เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิวจริง..ยิวปลอม 2
    shaffi : เขียน (4 มี.ค.2009)

    หนังสือชื่อ The Controversy of Zion เขียนโดย Douglas Reed ทำให้มุมมองที่โลกมีต่อยิวเปลี่ยนไป Reed แก้ตัวแทนยิวส่วนใหญ่(ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นยิวแท้-มีเลือดเดวิดในร่างกาย)ว่า ไม่ได้เป็นตัวก่อความวุ่นวายขึ้นในโลก อย่างที่เป็นอยู่ และไม่ได้เป็นเจ้าของความคิดในการปล้นชิงประเทศคนอื่นเพื่อมาก่อตั้งรัฐยิว คนยิวส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการรัฐยิว แต่พวกตัวแสบที่ทำให้ยิวทั้งโลกกลายเป็นตัวอันตรายในสายตาชาวโลก คือพวกไซออนิสต์ ซึ่งเป็นยิวปลอม เป็นยิวที่ไม่ได้มีเลือดของเดวิด (กษัตริย์เดวิด กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งชนชาติยิว) เป็นยิวที่แอบแฝงมาด้วยการเปลี่ยนศาสนา มาจากดินแดนที่เรียกว่า Khazaria ซึ่งอยู่ระหว่างทะเลดำกับทะเลสาปแคสเปียน แรบไบของพวกยิวปลอม สร้างกฏหมายตัลมุด และเชิญชวนให้ยิวหลงใหลศรัทธา

    ยิวบางคนที่มีทัศนะตรงข้ามกับไซออนิสต์ เช่นเดียวกับ Douglas Reed และเชื่อในทฤษฎีที่ว่า เป้าประสงค์ของไซออนิสต์ในการแย่งชิงดินแดนปาเลสไตน์ มาเป็นของไซออนิสต์ (หรือฝันอยากได้ดินแดนในตะวันออกกลางที่กว้างไกลไปกว่าปาเลสไตน์ไตน์ ที่เรียกว่า Erezt Irarael หรือ The Greater Israel) นั้น มีเป้าหมายแอบแฝง และเป้าหมายแอบแฝงนั้นก็คือ “น้ำมัน” ในตะวันออกกลาง บอกตามตรงว่าผมเองก็เพิ่งได้ยินว่ามียิวบางคนคิดอย่างนี้ เหตุผลของผู้ที่เชื่อว่าไซออนิสต์ต้องการปาเลสไตน์เพราะอยากเปิดประตูสู่ดินแดนที่มั่งคั่งด้วยน้ำมัน โดยใช้เหตุผลเรื่องคำสัญญาของพระเจ้ามาบังหน้า มาจากข้อสงสัยที่ว่า เหตุใดกลุ่มยิวนายทุนจากยุโรป อย่างพวกตระกูล Rothschilds ตระกูล Warburgs และ Oppenheims จึงยอมควักเงินเป็นสปอนเซอร์ให้พวกไซออนิสต์ เอาไปใช้รณรงค์เพื่อสร้างรัฐยิวในปาเลสไตน์ การรวมยิวเป็นประเทศไม่ได้ทำให้ผลประโยชน์ของเศรษฐีตระกูลมาเฟียพวกนี้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใดไม่ เหตุผลเดียวที่จูงในเศรษฐียิวหน้าเลือดอย่างพวก Rothschilds ได้จะต้องมีผลประโยชน์มหาศาลรออยู่ข้างหน้า นั่นคือ การค้นพบน้ำมันในตะวันออกกลาง เปล่าเลย..ยิวไม่ได้ต้องการครอบครองบ่อน้ำมัน แต่ยิวต้องการควบคุมสถานการณ์ในตะวันออกกลางเพื่อให้แน่ใจว่า น้ำมันจะมีราคาแพลงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเมื่อพวกเขาควบคุมกลไกราคาของน้ำมันได้ มันก็จะตอบสนองต่อกลไกทางธุรกิจการเงินของพวก Rothschilds ในลำดับต่อไป ..ฟังไปฟังมาชักมีเหตุผลเหมือนกันนะครับ

    ในยุคต้นๆของโลกสมัยใหม่ นอกจากค้ายาเสพติด และค้าเงินแล้ว ก็มีแต่น้ำมันนี่แหละที่ทำกำไรมหาศาล แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของกลไกราคาโลก แล้วใครคือผู้กำหนดกลไกราคาน้ำมันโลก เขาคือ John D. Rockefeller ตำแหน่งของเขาก็คือ oil commissar และนายธนาคารผู้รักษาผลประโยชน์ให้ครอบครัว Rothschilds ในอเมริกา คือผู้กำหนดยุทธศาสตร์น้ำมันโดยควบคุมให้ “ปริมาณการผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดต้องน้อยกว่าความต้องการบริโภคอยู่ตลอดเวลา” แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้เมื่อน้ำมันบ่อแรกของโลกถูกเจาะขึ้นที่ Beaumont, Texas ในปี 1901 ต่อมากลไกการกำหนดราคาน้ำมันก็อยู่ในมือยิวกลุ่ม Rothschild - Rockefeller ตั้งแต่ปี 1917 โดยเข้าไปอยู่เบื้องหลังคอยควบคุมปริมาณการของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เพื่อให้ป็นไปตามกฎ “ผลิตน้อยกว่าต้องการใช้เสมอ” เพื่อควบคุมราคาให้เป็นไปตามต้องการ การควบคุมปริมาณน้ำมันในรัสเซีย ยิวทำงานผ่านตัวแทนคนสำคัญสองคนคือ Trotsky กับ Lenin เพื่อให้แน่ใจว่าปริมาณน้ำมันส่วนใหญ่ยังคงอยู่ใต้ดิน ต่อไปจยกว่ากลไกราคาจะเหมาะสม

    ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ วิจารณ์ว่าเยอรมันเองก็เพิ่งได้รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของสงคราม โลกครั้งที่หนึ่ง ก็คือ ความต้องการของฝ่ายสัมพันธมิตร ที่ต้องการชิงความมั่งคั่งไปจากเยอรมัน รวมทั้งมหาอำนาจตะวันตกต้องการเขียนแผนที่ยุโรปโดยกำหนดเส้นพรมแดนขึ้นใหม่ในยุโรป และในตะวันออกกลาง ภูมิภาคที่อุดมไปด้วยน้ำมัน (เนื่องจากผลของสงครามทำให้อาณาจักรออตโตมานต้องล่มสลายลง) มหาอำนาจสร้างรัฐยิวขึ้นเป็นตัวแทนในตะวันออกกลางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ โดยการอ้างถึงคัมภีร์

    ภัยคุกคามผลประโยชน์ยิวกลุ่ม Rothschild/Rockefeller อย่างเดียวก็คือ ราคาน้ำมันตกต่ำ ในปี 1960 David Rockefeller ในฐานะของผู้บริหาร OPEC จึงจัดการประชุมครั้งแรกขึ้นในแบกแดด ประเทศอิรัก เพื่อให้แน่ใจว่าราคาน้ำมันจะไม่ลดลงไปกว่าที่เป็นอยู่ แล้วก็ด้วยเหตุผลเดียวกันแต่ต่างวิธีการ ที่ทำให้รัฐบาลยอร์จ ดับยา บุช วางแผนบุกอิรัก เหนือข้อกล่าวอ้างและหลักฐานเท็จทั้งปวงที่บุชนำมาแสดงต่อชาวโลกก็คือ เพื่อความมั่นใจว่าสหรัฐจะควบคุมปริมาณการผลิตน้ำมันของอิรักในระดับที่สหรัฐจะยังคงรักษามาตรฐานราคาที่เอื้อต่อประโยชน์ ของกลุ่มนักลงทุนยิวได้อย่างมั่นคงต่อไป ขณะที่ท่อลำเลียงน้ำมันเส้นใหม่จากอิรักไปสู่เมืองไฮฟาของอิสราเอลยังมีน้ำมันไหลไปหล่อเลี้ยงอิสราเอลได้มากเท่าที่อิสราเอลต้องการ

    ผู้เขียนกล่าวอย่างรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อน ว่าปัยหาที่ยิวก่อไว้ในโลกเป็นเรื่องซีเรียสจริงจังสำหรับคนยิวแท้ๆ เพราะเวลาที่มีใครกล่าวว่ายิวเป็นตัวป่วนโลก ไม่มีใครนึกถึงตัวป่่วนตัวจริง ซึ่งก็คือไซออนิสต์ ไม่มีใครพูดถึงผลงานอันตรายต่อความคิดที่ยิวจากรัสเซียคิดประดิษฐ์ขึ้นคือความศรัทธาในคัมภีร์ตัลมุด ที่บรรจุแน่นไปด้วยความคิดอันตราย และการละเมิดสิทธิผู้อื่นที่ไม่ใช่ยิว (นี่ละมังที่เป็นเหตุให้ยิวกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเวลาที่มีคนร้องถามเกี่ยวกับเนื้อหาจากคัมภีร์ ที่เต็มไปด้วยเนื้อหาเหยียดเชื้อชาติ ยิวมักปฏิเสธ แต่ก็ยากที่จะอธิบาย) ผู้เขียนเชื่อว่าตัลมุดนี่เองที่นำไซออนิสตืไปสู่การควบคุมอำนาจในโลก อย่างเช่นที่ Herzl บิดแห่งไซออนิสต์กล่าวว่า "And when we rise, there rises the terrible power of our purse." ซึ่งหมายความว่า “เมื่อเราผงาดขึ้น อำนาจอันยิ่งใหญ่จะอยู่ในอุ้งมือเรา”

    พวกที่เอาแต่นั่งมองความเป็นไปในโลกแล้ววิจารณ์ต่างยกย่องให้ว่าพวกยิวเป็นพ่อค้าที่มองการณ์ไกล พวกยิวรู้ได้อย่างไรว่า โลกจะโลกาภิวัตน์ รู้ได้อย่างไรว่าตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดตราสารหนี้ ตลาดซื้อขายล่วงหน้าน้ำมัน ตลาดเก็นกำไรทองคำ การเก็งราคาค่าเงิน ตลาดอนุพันธุ์ต่างๆ นั้นจะมีิอำนาจในครอบงำเศรษฐกิจโลก พวกเขาวิจารณ์ว่าเพราะพวกยิวฉลาดและมองการณ์ไกล พวกยิวจึงเข้ายึดครองส่วนใหญ่ของทุนในโลกทุนนิยมนี้ไปไว้ในอุ้งมือเกือบทั้งหมด ..พวกเขาคิดว่ายิวฉลาด โดยไม่ทันได้คิดเลยว่านี่คือแผนการที่ยิวคิดไว้ตั้งแต่ต้น การครองครองทุนมหาศาลในโลก ไม่ใช่ความบังเอิญหรือความฉลาดเหนือมนุษย์ของยิว แต่มันเป็นความมุ่งมาดปราปรารถนาของยิวมาตั้งแต่ต้น พวกเขาต้องการครอบครอง พงกยิวไม่ใช่นักสร้างสรรค์ ไม่ใช่พวกที่ฉุดให้โลกนี้ก้าวหน้าไปสู่ความมั่งคั่ง ของโลก หรือของใคร ที่ไม่ใช่ยิว.. นี่คือเรื่องจริง ที่กำลังถูกพิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยความเจ็บปวด ความหิวโหย และคนตกงานที่สหรัฐกำลังประสบอยู่ในเวลานี้ แค่ความผิดพลาดเพียงไม่กี่ครั้งของยิว ก็ทำให้โลกทั้งใบยืนเกือบจะไม่ติด และเกือบจะล่มสลาย เพราะทุนโลกที่ส่วนมากอยู่ในมือยิวนี่เอง

    ทั้งหมดที่เล่ามานี้ ผมอยากให้มองว่าเป็นเพียงข้อเสนอหนึ่งจากแนวคิดหนึ่ง ของคนตะวันตก ที่ผมก้ไม่รู้เหมือนกันว่า Reed คนเขียนเรื่องนี้ เป็นยิวหรือไม่ แต่ก็อย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ต้นแหละครับว่า ไม่ว่าผู้เสนอแนวคิดนี้จะเป็นหรือไม่เป็นยิว แนวคิดที่แสดงให้เห็นว่าในหมู่ยิวก็เริ่มเกิดความรู้สึกที่แตกต่างหลากหลาย ขึ้นในหมู่คนที่ชื่อว่าเป็นคนยิวด้วยกัน ยิวต่างกล่าวหากันว่าแกเป็นยิวปลอม ฉันเป็นยิวจริง ต่างชี้นิ้วใส่กันโทษกันว่ายิวไหนกันแน่ ที่ทำให้โลกวุ่นวายเดือดร้อน ..

    เล่ามาทั้งหมดนี้ ผู้เขียนหนังสือ The Controversy of Zion คือ Douglas Reed แค่เสนอ Concept ว่ายิววางแผนยึดครองโลกด้วยเจตนาโดยใช้อำนาจเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือ ยิวเข้าไปแย่งดินแดนปาเลสไตน์ ก็เพราะต้องการควบคุมยุทธศาสตร์น้ำมัน ควบคุมความมั่นคงพลังงาน และควบคุมกลไกราคา นี่ข้อหนึ่ง.. และอีกข้อหนึ่งที่ทำให้เรารู้จากหนังสือเล่มนี้ก็คือ เขาโทษว่าไซออนิสต์ เป็นยิวปลอม ยิวปลอมตัวแสบเหล่านี้ต่างหากที่นำปัญหามาสู่โลก และนำสงครามมาสู่ปาเลสไตน์ ก็แค่นี้เองครับ

     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิวจริง..ยิวปลอม 3 ตอน ตัลมุด..คัมภีร์จริง หรือปลอม

    Shaffi : เขียน (17 เมษายน 2009)

    ทำไมคัมภีร์ตัลมุด กลายเป็นหัวข้อถกเถียง ในแง่ของทั้งการมีอยู่จริงและที่มาของมันมากที่สุด กระทั่งในหมู่ยิวด้วยกัน ทำไมตัลมุลถูกปฏิเสธจากยิวบางพวก และกล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเป้าหมายบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นยิวในสายเลือดของลูกหลานเดวิด ทำไมยิวบางพวกจึงถูกกล่าวว่าความคิดและนิสัยอัปลักษณ์ของพวกเขามาจากรากเหง้าความคิดเหยียดเชื้อชาติอื่นที่ปรากฎอยู่ทั่วไปในตัลมุด และถ้าตัลมุดเป็นส่วนหนึ่งในศาสนายิว ทำไมตำนานเกี่ยวกับคัมภีร์ตัลมุดจึงกลายเป็นเรื่องน่ารังเกียจสำหรับยิวบางพวก และเป็นเรื่องลี้ลับของความศรัทธาจากยิวอีกบางพวก โดยเฉพาะพวกที่ถูกเรียกว่า ยิวแห่งคาซาเรียน

    ผมพบว่าเป็นเรื่องยากมากที่เดียวที่จะเข้าใจเรื่องที่มาที่ไปของยิวเผ่าที่ 13 หรือ ยิวคาซาเรียน โดยไม่ทำความเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาใช้เป็นแกนกลางในการสร้างศรัทธาเดียวกันและร่วมกันนั่นคือตัลมุด และยากมากยิ่งกว่าเมื่อมองจากมุมมองจากคน นอก อาจกล่าวได้ว่า เราเกือบจะไม่มีวันจะเข้าใจได้เลยว่าอะไรคือเรื่องที่เป็นข้อเท็จจริง อะไรที่ตำนาน และอะไรที่เป็นข้อกล่าวหา ยิวที่ปฏิเสธยิวคาซาเรียนก็ปฏิเสธตัลมุด ไปด้วย และกล่าวว่ามันไม่มีอยู่จริง หรือถึงแม้ว่าตัลมุดมีอยู่จริง มันก็เป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยความเห็นหรือการตีความของบรรดานักบวช ที่ตีความศาสนายิวออกมาอย่างผิดๆ ด้วยทัศนคติที่ผิดๆ ยิวบางพวกถึงกับกล่าวว่า ตัลมุด เป็นคัมภีร์ที่พระยิวในคาซาเรียน เขียนเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ และพิธีกรรมโบราณ ที่เรียนว่า ลัทธิ Demonology หรือการบูชาซาตาน ว่าไปนั่น..ด้วยความที่ไม่อยากและรังเกียจยิวคาซาเรียนจนไม่อยากเข้าใกล้ หรือแม้แต่จะนับญาติด้วย

    ที่จริงแล้วผมตั้งใจเขียนบทความทั้งหลายที่ผ่านมา โดยพยายามที่จะไม่ตั้งอยู่บนฐานของความสงสัย โดยไม่มีข้อมูลสนับสนุน ผมไม่ชอบเขียนหรืออ้างถึงเรื่องที่คลุมเคลือ หรือแม้แต่เรื่องราวซึ่งมีที่มาจากทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดทั้งหลาย แต่กรณีเรื่องยิวคาซาเรียนและคัมภีร์ตัลมุด ของยิวพวกนี้ ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยากมากที่จะไม่กล่าวถึงข้อถกเถียง ข้อโต้แย้ง การโจมตี ในแง่มุมต่างๆ ทั้งข้อเท็จจริง ตำนาน และความรู้สึกอคติ (ที่ปรากฎออกมาในรูปแบบของทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด) ต่างๆที่ปรา กฎและมีให้เห็นมากมาย อย่างเช่นเรื่อง ตัลมุด ในแง่ที่เกี่ยวกับความเลวร้ายของมัน มีคนนำเสนอไว้มากมายหลายแง่มุม อย่างในโลกมุสลิม คัมภีร์ตัลมุดถูกนำเสนอในฐานะที่มันเป็นคัมภีร์ที่ยิวแสดงความเป็นปฏิปักษ์กับมนุษยชาติ(ไม่เพียงแต่กับศัตรูถาวรอย่างมุสลิม) เพื่อให้เป้าหมายนี้ชัดเจนขึ้น ตัลมุดในทัศนะของมุสลิมจึงถูกเปิดเผยให้เห็นถึงความชั่วร้ายของมัน อย่างที่มนุษย์ทั่วไปก็ไม่อาจจินตนาการได้ ผมมิได้หมายความว่ามุสลิมใส่ร้ายตัลมุด มิได้หมายความตัลมุดถูกแปลจากต้นฉบับในภาษาบาบิโลเนียนมาอย่างผิดๆ หรือไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมพูดขึ้นมาเพียงเพราะสงสัยว่าทำไม ข้อถกเถียงเกี่ยวกับตัลมุดจึงมีหลายทฤษฎี หลายเวอร์ชั่น ทำไมยิวบางพวกไม่ยอมรับ บางพวกทำท่าปิดๆบังๆ และบางพวกก็ส่ายหน้าไปเลยเวลาถามถึงตัลมุดว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ถ้ามีอยู่จริง มีทั้งหมดกี่ฉบับ กี่เวอร์ชั่นกันแน่ ... ตัลมุด ฉบับที่ถูกเผยแพร่ ทำไมจึงมีแต่ความชั่วร้ายของยิว โดยเฉพาะ ตัลมุดฉบับที่ฝรั่งเกลียดยิว หรือพวก Anti-Semitism แปลออกมาเผยแพร่ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วแพร่หลายไปสู่โลกมุสลิม กล่ยมาเป็นตัลมุดในเวอร์ชั่นที่โลกมุสลิมรู้จักกันดีในเวลานี้ และกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในการอ้างถึงความเป็นปฏิปักษ์กับยิวเสมอ ทั้งที่พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน และทั้งจากวัจนะของท่านศาสนทูตมุฮัมมัด ก็ไม่เคยกล่าวถึงคัมภีร์ตัลมุดของยิวคาซาเรียนเลย กังนั้นการนำตัลมุดมาเปิดเผยในโลกมุสลิมจึงเป็นเรื่องที่เพิ่งค้นพบใหม่ แน่น่าเชื่อเหลือเกินว่า ตัลมุดเวอร์ชั่นที่โลกมุสลิมรู้จัก อาจเป็นเวอร์ชั่นเดียวกับฉบับที่ฝรั่งเกลียดยิวนำเสนอก็เป็นได้ แต่ก็ปล่อยให้เป็นเพียงข้อสงสัยต่อไปก็แล้วกัน ยิวบางกลุ่มออกมาปกป้องว่าตัลมุดถูกนำเสนอหรือแปลมาแบบผิดๆ ถึงขนาดเขียนเป็นตำรับตำราแก้ข้อกล่าวหาให้ตัลมุดเป็นเรื่องเป็นราวเลยก็มี

