เชื่อหรือไม่เราเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานในจักรวาลนี้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย กลายแก้ว, 1 ตุลาคม 2013.

  1. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    สงสัยท่านเจ้าของกระทู้จะกลับบัลลังค์ที่พำนักแล้วกระมังนะจ๊ะนะจ๊ะ
     
  2. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    อนุโมทนาอย่างยิ่ง คุณวงกลมจุด



    โลกตามความหมายของพระพุทธศาสนา คือ โลกนี้คือ โลกธาตุ ที่เกิดจากเงื่อนไขเหตุปัจจัยตามธรรมชาติที่มีการปรุงแต่งขึ้นมา รวมเรียกสิ่งทั้งหลายว่า สังขาร สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารคือร่างกาย จิตใจ และรูปธรรม นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารคือร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นทุกข์ทนยาก เพราะเกิดขึ้นแล้ว แก่ เจ็บ ตายไป สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขาร และ มิใช่สังขารทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเราว่าของเรา ว่าตัวตนของเรา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ไตรลักษณ์ จึงเป็นคำสอนสูงสุดในพระพุทธศาสนา



    แรกเดิมจิตที่เป็นธาตุรู้ ที่มีตัวรู้ได้ในทุกสรรพสิ่ง คือสภาวะเดิมรู้ธรรมอมตะ คือรู้สภาวะนิพพาน หรือคุณสมบัติเดิม คือ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า จิตเดิมบริสุทธิ์ จิตเศร้าหมองเพราะมีกิเลส หมดกิเลส จิตก็บริสุทธิ์เหมือนเดิม เหมือนดังพระจันทร์วันเพ็ญ ที่มีหมอกมาปิดบัง เมฆผ่านไปดวงจันทร์ก็ใสสว่างเหมือนเดิม



    ทำไมจึงต้องเกิดขึ้นมีในโลกนี้ได้ โดยเริ่มต้นจากความไม่รู้ คือจิตปกคลุมด้วยความมืด ซึ่งอาจเป็นเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง เดิมจิตที่เป็นธาตุรู้มีความสว่างเมื่อถูกปิดบังด้วยความมืด คือหลงไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง จึงมีการปรุงแต่งขึ้นที่เรียกว่า สังขาร ถ้ามองในแนวของวิทยาศาสตร์ สสารและพลังงานในจักรวาลเป็นปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เป็นรูปธรรม นามธรรมต่าง ๆ แล้วเกิดเป็นตัวเป็นตน คือ จิตวิญญาณขึ้นมารองรับโมหะ หรือ ความหลง เมื่อจิตที่เป็นตัวรู้จึงต้องเรียนรู้พยามหาความแสงสว่าง ยิ่งเรียนรู้ยิ่งหลงยิ่งติดโลกหาทางออกไม่เจอ จนกว่าจะมีคนมาชี้ทางออกบอกทางให้ คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ว่าทำไมต้องเราต้องพัฒนาจิตวิญญาณทำลายอวิชชา ความหลง โดยการทำให้รู้แจ้งเกิดแสงสว่าง มีวิชชา ปัญญาเกิดขึ้นแก่ตน
     
  3. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายมนุษย์ สัตว์ และทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ในตามธรรมชาติ ที่เรารับรู้สัมผัสได้ ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย รวม ทั้งปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เราเห็นว่ามีอยู่จริง มันไม่ใช่ตัวตนของเรา มันเกิดจากการปรุงแต่งทางจิตเท่านั้น มันเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องดับสลายหายไปในที่สุด


    เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เราก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของกฎธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธศาสนาบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ตกอยู่ภายใต้ของกฎไตรลักษณ์ คือ ความทุกข์ ความแปรปรวนของทุกสิ่ง และการบังคับควบคุมสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะให้เป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการไม่ได้เลย เมื่อเราไม่รู้ความจริง เราจึงเกิดมีจากการกระทำ และจะต้องรับทุกข์ของผลจากการกระทำนั้น


