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น
    เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัสไว้ชอบนี้ มี ๕ ประการแล ๕ ประการเป็นไฉน
    คือ รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์

    ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้แลอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ
    อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบแล้ว
    ก็จิตของท่านผู้มีอายุ ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างไรเล่า จึงหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้ ฯ

    ฯลฯ
    ดูกรท่านผู้มีอายุ
    ข้าพเจ้ารู้แจ้งรูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ แล้วแล
    ว่าไม่มีกำลัง ปราศจากความน่ารัก มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ

    จึงทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ
    และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในรูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ
    และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในรูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณ ได้

    ดูกรท่านผู้มีอายุ
    จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้

    (smile) จิตรู้อยู่ เห็นอยู่ (จิตไม่ได้ดับ...ถ้าดับ จะว่ารู้อยู่ เห็นอยู่ ได้อย่างไร???)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2009
  15. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    823
    ค่าพลัง:
    +2,752

    .....อืมม์....ตอนนี้ ก็ น่า จะได้เค้าแล้ว นะ....ลองไปดูในกระทู้อื่นๆในเวปซิครับ .....เห็นมีหลายกระทู้ บอกว่า ในราวเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ และ ฝรั่ง ก็สร้างเป็นหนังมาฉายทำเงินกันแล้ว ....อย่างน้อยที่สุด เราจะได้ มีโอกาสลุ้นที่จะได้เห็น ดวงอาทิตย์ ขึ้นทางทิศอื่น ที่ไม่ใช่ทิศตะวันออก ทางภาพยนต์ หรือ ไม่ก็ ของจริงๆ ในวันเวลาที่ว่า....งานนี้ ได้เห็นแน่นอน ไม่ของจริง ก็ ของปลอม....ใจจริง อยากเห็นของจริง....เพราะ สนุกกว่ากันเยอะเลย.....
     
  16. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    ตอบนะครับ
    ผมไปติดตรงคำว่าอายตนะ น่ะครับ ซึ่งอายตนะเดิมที่ผมเข้าใจ คือ ตา หู ลิ้น จมูก กาย และใจ ซึ่งถ้าคิดตามนั้นก็จะแปลความได้ว่า ต้องมีตัวตน มีรูปร่าง อาจจะมีกายเป็นแก้ว และถ้ามีอย่างนั้น ก็ต้องมี ที่อยู่ ที่รองรับกับรูปกายนั้นๆซึ่งก็น่าจะเป็นเมืองแก้ว เมืองนิพพาน นั่นทำให้ผมตีความไปว่า นิพพาน เป็นเมืองแก้ว แต่ถ้าเป็นเฃ่นนั้นก็หมายความว่า เมื่อเราบรรลุพระนิพพานแล้ว เราก็จะต้องจุติ ไปเกิด ในพระนิพพานถูกไหมครับ ซึ่งนั่นก็ผิดตั้งแต่เริ่มแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนให้ดับการเกิด เพราะ การเกิด ก็ย่อมมีคู่ตรงข้ามคือ ความตาย ขึ้นมาทันที ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะเข้าสู่วงจรเดิม ลองดูในหลักปจิจสมุปบาทก็ได้ครับ แต่ถ้าจะแถไปว่า พระนิพพานเป็นเมืองแก้วที่ผู้ที่มาจุติที่นี้แล้วจะไม่มีการตายอีก ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับว่าจะขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธองค์ทันที ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่พระพุทธเจ้าจะสอนอะไรที่เป็นการขัดแย้งกับคำสอนของพระองค์เอง แต่เป็นเพราะเราเองที่ไม่เข้าใจเองต่างหาก แต่ถ้าถามว่า แล้วพระนิพพานเป็นอย่างไรเล่า ผมก็ขอตอบแบบตรงๆว่า ไม่รู้ เพราะผมยังเข้าไม่ถึง แต่มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าพระนิพพานไม่ใช่เมืองแก้วแน่นอน ร้อยเปอร์เซ็นต์
     