    เล่าความเป็นมาเสียยาวยืด ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า แล้วอัายตัลมุดที่มันเต็มไปด้วยข้อสงสัยและตำนานที่ว่านี้น่ะ มันเป็นยังไง ทำไมยิวเองยังรับไม่ได้ ทำไมโลกมุสลิมจึงอธิบาย Concept และความคิดของคนยิวจากตัลมุด ผมจะลองยกตัวอย่างเนื้อหาบางส่วนจากตัลมุดในเวอร์ชั่นที่โลกมุสลิมรู้จัก มาสักเล้กน้อย แต่บอกเสียก่อนนะครับว่า เราต้องอ่านอย่างเข้าใจ..เข้าใจอะไร.. ก็เข้าใจว่ามุสลิมเป็นศัตรูกับยิว ตัลมุดที่มุสลิมรู้จักเวอร์ชั่นนี้ อธิบายความชั่วร้ายของยิวได้ดีในมุมมองของโลกมุสลิม ดังนั้น โลกมุสลิมจึงเชื่อตามนั้น มิได้หมายความว่ามุสลิมเขียนตัลมุด “เวอร์ชั่นใส่ร้ายยิว” ขึ้นมาอีกเวอร์ชั่นหนึ่งแต่อย่างใด ขอให้เข้าใจว่ามุสลิมเห็นเวอร์ชั่นนี้จากที่ไหนไม่รู้ แต่เมื่อมันตอบโจทย์ (ความเกลียดชัง) ได้ดีก็เลยใช้เวอร์ชั่นนี้อ้างอิงเวลาอธิบายนิสัยยิวมาโดยตลอด ส่วนข้อเท็จจริงตัลมุดจะหรือไม่มีเวอร์ชั่นอื่นอีกหรือไม่ ผมก้ไม่มีหลักฐานยืนยันได้ บางส่วนจากตัลมุด ที่โลกมุสลิมรู้จักและนำมาอ้างอิงและพบเห็นเสมอ อย่างเช่น

    ในบท sanhedrin วรรคที่ 57 a กล่าวว่า “ยิวไม่ต้องจ่ายค่าจ้างทำงานที่ติดค้างแก่คนที่มิใช่ยิว” หรือในบท Baba Kamba วรรคที่ 37 b กล่าวว่า “ถ้าหากวัวของชาวอิสราเอลขวิดวัวของชาวคะนาอัน ก้ไม่ต้องมีความรับผิดชอบ แต่ถ้าวัวของชาวคะนาอันขวิดวัวของชาวอิสราเอล จะต้องมีการชดใช้โดยเต็ม” ข้อนี้ผมค่อนข้างสงสัย ถ้าหากตัลมุดถูกเขียนโดยพระยิวชาวคาซาเรียน ตั้งแต่เมื่อสมัยบาบิโลน ทำไมพระยิวที่ในคาซาเรียน จึงอ้างอิงถึงชาวคะนาอัน ซึ่งหมายถึงชาวท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์โบราณ ... ลองดูต่อไป สองสามบทต่อไปนี้ เป็นที่รู้จักกันมาก และผ่านตาชาวโลกทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมมากที่สุด คือบท Baba Mezia วรรคที่ 114 b กล่าวว่า “ ยิวคือมนุษย์ แต่ผู้ที่มิใช่ยิวไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเป็นสัตว์เคียรฉาน” บท Ereget Raschi Erod วรรคที่ 22 เขียนว่า “ผู้ที่มิใช่ยิวเป็นเหมือนสุนัข ใช่แล้วคัมภีร์ของเราสอนให้เรา ให้เกียรติแก่สุนัขมากกว่าผู้ที่มิใช่ยิว” และ บท Coschen hamischpat วรรคที่ 405 เขียนว่า “ หญิงมีครรภ์ที่มิใช่ชาวยิว ไม่ดีไปกว่าสัตว์ที่ที่ตั้งท้อง” และ บท Jalkul Rubeni gadol วรรคที่ 12 b กล่าวว่า “ วิญญาณของผู้ที่มิใช่ยิวมาจากวิญญาณที่สกปรกและถูกเรียกว่าหมู”

    ชื่อบทที่อ่านออกเสียงไม่ถูก นั่นแหละครับชื่อแรบไบหรือพระนักบวชยิวคาซาเรียน ภาษาฮีบบรู ก็อ่านออกเสียงยากอยู่แล้ว ยังผสมชื่อแบบคอเคซัส-รัสเชียน เข้าไปให้มันยุ่งอีก สามสี่บมท้ายๆที่ผมยกมาให้อ่าน เป็นสำนวนที่ผู้คนในโลกอาหรับ และฝรั่งเกลียดยิวในยุโรปเคยเห็น และนำมาอ้างอิงเสมอๆ บางส่วนในตัลมุดเวอร์ชั่นเกลียดยิวนี้ ยังมีที่ปฏิเสธเรื่องการมีอยู่ของพระเยซู (หรือท่านศาสนทูตอีซา-ของชาวมุสลิม) เอาไว้ด้วย ซึ่งก็น่าสงสัยอีกแหละว่า ถ้าพระแรบไบยิวคาซาเรียน เขียนตัลมุดสมัยบาลิโลน จะมีเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูได้อย่างไร ในเมื่อพระเยซูเกิดทีหลังบาบิโลนตั้งเกือบพันปี ... บางคนบอกว่า พวกพระมาเขียนต่อเติมเอาทีหลัง.. นั่นก็อักเรื่องหนึ่ง

    ที่น่าสงสัยมากๆก็คือ ถ้าพระยิวตั้งใจเขียนตัลมุดเวอร์ชั่นนี้ ให้เป็นเวอร์ชั่นเกลียดยิวล่ะก็ ต้องถือว่าแรบไบพวกนี้เข้าขั้นอัจฉริยะ เพราะได้ผลมาก อ่านครั้งเดียวก็เกลียดยิวเข้าไส้ได้เลย... แต่น่าสงสัยยิ่งกว่า ก็คือคนบ้าที่ไหนจะเขียนคัมภีร์พิสดารพันลึก ให้คนเกลียดชังได้มากมายอย่างนี้ไปทำไมกัน.. เรื่องแบบนี้ต้องมีต่อครับ..ไม่จบง่ายๆแค่นี้หรอก

     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    อคติต่อชาวยิวมายาคติที่บังตาชาวมุสลิม

    ผมเป็นมุสลิมตั้งแต่กำเนิด พื้นเพเดิมมาจาก 3 จชต. เพื่อน ๆ ผม ครูที่เคยสอนศาสนา การเทศนาวันศุกร์ ฯลฯ ที่ผมเคยได้ยินและรับฟังมาตลอดชีวิตคือ ชาวยิวคือเผ่าพันธุ์ที่ชั่วร้าย เลวทราม เป็นปิศาจที่คอยจ้องทำลายล้างอิสลาม

    โตขึ้นมาหน่อยผมเริ่มรับรู้ว่า การเหยียดเผ่าพันธุ์ สีผิว อะไรทำนองนี้เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ผมดูหนังหลายเรื่องที่เกี่ยวกับการเหยียดสีผิวในอเมริกา(สมัยก่อนนะครับ) ก็รู้สึกสะเทือนใจ

    ย้อนกลับมาคิดอีกที เอ .... แล้วทำไมชาวมุสลิมรอบ ๆ ตัวผมจึงเกลียดชังยิวหนักหนา ...
    บ้างก็บอกว่า "เพราะชาวยิวล้วนทรยศต่อพระเจ้า เช่นกรณีต่อต้านท่านจีซัสเป็นต้น"
    ผมก็บอกไปว่า "อ้าว แล้วหินก้อนแรกที่ปาเข้าใส่ท่านมูหัมหมัดไม่ได้มาจากชาวอาหรับเหรอ"

    ผมเริ่มลังเลใจว่า ศาสนา"ของเรา" ไม่น่าจะมีคำสอนในเชิงเหยีดเชื้อชาติเผ่าพันธุ์เช่นนี้ ผมจึงเริ่ม สืบค้นเกี่ยวกับ "ยิว" ที่สอนในอัลกรุอ่านนะครับ

    ผมพบว่าพระเจ้าได้กล่าวไว้ในอัลกรุอ่านเกี่ยวกับความผิดพลาดของชาวยิวในอดีต ซึ่งได้ทรงตักเตือนเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้แก่คนรุ่นหลัง(ซึ่งเนื้อหาตักเตือนชาวยิวนี้ก็มีปรากฏอยุ่ในพระคัมภีร์เก่าของชาวคริสต์ และคัมภีร์โตราห์ของชาวยิวเช่นกัน) ทำนองเดียวกันไม่เพียงแต่ชาวยิวเท่านั้น ยังมีอีกหลายเผ่าพันธุ์ในอดีตที่ได้กระทำการผิดพลาดซึ่งพระเจ้าได้ตักเตือนไว้ให้เป็นอุทาหรณ์

    แต่ถึงที่สุดแล้วพระเจ้าก็ได้กล่าวว่า

    2-62. แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และบรรดาผู้ที่เป็นยิว และบรรดาผู้ที่เป็นคริสเตียน และอัศ-ซอบิอีน (*1*) ผู้ใดก็ตามที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และประกอบสิ่งที่ดีแล้ว พวกเขาก็จะได้รับรางวัลของพวกเขา ณ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา และไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ แก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่เสียใจ

    (*1*) ในตัฟซีร(อรรถาธิบาย-จขกท) อัล-ญาละลัยน์ ระบุว่า “ชนกลุ่มหนึ่งจากยิวหรือคริสเตียน" แต่ทัศนะที่มีน้ำหนักกว่า ว่าเป็นอาหรับมุชริกกลุ่มหนึ่งก่อนอิสลามที่สักการะเจว็ด


    สรุปแล้วจะยิว หรือคริสเตียน หรือมุสลิม หรือแม้แต่กลุ่มบูชาเจว็ดที่ประกอบคุณความดีและเชื่อฟังในสิ่งที่พระเจ้าตักเตือน(ก็คือการเรียกร้องให้ประกอบความดีนั่นแหละ) ล้วนได้รับการตอบแทนจากพระเจ้าด้วยสิ่งที่ดีงาม


    ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ผมอ่านหนังสือเรื่อง "ยิว" ของ มรว.คึกฤทธิ์ ท่านก็เล่าให้ฟังว่าตลอดประวัติศาสตร์ยุคกลางชาวยิวถูกฆ่ายกครัวมากมายในยุโรป บางคราวก็เป็นจำนวนนับพันนับหมื่นทีเดียว (แสดงว่าการฆ่ายิวในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ใช่ครัง้แรกที่ชาวยุโรปต้องการกวาดล้างยิว)

    มีตอนหนึ่งที่สะดุดใจผมมากคือ ท่านเล่าในหนังสือว่า ชาวยิวในห้วงเวลานั้นต่างหันไปพึ่งพิงจักรวรรดิอิสลาม ซึ่งเปิดโอกาสให้ชาวยิวได้อาศัยอย่างสันติ รวมทั้งเปิดโอกาสทางศาสนาและการปกครองกับชาวยิวด้วย(ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ในยุโรปยุคกลาง)

    อ้าว กลับกลายเป็นว่าจริง ๆ แล้ว มุสลิมกับยิว ไม่เกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อนนี่

    แล้วทำไมตลอดเวลาผมจึงได้ยินแต่ความเกลียดชังที่มุสลิมมีต่อยิวเล่า?

    ผมสันนิฐานว่า มันเริ่มต้นมาจากยุคที่ชาวยิวได้ครอบครองพื้นที่ในปาเลสไตน์ซี่งเป็นเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง (ก็ไม่เกินร้อยปีมานี้เอง) ซึ่งเหล่าพันธมิตรชาติอาหรับได้รวมตัวกันเพื่อโจมตียิว ผมคิดว่าความเกลียดชังมันเริ่มจากตรงนั้น และเป็นความเกลียดชังที่เริ่มต้นมาจากคติชาตินิยมอาหรับ (คติชาตินิยมเป็นกระแสของรัฐชาติที่เพิ่งสถาปนาได้ใหม่ทั่วโลก ถ้านึกไม่ออกก็ลองอ่านเรื่องราวชาตินิยมสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามดู) มากกว่าคติทางศาสนา ซึ่งถูก "เติม" เข้าไปในการต่อต้านยิว

    ทีนี้ผู้รู้ต่าง ๆ ของบ้านเราก็ไปเรียนจากอาหรับตั้งแต่ทศวรรษที่มีกรณีพิพาทดังว่า จึงนำความเกลียดชังยิวติดตัวกลับมาด้วย จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่สังคมมุสลิมจะเกลียดชังยิวไปตามกระแสดดังว่านั้น ทั้งที่ความจริงมันเป็นเรื่องพิพาททางดินแดนที่ขยายเหตุมาเป็นความเกลียดชังระหว่างเผ่าพันธุ์และศาสนา ทำนองเดียวกับที่กระแส(คลั่ง)ชาตินิยมแรง ๆ ในบ้านเราสมัยจอมพล ป.ที่เราถูกสอนให้เกลียดชัง พม่า ว่ามันมาเผาบ้านเมืองเรา (แต่ไม่ขยายความต่อว่าเราก็เคยไปเผาเวียงจันทร์มาเหมือนกัน และสงครามสมัยนั้นยังไม่มีชาติไทย ชาติพม่า หรือชาติลาว )


    ดังนั้นผมจึงขอเชิญชวนให้ชาวมุสลิม มองชาวยิวด้วยทัศนะที่ เอ่อ ที่ลดความชิงชังรังเกียจเผ่าพันธุ์ของเขาลงบ้าง บางทีหากเริ่มต้นด้วยทัศนะเช่นนี้กรณีข้อพิพาทระหว่างยิว-ปาเลสไตน์ น่าจะหาทางออกได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

    ขอทิ้งท้ายด้วยบทสนทนาระหว่างผมกับเพื่อนอีกครั้งหนึ่ง
    เพื่อน "พวกยิวมันเลวจริง ๆ มันแอบทำลายฐานรากของมัสยิดอัลอักซอร์(สุเหร่าศักดิ์สิทธิ์ในอิสราเอล)"
    น้องจั้ง "อือ แต่กรูเห็นคนละหมาดที่มัสยิดนั้นเป็นหมื่นในวันสำคัญ พี่ยิวเค้าเอารถแบ็กโฮลงไปขุดเมื่อไหร่วะ"

    เพื่อน "แต่พวกมันยึดครองมัสยิดอัลอักซอร์ เรายอมไม่ได้"
    น้องจั้ง "เออน่า ตะก่อนที่ตรงนั้นเป็นวิหารของชาวยิวนี่ ถูกพวกโรมันมันทำลายล้างจนเกลี้ยงเหลือแต่ซากกำแพง เขาก็ได้แต่งุด ๆ สวดมนต์กับกำแพง เรายังมีสุเหร่าอยู่(ซึ่งสร้างในบริเวณซากวิหารเดิมของชาวยิว) มันก็โอเค น่า"

    เพื่อน "แต่พวกชาวยิวมันต้องการทำลายล้างประชาติอิสลาม"
    น้องจั้ง "เออ งั้นน้าก็ว่าของน้าไปแล้วกัน กรูไปแระ
    - - "

    จากคุณ : น้องจั้ง - [ 2 ก.ค. 52 04:08:29 ]


    เกี่ยวกับเรื่องของ...ยิว...นั้น...

    เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า...ยิว...ก็ไม่ใช่ว่าจะมียิวเดียวนะครับ...

    ลองเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมตามนี้นะครับ...

    http://www.google.co.th/search?q=jew+zionist&hl=th&sa=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2011
  4. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    Europa Europa - ยุวชนฮิตเลอร์ชาวยิว

    เรื่อง Europa Europa โดย Solomon Perel
    แปลจากเรื่อง Ich war Hitlerjunge Salomon โดย Margot Bettauer Dembo


    เรื่องจริงเหลือเชื่อของเด็กหนุ่มชาวยิว ที่ได้ปลอมตัวเป็นคนเชื้อสายเยอรมันและใช้ชีวิตในฐานะยุวชนฮิตเลอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

    ที่ได้อ่านเรื่องนี้เพราะเผอิญได้ดูภาพยนต์ Europa Europa ที่สร้างปี 1990 แล้วรู้สึกประทับใจมาก (ได้รางวัลลูกโลกทองคำประเภทภาษาต่างประเทศ ปี 1991) เลยไปหาหนังสืออัตชีวประวัติของ Solomon Perel [1] มาอ่านต่อทันที


    <CENTER style="WORD-SPACING: 0px; FONT: 14px Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; TEXT-TRANSFORM: none; COLOR: rgb(77,92,82); TEXT-INDENT: 0px; WHITE-SPACE: normal; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(248,249,245); orphans: 2; widows: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px">--- SPOILER ALERT ---</CENTER>


    <CENTER style="WORD-SPACING: 0px; FONT: 14px Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; TEXT-TRANSFORM: none; COLOR: rgb(77,92,82); TEXT-INDENT: 0px; WHITE-SPACE: normal; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(248,249,245); orphans: 2; widows: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px">[​IMG]</CENTER>

    Solomon Perel หรือ Solly เกิด เมื่อปี ค.ศ. 1925 ที่เมือง Peine ในประเทศเยอรมนี เป็นลูกคนเล็กของครอบครัวชาวยิวที่อพยพมาจากรัสเซียหลังการปฏิวัติปี 1918 ในวัยเด็ก Solly อาศัยในเยอรมันอย่างมีความสุขโดยพ่อเป็นเจ้าของร้านขายรองเท้า แต่เมื่อพรรคนาซีมีอำนาจ ชาวยิวเริ่มถูกกีดกัน Solly ก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียน ครอบครัวจึงได้ขายกิจการร้านรองเท้าอย่างถูกๆ แบบแทบหมดตัว แล้วย้ายอยู่กับญาติในโปแลนด์เมื่อปี 1935

    ในปี 1939 โปแลนด์ถูกเยอรมนีบุก อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่ชายคนโตของ Solly เป็นทหารในกองทัพโปแลนด์และถูกจับเป็นเชลยศึก พ่อแม่จึงตัดสินใจอยู่ในโปแลนด์กับลูกสาวและให้ลูกชายที่เหลือ 2 คน หนีไปโซเวียต แต่ระหว่างหนี Solly ก็แยกทางกับพี่ชายที่จะแต่งงานและได้ไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากนั้นไม่นานพ่อแม่ก็ให้พี่สาวหนีมาอยู่กับพี่ชายที่เพิ่งแต่งงาน ระหว่างที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า Solly มีชีวิตที่ค่อนข้างเป็นปกติ ได้เรียนหนังสือ และเข้าเป็นสมาชิกองค์การสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์ (Komsomol)

    แต่กองทัพเยอรมันบุกโซเวียตในปี 1941 ทำให้ชาวยิวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าต้องหนีไปคนละทิศละทาง ในเวลาไม่กี่วัน Solly ก็ถูกกองทัพเยอรมันควบคุมตัวเหมือนกับผู้ลี้ภัยคนอื่นๆ Solly เลยบอกทหารเยอรมันว่าชื่อ Josef Perjell เป็นคนเชื้อสายเยอรมันที่ไปตั้งถิ่นฐานในลิธัวเนีย ทำให้ได้เป็นล่ามภาษาเยอรมัน-รัสเซีย ติดตามกองพลรถถังที่ 12

    ระหว่างที่อยู่กับกองพลรถถัง Solly ก็เป็นที่รักใคร่ของทหารเหมือนเป็นตัวนำโชค (เคยช่วยระบุตัวลูกชายสตาลินตอนถูกทหารเยอรมันจับกุมด้วย) มีร้อยเอกคนหนึ่งถูกใจ Solly แถมไม่มีลูก เลยจะรับเป็น Solly เป็นบุตรบุญธรรมเมื่อสิ้นสงคราม ระหว่างนี้ก็ให้ไปเรียนในโรงเรียนประจำก่อน เนื่องจากผู้กองมีหลานสาวเส้นใหญ่ (สามีโดนจำคุก 20 ปี หลังสงคราม) เลยสามารถส่ง Solly เข้าโรงเรียนเพื่อสร้างผู้นำในอนาคตของพรรคนาซี คือ โรงเรียนยุวชนฮิตเลอร์ ที่เมือง Brunswick

    ตลอดเวลา 4 ปี จนกระทั่งสิ้นสงคราม Solly อยู่อย่างหวาดกลัวกับการถูกจับได้ว่าเป็นคนยิว ในสมัยนั้นมีการศึกษาเรื่องชนชาติโดยมีพื้นฐานจากการวัดกะโหลกและโครงกระดูก ซึ่งในปัจจุบันทราบว่าใช้ไม่ได้ Solly เองก็เคยโดนวัดกะโหลกในวิชาชาติพันธุ์ที่โรงเรียนยุวชนฮิตเลอร์ และได้รับผลการตรวจสอบเป็นชาวอารยันเชื้อสายบอลติก แต่จริงๆ แล้ว วิธีที่บ่งบอกว่าเป็นคนยิวนั้นใช้วิธีอื่น คือ งานเอกสาร วัฒนธรรม (ภาษาและความเป็นอยู่) และ คนรู้จักบอก