    เป็นสิ่งเราต้องควรรู้ความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวตนของเรา จึงจะได้ศึกษาพระพุทธศาสนาได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพระพุทธองค์สอนให้ดับทุกข์เพื่ออะไร


    เมื่อมันไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ว่าร่างกาย หรือ จิตใจของเรานี้ จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แม้แต่ร่างกายของเราซึ่งระบบอวัยวะยังต้องทำงานตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลาเราหยุดนิ่ง ระบบเซลล์ต่าง ๆภายในร่างกายมีการเคลื่อนไหวมีการเกิดดับอยู่เสมอ เพราะ
    ๑. ทุกสรรพสิ่งมีการเกิดขึ้น
    ๒. ทุกสรรพสิ่งตั้งอยู่เพื่อดำรงอยู่
    ๓. ทุกสรรพสิ่งต้องเลื่อนไปสู่ความดับสลาย เพื่อนำไปสู่การเกิดขึ้นใหม่ตามเหตุและปัจจัย


    ซึ่งตรงกับกฎไตรลักษณ์ มันต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกฎธรรมชาติ ไม่มีใครมีอำนาจบังคับควบคุมได้ จึงเป็นคำสอนสูงสุดทางพระพุทธศาสนา
     
  4. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    แต่แรกที่เกิดมีสรรพสัตว์ล้วนใจถึงใจไม่มีอะไรปิดบังแต่เมื่อเริ่มมีการใช้ผัสสะเกิดขึ้นเกิดมีความชอบใจในการใช้ผัสสะโดยทางลิ้นเมื่อชอบแล้วเกิดความโลภอยากเสพเฉพาะตนเกิดการอยากปิดบังไม่อยากให้คนอื่นรู้ก็เลยปิดใจในส่วนที่ตนเองรู้เอาไว้ไม่ไห้คนอื่นรู้เห็นนี่คือที่มาของการเริ่มไม่บริสุทธิ์ของใจ
     
  5. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634

    จึงเรียกว่าอวิชชาปิดบังใจ ทำให้ต้องเกิดการกระทำ ใจจึงไม่บริสุทธิ์


    พระพุทธองค์ตรัสว่า เรามีกรรมเป็นของตน เรามีกรรมเป็นกำเนิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เรากรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราย่อมได้รับผลกรรมนั้น กรรม คือ การกระทำที่ต้องรับรับผล หรือได้รับอย่างแน่นอน ไม่รับผลทันที ก็ต้องได้รับผลข้างหน้าแน่นอน ไม่มีใครหนีพ้น

    กรรมเกิดจากการกระทำของเรา เพราะเรามีกิเลส โลภ โกรธ หลง จึงมีตัณหาความอยากได้ ไม่อยากได้ตามมา เราจึงมีการทำกรรมตามความอยากนั้น ก็ย่อมมีผล เรียกว่า วิบากกรรม ติดตามอยู่เสมอ เรียกว่า วนเวียนเป็นวัฎจักรสงสาร
     
  6. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ดังจะเห็นได้จากวงจรสมุปกิจบาทนั่นเองนะจ๊ะว่าผัสสะก่อให้เกิดความชอบไม่ชอบก็คือเวทนาสุขทุกข์ นั่นก็เกิดตัณหาโลภโทสะและอุปาทานอดีตอนาคตภพชาตินั่นเองจ้า
     
  7. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    เราเคยสงสัยไหมว่า เราเป็นใครมาจากไหน

    ทุกสรรพสิ่งในจักรวาล อย่างโลกเรานี้ ที่เราเห็นกันด้วยตา มี 2 อย่าง คือ

    1 รูปธรรมที่มีจิตวิญญาณมาถือครอง เช่น สิ่งที่มีชีวิต คือ มนุษย์ สัตว์ประเภทต่าง ๆ
    2 รูปธรรมที่ไม่มีจิตวิญญาณมาถือครอง เช่น สิ่งที่ไม่มีชีวิต คือ ทุกสรรพสิ่งในโลกที่ไม่มีชีวิต ธรรมชาติ วัตถุต่าง ๆ อาคาร บ้านเรือน เป็นต้น

    ธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เห็นอยู่ว่ามีจริง ความเป็นจริงที่มีอยู่ที่ทำให้เรารับรู้สัมผัสและมองเห็นได้จากประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์มันสะท้อนอยู่ในจิตใจของคนเราเมื่อเราสัมผัสมันได้ รวมทั้งชีวิตของเรา ...มาจากไหน....
     
