ปิดรับบริจาค (เชิญฝากชื่อเขียนลงแผ่นทอง)หล่อองค์ปฐมประจำวันเกิดองค์ๆละ10,000บาท!!!

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย เก๋ณัฐา, 7 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เชิญร่วมหล่อ
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมปางเปิดโลกหรือ
    พระพุทธรูปประจำวันเกิด

    พระปางถวายเนตร
    ความสูงรวมฐานพระสูง 2.5 เมตร
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระองค์ละ 10,000 บาท
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระ+ทาสีองค์พระ+ทาสีฐานพระ องค์ละ 15,000 บาท
     
  2. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เชิญร่วมหล่อ
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมปางเปิดโลกหรือ
    พระพุทธรูปประจำวันเกิด

    พระปางถวายเนตร
    ความสูงรวมฐานพระสูง 2.5 เมตร
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระองค์ละ 10,000 บาท
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระ+ทาสีองค์พระ+ทาสีฐานพระ องค์ละ 15,000 บาท
     
  3. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เชิญร่วมหล่อ
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมปางเปิดโลกหรือ
    พระพุทธรูปประจำวันเกิด

    พระปางถวายเนตร
    ความสูงรวมฐานพระสูง 2.5 เมตร
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระองค์ละ 10,000 บาท
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระ+ทาสีองค์พระ+ทาสีฐานพระ องค์ละ 15,000 บาท
     
  4. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เชิญร่วมหล่อ
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมปางเปิดโลกหรือ
    พระพุทธรูปประจำวันเกิด

    พระปางถวายเนตร
    ความสูงรวมฐานพระสูง 2.5 เมตร
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระองค์ละ 10,000 บาท
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระ+ทาสีองค์พระ+ทาสีฐานพระ องค์ละ 15,000 บาท
     
  5. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    คุณ100ลีลาร่วมทำบุญ 100 บาท อนุโมทนาสาธุการค่ะขอให้เจริญในฉับพลันอันใดติดขอให้คลี่คลายค่ะสาธุๆๆ
     
  6. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    " ทำบุญไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญไม่หาย "

    " ทำบุญไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญไม่หาย "

    การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่
    ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปีก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญไม่หาย
    ...ไม่ใช่เราทำบุญแล้วเดี๋ยวเดียวบุญหายไป ไม่ใช่อย่างนั้น .
    ถ้าทำบุญแล้วไม่ได้อุทิศส่วนกุศล ผู้ทำเป็นผู้ได้บุญเต็มที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว
    อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ ถ้าเราไม่ให้เราก็กินคนเดียว
    ทีนี้ถ้าเราให้เขาบุญของเราก็ไม่หมด ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม

    อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี
    เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายมาขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญจะแบ่งได้ไหม
    จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านรับบาตร ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    "สมมติว่าโยมมีคบและก็มีไฟด้วย แต่คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟ
    ทุกคนต้องการแสงสว่างก็มาขอต่อไฟที่คบของโยม แล้วคบของทุกคนก็สว่างไสวหมด
    อยากทราบว่าไฟของโยมจะยุบไปไหม"


    ท่านพระอนุรุทธก็ตอบว่า "ไม่ยุบ"

    แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า


    "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน เราให้เขา เขาก็โมทนา
    แต่บุญของเราก็ยังอยู่เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้หายไป"


    ( หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี )



    อ้างอิง http://palungjit.org/forums/ทำบุญไปแล้วสัก-๓๐-ปี-ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้-บุญไม่หาย-527382.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2014
  7. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ว่างในสมาธิ ว่างในขั้นอรูปธรรม ว่างอกาลิโก หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

    ว่างในสมาธิ ว่างในขั้นอรูปธรรม ว่างอกาลิโก..


    หนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า ๒๕๖


    “...ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น เมื่อปัญญาพิจารณารอบคอบแล้วก็ดับไปในขณะนั้น จิตก็ลงสู่ความสงบได้อย่างเต็มที่ ในระยะเช่นนี้จะว่าจิตว่างก็ได้อยู่ แต่ว่างในสมาธิ พอจิตถอยออกมา ความว่างก็หายไป จากนั้นก็พิจารณาไปอีก และพิจารณาต่อไปเรื่อยๆ จนจิตมีความชำนาญในด้านสมาธิ..ฯลฯ.. เมื่อสมาธิมีกำลังทางด้านปัญญาก็เร่งพิจารณาตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย จนรู้เห็นชัดและสามารถถอดถอนอุปาทานของกายได้โดยสิ้นเชิง จากนั้นจิตก็จะเริ่มว่าง แต่ยังไม่แสดงความว่างอย่างเต็มที่ ยังมีนิมิตภายในแสดงภาพปรากฏอยู่กับใจ เพราะในระยะนี้ใจว่างจากกายและวัตถุภายนอก แต่ยังไม่ว่างจากนิมิตภายในของตัวเอง จนกว่าจะมีความชำนาญโดยอาศัยการฝึกซ้อมไม่ลดละ นิมิตภายในใจก็นับวันจางไป

    สุดท้ายก็หมด ไม่ปรากฏนิมิตทั้งภายนอกภายในใจ นั่นท่านก็เรียกว่าจิตว่าง ว่างชนิดนี้เป็นเรื่องว่างประจำนิสัยของจิต ที่มีภูมิธรรมประจำขั้นแห่งความว่างของตน นี่ไม่ใช่ว่างสมาธิ และไม่ใช่ว่างในขณะที่นั่งสมาธิ ขณะที่นั่งสมาธิเป็นความว่างของสมาธิ แต่จิตที่ปล่อยวางจากร่างกายเพราะความรู้รอบด้วยนิมิตภายในก็หมดสิ้นไป เพราะอำนาจของสติปัญญารู้เท่าทันด้วย นี่แลชื่อว่าว่างตามฐานะของจิต เมื่อถึงขั้นนี้แล้วจิตว่างจริง ๆ แม้กายจะปรากฏตัวอยู่ก็สักแต่ความรู้สึกว่ากายมีอยู่เท่านั้น แต่ภาพแห่งกายหาได้ปรากฏเป็นนิมิตภายในจิตไม่ ว่างเช่นนี้แลเรียกว่า ว่างตามภูมิของจิต และมีความว่างอยู่อย่างนี้ประจำ ถ้าว่างเช่นนี้ว่าเป็นนิพพาน ก็เป็นนิพพานของผู้นั้น หรือของจิตชั้นนั้น แต่ยังไม่ใช่นิพพานว่างของพระพุทธเจ้า

    ถ้าผู้จะถือสมาธิเป็นความว่างของนิพพาน ในขณะจิตที่ลงสู่สมาธิก็เป็นนิพพานของสมาธิแห่งโยคาวจรผู้ปฏิบัติผู้นั้น เสียเท่านั้น ความว่างทั้งสองประเภทที่กล่าวมานี้ไม่ใช่เป็นนิพพานว่างของพระพุทธเจ้า เพราะเหตุใด เพราะจิตที่มีความว่างในสมาธิ จำต้องพอใจและติดในสมาธิ จิตที่มีความว่างตามภูมิของจิต จำต้องมีความดูดดื่มและติดใจในความว่างประเภทนี้ จำต้องถือความว่างนี้เป็นอารมณ์ของใจจนกว่าจะผ่านไปได้ ถ้าผู้ถือความว่างนี้ว่าเป็นนิพพาน ก็เรียกว่าผู้นั้นติดนิพพาน ในความว่างประเภทนี้โดยเจ้าตัวไม่รู้ เมื่อเป็นเช่นนี้ความว่างประเภทนี้จะจัดว่าเป็นนิพพานได้อย่างไร

    ถ้าไม่ต้องการนิพพานขั้นนี้ ก็ควรกาง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณออกตรวจตราดูให้ชัดเจนและละเอียดถี่ถ้วน เพราะความว่างที่กล่าวนี้เป็นความว่างของเวทนา คือสุขเวทนามีเต็มอยู่ในความว่างนั้น สัญญาก็หมายว่าง สังขารก็ปรุงแต่เรื่องความว่างเป็นอารมณ์ วิญญาณก็ช่วยรับรู้ทางภายใน ไม่เพียงจะรับรู้ภายนอก เลยกลายเป็นนิพพานของอารมณ์ ถ้าพิจารณาสิ่งเหล่านี้ให้ชัดและความว่างให้ชัด โดยเห็นเป็นเรื่องของสังขารธรรม คือสิ่งผสมนั่นแล จะมีช่องทางผ่านไปได้ในวันหนึ่งแน่นอน เมื่อพิจารณาตามที่กล่าวนี้ ขันธ์ทั้งสี่และความว่างซึ่งเป็นสิ่งปิดบังความจริงไว้ ก็จะค่อยเปิดเผยตัวออกมาทีละเล็กละน้อย จนปรากฏได้ชัด จิตย่อมมีทางสลัดตัวออกได้

    แม้ฐานที่ตั้งของสังขารธรรมที่เต็มไปด้วยสิ่งผสมนี้ ก็ทนต่อสติปัญญาไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งเกี่ยวโยงกัน สติปัญญาประเภทค้นแร่แปรธาตุจะฟาดฟันเข้าไป เช่นเดียวกับไฟได้เชื้อลุกลามไปไม่หยุด จนกว่าจะขุดรากเหง้าของธรรมผสมนี้ขึ้นได้เสียเมื่อใด เมื่อนั้นจึงจะหยุดการรุกการรบ เวลานี้มีอะไรที่เป็นข้าศึกต่อนิพพานว่างตามแบบของพระพุทธเจ้า คือสิ่งที่ติดใจอยู่ในขั้นนี้และขณะนี้แลเป็นข้าศึก สิ่งที่ติดใจก็ได้แก่ความถือว่าใจของเราว่างบ้าง สบายบ้าง ใสสะอาดบ้าง ถ้าจะเห็นว่าใจมันว่างแต่มันอยู่กับความไม่ว่าง ใจมันเป็นสุข แต่มันอาศัยอยู่กับทุกข์ ใจใสสะอาด แต่มันอยู่กับความเศร้าหมองโดยไม่รู้สึกตัว ความว่าง ความสุข ความใส นั่นแลเป็นธรรมปิดบังตัวเอง เพราะธรรมทั้งนี้คือ เครื่องหมายของภพชาติ

