เดินธุดงค์ กับเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยดอกดาวเรือง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Jera, 11 กรกฎาคม 2016.

  1. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +2,040
    bmgjwBg.png

    กัปปิย ผักผลไม้ คืออะไร

    การกัปปิย ผัก ผลไม้ หรืออาหารบางชนิด(ให้อาหารนั้นถูกต้องสมควร) ก่อนฉันอาหารโดยให้ ปะขาวหรือสามเณร หรือโยม

    ฉีกผัก หรือผลไม้(ถ้าผักมีมากจะฉีกเเค่ต้นเดียวเเต่ต้องอยู่ในถาดเดียวกัน ถ้าผลไม้ก็ลูกเดียว )

    เพราะสายวัดป่า จะถือข้อวัตร ตามพระอาจารย์มั่น หลวงพ่อชา เป็นหลัก

    ไม่ว่าการประเคนต้อง 1 หัตถบาท การกัปปิ ก็อยู่ในธรรมวินัยด้วยเช่นกัน

    เพราะว่าถ้าไม่กัปปิผลไม้ก่อนฉันก็จะทำให้ อาบัติ ในข้อปาจิตตีย์

    มีครั้งหนึ่ง มี โยมผู้มาเตรียมที่จะบวช ได้มาประเคนอาหารให้พระอาจารย์ ในโรงอาหาร

    พอเดินประเคนไปจนถึง พวกผักผลไม้ ก่อนประเคนนั้น พระอาจารย์ได้พูดว่า "กัปปิยังกะโรหิ" โดยทำกิริยา คล้ายๆกับการถาม

    โยมคนนั้นทำหน้า งง เเล้วมองไปรอบๆ เห็นป้ายที่ติดอยู่ที่เสา (ป้ายพวกธรรมะ)

    โยมคนก็อ่านข้อความในป้ายเเล้วตอบ พระอาจารย์ว่า "หิริโอตัปปะ คือความละอายต่อบาป"

    พระที่ยืนคอยตักอาหารก็หัวเราะ กันใหญ่ เเล้วพระอาจารย์ ก็พูดว่า ไม่ใช่ ผมจะถามว่าอาหารนี้สมควรเเล้วรึยัง(กัปปิยังกะโรหิ)

    ซึ่งท่านต้องทำให้มันผมควร (โดยการฉีก ตัด) เเล้วตอบว่าสมควรเเล้ว

    (กัปปิยังภัณเต)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2016
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,647
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    ธุดงค์ หมายถึง ความหมาย ธุดงค์ที่ชาวบ้านควรรู้
    ธุดงค์ หมายถึง ความหมาย ธุดงค์ที่ชาวบ้านควรรู้ ปัจจุบัน ชาวไทยพุทธ มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับธุดงค์อยู่มาก โดยเข้าใจกันว่า การธุดงค์ คือ การที่พระสงฆ์ห่มจีวรสีเศร้าหมอง สะพายบาตร แบกกลด แล้วเดินจาริกไปในสถานที่ต่างๆ ค่ำที่ไหนก็ปักกลดนอนที่นั่น

    ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเช่นนี้ เนื่องจากคนไทยเอาเรื่องการจาริก คือ การท่องออกไปเพื่อโปรดสัตว์ผสมกับธุดงค์ คือ การปฏิบัติขัดเกลากิเลสเพื่อความมักน้อย สันโดษจนแยกออกจากกันไม่ได้ ระหว่างการจาริกกับธุดงควัตร

    การจาริกสมัยพุทธกาล คือ การที่พระสงฆ์เดินทางท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก ค่ำที่ไหนก็ปักกลดนอนที่นั่น เป็นการจาริกตามปกติของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา มีจุดประสงค์หลักเพื่อโปรดสัตว์ ดังพุทธดำรัสในการส่งพระสาวกรุ่นแรกไปประกาศสัจธรรมว่า

    "ภิกษุทั้ง หลาย พวกเธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก อย่าไปทางเดียวกันสองรูป พวกเธอจงแสดงธรรมให้งดงามในเบื้องต้น จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถะพร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้น เชิง"

    แต่การจาริกเช่นนี้ ต้องมีกำหนดระยะเวลา พระพุทธองค์ทรงอนุญาตเฉพาะ 8 เดือน นอกฤดูฝนเท่านั้น

    ธุดงควัตร อันเป็นข้อปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลสที่พระพุทธองค์ตรัสไว้มี 13 อย่าง ดังนี้