    สำหรับ Solly แล้ว ตอนแรกบอกทหารเยอรมันว่าเอกสารถูกทำลายจากการโจมตี ซึ่งโชคดีมากที่ทหารออกเอกสารทดแทนเลยโดยไม่มีการสอบถามไปยังลิธัวเนีย และตอนหลังเมื่อสำนักงานที่ Brunswick ต้องการเอกสารยืนยัน ก็โดนระเบิด ทำให้เรื่องเงียบไป ส่วนข้อเจอคนรู้จักก็น่ากลัวพอสมควร เพราะ เมือง Peine ที่อยู่จนอายุ 10 ขวบ อยู่ใกล้กับ Brunswick มาก แต่ก็ไม่เฉียดตายเท่ากับตอนที่ Solly ขอไปเที่ยวโปแลนด์ระหว่างโรงเรียนหยุดเพื่อลองหาพ่อแม่ จนเกือบจะไปพบคนรู้จักที่กลายเป็นฝ่ายนาซี

    แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือเรื่องทางวัฒนธรรมเฉพาะของชาวยิว โชคดีที่ Solly มีหัวทางภาษาดี ทำให้ไม่โดนจับได้ (ยกเว้นคราวที่เชลยศึกชาวรัสเซียบอกว่าออกเสียงตัว R แบบชาวยิว) แต่ที่เป็นปัญหาสุดๆ ตลอดระยะเวลา 4 ปี คือการขลิบ ที่ถือเป็นหลักฐานมัดตัวแน่นชนิดว่าถ้าโดยเห็นก็เสร็จเมื่อนั้น โดยปกติก็ต้องระวังตอนอาบน้ำแต่งตัวไม่ให้ใครเห็นและมีอะไรกับแฟนไม่ได้ แต่ก็โดนทหารเสนารักษ์ของกองพลรถถังเห็นเข้าตอนลวนลาม (แต่ยังไม่ถึงขั้นกระทำชำเรา) เหตุการณ์นี้ทำให้ Solly สนิทสนมกับทหารเสนารักษ์คนนั้นมาก (สมัยนาซี เกย์ ยิปซี และบุคคลไม่พึงประสงค์อื่นๆ ก็โดนจับเข้าค่ายกักกันเหมือนกัน)

    หนังสืออัตชีวประวัติเรื่องนี้เขียนบรรยายสั้นๆ แบบตรงไปตรงมา แทรกด้วยเนื้อความเพิ่มเติมเรื่องการพบกับบุคคลเหล่านั้นภายหลังสงคราม ทำให้รู้สึกถึงความประชดเย้ยหยันเรื่องการแบ่งแยกโดยเชื้อชาติ ในขณะเดียวกันก็มีมุมมองจากบุคลิกอีกด้านที่ถูกกลุ่มและสังคมพัดพาไปท่ามกลางปัญหาชีวิตทั่วไปของเด็กหนุ่มที่พยายามเพื่อเอาชีวิตรอดจากคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินจากแม่ตอนที่หนีจากโปแลนด์ว่า "You must stay alive!"

    ที่มา
    [1] Solomon Perel. (Margot Bettauer Dembo, trans.) Europa Europa, John Wiley, 1997.

    <TABLE style="WORD-SPACING: 0px; TEXT-TRANSFORM: none; BORDER-TOP-STYLE: none; TEXT-INDENT: 0px; FONT-FAMILY: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; LETTER-SPACING: normal; BACKGROUND-COLOR: rgb(248,249,245); BORDER-BOTTOM-STYLE: none; orphans: 2; widows: 2; webkit-text-size-adjust: auto; webkit-text-stroke-width: 0px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="FONT-SIZE: 14px; FONT-FAMILY: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif" width="50%" colSpan=3>Create Date : 29 มิถุนายน 2553</TD></TR></TBODY></TABLE>

    Bloggang.com : jackfruit_k : Europa Europa -
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ว่าด้วยการแต่งงานของชาวยิว (ยุ่งยากเหมือนกันนะ)
    Two immigrants from the former Soviet Union staged a very public wedding in the streets of central Tel Aviv this week to highlight the plight of hundreds of thousands of Jews barred from lawfully marrying in Israel.

    Nico Tarosyan and Olga Samosvatov chose to tie the knot in a special ceremony on Tuesday – watched by family, friends and curious passers-by – after Orthodox rabbis had denied them the right to wed.

    Nico Tarosyan และ Olga Samosvatov เลือกจัดพิธีแต่งงานกลางถนนในกรุงเทลอาวีฟ ท่ามกลางครอบครัว มิตรสหาย และคนเดินถนนที่อยากรู้อยากเห็นเมื่อวันอังคาร หลังนักบวชยิวออร์โธด๊อกไม่อนุมัติการแต่งงานของเขา โดยยกเหตุผลว่า Tarosyan ไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเป็นยิว ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แต่เจ้าสาวนั้นได้รับการพิจารณาว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานแล้ว

    Tarosyan วัย 34 ปี ย้ายมาอยู่อิสราเอลในปี 1995 กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูยิ่ง โดยที่เขาย้ายมาจากรัสเซียเพราะถูกเกลียดชังเนื่องจากเป็นยิว แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่เขากลับถูกรังเกียจเดียดฉันท์เพราะเป็นรัสเซีย

    การแบ่งแยกชั้นชาวยิวเกิดขึ้นในอิสราเอลตั้งแต่ต้นปี 1990 ขณะนั้นมีผู้อพยพจากรัสเซียซึ่งเพิ่งล่มสลาย หลั่งไหลเข้ามาในอิสราเอลกว่า 1 ล้านคน หลายคนได้รับสิทธิตามกฎหมาย Law of Return ซึ่งระบุว่า ผู้ที่มีปู่-ย่า ตา-ยาย แม้เพียงคนใดคนหนึ่งเป็นยิว ก็มีสิทธิเข้ามาตั้งรกรากในอิสราเอลได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีหลายคนที่มีเอกสารยืนยันไม่ครบถ้วน หรือมีการทำเอกสารปลอมขึ้น ซึ่งทางการไม่ได้ตรวจตราย่างเข้มงวด เพราะต้องการให้มีผู้ย้ายเข้ามาอยู่มาก ๆ เพื่ออิสราเอลจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการยึดพื้นที่ของปาเลสไตน์

    กรณีเช่นนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น เพราะองค์กรของแรบไบยิวออร์โธด๊อกซ์ ได้ตั้งตนเป็นผู้คุ้มครองความบริสุทธิ์ของเผ่าพันธุ์ยิว Ofer Kornfeld ประธานองค์กร ฮาวายา กล่าวว่าองค์กรเป็นผู้อนุมัติ และรับรองการแต่งงาน และเนื่องจากในอิสราเอลไม่มีการแต่งงานตามนิตินัยแบบสากล ดังนั้นองค์กรนี้จึงทำหน้าที่สำคัญในการอนุมัติการแต่งงานให้แก่ทุกคู่ นอกจากนั้น แรบไบยังได้รับมอบหมายจากทางการ ให้ทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับสถานะของบุคคล เช่น การเกิด การตาย การหย่าร้าง ฯ ซึ่งแรบไบจากกลุ่มยิวต้นตำรับดั้งเดิม ซึ่งขึ้นชื่อว่าเคร่งครัดที่สุดจะเป็นผู้จัดการดูแลทั้งสิ้น

    ตัวเลขทางการแสดงว่ามียิวมากถึง 350,000 คน ที่ถูกแรบไบจัดประเภทให้อยู่ในพวกที่ไม่มีศาสนา และไม่อาจแต่งงานในประเทศได้ ทางเลือกก็คือต้องออกไปแต่งงานนอกประเทศแล้วกลับเข้ามา จึงจะได้การรับรอง ผู้อพยพเหล่านี้ต้องเผชิญกับอุปสรรค ในการหาข้อพิสูจน์เพื่อให้เป็นที่พอใจของแรบไบ เช่น หาหลักฐานที่แสดงว่าแม่ หรือยายเป็นยิว ซึ่งบางครั้งผลที่ออกมาก็ไม่เป็นไปตามที่คิด บางคนถึงขนาดล้มเลิกการสืบค้น เพราะต้องใช้เวลานานเป็นเดือน เป็นปี ขั้นตอนก็ยุ่งยาก และน่าขายหน้า และไม่มีอะไรจะรับรองได้ว่าหลักฐานนั้นๆ จะเป็นที่พอใจของแรบไบหรือไม่

    ในกรณีของชาวยิวอพยพจากรัสเซีย การหาใบเกิดที่ระบุว่ามีแม่เป็นยิวค่อนข้างเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าสามารถหาหลักฐานว่าแม่พูดภาษายิดดิชได้ ก็จะเป็นการดี หากแม่ตายแล้วก็ต้องไปถ่ายรูปหินที่หลุมฝังศพมาเป็นหลักฐาน เพราะถ้าเป็นยิวจริงก็จะมีรูปดาวเดวิดสลักอยู่ คุณ Torosyan เล่าว่า ขนาดที่พ่อ-แม่ของเขาเป็นยิวรัสเซียทั้งคู่ และบ้านที่รัสเซียก็มีคนมาพ่นสีข้อความต่อต้านยิวที่ประตู แรบไบก็ยังไม่ยอมรับเขา ส่วนเจ้าสาววัย 29 ซึ่งอพยพมาจากยูเครนตั้งแต่อายุ 15 บอกว่าเก็บเงินไว้ไปแต่งงานตามพิธียิวที่กรุงปรากแล้ว

    ทุกปีมีชาวอิสราเอลออกไปแต่งงานนอกประเทศประมาณ 6,000 คู่ คิดเป็น 1 ใน 5 ของจำนวนผู้แต่งงานในปีนั้นๆ แต่ในกลุ่มนี้ไม่ได้มีเฉพาะคู่ที่ต้องออกไปเพราะแรบไบไม่ทำพิธีให้ แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งเป็นยิวปฏิรูป หรือยิวใหม่ ซึ่งไม่ต้องการขึ้นกับพิธีกรรมแบบออร์โธด๊อกซ์ หรือเป็นคู่ที่แต่งงานข้ามศาสนา ก็ออกไปแต่งนอกประเทศเช่นกัน

    มุสลิม คริสเตียน และชาวดรูซ มีจำนวนรวมกันเกือบ 1 ใน 5 ของประชากรในอิสราเอล ทั้ง 3 กลุ่มนี้มีองค์กรศาสนาแยกต่างหากสำหรับดูแลด้านการแต่งงาน

    [​IMG]

    กว่า 10 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามที่จะปฏิรูปกฎหมายเรื่องการแต่งงานตามนิตินัย แต่กฎหมายมักไม่ผ่านสภาเพราะโดนพรรคการเมืองเคร่งศาสนาสกัดเสียก่อน อย่างไรก็ดี กฎหมายใหม่ที่อนุมัติโดยคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนที่ผ่านมา ดูน่าจะผ่านสภาออกมาได้ โดยกฎหมายนี้จะอนุญาตให้คู่แต่งงานที่ได้รับการระบุว่า “ไม่มีศาสนา” สามารถแต่งงานแบบนิตินัยได้ แต่คู่ของ Tarosyan ไม่เข้าข่ายนี้ เพราะเจ้าสาวได้รับการรับรองสถานภาพยิวแล้ว

    เรื่องนี้มีประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะพรรคเคร่งศาสนาถูกบังคับให้ยอมสนับสนุนกฎหมายนี้ เนื่องจากเป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาลใหม่ของเนทันยาฮู การประนีประนอมเกิดขึ้น เพราะ Yisreal Beiteinu Party ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกลุ่มขวาจัด นำโดย Avigdor Lieberman (รมต.กระทรวงต่างประเทศ) ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชาวอิสราเอลเชื้อสายรัสเซียเป็นจำนวนมาก และกฎหมายนี้เอื้อประโยชน์กับคนกลุ่มนี้

    หนังสือพิมพ์เสรีนิยม Haaretz ชื่นชมกฎหมายนี้ว่า เป็นครั้งแรกของการพยายามแทรกแซง การผูกขาดการแต่งงาน แต่นักสังเกตการณ์ตั้งข้อสงสัยว่า อาจจะมีคนจำนวนน้อยที่จะได้ประโยชน์จากกฎหมายนี้ และอาจจะเข้าทางของกลุ่มแรบไบอีก เพราะต้องเป็นผู้สั่งให้คู่แต่งงานไปหาพยานหลักฐานยืนยันว่าไม่มีศาสนา หรือไม่ได้เป็นยิวมาแสดง และผลร้ายก็คือกลุ่มนี้จะถูกกักอยู่แต่ในสังคมแคบๆ และคนรุ่นต่อมาก็ต้องแต่งงานในกลุ่มเดียวกันเอง

    นักวิเคราะห์กล่าวว่า สาเหตุที่แรบไบเห็นด้วยกับการปฏิรูปนี้ เพราะกฎหมายยังคงกั้นขวางไม่ให้มีการผสมปนเปกัน ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการคัดเลือกแล้วว่าเป็นยิวแท้ กับกลุ่มที่แรบไบจัดไว้เป็นพวกไม่มีศาสนา

    แม้ในปัจจุบันที่เกือบร้อยละ 70 ของชาวยิวในอิสราเอล จะแสดงชัดเจนว่าต้องการแยกศาสนาออกจากการดำเนินชีวิต แต่แรบไบก็ยังคงผูกขาดเรื่องการแต่งงานไว้ในมือ และแม้ในกลุ่มเคร่งศาสนาด้วยกันเองก็ยังมีการประกาศตัวสังกัดกลุ่มปฏิรูป และกลุ่มอนุรักษ์ซึ่งเป็นสายกลาง

    อนึ่ง การย้ายสังกัดเข้าไปอยู่กลุ่มออร์โธด๊อกซ์ ต้องผ่านหลักเกณฑ์เข้มงวดมากมายที่กำหนดโดยแรบไบ ซึ่งทำให้ไม่กี่ร้อยคนสามารถผ่านเข้าไปรวมกลุ่มได้ในแต่ละปี และเมื่อเข้ากลุ่มแล้วก็ต้องถูกบังคับให้ยอมรับกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดต่างๆ ในการใช้ชีวิต และรวมถึงการปฏิบัติตัวของคนในครอบครัวด้วย

    กรณีที่เกิดขึ้นกับคู่สมรสดังกล่าว สะท้อนให้เห็นในการสำรวจที่เพิ่งทำขึ้นโดย สถาบันประชาธิปไตยอิสราเอล โดยพบว่า ครึ่งหนึ่งของชาวอิสราเอลที่ตอบแบบสอบถาม เชื่อว่า ผู้ที่เกิดในอิสราเอลเท่านั้นจึงจะเป็นชาวอิสราเอลที่แท้จริง

    และข้อมูลที่พบอีกข้อหนึ่งก็คือ ชาวรัสเซียอพยพที่อยู่ในวัย 30 ปีขึ้นไป เพียงร้อยละ 28 เท่านั้น ที่มองเห็นอนาคตสดใสของตัวเองในอิสราเอล

    เขียนโดย โจนาธาน คุ๊ก นักเขียน และนักหนังสือพิมพ์ในเมืองนาซาเรธ ประเทศอิสราเอล

     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ผลตรวจสอบดีเอ็นเอ"ฮิตเล่อร์" สืบเชื้อสายจากชาวยิว-แอฟริกัน
    [​IMG]
    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 24 ส.ค.ระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ได้กระทำการทดลองสืบต้นตอเชื้อสายของอดอลฟ์ ฮิตเล่อร์ ผู้นำเผด็จการนาซีของเยอรมัน ด้วยการตรวจสอบดีเอ็นเอจากบรรดาญาติของเขาจำนวน 39 ราย รวมทั้งนายนอร์เบิร์ต เอช ลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งเป็นญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของฮิตเล่อร์ พบว่า ผู้นำเผด็จการเยอรมันรายนี้ อาจสืบเชื้อสายมาจากชาวยิวและแอฟริกา ที่เป็นชนเชื้อผิวที่เขาเกลียดชัง

    ผลสำรวจนี้นับว่าสอดคล้องกับคำอ้างของนักประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า ฮิตเล่อร์เป็นทายาทชาวยิว โดยเชื่อกันว่า นายแอลโอซิส บิดาของเขาเป็นลูกนอกสมรสของหญิงรับใช้ชื่อนางมาเรีย สไตเกลกรูเบอร์ และนายแฟรงค์เค้นเบอร์เกอร์ หนุ่มชาวยิว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ฮิตเล่อร์เกลียดชาวยิว และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มนี้ เพื่อลบล้างปมด้อยของตัวเอง

    ด้านนายรอนนี่ เดคอร์เต้น ผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุกรรมรายหนึ่งซึ่งเห็นด้วยว่า ฮิตเล่อร์อาจมีรากเง้ามาจากแอฟริกา ยอมรับว่า ผลสำรวจนี้นับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ ซึ่งมันคงจะสร้างความแปลกใจให้แก่เหล่าผู้สนับสนุนและผู้ที่เกลียดชังฮิตเล่อร์

    อึ้ง ผลตรวจสอบดีเอ็นเอแฉ"ฮิตเล่อร์" สืบเชื้อสายจากชาวยิว-แอฟริกัน : มติชนออนไลน์=

    เป็นข่าวรายงานวิจัยอีกชิ้นนะครับ ไม่รู้พรุ่งนี้จะมีงานวิจัยเกี่ยวกับฮิตเลอร์ออกมาอีกไหม กลายเป็นกระแสเรื้อฟื้นเรื่องฮิตเลอร์กันไปเลย
    สำหรับผมในฐานะคนทำวิจัยเหมือนกัน คงต้องตรวจดูต้นฉบับก่อนละครับ ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร ขั้นตอนกระบวนการอย่างไร น่าเชื่อถือแค่ไหน ประโยขน์ที่จะได้รับคืออะไร
    ส่วนข่าวที่มาลงก็เพื่อบอกกล่าวให้ผู้สนใจได้รู้กันครับ ว่ามีงานวิจัยเรื่องนี้ออกมา(ไม่ใช่ข่าวลือ) แต่อย่างว่าละครับ เนื้อข่าวหัวข้อข่าวบางทีก็หยิบมาบางส่วนที่น่าสนใจจะเรียกคนอ่านได้มากๆ พอไปอ่านต้นฉบับจริงอาจจะไม่ใช่แบบในข่าวทั้งหมด
    เมื่อประมาณสามสิบปีที่แล้ว มีข่าวการค้นพบบันทึกประจำวันของ ฮิตเลอร์ เป็นที่ฮือฮากันมาก แต่พอตอนหลังตรวจสอบแล้วปรากฎว่าเป็นของปลอม แต่ขนาดของปลอมยังพิมพ์ขายได้มากมาย ผมไม่แน่ใจว่า นิตยสาร "สกุลไทย" นำมาแปลเป็นไทยลงในนิตยสารหรือป่าว หรือแค่เอาข่าวนี้มาลง ตอนนั้นสิบขวบเอง จำอะไรไม่ได้มากครับ
    แสดงถึงอิทธิพลของ "ฮิตเลอร์" นะครับ ผู้คนยังอยากรู้ขุดุคุ้ยชีวิตของเขากันทุกแง่ทุกมุม
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิว-โปรโตคอล ..จริงหรือลวง ?
    Shaffi : เขียน (11 มีนาคม 2009)

    เล่าเรื่องยิว มาก็เยอะ ถ้าไม่เล่าเรื่อง ยิว-โปรโตคอล ก็เห็นจะไม่ครบสูตร และอาจถูกตำหนิได้ อะไรคือ ยิว-โปรโตคอล

    โปรโตคอล ที่เขียนว่า Protocol แปลว่าสนุสัญญา พันธะสัญญา หรือข้อตกลงระหว่างกัน คือระหว่างคนที่มาร่วมตกลงกันว่าจะทำตามที่ตกลงกัน เรื่องยิว-โปรโตคอลนี้ ไปถามคนที่เป็นยิว ทุกคนจะปฏิเสธว่าไม่มีจริง เป็นเรื่องที่ฝรั่งเกลียดยิวในยุคปฏวัติรัสเซียกุขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายยิว แต่ยิวก็มีเรื่องที่ปฏิเสธหลายเรื่องที่ค้นไปค้นมากลับพบว่ามีอยู่จริง เช่น ยิวบอกว่าคัมภีร์ตัลมุด ไม่เป็นอะไรมากไปกว่ากฎหมายและจริยธรรมเป็นอรรถาธิบายคัมภีร์โตรา ที่รวบรวมจากแรบไบในอดีต แต่พอค้นไปเรื่อยๆจะพบบางสิ่งที่ยิวไม่อยากให้คนอื่นเห็น เช่น ตัลมุดสอนให้ยิวโกงคนที่ไม่ใช่ยิวได้ หรือบอกกับชาวยิวว่าคนยิวที่เท่านั้นที่พระเจ้าสร้างให้เป็นมนุษย์ส่วนชนชสติอื่นล้วนเทียบเท่าสัตว์เดียรฉาน ซึ่งยิวไม่อยากให้ใครเห็น แต่ก็มีอยู่จริง..เรื่องโปรโตคอล นี่ก็เหมือนกัน ยิวบอก..ไม่มีๆ... แต่ฝรั่งจำนวนมากไไม่เชื่อเด็กเลี้ยงแกะยิว ยิ่งบอกไม่มีก็ยิ่งขุดคุ้ย..

