เชิญช่วยกันระดมความคิดเห็นเรื่อง"จิต" เพื่อสัจธรรมความจริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 17 มิถุนายน 2013.

  1. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    เหลือแต่ที่เรียกกันตามสมมุติเขาไม่เรียกว่าจิต เขาเรียกว่า นิพพานธาตุ เพราะไม่มีอะไรมาข้องเกี่ยวอีกแล้ว หากเรียกว่าจิต นั่นก็เป็นไปตามความเข้าใจจามภาษาแต่ตามภูมิธรรใเขาจะรู้ว่านั่นไม่อาจเรียกว่าจิตได้อีกแล้ว จึงบัญญัติอะไรที่แตกต่างและเป็นไปตามนั้น และเป็นอะไรที่เข้าใจได้แน่ๆถ้า ค่อยๆพิจารณาและสร้างสมบารมีไปเรื่อยๆ อย่ารีบเร่ง
     
  2. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    คำตอบคือใช่คำสอนพระศาสดาแต่สอนผู้มีอินทรีย์บารมีสูง ถูกต้องทุกประการคือเมื่อพระศาสดาและเหล่าพระขีณาสพเจ้าทั้งหลายดับขันธ์เข้าสู่สอุปาทิเสสนิพพานก็ดีอนุปาทิเสสนิพพานก็ดี นั่นไม่ได้หมายความว่า จิตยังมีอยู่เพราะเหตุว่านั่นไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยเหตุคือจิตเป็นตัวพาไปอีกแล้วเรียกว่า ว่างจากกิเลสแต่ไม่ได้หมายความว่าดับสูญไปจากธรรมนั่นคือยังคงมีอยู่แต่อยู่ในลักษณะที่ไม่ได้อาศัยเหตุคือปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างปกติ จึงเรียกว่า โลกุตตรจิต หรือ นิพพานธาตุ
     
  3. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    คำถามนี้ก็ตอบตามที่กล่าวแล้วข้างต้นและเป็นคำตอบจากผู้ไม่มีภูมิใดๆทั้งสิ้นก็เผื่อว่าจะไว้พิจารณาหากไม่เป็นไปเพื่อละเพื่อคลายก็พึงปลงมันลงเสีย เพราะผมก็ไม่ได้มีภูมิอะไรๆและใดๆทั้งสิ้น ตอบตามความเข้าใจทั้งนั้นผิดพลาดอย่างไรก็พึงท่านสาธุชนทั้งหลายพิจารณาและหาทางปฏิบัติเอา
    สาธุคั๊บ
     
  4. ss_solomon

    ss_solomon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +54
    ขอบคุณครับบบบบ :) ก้อแค่รอคำตอบว่าจะมีใครคิดตรงกะผมหรือป่าวครับบบบ
     
  5. สันดุสิต

    สันดุสิต Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +86
    ผมตามดูจิตแล้วมันทรงตัว จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ จะว่าเบื่อก็ไม่ใช่ จะว่าหลงก็ไม่ใช่ มันเป็นจิตที่มีสภาวะเป็นใจ เลยว่างมาแล้ว รบกวนพี่ธรรมภูตช่วยแนะนำสั่งสอนที
     
  6. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เตชพโล คิดว่าจิตรับรู้ความร้อนได้อย่างไรกัน?
    ในเมื่อเส้นประสาท ส่งผัสสะความร้อน เป็นคลื่นความถี่ไฟฟ้า คลื่นความถี่นี้ เป็นลักษณะของการเกิดดับถี่ๆ

    ในเมื่อผัสสะของความร้อน ที่แท้จริง มันเป็นการเกิดดับถี่ๆ แล้วเตชพโล ยังจะยืนกรานอีกหรือ ว่า การเกิดดับของ(สิ่งที่คิดว่าเคยเป็น)จิต นั้นไม่ใช่การเกิดดับถี่ๆ?