  8. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ชีวิตมนุษย์คืออะไร

    มีองค์ประกอบ 2 ส่วน รวมกันเรียกว่า ร่างกาย และ จิตใจ

    1. รูปธรรม คือ สรีระร่างกาย หรือเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า ชีววิทยา หรือ กายภาพ หรือ รวมเรียกว่า ชีวภาพ
    2. นามธรรม คือ จิตใจ จิตสำนึก จิตวิญญาณ หรือ สิ่งที่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก นึกคิด

    สองส่วนนี้รวมกันเป็นร่างกายของมนุษย์ หรือ ขันธ์ 5 คือ รูป (รูปธรรม) เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (นามธรรม) โดยที่เราสามารถรับรู้ได้จากการที่เรามีชีวิตอยู่ เพราะเราทุกคนมีเหมือนกัน คือ

    2.1 เวทนา คือ ความรู้สึก สุข-ทุกข์ พอใจ-ไม่พอใจ ยินดี-ยินร้าย ความรู้สึกเฉย ๆ
    2.2 สัญญา คือ การจดจำได้หมายรู้ ถึงสิ่งที่ตนเองได้กระทำ หรือ ขณะกำลังกระทำอยู่ หรือ กระทำลงไปแล้ว
    2.3 สังขาร คือ ความนึกคิด ปรุงแต่งไปในเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
    2.4 วิญญาณ คือ การรับรู้ถึงเวทนาที่เกิดขึ้น รับรู้ถึงสัญญาที่เกิดขึ้น การรับรู้ถึงสังขารที่เกิดขึ้น หรือ การรับรู้ในอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

    รูปธรรม 1 นามธรรม 4 รวมเป็นกองขันธ์ 5 ที่เรียกว่า ร่างกาย และจิตใจ รวมเป็นชีวิตมนุษย์
     
  9. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    รูปธรรม


    ในเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ มีธาตุจำนวนมากมายที่สรุปได้ ธาตุทางเคมี คือ สารบริสุทธิ์ซึ่งประกอบด้วยอะตอมเชื่อกันว่าธาตุทางเคมีเกิดจากกระบวนการของเอกภพหลายอย่างที่เกิดระหว่างการกำเนิด Big Bang และปฏิกิริยาเป็นเสียงของรังสีคอสมิก รังสีคอสมิก คือ อนุภาคพลังงานสูงสุดจากอวกาศที่เกิดจากธาตุชนิดเดียวกัน ทำให้เกิดจักรวาลดาราจักรทางช้างเผือก โลก ดวงดาว นิวตรอน หลุมดำ และดวงอาทิตย์ โดยธาตุหลักพื้นฐาน มี 4 ชนิด คือ 1.ธาตุน้ำ 2.ธาตุดิน 3.ธาตุลม 4.ธาตุไฟ


    สรีระร่างกายของมนุษย์ ประกอบด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ที่มีประสาทสัมผัส เป็นลักษณะชีววิทยาบ่งบอกการเป็นมนุษย์ คือ ลักษณะ กายภาพ และชีวภาพ ซึ่งมีโครงสร้างซับซ้อน โดยเริ่มจากโครงสร้างทุกระดับรวมกันเรียกว่า ระบบอวัยวะ ระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายล้วนเป็นที่น่าพิศวง โดยธรรมชาติได้มีการจัดระบบต่าง ๆ ขึ้นมาอย่างมีระเบียบ ได้แก่ระบบห่อหุ้มร่างกาย ระบบโครงกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท ระบบลมหายใจ ระบบต่อมไร้ท่อ ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบขับถ่าย ระบบสืบพันธ์ มีการทำงานประสานกันโดยอัตโนมัติ ระบบร่างกายที่ทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่าลักษณะกายภาพ ชีววิทยา ที่มีอวัยวะน้อยใหญ่ ที่มีประสาทสัมผัส แต่ทางพุทธศาสนา เรียกว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นคือ การรวมตัวของธาตุทั้งสี่ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ รวมกันเป็นร่างกายมนุษย์ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า โลกนี้ คือ โลกธาตุ ร่างกายของมนุษย์ และ สัตว์ ทุกสรรพสิ่ง เกิดมาจากการรวมตัวของธาตุทั้ง 4 คือ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ หรือเรียกว่า มหาภูตรูป 4