    ว่ากันว่าคนที่ร่างโปรโตคอลนี้ขึ้นมา คือ บรรดาผู้อาวุโสแห่งไซออน ฟังดูคล้ายๆเรื่องดาวินชี โค้ด... ที่มีอัศวินผู้พิทักษ์อะไรแบบนั้น ฝรั่งที่ตามคุ้ยเรื่องโปรโตคอลบางคนเชื่อจนถึงกับบอกว่า ถ้าใครอยากรู้ว่าโลกจะเดินไปทางไหน ไม่ต้องไปอ่านอัลวิน ทอฟเลอร์ นักอนาคตวิทยา แต่ให้ไปอ่านยิว-โปรโตคอล แล้วจะเข้าใจอนาคตของโลก ได้ ยิว-โปรโตคอล ไม่ใช่คำทำนายแบบน๊อสตาดามุส แต่ที่ฝรั่งบอกให้อ่านยิว-โปรโตคอล ก็เพราะฝรั่งเชื่อกันว่า ยิวเป็นคน Conduct ทุนนิยมโลก ยิวเป็น Director ของโลกาภิวัตน์ รวมทั้งการพยายามทำให้ทั้งโลกกลายเป็น Democratic โลกจะไปทางไหนจึงต้องกลับไปดูว่าผู้อาวุโสแห่งไซออน วางแผนให้โลกนี้ตกเป็นของยิวได้ด้วยวิธีใดและอย่างไร ซึ่งก็คือเป็นไปตามที่เขียนไว้ในยิว-โปรโตคอลนั่นเอง อย่าง Hamburger Crisis นี่เขาก็บอกว่าเพราะฝีมือนักการเงินยิว ซึ่งผมเห็นด้วย อาจไม่เกี่ยวกับกับโปรโตคอล แต่เกี่ยวกับยิวแน่นอน อ้ายที่เอาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพหรือ Sub-prime ไปเปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์ ที่เรียกว่าทำ Securitization นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆง่ายๆ อ้ายการจะคิดค้นหากำไรจากดอกเบี้ย ด้วยวิธีอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนขนาดนี้ ต้องยกให้พี่ยิวเค้าเลย..โลกเลยฉิบหายเป็นทวีปๆ อยู่นี่ไงเล่าครับ

    ก็อย่างว่า..ยิวปฏิเสธเสียงแข็งว่า..โปรโตคอล อะไร.งไม่เคยได้ยิน ไม่มีหรอก..เรื่องโกหก เรื่องยว-โปรโตคอล นี่ปรากฎขึ้นเป็นข่าวครั้งแรกบนโลก ในปลายยุคพระเจ้าชาร์ ที่ 2 แห่งราชวงศ์โรมานอฟรัสเซีย ในขณะนั้นพรรคบอลเชวิกของเลนิน กำลังเริ่มมีอิทธิพลในหมู่ชนชั้นแรงงานในเมืองอุตสาหกรรมใหญ่ๆ จนพระเจ้าชาร์เริ่มหวั่นไหว เชื่อกันว่าสมาชิกระดับนำในพรรคบอลเชวิก ส่วนหนึ่งเป็นยิว-ไซออนิสต์ สาย นิยมมาร์กซิสต์รวมอยู่ด้วยหลายคน และในหมู่ชาวยิวในรัสเซียก็สนับสนุนบอลเชวิกอย่างแข็งขัน พระเจ้าซาร์เริ่มไม่ไว้วางใจยิว พระองค์ทรงมีนโยบายขับไล่ชุมชนยิวออกจากหลายเมืองในรัสเซียเพื่อบีบบังคับให้อยู่รวมกันในเมืองที่กำหนดให้เป็นเขตปกครองพิเศษ เพื่อที่พระองค์จะได้ควบคุมยิวได้ง่ายขึ้น (ในช่วงนี้ยิวส่วนหนึ่งอพยพเข้าไปในปาเลสไตน์ บางส่วนไปนิวยอร์ค ไปเป็นพ่อค้าร่ำรวยหลายคน อย่าง Max Faxtor เจ้าของเครื่องสำอางที่ขายดีที่สุดในอเมริกา ก็เป็นยิวอพยพไปจากรัสเซีย) รัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลรัสเซียที่เป็นยิวก็มีหลายคนที่ถูกปลดจากตำแหน่ง เหตุการณ์กลายเป็นเรื่องขึ้นมาเมื่อทูตเยอรมันไปเยือนเมืองโอริสสา และถูกลอบสังหารโดยมือปืนชาวยิว รัฐบาลพระเจ้าซาร์ใช้โอกาสนี้สังหารหมู่ชาวยิวในเหตุการณ์ประท้วงในเมืองโอริสสาล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ยิ่งพระเจ้าซาร์โหดแค่ไหน ยิวก็ยิ่งสนับสนุนบอลเชวิกให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ขณะที่เหตุการณ์กำลังตึงเครียดหนังสือพิมพ์ฝ่ายทางการฉบับหนึ่งก็เอาเรื่อง ไซออนิสต์-โปรโตคอล ออกมาตีแผ่ เพื่อพยามยามจะบอกว่าความวุ่นวายทางการเมืองทั้งหลายในขณะนั้นล้วนมาจากแผนการของพวกไซออนิสต์ ซึ่งเรื่องนี้ยังกลายเป็นปริศนามาจนถึงวันนี้ว่า การเปิดโปงยิว-โปรโตคอล ของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องลวงโลกส่ร้ายป้าสียิว เพราะในโปรโตคอลที่ว่านี้มีหลายบทที่พูดถึงแผนการโค่นล้มระบอบ และอ้างว่ายิวต้องเปลี่ยนการปกครอง ... ส่วนหนังสือพิมพ์ที่เอาเรื่องนี้มาเปิดโปงก็อ้างว่าเอกสารที่นำมาเสนอนั้นเป็นของจริง จนถึงวันนี้รัฐบาลพระเจ้าซาร์ก็ถูกโค่นล้มไปนานแล้ว วลาดิเมียร์ เลนิน สถาปนาโซเวียต จนโซเวียตล่มสลายไปในปลายทศวรรษที่ 80 ถึงเวลานี้ ยิว-โปรโตคอล ยังเป็นปริศนาที่มีมนตร์ชวนให้ขุดคุ้ยค้นหาไม่เสื่อมคลาย บทความนี้ไม่มีเนื้อที่พอสำหรับโปรโตคอลทั้งหมด แต่จะนำบางส่วนมานำเสนอ

    โปรโตคอล บทที่ 1
    ข้อที่ ....3. It must be noted that men with bad instincts are more in number than the good, and therefore the best results in governing them are attained by violence and terrorisation, and not by academic discussions. Every man aims at power,... and rare indeed are the men who would not be willing to sacrifice the welfare of all for the sake of securing their own welfare. ...
    แปลรวมๆว่า “ต้องรู้ไว้ด้วยว่า มนุษย์นั้นมีสัญชาตญาณชั่วร้าย และดังนั้น เพื่อที่จะปกครองมนุษย์ไว้ให้อยู่หมัด ต้องใช้ความรุนแรงและการโจมตี โดยไม่ต้องมาพูดกันดีๆ มนุษย์ทุกคนอยากได้อำนาจ หายากเหลือเกินคนที่จะเสียสละเพื่อประโยชน์ของคนอื่น..”

    ข้อที่ ....6. “Political freedom is an idea but not a fact.... “ แปลว่า “เสรีนิยมเป็นแค่ความคิด ที่ไม่เคยเป้นจริง..”

    ข้อที่ ... 8. “Whether a State exhausts itself in its own convulsions, whether its internal discord brings it under the power of external foes... it is in our power. - “รัฐบาลที่อ่อนปวกเปียกเพราะตัวมันเอง จะสยบอยู่ใต้อำนาจจากศัตรูจากภายนอก ..มันคืออำนาจของพวกเรา “

    ข้อที่ ... 11 “.... Great national qualities, like frankness and honesty, are vices in politics, for they bring down rulers from their thrones more effectively and more certainly than the most powerful enemy. Such qualities must be the attributes of the kingdoms of the goyim, but we must in no wise be guided by them.” - “พลังประชาชนบริสุทธิ์ ที่สัตย์ซื่อ จะลากผู้ปกครองลงจากบัลลังก์ พลังประชาชนทรงอำนาจยิ่งกว่าพลังของศัตรูใดๆ พลังบริสุทธิ์ของมวลชนคือลักษณะปกติ ของประชาชนในอาณาจักรของพวกกอยยิม(คำเรียกพวกคริสเตียน ของพวกยิว) แต่เราต้องคอยให้คำแนะนำโง่ๆผิดๆแก่พวกเขา.. “

    ข้อที่ ... 15. “Our power ...will be more invincible than any other, because it will remain invisible...” - “อำนาจของพวกเราจะมากเกินกว่าจะต้านทานได้ เพราะเราจะอยู่ในที่ที่ไม่มีใครมองเห็น ”

    ข้อที่ ... 22. “Behold the alcoholic animals, bemused with drink, the right to an immoderate use of which comes along with freedom .....Therefore we must not stop at bribery, deceit and treachery when they should serve towards the attainment of our end. ...” - ดูเถิด..สัตว์ที่มัวเมา จากเหล้าที่เราจะยัดเยียดให้พวกเขาดื่มกิน สิทธิ์เสรีภาพที่มากจนเหลือเฟือเกินพอดี เราต้องไม่ยุติการติดสินบาทคาดสินบน การโป้ปดหลอกลวง และการทรยศขายชาติ จนกว่าจะบรรละเป้าหมายสุดท้ายของพวกเรา..”

    โปรโตคอล เกี่ยวอะไรกับเป้าหมายการครอบครองโลกของยิว อ่านโปรโตคอลแล้ว ท่านผู้อ่านคิดอย่างไร คุยต่อคราวหน้าครับ

     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไขปริศนา..ไซออนิสต์ (5)
    เวลาฝรั่งจะยึดประเทศไหนจะเอาปืนจี้ แต่ยิวจะเอาประเทศไหนใช้วิธีแบบหัวขโมย
    Shaffi : เขียน ( 10 มีนาคม 2009)


    มาถึงปี 1914 ขบวนการยิวไซออนิสต์ก็เติบโตล้ำหน้าไปไกล และกล้าเล่นกับเกมแห่งอำนาจที่กำลังย้ายดุลย์อำนาจในยุโรปไปมาระหว่างจักรวรรดิ์อังกฤษ กับจักรวรรดิ์ออตโตมาน Dr. Chaim Weizmann ศาสตราจารย์วิชาเคมีในมหาวิทยาลัยเคมบริจด์ แห่งอังกฤษ เข้ามาทำหน้าที่ใน World Zionists Organization ในฐานะประธานองค์กร และรับบทบาทให้เป็นผู้เล่มเกมแห่งอำนาจ

    Dr. Chaim Weizmann ประกาศว่า “ปาเลสไตน์ควรเป็นของจักรวรรดิ์อังกฤษ และอังกฤษควรเป็นผู้ปกครองของชาวนิคมยิว อังกฤษไม่ต้องทำอะไรปกครองปาเลสไตน์ไว้เฉยๆสักยี่สิบสามสิบปี รอให้ชาวยิวเพิ่มขึ้นเป็นล้านๆ หรือหลายล้าน เราจะพัฒนาประเทศนั้น พลิกฟื้นมันขึ้นมานำไปสู่ความเป็นอารยะ”

    ขณะที่ผู้นำไซออนิสต์อื่นก็วิ่งขาขวิดเพื่อเล่มเกมอำนาจทั้งจักรวรรดิ์เยอรมัน และจักวรรดิ์ออตโตมาน คือ แบ่งสายกันวิ่งล๊อบบี้ไปทั่วยุโรป ท่ามกลางความระส่ำระสายและการแตกขั้วทางการเมืองในกลุ่มมหาอำนาจต่างๆที่เป็นผู้นำในยุโรป Dr. Chaim Weizmann วิ่งล๊อบบี้อังกฤษ จนได้รับหลักประกันจากรัฐบาลอังกฤษ ว่ากันว่าอังกฤษเกรงใจ Dr. Chaim Weizmann เป็นอันมาก เชื่อกันว่าเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังการคิดค้นอาวุธเคมี ที่มีต่างงัดออกมาใช้กันในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีการตกลงกันว่าอะไรใช้ได้ อะไรใช้ไม่ได้ สิ่งที่ยืนยันว่าอังกฤษให้หลักประกันแก่ไซออนิสต์ก็คือ เอกสารชิ้นหนึ่ง ที่รู้จักกันว่า “คำประกาศบัลโฟร์” นั่นเอง
    ในคำประกาศเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ปี 1917 นั้น บางส่วนมีความว่า

    “ His Majesty’s Government view with favor the establishment in Palestine of a national home for the Jewish People, and will use their best endeavors to facilitate the achievement of this object “

    ความว่า “รัฐบาลแห่งพระเจ้าอยู่หัว เห็นสมควรสถาปนาปาเลสไตน์ ให้เป็นรัฐสำหรับชาวยิว และจะพยายามอย่างเป็นที่สุด เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายนั้น”

    พวกยิว-ไซออนิสต์ เห็นคำประกาศบัลโฟร์ ลุกขึ้นร้องรำทำเพลงดีอกดีใจ พวกยิวที่โดนถากถางว่าฝันไกลเกินตัว ลบล้างคำสบประมาทลงได้ ดินแดนปาเลสไตน์ซึ่งครั้งหนึ่งไซออนิสต์บอกว่าเป็นแผ่นดินว่างเปล่าที่มีแต่เผ่าอาหรับทะเลทรายเร่ร่อนมาอยู่อาศัยบ้างชั่วครู่ชั่วยาม วันนี้กำลังจะกลายเป็นบ้านของยิวทั้งโลก ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวชะตากรรมของพวกเขาที่กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า

    ตอนที่จักรวรรดิ์อังกฤษกรีฑาทัพเข้าสู่ตะวันออกกลางดินแดนในปกครองของอาณาจักรออตโตมานเติร์ก อังกฤษใช้ชาวอาหรับพื้นเมืองที่ต้องการปลดปล่อยตัวเองจากความทาสอาณานิคมเติร์กมาหลายร้อยปี เป็นเครื่องมือบ่อนทำลายกองทัพเติร์ก โดยอังกฤษเที่ยวไปสัญญากับชาวเผ่าเหล่านั้นว่า ใครที่ช่วยอังกฤษตลบหลังออตโตมานเติร์ก อังกฤษจะสมนาคุณด้วยการมอบเอกราชให้ ด้วยวิธีการนี้อังกฤษส่งนายทหารอังกฤษเข้ามาร่วมทำงานให้กองทัพใต้ดินอาหรับ..ความจริงต้องเรียกพวกใต้ทรายจึงจะถูกต้อง นายทหารคนนี้ชื่อ ร้อยโทรอเร็นส์ นายทหารแผนที่ที่แอบเข้ามาทำแผนที่ยุทธศาสตร์ และทำงานร่วมกับกองทัพกู้ชาติอาหรับเผ่าต่างๆ จนได้รับการขนานนามว่า รอเร็นส์ออฟอาระเบีย ...

    ไซออนิสต์แม้ถือประกาศบัลโฟร์ ที่ประกันว่ายิวต้องได้ปาเลสไตน์ แต่ก็ยังไม่กล้าประมาท สงครามยังไม่จบ..ถ้าอังกฤษแพ้ไซออนิสต์ก็จบเห่กัน..ขืนอยู่เฉยๆคงวางใจใครไม่ได้ ไซออนิสต์ยังคงเดินหน้าดันทุรังโฆษณาชวนเชื่อไปหาชาติมหาอำนาจต่างๆปากก็พร่ำว่า ปาเลสไตน์เป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าไร่ค่าไม่มีผู้ไม่มีคน พอผู้นำอาหรับที่อยู่ข้างอังกฤษรู้เรื่องที่อังกฤษเขียนประกาศยกปาเลสไตน์ให้ยิว ก็ตกอกตกใจกันใหญ่ ก้ไหนว่าช่วยอังกฤษเสร็จสงครามแล้ว จะให้อาหรับมีอำนาจตัดสินใจอนาคตกันเอง ทำไมจึงไปทำออฟไซต์ให้ไซออนิสต์เช่นนั้นได้ อังกฤษแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่ายังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่บอกว่ายิวมีสิทธิ์ที่จะอยู่ร่วมกับชุมชนที่ไม่ใช่ยิวในปาเลสไตน์ได้ก็เท่านั้น สุดท้ายประชาชนต้องตัดสินใจเองว่าจะเอาอย่างไร ร้อยโทรอเร็นส์ สายลับอังกฤษรู้เรื่องหักหลังอาหรับเข้าถึงกับงอนลาออกและกลับเกาะอังกฤษไปเลย จริงๆแกอาจจะอายก็ได้นะ..ที่ไปรับปากอาหรับไว้ แล้วรัฐบาลตัวเองกลับคำสัญญา

    ในช่วงที่อังกฤษทำสงครามกับเยอรมัน พวกยิวไซออนิสต์ชั้นหัวกะทิ หลายคนกลายเป็นกำลังสนับสนุนหลักให้ฝ่ายอังกฤษ เช่นพวกนักลงทุนยิว พ่อค้ายิว นักการธนาคารยิว เมื่อพวกใต้ดินอาหรับที่เคยเป็นพันธมิตรอังกฤษ เริ่มไม่สบายใจกับอังกฤษ พวกยิวไซออนิสต์ก็เสนออังกฤษขอให้นิคมยิวในปาเลสไตน์ทำหน้าที่ควบคุมชาวปาเลสไตน์แทนอังกฤษ ดินแดนที่ยิวโม้ว่า The Land Without a People for a People Without Land ที่จริงตอนนี้มีสภาพเป็นดินแดนที่บ่มเพาะเชื้อกบฎที่พร้อมจะลุกขึ้นมาต่อต้านการยึดครอง

    มีเรื่องลับๆเรื่องหนึ่งที่ไซออนิสต์พยายามปกปิดมาตลอด เป็นเรื่องเกี่ยวกับลอร์ดบัลโฟร์ ผู้ทรยศชาวอาหรับ กับผู้นำยิวไซออนิสต์คนหนึ่ง ผู้นำยิวคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกับ Dr. Chaim Weizmann และต่อมายิวไซออนิสต์คนนี้ไปไกลถึงนายกรัฐมนตรีแห่งอัฟริกาใต้ เขาคือพลเอก Jan Smuts เขาคนนี้ร่วมเป็นหนึ่งในคณะรัฐบาลอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นคนที่มีส่วนผลักดันให้เกิด “คำประกาศบัลโฟร์” และเป็นคนที่รับปากอังกฤษว่าจะสร้างนิคมไซออนิสต์ ในอัฟริกาใต้ให้เป็นไปตามนโยบายและแนวทางที่อังกฤษต้องการ พูดง่ายๆว่าอังกฤษใช้ไซออนิสต์ให้ไปช่วยยึดประเทศต่างๆแทนตัวเอง และไซออนิสต์ก็ยินดีทุกอย่าง ขออย่างเดียวคือ ปาเลสไตน์ต้องเป็นของยิวก็แล้วกัน ไซออนิสต์ถือว่าการไปยึดอัฟริกาใต้เป็นความจำเป็นทางการเมือง ในข้อที่ต้องต่างแลกเปลี่ยนกับคำมั่นสัญญาของอังกฤษ

    Sir Cecil Rhodes นักอุดมการณ์คนสำคัญของขบวนการยิว-ไซออนิสต์ เสนอยุทธศาสตร์สำคัญในการอพยพสู่ปาเลสไตน์ เป็นแผนบันไดหลายขั้น ต่อมา Theodor Herzl ประธานไซออนิสต์ คนแรกได้ประกาศนำยุทธวิธีของ Sir Cecil Rhodes มาใช้ กับการสร้างอาณานิคมยิวในอัฟริกาใต้ วิธีการก็คือ เริ่มจากไซออนิสต์ส่งชาวยิว โดยเริ่มจากส่งคนยิวยากจน ชนชั้นแรงงาน เข้าไปในดินแดนที่ต้องการยึกเป็นอาณานิคมยิว เป็นกลุ่มแรกๆเพื่อเข้าไปปลูกธัญพืชเป็นเสบียง ค่อยๆแอบสร้างถนนหนทาง สะพาน ทางรถไฟ เดินสายโทรเลข อย่างเงียบเชียบ จัดระบบชลประทาน สร้างบ้านเรือน กลุ่มแรงงานขั้นต้นจะสร้างการค้าขาย การค้าขายจะสร้างตลาด และตลาดการค้าจะดึงดูดให้ชาวยิวรุ่นต่อไปอพยพเข้ามาเรื่อยๆ วิธีนี้ทดลองใช้กับอัฟริกาใต้ได้ผลสำเร็จอย่างมาก

    วิธีคิดชองยิว เกือบไม่ต่างจากวิธีคิดของพวกจักรวรรดิ์นิยมมหาอำนาจอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย สเปน โปรตุเกส แต่ที่ต่างกันก็ตรงที่ ฝรั่งเบ่งกล้ามโชว์ที่หน้าบ้านแล้วเอาปืนจี้ แต่ยิวใช้วิธีหน้าด้านๆ..แอบเข้ามาเงียบๆแล้วขโมยไปดื้อๆ ...