    ผู้ต้องการตัดภพชาติจึงควรพิจารณาให้รู้เท่าและปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ อย่าหวงไว้เพื่อก่อไฟเผาตัว ถ้าปัญญาขุดค้นลงตรงที่สามจอมกษัตริย์แห่งภพปรากฏอยู่ นั้นแล จะถูกองค์การใหญ่ของภพชาติและจะขาดกระเด็นออกจากใจทันที ที่ปัญญาหยั่งลงถึงฐานของเขาตั้งอยู่ เมื่อสิ่งทั้งนี้สิ้นไปแล้วเพราะอำนาจของปัญญา นั้นแลเป็นความว่างอันหนึ่ง เครื่องหมายของสมมุติใด ๆ จะไม่ปรากฏในความว่างนั้นเลย นี่คือความว่างที่ผิดกับความว่างที่ผ่านมาแล้ว ความว่างประเภทนี้ เราจะว่าเป็นความว่างของพระพุทธเจ้าหรือความว่างของใครนั้น ผู้แสดงไม่สามารถจะเรียนให้ทราบได้ว่า จะควรเป็นความว่างของใคร นอกจากจะเป็นความว่างที่รู้เห็นกันอยู่ ด้วยสันทิฏฐิโกของผู้บำเพ็ญเท่านั้น

    ความว่างอันนี้ไม่มีกาลสมัย เป็นอกาลิโกอยู่ตลอดกาล ความว่างในสมาธิมีความเปลี่ยนแปลงไปได้ ทั้งด้านความเจริญและความเสื่อม ความว่างในขั้นอรูปธรรม ซึ่งกำลังเป็นทางเดินก็แปรสภาพหรือผ่านไปได้ แต่ความว่างในตนเองโดยเฉพาะนี้ ไม่มีความเปลี่ยนแปลง เพราะตนไม่มีอยู่ในความว่างนั้น และไม่ถือความว่างนั้นว่าเป็นตน นอกจาก ยถาภูตัง ญาณทัสสนัง เห็นตามเป็นจริงในหลักธรรมชาติแห่งความว่างนั้น และเห็นตามเป็นจริงในสภาวธรรมที่ผ่านมาเป็นลำดับ และที่มีอยู่ทั่วไปเท่านั้น แม้ศีล สมาธิ ปัญญาซึ่งเป็นธรรมเครื่องแก้ไขก็รู้เท่าและปล่อยวางไว้ตามเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดจะเข้าไปแฝงอยู่ในธรรมชาติแห่งความว่างในวาระสุดท้ายนั้นเลย..

    โปรดนำความว่างทั้งสามประเภทนี้ไปพิจารณา และพยายามบำเพ็ญตนให้เข้าถึงความว่างทั้งสามนี้ เฉพาะอย่างยิ่งความว่างในวาระสุดท้าย ซึ่งเป็นความว่างในหลักธรรมชาติ ไม่มีผู้ใดและสมมุติใดๆ อาจเอื้อมเข้าไปทำการเกี่ยวข้องได้อีกต่อไป ความสงสัยนับแต่ขั้นต้นแห่งธรรม จนถึงความว่างอย่างยิ่ง จะเป็นปัญหาที่ยุติกันลงได้ ด้วยความรู้ความเห็นของตนเป็นผู้ตัดสินเอง…”


    คัดลอกจาก https://th-th.facebook.com/KhnaPhuth...85683388109581
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2014
  8. 100ลีลา

    100ลีลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2008
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +1,855
    ร่วมบุน100บคับ
     
  9. elizacobra

    elizacobra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +1,005
    โอนปัจจัยร่วมบุญจำนวน 50 บาท

    โอนเมื่อ 25/3/2557 ครับ
     
  10. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการค่ะขอให้เจริญในฉับพลันอันใดติดขอให้คลี่คลายค่ะสาธุๆๆ
     
  11. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่งค่ะ ขอให้เจริญยิ่งๆขึ้นไปค่ะ ปรารถนาสิ่งใดขอให้สำเร็จสมปรารถนาตามที่อธิษฐานโดยฉับพลันค่ะสาธุๆๆ
     
  12. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,339
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,286
    ขอร่วมบุญหล่อสมเด็จองค์ปฐมปางเปิดโลก 100 องค์ และงานบุญอื่นๆทุกๆงาน
    โอนปัจจัย 100 บาท เข้าบัญชี ธ.ไทยพาณิชย์
    วันที่ 26 มีนาคม 2557

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยนะครับ สาธุ สาธุ
     
  13. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่งค่ะ ขอให้บุญนี้หนุนนำให้คุณธรรมวิวัฒน์ได้สร้างบารมีเต็มสำเร็จถึงจุดหมายปลายทางแห่งคำอธิษฐานนะค่ะสาธุๆค่ะ
     
  14. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    นิทานธรรมะ เป็นธรรมทาน เรื่องกรรมกำหนดคู่

    กรรมกำหนดคู่

    มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน

    เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน

    ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน

    โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด

    เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก

    ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ


    เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น

    ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา

    เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู

    เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า

    หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต

    ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย

    ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้

    ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย

    เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา ก็เข้ามา!


    เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า

    ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง

    สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ

    เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น

    หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ

    ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด

    หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ

    ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ

    ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน

    เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป

    กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล


    ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา

    ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น

    เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด

    เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา

    เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

    ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น

    เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป

    พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา

    เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ

    ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด

    เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา

    เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร

    จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป


    จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น

    และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ

    พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2

    แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก



    ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม

    ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ

    ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ

    จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน


    เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก

    หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมา

    แล้ว ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด .

    คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

    ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ

    ไม่ใช่ของเลื่อนลอย เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน

    เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่

    ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณได้ทำดีต่อคนรักของคุณหรือยัง

    เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า ก็เรียกมันกลับคืนมา

    ไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่


    สามีภรรยาที่ครองรักครองเรือน กันยาวนานและมีความสุขตามประสาผู้อยู่ในโลกียวิสัย นอกจากเรื่องความสมดุลทางกามารมณ์ที่ผู้รู้สมัยนี้ให้ความสำคัญมากนั้น ยังต้องมีคุณสมบัติภายในซึ่งนับว่าเป็น “ความดีภายใน” ประกอบด้วย สามีภรรยาที่ต่างก็มี “ความดีภายใน” เหมาะสมกลมกลืนกันเรียกว่า “คู่สร้างคู่สม” มีลักษณะดังต่อไปนี้ คือ

    1. มีศรัทธาสมกัน คือ มีความเชื่อในลัทธิศาสนาอย่างเดียวกัน หรือถ้านับถือศาสนาต่างกัน ก็ต้องรู้จักให้เกียรติและเคารพลัทธิความเชื่อของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ไม่ก้าวก่ายดูถูกเหยียดหยาม ความเชื่อถือของอีกฝ่ายหนึ่ง อีกความหมายหนึ่ง การมีศรัทธาสมกัน หมายถึง มีแนวคิด ความเชื่อในเรื่องทั่วๆ ไปลงรอยกันได้ มีค่านิยม มีเจตคติไปในทางเดียวกัน หรือปรับเข้าหากันได้ ไม่ดึงดันเอาแต่ความคิดความเชื่อของตนว่าถูกต้องฝ่ายเดียว

    2. มีศีลสมกัน คือ มีความประพฤติ มีศีลธรรมจรรยาไม่ลักลั่นกัน ถึงขนาดคนหนึ่งเป็นคนไร้ศีลไร้ธรรม อีกคนก็มีศีลธรรม อีกความหมายหนึ่ง การมีศีลสมกัน หมายเอาเพียงการปรับความประพฤติให้เข้ากันได้ในเรื่องดี เช่น ฝ่ายหนึ่งชอบเข้าวัดฟังธรรม ทำบุญตักบาตรประจำ อีกฝ่ายก็ทำด้วยหรือไม่ทำก็ไม่ถึงกับขัดขวาง ส่วนในเรื่องไม่ดีเป็นเรื่องต่างฝ่ายต่างต้อง “ปรับปรุงตัวเอง” ให้ดีขึ้น

    เช่น สามีเคยเที่ยวดึกๆ ดื่นๆ ดื่มเหล้าเมายา ก็ปรับให้ลดลงบ้าง ไม่ใช่เห็นฝ่ายหนึ่งไม่ดีแล้วปรับตนให้เลวตาม อย่างเช่น สามีเล่นม้า ภรรยาก็เล่นตาม อย่างนี้เรียกว่าปรับความประพฤติให้ชั่วเหมือนกัน ถึงจะไปกันได้ดี แต่ก็จะพากันลงนรก ไม่ถือว่าเป็น “คู่สร้างคู่สม”

    3. มีน้ำใจสมกัน คือ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ เสียสละเหมือนๆ กัน ถ้าฝ่ายหนึ่งงกเห็นแก่ได้ อีกฝ่ายใจกว้างเป็นมหาสมุทร เรียกว่าน้ำใจยังไม่สมกัน ควรปรับให้พอเหมาะพอสมกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งคิดเล็กคิดน้อย ไม่เคยให้อะไรใครเปล่าๆ ทุกอย่างจะต้องได้คืนหรือมีผลตอบแทนหมด แม้กระทั่งกับคนในครอบครัว อย่างนี้ก็ยากที่จะอยู่กันยืด

    4. มีปัญญาสมกัน คือ มีความรู้ความเข้าใจไปกันได้ในเรื่องหลักๆ ไม่ใช่ต่างกันหรือสวนทางกันชนิดขาวกับดำ ความรู้ในที่นี้เน้นความมีเหตุมีผล ยอมรับฟังกันมากกว่า “ปริญญาบัตร” โดยนัยนี้ คนที่จบแค่มัธยมศึกษา ถ้ามีความรู้ มีเหตุมีผลเข้ากันได้ทางด้านความคิดกับคนระดับปริญญาเอก ก็สามารถเป็น “คู่สร้างคู่สม” กันทางความรู้ได้

    สามีภรรยาที่ปรับศรัทธา-ความประพฤติ-น้ำใจ และปัญญาให้กลมกลืน ชีวิตคู่ก็จะราบรื่นชั่วกาลนาน

    เป็นภรรยาแบบไหนดี

    คนโบราณว่า ชายหนุ่มจะเลือกสตรีมาเป็นคู่ครอง ควรดูให้ครบ ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ ถ้าหาได้ไม่ครบก็ควรเลือกเอาคุณสมบัติ คือ ถึงจะไม่ได้เมียสวย เมียรวย ก็ขอให้ได้เมียดี ดีแค่ไหน อย่างไรนั้นพูดยาก แล้วแต่ความเหมาะสมและความชอบส่วนตัว หญิงบางคนจู้จี้ ขี้บ่น ขี้นินทา ชายบางคนอาจเห็นว่าเหมาะสมจะเป็นภรรยาตน เพราะอยู่ด้วยกันจะได้ไม่เหงาปาก ฟังเธอนินทาคนอื่นเพลินไป อย่างนี้ก็มี