    1.ปัง สุกูลิกังคะ ถือการใช้ผ้าบังสุกุล ไม่ใช้ผ้าสำเร็จรูปที่มีผู้ถวาย
    2.เตจีวริกังคะ ถือการใช้เพียงผ้าไตรจีวร พระภิกษุผู้ถือธุดงค์ข้อนี้ จะใช้เพียงผ้าไตรจีวร
    3 ที่อธิษฐานเท่านั้น 3.ปิณฑปาติกังคะ ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นประจำไม่รับกิจนิมนต์ ฉันอาหารจากบิณฑบาตเพียงอย่างเดียว
    4.สปทานจาริกังคะ ถือการบิณฑบาตไปตามลำดับบ้าน ไม่ข้ามไปบ้านนั้นบ้านนี้
    5.เอกาสนิกังคะ ถือการฉันมื้อเดียว บางครั้งเรียกว่าฉันบนอาสนะเดียว คือ นั่งแล้วก็จะฉันไปจนอิ่ม เมื่อลุกแล้วจะไม่ฉันอีก เลยในวันนั้น
    6.ปัตตปิณฑิกังคะ ถือการฉันเฉพาะในบาตร ไม่ฉันในสำรับที่เขาจัดถวาย
    7.ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ถือการลงมือฉันแล้วไม่รับเพิ่มอีก
    8.อารัญญิกังคะ ถือการอยู่ป่า
    9.รุกขมูลิกังคะ ถือการอยู่โคนต้นไม้
    10.อัพโภกาสิกังคะ ถือการอยู่กลางแจ้ง
    11.โสสานิกังคะ ถือการอยู่ป่าช้า
    12.ยถาสันถติกังคะ ถือการอยู่แต่ในที่ที่เขาจัดให้
    13.เนสัชชิกังคะ ถือการนั่งไม่นอน

    ทั้งนี้ ธุดงค์นั้นไม่ใช่กิจจำเป็น ตามแต่พระภิกษุรูปใดจะสมัครใจถือปฏิบัติเท่านั้น

    บทความดีๆ ข้อคิด ข้อความดีๆ

    คอลัมน์ ศาลาวัด
    วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7331 ข่าวสดรายวัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กันยายน 2016
  3. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +2,040
    สาธุครับ จาริก ปกติ ต้อง ถือคู่กับเดินธุดงค์ครับ

    มันเลยเรียกกันติดปาก ว่า การเดินธุดงค์

    เเต่อันที่ จริง ธุดงค์วัตร ไม่ต้องออกจาริก อยู่วัดก็ทำได้ครับ

    เเต่การที่เราจาริก อาจทำให้เรามีโอกาสถือข้อวัตรธุดงค์ ข้ออื่นๆได้ เช่นการอยู่ป่า

    อยู่ตามโคนไม้ หรือป่าช้า
     
  4. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ทำไมมันยากเย็นแสนเข๊ญแบบนี้ล่ะครับ:':)':)'(
    (ผมกลัวทากมากๆเลยครับ):':)':)'(
     
  5. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +2,040
    อันนี้เป็นรูปเท้าของ โยมที่ไปเดินด้วยกันครับ

    จากภาพมันกำลัง ดูดเลือดจากเเผลเก่า เนื่องจากมันดูดง่าย

    หรือ บางท่าน ทากอาจเข้าไปในท่อปัสสาวะเลยก็มีครับ เพราะพวกนี้เวลามันเกาะ

    เราจะไม่รู้สึกตัวเลยครับ
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    บทสวด หรือ พระปริตร ที่ทางครูบาอาจารย์ของท่านเจ้าของกระทู้ ท่านให้สวดประจำในช่วงเดินป่าสมาทานธุดงควัตร มีบทไหนบ้างครับ
     
  7. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ท่านอย่าบรรยายมากครับ ผมใจไม่ดี:':)':)'(
     
  8. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    จากการที่ได้ติดตามอ่านมาตลอดสามหน้า ผมมีความคิดว่า ผู้ชายอย่างเราๆที่เลือกเส้นทางสายนี้
    อย่างน้อยครั้งนึงในชีวิต น่าจะมีการธุดงควัตรนะครับ

    (ผมเคยอ่านประวัติของหลวงปู่ชอบมาอ่ะคับ)
     
  9. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +2,040
    อาจารย์ชอบสวด มหาสมัยสูตรครับ
     
  10. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +2,040
    [​IMG]