     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิว-โปรโตคอล ..แผนครองโลก ?
    Shaffi : เขียน (14 มีนาคม 2009)

    ชื่อตอนตล้ายๆเจมส์ บอน ฝรั่งที่ตามแคะตามแกะเรื่องยิว-โปรโตคอล เขาว่าอย่างนั้นจริงๆนะครับ ฝรั่งบอกว่าการที่ ผู้อาวุโสแห่งไซออน เขียนโปรโตคอลขึ้นมา ก็เพื่อใช้เป็น Master Plan หรือแผนแม่บทในการยึดครองโลก ยึดทำไม ? ก็ยึดโลกไปจากฝรั่ง เพื่อเปลี่ยนแปลงบทบาท หรือตัวเล่นสำคัญในเกมอำนาจของโลก ยิวโปรโตคอล มาในเวลาที่เหมาะเหม็งอย่างยิ่ง ช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ที่พลิกชะตากรรมโลก ก็ถูกปักหมุดลงแถวการเปลี่ยนแปลงรัสเซีย ช่วงเวลาเดียวกันกับการเปิดเผยยิวโปรโตคอลนั่นแหละครับ ท่านผู้อ่านจำนวนมากอาจสงสัยว่า ยิวจะยึดโลกไปเปลี่ยนแปลงอำนาจทำไม ในที่สุดยิวก็ไม่เห็นจะได้ครองโลกเลย อเมริกันต่างหากที่ครองโลก

    ถ้ายิวโปรโตคอลมีจริง และไซออนิสต์ตั้งใจที่จะใช้มันเป็น Road Map ไปสู่การครองหรือเปลี่ยนขั้วอำนาจในโลกจริงๆแล้วละก็ ไม่ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่ บัดนี้มันก็ทำสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่งล่ะครับ.. ยิวก็บอกแล้วว่า เขาจะจัดการผ่านตัวแทน ที่มองไม่เห็น โดยพวกเขา(ยิว) จะคอยให้คำแนะนำที่ชั่วร้าย หรือไม่ก็เป็นข้อแนะที่โง่เขลาแก่พวกเขา ฝรั่งนักตีความบางคน แปลว่า ยิวที่เข้าไปนั่งในทำเนียบขาว นั่งในธนาคารโลก นั่งในสภาคองเกรส และจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโลก ก็เพื่อให้คำแนะนำที่ผิดๆ เพื่อผลประโยชน์ของไซออนิสต์ ใครอยากอ่านเรื่องพวกนี้ลองไปที่นี่เลยครับ ที่ เว็บไซต์ของพระบาทหลวงออโธดอกส์คนหนึ่ง แกค่อนข้าง Abnormal นิดหน่อยนะผมว่า..แต่ลองดูสิ่งที่แกเชื่อและพยายามจะบอกชาวโลก โอ้โห ตรงข้ามกับความ Ab ของแกเลย แกชื่อว่าบาทหลวง Nathanael Kapner ผู้อ่านบางท่านบอกว่า เอ๊ะ..ชื่อเหมือนยิว.. ก็แกเป็นยิวน่ะสิ ครับ แต่เป็นยิวนอกคอก เป็นยิวคริสต์ แถมบอกว่าตัวเองเป็น Street Evangelist คล้ายๆนักบุญข้างถนนอะไรทำนองนั้น เพราะดูเหมือนจะเจอแกได้ตามท้องถนน กับในเว็บไซต์เท่านั้น เวลาที่ตาบาทหลวงคนนี้เดินตามถนนแกจะถือป้ายด่ายิว หาว่ายิวเป็น Anti-Christ หรือพวกซาตาน ที่ถูกทำนายไว้ว่าจะขัดขวางพระเยซู ดูเหมือนศัตรูของตาบาทหลวงแอ๊บ คนนี้แกตั้งใจจะเล่นงานยิวซึ่งเป็นบรรพบุรุษของแกเอง วิธีแฉของแกน่าสนใจมาก คือ แกจะทำเป็นภาพกราฟิกง่ายๆ เป็น Banner ในหัวข้อที่แกจะเปิดโปง แล้วเอาภาพใบหน้าพวกยิวตัวแสบมา Re-touch อย่างมีเอกลักษณ์ น่าสนใจ..ไปดูเอาเองดีกว่า ที่เว็บไซต์ Real Zionist News แกเขียนเป็น blog ง่ายๆแต่เนื้อหาน่าสนใจมากครับ.. จบเรื่องตาบาทหลวง Ab ไว้ก่อน ..มาต่อเรื่องโปรโตคอล ที่บอกว่าโปรโตคอล ถ้ามีจริง คงไม่จบแค่นั้น คือไม่จบแค่เข้าไปเล่นเกมอันตรายกับมหาอำนาจ จนกระทั่งได้แผ่นดินปาเลสไตน์มาอย่างฉ้อฉล คงไม่จบลงตรงแค่ตั้งรัฐยิวได้ ไม่ว่าไซออนิสต์จะแปลงร่างเป็นพรรคการเมืองที่นำโดยนายเดวิด เบนกูเรียน และต่อมาเปลี่ยนเป็ชื่อพรรคเฮรุด และต่อมาเปลี่ยนเป็นพรรคชื่อลิคูด นโยบายของไซออนิสต์ถูกถ่ายเทไปเป็นนโยบายพรรคลิคูด แนวคิดไซออนิสต์ถูกโปรแกรมในสมองนักการเมืองยิวในสหรัฐ พ่อค้าเงินในตลาดวอลล์สตรีท ผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ และองค์กรอำนาจอื่นๆไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นยิวโปโตคอลในโลกศตวรรษที่ 21 ไม่จำเป็นต้องเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือให้ใครจับได้อีกต่อไป เรายังคงเห็นไซออนิสต์ทำหน้าที่ที่ถูกกำหนดไว้อย่างแข็งขัน ตามบทบาท และสถานภาพของแต่ละคน ต่อไปเหมือนเช่นที่เคยถูกเขียนไว้ในโปรโตคอล ฉบับที่ถูกเปิดเผยเมื่อปี 1915 ไซออนิสต์ในวอชิงตันยังคงแอบอยู่ในมุมมืดเหมือนอย่างที่บอกไว้ในโปรโตคอล พวกที่ปรึกษายิวข้างกายประธานาธิบดีสหรัฐยังคงทำหน้าที่ต่อไป ชุดแล้วชุดเล่า คนแล้วคนเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า เหมือนเครื่องจักร

    โปรโตคอล บทที่ 1
    ข้อที่ 26... เขาว่าอย่างนี้ครับ “In all corners of the earth the words "Liberty, Equality, Fraternity," brought to our ranks, thanks to our blind agents, whole legions who bore our banners with enthusiasm. ... It gave us the possibility, among other things, of getting into our hands the master card - the destruction of the privileges, or in other words of the very existence of the aristocracy of the goyim...” ซึ่งหมายความว่า “ในทุกมุมโลก คำว่า เสรีภาพ ความเเท่าเทียม สหภาพ ที่นำไปโดยพวกเรา จะถูกเรียกร้องไปทั่ว ต้องขอบคุณตัวแทนโง่ๆของพวกเราเหล่านั้นด้วย ทุกภูมิภาคในโลกจะแขวนป้ายแห่งความกระเหี้ยนกระหือรือ ด้วยสิ่งเหล่านี้แหละทีทำให้เราผ่านเข้าไปอยู่ท่ามกลาง่พวกเขา หรืออีกนัยหนึ่ง พวกเราได้แทรกซึทเข้าไปอยู่ในชนชั้นนำของพวกกอยยิมไปเรียบร้อยแล้ว..”

    พวกเขาต้องการ Globalization คือ ทำโลกให้เหมือนกัน กินเหมือนกัน นอนเหมือนกัน แต่งตัวเหมือนกัน คิดเหมือนกัน รักเหมือนกัน เกลียดเหมือนกัน พูดเหมือนกัน ทำท่าทางเหมือนกัน ดูหนังเหมือนกัน ฟังเพลงเดียวกัน ขับรถตร์เหมือนกัน เรียนหนังสือหลักสูตรเดียวกัน ทำธุรกิจเหมือนกัน เล่นหุ้นเหมือนกัน ไลฟ์สไตล์เหมือนกัน เราไม่รู้สึกหรือว่า ที่สำคัญ..พวกเขากำลังทำให้โลก ไร้ศาสนา..เหมือนกัน โดยเปลี่ยนศาสนาให้เป็น ทุนนิยม เงินตรา และดอกเบี้ย.. พวกเขาชักธงประชาธิปไตย เขาประณามใครก็ตามที่ไม่เหมือนพวกเขา เขาเชิดชูสิทธิมนุษยชน เขาประณามใครก็ตามที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนในวิสัยทัศน์ของพวกเขา วิธีการทำให้โลกเหมือนกัน คือกระบวนการ Globalization ขั้นตอนก็คือ การทำโลกให้เป็น American เสียก่อน ที่เรียกว่า Americanization เพราะพวกเขาไซออนิสต์ “แอบอยู่โดยไม่มีใครมองเห็น” อยู่ข้างหลังวัฒนธรรมอเมริกัน การเปลี่ยนแปลงอเมริกันให้เป็นมาตรฐาน ง่ายต่อการทำให้โลกกลายเป็นอเมริกัน เพราะอเมริกันมีอิทธิพลต่อโลก นี่อาจจะเป็นคำตอบให้คนที่ไม่เชื่อเรื่องยิวต้องการครองโลกก็ได้

    คนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยว่า และตั้งคำถามว่า ยิวจะครองสื่อโลกไปทำไม ยิวจะครองสภาคองเกรสไปทำไม ยิวจะยึดธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารโลก IMF และสหประชาชาติไปทำไม ..นี่อาจเป็นคำตอบ ที่ต้องรอการพิสูจน์ต่อไป ยิวไซออนิสต์ ต้องการครอบครองสื่อ เพราะสื่อหล่อหลอมความคิดคนทั้งโลกได้ ทำไมยิวไม่ไปซื้อหุ้นสื่อญี่ปุ่น สื่อจีน ทำไมต้องซื้อสื่ออเมริกัน สื่ออังกฤษ สื่อยุโรป.. ก็เพราะคนทั้งโลกคอยตามกลิ่นตดฝรั่งทางสื่ออเมริกัน สื่ออังกฤษ น่ะสิ.. ทำไมยิวต้องซื้อฮอลีวูด เพราะคนทั้งโลกมันดูหนังฮอลีวูดน่ะสิ.. เด็กทั้งโลกได้เห็นตัวการ์ตูนในหนังชวนไปเที่ยงเทศกาลฮานุกกา (เทสกาลยิว) คนทั้งโลกชื่นชอบ อาร์โนล ชวาชเน็กเกอร์ ไล่ยิงผู้ก่อการร้ายที่แต่งตัวเป็นคนอาหรับ...(ไม่รู้อาหรับในหนังมันโง่ หรือไม่ทันคิดว่า การแต่งตัวให้มองออกว่าเป็นผู้ก่อการร้ายอาหรับ อาจทำให้พระเอกไล่ยิงได้ง่ายๆ แต่คนทำหนัง เจ้าของเงินที่เป็นยิว จะบอกให้โลกรู้ว่าอาหรับคือผู้ก่อการร้าย
    ส่วนอเมริกัน คือ ฮีโร่ ที่มากู้โลก ประธานาธิบดีสหรัฐเท่านั้นที่กอบกู้โลกจากมนุษย์ต่างดาว หรือไม่ก็กู้โลกจากอุกาบาตร ประธานาธิบดีจีน หรือรัสเซียอย่าสะเออะ เสนอหน้าเด็กขาด แล้วโลกโง่ๆ นี่ก็พากันเชื่อ คิด ทำ พูด กิน เรียน นั่ง นอน แต่งตัว กิจเหล้าเมายา บ้าหุ้น เหมือนที่คนอเมริกันเป็น เหมือนที่ไซออนิสต์อยากให้เป็น คุณว่านี่มันเรื่องบังเอิญ อย่างนั้นหรือ..?

    โปรโตคอล บทที่ 1
    ข้อที่ 27. “..Our triumph has been rendered easier by the fact that in our relations with the men, whom we wanted, we have always worked upon the most sensitive chords of the human mind, upon the cash account, upon the cupidity, upon the insatiability for material needs of man....”
    ตีความได้ว่า “...ชัยชนะของพวกเรา ถูกเพิ่มให้มากขึ้นโดยง่าย ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า มันมาจากสายสัมพันธ์ของเรา กับคนที่เราต้องการ เรามักต้องทำงานนี้ โอยแสดงให้เห็นว่าเรามีความเข้าใจในละเอียดอ่อนของมนุษย์อยู่เสมอ มนุษย์นั้นพ่ายแพ้อำนาจเงิน ความละโมภ ไม่รู้จักพอ ในลาภยศสรรเสริญ..” พวกยิวได้ชื่อว่าเป็นนักล๊อบบี้ ทั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และแบบ Dirty Affairs หรือที่เรียกว่า “ใต้โต๊ะ”

    ถ้าคุณยังพอจำกันได้ว่า Roam Emanuel พ่อบ้านทำเนียบขาวยิว
    คนที่โอบามาเลือกมาเองกับมือคนนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร... อาจเข้าใจคำอธิบาย โปรโตคอล ข้อที่ 27 นี้มากยิ่งขึ้น... ก่อนที่ Emanuel จะเข้าสู่วงการการเมือง เขาทำงานให้องค์กร American Israel Public Affair Committee หรือ AIPAC องค์กรนี้จดทะเบียนเป็นองค์กรล๊อบบี้ที่ถูกกฎหมายสหรัฐ ต่อมา AIPAC พบว่ามีนักการเมืองเดโมแครตคนหนึ่ง สนับสนุนปาเลสไตน์ (ฝ่ายอาหรับอาจจ่ายเงินให้สนับสนุนก็ได้ใครจะรู้) นักการเมืองคนนี้ สังกัดรัฐอิลลินอยส์ (รัฐที่โอบามา เป็น สว. Emanuel เป็น สส.) Jewish Congress สาชาอิลลินอยส์ วางแผนกดดัน สส.ที่สนับปาเลสไตน์ โดยใช้เส้นสายส่ง Emanuel เข้าไปเป็นฝ่ายการเงินในพรรค เมื่อ Emanuel เข้าไปทำงาน ได้จัดการตัดเงินสนับสนุน จนกระทั่งสมัยต่อมา สส.คนนี้ไม่ได้รับเลือกตั้ง AIPAC ล็อบบี้จนกระทั้ง Roam Emanuel ได้เข้ามานั่งเป็น สส. แทน สส.คนเดิม ต่อมา Emanuel มีอำนาจเป็นผู้ตัดเลือกผู้สมัคร สส. และ สว. ของพรรคเดโมแครตในรัฐอิลลินอยส์ เนื่องจากเขาเป็นคนคุมกระเป๋าสตางค์ เงินบริจาคพรรคที่มาจากพ่อค้ายิวในอิลลินอยส์ เราคงนึกภาพออกไม่ยาก ใช่ไหมว่า หัวบันไดบ้านของ Emanuel จะเปียกไม่ยอมแห้งขนาดไหน.. ในบรรดาคนที่มาเยี่ยมบ้านของ Emanuel ในยามรุ่งเรือง นั้น..

    หนึ่งในบรรดาคนหนุ่มคนสาว ที่อยากตะกายดาวสู่ Capitol Hill หนึ่งในนั้น มีรายชื่อของ บารัค โอบามา ..รวมอยู่ด้วย

     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิว-โปรโตคอล ..งูปริศนา ?
    Shaffi : เขียน (15 มีนาคม 2009)
    [​IMG]

    ยังคงอยู่ที่เรื่องยิว-โปรโตคอล หรือพันธะสัญญาที่เชื่อกันว่า มันถูกเขียนขึ้นโดยสภาปราชญ์ผู้อาวุโสแห่งไซออน เพื่อสำหรับใช้เป็นแผนที่ยุทธศาสตร์ในการสร้างชนชาติยิวให้ยิ่งใหญ่ โดยเริ่มจากการตั้งรัฐยิว และนำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางอำนาจให้กับชนชาติยิว ด้วยการเข้าครอบงำกลไกการจัดระเบียบโลก และการทำโลกให้เป็นโลกาภิวัตน์

    ในโปรโตคอล บทที่ 2
    ข้อที่ 2 กล่าวว่า “ The administrators, whom we shall choose from among the public, with strict regard to their capacities for servile obedience, will not be persons trained in the art of government, and will therefore easily become pawns in our game....”
    หมายความว่า “บรรดาผู้ปกครอง ผู้ซึ่งเราคัดสรรมา ด้วยการพิจารณาอย่างรอบคอบ และแน่ใจว่าจะเชื่อฟังเรา นักปกครองพวกนี้ไม่ถูกสอนมาให้เชี่ยวชาญในการบริหารหรอก แต่พวกนี้จะถูกสอนมาให้เล่นตามเกมที่เรากำหนด...” พวกไซออนนิสต์ เชื่อว่าหากรัฐบาลจากประเทศต่างๆเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดที่พวกเขาตั้งขึ้นมา คำว่า “from among the public” น่าจะหมายถึง การเลือกมาจากกลุ่มชนที่สาธารณะให้การยอมรับ โดยผ่านกระบวนการ “เลือกตั้ง” กระบวนการเลือกตั้ง เป็นเครื่องมือหรือกลไกหนึ่งของค่านิยมประชาธิปไตย ถ้าประชาธิปไตยต้อมาคู่กับการเลือกตั้งเสมอ (ตรงข้ามการเลือกตั้งอาจไม่ได้หมายถึงประชาธิปไตยก็ได้) ไซออนิสต์เชื่อว่า ด้วยกลไกการเลือกตั้ง พวกเขาจะใช้มันจัดการให้เป็น ไปตามที่พวกเขาต้องการได้ เรื่องนี้น่าคิดนะ ข้อเท็จจริงที่ว่า “คนที่ชนะเลือกตั้ง อาจเป็นคนที่เสียงส่วนใหญ่ต้องการ แต่คนที่เสียงส่วนใหญ่ต้องการ อาจไม่ใช่ความถูกต้องก็ได้ ท่านผู้อ่านว่าจริงหรือไม่ครับ.. ลองดูการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นกลไกตัวอย่าง ที่โลกยกย่องว่ามีกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในโลก แต่โลกจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนอเมริกัน 250 ล้านคน จะเลือก ประธานาธิบดี ที่มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้ารัฐบาลของโลกนี้ และได้คนที่จะพาโลกนี้ทั้งหมดไปสู่ความถูกต้องได้อย่างแท้จริง จอร์จ ดับยา บุช ชนะเลือกตั้งถึงสองสมัย (2001 และ 2005) แต่สิ่งที่บุช ทำกับโลก..ถูกต้องหรือไม่.. บนแนวคิดแบบไซออนิสต์ หากจะครอบครองโลก เขาก็ครอบครองสหรัฐและจัดตั้งผู้ปกครองตามแบบที่เขาต้องการให้ได้ แค่นี้ไซออนิสต์ก็ทำได้สำเร็จตามแผนแล้ว ไซออนิสต์ใช้สื่อในมือปั่นหัวคนอเมริกัน ให้เพลง ใช้หนัง ใช้ซีรีย์โทรทัศน์ ใช้ข่าว CNN FOX CBS NBC AP The New York Times - The Washington Post - TIME Magazine - Newsweek ผสมกับการ Lobby นักการเมืองยิวผ่านทายทุนที่สนับสนุนเดโมแครต รีพับรีกัน เลือกตัวแทนสองคน จากสองพรรค ทั้งสองคนเป็นคนที่ไซออนิสต์เลือสรร ใครชนะก็มีผลลัพธ์เหมือนกันสำหรับยิว ผมถามจริงๆเถอะว่า..คุณยังเชื่อจริงๆหรือว่า คนที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เป็นฮีโร่..ที่พร้อมจะออกไปสู่กับพวกเอเลี่ยน อย่างในหนัง The ID-4 คุณเชื่อจริงๆหรือว่าแค่คนพูดเก่ง มีวาทะ..จะบริหารโลกนี้ โดยไม่ต้องมีใครบอกบท.. พอลงจากตำแหน่ง เดี๋ยวก็มีคนแฉ แล้วคนอเมริกัน ก็ใช้สิทธิเลือกผู้นำโลก ได้ออกมาแบบเดิมๆ ..เปลี่ยนแต่หน้า และสีผิว หรือเพศ เท่านั้นเอง..คุณหรือใครจะเชื่อก็ไม่ผิดหรอกครับ เพียงแต่ผมไม่เชื่อ..ก็เท่านั้นเอง

