เทวดามีจริงหรือ?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย bennynaja, 4 กุมภาพันธ์ 2011.

แท็ก: แก้ไข
  1. bennynaja

    bennynaja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +104
    ปัญหามีอยู่ว่า: ตามบาลีมีอยู่ว่า
    เทวดาที่ปรารถนาสุคติ ปรารถนามาเกิดในโลกมนุษย์นั้น
    ย่อมเป็นการรับรองว่า เทวดามีตัวจริง และ สวรรค์ก็มีตัวจริง.

    ถ้าเชื่อว่ามีจริงเช่นนี้ จะไม่เป็นเรื่องเหลวไหล
    ตามคติในยุคปัจจุบันไปหรือ?

    ปัญหานี้ ผู้ถามได้ยึดเอาหลักที่อาตมาได้บรรยายไปในวันก่อนๆ
    ถึงตอนที่กล่าวว่า เทวดาที่ปรารถนาสุคติ หาที่อื่นไม่ได้ ไม่พบ
    ต้องมาหาในมนุษยโลก ซึ่งมีพระรัตนตรัย;

    เลยยึดเอาว่า ถ้าอย่างนั้น บาลีก็ยืนยันว่า
    ตัวเทวดามีจริง สวรรค์มีจริง?
    อาตมาอยากจะขอตอบว่า ในบาลี มีกล่าวเช่นนั้นจริง
    และมีในรูปพระพุทธภาษิตจริง;

    แต่ความหมายนั้น หมายถึง เทวดาเป็นตัวบุคคลาธิษฐาน
    เช่นนั้นจริงหรือไม่ เป็นอีกปัญหาหนึ่ง.

    เรื่องเทวดานี้ ก็อยู่ในหลักเกณฑ์เดียวกันที่ว่า
    พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า ถ้าไม่ "มองเห็น" ได้ด้วยตนเองแล้ว
    อย่าไปเชื่อตามดีกว่า
    เพราะฉะนั้น ส่วนที่พูดถึงตัวเทวดา
    หรือ สวรรค์นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.

    ประเด็นสำคัญ มันอยู่ที่ว่า คนที่มัวเมาอยู่ด้วยกามคุณอย่างเทวดา
    และ จะเป็นเทวดาอยู่ที่ไหนก็ตาม ผู้ที่มัวเมาอยู่แล้ว
    ยากที่จะมีจิตใจที่โปร่งหรือแจ่มใสเพียงพอ
    ที่จะเข้าใจเรื่องดับทุกข์ หรือ เรื่องนิพพาน

    เพราะฉะนั้น เทวดาเมื่อสำนึกถึงความที่ตนมัวเมาอยู่ในกามคุณ
    หรือในสวรรค์ได้ ก็เกิดความสลดสังเวชตัวเอง
    ว่าที่นี่ ไม่ใช่ที่เอาตัวรอดเสียแล้ว;

    ควรจะเป็นในที่ที่ไม่มัวเมา ในกามคุณมากถึงเช่นนั้น;
    ควรจะเป็นที่ที่จะหาเรื่องราวของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    หรือเรื่องดับทุกข์นั้นได้โดยง่าย.

    เพราะฉะนั้น โลกที่ดีที่น่าเกิด ก็ควรจะเป็นมนุษยโลก
    แทนที่จะเป็นเทวโลก.

    เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า
    ควรจะอยู่ในที่ที่หาพบพระรัตนตรัยได้ง่าย
    หรือ ทำการดับทุกข์ได้ง่าย;

    เลิกพูดถึงมนุษยโลกหรือเทวโลก ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.
    ทีนี้ อาตมา อยากจะชี้แจงต่อ ถึงข้อที่ว่า
    ทำไม คำว่า เทวดา หรือ คำว่า สวรรค์นี้ มามีอยู่ในพระพุทธภาษิต
    และอยู่ในพระไตรปิฎก โดยตรง.

    ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา
    เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว
    มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว
    ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น

    พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว
    จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย
    ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า
    ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย
    ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก
    พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า
    คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน;
    ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์
    เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น
    ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร.