    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ร่างกายคือ มหาภูตรูป 4 ที่ประกอบด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ส่วนประกอบร่างกาย เช่น
    1. ธาตุดิน มีสถานะ เป็นของแข็ง เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
    2. ธาตุน้ำ มีสถานะ เป็นของเหลว เช่น เลือด เสลด หนอง น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำเมือก น้ำลื่นหล่อข้อ
    3. ธาตุลม มีสถานะเป็นก๊าซ เช่น ลมหายใจ
    4. ธาตุไฟ มีมีสถานะ เป็นพลังงาน เช่นความร้อนต่าง ๆ ในร่างกาย
    แต่ในทางพุทธศาสนาเพิ่มมาอีก 2 ธาตุ
    5.อากาศธาตุ (ธาตุว่าง) คือ อากาศ หรือที่ว่าง
    6.วิญญาณธาตุ คือ ธาตุรู้


    โดยมีอุปาทายรูป 24 ที่ปรุงแต่งธาตุทั้ง 4 ข้างต้นให้เป็นร่างกายที่ระบบชีววิทยาประกอบด้วยระบบต่างๆในร่างกาย รูปร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ไม่ว่าจะเป็นร่างกายมนุษย์ สัตว์ และทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ในตามธรรมชาติ ที่เรารับรู้สัมผัสได้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย รวมทั้งปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เราเห็นว่ามีอยู่จริง ที่เราสามารถมองเห็นสัมผัสได้ นั้น ไม่ใช่ตัวตนของเรา และทางวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ร่างกายของเรานี้เป็นสสารและพลังงาน
     
  10. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    สัพเพธัมมาอนัตตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นสังขารและมิใช่สังขารทั้งหมดทั้งสิ้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าตัวตนของเรา เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่งของธรรมชาติ(การรวมตัวของธาตุ ตามเหตุตามปัจจัยที่มีอยู่) จึงมีการปรุงแต่งเกิดขึ้นของรูปนาม หากจะมองเปรียบเทียบแล้ว ทางพระพุทธศาสนากล่าวเรียกว่าสิ่งทั้งที่เกิดขึ้น เพราะมีการปรุงแต่ง พระพุทธศาสนาเรียกว่า สิ่งทั้งหลายว่า “สังขาร” แต่ถ้าให้มองเปรียบเทียบเพื่อมองให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นในปัจจุบันนี้ที ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า “สสาร” เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ประกอบกันรวมตัวกันด้วยธาตุต่าง ๆ จึงออกมาเป็นวัตถุสิ่งของ หรือแม้กระทั่งตัวเราก็เป็นสสาร ส่วนอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นการเคลื่อนที่ได้ ทางวิทยาศาสตร์ให้คำจำกัดความว่าเป็นพลังงาน ทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า “วิญญาณ” เพราะอะไร?
     