    คัมภีร์พระไตรปิฎก พูดถึงภรรยาไว้ 7 ประเภท คือ

    (1) ภรรยาเยี่ยงเพชฌฆาต ได้แก่ ภรรยาล้างผลาญประเภทคู่เวรคู่กรรม คิดแต่จะทำลายสามีให้ย่อยยับ จนกระทั่งทำลายชีวิต

    (2) ภรรยาเยี่ยงโจร ได้แก่ ภรรยาปล้นทรัพย์ประเภท “กะเชอก้นรั่ว” หามาได้เท่าใดไม่พอใช้จ่าย ใครมีภรรยาชนิดนี้ ต่อไปให้ร่ำรวยขนาดไหน ไม่ช้าก็หมดตัว

    (3) ภรรยาเยี่ยงนาย ได้แก่ ภรรยาที่ทำตนเหนือสามี ดูถูกสามีว่าด้อยกว่าตน ภูมิใจนักหนาที่ได้แสดงตนให้คนอื่นเห็นว่าสามีเสมือนลูกไก่ในกำมือตน จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด

    (4) ภรรยาเยี่ยงแม่ ได้แก่ ภรรยาที่รักเอ็นดูสามีเสมือนแม่รักและเอ็นดูลูก ปรนนิบัติและเป็นห่วงสามีสารพัด ไม่ทอดทิ้งสามีไม่ว่ากรณีใดๆ

    (5) ภรรยาเยี่ยงน้องสาว ได้แก่ ภรรยาที่ทำตนดุจน้องสาว สามีภรรยาเช่นนี้มักทะเลาะเบาะแว้งกระทบกระทั่งกันเรื่อยด้วยสาเหตุเล็กๆ น้อยๆ แบบพี่ทะเลาะกับน้อง แต่ก็ตัดไม่ตายขายไม่ขาด

    (6) ภรรยาเยี่ยงเพื่อน ได้แก่ ภรรยาที่เป็นเพื่อนคู่คิดของสามีเหมือนเพื่อนรัก คอยปรึกษาหารือกันและกัน ให้เกียรติกัน ช่วยงานกันและกัน เช่นสามีภรรยาเป็นครูด้วยกัน ช่วยกันตรวจการบ้านเด็ก หรือสามีเป็นนักเขียน ภรรยาช่วยค้นข้อมูล ช่วยตรวจทานต้นฉบับให้ เป็นต้น

    (7) ภรรยาเยี่ยงทาสี ได้แก่ ภรรยาที่ยอมให้สามีดุด่าสับโขกตบต่อยทุบตี ยอมทนเพราะ “รัก” สามีสุดหัวใจ ภรรยาบางคนได้สามีเป็นปีศาจสุรา ต้องวิ่งซื้อน้ำแข็ง โซดา ทำกับแกล้มเลี้ยงปีศาจและเพื่อนปีศาจไม่เว้นแต่ละวันก็มี

    สามีพึง ทราบว่ามี 7 ประเภทเหมือนกัน สามีภรรยาทั้ง 7 ประเภทนี้มีอยู่ทั่วไป ใครเป็นคู่ครองแบบไหนก็โปรดพิจารณาเอา ถ้าที่เป็นอยู่แล้วเห็นว่าไม่เหมาะสม ไม่ดี ก็อาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้นตามต้องการ ไม่มีอะไรสายเกินแก้ ถ้าแน่วแน่แก้ไขจริงจัง


    บุพเพสันนิวาส คือ การได้เคยอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ จนส่งผลให้ได้มาเป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดว่าเคยอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยาเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วบุพเพสันนิวาสหมายถึงการที่อาจจะได้อยู่ร่วมกันในฐานะอื่นก็ได้เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อน ครูกับศิษย์ นายกับบ่าว เป็นต้น การที่มีบุพเพสันนิวาสร่วมกันนี้เมื่อเกิดมาร่วมกัน ก็มักจะสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ทำอะไรตามกัน มีความเห็นสอดคล้องกัน ทำให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
    เนื้อคู่ คือ หญิงและชายที่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันมาก่อนในอดีตชาติ
    คู่ครอง คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันในชาติปัจจุบัน
    คู่กรรม คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นสามีภรรยา แต่ มักไม่มีความสุข เนื่องจากการมาอยู่ร่วมกันนั้นเกิดจากวิบากกรรมที่ทำร่วมกันหรือวิบากกรรม ที่มีต่อกันมาส่งผล เช่น อาจเคยทำบาปร่วมกัน หรือเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน

    ♥เหตุแห่งการได้อยู่ร่วมกัน♥ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงเหตุที่หญิงและชายได้รักกันและได้เป็นสามีภรรยากันนั้นมี 2 ปัจจัยคือ
    1.การได้อยู่ร่วมกันในกาลก่อน
    2.การได้เกื้อหนุนกันในชาติปัจจุบัน
    เนื่อง จากวัฏสงสารยาวไกลจนหาจุดเริ่มต้นและที่สุดไม่ได้ หญิงชายแต่ละคนจึงมีเนื้อคู่มากมายเป้นหมื่นแสนคน แต่ละชาติที่เกิดมาก็ได้พบเจอเนื้อคู่ได้หลายๆคน พร้อมๆกัน หรืออาจจะไม่ได้เจอสักคนเลยก็ได้ กรณีที่ไม่ ได้เจอกันเลย หญิงชายนั้นก็อาจมีคู่ได้กับบุคคลใกล้ชิดที่ได้เกื้อหนุนกันในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อได้เป็นคู่กันในปัจจุบันแล้วหญิงชายนั้นก็จะได้เป็นเนื้อคู่กันต่อ ไป

    ♥ลำดับของเนื้อคู่♥
    เพ ระเหตุที่แต่ละคนมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าแล้วใครกันเล่าที่สมควรจะได้อยู่เป็นคู่ครองกันมากที่ สุด และจะมีวิธีการเลือกอย่างไร แม้จะมี เนื้อคู่จำนวนมากมาย แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วจะมีความสุขที่สุด เมื่อพบหน้ากันแล้วไม่อาจตัดใจรักให้ขาดจากกันได้ บุคคลนี้คือเนื้อคู่ที่ได้อยู่ร่วมกันมามากที่สุดเป็นแสนเป็นล้านชาติ เป็นเนื้อคู่ลำดับที่1กฏแห่งกรรมจะจัดสรรการมีคู่ไว้ให้เรียบ ร้อย คือ หากเรามีเนื้อคู่เกิดมาพร้อมกัน ใจเราจะเป็นผู้เลือกโดยจะเลือกเนื้อคู่ลำดับต้นเสมอ เมื่อเลือกแล้วคู่ลำดับอื่นเขาจะหลีกทางและไปหาคู่ของเขาต่อไป แต่กฏแห่งกรรมอีกเช่นกัน ที่บางชาติกลับทำให้คู่ลำดับต้นๆได้พบกันทีหลัง

    หลัง จากที่อีกฝ่ายได้เลือกคู่ครองไปแล้วซึ่งแม้จะได้พบกันทีหลัง แต่เพราะเป็นคู่ลำดับต้น จิตใจของทั้งคู่ก็จะร้อนรนทนไม่ไหว จึงต้องรักกันอีกครั้ง ซึ่งความรักครั้งนี้ต้องหัก ต้องบังคับฝืนใจกันอย่างเต็มกำลัง กล่าวกันว่าแม้พระภิกษุผู้มั่นคงในศีล เมื่อได้เจอเนื้อคู่ลำดับต้นๆ ยังทนไม่ได้ ต้องศึกหาลาเพศมาอยู่กับเนื้อคู่ของตนจนได้ เหตุที่เนื้อคู่ลำดับต้นมา เกิดในชาติภพเดียวกัน แต่กลับไม่สมกันนั้น มีเหตุเดียว คือ กรรมพลัดพรากได้มาส่งผลเป็นวิบากแก่ทั้งคู่อย่างร้ายแรง หากกรรมนั้นใกล้จะหมดผล เขาทั้งสองก็อาจได้เป็นคู่ครองกันในชาตินั้น แต่หากกรรมนั้นยังรุนแรงอยู่ ทั้งสองก็ต้องทนทุกข์ทรมานชดใช้กรรมนั้นให้หมด แล้วจึงจะได้มีวาสนาอยู่ร่วมกันในชาติต่อๆไป

    ♥เหตุที่อกหักผิดหวังในความรัก♥
    นอก จากการผิดหวังจากเนื้อคู่ลำดับต้นๆ ซึ่งเกิดจากกรรมพลัดพรากแล้ว บางครั้งคนเราก็อาจต้องผิดหวังในความรัก โดยมีเหตุมาจากกรรมทั้งสิ้น คืออยู่กับคู่ครองไม่มีความสุข ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ หรือมีปัญหาให้ทุกข์ใจตลอด เหตุ ที่เป็นดังนี้ แสดงว่าคู่ครองนั้นไม่ใช่เนื้อคู่ลำดับที่1-5 เนื่องจากกรรมจากการเป็นคนไม่ดี ไม่มีศีลธรรม ส่งผลให้ไม่ได้พบเนื้อคู่ลำดับต้นๆหรือ อาจเป็นเพราะทั้งสองไม่ใช่เนื้อคู่กัน แต่ทั้งคู่เป็นศัตรูคู่อาฆาต ได้เคยผูกใจเจ็บกันมา ชาตินี้จึงต้องมาแก้แค้นกันเอง และแรงอาฆาตได้ผลักดันให้ทั้งสองมาอยู่ร่วมกัน และแก้แค้นกันเองตามแรงอาฆาตนั้นหรือ บางคนรักเขาข้างเดียว อกหักบ่อยครั้ง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจด้วยเลย เหตุนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอดีตชาติเคยอาฆาตเขาไว้ แต่เขาไม่ได้อาฆาตตอบและไม่ได้ถือโกรธด้วย ชาตินี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว อย่างนี้ไม่ได้เป็นเนื้อคู่ เป็นเพียงคู่กรรมเท่านั้น