    มีอยู่ในพระไตรปิฎก บางแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    เรื่องเทวดานี้ เขาพูดกันอย่าง เอิกเกริก ทั่วไปอยู่แล้ว
    เสียเวลา ที่จะไปฝืน ความรู้สึกของเขา;
    แล้วเราเอง ก็ต้องการ อีกอย่างหนึ่ง ต่างหาก
    สิ่งที่ต้องการ ไม่ได้เป็นอันเดียวกับ
    ที่ต้องการให้เขาหลงใหลในสวรรค์

    ไม่จำเป็นที่จะต้อง อธิบายเรื่อง นรก สวรรค์
    ซึ่งเป็นสิ่งที่จะ พิสูจน์กัน เดี๋ยวนั้น ไม่ได้.

    ถ้าหากว่า ผู้นั้นจะมีปาฏิหาริย์มาก ถึงกับบังคับจิตผู้คน
    หรือกลุ่มประชาชน ให้เห็นนรกเห็นสวรรค์ด้วยอำนาจจิต
    ได้อย่างแท้จริง;

    ซึ่งสวรรค์และนรก จะจริงไม่จริงไม่ทราบ;
    แต่ว่า สามารถบังคับด้วยปาฏิหาริย์
    ให้พากันเห็นชัดเจนแท้จริง
    จนมีความเชื่ออย่างนี้ก็ทำได้;

    พระพุทธเจ้า ท่านก็ทำได้ เป็นของง่ายๆ
    แต่ท่านก็ไม่ประสงค์ จะทำอย่างนั้น;
    กลับเอออวย ไปในบางส่วนว่า
    ให้ทาน รักษาศีล นี่แหละ จะเป็นทางให้ได้สวรรค์
    แล้วเมื่อได้สวรรค์ มาแล้ว เป็นอย่างไร ท่านก็ชี้ให้เห็นว่า
    สวรรค์นั้น มันเต็มไปด้วยโทษ คือ ความหลงใหลอย่างไร
    แล้วจึง ทรงแสดงโทษของสวรรค์
    ผู้นั้นก็พร้อมที่จะรู้เรื่องโลกุตตระ

    เขาเห็นจริง เชื่อจริง มาตามลำดับ ว่า ทาน ศีล ให้เกิดสวรรค์,
    สวรรค์ มีลักษณะ อย่างนั้นๆ ประกอบไปด้วย อาทีนพ-คือโทษ
    ทำให้โง่ ให้หลง ให้วนเวียน ในวัฏฏสงสาร อย่างนั้นๆ
    จึงมีจิตใจ พร้อมที่จะรู้เรื่อง อริยสัจจ์ หรือ เรื่องของ โลกุตตระ.

    อุบายวิธี ทางธรรม เช่นนี้ เราจะเรียกว่า
    พระพุทธเจ้า ท่านฉลาดในการสวมรอย หรือ อะไรก็ตามเถิด
    แต่ว่า ความจำเป็น มันบังคับให้ทำได้เพียงเท่านั้น
    จะไปพิสูจน์ เรื่องนรก สวรรค์ กันมากกว่านั้น ก็ไม่มีเวลา
    ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น ทั้งไม่ได้ประโยชน์อะไร;

    เพราะเรื่องที่สำคัญนั้น ต้องการจะสอน ให้เห็น ความทุกข์ เดี๋ยวนี้
    ให้เห็น เหตุให้เกิดทุกข์ เดี๋ยวนี้ กล่าวคือ เรื่องอริยสัจจ์สี่ นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า จึงทรงมีอุบาย ลัดๆ สั้นๆ
    ชำระของเกรอะกรัง ในจิตใจของประชาชน เรื่องนรก สวรรค์
    เสียพอสมควรก่อน ได้แก่ ทรงแสดงเรื่อง ทาน เรื่องศีล
    แล้วเรื่องสวรรค์ แล้วย้ำเรื่อง โทษของสวรรค์ แล้วจึงถึง
    เรื่องการออกไปเสีย จากสวรรค์ ที่เรียกว่า เนกขัมมะ
    การออกไปเสียจาก กามคุณ ว่าจะมีผลดีอย่างนั้นๆ

    พอมาถึงขั้นนี้แล้ว คนนั้นที่เรียกได้ว่า มีหัวใจเคยเกรอะกรัง
    ไปด้วย ตะกอนต่างๆ มาแต่กาลก่อนๆ ถูกชำระล้างหมดสิ้นดีแล้ว
    ก็พร้อมที่จะรู้ อริยสัจจ์สี่ คือ ทุกข์ มูลเหตุให้เกิดทุกข์ สภาพที่
    ไม่มีความทุกข์ เลย และวิธีปฏิบัติ ที่จะให้ลุถึงสภาพชนิดนั้น
    พระพุทธเจ้า ท่านก็สอนเรื่องของท่านโดยตรงเอาตอนนี้เอง.