    พระก็เจอผีหลอกได้

    การที่ได้บวชอยู่วัดป่าก็ใช่ว่าจะหนี เรื่องผีสางไปซะได้ ขนาดพระบางองค์ยังโดนผีเเกล้ง

    หรือโดนผีสิงเลยก็มี เเต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นพระบวชใหม่ ที่มักโดนผีหลอก พระอาจารย์ท่านพูดว่า

    ใครที่ทำผิดศีลระวังตัวไว้ให้ดีวัดนี้ เทวดาเขาไม่ธรรมดานะ โดยเฉพาะงานกฐินได้มีการเดินทางไปตามวัดสาขาต่างๆ

    เพื่อช่วยงานกฐิน กว่า 20 สาขา ใน 20 สาขา ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยนที่สุด ก็คือวัดสาขาใกล้ๆบ้านผมนั่นเอง

    มีคนเฒ่าคนเเก่เล่ามาว่าเป็น ที่พักของการเดินทัพของพยาพิชัยในครั้งโบราณ (วัดนี้อยู่ที่อุตรดิตถ์เเละเป็นวัดเก่าของพระอาจารย์ยันตระ)

    ภูมิศาสตร์เป็นพื้นที่ราบ ติดกับเเม่น้ำน่าน คิดว่าน่าจะเป็นที่พักของทหารครั้งพระเจ้าตากที่เดินทางมาตีเจ้าฝาง

    มีต้นไทรต้นใหญ่พอสมควรตั้งอยู่หลังวัด พระเถระหลายรูปมาพัก ก็บอกว่ามีวิญญาณ ผู้หญิงอยู่

    โดยเฉพาะที่ กุฏิเเดง ของวัดนี้ที่ติดกับต้นไทร เคยมีพระถูกฉุดลากลงจากเตียงด้วย หรือบางครั้งโยมวัดก็เห็น

    คนคอขาดเดินอยู่ ตอนกลางคืนมีคนเคาะประตูไม่ให้หลับ เเละในงานกฐินนั้นเอง ผมได้คุยเรื่องสมาธิกับพระรูปหนึ่ง

    ท่านเป็นพระบวชใหม่ ก่อนบวชท่านเรียนอยู่ต่างประเทศ คุยกันจนถูกอัธยาศัยดี พอตื่นเช้ารุ่งขึ้นมาในอีกวันหนึ่ง ท่านมาบอกผมว่า

    มีเงาดำมากดที่ตัวท่านตอนที่กำลังนอน ซึ่งในวันนั้นหลวงพ่อกัณหา ท่านพักที่วัดพอดี ผมเลยพาไปกราบหลวงพ่อที่กุฏิ

    ตอนนั้นโยมเยอะมากต้องนั่งรอสักพักหนึ่งถึงจะได้เข้ากราบหลวงพ่อ พอหลวงพ่อเห็นหน้าเเล้วท่านก็ยิ้ม

    เเล้วท่านก็พยักหน้า "เป็นนัยยะ เหมือนกำลังจะถามว่ามีอะไร"

    พระใหม่จึงตอบว่า "เมื่อคืนตอนจำวัด มีเงาดำๆมากดผมจะลุกขึ้นก็ไม่ได้ครับ"

    หลวงพ่อถามว่า "ทำผิดอะไรรึเปล่า?"

    พระใหม่ได้ตอบ ท่านว่า "ไม่นะครับ"

    เเล้วหลวงพ่อก็หัวเราะ เเบบกำมือไว้ที่คาง ก็พยักหน้ามาหาผม "เออ..ทำไมเณรไม่เห็นโดนหลอก เนอะ!!"

    จากนั้นหลวงพ่อก็หันไปหาพระอุปัฏฐากเหมือนจะสั่งอะไรสักอย่าง โดยทำมือชี้ขึ้นไปข้างบนกุฏิ พระอุปัฏฐาก ก็รีบขึ้นไปข้างบน

    สักพักก็นำสิ่งของบางอย่างมากลับให้หลวงพ่อ เเล้วหลวงพ่อก็พูดขึ้นมาว่า มานี่ เเล้วก็ยื่นพระให้ ผมกับ พระใหม่ คนละองค์ เเล้วผมก็ได้กราบลาหลวงพ่อ

    ก่อนไปหลวงพ่อเอ่ยเป็นเชิงตลกให้กับพระใหม่ว่า หูนี่ไปเย็บติดกันได้รึเปล่า (ท่านเคยเจาะหูเเบบรูใหญ่) เเล้วท่านก็หัวเราะ..เเล้วจึงหันไปคุยกับโยมต่อ