    การจะแย้งว่า มันเป็นเรื่องของกายวิภาค ไม่ใช่เรื่องของจิต อันนี้ก็เป็นคำแย้งที่ขัดกับสัจธรรมความเป็นจริง

    เพราะถ้าหากจิตของเตชพโล รู้ผัสสะความร้อนได้ จากการที่ผิวกายกระทบความร้อนโดยตรง เตชพโล ก็ลองฉีดยาชา ระงับการทำงานของเส้นประสาทชั่วคราวดู แล้วไปจับของร้อนๆ ดูสิว่ายังรู้สึกอีกไหม?

    ถ้ารู้สึกได้ ทั้งๆ ที่ เส้นประสาทไม่ทำงาน เตชพโล จึงจะกล่าวต่อสาธารณชนได้ ว่า (สิ่งที่คิดว่าเคยเป็น)จิตนั้นไม่ได้เกิดดับถี่ๆ

    แต่ถ้าเตชพโล ยังต้องอาศัยการทำงานของเส้นประสาทของร่างกายเพื่อรับผัสสะต่างๆ (สิ่งที่คิดว่าเคยเป็น)จิต ยังไงก็ต้องมีการเกิดดับถี่ๆ เพราะว่าผัสสะที่ส่งมา มันเป็นเช่นนั้น นี่คือสัจธรรมของโลก

    สังเกตเห็นกรณีคล้ายกัน ในเรื่องของทิฎฐิที่ผิดเช่นนี้ ในธรรมภูต เช่นเดียวกัน ที่ธรรมภูตบอกว่า ตัวที่หัวเราะ กับตัวที่เสพความสุขจากการหัวเราะ เป็นตัวเดียวกัน อันนี้ก็เป็นลักษณะเดียวกัน ที่เห็นมันเป็นสิ่งเดียวกัน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว มันเป็นการทำงานคนละส่วนกัน แยกจากกัน

    แต่ก็เข้าใจอยู่นะ ทั้งธรรมภูต ทั้งเตชพโล

    อุปมา ก็เหมือนมีจอทีวี หรือจอคอมพิวเตอร์อยู่ บนจอแสดงแต่ภาพนิ่งสีส้ม

    หากถามเด็กเล็กๆ ว่า เห็นสีอะไร เด็กเล็กๆ ก็ต้องตอบว่า สิ่งที่เห็น คือ สีส้มที่เป็นภาพนิ่ง
    หากจะอธิบายให้เด็กเล็กๆ เข้าใจว่า แท้จริงแล้ว มันไม่ใช่สีส้ม แต่มันคือ สีแดง + สีเขียว + สีฟ้า ที่กระพริบถี่มากๆๆ จนตาเรามองไม่ทัน ผสมกันออกมาเป็นภาพนิ่งสีส้ม
    เด็กเล็กๆ ที่ไม่มีทั้งความรู้ที่ถูกต้อง และ ไม่มีแว่นขยายที่เอาไว้ส่องดู ก็จะต้องเถียงบอกว่า มันเป็นสีส้ม มันไม่ใช่ สีแดง สีเขียว สีฟ้า ผสมกัน และมันก็เป็นภาพนิ่ง มันไม่ได้กระพริบ

    เราจะไปบอกเขาอย่างไร เขาก็ย่อมจะไม่เชื่อเรา เพราะเหตุปัจจัยเขามีแค่นั้น เขาสามารถรู้เห็นได้แค่นั้น

    แต่การที่รู้เห็นได้เท่าไหร่ แล้วเอามาประกาศบอกว่า ความจริงเป็นเช่นน้้น เป็นเช่นนี้ ก็คงต้องบอกกำกับไว้ด้วย ว่าเป็นความจริงในชั้นไหน? จะบอกว่าเป็นสัจธรรมนั้น คงจะไม่ได้ เพราะสัจธรรม ไม่ได้เป็นตามที่เด็กเล็กๆ นั้นเห็นด้วยสภาพการรับรู้หยาบที่ตนเองมี

    ทั้งสองคน หากปฏิบัติถึงเมื่อไหร่ มีแว่นขยาย(สติ) ขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะเข้าใจได้เอง
     