  17. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    แล้วอีกอย่าง อายตนะไม่ได้แปลว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อายตนะภายใน และ อารมณ์ อายตนะภายนอก
    ถ้าเราเอาขันตักน้ำในมหาสมุทธขึ้นมา 1 ขัน เราเรียกว่าน้ำ 1 ขัน แต่หากเทน้ำ 1 ขันนี้ ลงในมหาสมุทธ แล้วถาม
    ว่าน้ำ 1 ขันเมื่อกี้นี้อยู่ที่ไหน แล้วน้ำ 1 ขันเมื่อกี้นี้ สูญไปแล้วหรือว่าไม่สูญกันแน่
     
  18. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    น้ำที่เทกลับคืนสู่มหาสมุทร เราจะเรียกว่า น้ำ 1 ขัน ได้อีกไหม
     
  19. mr.surin

    mr.surin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +129
    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


    <CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>
    "ดวงจิตนี้ไม่เคยสูญ

    </CENTER><CENTER>แดนพระนิพพานมีจริง </CENTER><CENTER>หลวงปู่มั่นเล่าว่า พระพุทธเจ้าหลายพระองค์เสด็จมาเยี่ยมท่าน"</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>*********************************************</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>[​IMG]
    หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา

    " นิพพานเป็นแดนแห่งความมั่นเที่ยง

    </CENTER><CENTER>นิพพานแล้วเป็นสุข นิพพานมีสาระเป็นแก่นสาร

    </CENTER><CENTER>นิพพานมีความเป็นสุขอย่างยิ่ง พระนิพพานไม่ใช่อัตตา </CENTER><CENTER>พระนิพพานเป็นปัจจัตตัง "</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>******************************************</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>
    </CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>พระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย ์( สิริจนฺโท จันทร์ )</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>
    </CENTER>


    ......บุคคลผู้มิได้พ้นจากิเลส ราคะ ตัณหา นั้นจะทำบุญให้ทานสร้างกุศลอย่างแข็งแรงเท่าใดก็ดี ก็จักได้เสวยความสุขในมนุษย์โลกแลเทวดาโลกเพียงเท่านั้น ที่จะได้เสวยความสุขในพระนิพพานนั้นเป็นอันไม่ได้เลย
    ถ้าจะประสงค์ต่อพระนิพพานแท้ ให้โกนเกล้าเข้าบวชในพระศาสนา ในว่าบุรุษหญิงชายถ้าทำได้อย่างนี้ ชื่อว่าปฏิบัติใกล้ต่อพระนิพพาน เพราะว่า เมืองพระนิพพานนั้นปราศจากกิเลสตัณหา เมืองมนุษย์แลเมืองสวรรค์เป็นที่ซึ่งทรงไว้กิเลสตัณหา ไม่เหมือนเมืองพระนิพพาน

    ........นิพฺพานํ นครํ นาม อันชื่อว่า เมืองพระนิพพาน ย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีทีสุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดนั้น
    พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้ อย่าเข้าใจว่าจะไปนิพพานด้วยกำลังกาย หรือกำลังพาหนะ มียาน ช้าง ม้าได้ อย่าเข้าใจว่านิพพานตั้งอยู่ในทีสุดโลกเหล่านั้น อย่าเข้าใจว่าตั้งอยู่ที่ใดเลย
    แต่ว่าพระนิพพานนั้น มีอยู่ในที่สุดของโลกเป็นของจริง ไม่ต้องสงสัย
    ให้ท่านทั้งหลายศึกษาให้เห็นโลกรู้โลกเสียให้ชัดเจน ก็จักเห็นพระนิพพาน พระนิพพานก็ตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลกนั่นเอง


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2009
  20. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,168
    ตรองแล้วว่าไม่มีที่ใดเหนืออกว่านิพพาน

    [​IMG]
    ข่ายพระพุทธญาณของพระพุทธเจ้าไม่มีที่สิ้นสุด....
    หากมีที่ ๆ เลิศประเสริฐกว่านิพพานพระพุทธเจ้าทุก ๆ คงชี้ทางให้เราไปนานแล้ว.....
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...