    และในโปรโตคอล บทที่ 2
    ข้อที่ 3 ยังกล่าวอีกว่า “..Do not suppose for a moment that these statements are empty words. ... To us Jews, at any rate, it should be plain to see what a disintegrating importance these directives have had upon the minds of the goyim.” หมายถึง “อย่าคิดนะว่าเรื่องงที่พูดมานี่เป็นเรื่องลมๆแล้งๆ สำหรับเราชาวยิว.. ไม่ว่าระดับไหน ก็มองออกว่า จะปั่นหัวพวกกอยยิมได้อย่างไร” พวกไซออนิสต์มองฝรั่งคริสต์ ว่าโง่กว่าพวกยิว และจะปั่นหัวอย่างไรให้เป็นไปตามแผนนั้น เป็นเรื่องง่ายดาย ถ้าเราสังเกตุเราก็จะค้นพบว่า วิธีที่พวกไซออนิสต์นำมาใช้ หรือนำมาเสนอแนะในโปรโตคอล ส่วนมากมักเป็นวิธีที่คนปกติเขาไม่ใช้กัน แต่ได้ผล.. เช่นการปั่นหัว การติดสินบน และแทรกแซง ซึ่งเป็นวิธีไร้ศีลธรรมที่เป็นเรื่องค่อนข้างปกติสำหรับวงการเมืองทุกแห่งในโลก โปรโตคอลข้อต่อไปนี้ ยืนยันสิ่งที่ผมกล่าวได้เป็นอย่างดี ในบทที่ 2 ข้อที่ 5 ที่กล่าวว่า “.. In the hands of the States of to-day there is a great force that creates the movement of thought in the people, and that is the Press. ...Thanks to the Press we have got the GOLD in our hands, ...Each victim on our side is worth, in the sight of God, a thousand goyim.”

    บรรดาปราชญ์แห่งไซออน มุ่งหวังอะไรกันแน่ ลองมาอ่านโปรโตคอลบทที่ 3 อาจทำให้เราเข้าใจได้มากขึ้น ในข้อที่ 1 กล่าวว่า “...To-day I may tell you that our goal is now only a few steps off. There remains a small space to cross and the whole long path we have trodden is ready now to close its cycle of the symbolic snake, by which we symbolise our people. When this ring closes, all the States of Europe will be locked in its coil as in a powerful vice.” หมายความว่าอย่างนี้ครับ “...ผมอยากจะเล่าถึงเป้าหมายของเราซึ่งมีอยู่สองสามขั้นตอน ..มีพื้นที่เล็กๆอยู่แห่งหนึ่ง ตรงที่เราเดินเหยียบย่ำไปมา ที่ตอนนี้พร้อมที่จะตีวงปิดพื้นที่ว่างนั้น เราจะใช้สัญลักษณ์ของงู ซึ่งจะรู้กันในเฉพาะหมู่พวกเรา เมื่อใดที่งูกินหางปิดล้อมพื้นที่ได้ รัฐบาลต่างๆในยุโรป จะเป็นพลังช่วยเราให้ปิดล็อคพื้นที่นี้ได้...”

    คำอธิบายของบทนี้ เข้าใจยากสักนิด แต่ผมจะพยายามอธิบายให้ง่ายขึ้น เรื่องก็คือว่า ในเวลานั้น (ประมาณก่อนปี 1900) ยิว-ไซออนิสต์ ออกมาปรากฎตัวให้โลกเห็น ไม่ทำลับๆล่อๆเหมือนอดีตอีกต่อไป เวลาประชุม World Zionist Congress ก็ทำอย่างเอิกเกริก ตีฆ้องร้องเป่า ยิ่งกว่าประชุม G-8 ในปัจจุบัน ดังนี้ก็เพราะว่าไซออนิสต์อยากให้รัฐบาลในยุโรปเห็นว่ายิวต้องการอะไรกันแน่ และการทำอะไรเปิดเผย เพื่อหวังว่ารัฐบาลยุโรปจะไว้ใจยิวมากขึ้น อยู่ในสายตาดีกว่าแอบทำ เพราะช่วงนี้นการเมืองและดุลย์อำนาจในโลก กำลังอ่อนไหว..ไซออนิสไม่ได้ปิดบังใคร ถึงตอนนี้ที่ประชุมไซออนิสต์ตกลงแล้วว่า จะเอา “ปาเลสไตน์ เป็นรัฐยิว” แต่จะทำอย่างไรเท่านั้นเอง ..แต่โปรโตคอล ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า รัฐยิวบนดินแดนปาเลสไตน์..เป็นเพียงความปรารถนา ขั้นแรกๆในแผนบันไดสองสามขั้นของยิว-ไซออนิสต์ ผู้อาวุโสไซออนกล่าวว่า มีพื้นที่เล็กๆ...ที่พวกเขาจะตีวง และเรียกว่างู พองูกินหาง ได้เมื่อไหร่ พวกยุโรปจะช่วยล็อคพื้นที่นั้นไว้ ...คำว่างูในโปรโตคอล ของไซออนิสต์ เป็นปริศนาอยู่หลายปี จนกระทั่งมีการค้นพบแผนที่ชิ้นหนึ่ง เป็นที่แสดงให้เห็นถึงคาบสมุทรอาระเบีย (พื้นที่ใต้อาณานิคมชองอาณาจักรอิสลาม หรือออตโตมาน) ในแผนที่นั้น มีภาพงูกินหาง ขดตัวเป็นวงแสดงอาณาเขตพื้นที่ ที่รวมเอาปาเลสไตน์ เลาบานอน ซีเรีย ตอนใต้ของอิรักถึงแม่น้ำไทกริส จอร์แดน บางส่วนของซาอุดิอาระเบีย (นครมาดีนะหฺ์) ลงมาจดทะเลแดงทางทิศใต้ ไปถึงคาบสมุทรไซนาย ไปบรรจบที่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของปาเลสไตน์ .... แผนที่นี้ทำให้ คำว่า “พื้นที่เล็กๆที่เดินเหยียบย่ำไปมา” “งู” ซึ่งเป็น Code Name และคำว่า “งูกินหาง” ถูกนำมาปะติดปะต่อกัน และทำให้เข้าใจว่า ไซออนิสต์ต้องการดินแดนในคาบสมุทรอาระเบีย ส่วนใหญ่ทั้งหมด...ไม่ได้ต้องการแค่ ปาเลสไตน์ ทำไมงูจึงชดตัวไปทางตะวันออก ไม่ถึงอ่าวเปอร์เซีย ทำไปแค่แม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส...เชื่อกันว่า การที่ไซออนิสต์ไปถึงแม่น้ำคู่แฝด ก็เพราะว่าดินแดนในเมโสโปเตเมีย หรืออาณาจักรอัสสิเรีย นั้นเคยเป็นที่ตั้งถิ่นฐานแรกๆของชุมชนชาวยิวในอดีต อับราฮัม หรือที่อาหรับเรียกว่า อิบรอฮีม มีถิ่นกำเนิดมาจากเมโสโปเตเมีย ก่อนที่จะถดถอยลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ นั่นเอง...
    เรื่องของงูบางคนเชื่อว่าเป็น Conspiracy Theory แต่ก็น่าแปลกที่ คำว่า “งู” หรือการนำสัญลักษณ์งู ซึ่งอิสลาม และคริสต์ มองว่างูเป็นสัญลักษณ์ของซาตาน (หรือ ชัยฏอน ในภาษาอาหรับ) ทำไมกลับมาเป็นสัญลักษณ์ที่ยิวชอบใช้ ..อ๊ะๆ ทำไมผมพูดว่ายิวชอบใช้... ผมจะบอกท่านผู้อ่านว่า งู ของไซออนิสต์ ตัวแรกไม่ได้นอนเป็นงูกินหางอยู่แถวๆตะวันออกกลางหรอกครับ..แต่งูตัวแรกของไซออนิสต์ อยู่แถวๆทะเลดำต่างหาก
    นี่แหละผมถึงบอกว่า..งูในโปรโตคอล บทที่ 3 ข้อที่ 1 ไม่ใช่งูยิวตัวแรกแน่ๆ .. แต่อีกตัวมายังไง..ต้องไว้คราวหน้าแล้วครับ.

    (ท่านที่ต้องการอ่านฉบับเต็มๆ กรุณาไปอ่านได้ที่ www.metaexistence.org.)

     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิว-โปรโตคอล ..จริงหรือนิยาย..? (ขออีกที)
    Shaffi : เขียน (16 มีนาคม 2009)

    คราวก่อนผมทิ้งท้ายไว้ เป็นเรื่อง “งู” ของอิสราเอล ที่ปรากฎในยิว-โปรโตคอล วันนี้ผมเลยเอาภาพ “งูกินหาง” ที่ว่า มาฝากท่านผู้อ่าน บางท่านที่สนใจ Conspiracy Theory อาจเคยเห็นมาบ้างแล้ว (ผมโพสท์ภาพแผนที่ไว้ใน Gallery แล้วกัน หน้ากระดาษจะได้ไม่รกนะครับ ไปเปิดดูเองนะครับ)

    ดูในแผนที่ถ้าสังเกตุให้ดีๆคำอธิบายสัญลักษณ์ที่มุมขวาบนเขียนว่า Dream of Zionism หรือ ฝันของพวกไซออนิสต์ ลงมาหน่อยเขียนว่า Map of Greater Israel หรือแผนที่มหาอาณาจักรอิสราเอล คำๆนี้ในภาษาฮีบบรู หรือภาษายิว เขียนด้วยตัวอักษรโรมันอ่านว่า Eretz Israel Hashlema ว่ากันว่า คำว่า “Erezt Israel” เป็นคำที่มีปรากฏในธรรมนูญพรรคลิคูด โดยไม่มีคำอธิบาย สันนิษฐานว่าเป็นสิ่งซึ่งตกทอดมาตั้งแต่พรรคลิคูด ยังเป็นพรรคไซออนิสต์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคเฮรุด และมาเป็นลิคูดจนถึงปัจจุบัน หากไปค้นหาคำนี้ในธรรมนูญพรรคลิคูด ตอนนี้จะหาไม่เจอแล้ว แต่แม้ว่ามันจะหายไปจากกระดาษ แต่มันยังคงอยู่ในหัวใจของสมาชิกชั้นนำผู้มีอุดมการณ์มั่นคงที่จะสร้าง รัฐยิวให้เป็น Erezt Israel ให้ได้ ตามความฝันของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน ใครวงสัยต้องลองไปถาม เบนยามีน เนธันยาฮู ผู้ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเขาคือผู้อุทิศตัวอย่างสูงสุดต่ออุดมการณ์ไปสู่ The Greater Israel หรือ Erezt Israel ให้จงได้

    มีอีกสัญลักษณ์หนึ่ง ที่น่าสงสัยในแผนที่นี้ คือ รูปสามเหลี่ยม ที่มีคำอธิบายว่า FREEMASONS EYE บางท่านอาจเคยได้ยินเรื่ององค์กรที่มีอายุยืนยาว และลี้ลับมาที่สุดองค์กรหนึ่ง ที่มีชื่อว่า FREEMASON สัญลักษณ์ขององค์กรนี้เป็นรูปไม้ฉากคว่ำมุมแหลมลง เหมือนปิรามิดกลับหัว ตรงกลางเป็นรูปวงเวียน เรื่อง Erezt Israel กับ FREEMASON เกี่ยวกันยังไง FREEMASON คืออะไร ต้องหยุดไว้ตรงนี้ก่อน ให้ผมไปว่าด้วยเรื่องโปรโตคอลเสียก่อน มีเวลาจะกลับมาต่อเรื่อง FREEMASON

    ยังจำเรื่องที่ผมเคยเล่าเกี่ยวกับความเป็นมาของโปรโตคอลว่ามันถูกเปิดเผยขึ้นในช่วงก่อนการปฏิวัติรัสเซีย..จำได้ไหมครับ.. ผมค้นคว้าเจอข้อมูลที่เล่าถึงที่มาของโปรโตคอลอีกข้อมูลหนึ่ง ขณะที่กำลังค้นคว้าว่าใครกันแน่คือปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน แต่ไปพบข้อมูลนี้ก่อน ลยนำมาเล่าไว้ในตอนนี้เสียเลย ไม่อยากติดค้างไว้เดี๋ยวลืมครับ เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องราวของคนที่แปลต้นฉบับโปรโตคอล มาเป็นภาษาอังกฤษฉบับที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ขณะที่ต้นฉบับตัวภาาารัสเซียหายสาปสูญไปหมดแล้ว เรื่องราวของผู้แปลโปรโตคอลคนที่ผมกล่าวถึงนี้ ชื่อ Victor E. Marsden
    เราคงจำกันได้ว่า การปฏิวัติรัสเซียนี้เป็นไปตามหลักคิดแบบ “เลนินนิสต์” คือก่อสงครามขึ้นกลางเมือง จากนั้นปล่อยให้ลุกลามไปตามเมืองอุตสาหกรรมใหญ่ๆที่มีผู้ใช้แรงงาน แล้วค่อยใช้พลังกรรมกรชิงอำนาจรัฐ ที่เรียกว่า “เมืองล้อมป่า”(ตรงข้ามกับ “เหมาอิสต์” ที่ใช้ชาวนาจากภาคชนบทก่อการปฏิวัติ แบบ “ป่าล้อมเมือง”) การปฏิวัติกลางเมืองของรัสเซียจึงเกิดเหตุนองเลือดมากกว่า นาย Victor E. Marsden คนที่แปลโปรโตคอลคนแรก ทำงานเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ The Morning Post ในช่วงเวลานั้น เหตุการณ์ความวุ่นวายครั้งหนึ่ง วันนั้นร้อยเอก Cromie ถูกคนยิวสังหาร Victor E. Marsden ซึ่งไปทำข่าวเลยพลอยถูกจับตัวไปด้วย เขาติดคุกใน Peter-Paul ในที่สุดเขาก็สบโอกาสแหกคุกออกมาได้ พร้อมต้นฉบับโปรโตคอลฉบับภาษารัสเซีย เขากลับบ้านที่อังกฤษแบบร่อแร่ปางตาย และภารกิจแรกหลังจากหายป่วยคือเริ่มต้นงานแปล “โปรโตคอล” นี่เอง แต่กว่าเขาจะทำได้สำเร็จก็ทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทุกๆวันเขาจะนั่งแปลโปรโตคอลได้วันละไม่เกินหนึ่งชั่วโมง และผู้ที่เป็นผู้อุปการะงานของ Marsden ก็คือ มกุฎราชกุมารแห่งเวลล์ ซึ่งสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา

    ต้นฉบับภาษารัสเซียที่ Victor E. Marsden นำมาแปลตีพิมพ์โดย Sergyei Nilus ตีพิมพ์เมื่อปี 1905 ตอนนี้มีต้นฉบับเหลืออยู่ 1 เล่ม (เล่มที่ Victor E. Marsden ติดตัวมาด้วยจากรัสเซีย) ตอนนี้อยู่ใน British Museum และติดป้ายว่า ได้รับมาเมื่อ วันที่ 10 สิงหาคม ปี 1906 เข้าใจว่าต้นฉบับตีพิมพ์ในภาษารัสเซียนทั้งหมด และทั้งหมดถูกทำลาย่ในยุค Karensky ซึ่งประกาศว่าการครอบครองเอกสารโปรโตคอลถือว่าเป็นอาชญกรรมและอนุญาตให้เจ้าหน้าที่พบเห็นผู้ครอบครองโปรโจคอล สามารถกระทำการวิสามัญฆาตกรรมผู้ครองครองได้ในทันที Victor E. Marsden กล่าวว่านี่คือข้อยืนยันที่มีน้ำหนักมากที่สุด ที่แสดงให้เห็นว่า เรื่องของโปรโตคอล คือเรื่องจริงไม่ใช่นิยาย อย่างที่พวกยิวชอบพูดกัน

    Henry Ford นักอุตสาหกรรมยานยนตร์ ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมรถยนตร์ในสหรัฐ มากเท่าๆกับการบุกเบิกกระบวนการต่อต้านยิวในอเมริกา ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ The New York World ตีพิมพ์เมื่อ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ปี 1921 โดยกล่าวถึง โปรโตคอล ไว้ว่า “คำเดียวที่ผมอยากจะบอกเกี่ยวกับโปรโตคอลก็คือ ...เรื่องราวในนั้นมันช่างพอดิบพอดีกับเหตุการณ์ความเป็นไปที่เกิดขึ้นจริงๆ แม้ว่าพิมพ์มาตั้ง 16 ปี แล้ว แต่อธิบายความเป็นไปในโลกวันนี้ได้อย่างถูกต้อง...น่าฉงน”

    ที่มาของคำว่า “โปรโตคอล” มาจากคำที่อยู่บนหน้าปกต้นฉบับ ที่จริงแล้ว..โปรโตคอล เป็นการบันทึกการประชุมของบรรดาปวงปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน โปรโตคอล ก็คือ กรอบคิดที่ปราชญ์อาวุโสมอบหมายให้ผู้นำไซออนิสต์ไปดำเนินการ โดยเนื้อหาแฝงไว้ด้วยแผนการก่อตั้งรัฐยิว บรดานักปราชญ์มีหน้าที่คอยปรับแต่งให้แผนการพวกนี้ทันสมัยอยู่เสมอ บทคัดย่อแต่ละส่วนถูกตีพิมพ์ออกมาอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงหลายศตรวรรษที่ผ่านมา ขณะที่เรื่องของผู้อาวุโสเริ่มรั่วไหลออกมา การที่ยิวอ้างว่า โปรโตคอลเป็นเรื่องที่กุขึ้นมานั้นเพื่อปกปิด ขณะที่พวกยิวไม่เคยปริปากที่จะตอบข้อเท็จจริงต่อข้อกล่าวหานี้

    ข้อกล่าวหาเรื่องโปรโตคอล ยิ่งมีน้ำหนักเมื่อมันถูกกล่าวถึงในการประชุมสภาไซออนิสต์ครั้งแรก หรือ The First Zionist Congress ซึ่งจัดขึ้นที่เมือง Basle ในปี 1897 ซึ่งประธานในการประชุมครั้งนั้นคือ บิดาแห่งลัทธิไซออนิสต์ยุคใหม่ Theodore Herzl เรื่องราวของโปรโตคอล ในการประชุมสภาไซออนิสต์ ได้รับการตีพิมพ์ในชุด “บันทึกรายวันของ Herzl” และถูกแปลมาปรากฎใน The Jewish Chronicle ฉบับวันที่ 14 กรดฎาคม ปี 1922 ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น
    “Herzle ไปเยือนอังกฤษเป็นครั้งแรก ในปี 1895 Herzle ได้พบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพอังกฤษ ชื่อว่า พันเอกโกลด์สมิธ โกลด์สมิธเป็นลูกยิวแต่มาเปลี่ยนเป็นคริสเตียน โกลด์สมิธ แนะนำ Herzle ว่า วิธีการที่ดีที่สุดคือพยายามเข้าให้ถึงชนชั้นสูงของอังกฤษให้ได้ และทำลายอำนาจของพวกที่ต่อต้านยิว ด้วยการเพิ่มภาษีที่ดินที่พวกนั้นครอบครองอยู่ Herzle คิดว่านี่คือความคิดอันยอดเยี่ยม”

    พวกฝรั้งที่พยายามค้นนหาหลักฐาน มายืนยันว่าโปรโตคอง และแผนการของไซออนิสต์เป็นเรื่องจริง ได้ทำการเทียบเคียงรายละเอียด และพบว่า เรื่องราวจาก “บันทึกรายวันของ Herzl” เป็นส่วนหนึ่งที่ปรากฎในโปรโตคอล บทที่ 5

    ผู้นำไซออนิสต์คนต่อมาถัดจาก Herzl คือ Dr. Weizmann ก็ทิ้งร่องรอยเบาะแสไว้ให้ติดตามค้นหา เขากล่าวในการประชุมครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 1920 เพื่ออุทิศให้แก่ Chief Rabbi Herzl ชื่อที่เขาเรียก Herzl โดยให้เกียรติอย่างสูงสุด Weizmann เล่าว่าขณะนั้น Herzl กำลังกลับจากอังกฤษ ตามคำเชิญของมกุฏราชกุมารแห่งเวลล์ Weizmann กล่าวว่า “A beneficent protection which God has instituted in the life of the Jew is that He has dispersed him all over the world."

