เชิญช่วยกันระดมความคิดเห็นเรื่อง"จิต" เพื่อสัจธรรมความจริง

ok อันนี้ผมผิดเองในเรื่องของการสื่อสาร

แต่การสื่อความ คือการอุปมา เป็นการใช้ภาษาลักษณะเปรียบเทียบ

ถ้างั้นก็จะขอเรียบเรียงใหม่ให้ตรงความ

ว่า จิตของเตชพโล ไม่สามารถรับรู้สภาวะละเอียดตามความเป็นจริงได้

จึงเห็นอยู่แต่การ "เกิด-ดับ" ของสภาวะสมมติบัญญัติ โดยหยาบ

 

นี่แหละนักปฏิบัติธรรมยอมรับกันไม่ถือสาหาความ
ผมนี่ไม่ใช่คนตะบี้ตะบันคัดค้านอะไรนะอินทรบุตร
อย่างสนทนากับหลวงพี่โชแปงนี่

เหตุผลลงกันได้ฟังกันได้่ผมก็ยอมรับ
ผมเห็นถูกต้องก็บอกว่าถูก
ไม่ใช่ว่าคุยกับใครคนนั้นผิดลูกเดียว
อย่างนี้ไม่ใช่ผม

 

ดูเหมือน ธรรมภูต กับ เตชพโล จะแสดงความเห็นแย้งกันเองเสียแล้ว

 

ผมกับคุณธรรมภูต ไม่แย้งแม้นิดเดียว
ผมถึงบอกให้คุณไปอ่านให้ดี
การปฏิบัติธรรมนั้นมีเงื่อนไข
ไม่ได้ไปหน้าเดียวหรอก

มันไม่ได้มีแค่เกิดดับอย่างเดียวหรอก
ไ่ม่อย่างนั้นพระพุทธจะทรงสอนถึง 84000 พระธรรมขันธ์ทำไม
แล้วยังทรงตรัสอีกว่าที่สอนโลกนี่ แค่ใบไม้ในกำมือเท่านั้นนะ

 

ผมขอตัวพักผ่อนก่อน

 

^
^
น้องครับ....

น้องก็สับสนไปกับเค้าด้วยแล้วนะครับ

ลองเป็นเรื่อง "จิต" ความละเอียดขนาดว่า

ในหนึ่งอณูนั้น มีเทวดาอยู่ได้สี่องค์ ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์กล่าวไว้

และในส่วนของกิเลสนั้น ละเอียดกระทั่งกิเลสเพียงอณูเล็กขนาดไหน

ก็เข้ามาอาศัยอยู่ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ทาง"จิต"

ส่วนเรื่องกายนั้น พระพุทธพจน์จำกัดไว้แค่ไหนแค่นั้นครับ แต่คนชอบนำไปมั่วอวดกัน

แต่ก็มีคนเขลาเบาปัญญา ที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย อาศัยความรู้คนอื่นมาอวดเป็นของตน

ถ้าน้องเคยอ่านกระทู้เก่าๆที่ผมได้สนทนากับคุณอินทรบุตร เรื่อง"ทักจิต"แล้ว

ก็จะรู้ว่าเองว่าคนๆนี้ ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง

เคยวางกับดักผมไว้ คิดว่าเยี่ยมแล้ว เป็นปัญญาทางธรรมที่ตนมี

แต่กับดับนั้น กลับมาพันคอตนเองจนหายใจไม่ออกบอกไม่ได้ แต่ก็ยังไม่รู้จักอายแฮ่ะ

ถ้าน้องสงสัยว่า เรื่องกายนั้น พระพุทธองค์ทรงจำกัดไว้แค่ไหน

เปิดมหาสติปัฎฐานหมวดกายดู

อานาปานบรรพ หรือ กายในกายนั้นเป็นเรื่อง"จิต"ล้วนๆ คือกายในกายเป็นภายใน

ไม่ใช่เพ้อเจ้อเรื่องระบบประสาท แถมอวดอ้างจนกลายเป็นเรื่องเกิด-ดับไปได้

อิริยาปถบรรพ สัมปชัญญบรรพ

ปฏิกูลมนสิการบรรพธาตุมนสิการบรรพ

เจริญในธรรมทุกๆท่าน

 

^
^
เฮ้อ!!!