    ส่วนตอนเรื่อง นรกสวรรค์อะไรนั้น
    เป็นตอนที่ไม่ใช่ใจความของพุทธศาสนา

    เขาเชื่อกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว เขาทำกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว
    ก่อนพระองค์เกิด

    ถ้าไปตู่เรื่องนี้ มาว่าเป็นพุทธศาสนา ก็เรียกว่า ไม่ยุติธรรม
    พระพุทธเจ้า ท่านไม่ขี้ตู่ อย่างนั้น เรื่องของท่าน จึงมีแต่เรื่อง โลกุตตระ คือ อริยสัจจ์ เป็นพื้น.
    เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า เรื่องสวรรค์หรือนรก นี้
    ไม่ใช่ประเด็นของพุทธศาสนา
    แต่มันพลัดมาอยู่ใน คำของ พระพุทธเจ้าได้
    เพราะความจำเป็นอย่างนี้;

    ฉะนั้น เราไปสนใจกับ ตัวพุทธศาสนา โดยตรงเสีย
    ปัญหาเรื่องนรกสวรรค์ ก็จะหมดสิ้นไปในตัวเอง
    หมดความจำเป็นไปในตัวเอง

    เพราะ ถ้าขืนเชื่อ งมงายไปตามผู้อื่นว่า
    มีจริง เป็นจริง อย่างนั้น ก็เป็นการถูกหลอก;

    หรือ แม้แต่ เขาจะบังคับกระแสจิตให้เห็นได้ทางปาฏิหาริย์
    ก็ยังเป็นการ ถูกหลอกอย่างลึกซึ้งอยู่นั่นเอง.

    พุทธบริษัท ไม่ทำอย่างนี้
    จึงพิสูจน์เรื่อง ความทุกข์ และ เรื่องความดับทุกข์ โดยตรง
    เป็นเรื่องของ พุทธศาสนาแท้.



    จากคำสอนของท่านพุทธทาส
    เทวดามีจริงหรือ?
     
  2. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้ข้อหนึ่ง ซึ่ง
    จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
    ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง เหมือนกับมิจฉาทิฐินี้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เมื่อบุคคลเป็นผู้มีความเห็นผิด อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกุศล
    ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง ฯ"

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียว เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อม
    เกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความ
    ฉิบหาย มิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    บุคคลคนเดียวคือใคร คือ บุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฐิ มีความเห็นวิปริต เขาทำให้
    คนเป็นอันมากออกจากสัทธรรมแล้ว ให้ตั้งอยู่ในอสัทธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    บุคคลคนเดียวนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล
    ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความฉิบหาย มิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อ
    ความทุกข์ แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ฯ"

    ในบาลี มีกล่าวเช่นนั้นจริง และมีในรูปพระพุทธภาษิตจริง; แต่ความหมายนั้น หมายถึง เทวดาเป็นตัวบุคคลาธิษฐาน เช่นนั้นจริงหรือไม่ เป็นอีกปัญหาหนึ่ง.
    พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า พระองค์ทรงตรัสแต่คำที่เป็นจริงและมีประโยชน์
    ไม่ทรงตรัส คำไม่จริงแต่มีประโยชน์หรือคำจริงแต่ไม่มีประโยชน์
    การแสดงธรรมถ้าเป็น อุปมา พระพุทธเจ้าท่านก็จะทรงบอกว่าพระองค์ทรงอุปมา
    เช่น คนพาลเกิดเป็นมนุษย์ได้ยาก อุปมา ดังเต่าตาบอด 100 ปี จึงโผล่หัวมาซักครั้ง
    มีบุรุษผู้หนึ่งโยนแอกมีช่องเดียวลงไป การที่เต่าตาบอดนั้นจะสอดหัวเข้าไปเป็นเรื่องยากหรือง่าย? แต่การเกิดเป็นมนุษย์ของคนพาลยากกว่านั้น.

    ถ้าไม่ "มองเห็น" ได้ด้วยตนเองแล้ว อย่าไปเชื่อตามดีกว่า เพราะฉะนั้น ส่วนที่พูดถึงตัวเทวดา
    หรือ สวรรค์นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.