    [​IMG]


    ตอนเเรกว่าจะไม่เล่าต่อละครับ เเต่คิดว่าอาจจะมีคนที่สนใจการจาริกธุดงค์ในภายภาคหน้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2016
  11. Apollo14

    Apollo14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +199
    ตามด้วยคนครับ เล่าแบบลึก ๆ บ้างก็ได้นะครับ เป็นประโยชน์ดีมากครับ
     
  12. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    สาธุครับ เราเคยบวชอยู่แปดปี

    ก็เดินทางตลอด ไปทั่วประเทศไทย
    (นั้งรถบ้าง เดินบ้าง ตามระยะทาง จุดหมายที่ไป)

    ทั้งวัดบ้าน วัดป่า สำนักต่างๆ

    ค่ำที่ไหนนอนที่นั่น ไปทำธุระบางอย่าง...

    เสียดาย ไม่ได้เดินธุดงธ์ ตั้งใจไว้แล้ว
    จะไปเดินที่กาญจนบุรี
    แต่ก็หมดโอกาสไป น่าเสียดายจริงๆ...
     
  13. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    พี่มารฯบวช8ปีแล้วหรอคับ?:eek:
    ปล.บวชนานขนาดนั้น ไม่น่าจะสึกออกมาแล้วนะครับผม:'(
     
  14. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ครับ ไม่น่าสึกครับ แพ้กิเลสเจ้าของ...
     
  15. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    เมื่อเราคุ้นเคยกับสิ่งใด
    เราก็จะไม่มีปัญหากับสิ่งนั้น
    เมื่อเรารู้จักกิเลสเป็นอย่างดี
    เรากับเค้าก็คือหนึ่งเดียวกัน
    เมื่อเราคุ้นเคยกัน...
    เรื่องทำความเข้าใจกันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
    (ผมเปรียบเทียบกิเลสกับผมครับ):d

    ให้กำลังใจทุกๆท่านนะครับผม สู้ๆchearr
     
  16. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +2,040
    [​IMG]

    เกือบตกหน้าผา

    ก่อนเข้าป่าพระอาจารย์ถามพระที่จะไปด้วยเสมอ พวกท่านพร้อมที่จะตายไหม?

    การเข้าป่าทุกครั้ง คุณมีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ ถ้าคุณไม่กลัวตายก็ไปได้

    ถ้ากลัวตายก็อยู่วัดเสีย ไม่ได้บังคับ เเต่สำหรับผม มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

    การเข้าป่าเป็นหมู่คณะ สิ่งที่จะขาดไม่ได้คือสามเณร หรือโยม ติดตาม เพราะ

    เป็นคนที่ช่วยพระภิกษุในหลายๆเรื่องๆ ไม่ว่าจะหุงหาอาหาร เคลียร์ทาง ฟันหนาม

    ฟันกิ่งไม้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีปรากฏในศีลของภิกษุ เเต่อนุสัมปัน หรือ สามเณรมิได้

    มีข้อห้ามละเอียดถึงขนาดนั้น เเต่อันที่จริงการเดินธุดงค์ในป่านั้นเป็นสิ่งที่ผม

    ชื่นชอบอยู่เเล้วจึงไม่มีปัญหาอะไร พระทุกรูปเมื่อเข้าป่า ล้วนเจออันตรายต่างๆ ที่เเตกต่างกันไป

    ไม่ว่าจะสิงสาราสัตว์ ข้ามห้วย ล่องเเพ ทุกอย่างในป่าสงวนล้วนเเต่เป็นอันตรายทุกย่างก้าว (ที่ๆธรรมชาติยังไม่ถูกบุกรุก)

    ปล.ห้วยขาเเข้งมรดกโลกห้ามคนนอกเข้าเด็ดขาด *พระก็ห้ามเข้าถ้าไม่มีใบอนุญาติ

    ถ้ากรมป่าไม้เจอพวกนายพรานเข้ามาล่าสัตว์จะยิงทิ้งทันที!!