  7. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เคยพูดที่ไหนว่า
    ไม่เคยพูดนะ ว่า ระบบประสาท เป็นสิ่งที่คิดว่าเคยเป็นจิต
    ก็บอกแล้วชัดเจนว่า ระบบประสาทเป็นเรื่องของกาย ไม่ใช่จิต
    เป็นเครื่องสืบต่อมายังจิตเท่านั้นแหละ แต่ไม่ใช่จิต

    กลับไปอ่านใหม่ให้เข้าใจนะ
    ถ้ามีเหตุผลอะไรจะค้านอีกก็ค่อยว่ามา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2013
  8. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    มันรู้อยู่เเก่จิตตัวเองนั้นเเหละ ฉลาดเรื่องอะไรก็ไม่เท่าฉลาดวาระจิตตัวเอง มองดูจิตที่มันทำไม่สำเร็จแล้วปรุงว่าทำได้สิ (ตัวอุทธัจจ)ไม่ต้องอยากไปดูจิตผู้อื่นเลย มองไปที่จิตตัวเอง เท่านี้ก็เห็นทั่วโลกแล้ว จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของจิต
    คุณนั่งสมาธิ ไม่ถึงนาที มันก็หลุดออกจากลมเเล้ว เเต่คุณสำคัญว่าไม่หลุด สังเกตุดีๆอะไรมีอยู่ อะไรหายไป มันไม่สามารถรู้พร้อมๆกันได้ เพราะคุณสั่งสมว่าจิตเป็นตัวเองมาตลอดกาล. เวลาจิตหลุดจากลมคุณก็เเค่คิดว่ามันคือเราที่บังคับไม่ได้.เพราะติดสมาธิจนเป็นนิสัยด้วย ไม่มีวิปัสสนาเข้าไปมองตามสติปัฏฐาน ลึกๆคุณเองก็หงุดหงิด เพราะมันชอบฟุ้งไปเรื่องต่างๆนาๆ ความสะดุ้งหวาดเสียวก็มีอยู่เรื่อยๆ เมื่อไม่ตามเห็นจิตในจิต. ไม่ฉลาดในวาระจิต
    ต้นเหตุมาจาก เพราะการไปสำคัญสิ่งไม่เที่ยงว่าเที่ยงยังไงหล่ะ
     
  9. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    คิริมานนท ที่พระพุทธเจ้าสอน คือ สัญญา10
    ส่วนที่นำมา คิริมานนทโดย สาวกภาษิต
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    เอาเป็นว่าพอแนะนำได้ก็แนะนำกันไป แต่คงไม่คิดสั่งสอนใคร

    เพราะ"ยังต้องเป็นผู้สดับ ยังต้องเป็นผู้กระทำให้ตื้น"

    การตามดูจิต ต้องระวังติดคิด ยิ่งพวกติดดีในดียิ่งน่ากลัว

    เพราะเป็นวิปัสสนูกิเลสที่ละเอียดอย่างหนึ่ง โดยกิเลสละเอียดมันหลอกเอาได้

    ตนเองคิดว่า"เฉย"อยู่ หรือ คิดว่า"ถูกต้องที่สุด"อยู่

    เช่นท่านพระอาจารย์หลวงตามหาบัว ท่านเคยสั่งสอนเป็นอุทาหรณ์ไว้แล้ว(ดูจิตสมาธิเสื่อม)

    สำหรับฉันเองนั้น เมื่อมีสภาวะธรรมอะไรเกิดขึ้นที่จิต เมื่อเกิดข้อสงสัย ไม่ปล่อยให้สงสัย

    ต้องแก้ข้อสงสัยนั้น จะได้ไม่ติด วิธีง่ายๆที่นักปฏิบัติมักมองข้ามหรือลืมนึกถึงก็ได้

    คือการทบทวนสภาวะธรรม โดยการดึงกลับมาสภาวะก่อนหน้านั้น

    แล้วค่อยๆปล่อยให้อยู่ในสภาวะที่เป็นอยู่ สักสองสามครั้งก็รู้เองว่า"ถูกหลอกแล้ว"

    เช่นถ้าเกิดขึ้นในขณะที่ภาวนาอยู่ ก็ดึงลมให้หยาบลงสักเล็กน้อย

    แล้วปล่อยกลับไปสู่ลมละเอียดตามเดิมสักสองสามครั้งเช่นกัน

    ก็จะรู้และเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร?