    ประเด็นสวรรค์นรกเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็น 1 ในสัมมาทิฐิ การที่คุณจะศึกษาและปฏิบัติตามแนวทางนี้ คุณควรยอมรับข้อนี้ก่อน(เหมือนกับเวลาเรียนเลข คุณก็เอาสูตรมาใช้เลย จะทะลึ่งไปพิสูจน์สูตรก็สอบตกแน่นอน)
    การพิจารณาหลักการเชื่อในพระพุทธศาสนาพระองค์กล่าวไว้ในกาลามสูตร
    "1.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ได้ฟังมา...10.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
    แต่ให้เชื่อเมื่อ เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้วเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่."
    ผมเชื่อว่า ใครก็ตามไม่เชื่อโลกนี้โลกหน้าเขาจะละ ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป
    เขาไม่มีทางทำ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ให้บริบูรณ์ได้ ดังนั้นผมจึงเชื่อเรื่องนี้

    ซึ่งเป็นสิ่งที่จะ พิสูจน์กัน เดี๋ยวนั้น ไม่ได้
    วิธีพิสูจน์ก็ไม่ได้ยากอะไร ถ้าจะทำจริงๆ
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดังนี้ ผู้มีศีล ย่อมไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
    ผู้มีปกติไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ย่อมได้ ปราโมทย์(จากธรรมที่ตนปฎิบัติดีแล้ว)
    ผู้มีปราโมทย์ ย่อมได้ ปิติ
    ผู้มีปิติ กายใจย่อมสงบระงับ
    ผู้มีกายใจสงบระงับ ย่อมได้สุข
    ผู้ได้สุข ย่อมได้สมาธิ
    ผู้ได้สมาธิ ย่อมได้ณานทัสนะ(มีทิพยจักษุเป็นต้น)...
    ถ้าอยากพิสูจน์จริง ก็แค่มีศีลให้สมบูรณ์ก็พอ

    นรกสวรรค์อะไรนั้น เป็นตอนที่ไม่ใช่ใจความของพุทธศาสนา
    นรกสวรรค์ในพุทธศาสนาไม่เหมือนความเชื่อในลัทธิอื่นเลย ไม่ว่าจะเป็นพรามณ์ฮินดูก็ไม่มีความคล้ายเลย และเทพในพระพุทธศาสนาก็มีประวัติความเป็นมาเป็นไป เช่น ท้าวสักกะจอมเทพในดาวดึงส์เทวโลก มีเรื่องว่า เมื่อก่อนนายมฆะเห็นพระอาทิตย์และพระจันทร์ ท่านคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเทพไม่ใช่คนเกิดโยโสนมสิการว่าเราจะเป็นเช่นนั้นบ้าง จึงสมาทานวัตรดังนี้

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท ๗ ประการบริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ
    วัตรบท ๗ ประการเป็นไฉน คือ เราพึงเลี้ยงมารดาบิดาจนตลอดชีวิต ๑ เราพึง
    ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลจนตลอดชีวิต ๑ เราพึงพูดวาจาอ่อนหวาน
    ตลอดชีวิต ๑ เราไม่พึงพูดวาจาส่อเสียดตลอดชีวิต ๑ เราพึงมีใจปราศจากความ
    ตระหนี่อันเป็นมลทินอยู่ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม
    ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการแจกจ่ายทานตลอดชีวิต ๑ เราพึง
    พูดคำสัตย์ตลอดชีวิต ๑ เราไม่พึงโกรธตลอดชีวิต ๑ ถ้าแม้ความโกรธพึงเกิดขึ้น
    แก่เรา เราพึงกำจัดมันเสียโดยฉับพลันทีเดียว ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะ
    จอมเทพ เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท ๗ ประการนี้
    บริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการดังนี้ จึงได้ถึงความเป็น
    ท้าวสักกะ ฯ"