    เเต่ในที่นี่จะเล่าถึงในส่วนของผมที่เคย ประสบอันตรายทีเกือบถึงชีวิตมาหลายครั้ง

    เเต่ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเเต่อย่างใด ครั้งนั้น เมื่อ ผมได้ไปเดินธุดงค์ ที่ภูวัวในช่วง

    ก่อนเข้าพรรษาไม่กี่วัน เริ่มมีฝนตก เเต่คิดไม่ถึงว่าที่ภูวัวจะตกทุกวัน ไป 7 วันตก7วัน

    เเละน้ำท่วม 7 วันเช่นเดียว จะเรียกว่าน้ำท่วมอาจจะไม่ถูก มันน่าจะเป็นน้ำป่า

    ภูวัว เป็นชัยภูมิ พื้นที่เขาหิน ทรายมีที่ราบที่ลุ่มสลับกันไป กลางวันจะร้อนอบอ้าว

    เเต่กลางคืนก็ยังคงมีความอุ่นไม่หนาว เป็นเพราะกลางวันภูเขาที่เป็นหินได้กักเก็บความร้อนเอาไว้

    ประมาณวันที่ 4 ของการเดินในภูวัว ได้ไปถึง สถานที่ๆเรียกว่า โบกี้รถไฟ ที่มาของชื่อนี่

    คงจะมาจาก เหล่าก้อนหินที่มีลักษณะ 4 เหลี่ยม ดูสูง ประมาณ 3 เมตรครึ่ง

    ตั้งเรียงรายเป็นเเถวกลางลำห้วย ดูประหนึ่งคล้ายรถไฟ

    ผมได้พักบริเวณชั้นล่างคือพักข้างห้วย ที่มีหินตั้งระหว่างกลางนั่นเอง

    ส่วนพระอาจารย์เเละพระบางส่วนได้พักชั้นบน ซึ่งเป็นผาสูงขึ้นไปอีกนิด

    เมื่อตอนกลางคืนทำกิจ สวดมนต์นั่งสมาธิเเผ่เมตตาเสร็จก็ล้มตัวลงนอน

    หลับได้ซักพักหนึ่งก็ฝันว่าน้ำท่วม ก็เลยตื่นขึ้นมาปรากฏว่าน้ำเพิ่มจากเดิมมานิดหน่อย

    เเต่เกิดมาผมก็ไม่เคยเจอน้ำป่าเลย ชะล่าใจ เเต่กระนั้นก็ไม่ประมาท ความฝันนั้นอาจจะมาเตือนก็ได้

    ก็เลยเก็บของบริขารทั้งหมดในถุงดำ (ถุงขยะใบใหญ่มีประโยชน์มากเวลาเข้าป่า)

    เเล้วเอาวางไว้เหนือหัว เหลือไว้เพียงเเต่ ผ้าใบปูนอน เท่านั้น จากนั้นผมก็หลับต่อ

    สักพักหนึ่งได้ยินเสียงน้ำไหล นึกในใจขึ้นมาว่า "เห้ยอะไรว่ะ!!?"

    สักพักเริ่มมีน้ำไหลมาท่วมถึงที่นอน จนกระทั่ง ... มีน้ำระลอกใหญ่พุ่งเข้ามา

    ผมไม่ทันเก็บผ้าปูนอน เเม้กระทั่งรองเท้าก็ยังไม่ใส่ รีบวิ่งไปหยิบถุงดำที่ใส่บริขารไว้

    เเล้วรีบปืนขึ้นก้อนหิน เเต่ด้วยความที่ฝนตกเเละ ผมถือบริขารไว้อีกข้างหนึ่ง (รวมเสบียง)ไม่ต่ำกว่า 15 กิโล

    หินที่ผมกำลังปืนขึ้นไปนั้นมันลื่นมาก ผมมองดูน้ำข้างล่างไหลเชี่ยวกราก ลงไปนี่คงปลิวไปตามสายน้ำเเน่ๆ

    มือของผมไม่สามารถยึดกับก้อนหินนั้นได้ค่อยๆลื่นลงมา จนในที่สุดพยายาม

    ตั้งใจบริกรรมคาถา "หนุมานะๆๆๆ" เเบบ รัวๆ จนร่างกายขนลุกชูชัน เเละมีความหึกเหิมทั้งกายเเละใจ เป็นอย่างมาก