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน

    ;aa24
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    การทึกทักจากสัญญาอารมณ์ที่ตนเองเออเองคิดว่า เป็นปัญญาของตนนั้น

    ต้องถือว่า"ผิด" เพราะอะไร?

    ก็เพราะตนเองยังภาวนายังไม่เป็น จึงทึกทักเอาว่าคนอื่นไม่มีทางทำได้

    แต่ชอบพูดในสิ่งที่ตนเองก็ยังไม่เข้าใจ เช่น ที่พูดว่า"ฉลาดในวาระจิตตนเอง"

    แต่พอถูกถามไม่เคยได้รับคำตอบที่ตรงไปตรงมาเลย มักเลี่ยงไปพูดในสิ่งที่ตนเองอยากพูดเท่านั้น

    อะไรที่ฉลาดในจิตของตนเอง ใช่จิตของตน ใช่หรือไม่? ให้ตอบใช่หรือไม่ก็พอ

    แล้วจิตของตนจะฉลาดได้ยังไง ถ้าไม่ลงมือ"ภาวนามยปัญญา"

    เพื่อสร้างสติปัญญาให้เกิดขึ้นที่จิตตน? แล้วจิตของตนจะฉลาดรู้วาระจิตตนหรือ?

    ทอคยู2เล่นปักธงลงไปเพราะความเขลาเบาปัญญาว่า

    การรู้ชัดทุกหายใจนั้นไม่มีทางที่ใครจะทำสักแม้นาทียังทำไม่ได้เลย?

    ทั้งๆที่พระพุทะพจน์ และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านทำเป็นแบบอย่างที่ดีมาแล้ว


    ^
    ^
    พระพุืทธพจน์ชัดเจนว่า รู้ชัดทุกลมหายใจเข้า-ออก มีตรงไหนที่ตรัสว่ารู้บ้างไม่รู้บ้าง

    ที่ท่านพระอาจารย์หลวงสิม ท่านเองก็สอนว่าให้"เอาลมหายใจมัดจิต"ให้อยู่ณ.ภายในกาย
    (พิจารณากายในกายเป็นภายในนั่นเอง)

    อย่าว่าแต่แค่นาทีเลย ศิษย์ก้นกุฎิท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์

    ท่าน"ภาวนาข้ามคืน โดยมีสติกำกับอยู่ตลอดเวลาขณะที่ภาวนาอยู่นั้น"

    ถ้าจะคุยโม้อะไร ไปหัดภาวนาให้เป็นก่อนจะดีกว่านะ จะได้ไม่ถูกหงายหมาได้ง่ายๆ

    แค่หลงเรื่องจิตกับวิญญาณ แค่นี้ผู้รู้ก็รู้แล้วว่า "ไอ้นี่ไม่เป็น" แค่อยากคุยอวดเท่านั้น

    ยิ่งคุยว่า"ไม่มีวิปัสสนาเข้าไปมองตามสติปัฏฐาน" นี่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่า

    "ที่อวดโม้โชว์ภูมิธรรม"มานั้น จากความคิดเองเออเอง ที่คิดจนตกผลึกแล้วนั่นเอง

    จำไว้นะ การ"ภาวนา"ที่ใช้กายสังขารเป็น"องค์ภาวนา"นั้น ล้วนยกขึ้นวิปัสสนา(รู้เห็นตามความเป็นจริง)ได้เอง

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเพ่งฌาน อย่าเป็นผู้เดือดร้อนในภายหลัง" (พระพุทธพจน์)

    ถ้าสัมมาสมาธิ"ไม่ใช่วิปัสสนา" ด้วยแล้ว เป็นเพียงแค่สมถะเท่านั้น

    พระพุทธองค์ต้องทรงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเพ่งฌาน

    แล้วอย่าลืมยกขึ้นวิปัสสนาด้วย จะได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลัง"