คนมันเขลาเบาปัญญาที่ดื้อด้าน จะขัดเกลาให้มีปัญญาขึ้นมานั้น ไม่ใช่โอกาสที่จะเป็นไปได้

ตามตรงๆเถอะ แกล้งโง่ เพื่อแก้ขวยหรือ มิน่าถึงอ่าน"อนัตตลักขณสูตร"ไม่เข้าใจ

^
^
เด็กเล็ก ที่ยังด้อยต้องถ้อยศึกษาไปก่อน แต่กลับอวดกล้าชูคอเป็นกระปอมก่า ท่ามากจริง

รู้จักคำว่า"เชื่อว่ายังไม่ใช่" เพราะต้องอ่านก่อน กับ "ไม่เชื่อ" แบบนี้ไม่ต้องอ่านแล้ว

มันคนละเรื่อง จะมั่วกล่าวหาว่าร้ายใคร ควรมีวิจารณญาณในการอ่านด้วย อย่าทำแค่เอาตัวรอดเท่านั้น

พอ"ธรรมภูต" อ่านแล้ว เขียนวิพากษ์ กลับเงียบเป็นเป่าสาก55+

รู้ดีจริงนะ เรื่อง "จิต" แต่เวลาถูกถามไป แบ๊ะๆ พยายามหาแพะรับบาปให้ได้

เฮ้อ!!!.....ทำตัวเป็นเด็กขายขนมไปได้ รู้จักอาคนอ่านบ้าง

เจริญในธรรมที่สมควรแก่ธรรมทุกๆท่าน

 

^
^
เฮ้อ....

คนอะไร อ้างแบบด้านๆก็ทำได้ ไม่รู้จะใช้คำไหนจริงๆ

เมื่อคนมันด้าน แถมยังไม่ยอมรับว่ายังโง่อยู่ หมดคำพูดจริงๆ

คนเขลาเบาปัญญาเช่นนี้ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมพระพุทธศาสดาจึงเรียวลงไปเรื่อยๆ

^
^
มีตรงไหนที่พระพุทธองค์ทรงรับรองแบบว่า"ไม่มีคาดเคลื่อน" ยกขึ้นซึ่งคะเนว่า

ทรงรับรองเพียงว่า "เธอทำได้ เธอสามารถนับได้ แต่...ไปคิดเอาเอง"

ถ้าพระพุทธองค์ทรงรับรองแบบทตรงเปะๆ ต้องใช่คำ"รู้ชัดว่า"

พระพุทะองค์ไม่ทรงสรรเสริญ ในเรื่องที่ไม่ได้ช่วยให้จิตหลุดพ้นจากทุกข์เลย

เมื่อจะพูดอะไรก็ควรระมัดระวัง น้อมนำแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์

นำไปสู่ปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้น ไม่ใช่เอาเรื่องที่ทำให้ศาสนาอื่น"ดูถูกได้"

ระวัง สักวันคงมีคนให้นักปฏิบัติธรรมหัวตอทั้งหลาย ไปนั่งนับเม็ดฝนดูบ้าง

จะพูดอะไร ก็อย่าเอาสันดาน ที่ชอบเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ควรยืนบนเหตุผลด้วย

การรู้ของ"จิต"ทีมีคุณภาพนั้น เป็นการ"รู้โดยไม่ต้องคิด" คือรู้ได้เลย จึงใช้คำว่า"ยกขึ้นคะเน"

จำไว้นะ อย่าเที่ยวมั่วเอา เรื่อง"ผัสสะ" และ เรื่อง "เกิด-ดับ" ไปลงกับทุกเรื่อง

ก็บอกแล้ว ยังแยกแยะไม่เป็น และพยายามเอามาปนเปกันให้มั่วไปหมด

พวกโง่ไม่ยอมรับว่าโง่ อยู่ในโง่จำพวกที่๔นี้ รู้เปล่าว่า

ฝนตกไม่ว่ากี่ครั้ง ล้วนเกิดจากความเปลี่ยนแปรของอากาศ

จิตรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปรนั้น และก็ยัง"คะเน"ได้ถึงปริมาณฝนในแต่ละครั้ง

ส่วนจะใกล้เคียงหรือไม่นั้น เป็นความสามารถของ"จิต"ที่รู้ละเอียดได้ไม่เท่ากัน

แต่อย่าพยายามมั่วเลย ว่า "ผัสสะเกิดดับ ถี่ยิบขนาดไหน" จิตผัสสะได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของน้ำฝน

จะเล่นอะไร ควรรู้จักว่า เกิดประโยชน์ หรือ มีแต่ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น

เจริญในธรรมทุกๆท่าน

 

กมมุนา วัตตติ โลโก
ปรามาสพระสารีบุตร ซ้ำแล้วซ้ำอีก

 

^
^
เฮ้อ!!!

กำลังคุยอยู่กับ"คน" หรือคุยอยู่กับ "..."