    ปืนขึ้นก้อนหินก้อนนั้นได้อย่างคล่องเเคลว ทั้งๆ ที่ตอนเเรก มือมันลื่นไม่

    สามารถเกาะก้อนหินใหญ่ที่ทั้งลาดชันเเละเปียกๆไวได้ เเละอีกทั้งมือหนึ่งยังถือบริขารอีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2016
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขออนุญาตมาเล่าอะไรบ้างเล็กน้อย
    นึกถึงครูบาร์อาจารย์แต่ละท่าน
    ที่ท่านไปเดี่ยว กำลังจิตและ
    อะไรต่างๆท่านคงไม่ธรรมดา..
    อย่างเราๆแทบไม่ได้เศษเสี้ยวของท่านเลย
    แม้ว่าส่วนตัวจะชอบไปเดินเล่นป่าช้าดึกๆคนเดียว
    หรือเข้าไปสถานที่ๆมีคนล่ำลือว่าผีดุมากก็ตาม
    แต่มันก็ไม่ได้เหมือนท่านๆที่พบเจอแบบสัมผัสเนื้อ
    หนังมังสากันเลยทีเดียว เอาไปเทียบ
    อะไรกับท่านเหล่านั้นแล้วคนละฟ้ากันเลย...

    ที่ยังมีชีวิตอยู่และได้พบมา ๓ ท่าน
    ก็เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้วทุกท่าน
    นึกไม่ออกจริงๆถ้าเป็นตัวเองเข้าไปเนี่ย
    คงบอกที่บ้าน ให้เตรียมขึ้นชื่อป้าย
    ว่าสาบสูญไว้รอเลย
    ได้ยินเรื่องเล่า จากศิษย์เอก ท่านหนึ่งที่เคารพ
    ท่านเล่าให้ฟังว่า เรื่องสมาธิ เรื่องวิชาต่างๆ
    ก็ควรมีเป็นพื้นฐาน รวมทั้งเรื่องความรู้เกี่ยวกับ
    ธรรมชาติของป่าที่เกี่ยวกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ควรมี
    ตลอดจนเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรต่างๆก็ควรมี
    และความรู้ในเรื่องเหนือธรรมชาติบางอย่างก็ควรมี
    เช่น ปรอทที่มาเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง(ฟังมาจากพระจิตไวมีชื่อท่านหนึ่ง)
    หรือการเลือกตำแหน่งที่นอนระวังที่ๆมีปรอทอยู่ข้างล่าง.
    การถูกบังตาต่างๆ(เคยเจอที่บางท่านนอนเสียชีวิตเพราะขาดน้ำ
    ทั้งๆที่สายน้ำอยู่ห่างไปข้างหลังท่านไม่กี่เมตร)
    เรื่องนี้ส่วนตัวก็เคยมีประสบการณ์นะเรื่องบังตาเนี่ย..
    และการถูกทดสอบต่างๆแบบเห็นๆสัมผัสเนื้อจะๆ
    ที่รู้จักท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเจองูตัวเป็นๆตัวใหญ่
    เลื้อยมารัดตัว นอกจากเรื่องภพภูมิที่เจอนะ..
    ส่วนมากแล้ว มักจะเจอการทดสอบในเรื่อง
    การให้เกี่ยวกับเครื่องประดับอะไรต่างๆ(การทดสอบนะ)
    แต่การได้รับเครื่องหอมมาถวายนั้น
    ส่วนมากเกือบทุกท่านที่เคยเจอมักจะผ่านประสบการณ์ตรงนี้มา

    แต่ที่น่ากลัวส่วนตัวนะ ไม่ใช่เสือสมิงนะ
    เป็น ภูมิอสูรกายที่อยู่มาก่อนสมัยพุทธกาลและมีฤิทธิ์
    นี่ก็น่ากลัวเพราะว่า หลายๆท่านที่ว่าแน่ๆก็เสร็จมาแล้ว
    หมายถึงเสียชีวิตเลย..
    ยังมีอีกอย่างที่น่ากลัว คือ พรายช้างนะ น่ากลัว
    กว่าเสือสมิงบ้าง นี่ศิษย์ท่านที่นับถือเล่าให้ฟังมานะ..