  11. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    สสารมี 3 สถานะ ของแข็ง คือ ธาตุดิน ของเหลว คือ ธาตุน้ำ ก๊าซ คือ ธาตุลม ส่วน คลื่นพลังงาน ทางพุทธศาสนาเรียกคลื่นพลังว่า “วิญญาณ”

    กรณีเช่น ก้อนดินเป็นสสารที่ไม่มีชีวิต เพราะไม่มีจิตวิญญาณมาถือครอง แต่มี วิญญาณ หรือ พลังงานเร้นอยู่ข้างใน ช่วยกันเหนี่ยวรั้งอนุภาคชิ้นเล็ก ๆ ทุกชิ้นที่เป็นตัวตนมิติทางกายภาพของก้อนนั้นไว้อย่างเหนียวแน่นมั่นคง เราจึงมองเห็นเป็นก้อนดินได้ ส่วนจิตวิญญาณ นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า เป็นคลื่นพลังงานจิต อยู่ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กที่มีผลึกแห่งการคิดรู้ มนุษย์และสัตว์จึงเป็นสสารที่มีชีวิต เพราะมีจิตวิญญาณมาถือครอง



    การเกิดของสิ่งต่าง ๆ ก็เกิดจากธาตุต่าง ๆ มาประกอบกัน มีสภาพเป็น 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ ก็คือ นำธาตุเคมีต่าง ๆ ในโลกนี้ มาแปรต่าง ๆ ที่ทำให้ประกอบเป็นวัตถุ สิ่งของ หรือ รูปธรรม นั่นเอง ที่เราเรียกว่า การประกอบ หรือ การสร้างขึ้นมา ถ้าทางการผลิตเรียกว่า “การประกอบการ” ที่ประกันเป็น เสื้อผ้า ของกิน ของใช้ หรือ ทางอสังหาริมทรัพย์ เรียกว่า “การก่อสร้าง” เช่น อาคารบ้านเรือน เป็นต้น

    สสาร คือ ธาตุที่อยู่ในรูปของสารประกอบ หรือ สารผสม (ประกอบด้วยธาตุหลากหลาย)
    ธาตุ ทางเคมี คือ สารบริสุทธิ์ประกอบด้วย อะตอมหลายอะตอม (ธาตุแต่ละธาตุมีจำนวน โปรตอน อิเลคตรอน นิวตรอน ต่างกันไป ทำให้ธาตุมีคุณสมบัติต่างกัน
    อะตอม ประกอบด้วย อนุภาคขั้นมูลฐานที่สำคัญ ได้แก่ อิเลคตรอน โปรตอน และนิวตรอน
    อนุภาค อยู่ในรูปสสาร หรือ ถ้าอยู่ในรูปของพลังงาน จะมีแรงนำ คือ แรงยึด หรือแรงดึงดูดระหว่างกัน


    สสาร (พระพุทธศาสนา เรียกว่า สังขาร ) คือ ทุกสรรพสิ่ง มาจากการรวมตัวของธาตุต่าง ๆ (พุทธศาสนาเรียกว่า โลกธาตุ) ที่มีอะตอมหลายอะตอมอยู่ในธาตุ โดยตัวของอะตอมเองนั้นจะมีช่องที่มีการรับเข้า ส่งออกของคลื่นสัญญาณ โดยมีอนุภาคเป็นคลื่นพลังงานแรงนำยึดเหนี่ยวทำให้เกิดเป็นรูปธรรม และสรรพสิ่ง ต่าง ๆ
     