เรากำลังพูดคุยกันเรื่องอะไรอยู่ อย่ามั่วสิ

"ธรรมทั้งหลายล้วนเกิดแต่เหตุ ย่อมดับเพราะสิ้นเหตุ"ใช่หรือไม่? ไม่ใช่

ในระหว่างเหตุที่เกิด มีความเปลี่ยนแปลงในระหว่าง ก่อนดับ คือสิ่งที่กำลังพูดถึง

เรายังไม่ได้ยกเรื่องนี้เกิด-ดับมาถกจริงจังเลย

แต่ก็มีคนอ้างมันแต่ว่า ทุกอย่างที่กำลังคุยกันอยู่นั้น เกิดดับถี่ยิบ

ซึ่งพยายามมั่วเพื่ออวดภูมิธรรมว่าผัสสะได้

แต่"ธรรมภูต" กลับว่าบอกว่าที่มั่วมานั้น มันเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก

ฉะนั้น ถ้าหมดมุข จริงๆก็ควร รู้จักหยุดพิจารณาบ้าง ไม่ใช่คิดแต่แก้หน้าเพียงอย่างเดียว

เจริญในธรรมทุกๆท่าน

 

เอาเถอะ แค่ผมเห็นคุณแย้งพระไตรปิฎก
บอกว่าพระสารีบุตร ผู้ที่พระพุทธเจ้ารับรองเองว่า มีปัญญาเทียบเท่าพระพุทธองค์ ไม่สามารถนับเม็ดฝนได้ถูกต้อง ผมก็ไม่คุยกับคุณต่อแล้วครับ

อะไรจะเกิดขึ้่น ก็เป็นเรื่องของกรรมของคุณเองแล้วนะครับตอนนี้ ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่องจิตหลังกายมนุษย์ตาย ก็ทำใจให้สบายเถอะ

 

^
^
ถ้าอ้างว่าปรามาส ก็เอาหลักฐานชัดๆสิ ไม่ใช่คิดเองเออเอง

ในพระสูตรชัดขนาดนั้น ยังจะด้านเอาให้ได้อีกหรือ เฮ้อ!!!

จำไว้นะ พระพุทธพจน์ทรงพระพุทะองค์มรงตรัสไว้นั้น ล้วนรอบคอบรัดกุม

อย่าเอาความคิดตนเอง มาทำให้พระพุทธจพจน์ต้องเสียหาย

เห็นสไตล์การเล่นรู้เลยว่า เด็กเก่าจากพันทิพ

กรรมที่เกิดจากขาดความซื่อสัตย์ต่อตนเองนั้น ขอบอกน่ากลัวจริงๆ

เจริญในธรรมทุกๆท่าน

 

^
^
จะมั่วไปถึงไหน คนอะไรมีแต่กล่าวหาว่าร้ายคนอื่น

ตรงไหนที่บอกว่านับเม็ดฝนไม่ถูกต้อง พวกหมดมุขมักออกอาการนี้ทั้งนั้น

พูดไว้ที่ไหนว่า "ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่องจิตหลังกายมนุษย์ตาย" อย่ามั่ว

ก็บอกแล้วสันดานกล่าวหาว่าร้ายนี้แก้ยากจริงๆ เลิกซะสันดานแบบนี้

เจริญในธรรมทุกๆท่าน

 

กระทู้นี้สอนให้รู้ว่า


คนชั่วหลงตนเอง ด่าผู้อื่นไม่เลือก แม้กระทั้งพระรัตนตรัย โดยไม่รู้ไม่เห็นความชั่วตนเอง

 

พอเถอะไอ้วิธีีการแบบนี้
ด่าคนอื่นว่าชั่ว

ผมไม่เห็นใครในนี้ด่าใครนะ แม้กระทั่งพระรัตนตรัย ก็ไม่มีใครด่า
มีแต่คุณนี่แหละที่ด่าคนอื่นอยู่

ถ้าไม่เห็นด้วย ด้วยเหตุผลใดก็ว่ามา
แต่อย่ามาด่า ผู้อื่นว่าชั่วอย่างนี้
ไม่ใช่วิสัยนักปฏิบัติธรรมล่ะแบบนี้

 

กระทู้ที่เขียนเป็นสัจธรรม ของคนชั่วซึ่งไม่รู้ไม่เห็นความชั่วตนเอง(ไม่ใช่คำด่า กลับไปลืมตาอ่านให้ดี)
และไม่ได้ระบุว่าใครชั่วเลย แล้วไหนอ้างว่าไปด่าคนอื่นนี้ด่าใคร ระบุชื่อมาหน่อย ว่าใครมันชั่วเหมือนกระทู้ที่เขียนไว้

 

^
^
ใช่จริงๆคนชั่ว มักหลงตนเอง ทำชั่วโโยไม่รู้ตัว

และก็ชอบมั่วด้วยเป็นธรมดา โดยนำเอาพระสูตรมามั่ว เพื่อสนับสนุนตนเอง

การปรามาสพระรัตนตรัยนั้น เป็นเรื่องที่ผู้ปรามาสต้องรับสิ่งที่ทำลงไป

แต่ถ้าผู้นั้น ทำเพื่อปกป้องพระรัตนรตรัย ไม่ให้เศร้าลงไปเพราะความเขลาเบาปัญญา

ยิ่งถ้าโดนคนปากพล่อยกล่าวหาโดยไม่ลืมหูลืมตา เพื่อหาความจริง

ผู้กล่าวหานั้น น่าจะได้รับไปเต็มๆไม่มียกเว้น เพราะความเขลาเบาปัญญาจึงทำชั่วไป

ดูหลักฐานชัดๆอีกที่ก็ จะได้หายโง่เขลาเบาปัญญาเสียที่ เฮ้อ!!!