    ไม่เคยมีพระสูตรไหนใน"สมาธิสูตร" ที่ทรงตรัสไห้ยกขึ้นวิปัสสนาเลย

    "พวกเธอจงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด ผู้ที่มีจิตตั้งมั่น ย่อนรู้เห็นตามความเป็นจริง(วิปัสสนา)"

    มีแต่พวกที่ชอบเพิ่มเติมเสริมแต่งให้ดูโก้ๆในภายหลัง ที่มักอ้างเอาวิปัสสนาบังหน้า

    เพราะอะไร? เพราะความเกียจคร้านขาดความเพียรพยายามในการภาวนา

    และหลงเชื่อจากที่ไหนก็ไม่รู้ว่า จิตไม่สามารถรู้ชัดอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ แม้แต่นาทีเดียว

    แต่จะเอาปัญญาจาก"วิปัสสนึก"จอมปลอม ที่ตรึกนึกคิดขึ้นเองเท่านั้น

    เฮ้อ!!! น่าเศร้าใจกับบุคคลจำพวกนี้ ที่งมงายอยู่กับความคิดตนเองที่คิดว่า "ถูกที่สุด"

    เจริญในธรรมทุกๆท่านที่เป็นบัญฑิต

    ;aa24
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2013
  12. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419



    คุณอาจจะพลาดโอกาสที่ไม่เคยได้เจอคนที่เค้ามีภูมิมานาน ไปเจอพวกที่อ้างตัว ตำราบลำบรา จนคุณเเยกไม่ได้ว่าใครเค้ารู้จริงหรือปลอม เมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสที่จะเเก้ทิฏฐิก็จะยากตามไปด้วย
    เวลาคุณยกบทนี้ เเน่นอนคุณต้องโล่งใจ ลิงโลดไปตามเพลิน(อารมณ์ที่ชอบใจ). เพราะพวกนั้นคงต้องสงบตามระเบียบ
    เเต่หารู้ไม่เมื่อพูดมาเเบบนี้กับ คนที่เค้ารู้จริงมองเเว็บเดียวตะลุหมดพุง
    คุณต้องดู อานาปานสติ หมวดนั้นให้เต็มๆ อย่าตัดเอามาตามใจชอบ
    เมื่อ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า หรือโคนไม้ หรือเรือนว่างก็ ตาม นั่งคู้ขา
    เข้ามาโดยรอบ (นั่งขัดสมาธิ) ตั้งกายตรงดำรงสติเฉพาะหน้าเธอนั้น มีสติหายใจเข้า มี
    สติหายใจออก :

    เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่าเราหายใจเข้ายาว, หรือเมื่อ หายใจออก
    ยาว ก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่าเราหายใจออกยาว;
    หรือว่า เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่าเราหายใจเข้าสั้น, หรือเมื่อ หายใจ
    ออกสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วถึงว่าเราหายใจออกสั้น;
    ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง จักหายใจเข้า
    ดังนี้, ย่อมทำในบทศึกษาว่า เราเป็นผ็รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวงจักหายใจออก
    ดังนี้ ;

    พระองค์ปฏิบัติอย่างไรพูดอย่างนั้น พูดอย่างไหนปฏิบัติอย่างนั้น
    ถึงจะหายใจเข้าออก ก็มีความไม่เที่ยง
    ฉนั้นที่อ้างว่าเที่ยงเเท้ตลอดสายมันเเทบจะพูดคนละอย่างจากที่สั่งสอน
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ตั้งแต่สมัยอนุบาล และประถมศึกษา
    เขาสอนการอ่านเขียนในภาษาไทย ว่าให้เราใช้การเว้นวรรค แบ่งคั่นประโยค เพื่อแยกกลุ่มคำออกจากกัน จะได้สื่อสารกันเข้าใจตรงกัน