  12. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    สสาร คือ วัตถุต่าง ๆ ที่รอบตัวเรา เช่น อากาศ ดิน ก๊าซ น้ำ หรือ หนังสือ เป็นสสารทั้งสิ้น ตัวเราเองก็เป็นสสาร สัตว์และพืช ก็เป็นสสาร มีคุณสมบัติ 2 ประการ คือ ต้องการที่อยู่ และ สสาร ทุกอย่างต้องมีน้ำหนัก เหตุผลเพราะอะไร อาทิเช่น ธาตุดิน คือส่วนที่เป็นของแข็งทั้งหลายที่อยู่ในร่างกาย เช่น กระดูก ผิวหนัง เส้นผม ธาตุน้ำ เช่น เลือด น้ำหนอง เสลด ธาตุลม คือลมหายใจ ธาตุไฟ เช่น อุณหภูมิความร้อนต่าง ๆ ในร่างกาย ธาตุต่าง ๆ ทั้งสี่นี้ทำให้ร่างกายของเราทำงานและมีชีวิต หากขาดธาตุใดธาตุหนึ่ง หรือ มีความผิดปกติ ก็จะทำให้อวัยวะร่างกายเจ็บไข้ หรือ ถ้าเกิดแตกดับไม่สามารถทำงานได้ ทำให้เราเสียชีวิตลง หากไม่นำไปฝังหรือนำไปเผา หรือปล่อยทิ้งไว้ก็จะเน่าเปื่อยสลายไปเอง ดังเช่นซากสัตว์ที่ตายแล้วที่ไม่ได้นำไปฝัง แต่นำไปทิ้งไว้ตามธรรมชาติ ร่างกายของสัตว์ก็จะสลายไปเองตามธรรมชาติ เกิดการเน่าเปื่อยยุ่ยผุพังสลายไปเอง เมื่อกาลเวลาผ่านไปซากที่ทิ้งไว้เมื่อกลับไปดูอีก ก็จะไม่มีเหลือสลายหายไปเลยเหมือนกับว่าสถานที่ตรงนั้นไม่เคยมีซากสัตว์ตาย ยกเว้นบางอย่าง เช่นโครงกระดูกที่มีสภาพอยู่ได้นาน สาเหตุเพราะมีการเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม แต่ไม่มีอะไรคงทนอยู่ได้ตลอดกาล หากปล่อยทิ้งไว้ตามธรรมชาติ ที่มีดินฟ้าอากาศ แดดฝน สักวันหนึ่งก็ย่อยสลายไม่มีเหลือ อย่างที่เราจะรู้กันว่า สสารและพลังงานจะมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างกันตลอดเวลาและเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ธาตุบางอย่างก็จะสลายตัวไปเป็นธาตุที่เบากว่าในระยะเวลาที่แตกต่างกัน จากเสี้ยววินาที จนไปถึงหลายพันล้านปี





    ร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายมนุษย์ สัตว์ และทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ในตามธรรมชาติ ที่เรารับรู้สัมผัสได้ ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย รวม ทั้งปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เราเห็นว่ามีอยู่จริง ที่เราสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา ซึ่งทางพุทธศาสนา กล่าวว่าทุกสรรพสิ่งเกิดจากเหตุปัจจัย หรือ เราเรียกว่ากฎธรรมชาติ (อิทัปปัจจัยตา) เพราะสิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงเกิด กฎธรรมชาติ จึงเรียกว่าเป็นกฎสูงสุด ที่มีอำนาจสูงสุดในการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล เมื่อโลก ตัวเรา จักรวาล เป็นส่วนหนึ่งของเอกภพ เอกภพก็เกิดมาในรูปของสสาร และพลังงาน ร่างกายของเราก็เป็นสสาร และพลังงาน เช่นเดียวกัน จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เพราะหลักแห่งการเกิดแล้ว ดูกันอย่างง่าย ๆ ว่า เกิดจากสิ่งใด ก็ย่อมเป็นจากสิ่งนั้น



    สิ่งต่างๆ ที่เห็นได้สัมผัสได้เหล่านี้เกิดจากกฎธรรมชาติ ที่มีเหตุประกอบกันจึงเกิดมีผล เช่นการเกิดของจักรวาล ที่เกิดจากสสาร และพลังงานมากมาย เกิดจากการทำงานของแรงโน้มถ่วงทำงาน ดึงเข้าหากัน แรงโน้มถ่วง คือ สิ่งที่ควบคุมเอกภพ เราจึงเรียกการเกิดของสิ่งเหล่านั้นว่า เกิดจากการทำงานของธรรมชาติ การกำเนิดโลก หรือการกำเนิดทุกสรรพสิ่ง ก็คือการเกิดของกฎธรรมชาติ หรือ ที่ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า กฎอิทัปปัจจัยตา นั่นเอง



    แม้ร่างกายของเราก็เกิดจากการรวมตัวของธาตุหลัก 4 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และมีจิตวิญญาณมาถือครองจึงมีชีวิต ธรรมชาติก็เช่นเดียวกัน ก็เกิดจากธาตุต่าง ๆ มีพลังงานซ่อนเร้นอยู่ข้างในทำการยึดเหนี่ยวกันไว้ ทำให้คงเป็นรูปร่างที่เห็นกันอยู่