    ♥คู่บารมี♥
    เรื่องของคู่บารมีเป็นคู่สำคัญ เป้นคู่ที่ยาวนาน เพราะต้องร่วมกันสร้างบารมีขณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นเพราะโพธิสัตว์ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเนื้อคู่ที่จะเคียงข้างกันไป การเป็นพระโพธิสัตว์นั้นต้องการกำลังใจที่เข้มแข็ง มั่นคง และเสียสละความสุขทั้งปวงเพื่อประโยชน์ของสัตว์โลกพระโพธิสัตว์นั้นใช้เวลา ยาวนานมากในการสร้างสมบุญบารมีกว่าที่จะสามารถตรัสรู้เป้นพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าได้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป และอย่างช้าก็เนิ่นนานจนถึง 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัปเลยทีเดียว

    คน ที่ตั้งใจเป็นคู่บารมีนั้นจึงต้องมีความเสียสละและเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กันบุคคล ผู้ปรารถนาเป็นคู่บารมีนั้น จะเป็นผู้ที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากที่สุด ได้เป็นคู่ครองกันมากที่สุด และเป็นเนื้อคู่ลำดับที่ 1 อย่างเที่ยงแท้ การ เป็นคู่บารมีนั้นลำบากมากยิ่งนัก เพราะคนเป็นคู่บารมีนั้นจะต้องพบกับสิ่งต่อไปนี้ คือ ต้องเกิดเป็นผู้หญิง ไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย ต้องช่วยพระโพธิสัตว์ทำงานอย่างเต็มกำลัง ในบางชาติอาจต้องร่วมสร้างบารมีกับพระโพธิสัตว์เช่น ต้องสละชีวิตร่วมกัน ต้องถูกบริจาคลูก หรือตัวเอง เพื่อเสริมบารมีให้พระโพธิสัตว์เป็นต้น ตราบใดที่พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คู่บารมีนั้นก็ยังไม่มีโอกาสบรรลุโลกตรธรรมได้

    คนที่คบอยู่เปลี่ยนจากคู่กรรมเป็นคู่บุญได้มั๊ย

    - มีทางและเป็นไปได้มั๊ย
    ขึ้นกับแฟนคุณนั่นแหละครับ

    - ที่คู่ในลักษณะนี้หรือคู่กรรมจะกลายเป็นคู่บุญหรือคู่ที่เราจะใช่ชีวิตอยู่ไปด้วยกันต่อไปได้
    ก็คงไม่ได้เป็นคู่บุญ 100 % หรือคู่กรรม 100 % หรอกครับ ก็คงเป็นคู่บารมีของคุณคนหนึ่ง

    ลองสังเกตุดังนี้ ก่อนพบกับแฟน คุณมี ทาน ศีล สมาธิ ระดับใด
    แฟนของคุณมี ทาน ศีล สมาธิ เสมอกันหรือไม่ ตอนที่คบกันใหม่ๆ

    แล้วตอนนี้คุณมี ทาน ศีล สมาธิ ระดับใด แล้วแฟนของคุณมี ทาน ศีล สมาธิ ระดับใด
    เสมอกันหรือไม่ ถ้าไม่เท่ากัน คุยกันไม่รู้เรื่องหรอกครับ เดี๋ยวก็เลิก

    แล้ว ก็ถ้า ไม่เคยให้ทาน ไม่รักษาศีล ไม่เคยนั่งสมาธิ แล้วล่ะก็มักจะคลาดกับคู่บารมีอันดับต้น มาเจอคู่บารมีอันดับท้ายๆ เขาจะทนเราไม่ได้ เพราะเคยเป็นคู่กันมาน้อยชาติ

    - ถ้าเราหมั่นแต่สร้างกรรมดีต่อกันไปเรื่อยๆ
    - มีวิธีไหนจะเจือจางกรรมเก่าระหว่างเรากับเค้าได้ดี
    ทำ บุญร่วมกัน เช่น สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน กฐิน ชวนไปวัดนั่งสมาธิด้วยกัน ถ้าคุณเป็นผู้นำทำบุญ เขาก็จะเป็นบริวารของคุณ เพราะคุณใช้กำลังใจมากกว่า เป็นผู้ชักชวนให้ทำบุญ

    ถ้าเราไปทำบุญมาแล้วเขาไม่โมทนาบุญด้วย ก็เตรียมใจได้เลย เดี๋ยวเขาก็ไปหาคนใหม่ เพราะบุญไม่เท่ากัน เขาเรียกว่าไม่ได้ทำบุญร่วมกัน ไม่มีวาสนาต่อกัน

    - เพื่อให้เราสามารถอยู่ร่วมกันคบหากันได้แบบคู่รักอย่างมีความสุข
    รักตัวเองดีกว่าครับ ความสุขทางธรรมนั้นปราณีตกว่ามากครับ


    -แสดงว่าถ้าทาน ศีล สมาธิ ปัญญาไม่เสมอกันยังไงก็ไม่มีทางไปด้วยกันได้
    เคยได้ฟังมาว่า พระพุทธเจ้าท่าน บอกแบบนี้ครับ คือ คู่ เทวดา-เทวดา มนุษย์-มนุษย์ .. แบบนี้อยู่ด้วยกันได้เข้าใจกันดี

    คู่

    บุพเพสันนิวาส คือ การได้เคยอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ จนส่งผลให้ได้มาเป็นคู่ครองกันในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะคิดว่าเคยอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยาเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วบุพเพสันนิวาสหมายถึงการที่อาจจะได้อยู่ร่วมกันในฐานะอื่นก็ ได้ เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อครูกับศิษย์ นายกับบ่าว เป็นต้น การที่มีบุพเพสันนิวาสร่วมกันนี้เมื่อเกิดมาร่วมกัน ก็มักจะสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ทำอะไรตามกัน มีความเห็นสอดคล้องกัน ทำให้อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข

    เนื้อคู่ คือ หญิงและชายที่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันมาก่อนในอดีตชาติ

    คู่ครอง คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสามีภรรยากันในชาติปัจจุบัน

    คู่กรรม คือ หญิงและชายที่ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นสามีภรรยา แต่มักไม่มีความสุข

    เนื่องจากการมาอยู่ร่วมกันนั้นเกิดจากวิบากของกรรมที่ทำร่วมกันหรือวิบากกรรมที่มีต่
    อกันมาส่งผล เช่น อาจเคยทำบาปร่วมกัน หรือเคยเป็นศัตรูกันมาก่อนเป็นต้น

    คู่ บารมี คือ เนื้อคู่ที่ได้ติดตามกันมา ส่งเสริมกันและกันในทางที่ดี ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยาร่วมกันนับชาติไม่ถ้วน และจะติดตามกันต่อไปจนกว่าจะสามารถหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ มักใช้คำนี้กับพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีกับเนื้อคู่ลำดับ ๑ ที่จะได้เป็นคู่ครองกับในชาติสุดท้าย

    เหตุแห่งการได้อยู่ร่วมกัน

    ดังที่พระพุทธองค์ได้แสดงเหตุที่หญิงชายได้รักและได้เป็นสามีภรรยากันนั้นมี ๒ ปัจจัย คือ

    ? การได้อยู่ร่วมกันในกาลก่อน

    ? การได้เกื้อหนุนกันในชาติปัจจุบัน

    เนื่อง จากวัฎสงสารยาวไกลจนหาจุดเริ่มต้นและที่สุดไม่ได้ หญิงชายแต่ละคนจึงมีเนื้อคู่มากมายเป็นแสนคน แต่ละชาติที่เกิดมาก็อาจได้พบเจอเนื้อคู่ได้หลาย ๆ คนพร้อมกัน หรืออาจไม่ได้เจอเนื้อคู่เลยสักคนก็เป็นได้ กรณีที่ไม่เจอเนื้อคู่เลยนั้น หญิงชายนั้นก็อาจมีคู่ได้กับบุคคลใกล้ชิดที่ได้เกื้อหนุนกันในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อได้เป็นคู่กันในปัจจุบันแล้วหญิงชายนั้นก็จะได้เป็นเนื้อคู่กันต่อ ไป



    ลำดับของเนื้อคู่

    เพราะเหตุที่แต่ละคนมี เนื้อคู่จำนวนมากมาย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าแล้วใครกันเล่าที่สมควรจะได้อยู่เป็นคู่ครองกันมากที่ สุด และจะมีวิธีการเลือกอย่างไร แม้จะมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วมีความสุขที่สุด เมื่อพบหน้ากันแล้วไม่อาจตัดใจรักให้ขาดจากกันได้ บุคคลนี้คือเนื้อคู่ที่ได้อยู่ร่วมกันมามากที่สุดเป็นแสนเป็นล้านชาติ เป็นเนื้อคู่ลำดับที่ ๑ กฎแห่งกรรมจะจัดสรรการมีคู่ไว้ให้เราเรียบร้อย คือ หากเรามีเนื้อคู่เกิดมาพร้อมกัน ใจเราจะเป็นผู้เลือกเนื้อคู่ลำดับต้นเสมอ เมื่อเลือกแล้วคู่ลำดับอื่นเขาจะหลีกทางและไปหาคู่ของเขาต่อไป แต่กฎแห่งกรรมอีกเช่นกัน ที่บางชาติ กลับทำให้คู่ลำดับต้น ๆ ได้มาพบกันทีหลังหลังจากที่อีกฝ่ายได้เลือกคู่ครองไปแล้วซึ่งแม้จะได้พบกัน ทีหลัง แต่เพราะเป็นคู่ลำดับต้น จิตใจของทั้งคู่ก็จะร้อนรนทนไม่ไหว จึงต้องรักกันอีกครั้งซึ่งความรักครั้งนี้ต้องหัก ต้องบังคับฝืนใจกันอย่างเต็มกำลัง กล่าวกันว่าแม้พระภิกษุผู้มั่นคงในศีล เมื่อได้เจอเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ยังทนไม่ได้ ต้องสึกหาลาเพศมาอยู่กับเนื้อคู่ของตนจนได้ เหตุที่เนื้อคู่ลำดับต้นมาเกิดในชาติภพเดียวกัน แต่กลับไม่สมกันนั้น มีเหตุเดียว คือ กรรมพลัดพรากได้มาส่งผลเป็นวิบากแก่ทั้งคู่อย่างร้ายแรง หากกรรมนั้นใกล้จะหมดผลเขาทั้งสองก็อาจได้เป็นคู่ครองกันในชาตินั้น แต่หากกรรมนั้นยังรุนแรงอยู่ทั้งสองก็ต้องทนทุกข์ทรมานชดใช้กรรมนั้นให้หมด แล้วจึงจะได้มีวาสนาอยู่ร่วมกันในชาติต่อ ๆ ไป