เจริญในธรรมทุกๆท่าน

 

^
^
เอ้า พวกชั่วๆ มั่วๆ ที่ชอบเอาเปรียบด้วยคำพูดจงอ่านซะว่า

มั่วได้ใจขนาดไหน พระพุทธพจน์ชัดเจนรัดกุม เพื่อไม่ให้ใครตำหนิได้

คำว่า"หยาดน้ำ" เกิดขึ้นได้เพราะ"หยดน้ำ" มารวมกันเป็น"หยาดน้ำ"

แต่พวกชอบมั่ว พูดเองซะงั้นว่า ท่านพระอาจารย์สารีบุตรนับเม็ดฝน

ทั้งที่กล่าวถึง"หยาดน้ำ" มีเป็นการรวมตัวของ"หยดน้ำ"

^
^
จำไว้ด้วยนะ ในปัจจุบัน การทำนายเรื่องฝนตกนั้น

ถ้าสามารกคาดคะเนได้ แค่๘๐% ต้องถือว่าแม่นยำมากแล้ว

การคำนวนปริมาณน้ำ ก็ประมาณ๘-๙๐%เช่นกัน ถือว่าแม่นยำ

ท่านพระอาจารย์กล่าวว่า"คะเนหยาดน้ำ"(ปริมาณน้ำ) ไม่ใช่คะเน"เม็ดฝน"

ถ้าไปโม้ที่ไหนว่า ตนเองสามารถนับเม็ดฝนที่ตกได้ ถ้าไม่โดนสวนกลับก็โชคดีต..หะ

แต่การคำนวนปริมาณน้ำนั้น พระพุทธองค์ทรงรับรองท่านพระอาจารย์สารีบุตรไว้ว่า

" สารีบุตร เราก็ทราบความที่เธอสามารถจะนับได้."

การจะแอบอ้างอะไรนั้น ควรต้องยืนอยู่บนหลักเหตุผล อย่าศาสนาอื่นมา"หัวเราะเยาะได้"

ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ยังพูดอีกว่า

"พระพุทธองค์ทรงรับรองอีกว่า ท่านพระอาจารย์สารีบุตรมีปัญญาเทียบเท่าเรา"

การจะยกอะไรมาสนับสนุนตนนั้น คงไม่มีใครว่าอะไร แต่อย่าเวอร์ไปมันจะโดนตอกกลับได้

ว่า ถ้าท่านพระอาจารย์สารีบุตรมีปัญญาเทียบเท่านพระพุทธองค์ ทำไมไม่"ตรัสรู้เสียเองหละ"

ที่พระพุทธองค์ทรงรับรองนั้น คือการสั่งสอนธรรม สาธยายธรรม และแก้ธรรม ได้เทียบเท่าพระองค์เอง

คุณ123a เพราะขาดความซื่อสัตย์เที่ยวหลอกด่าใครต่อใคร โดยบอกว่าไม่ได้อ้างชื่อนั้น

ถามตรงๆเถอะ คิดได้แค่นั้นเองหรือ เด็กมันยังรู้เลยว่า กำลังโกหก เพราะไม่ซื่อสัตย์

เจ้าของกระทู้ ก็บอกไว้ที่ท้ายบทความแล้วว่า

เจริญในธรรมทุกๆท่าน

 

คุณอินทรบุตรคุณก็ไปว่าคุณเตชพโล ความจริงปฏิบัติจนถึงขั้นดูการเกิด-ดับ มันก็สูงอยู่นา ดูด้วยสติและปัญญา จะไหวเอนก็ปัญญา ดูความเกิดดับของกิเลส หรือจัดเป็นอนัตตา(เทียบเราเอง) ก็ได้ การจะดูได้หรือถึงจุดนี้ก้ต้องผ่านการทำสมาธิ ส่วนใหญ่ผู้ที่พิจรณาความเกิด-ความดับได้ ต้องผ่านสมาธิและฌาณมาก่อนจึงจะดูได้

 

จะทะเลาะกันไปทำไมครับ นัดทานข้าวกันเป็นแฟนกันให้มันรู้ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ อ้อ ผมขอคาราโอเกะนะ ปรึกษาขันธ์ โอ๊ทธิเดชว่าไง *_*