    นี้เป็นลักษณะที่ต่างกันของเทพในพระพุทธศาสนากับเทพในลัทธิอื่น เทพในลัทธิอื่นจะปรากฎขึ้นลอยๆ ไม่มีที่มาที่ไป หรือมีที่มาที่ไปก็ดูไร้สาระ(บางครั้งก็ตลกดี) เช่น พระอิศวร พระวิษณุ
    ถ้าไปตู่เรื่องนี้ มาว่าเป็นพุทธศาสนา ก็เรียกว่า ไม่ยุติธรรม
    การกล่าวเรื่องนี้ว่าไม่เป็นความจริง จะเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้าหรือไม่ไม่รู้(เพราะไม่มีใครเห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสเอง จริงหรือไม่) แต่พระสงฆ์จะบวชไปทำไมในเมื่อโลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี ตายแล้วก็เท่ากัน ท่านจะฝึกอะไร??? พระสงฆ์เป็นผู้นำใน ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีศรัทธาในสิ่งที่ตนเองประพฤติอยู่ก็ควรสึกออกมา พระที่ทำผิดศีลก็ชื่อว่าเป็นโจรปล้นศาสนา แต่พระที่กล่าวว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนว่าพระองค์ไม่สอน ชื่อว่าเป็นการประหารพระศาสนาเลยทีเดียว

    การศึกษาพระพุทธศาสนาที่ผ่านมา 2554 ปี ตำราในยุคปัจจุบัน ควรศึกษาจาก พุทธธรรมของ ท่านพระอาจารย์พรหมคุณากรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) หรือไม่ก็ศึกษาจากพระไตร ที่ย่อแล้วหรือตัวเต็มก็ได้ ถ้าจะปฎิบัติสมาธิก็ควรศึกษาจาก วิสุทธิมรรคและวิมุตติมรรค เพิ่มเติม

    ขอให้เจริญในธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วครับ
     
  3. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    หลวงพ่อท่านพุทธทาส ในหนังสือของท่านกล่าวเกี่ยวกับเรื่องผีว่า

    "สิ่งที่เขาเรียกกันว่าผี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทำนองที่เป็นผีตามที่เขาเข้าใจกันนั้น มีอยู่แน่นอน,แต่ว่าตัวจริงของมันจะเป็นอย่างไร ในทัสนะของพุทธบริษัทนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"


    และในหนังสือเล่มเดียวกัน
    "แม้แต่คนแท้ๆ ก็ยังไม่มีตนอยู่แล้ว : มันเป็นเพียงกลุ่มแห่งเหตุ แห่งปัจจัย ไหลเรื่อยไปเท่านั้นเอง,แล้วสิ่งที่เรียกว่าผีสาง อะไรทำนองนั้น จะมามีตัวตนยิ่งไปกว่าคนได้อย่างไร"

    จะเห็นว่าการศึกษาหนังสือของท่านพุทธทาสต้องศึกษาให้ละเอียด เพราะอย่างคนที่อ่านส่วนแรกไม่อ่านส่วนหลังก็จะเข้าใจอย่างหนึ่ง คนที่อ่านส่วนหลังไม่อ่านส่วนแรกก็เข้าใจแบบหนึ่ง ที่อ่านทั้งสองส่วนก็จะเข้าใจไปอีกแบบ ต้องใช้หลักกาลามสูตรที่ท่านว่าเป็นเพชรในพุทธศาสนามาใชพิจารณาควบคู่กันไป<!-- google_ad_section_end -->

    ท่านพุทธทาสจะสอนทั้งในภาษาคนและภาษาธรรม เวลาที่ท่านสอนภาษาธรรมบางทีก็จะไปตีความตามภาษาคนไม่ได้ ต้องมองให้เป็นอีกเรื่องหนึ่งไปเลย


    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
     
  4. bennynaja

    bennynaja เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +104
    เห็นด้วยคะ เพราะอ่านหนังสืออของท่านพุทธทาส เป็นการสอนแก่นของศาสนาแท้ๆเลยคะ ไม่มีเปลือกหรือกระพี้เลย จึงจะทึกทักตามตัวหนังสือไม่ได้ จึงต้องใช้ปัญญาในการคิดตามคะ ^^
     
  5. -zen-

    -zen- สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2011
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +8
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=DcWohNMQsdg&feature=related"]YouTube - ZEN 2010 จากสวนโมกข์สู่หมู่บ้านพลัม ตอน 14[/ame]


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=EPwB-P22h88&feature=related"]YouTube - ZEN 2010 จากสวนโมกข์สู่หมู่บ้านพลัม ตอน 15[/ame]
     
  6. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,310
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    “ ผีและเทวดามีจริง ” [ EP.1/7 ]


    clip ข้างบนนี้ก็ฟังได้เช่นกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...