    เหตุที่อกหักผิดหวังในความรัก

    นอก จากการผิดหวังจากเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ซึ่งเกิดจากกรรมพลัดพรากแล้ว บางครั้งคนเราก็อาจต้องผิดหวังในความรัก โดยมีเหตุมาจากกรรมทั้งสิ้น คืออยู่กับคู่ครองไม่มีความสุข ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำหรือมีปัญหาให้ทุกข์ใจตลอด เหตุที่เป็นดังนี้ แสดงว่าคู่ครองนั้นไม่ใช่เนื้อคู่ลำดับที่ ๑-๕ เนื่องจากกรรมจากการเป็นคนไม่ดี ไม่มีศีลธรรมส่งผลให้ไม่ได้พบเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองไม่ใช่เนื้อคู่กัน แต่ทั้งคู่เป็นศัตรูคู่อาฆาต ได้เคยผูกใจเจ็บกันมา ชาตินี้จึงต้องมาแก้แค้นกันเอง และแรงอาฆาตได้ผลักดันให้ทั้งสองมาอยู่ร่วมกัน และแก้แค้นกันเองตามแรงอาฆาตนั้น หรือบางคนรักเขาข้างเดียว อกหักบ่อยครั้ง โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจด้วยเลย เหตุนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอดีตชาติเคยอาฆาตเขาไว้ แต่เขาไม่ได้อาฆาตตอบและไม่ได้ถือโกรธด้วย ชาตินี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว อย่างนี้ไม่ได้เป็นเนื้อคู่ เป็นเพียงคู่กรรมเท่านั้น



    ทำอย่างไรจึงจะได้อยู่ร่วมกัน

    เมื่อ ความรักหวานชื่น คู่ครองทั้งหลายย่อมต้องอยากเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันอีก ซึ่งผลกรรมก็ได้จัดสรรการเกิดมาเป็นคู่ครองกันอีกตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่นอกจากการรอให้กรรมเป็นตัวจัดสรรแล้ว เรายังสามารถเลือกที่จะได้พบและอยู่เป็นคู่ครองกับเนื้อคู่ของเราได้ในอนาคต โดยการอธิษฐาน แต่แม้จะมีอธิษฐานร่วมกัน สุดท้ายการได้อยู่ร่วมกันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอยู่ดี การอธิษฐานนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษคือ ในด้านประโยชน์ ทำให้เนื้อคู่ทั้งสองมีโอกาสกลับมาเป็นคู่ครองกันในชาติต่อ ๆไป ได้ง่าย แต่ในแง่ของโทษ บางครั้งก็ทำให้การใช้ชีวิตไม่เป็นปกติสุข เช่น หากเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้ไม่ได้มาเกิด หรือมาเ กิดแล้วแต่ยังไม่ได้พบกัน ฝ่ายที่รออยู่จะไม่สามารถมีคู่ได้ จิตใจไม่รักใคร หรือแม้จะได้พบเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ แต่ก็มีเหตุให้ไม่สมหวังทุกครั้งไป เนื่องจากแรงอธิษฐานนั้นฉุดรั้งไว้ หรือบางครั้งจิตใจมีสังหรณ์อยู่เสมอว่ารอคอยใครอยู่ ทั้งที่ไม่รู้ว่ารอคอยใคร



    การแก้ปัญหาเรื่องอธิษฐาน

    หาก แน่ใจว่าเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้คงไม่ได้พบเจอกันแน่แล้ว หรืออยากจะปล่อยวางเพื่อมีโอกาสได้ตัดสินใจกับเนื้อคู่ลำดับอื่น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงอธิษฐานขออนุญาตเนื้อคู่ว่า ขอละคำอธิษฐานนั้น ขอให้ชีวิตได้พบเนื้อคู่ที่สมกัน และได้ใช้ชีวิตคู่อย่างปกติและมีความสุข



    คู่บารมี

    สุด ท้ายคือเรื่องของคู่บารมี เป็นคู่สำคัญ เป็นคู่ที่ยาวนาน เพราะต้องร่วมกันสร้างบารมีขณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเนื้อคู่ที่จะเคียงข้างกันไป การเป็นพระโพธิสัตว์นั้นต้องการกำลังใจที่เข้มแข็ง มั่นคง และเสียสละความสุขทั้งปวงเพื่อประโยชน์ของสัตว์โลก พระโพธิสัตว์นั้นต้องใช้เวลายาวนานมากในการสร้างบุญบารมีกว่าที่จะสามารถ ตรัสรู้เป็น
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป และอย่างช้าก็เนิ่นนานจนถึง ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปเลยทีเดียว

    คนที่ตั้งใจเป็นคู่บารมีจึงต้องมีความเสียสละและเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กันบุคคลผู้ปรารถนา
    เป็น คู่บารมีนั้น จะเป็นผู้ที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากที่สุดได้เป็นคู่ครองกันมากที่สุด และเป็นเนื้อคู่ลำดับ ๑ อย่างเที่ยงแท้ การเป็นคู่บารมีนั้นลำบากมากยิ่งนัก เพราะคนเป็นคู่บารมีนั้นจะต้องพบกับสิ่งต่อไปนี้ คือ ต้องเกิดเป็นผู้หญิง ไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย ต้องช่วยพระโพธิสัตว์ทำงานอย่างเต็มกำลัง ในบางชาติอาจต้องร่วมสร้างบารมีกับพระโพธิสัตว์ เช่น ต้องสละชีวิตร่วมกัน ต้องถูกบริจาคลูก หรือตัวเองเพื่อเสริมบารมีให้พระโพธิสัตว์ เป็นต้น ตราบใดที่พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คู่บารมีนั้นก็ยังไม่มีโอกาสบรรลุโลกุตรธรรมได้

    อ้างอิง
    คนบางคู่ทะเลาะกันเสร็จแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็รีบง้อ รีบขอโทษ

    ที่เคยเห็นส่วนใหญ่ คนที่งอนนี่ก็จะงอนตลอด ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิดแลย แล้วฝ่ายง้อก็ง้อตลอด
    แล้วฝ่ายงอนก็จะเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น อะไรนิดอะไรหน่อยไม่ได้ จำไปจนตาย เรื่องมันก็เริ่มสะสมๆ

    ลำดับของเนื้อคู่

    เพราะเหตุที่แต่ละคนมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย
    จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าแล้วใครกันเล่า
    ที่สมควรจะได้อยู่เป็นคู่ครองกันมากที่สุด
    และจะมีวิธีการเลือกอย่างไร

    แม้จะมีเนื้อคู่จำนวนมากมาย
    แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เมื่ออยู่ร่วมกันแล้ว มีความสุขที่สุด
    เมื่อพบหน้ากันแล้วไม่อาจตัดใจรักให้ขาดจากกันได้

    บุคคลนี้คือเนื้อคู่ที่ได้อยู่ร่วมกันมามากที่สุดเป็ นแสนเป็นล้านชาติ
    เป็นเนื้อคู่ลำดับที่ ๑ กฎแห่งกรรมจะจัดสรรการมีคู่ไว้ให้เราเรียบร้อย

    คือ หากเรามีเนื้อคู่เกิดมาพร้อมกัน
    ใจเราจะเป็นผู้เลือกเนื้อคู่ลำดับต้นเสมอ
    เมื่อเลือกแล้วคู่ลำดับอื่นเขาจะหลีกทางและไปหาคู่ขอ งเขาต่อไป

    แต่กฎแห่งกรรมอีกเช่นกัน
    ที่บางชาติ กลับทำให้คู่ลำดับต้นๆ ได้มาพบกันทีหลัง
    หลังจากที่อีกฝ่ายได้เลือกคู่ครองไปแล้ว

    ซึ่งแม้จะได้พบกันทีหลัง แต่เพราะเป็นคู่ลำดับต้น
    จิตใจของทั้งคู่ก็จะร้อนรนทนไม่ไหว
    จึงต้องรักกันอีกครั้งซึ่งความรักครั้งนี้ต้องหัก
    ต้องบังคับฝืนใจกันอย่างเต็มกำลัง

    กล่าวกันว่าแม้พระภิกษุผู้มั่นคงในศีล
    เมื่อได้เจอเนื้อคู่ลำดับต้น ๆ ยังทนไม่ได้
    ต้องสึกหาลาเพศมาอยู่กับเนื้อคู่ของตนจนได้

    เหตุที่เนื้อคู่ลำดับต้นมาเกิดในชาติภพเดียวกัน
    แต่กลับไม่สมกันนั้น มีเหตุเดียว
    คือ กรรมพลัดพรากได้มาส่งผลเป็นวิบากแก่ทั้งคู่อย่างร้าย แรง

    หากกรรมนั้นใกล้จะหมดผล
    เขาทั้งสองก็อาจได้เป็นคู่ครองกันในชาตินั้น

    แต่หากกรรมนั้นยังรุนแรงอยู่
    ทั้งสองก็ต้องทนทุกข์ทรมานชดใช้กรรมนั้นให้หมด
    แล้วจึงจะได้มีวาสนาอยู่ร่วมกันในชาติต่อ

    เหตุที่อกหักผิดหวังในความรัก

    นอกจากการผิดหวังจากเนื้อคู่ลำดับต้นๆ ซึ่งเกิดจากกรรมพลัดพรากแล้ว
    บางครั้งคนเราก็อาจต้องผิดหวังในความรัก
    โดยมีเหตุมาจากกรรมทั้งสิ้น

    คืออยู่กับคู่ครองไม่มีความสุข
    ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำหรือมีปัญหาให้ทุกข์ใจตลอ ด

    เหตุที่เป็นดังนี้ แสดงว่าคู่ครองนั้นไม่ใช่เนื้อคู่ลำดับที่ ๑-๕
    เนื่องจากกรรมจากการเป็นคนไม่ดี ไม่มีศีลธรรม
    ส่งผลให้ไม่ได้พบเนื้อคู่ลำดับต้นๆ

    หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองไม่ใช่เนื้อคู่กัน
    แต่ทั้งคู่เป็นศัตรูคู่อาฆาต ได้เคยผูกใจเจ็บกันมา
    ชาตินี้จึงต้องมาแก้แค้นกันเอง
    และแรงอาฆาตได้ผลักดันให้ทั้งสองมาอยู่ร่วมกัน
    และแก้แค้นกันเองตามแรงอาฆาตนั้น