    แต่ถ้าถามว่า ส่วนตัวมีประสบการณ์เรื่องนี้ไหมบอกได้เลย
    ว่าแทบไม่มี และยังไม่มีความคิดเรื่องนี้ ณ เวลานี้..
    อาจจะเป็นก็เพราะว่าส่วนหนึ่งมีโอกาสได้พบเห็นท่าน
    ต่างๆด้วยตาเปล่า ณ ที่ๆตนเองอยู่ก็เป็นได้
    ซึ่งก็มาสอนมาแนะนำวิชาต่างๆให้
    รวมทั้งควบคุมความประพฤติ
    หากช่วงไหนเปรี้ยวหน่อยก็โดนดึงเข้าป่าเช่นกัน..
    แต่คงไม่สามารถออกสื่อได้ว่าเป็นท่านใดได้
    เลยไม่รู้ว่า จะต้องเข้าไปป่าเพื่อแสวงหาทำไมก็เป็นได้(ส่วนตัวนะ)
    มีครั้งเดียวที่ไปนอนกรนคร๊อกๆในถ้ำแห่งหนึ่ง
    ที่นั้นก็เอา พระขรรค์เหล็กไหลสีเงินยวงมาให้ดู
    บอกว่าอยู่ตรงนี้ เหมือนจะยกให้
    แต่ก็อย่างว่าหละ ไม่ได้สนใจอีกนั่นหละ..
    เพราะคิดว่า แม้ว่ามันเคยเป็นของเรามาก่อน
    แต่ว่า มันไม่ใช่ของที่เป็นเจ้าของ ณ กายปัจจุบันนี้
    เลยคิดว่า ปล่อยๆทิ้งไปเหอะ เรื่องของอดีตไปแล้ว
    ประมาณนี้หละ(^_^)

     
  18. Supop

    Supop เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,154
    ข้าพเจ้าขออนุโมทนากับคุณ dota ด้วยครับ

    พออ่านมาถึงตอนที่บริกรรม หนุมานะ แบบรัวๆ ก็เลยจะขอร่วมเสวนาสักเล็กน้อย

    นี่เปนวิธีที่ทำให้จิตเป็นสมาธิได้เร็ววิธีหนึ่ง ส่วนคำบริกรรมนั้น เป็นการทำให้จิตเป็นสิ่งนั้น จิตก็จะมีกำลังแบบสิ่งที่เรายึดไว้

    คุณ dota คงจะเคยมีใครสอนเรื่องนี้มาบ้าง หรือไม่ครับ หรือเป็นไปโดยอัตโนมัติ หรือเคยอ่านเจอมา

    วิชานี้สามารถต่อยอดไปได้จนถึงทำให้มีฤทธิ์ได้ แต่อันตรายมาก ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ และไม่มีสัมมาทิษฐิเป็นฐานแล้ว อาจถึงตายหรือเป็นบ้าได้ เช่นที่ข้าพเจ้าเคยประสบมา (ผู้ที่มาแกล้งข้าพเจ้า ได้มีการมาขออโหสิกรรมกับข้าพเจ้าแล้วในภายหลัง และเขาก็ไปตามภพภูมิของเขาแล้ว)

    ส่วนเรื่องเทวดาที่ชอบมาทดสอบโดยการแกล้งต่างๆนาๆ สมัยที่ข้าพเจ้าออกธุดงค์กับหมู่คณะ มักไม่ค่อยประสบเท่าไหร่ จะมีแต่ที่มาคอยเฝ้าคุ้มครองกับอำนวยความสะดวกซะมากกว่า อย่างเช่น มาเดินเฝ้ารอบกลด หรือต้องการจะไปที่ใดแล้วมีเหตุขัดข้อง ก็จะผ่านไปได้ หรือมาบอกมาสอนธรรมบางอย่าง

    ส่วนผี ส่วนใหญ่จะเจอแต่มาขอให้ช่วย

    อาจจะยังมีบารมีไม่ถึงพอให้เทวดาทดสอบกระมัง

    สุดท้ายนี้ขออย่าได้เชื่อถือหรือยึดมั่นในสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปเลย

    ขออนุโมทนาครับ
     
  19. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +2,040
    ขอขอบคุณครับที่มาร่วมเเชร์ประสบการณ์

    ในส่วนของ ของการบริกรรมคาถา ผมไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ครับ

    ที่ทราบมา ส่วนใหญ่จากอ่านอ่านตำรา เเละ คุณตาได้สอนมานิดหน่อยครับ

    พวกคาถา ถ้ากำหนดจิตไม่ทันถึงจะใช้ครับ กำลังจิตขั้นนี้มีลักษณะคล้ายกับเราเพ่งเวทนากายที่ปวดที่สุดจนเเตกอ่ะครับ
     
  20. Jera

    Jera เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +2,040
    [​IMG]

    เกือบตกหน้าผา 2

    เมื่อผมปีนมาถึงบนสุดของก้อนหินยักษ์ รูปทรงสี่เหลี่ยมเเล้ว ผมได้มองไปรอบตัวๆ

    เห็นระลอกน้ำที่ไหลเชียวดังกระหึ่มอยู่ด้านล่าง เเละเสียงพระที่กำลังช่วยกันเก็บข้าวของกันยกใหญ่