    เตชพโล อ่าน แล้วทำความเข้าใจอีกทีนะ

    ผมใช้การเว้นวรรค แบ่งประโยคไปแล้ว ว่าคำไหน อยู่กับประโยคไหน

    อย่าเอาคำที่ผมคั่นไว้ด้วยการเว้นวรรค เอามารวมเป็นประโยคใหม่ มันจะทำให้ใจความเพี้ยน

    โค ลงเรือ ทำให้ เรือ โคลง

    อย่าไปอ่านเป็น
    โคลง เรือ ทำให้ เรือ โค ลง
     
  14. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เป็นยังไง หมดเหตุหมดผลจะมาค้านแล้วล่ะสิ
    เลยเอาไอ้เรื่อง โคลง เรื่อง โค-ลง มาพูด
     
  15. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ" " ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้ว จะไปเกิดในที่ใดพระเจ้าข้า " วัจฉะ ที่ใช้คำพูดว่า จะไปเกิดนั้น ไม่ควรเลย " ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็เช่นนั้น จะไม่ไปเกิดหรือ" วัจฉะ ที่ใช้คำพูดว่าไม่ไปเกิด นั้นก็ไม่ควร " ข้าแต่ระโคดมผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น บางทีเกิด บางทีไม่เกิด กระนั้นหรือ" วัจฉะ ที่ใช้คำพูดว่า บางทีเกิด บางทีไม่เกิดนั้นก็ไม่ควร " ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้นภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้ว จะว่าไปเกิดก็ไม่ใช่ ไม่ไปเกิดก็ไม่ใช่กระนั้นหรือ" วัจฉะ ที่ใช้คำพูดว่า จะไปเกิดก็ไม่ใช่ ไม่ไปเกิดก็ไม่ใช่ แม้กระนั้นก็ไม่ควร "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้อที่พระองค์ตรัสตอบนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องเสียแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าวนเวียนเสียแล้ว แม้ความเลื่อมใสที่ข้าพเจ้ามีแล้ว ต่อพระองค์ในการตรัสไว้ตอนต้นต้น บัดนี้ได้ลางเลือนไปเสียแล้ว " วัจฉะ ที่ท่านไม่รู้เรื่องนั้น ก็สมควรแล้ว ที่ท่านเกิดรู้สึกวนเวียนนั้น ก็สมควรแล้ว เพราะธรรมนี้เป็นของลุ่มลึก ยากที่จะเห็น ยากที่จะรู้ตาม ธรรมนี้เป้นของสงบระงับ ประณีต ไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งถึงได้ด้วยการตรึก ธรรมนี้เป็นของละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้ เรื่องปริยายนี้ ตัวท่านมีความเห็น มาก่อนหน้านี้ เป็นอย่างอื่น มีความพอใจที่จะฟังให้เป็นอย่างอื่น มีความชอบใจ จะให้พยากรณ์เป็นอย่างอื่น เคยปฎิบัติทำความเพียรเพื่อให้ได้ผลเป็นอย่างอื่น ท่านเองได้มีครูบาอาจารย์เป็นอย่างอื่น ฉนั้นท่านจึงรู้ได้ยาก วัจฉะ ถ้าเช่นนั้น เราจักย้อนถามท่านดู ท่านเห็นควรอย่างไร จงกล่าวแก้อย่างนั้น[/SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2013
  16. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    วัจฉะ ท่านจะสำคัญความข้อนี้เป้นไฉน ถ้าไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านจะพึงรู้ได้หรือ ว่าไฟนี้ลุกโพลงลุกโพลงอยู่ต่อหน้าเรา " ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าพึงรู้ได้ พระเจ้าข้า " วัจฉะ หากมีคนถามท่านว่า ไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่านนี้ มันอาศัยอะไรจึงลุกได้ เมื่อถูกถามอย่างนี้ ท่านท่านจะกล่าวแก้เขาว่าอย่างไร " ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ไฟที่ลุกโพลงลุกโพลงอยู่ต่อหน้านี้ มันอาศัยหญ้าหรือไม้เป็นเชื้อมันจึงลุกอยู่ได้พระเจ้าข้า" วัจฉะหากไฟนั้นดับไปต่อหน้าท่าน ท่านจะพึงรู้ได้หรือ ว่าไฟนั้นได้ดับไปต่อหน้าเรา " ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าพึงรู้ได้ พระเจ้าข้า" วัจฉะหากมีคนถามท่านว่า ไฟที่ดับไปต่อหน้าท่านนั้น มันไปทางทิศใหนเสีย ทิศตะวันออกหรือตะวันตก ทิศเหนือหรือทิศใต้ เมื่อถูกถามอย่างนี้ ท่านจะกล่าวแก้เขาว่าอย่างไร " ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้อนั้นไม่ควรกล่าวอย่างนั้น เพราะไฟนั้นอาศัยเชื้อ คือหญ้าหรือไม้จึงลุกขึ้นได้ แต่ถ้าเชื้อนั้นมันสิ้นไปแล้ว ทั้งไม่มีอะไรอื่นเป้นเชื้ออีก ควรนับว่าไม่มีเชื้อ ดับไปแล้ว."...ฉันใดก็ฉันนั้นแล วัจฉะ เอ๋ย เมื่อไปบัญญัติอะไรขึ้นมาให้เป็นสัตว์ โดยถือเอารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน กลุ่มใดขึ้นมา มันก็ได้ แต่ความยึดถือเอารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน สำหรับกลุ่มนี้ ตถาคตเองละได้ขาดแล้ว ถอนขึ้นได้จนถึงรากเง่าของมันแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วนเสียแล้ว ถึงความยกเลิกไม่มีอีก ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว วัจฉะเอย ตถาคตอยู่นอกเหนือการนับว่าเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน นั้นเสียแล้ว มันเป้นเรื่องลึกซึ้ง ที่ใครใครไม่พึงประมาณได้ หยั่งถึงได้ยาก เหมือนดั่งห้วงมหาสมุทรฉะนั้น วัจฉะเอย ข้อนี้จึงไม่ควรกล่าวว่าเกิด ไม่ควรกล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าบางทีก็เกิด บางทีก้ไม่เกิด และไม่ควรกล่าวว่าเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ดังนี้แล--ม.ม.13/245-247/248-251.....:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2013
  17. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    แล้วอะไรเป็นอะไรละ ทั้งหมดในกระทู้นี้จริงๆแล้วเขากำลังกล่าวถึงอะไร หากเห็นว่าควรแนะนำก็แนะนำกันไปชัดๆเลยก็น่าจะดี และเห็นว่าสมควรในการจะอนุโมทนาสาธุคั๊บ
     