    หรือบางคนรักเขาข้างเดียว อกหักบ่อยครั้ง
    โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจด้วยเลย
    เหตุนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอดีตชาติเคยอาฆาตเขาไว้
    แต่เขาไม่ได้อาฆาตตอบและไม่ได้ถือโกรธด้วย
    ชาตินี้จึงต้องทนทุกข์ทรมานเพราะเขาอยู่เพียงฝ่ายเดี ยว
    อย่างนี้ไม่ได้เป็นเนื้อคู่ เป็นเพียงคู่กรรมเท่านั้น

    ทำอย่างไรจึงจะได้อยู่ร่วมกัน

    เมื่อความรักหวานชื่น
    คู่ครองทั้งหลายย่อมต้องอยากเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันอี ก
    ซึ่งผลกรรมก็ได้จัดสรรการเกิดมาเป็นคู่ครองกันอีกตาม ที่ได้กล่าวมาแล้ว

    แต่นอกจากการรอให้กรรมเป็นตัวจัดสรรแล้ว
    เรายังสามารถเลือกที่จะได้พบ
    และอยู่เป็นคู่ครองกับเนื้อคู่ของเราได้ในอนาคต โดยการอธิษฐาน

    แต่แม้จะมีอธิษฐานร่วมกัน สุดท้ายการได้อยู่ร่วมกัน
    ก็ยังต้องขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมอยู่ดี

    การอธิษฐานนั้นมีทั้งประโยชน์และโทษคือ

    ในด้านประโยชน์ ทำให้เนื้อคู่ทั้งสอง
    มีโอกาสกลับมาเป็นคู่ครองกันในชาติต่อๆ ไป ได้ง่าย

    แต่ในแง่ของโทษ บางครั้งก็ทำให้การใช้ชีวิตไม่เป็นปกติสุข
    เช่น หากเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้ไม่ได้มาเกิด
    หรือมาเ กิดแล้วแต่ยังไม่ได้พบกัน

    ฝ่ายที่รออยู่จะไม่สามารถมีคู่ได้ จิตใจไม่รักใคร
    หรือแม้จะได้พบเนื้อคู่ลำดับต้นๆ
    แต่ก็มีเหตุให้ไม่สมหวังทุกครั้งไป
    เนื่องจากแรงอธิษฐานนั้นฉุดรั้งไว้
    หรือบางครั้งจิตใจมีสังหรณ์อยู่เสมอว่ารอคอยใครอยู่
    ทั้งที่ไม่รู้ว่ารอคอยใคร

    การแก้ปัญหาเรื่องอธิษฐาน

    หากแน่ใจว่าเนื้อคู่ที่อธิษฐานกันไว้คงไม่ได้พบเจอกั นแน่แล้ว
    หรืออยากจะปล่อยวางเพื่อมีโอกาสได้ตัดสินใจกับเนื้อค ู่ลำดับอื่น

    สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงอธิษฐานขออนุญาตเนื้อคู่ว่า
    ขอละคำอธิษฐานนั้น ขอให้ชีวิตได้พบเนื้อคู่ที่สมกัน
    และได้ใช้ชีวิตคู่อย่างปกติและมีความสุข

    คู่บารมี

    สุดท้ายคือเรื่องของคู่บารมี
    เป็นคู่สำคัญ เป็นคู่ที่ยาวนาน

    เพราะต้องร่วมกันสร้างบารมีขณะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นพระโพ ธิสัตว์
    และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเนื้อคู่ที่จะเคียงข้างกันไป

    การเป็นพระโพธิสัตว์นั้นต้องการกำลังใจที่เข้มแข็ง มั่นคง
    และเสียสละความสุขทั้งปวงเพื่อประโยชน์ของสัตว์โลก
    พระโพธิสัตว์นั้นต้องใช้เวลายาวนานมากในการสร้างบุญบ ารมี
    กว่าที่จะสามารถตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

    อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง ๒๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
    และอย่างช้าก็เนิ่นนานจนถึง ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัปเลยทีเดียว




    [พระนางมัทรี : คู่บารมีพระโพธิสัตว์เวสสันดร]


    คนที่ตั้งใจเป็นคู่บารมีจึงต้องมีความเสียสละ
    และเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กันบุคคลผู้ปรารถนาเป็นคู่บารมีน ั้น

    จะเป็นผู้ที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากที่สุด
    ได้เป็นคู่ครองกันมากที่สุด
    และเป็นเนื้อคู่ลำดับ ๑ อย่างเที่ยงแท้

    การเป็นคู่บารมีนั้นลำบากมากยิ่งนัก
    เพราะคนเป็นคู่บารมีนั้นจะต้องพบกับสิ่งต่อไปนี้

    คือ ต้องเกิดเป็นผู้หญิง ไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย
    ต้องช่วยพระโพธิสัตว์ทำงานอย่างเต็มกำลัง
    ในบางชาติอาจต้องร่วมสร้างบารมีกับพระโพธิสัตว์

    เช่น ต้องสละชีวิตร่วมกัน ต้องถูกบริจาคลูก
    หรือตัวเองเพื่อเสริมบารมีให้พระโพธิสัตว์ เป็นต้น

    ตราบใดที่พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ ้า
    คู่บารมีนั้นก็ยังไม่มีโอกาสบรรลุโลกุตรธรรมได้


    พุทธองค์ตรัสถึงลักษณะของ ภริยาของบุรุษนั้นมี ๗ จำพวก....ดังนี้


    ๑. ภริยา ที่จิตคิดประทุษร้ายสามี ประพฤติในสิ่งที่เป็นโทษต่อสามี ยินดีรักใคร่ในบุรุษอื่นดูหมิ่นล่วงเกินสามี และขวนขวานขวายเพื่อจะฆ่าสามี เพื่อต้องการมีใหม่ นี้ชื่อว่า ...วธกภริยา คือ ภริยาดุจดังเพชรฆาต


    ๒. ภริยาที่ไม่รู้จักเก็บงำ ทรัพย์สินใด ๆ ที่สามีหามาได้โดยยาก ปรารถนาเพียงแต่จะใช้จ่ายทรพย์ให้หมดสิ้นไป เงินเดือนออกเมื่อไหร่เป็นว่ารอเฝ้าที่หน้าสำนักงาน เก็บเรียบ งกคนเดียว นี้ชื่อว่า โจรีภริยา ภริยาดุจดังโจร


    ๓. ภริยา ที่ไม่ปรารถนาทำการงานใด ๆ เกียจคร้าน กินจุ จุกจิก หยาบช้า ดุร้าย ปากคอระรานไปทั่ว กดขี่ข่มแหงผู้คอยรับใช้ นี้ชื่อว่า อัยยาภริยา คือ ภริยาดุจดังเจ้าของ


    ๔. ภริยาที่มีจิต โอบอ้อม อารีย์ บำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูล ทุกเมื่อ ดูแลสามีดุจมารดาดูแลรักษาบุตร รักษาทรัพย์ที่สามีหามาด้วยความลำบากไว้ได้ จัดการ ใช้จ่ายอย่างเหมาะสม นี้ชื่อว่า มาตาภริยา ภริยาดุจมารดา


    ๕. ภริยา ที่มีความเคารพต่อสามี มีความละอายแก่ใจปฏิบัติตามหน้าที่ และตามความพอใจของสามีดุจน้องสาว ไม่ขัดขืน มีความเคาพต่อสามีเยี่ยงพี่ชาย นี้ชื่อว่า ภคินีภริยา ภริยาดุจน้องสาว


    ๖. ภริยา ที่มีจิตร่าเริง เมื่อเห็นหน้าสามีคล้ายกับเห็นเพื่อนสนิทมิตรสหายผู้จากกันไปนาน เป็นผู้รักษาวงศ์ตระกูล ปรนนิบัติต่อสามีเสมอต้นเสมอปลาย นี้ชี่อว่า สขีภริยา ภริยาดุจเพื่อน


    ๗. ภริยา ที่ไม่มีความโกรธ แม้ถูกขู่ ถูกคุกคามต่างๆ ด้วยชีวิตหรืออาชญา หรือถูกสามีทุบตีทำร้ายนานา ก็ไม่มีจิตประทุษร้ายตอบ อดกลิ้นต่อสามี ยอมตาม อำนาจสามีเสมอ นี้ชื่อว่า ทาสีภริยา ภริยาดุจทาส


    จาก นั้นพระพุทธองค์ทรงสรุปว่า ภริยา ๓ จำพวกต้นนั้นเมื่อล่วงลับไปแล้ว..ย่อมบังเกิดในนรก ส่วน ๔ จำพวกนอกนั้นย่อมไปบังเกิดในเทวโลก ชั้นนิมมารนรดี


    จึง ไม่ต้องแปลกใจว่า..คู่สามีภรรยา เมื่อเริ่มคบกัน ก็คบกันแบบเพื่อนบ้าง...แบบน้องสาวบ้าง..แบบพี่สาวบ้างแล้วก็พัฒนามาเป็นคู่ สามีภริยาอย่างที่เห็น


    เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว..ก็พึง พิจารณาเองเถิดว่า..ใครโชคดีหรือโชคร้าย ท่านเข้าข่ายเป็นภริยา หรือมีภริยาประเภทไหน.. ก็โปรดพิจารณาไปตามพุทธพจน์ที่แสดงไว้แล้ว และภริยาปฏิบัติตนให้เป็นดั่ง มาตาภริยา ภคินิภริยา สขีภริยา และ ทาสีภริยา ก็จักเป็นเหตุให้เข้าถึงโลกสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ได้เช่นกันฯ

    เหตใดน้ำผึ้งขม

    (๑.) อดีตชาติ..... เขาเคยยุยงสามีภรรยาคู่อื่นๆ ให้แตกแยกกัน ให้บาดหมางระแวงสงสัยกัน
    ชาตินี้..... เขาจึงพบกับความรักที่เต็มไปด้วยความหึงหวง ไม่ไว้วางใจคู่รักคู่ครอง
    อาจมีเรื่องต้องแยกทางกันด้วยความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ แล้วไม่ยอมปรับความเข้าใจกัน

    (๒.) อดีตชาติ..... เขาและเธอเคยร่วมกันล่าสัตว์ จับสัตว์มาฆ่าเป็นอาหาร หรือจับสัตว์ขาย ทำให้สัตว์นั้นต้องแตกแยกกัน ญาติพี่น้องหมู่ฝูงของมันมาอยู่ในที่จำกัด
    ชาตินี้..... เขาและเธอต้องล้มหายตายจากกัน หรือแยกทางกันเดิน ตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว อยู่กินด้วยกันไม่นาน