    ผมติดอยู่กลางเกาะเสียเเล้ว ลงไปไหนก็ไม่ได้ ณ เวลานั้น ประมาณตี 3 ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง

    ผมก็ได้เเต่นั่นภาวนาตากฝนบนก้อนหินนั้นไป จนถึงเวลาประมาณตี 5 พระอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า ทำให้เห็นทัศนวิสัยชัดขึ้น

    พระทุกองค์ ก็ถามไถ่กันว่ายังอยู่ดีกันไหม ปรากฏว่ายังอยู่ครบทุกองค์ เเต่มีบริขารบางส่วนถูกน้ำพัดไป

    ไม่ว่าจะบาตร บริขาร รองเท้า หรือ เเม้เเต่เสบียง ประมาณช่วง 6 โมงเช้า น้ำค่อยๆลดลง

    จนสามารถข้ามกระโดดไปมาระหว่าง โขดหินได้ ซึ่งในเวลานั้นก็เป็นเวลาที่ผมต้องนำเสบียงไปเเจก

    ส่วนเสบียงที่อยู่กับโยมที่มาด้วยก็ปลิวไปกับน้ำเสียเเล้ว ซึ่งผมจะต้องนำไปถวายพระอาจารย์องค์เเรก

    ซึ่งพระอาจารย์พักอยู่ด้านบน เนื่องจากทางขึ้นปกติยังมีน้ำไหลเชียวอยู่ ก็เหลือเเค่ทางเดียวคือกระโดดข้ามหน้าผา

    จากตอนนั้นผมคิดว่าสามารถกระโดดข้ามได้ เเต่ไม่คิดว่าจะพลาดได้ คือเมื่อผมจะกระโดดข้ามไปอีกฟากหนึ่ง

    เท้าได้ลื่น มืออีกข้างก็กำถุงเสบียงในตอนนั้นที่ลื่นผมยังจับขอบหินไว้ได้ทัน

    เเต่ไม่มีกำลังที่ยกตัวให้ลอยขึ้นมาได้ มองไปด้านล่างมีกระเเสน้ำจำนวนมากไหลเข้าไปในซอกหิน

    ความสูงจากขอบผาประมาณ 7 เมตรถ้าร่วงลงไปคงขาหักเเละถูกนำพัดไปเเน่ๆ ผมมองไปข้างหน้า

    เห็นหลวงพี่องค์หนึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ห่างไปประมาณ 10 เมตร ผมได้ส่งเสียงตะโกนเรียกท่าน

    ด้วยกระเเสน้ำด้านล่างที่ไหลเสียงดังกระหึ่ม ดูเหมือนจะกลบเสียงของผมไปหมด

    เเละอีกทั้งดูเหมือนท่านกำลังนั่งสัปหงกด้วย ผมพยายามเรียกให้ช่วยหลายครั้ง

    ผมจึงหยุดเรียกเพราะตอนนั้นร่างกายเริ่มจะเกาะไม่ไหวเเล้ว มืออีกข้างกำถุงเสบียงไว้

    มือผมค่อยๆล้า ระหว่างนั่นจิตดูเหมือนไม่ได้กลัวตื่นตระหนกเหมือนตอนเเรก มีสภาวะปลงๆ

    ระหว่างที่ผมกำลังจะไม่ไหวเเล้วนั่นเองหลวงพี่ท่านก็ได้ลืมตามาพอดี ผมตะโกนเรียกท่านอีกท่าน

    ท่านทำสีหน้าตกใจ พร้อมรีบวิ่งมาที่ผม เเละเรียกพระอีกองค์ที่อยู่ใกล้มาช่วยยกตัวผมขึ้น

    หลังจากขึ้นมาก็นั่งพักสักเเปปหนึ่ง เเล้วจึงได้นำไปถวายอาหารพระอาจารย์ รวมถึงพระที่พักอยู่ในเเถบนั้น

    จากประสบการณ์ในครั้งนั้น ผมจึงพยายามฝึกจิตอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทำจิตให้เหนือกาย

    บางครั้ง ก็ได้ลองวิชา โดยการน้อมจิตให้เกิดกำลัง เเล้วไปลองงัดข้อ กับหลวงพี่ที่เป็นทหาร

    ผมเป็นคนที่ตัวผอม เเต่ก็ สามารถงัดข้อชนะคนที่มีกล้ามเนื้อมากกว่า หรือคนตัวใหญ่ๆได้ในตอนนั้น







     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...