    ที่กล่าวบ่อย ๆ เพื่อเน้นให้เห็นว่าเราไม่ใช่ตัวตน ตัวตนที่เห็นอยู่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่ปรุงแต่งขึ้นมา โดยใช้วิทยาศาสตร์เป็นแนวทางการศึกษา ว่าตัวตนที่แท้จริงตนเองเป็นใคร มาจากไหน จะได้ง่ายต่อทำความเข้าใจเพื่อเรียนรู้ ซึ่งคนรุ่นใหม่จะเข้าหาพระพุทธศาสนาหากไปบอกว่าเราไม่ใช่ตัวตน โดยไม่มีเหตุผลประกอบที่พอจะมองเห็นได้ หรือทฤษฎีอ้างอิงแล้ว คนรุ่นจะมองว่าเป็นเรื่องยากหรือเป็นไปไม่ได้ เพราะจะมองเห็นได้ต้องใช้สมาธิขั้นสูงจึงจะเห็นรู้ได้ตามความจริง แต่คำว่าตัวตนนี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องทำความเข้าใจ หากเราได้รู้และทำความเข้าใจไว้บ้างการดำเนินชีวิตทุกอย่าง ก้าวข้ามจากตัวตน (ego) ก็จะทำให้เราอยู่ร่วมกันบุคคลอื่นได้อย่างปกติสุข และพัฒนาชีวิตต่อไปให้ถึงจุดหมายสูงสุด เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เราก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของกฎธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธศาสนาบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ตกอยู่ภายใต้ของกฎไตรลักษณ์ คือ ความทุกข์ ความแปรปรวนของทุกสิ่ง และการบังคับควบคุมสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะให้เป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการไม่ได้เลย เมื่อเราไม่รู้ความจริง เราจึงเกิดความทุกข์จากการกระทำและที่จะต้องรับผลจากการกระทำนั้น เมื่อเราได้รู้และทำความเข้าใจไว้บ้างจะได้ทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นดีกว่าไม่รู้อะไรเลย นี่เป็นขั้นแรกที่เราต้องควรรู้ความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวตนของเรา จึงจะได้ศึกษาพระพุทธศาสนาได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพระพุทธองค์สอนให้ดับทุกข์เพื่ออะไร เมื่อมันไม่มีตัวตน ไม่ว่าร่างกาย หรือ จิตใจของเรานี้ จึงไม่ควรยึดมั่นถือ เพราะตัวตันที่เห็นอยู่เป็นอยู่ เป็นผลจากจิตที่ทำกรรมนั้นเอง หรือพลังงานทางอารมณ์ในตัวเราที่รับจากสิ่งภายนอกจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วแสดงออกจากกาย วาจา ใจ จึงออกมาเป็นผลกรรมนั่นเอง เมื่อมีผลกรรมจึงต้องมี รูป นาม หรือ กาย ใจ รองรับตามเหตุและปัจจัยนั้น จนกว่าจะทำลายเหตุปัจจัยให้หมดไป จึงหมดเหตุปัจจัยในการเกิดการมีและการเป็น

    ซึ่งตรงกับกฎไตรลักษณ์ มันต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกฎธรรมชาติ(ตามเหตุปัจจัย) ไม่มีใครมีสามารถบังคับบัญชาได้ สร้างเหตุอย่างไร ได้ผลอย่างนั้น
     
  13. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    เมื่อทุกสิ่งเกิดได้เพราะมีเหตุปัจจัย พระพุทธเจ้าสอนให้ดับที่เหตุนั้นๆ

    นามธรรม จิตวิญญาณ เกิดจากเหตุ ก็ให้ดับที่เหตุนั้นๆ
    แม้ธาตุรู้ ก็เกิดจากเหตุ ก็ดับที่เหตุ เช่นเดียวกัน
    การรู้ มีเหตุดับได้
    สัญญามีเหตุดับได้
    วิญญาณมีเหตุดับได้
    ความอยากมีเหตุดับได้
    อวิชชามีเหตุดับได้ นะจ๊ะ
     