    (๓.) อดีตชาติ..... เขาและเธอ มีจิตใจประกอบด้วยกุศลและอกุศล แตกต่างกันมากมาย เธอประกอบแต่กรรมดี
    เขาเฉยๆ เรื่อยๆ สุดแท้แต่เธอจะจัดทำ เขาไม่ขัดขวาง ไม่สนับสนุนแต่ประการใด
    ชาตินี้..... เขาและเธอมาเป็นสามีภรรยากันอีก หญิงจะมีบุญบารมีเหนือกว่าชาย โภคทรัพย์ ความสุขภายในบ้าน สุดแท้แต่หญิงจะบันดาลสร้างสรรขึ้นมา
    สามีเป็นช้างเท้าหลัง ไร้เกียรติ ไร้อำนาจ เป็นคนจ๋อง เป็นคนเศร้าซึม ไม่มีสง่าราศีในที่ชุมชน ชีวิตภายนอกมีความสุข แต่ชีวิตภายในต้องขมขื่น น้อยเนื้อต่ำใจ


    (๔.) อดีตชาติ..... หญิงเคยเบียดเบียนชาย โขกสับ วางอำนาจเหนือ ไม่ให้ความเคารพ ดูถูกดูหมิ่นสารพัดจะทำด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ
    ชายแอบไปประกอบการบุญการกุศลตามลำพัง อธิษฐานขอให้พ้นจากบ่วงกรรม อย่าต้องได้ร่วมภพ ร่วมชาติกับหญิงนั้นอีก
    [/SIZE]ชาตินี้..... หญิงนั้นจะถูกชายอีกรายหนึ่ง ย่ำยีหัวใจ เอาเปรียบทารุน โหดร้าย มีสามีเป็นแมงดา

    (๕.) อดีตชาติ..... หญิงชายเคยเป็นสามีภรรยากัน รักใคร่สนิทสนมกันดี ช่วยกันดี ช่วยกันก่อร่างสร้างตัวเป็นหลักฐาน แต่หญิงชายคู่นั้น
    ไม่ระลึกนึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ผู้มีพระคุณต่อตน ทำเฉยเมย ไม่แยแส ทอดทิ้งพ่อแม่ยามชรา
    ชาตินี้..... หญิงชายคู่นั้นก็กลับมาเกิดเป็นผัวเมียกันอีก รักกันซาบซึ้งตรึงใจ อุปสรรคในด้านความรักไม่มี มีแต่อุปสรรคในการดำรงชีพ
    ต้อง ผจญกับข้อขัดข้อร้อยแปดพันประการ ทำไร่ทำนา ก็ต้องเจอดินฟ้าอากาศวิปริต ฝนแล้ง น้ำท่วม โรคระบาด ประกอบการค้าก็พบแต่เจ้าหนี้หน้าเลือด
    ลูกหนี้ เบี้ยว สินค้ามาไม่ทัน สินค้าต้องเน่าเสียหาย ถูกไฟไหม้ ถูกลัก ถูกขโมย การทอดทิ้ง ละเลย เพิกเฉยผู้มีพระคุณ เป็นผลร้ายอันรุนแรง สนองตอบในรูปแบบฟ้าดินลงโทษ

    (๖.) อดีตชาติ..... หญิงชายเคยร่วมกันคดโกงญาติพี่น้องหรือหุ้นส่วน เอาเปรียบ ทำทารุณกรรมทางร่างกายและจิตใจ หลอกใช้งานแล้วไม่ให้ผลประโยชน์ตอบแทน
    ชาตินี้..... จะทำให้สามีภรรยาคู่นั้นต้องไร้ญาติ ขาดมิตร ว้าเหว่เพราะไกลญาติ ได้รับความเดือดร้อนจากสังคมที่ตนเองเกี่ยวข้องด้วย
    ทรัพย์สินถูกลักขโมย หรือประสบความวิบัติจากน้ำ ไฟ สัตว์เลี้ยง

    (๗.) อดีตชาติ..... หญิงเคยทำบุญ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยดอกไม้แห้ง ดอกไม้เฉา ถวายสมณพราหมณ์ด้วยอาหารแห้ง อาหารหมักดอง
    อาหารกระป๋อง หรืออาหารที่ทิ้งไว้นานจนชืด สงเคราะห์บริวารด้วยของเหลือเดิน ซึ่งจวนจะใช้การไม่ได้แล้ว
    ชาตินี้..... จะได้พบคู่ครองเป็นคนแก่ คนสูงอายุ มีผิวพรรณเ+++่ยวย่น หรือได้สามีพ่อม่ายพ่อร้าง

    (๘.) อดีตชาติ..... หญิงสาวหลบเลี่ยงไม่ยอมทำบุญทำทานให้แก่สมณพราหมณ์ ซึ่งตั้งสำนักอยู่ใกล้บ้าน กลับนิยมชมชอบ
    เดินทางท่องเที่ยว ไปบำเพ็ญกุศลในที่ห่างไกล ในดินแดนต่างชาติต่างภาษา
    ชาตินี้..... จะได้พบคู่ครองเป็นคนต่างชาติ มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ไม่เหมือนกัน

    (๙.) อดีตชาติ..... เธอเขาเป็นสามีภรรยากัน มีชายร่ำรวยมาลุ่มหลง ถูกอกถูกใจในภรรยา สามีภรรยาคู่นั้นประสงค์จะได้ทรัพย์สิ่งของ
    จึงร่วมโกหกให้ชายนั้นเข้าใจผิดคิดว่า เขาเธอเป็นพี่ชายน้องสาวกัน
    ชาติ นี้..... ผัวเมียที่ร่วมกันหลอกลวงชายอื่น โดยเอาความรักความพิศวาสเป็นเหยื่อล่อเช่นนี้ เกิดภพใหม่ชาติใหม่ จะได้รับผลกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน คือ
    --- กลับมาเป็นสามีภรรยากันอีก ถูกคนอื่นต้มตุ๋นเอาเงินทอง
    --- ทั้งสองฝ่ายมีครอบครัวแล้ว มาพบกันภายหลัง ก็รักชอบพอกันอีก เกิดภาวะรักซ้อนขึ้นในใจ
    --- ฝ่ายหญิงมีพันธะมาแล้ว พบชายภายหลัง รักชายมากกว่าคู่หมั้นคู่ครองของตัว
    --- ฝ่ายชายมีเมียร่ำรวยมาแล้ว บุญคุณของเมียค้ำคออยู่ เกิดเรื่องพิศวาสรักใคร่อย่างจริงจังกับหญิงอีกคนหนึ ่ง จะทิ้งเมียเก่าก็เสียดายทรัพย์ เสียดายความสุขสบาย
    จะพรากจากเมียใหม่ ก็เหมือนหนึ่งจะบดหัวใจให้เป็นแผล

    (๑๐.) อดีตชาติ..... เขาชอบขัดขวางทางรักของคนอื่น ด้วยการหลอกลวงสร้างหลักฐานพยานเท็จ ให้ชายหนุ่มเข้าใจผิดว่า หญิงสาวที่ชายหนุ่มชอบพอนั้น
    เป็นคนเลวร้าย มีโรคติดต่อร้ายแรง หรือมีหนี้สินล้นพ้นตัว เขาดำเนินกิจการต่างๆ จนกระทั่งคนรักกัน กลายเป็นคนเกลียดชังกัน คิดร้ายต่อกัน

    อดีตชาติ..... เขาหลงรักหญิงที่มีคู่รักคู่ใคร่ เป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว เขาเพียรพยายามที่จะพรากหญิงนั้นมาเป็นของตน หญิงก็ไม่ยินยอม
    คง ยึดมั่นในรักเก่าอย่างเหนียวแน่นมั่นคง เขาแสนแค้น จึงใช้พละกำลังหักหาญ ข่มขื่นชำเราหญิงนั้น หรือใช้น้ำกรดสาดหน้า ให้หญิงนั้นบาดเจ็บเสียโฉม
    หลังจากชดใช้กรรมในอบายภูมิมาพอสมควร เขาก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์มาในชาตินี้.....
    --- เขาหลงรักหญิงใจทราม หรือติดใจในรสสวาทของนางบำเรอ เก็บตกเอาหญิงขายตัวจากซ่องโสเภณีมาใส่ตะกร้าล้างน้ำ พลาดโอกาสที่จะได้คนดีมาเป็นศรีแก่ชีวิต
    --- เขาต้องผจญภัย ฝ่าฟันอุปสรรค นานาประการเพื่อหญิงที่เขารัก ครั้นได้อยู่กินด้วยกันจริงๆ หญิงนั้นก็กลับเป็นเหตุให้เขา
    ต้องเดือดร้อนอยู่ร่ำไป เป็นหญิงที่ไม่มีคุณค่า ไม่มีความดีอันควรแก่การเทิดทูนบูชาแม้แต่น้อย
    --- เขาได้คนรูปชั่วตัวดำ น่าเกลียดน่ากลัวเป็นคู่สวาท เขาได้หญิงที่ร่างกายพิกลพิการเป็นคู่ครอง (พิการโดยกำเนิด หรือพิการโดยอุบัติเหตุ วิบัติในภายหลัง)

    (๑๑.) อดีตชาติ..... เขาเป็นพ่อสื่อ ชักนำหญิงมาเป็นภรรยาน้อยของเพื่อนชาย เรียกร้องเอาผลประโยชน์จากหญิงชายคู่นั้นมากเกินควรห ลอกล่อด้วยคำเท็จต่างๆ เพื่อเอาทรัพย์
    ชาตินี้..... เขาไปหลงรักหญิงมีสามีแล้ว "เสียตังค์บ่ดาย บ่ได้แอ้ม" (หมดเงิน เสียเวลา เปลืองหัวใจ ไม่ได้แอ้ม)

    (๑๒.) อดีตชาติ..... เขาเป็นพ่อสื่อประเภทต้มมนุษย์ หลอกลวงให้เพื่อนชายหลงไหลในหญิงคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่หญิงคนนั้นมิได้รู้เห็นอะไรด้วยเลย
    ก็ทำหลักฐานเท็จปลอมจดหมายให้เพื่อนชายหลงผิด จ่ายเงินซื้อสิ่งของต่างๆ ให้ แล้วเขา (นักต้มมนุษย์) ก็เอาไปทำประโยชน์ส่วนตัว
    ชาตินี้..... เขาจึงเป็น ไอ้งั่ง หลงรักผู้หญิงใจแข็ง ทุ่มเทเงินทอง ซื้อข้าวซื้อของให้หญิงนั้น หญิงก็หามีไมตรีตอบไม่
     
  15. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เชิญร่วมหล่อ
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมปางเปิดโลกหรือ
    พระพุทธรูปประจำวันเกิด