  18. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ตอนนี้ เตชพโล ตอบแย้งด้วยการอ่านแล้วเว้นวรรคแบบผิดๆ ทำให้ไม่เข้าใจความหมายที่ถูกต้องของข้อความ

    สิ่งที่เตชพโลควรทำ คือ กลับไปอ่านข้อความใหม่ โดยการแบ่งวรรคตอนให้ถูกต้องอีกครั้ง เพื่อทำความเข้าใจว่า สิ่งที่ถูกเขียนไว้ มีความหมายว่าอย่างไร

    หากเตชพโล ไม่สามารถทำได้ ในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เด็กอนุบาลบางคน และเด็กประถมเกือบทั้งหมด ทำได้ เตชพโล ก็คงจะหวังเข้าใจในเรื่องของจิตไม่ได้หรอกนะ

    แล้วก็ อันนี้สงสัยเพิ่มเติม เตชพโล จบการศึกษาชั้นไหนมาหรือครับ?
     
  19. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เลอะเทอะไปใหญ่แล้วอินทรบุตร
    ถ้าไม่มีเหตุผลอะไรมาค้าน
    ก็ ขอตัวแล้วกัน
     
  20. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    หากการละทิฏฐิผิดๆ ของตนเองมันยาก จนต้องบิดเบือนความจริง ก็ตามสบายเถิด

    ยังไงเสีย เตชพโลก็เป็นเพียงดวงจิตอีกดวงหนึ่ง ที่ต้องเดินทางอีกนาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...