  14. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    เพราะคำว่า สิ่งใดเกิดได้ สิ่งนั้นย่อมดับ หรือดับได้เป็นธรรมดา
    ทุกคนรู้ว่าคนเกิดจาก รูปและนาม
    รูปเกิดจากธาตุ
    นามเกิดจากธาตุ
    ธาตที่เรียกว่า อวิชชาธาตุ ความจริงแล้วธาตุรู้ไม่มี เพียงพูดถึงเพื่อเอามาทำลายธาตุไม่รู้เท่านั้น ธาตุรู้เป็นเพียงธรรมที่เป็นเครื่องทำลายธาตุไม่รู้ เท่านั้น

    อธิบายโดยดังนี้ แม้บรรลุธรรมพระพุทธองค์ก็ยังดำรงธาตุชันธ์อยู่นั้นเอง
    ส่วนรูปนาม กายใจก็ยังคงทำงานของมันอยู่
     
  15. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ธาตุรู้เอามาทำลายอวิชชาธาตุแล้วก็อนัตตา
    วิมุติธาตุหรือธรรมธาตุเอามาทำลายสมุติธาตุแล้วก็อนัตตา
    ที่เหลือก็เพียงรูปนาม กายใจ ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ธรรมเหล่านี้เลย
    นะจ๊ะนะจ๊ะ
     
  16. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ถามว่ามีใครสามารถบังคับควบใจตนเอง ให้คิด ไม่ให้คิด ได้บ้าง ไม่มีเลย
    เพราะมันไม่มีใครเป็นเจ้าของใจได้จริงๆ กายกับใจมันเกิดจากเหตุให้มารวมกันเพราะอวิชชาธาตุ ดังนั้นเมื่อทำลายอวิชชาธาตุได้ ก็เหลือเพียงรูปนามธาตุที่เป็นธรรมธาตุ นั่นเองรอวันแตกดับ นะจ๊ะ
     
  17. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ถามว่าใจคือธาตุรู้ ไช่หรือไม่ ตอบว่า ไม่ไช่ ที่มันรู้อยู่เพราะเป็นคุณสมบัติของมันทางเคมี ทางธาตุ แต่ไม่ไช่ธาตุรู้ มันรู้เพราะ ธาตุอวิชชาสร้างมันมา ถ้าไม่มีอวิชชาธาตุ ก็ไม่มีการรวมรูปกับนาม เมื่อไม่มีการรวมรูปกับนาม ก็ไม่มีการเกิด นั่นเองนะจ๊ะ
     
  18. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ใจไม่ไช่ธาตุรู้
    ธาตุรู้คือจิดวิญญาณที่ถูกธาตุอวิชชาสร้างขึ้นมาต่างหากมันเลยรู้สุขรู้ทุกข์รู้อุปาทาน นะจ๊ะ รู้แต่สิ่งที่ไม่จริง รู้แต่สิ่งหลอกลวง นั่นเอง นะจ๊ะ
     
  19. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    สรุปแว่....ว่า
    ผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล แค่รูปนามเท่านั้นที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล
    ไม่มีผม ผมไม่มี นะจ๊ะ
     
  20. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    รูปนามนี้เกิดมารวมตัวกันมีพลัง เพราะพลังของอวิชชาธาตุ
    เมื่อไม่ทำลายจิตวิญญาณ ตายไป รูปนาม กายใจแตกดับ ก็เหลือจิตอวิชชาที่มีพลังไปจุติเกิดใหม่
    แต่ถ้าทำลายอวิชชาธาตุซึ่งก็คือดวงจิตหรือจิตผู้รู้นี้ได้ ก็เหมือนดับเชื้อพลังของอวิชชาธาตุนั่นเองนะจ๊ะ รูปนามที่เหลือก็จะดับไปตามธรรมนะจ๊ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...