    พระปางถวายเนตร
    ความสูงรวมฐานพระสูง 2.5 เมตร
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระองค์ละ 10,000 บาท
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระ+ทาสีองค์พระ+ทาสีฐานพระ องค์ละ 15,000 บาท
     
  16. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เชิญร่วมหล่อ
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมปางเปิดโลกหรือ
    พระพุทธรูปประจำวันเกิด

    พระปางถวายเนตร
    ความสูงรวมฐานพระสูง 2.5 เมตร
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระองค์ละ 10,000 บาท
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระ+ทาสีองค์พระ+ทาสีฐานพระ องค์ละ 15,000 บาท
     
  17. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เชิญร่วมหล่อ
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมปางเปิดโลกหรือ
    พระพุทธรูปประจำวันเกิด

    พระปางถวายเนตร
    ความสูงรวมฐานพระสูง 2.5 เมตร
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระองค์ละ 10,000 บาท
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระ+ทาสีองค์พระ+ทาสีฐานพระ องค์ละ 15,000 บาท
     
  18. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิ

    สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๓
    โดยพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

    "..เมื่อพ.ศ. ๒๕๐๐ อาตมาป่วยหนัก ไปนอนพักรักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบันโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) ไปนอนอยู่ที่ตึก ๑ เป็นห้องพิเศษ เวลาประมาณ ๔ ทุ่มเศษๆ ไฟฟ้าในห้องยังไม่ดับและประตูก็ใส่กลอนแล้ว ถึงเวลานอน นอนคนเดียวยังไม่หลับ ปรากฏว่ามีคนๆหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง เป็นชายลักษณะเป็นคนล่ำๆ ท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมงปราดเปรียวมาก เป็นคนผิวขาว หน้าค่อนข้างจะสี่เหลี่ยมนิดๆ แต่มีเนื้อเต็ม นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาวเหนือเข่านิดหนึ่ง ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวเหนือศอกหน่อย

    ก่อนที่อาตมาจะเห็นท่านผู้นี้ ก็เพราะขณะที่ไปนอนป่วยอยู่ที่นั่นก็มีความรู้สึกว่า บรรดาผีทั้งหลายอาจจะแกล้งได้ง่าย เนื่องจากกำลังใจของคนป่วยความเข้มแข็งน้อย ก็นึกว่าในที่นี้เป็นเขตพระราชฐานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงขอพึ่งบารมีท่านให้คุ้มครอง พอท่านมายืนก็มองเห็น ไม่ต้องหลับตาไม่ต้องเข้าฌาน ในเมื่อผีจะแสดงตัวให้ปรากฏ แต่ความกลัวไม่มีเพราะเรื่องนี้ชินมาตั้งแต่บวชพรรษาที่ ๑ ก็เลยถามท่านว่า "ท่านเป็นใคร" ท่านผู้นั้นก็ถามว่า "เมื่อกี้ท่านนึกถึงใคร" ก็ตอบท่านว่า "นึกถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"

    ท่านก็บอกว่า "ผมนี่แหละ พระเจ้าตากสินมหาราช" ก็เลยมองไปมองมา ดูลักษณะการแต่งตัวของท่าน ท่านถามว่า "มองอะไร" ก็บอกว่า "มองดูลักษณะพระเจ้าตากสินมหาราช" ท่านถามว่า "เชื่อหรือยังว่าเป็นพระเจ้าตากสินมหาราช" ตอบว่า "ยังไม่เชื่อ ที่มองนี่เพราะยังไม่เชื่อ" ท่านถามว่า "ไม่เชื่อตรงไหน" ก็บอกว่า "ไม่เชื่อตรงกางเกงกับเสื้อเพราะพระมหากษัตริย์ไม่น่าจะนุ่งแบบนี้" ท่านถามว่า "กษัตริย์ต้องทรงเครื่องกษัตริย์นอนเชียวหรือ นี่มัน ๔ ทุ่มกว่าแล้วนะ" ก็บอกว่า "จะรู้ได้อย่างไรในเมื่อเป็นกษัตริย์ เวลาเป็นผีมาแสดงตนให้ปรากฏก็ต้องใช้เครื่องทรงแบบกษัตริย์" ท่านบอกว่า "ใช้เครื่องทรงกษัตริย์ก็ได้" พอพูดจบเครื่องทรงก็เป็นกษัตริย์ ท่านถามว่า "เชื่อหรือยัง" ตอบว่า "ตอนนี้เชื่อแล้ว"

    ต่อมาก็คุยกันตั้งแต่ ๔ ทุ่มเศษๆ ถึงตี ๕ ครึ่ง คุยกันเรื่องในอดีต ความเป็นมาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตั้งแต่เป็นเด็กชายสินไว้หางเปีย จนกระทั่งถึงขั้นวางแผนให้รัชกาลที่ ๑ เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นการยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้ถูกรัชกาลที่ ๑ ประหารชีวิต เมื่อรัชกาลที่ ๑ ขึ้นเถลิงราชสมบัติแล้ว ก็นำสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชท่านบวชเป็นพระแล้วนั่งคานหามไปส่ง ออกทางปากท่อตอนกลางคืนไปส่งที่ถ้ำในจังหวัดนครศรีธรรมราช ลูกชายของท่านมีสองคน คนพี่ให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจะได้บำรุงพ่อ คนน้องก็ให้ทุนเป็นพ่อค้าสำเภา เป็นการหาทรัพย์สินเข้าเมือง เป็นการยืนยันว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก่อนจะสวรรคตเป็นพระสงฆ์ ไม่ได้ถูกฆ่าตาย พระองค์สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำที่ท่านพักก็ยังอยู่กุฏิหลังนั้นเขาทำเลียนแบบไว้ แต่ความจริงกุฏิที่อยู่จริงๆ ดีกว่านั้น เขาทำให้มีความผาสุกกว่านั้น ออกจากถํ้าท่านก็มีที่พัก มีห้องพักแบบสบายๆ ความจริงท่านไม่ได้สั่งแต่ลูกชายเป็นคนสร้างให้ ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้ว มันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง และก็เป็นคนแก่ด้วยก็หมดความรัก ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านก็เป็นไปด้วยความเคร่งครัดแต่ไม่ได้เคร่งเครียด คำว่า "เคร่งครัด" คือ "ปฏิบัติตรงไปตรงมาในมัชฌิมาปฏิปทา"

    ก่อนท่านจะลากลับ อาตมาถามว่า "ขอหวยสัก ๒ ตัวได้ไหม" ท่านบอกว่า "สมัยผมมีแต่หวยจับยี่กี หวยแบบเลขท้าย ๓ ตัว ๒ ตัว แบบนี้ไม่มี เรื่องหวยนี่ผมไม่รู้หรอก แต่เวลานี้ผมมีสตางค์ติดกระเป๋ามาเพียงแค่ ๒๕ สตางค์ ผมขอถวายหมด" พูดแล้วท่านก็หยิบเหรียญโยนไปใต้เตียงเห็นเลข ๒๕ ใสแจ๋ว พอตอนเช้าบรรดาพยาบาลและนายทหารประจำตึกมาถามว่า "เมื่อคืนมีอะไรบ้างครับ" ก็เลยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาเยี่ยม ขอหวยท่าน ท่านบอกว่าไม่มี มีแต่เงินเหรียญ ๒๕ สตางค์ แล้วท่านก็โยนไปใต้เตียง ปรากฏว่าภายในวันนั้นข่าวกระจายไปทั่วกรมอู่ ทุกคนเล่นเลขท้าย ๒ ตัว ถูกกันมาก

    ต่อมาวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ วันนั้น พ.อ.สถาพร ได้นำดาบเล่มหนึ่งมาจากเมืองตาก เขาบอกว่าเป็นดาบของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อมาให้เจ้ากรมการสัตว์ทหารบกที่จังหวัดนครปฐม คืนนั้นก็นำดาบตั้งไว้ในที่มีเครื่องสักการะ พอตอนดึกเวลาประมาณสัก ๖ ทุ่ม เวลาจะนอนก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ ก็เห็นภาพสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สวยงามมากมาที่ดาบ ถามท่านว่า "มาทำไม" ท่านบอกว่า "ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็มาทำให้มันหน่อย" ถามว่า "ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง" ท่านก็บอกว่า "ประโยชน์มี"

    หลังจากนั้นก็คุยกันถามว่า "เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง" ท่านบอกว่า "ยังไม่ได้ลา" จึงถามว่า "ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือ" ท่านบอกว่า "เวลานี้พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มรอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาพุทธภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด" ก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหม" ท่านบอกว่า "ไปซิ ที่มานี่ก็จะมาชวนไปหาพระด้วยกัน"

    เมื่อไปถึงกราบท่านแล้วก็ถามว่า "เวลานี้เทวดาสินเป็นพระโพธิสัตว์ อยากจะทราบว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไร หลังจากพระศรีอารย์ไปแล้ว" พระท่านก็บอกว่า "จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓๐ หลังพระศรีอารย์นิพพานแล้ว" ก็เล่นเอาเทวดาสินต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง ๓๐ พระพุทธเจ้า ก็เลยถามพระท่านว่า "ถ้าเทวดาสินจะลาจากพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน" ท่านบอกว่า "เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้ว ก็เหลือแค่ เอหิภิกขุ เท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าตรัสว่า เอหิภิกขุ เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ" ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า "เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด" เพียงเท่านี้ เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดาเป็นวิสุทธิเทพ

    นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า "ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติ แล้วรู้ได้อย่างไร" ก็บอกว่า "ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร" คนที่เห็นผีเข้าฌานหรือเปล่า เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า สภาพนี้ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอกแต่ว่าผีมาชวนคุย ผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ..."


    อ้างอิง. http://palungjit.org/threads/สมเด็จ...จากพุทธภูมิเมื่อวันที่-๒๙-มกราคม-๒๕๓๓.526521/
     
  19. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เชิญร่วมหล่อ
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมปางเปิดโลกหรือ
    พระพุทธรูปประจำวันเกิด

    พระปางถวายเนตร
    ความสูงรวมฐานพระสูง 2.5 เมตร
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระองค์ละ 10,000 บาท
    เจ้าภาพหล่อ องค์พระ+ฐานพระ+ทาสีองค์พระ+ทาสีฐานพระ องค์ละ 15,000 บาท
     
  20. tanmai

    tanmai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +443
    จะร่วมสร้างพระปางรำพึงประจำวันศุกร์ด้วยค่ะ อนูโมทนาสาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...