    คำกล่าวนี้อยู่ในโปรโตคอล บทที่ 11 ครับ !

     
  13. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    คุณขวัญจัดเต็มเลย :cool:
    จะบอกว่าตามอ่านอยู่นะคะ น่าสนใจแต่เยอะ จะทยอยอ่าน
    ขอบคุณค่ะ

    ชอบประโยคนี้จริงๆ "นักบุญผู้โปรยทาน หรือซาตานผู้เลือดเย็น"
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=_hXFnSC5W2k&list=UUpwvZwUam-URkxB7g4USKpg&index=3&feature=plcp"]Unfair Welfare: UK to turn into migrant paradise? - YouTube[/ame]

    อัปโหลดโดย RussiaToday เมื่อ 21 ธ.ค. 2011
    A new conflict's erupted between Britain and the EU - this time, over the UK's treatment of so called 'benefit tourists.' Brussels has given London an ultimatum to relax benefit laws - saying the country must dole out handouts to anyone who asks for them. But, as RT's Ivor Bennett reports, Britain's new spirit of non-cooperation may complicate the matter.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2011
  15. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    สงสัยจะทำงานการเงิน..
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทำงานไอที แต่จิตไม่ว่างชอบสงสัยแล้วต้องหาข้อมูลมาคลายสงสัย
    เจาะ เจาะ และก็เจาะ ค้นไปเรื่อย วิจัยไปเรื่อย หนังยังไม่จบก็ยังปล่อยวางไม่ได้
    ใกล้จะมีเรื่องให้หวาดเสียวกันอีกแล้ว เรียกว่าหน้าสิ่วหน้าขวานทางการเงิน
    จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ ดูคนระดับโลกเขาแสดงละครชีวิตไง แต่ละช๊อตนี่บอกได้คำเดียวว่า
    ซี๊ดดดดดดด ไม่น่าเชื่อว่าเวลาคนจนตรอก ประเทศจนตรอก เขาก็ทำกันได้ทุกอย่าง
    บีบคั้นอารมณ์ ไม่กลัวตายกันเลยทีเดียว เราดูแค่ในจอยังเสียวแทนเลย

    ปล. ขออภัยที่ตอบยาว จินตนาการเยอะ ความในใจก็แยะ มันเป็นสันดานส่วนตัว แก้ยาก หุหุ
    สหายเก่าถามนิดเดียว ตอบซะยาวเลย คงไม่ว่ากันนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2011
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    “มีชัย” ฉะ “มะกัน” ละเมิดสิทธิอื้อ-ป่าเถื่อนยิ่งกว่ายุคหิน ชี้จุ้น ม.112 ไม่เข้าเรื่อง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>22 ธันวาคม 2554 12:05 น.</TD><TD vAlign=center align=left><SCRIPT src="https://plus.google.com/_/apps-static/_/js/widget/plusone_unsupported/rt=j/ver=pKS9NZqbfXA.th./sv=1/am=!itqi7GDL5S6I4GqN1g/d=1/" async="true"></SCRIPT><SCRIPT src="http://platform.twitter.com/widgets.js" type=text/javascript></SCRIPT>


    <SCRIPT src="https://apis.google.com/js/plusone.js" type=text/javascript> {lang: 'th'}</SCRIPT><?XML:NAMESPACE PREFIX = G /><G:pLUSONE size="medium"></G:pLUSONE>

    <TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา และประธานรัฐสภา (ภาพจากแฟ้ม)

    ASTVผู้จัดการออนไลน์ – อดีตประธานวุฒิฯ ตอบคำถามกรณีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ชี้ต้องมีเพราะคุ้มครองประมุขของประเทศ ยกอเมริกาก็หมิ่น ปธน.ไม่ได้เช่นกัน หยิบกรณีมะกันกลัวก่อการร้ายจนขี้ขึ้นสมอง ตามล่าบินลาเดนส่งจรวดไปถล่มกลับคว้าน้ำเหลว ทำชาวบ้านตายอื้อ ฉะป่าเถื่อนยิ่งกว่ายุคหิน แจงกฎหมายต้องอิงอยู่กับประเพณีวัฒนธรรมด้วย

    เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา เว็บไซต์มีชัยไทยแลนด์ ด็อท คอม ของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา และประธานรัฐสภา ในเว็บบอร์ด “ถาม-ตอบกับมีชัย” ได้เผยแพร่คำตอบกรณีที่ผู้ใช้นามแฝง “คุณชัยครับ” ตั้งคำถามในหัวข้อ แก้กฎหมายหมิ่นฯ โดยสอบถามว่า กระแสการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชนต่างๆ ที่ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 โดยระบุว่ามาตรานี้มีปัญหาต่างๆ มากมาย ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร เพราะขณะนี้องค์กรระหว่างประเทศ เช่น ยูเอ็น หรือสถานทูตสหรัฐฯ ตลอดจนองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหากฎหมายมาตรานี้และเรียกร้องให้มีการแก้ไขแล้วและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างไรในสายตาของต่างประเทศ

    นายมีชัยได้ตอบคำถามดังกล่าว ระบุว่า มาตรา 112 ห้ามการกระทำเพียง 3 อย่าง คือ ห้ามหมิ่นประมาท ห้ามดูหมิ่น และห้ามอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การกระทำทั้ง 3 อย่างนั้น อย่าว่าแต่จะทำกับประมุขของประเทศเลย ทำกับคนธรรมดาก็ยังไม่ได้ เสรีภาพของบุคคลนั้นย่อมมีขอบเขตอันจำกัดที่จะต้องไม่ไปละเมิดคนอื่น ถ้าคำนึงถึงแต่เสรีภาพของบุคคลโดยไม่คำนึงถึงสิทธิของคนอื่น สังคมก็คงกลียุค

    “แม้แต่ในอเมริกาเองก็ใช่ว่าเราจะไปหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้ายประธานาธิบดีของเขาได้เสียเมื่อไรล่ะ ข้อสำคัญ ประเทศแต่ละประเทศย่อมมีความระแวดระวังในเรื่องที่ต่างกัน ถ้ามองในแง่มุมของอีกประเทศหนึ่งอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สมควร แต่คนที่เจริญแล้วเขาก็ต้องยอมรับนับถือประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ไม่ไปตัดสินจากความคุ้นเคยหรือความเคยชินของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น อเมริกันกลัวการก่อการร้ายจนขี้ขึ้นสมอง ใครจะผ่านเข้าประเทศจะตรวจค้นอย่างละเอียดยิบโดยไม่คำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลของใคร ถึงขนาดจับแก้ผ้าก็ยังทำ แม้แต่กระเป๋าเดินทางก็เปิดรื้อค้นเอาเองได้ เมื่อตอนที่อเมริกันตามล่าบินลาเด็น (นายโอซามะ บินลาเดน หัวหน้ากลุ่มอัลกออิดะห์) น่ะ เคยจับภาพจากอากาศเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินถือไม้เท้าอยู่เชิงเขา นึกว่าเป็นบินลาเด็น ส่งจรวดราคาแพงไปถล่มตายหมดทั้งกลุ่ม จึงรู้ภายหลังว่าไม่ใช่บินลาเด็น ชาวบ้านเลยตายฟรีนั่นน่ะไม่โหดร้ายป่าเถื่อนเสียกว่ายุคหินอีกหรือ ก็ไม่เห็นคนอเมริกันหรือสหประชาชาติจะไปตำหนิอะไร เพราะความแค้นในเรื่องถูกถล่มตึกยังค้างคาอยู่ในใจ” นายมีชัยกล่าว

    นอกจากนี้ นายมีชัยยังกล่าวอีกว่า ประเทศสิงคโปร์มีโทษเฆี่ยนตี ให้หลาบจำจะได้ไม่ทำผิดบางอย่าง คนอเมริกันมือซนเอาสีสเปรย์ไปพ่นที่กำแพง เขาจับได้ ลงโทษตีก้นให้ได้อายมาแล้ว จะโวยวายหรือขอร้องอย่างไร รัฐบาลสิงคโปร์ก็ไม่ยอม ไม่มีใครไปเรียกร้องให้เขาแก้ไขกฎหมาย เพราะเขาจะเฆี่ยนตีก็แต่เฉพาะคนที่ทำผิด เหมือนกับกฎหมายของไทย จะลงโทษก็แต่เฉพาะคนที่ทำผิดที่ห้ามไว้

    http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000162693
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2011
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เยรูซาเล็ม..ระเบิดเวลาสงครามศาสนา

    shaffi : เขียน (23 มีนาคม 2009)

    [​IMG]

    แบบร่างมหาวิหารเดวิดยุคที่ 3

    [​IMG]


    หุ่นจำลองแบบมหาวิหารเดิวิดยุคที่ 3 ที่ยิวจะสร้างทับบน มัสยิดอัล-อักศอร์ และมัสยิดโดมศิลา มัสยิดที่มีความสำคัญสำดับที่ 3 ของชาวมุสลิม

    “Eliya” เป็นคำในภาษาฮีบบรู ที่ขบวนการไซออนิสตใช้เรียกยิวอพยพในการรณรงค์ เชิญชวนชาวยิวจากทั่วโลกให้ อพยพสู่ดินแดนปาเลสไตน์ หากการรณรงค์นี้ล้มเหลวการก่อตั้งรัฐยิวก็ล้มเหลวไปด้วย ดังนั้นไซออนิสต์จึงต้องรณรงค์ ด้วยการอาศัยข้ออ้างต่างๆนานา เพื่อจูงใจ ร่วมกับการโปมโมชั่นลดแลกแจกแถมกันสุดชีวิต นอกจากเหตุผลหลักๆที่นำมาใช้อ้างว่า ดินแดนปาเลสไตน์เป็นดินแดนแห่งพันธะสัญญา ที่พระเจ้าทรงมอบให้ชนชาติยิวแล้ว ยังมีการอ้างเหตุผลทางศาสนาแบบตรงๆอีกด้วย นั่นก็คือคำโฆษณาชวนเชื่อว่า นครเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นที่ตั้งของ The Temple Mount คือ วิหารศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิว จะต้องตกเป็นสมบัติของชนชาติยิวตราบจนกว่าวันแห่งการตัดสิน หรือเมสสิอา จะมาปรากฎบนโลกก่อนโลกจะถูกพระเจ้าทำลาย

    ประเด็นของ “เยรูซาเล็ม” ถือว่าเป็น Hidden Agenda ที่ไซออนิสต์ไม่อยากพูดดังๆให้ใคร(ที่ไม่ใช่ยิว)ได้ยิน โดยเฉพาะในช่วงต้นๆของการรณรรงค์เพื่อ ก่อตั้งรัฐยิวบนดินแดนปาเลสไตน์ เนื่องจากเกรงว่าการใช้เหตุผลในประเด็นเบรูซาเล็มอาจถูกมองว่าใช้เงื่อนไขและความต้องการทางศาสนามากเกินไป ที่ไม่เพียงแต่จะขัดแย้งกับมุสลิม แต่ชังฝรั่งคริสเตียนมาร่วมสหบาทากระหน่ำใส่ยิวโดยไม่จำเป็นอีกด้วย ปัญหาใหญ่ของขบวนการไซออนิสต์ในขณะนั้น คือ จะเดินเกมทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สองอย่างไรให้ได้ดินแดนปาเลสไตน์ เรื่องเยรูซาเล็มเอาไว้ทีหลัง..

    อย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้วว่า ประเด็นที่ไซออนิสตืหยิบยกมาใช้ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดนอาหรับปาเลสไตน์ เพื่อก่อตั้งรัฐยิวนั้น มีอยู่ไม่กี่ประเด็น เช่น ข้อต่อสู่ที่อ้างว่า ดินแดนปาเลสไตน์เป็นดินแดนที่รกร้างว่างเปล่าไร้ผู้คนและไร้ประโยชน์ หรืออย่างการข้อเสนอแลกเปลี่ยนกับอังกฤษ ซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมปาเลสไตน์ในขณะนั้น ว่าหากยอมให้ยิวอพยพเข้ามาตั้งอาณานิคมยิวในปาเลสไตน์ ยิวจะช่วยอังกฤษควบคุมพวกอาหรับกบฎที่พยายามแข็งข้อต่อรัฐบาลอังกฤษ ยิวยอมเป็นหมาเฝ้าบ้านให้อังกฤษ เพราะรู้ดีว่ายังไงกตามไม่วันใดก็วันหนึ่ง สุกท้ายเจ้าของบ้านต้องคืนบ้านให้เจ้าของเดิมอยู่ดี ถึงตอนนั้นยิวขะสวมสิทธิ์เป็นเจ้าของเสียเลย แต่เวลาที่ไซออนิสต์ไปโฆษณาเชิญชวนชาวยิวให้อพยพมาปาเลสไตน์ ไซออนิสต์ต้องหาเหตุผลโน้มน้าวที่อ่อนไหวสักหน่อยจึงจะได้ผล ไซออนิสต์จึงใช้ข้ออ้างทางศาสนาว่า ปาเลสไตน์คือดินแดนที่พระเจ้าสัญญาแก่ชนชาติยิว และแน่นอนว่าเหตุผลหนึ่งที่ไซออนิสต์ให้สัญญา และทำให้ชาวยิว..ที่อยากเจอกับพระเจ้า ต้องหูผึ่งตาค้าง ก็คือคำมั่นสัญญาว่า “จะฟื้นฟูมหาวิหารยูดาย (เดวิด) ยุคที่ 3” ขึ้นบน The Temple of Mount ใจกลางนครเบรูซาเล็ม ให้แก่ ชาวยิวทั้งมวลให้จงได้ ไซออนิสต์รู้ดีว่าประเด็นนี้พูดดังๆให้ใครได้ยินไม่ได้เป็นอันขาด เรื่องขโมยดินแดนปาเลสไตน์ เป็นเรื่องใหญ่เฉพาะหน้ามากกว่า ขืนไปพูดเรื่องเยรูซาเล็ม เดี๋ยวไก่(อาหรับ)ตื่นขึ้นมาเสียก่อนล่ะยุ่งตายเลย พวกไซออนิสต์นั้นถนัดอยู่แล้วกับการทำเรื่องให้ลับลมคมใน ใช้เล่เพทุบาย เรื่องเยรูซาเล็มแค่นี้ จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขอให้ได้ปาเลสไตน์มาก่อนเถอะ เยรูซาเล็มก็อยู่ในอุ้งมือยิวได้ไม่ยากเย็น

    ไซออนนิสต์นั่นรู้ดีว่า ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าไปแตะเยรูซาเล็มเข้า ต้องเป็นเรื่องแน่ ยิวต้องรบกับชาวมุสลิมทั้งโลก เพราะนครเยรูซาเล็ม ที่ชาวอาหรับเรียกว่า “อัล-กุดส์” นั้นเป็นที่ตั้งของมัสยิดที่มีความสำคัญเป็นอันดับที่ 3 ของชาวมุสลิม (อันดับที่หนึ่งคือมัสยิดต้องห้ามนครมักกะฮ์ - อันดับที่สองคือ มัสยิดของท่านศาสนทูตมุฮัมมัด ที่นครมาดีนะฮ์ และมัสยิดอัล-อักศอร์ เป็นมัสยิดที่มีความสำคัญเป็นอันดับที่สาม) เรื่องความสำคัญของเบรูซาเล็มนี้ชาวมุสลิมหาได้อุปโลกขึ้นมาเองไม่ แต่มีหลักฐานทั้งจากพระวัจนะของพระเจ้าที่ปรากฎในพระมหาคัมภีร์ อัล-กุรอาน และบันทึกรายงานงานจากท่านศาสนทูตมุฮัมมัด (ที่ภาษาอาหรับเรียกว่า อัล-หะดีษ) รับรองให้ความสำคัญแก่นครเยรูซาเล็ม หรืออัล-กุดส์ ตามที่อาหรับเรียกขาน

    ไซออนิสต์ เลือกใช้ประเด็นปาเลสไตน์ แค่นี้ยิวก็ก่อศัตรูรอบบ้านแล้ว.. จะไปพูดเรื่องเยรูซาเล็มทำไม แต่ไซออนิสต์ก็แอบบอกเรื่องการฟื้นฟูมหาวิหารยูดาย (เดวิด) ยุคที่ 3” นี้ ให้ชาวยิวทุกคนได้รับรู้ เรื่องเยรูซาเล็มจึงปรากฎเป็นส่วนสำคัญในวาระ หรือ Agenda ของไซออนิสต์เรื่อยมา จนแปรรูปมาเป็นพรรคการเมืองลิคูดแล้ว วาระเยรูซาเล็มยังคงอยู่อย่างเงียบเชียบ ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีอิสราเอลคนไหนที่มาจากพรรคลิคูดเอ่ยปากพูดถึงอนาคตของเยรูซาเล็มในโต๊ะเจรจาสันติภาพ (เว้นแต่นายกฯที่มาจากพรรคกรรมกร) ... รัฐบาลอิสราเอล จะเก็บเรื่อง เยรูซาเล็มเอาไว้พูดในท้ายที่สุด และตอนนั้นอิสราเอลจะงัดแผนฟื้นฟูมหาวิหารยูดาย (เดวิด) ยุคที่ 3 ขึ้นมาบนโต๊ะ ... แผนที่ทำให้โลกมุสลิมทั้งโลก ต้องประกาศสงครามกับอิสราเอลในทันที แต่ยังก่อน..ยังไม่ถึงเวลานั้นหรอกครับ

    ทำไมผมจึงกล่าวว่าเยรูซาเล็มคือชนวนระเบิดเวลาโลก เหตุผลที่เข้าใจง่ายที่สุดก็คือ หากยิวคิดจะฟื้นฟูมหาวิหารยูดาย (เดวิด) ยุคที่ 3 ขึ้นมาจริงๆ สิ่งแรกที่ยิวต้องทำก็คือ รื้อมัสยิดที่มีความสำคัญเป็นอันดับที่ 3 ของโลกมุสลิมออกไปเสียก่อน แล้วจึงสร้างมหาวิหารเดวิดยุคที่ 3 ขึ้นมาได้ เพราะมัสยิดอัล-อักศอร์ ก่อสร้างอยู่บนเนินเขาที่เรียกว่า The Temple Mount และอยู่ตรงนั้นมาตั้งพันสี่ร้อยกว่าปีแล้วครับ.. คอนที่ชาวมุสลิมสร้างมัสยิดอัล-อักศอร์ และมัสยิดโดมศิลา (ท่ีอยู่เคียงคู่กันบนเนินเขานั้น)เป็นช่วงเวลาที่อาณาจักรอิสลามปกครองปาเลสไตน์ และเนินตรงนั้นก็เป็นแค่ซากเมืองโบราณอายุหลายพันปี ที่ถูกโรมันทำลาย 600 ปี ก่อนอาณาจักรอิสลาม ผู้นำอาณาจักรอิสลาม ท่านคอลิฟะอ์ (ฝรั่งเรียกตำแหน่งนี้ว่า กาหลิบ) อุมัรฺ อิบนุ คอตฏอบ สร้างมัสยิดอัล-อักศอร์ ... แต่ยิวอ้างว่าข้างใต้ซากที่ว่านี้คือซากมหาวิหารเดวิดและมหาวิหารโซโลมอน นี่แหละคือประเด็นที่ทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นปัญหาล่ะครับ

    ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่รัฐบาลอิสราเอลก็ไม่เคยเลิกคิดเรื่องการฟื้นฟูมหาวิหารเดวิดยุคที่ 3 รัฐบาลยิวไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป หลังสงคราม 6 วัน ในปี 1967 ฝ่ายอาหรับก็สูญเสียเยรูซาเล็มไปให้แก่ยิว ขณะที่อิสราเอลใช้ยุทธศาสตร์ดึงความสนใจไปที่การบุกยึดคายสมุทรไซนายของอียิปต์ ยิวเปิดฉากโจมตีแบบสายฟ้าแล็บกองกำลังฝ่ายอาหรับที่แข็งแกร่งที่สุดคืออียิปต์ถูกตรึงอยู่ทางตอนใต้ นครเยรูซาเล็มจึงมีแต่กองกำลังซีเรียและจอร์แดน ไม่อาจต้านทานกองทัพอิสราเอลได้ สหประชาชาติสั่งให้ยุติสงครามและมีมติที่ 478 ให้สถานภาพเป็นกลางแก่นครเยรูซาเล็ม แต่ในทางปฏิบัติ เยรูซาเล็มตะวันออกตกอยู่ในมืออิสราเอลตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ อิสราเอลย้ายเมืองหลวงอย่างเป็นทางการมาที่เยรูซาเล็ม ท่ามกลางการคัดค้านและไม่ยอมรับของฝ่ายอาหรับ ขณะที่คณะกรรมาธิการการศึกษาและวัฒนธรรมอาหรับของสันติบาตแห่งชาติอาหรับ หรือ The Arab League ได้มีการประชุมและมีมต ประกาศให้นครเยรูซาเล็มในปี 2009 มีสภานภาพเป็น “นครหลวงแห่งวัฒนธรรมอาหรับ” แต่อิสราเอลคัดค้านทันที

    ฝ่ายยิวกับฝ่ายอาหรับแย่งกันครอบครองทาง “สัญลักษณ์” กันอย่างดุเดือด รัฐบาลเนธันยาฮูขึ้นสู่ตำแหน่งครั้งแรกในปี 1995 ก็ประกาศให้เปิดอุโมงค์ด้านทิศตะวันออก ทำให้ฝ่ายปาเลสไตน์ไม่พอใจพากันออกมาประท้วง การประท้วงสืบเนื่องมาถึงกรณีที่กลุ่ม NGO. ของยิวที่สนับสนุนให้สร้างมหาวิหารเดวิดยุคที่ 3 บน Temple of Mount Organization ที่ใช้ชื่อว่า Temple Trustees ใช้สื่อปลุกระดมชาวยิว ให้มาร่วมเดินขบวนมาที่ Temple of Mount ที่ตั้งมัสยิดอัล-อักศอร์ ในวันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม ปี 1990 เพื่อเรียกร้องให้รื้อถอนศาสนสถานสำคัญทั้งสองแห่งของชาวมุสลิม เพื่อวางศิลาก่อสร้างมหาวิหารเดวิดยุคที่ 3 เวลา 10 โมงเช้า คลื่นมหาชนชาวยิวกว่าสองแสนคนที่ถูกสื่อปลุกเร้าให้ออกมาที่ถนน ได้เริ่มขว้างปาร้านค้าและชาวอาหรับ ขณะที่ฝ่ายปาเลสไตน์ก็เดินขบวนประท้วงปิดกั้นให้กลุ่มดังกล่าวเข้าสู่มัสยิดอัล-อักศอร์ กลุ่มชาวยิวฝ่าเข้าไปในเขตมัสยิดเผชิญหน้ากับชาวปาเลสไตน์ที่ขวางไว้ ตำรวจอิสราเอลก็ระดมยิงใส่ผู้ประท้วงชาวปาเลสไตน์ทันที เป็นให้มีผู้เสียชีวิต 23 คน และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน

    เรื่องมันได้จบแค่นี้หรอกครับ ฝ่ายยิวได้สนับสนุนให้องค์กรเอกชนของตนเองดำเนินการรณรงค์เพื่อรื้อถอนมัสยิดอัล-อักศอร์ และโดมศิลา เพื่อก่อสร้างมหาวิหารเดวิด ยุคที่ 3 อย่างแข็งขันและต่อเนื่อง ฝ่ายทางการก็พยายามทำการขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อหาหลักฐานมายืนยันให้ได้ว่าที่ข้างใตอาคารมัสยิดอัล-อักศอร์ และโดมศิลา ศาสนสถานสำคัญอันดับที่ 3 ของชาวมุสลิมทั้งโลกนั้น คือซากอาคารมหาวิหารของ กษัติย์เดวิด พระบิดาของกษัตริย์โซโลมอน

    ที่จริงเมื่อหลายปีก่อน ผมจำได้ว่าสถานีวิทยุ BBC. ลอนดอน เคยมีข่าวออกมาฮือฮาไปทั้งโลกว่า คณะนักสำรวจและวิจัยทางโบราณคดีชาวอังกฤษ ที่ทางการอิสราเอลขอให้เข้าร่วมสำรวจซากอาคารโบราณใต้ The Temple Mount ที่นครเยรูซาเล็ม ได้ออกมาประกาศว่า “ไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีใดๆที่บ่งชี้ว่า ซากอาคารโบราณดังกล่าวเป็นซากอาคารมหาวิหารเดวิด ที่ถูกโรมันทำลาย ตามที่รัฐบาลอิสราเอลสันนิษฐานไว้”

    ข่าวนี้ออกมาไม่กี่วันก็หายเงียบไป ..เชื่อไหม ผมตามไปค้นในไฟล์ข่าวของ BBC. ย้อนหลัง..ซึ่งปกติต้องมีข่าวๆทุกข่าวที่นำเสนอไป แต่แปลกแฮะข่าวนี้กลับหาไม่เจอ.. ใต้มัสยิดอัล-อักศอร์ จะใช่วิหารเดวิต หรือไม่..ตอนนี้ยิวไม่สนใจแล้วครับ..

    เพราะเขาเดินหน้าออกแบบก่อสร้างมหาวิหารเดวิดยุคที่ 3 ไว้เรียบร้อยแล้ว แถมอ้างด้วยว่าออกแบบใกล้เคัยงกับมหาวิหารในยุคแรก ที่ถูกพวกบาบิโลนทำลาย และยุคที่สองที่ถูกโรมันทำลาย ..ยิวนี่มันร้ายจริงๆเลย..คุณว่ามั๊ย

    http://www.oknation.net/blog/TalkingBook/2009/03/23/entry-1
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เยรูซาเล็ม...มหาวิหารเดวิดยุค 1 และ 2

    shaffi : เขียน (23 มีนาคม 2009)

    เวลายิวจะเล่าถึงมหาวิหารยุคแรก ยิวจะอ้างถึงโตรา หรือ the Old Testament คัมภีร์ที่พระเจ้าประทานให้โมเสส (หรือศาสนทูตมูซาในมุมของอิสลาม) ยิวใช้คัมภีร์ร่วมกับคริสเตียนมาตั้งแต่ต้น แต่พอคริสต์จักรมีอำนาจในไบแซนไทน์ คริสต์จักรจะอ้างถึง the New Testament แทน เพราะศาสนจักรไม่ต้องการมีประวัติศาสตร์ร่วมกับยิว เพราะถือว่ายิวมีส่วนที่ทำให้พระเยซูถูกโรมันจับตัวและตายบนไม่กางเขน อีกทั้ง the New Testament เป็นคัมภีร์ที่พระเจ้าประทานมาให้พระเยซู ตามคำกล่าวอ้างของยิวมหาวิหารแห่งเดวิดหลังแรกถูกสร้างขึ้นบน the Temple Mount (ซึ่งจริงๆไม่รู้ว่าอยู่ไหน หรือใช่กับที่ตั้งของมัสยิด อัล-อักสฮร์ หรือไม่) ในภาษาฮีบบรูเรียกว่า Har ha-beit ซึ่งแปลว่า Mount of the House ตามคัมภีร์ที่ยิวอ้างกล่าวว่า กษัติย์เดวิด (อาหรับเรียกดาวูด) เลือกที่ตั้งที่สร้างสักการะสถานเพื่อพระเจ้า โดยปีนขึ้นไปบนยอดเนินที่เรียกว่า Mount Moriah หรือเนินเขา Moriah ซึ่งอยู่ระหว่าง หุบเขาสองหุบเขาคือ Kedron กับ Tyropean ตามคัมภัร์ที่ยิวอ้างนั้นระบุว่าตำแหน่งที่กษัตริย์เดวิด (หรือศาสนทูตดาวูดของชาวมุสลิม) เลือกสถานที่เดียวกันกับสถานที่ที่อับราฮัม (หรือศาสนทูตอิบริฮีมของมุสลิม) ใช้ทำเป็นแท่นในการเชือดลูกชายตนเองพลีถวายแด่พระเป็นเจ้าตามคำสั่ง (พระเป็นเจ้าทดสอบความศรัทธาของอับราฮัม) แต่คัมภีร์ที่ยิวอ้างกล่าวว่าลูกชายอับราฮัมที่ถูกนำมาเชือดพลี คือ ไอแซค (อาหรับเรียกอิสฮาก) แต่คัมภีร์ของอิสลามกล่าวว่า บุตรของอับราฮัม หรืออิบรอฮีมที่ถูกพระเจ้าลองใจด้วยการสั่งให้เชือดลูกชายตนเองนั้นชื่อว่า อีสมาอีล บุตรอันเกิดจากภรรยาทาสชาวอียิปต์ คนที่ยิวพยายามลบออกจากคัมภีร์ เพราะอิสมาอี คือ บิดาแห่งชนชาติอาหรับ เรื่องนี้ยาวทิ้งไว้ตรงนี้ก่อน แต่ที่เล่ามายืดยาว ก็แค่อยากให้ตั้งข้อสังเกตุว่า ถ้าที่ตั้งวิหารเดวิดยุคแรก อยู่บนเนินเขาตำแหน่งเดียวกันกับที่เชือดพลีบุตรชายอับราฮัม มันจะเป็นสถานที่เดียวกันกับ the Temple Mount ในปัจจุบันที่อยู่ในเยรูซาเล็มจริงหรือไม่

    ถ้าบุตรชายของอับราฮัม คือ อีสมาอีล ดังที่ระบุในพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ของอิสลาม อับราฮัมหรืออิบรอฮีม จะทำการเชือดพลีบุตรชายถวายแด่พระเจ้าที่ไหน ในพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ของอิสลาม กล่าวถึงเหตุการณ์ที่อิบรอฮีม หรืออับราฮัม ศาสนทูตผู้ภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียว เฝ้าวิงวอนขอบุตรชายจากพระเจ้า และพระเจ้าทรงประทานบุตรในครรภ์ภรรยาทั้งสองของอับราฮัม คนหนึ่งจากภรรยาคนแรกที่ชื่อนางซารา อาหรับเรียกว่า ซารอฮ์ ให้บุตรชื่อ ไอแซค หรืออิสฮาก ส่วนภรรยาที่สองให้บุตรชื่ออิสมาอีล ต่อมาพระเจ้าทรงมีคำสั่งให้อับราฮัมนำภรรยาที่สองและอิสมาอีล ย้ายไปอยู่ในสถานที่ ที่ปัจจุบันคือ ที่ตั้งมหาวิหารกะบะฮ์ หรือมัสยิดต้องห้ามในเมืองเมกกะฮ์ นั่นเอง ที่เมกกะฮ์เมื่อครั้งนั้นเป็นแอ่งที่ราบที่อยู่ระหว่างเนินเขาสองเนิน คือ ศอฟาฮ์ และมัรฺวะฮ์ ที่นี่เองที่พระเจ้าทรงสั่งให้อับราฮัม และบุตร คืออีสมาอีล สร้างสักการะสถานเป็นบ้านของพระเจ้าแห่งแรกขึ้น นั่นคือมหาวิหารกะบะฮ์ รูปลูกบาศก์สี่เหลี่ยม ที่อยู่ใจกลางมัสยิดต้องห้ามในนครเมกกะฮ์ หากเป็นเช่นนี้ สถานที่ที่อับราฮัมใช้เป็นที่เชือดพลีบุตรชายตามคำสั่งพระเจ้า จะใช่..เยรูซาเล็ม หรือไม่ เพราะเยรูซาเล็ม อยู่ห่างจากเม็กกะฮ์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร

    หากเชื่อเอาตามที่ยิวอ้างถึง สถานที่ที่กษัตริย์เดวิดเลือกก่อสร้างมหาวิหาร อยู่ตรงไหน ในเยรูซาเล็ม ยิวอ้างคัมภีร์ต่อไปว่า แบบแผนทั้งหมดของมหาวิหารนั้น กษัตริย์เดวิดทรงได้รับการวิวรณ์ หรือการดลบันดาลใจจากพระเจ้า ตำนานยิวกล่าวว่าด้วยเหตุนี้วิหารแห่งแรกของเดวิดจึงได้รับการออกแบบให้เป็นสถานที่ซึ่ง เป็นที่สำหรับการพบกันระหว่าง “มนุษยชาติกับพระผู้เป็นเจ้า” (สำหรับมุสลิมแล้ววิหารกะบะฮ์ที่อับราฮัมกับอิสมาอีลสร้างขึ้นในเมกกะฮ์เป็นบ้านของพระเจ้าแห่งแรกที่สร้างขึ้นโดยคำสั่งของพระเจ้า ภาษาอาหรับเรียกว่า บัยตฺ อัลลอฮฺ หรือ บัยตุลลออฮ์ แปลว่าบ้านของอัลลอฮฺ)

    สำหรับยิว มหาวิหารเดวิดเป็นสักการะสถานสำหรับมนุษย์ ทั้งผองในโลกอารยธรรมโบราณ นอกจากมหาวิหารเดวิดจะสร้างขึ้นเพื่อแสดงความภักดีต่อพระเจ้าแล้ว ยังเป็นราชฐานสำหรับกษัตริย์แห่งจูดาห์ เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านการศึกษาและศิลปะ และในยามสงครามก็เป็นป้อมค่ายของทหาร พวกยิวอ้างตามคัมภีร์ (2 Samuel 6) ว่ากษัตริย์เดวิดทรงนำเอา the Ark of the Covenant หรือแผ่นศิลา 2 แผนที่บันทึกบัญญัติ 10 ประการ ที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โมเสส มาที่เยรูซาเล็มด้วย และเชื่อว่า the Ark of the Covenant ถูกเก็บรักษาไว้ในมหาวิหารแห่งนี้ แม้ว่ากษัตริย์เดวิดจะทรงเป็นผู้วางแผนการก่อสร้าง แต่การที่พระองค์ต้องการให้เป็นที่ถูกบันทึกว่าราชโอรสของพระองค์มีส่วนเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง และอยากให้ผู้คนเรียกขานว่ามหาวิหารโซโลมอน พระองค์จึงมอบหมายงานก่อสร้างทั้งหมด ที่ตำนานยิวกล่าวว่าใช้เวลานานถึง 7 ปี ใช้คนงานก่อสร้างมากถึง 153,000 คน ดำเนินการควบคุมงานโดยสถาปนิกที่มีชื่อว่า Hiram แห่ง Tyre มหาวิหารภายใต้พระราชอำนาจของกษัตริย์แห่งจูดาห์พระนามโซโลมอน (หรือที่ชาวมุสลิมเรียกว่าศาสนทูตสุลัยมาน) รุ่งเรืองอยู่นาน 400 ปี ราชอาณาจักรยูดาห์ก็ถูกทำลายและลมสลายไปเมื่อ 586 ถึง 587 ปีก่อนคริสต์กาล โดยกษัตริย์ Nebuchadnezzar แห่งราชวงศ์บาลิโลนใหม่ (ใครอยากเห็นว่า กษัตริย์บาบิโลน ที่ชื่อ Nebuchadnezzar หน้าตาเป็นอย่างไร ให้ไปดูที่ บริติชมิวเซียมในลอนดอน แล้วจะเห็นว่ากษัตริย์ผู้นี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน และร่ำรวยมากแค่ไหน สันนิษฐานกันว่ากษัตริย์ Nebuchadnezzar เอาเงินทองมากมายมหาศาลที่ปล้นมาได้จากอาณาจักรยูดาห์ ของกษัตริย์โซโรมอน มาทำสวนลอยแห่งบาบิโลน จนกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณ) Nebuchadnezzar จับยิวมาเป็นทาส และทำลายมหาวิหารที่พ่อลูกเดวิด-โซโลมอน ช่วยกันสร้างมาทิ้งจนไม่เหลือซาก เชื่อว่าชุมชนยิวในอิหร่าน และอิรักทุกวันนี้ สืบเชื้อสายมาจากยิวที่ถูก Nebuchadnezzar ต้อนไปเป็นเชลยเมื่อเกือย 600 ปีก่อนคริสต์กาล นั่นเอง.. นีคือบทสุดท้ายของมหาวิหารยุคแรก หรือมหาวิหารที่หนึ่ง

    ต่อไปนี้เป็นตำนานมหาวิหารยุคที่สองหรือหลังที่สอง ที่ยิวใช้อ้างอิง หลังจากอาณาจักรยูดาห์ บ้างก็เรียกยูเดีย ข้างก็เรียกจูเดีย ถูกจักรพรรดิ์บาบิโลน ชื่อ Nebuchadnezzar ทำลายราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว 70 ปี บาบิโลนเสื่ออำนาจไป เกิดมหาอำนาจชาติใหม่ คืออาณา จักรเปอร์เซีย โดยการนำของกษัตริยืหนุ่มนามว่า Cyrus the Great หรือจักรพรรดิ์ ไซรัสมหาราช เปอร์เซียเข้าครอบครองดินแดนปาเลสไตน์ หรืออาณาจักรยูดาห์ ไซรัสต้องการเอาใจยิวเจ้าของดินแดน จึงดำริให้มีการฟื้นฟูมหาวิหารเดวิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งโดยให้สร้างทับลงไปบนซากวิหารเดิม ในปีที่ 535 ถึง 515 ก่อนคริสต์กาล แม่กองที่ก่อสร้างมหาวิหารที่สอง เป็นข้าหลวงของไซรัสมหาราชที่ชื่อว่า Zerrubabel ดังนั้นมหาวิหารนี้ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวิหาร Zerrubabel ตามชื่อผู้อำนวยการสร้าง ที่จริงไซรัสมหาราชแอบแฝงนัยยะทางการเมืองเอาไว้ ไซรัสต้องการให้ชาวยิวเรียกชื่อวิหารนี้ว่าวิหาร Zerrubabel เพื่อให้ยิวลืมชื่อ มหาวิหารเดวิด หรือมหาวิหารโซโรมอน จักรพรรดิ์ไซรัสสร้างวิหารให้ใหม่ แต่เพื่อต้องให้ยิวศรัทธาไซรัส ไม่ใช่ศรัทธาโซโลมอน ไซรัสต้องการผลทางการเมืองมากกว่าความศรัทธาทางศาสนาจากยิวที่อยู่่ใต้การปกครองของเปอร์เซีย ไซรัสยังไม่ทันได้รับความศรัทธาจากยิว ราชอาณาจักรเปอร์เซียของพระองค์ก้ถูกท้าทายโดยจักรพรรดิ์ฝรั่งชาวกรีกหนุ่มอายุไม่ถึง 33 ปี นามว่า Alexander the Great หรือเล็กซานเดอร์มหาราช ทวันๆไม่มีอะไรจะทำนอกรบให้ชนะ Alexander กรีธาทัพไปทางตะวันออกเรื่อยๆ ไปถึงไหนก็รบชนะที่นั่น จนมาถึงอาณาจักรยูดาห์ ก็ปลดปล่อยยิวให้เป็นอิสระจากเปอร์เซีย พวกยิวพากันเฉลิมฉลองมหาวิหารโซโรมอน แต่ก็ร่าเริงอยู่ได้ไม่นาน มาถึงปีที่ 167 ก่อนคริสต์กาล อาณาจักรยูดาห์ ก็มีเจ้านายคนใหม่ ที่ทั้งโหดทั้งเลว นั่นก็คือพวกโรมัน... ตอนแรกๆโรมัน ไม่ค่อยสนใจยูดาห์เท่าใดนัก ก็ปล่อยให้ปกครองกันไป จนถึงปีที่ 37 ก่อนคริสต์กาล กษัตริย์ยูดาห์ชื่อ Herod the Great หรือ เฮรอดมหาราช รวบรวมอาณาจักรยิวจนเติบกล้าอย่างเงียบๆ พระองค์ต้องการฟื้นฟูจิตวิญญาณและความศรัทญาต่อศาสนาของชาวยิวที่หดหายไปเกือบหมดในยุคที่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของพวกลัทธิบูชาเทพเจ้าหลายองค์อย่างบาลิโลน หรือพวกลัทธิบูชาไฟอย่างเปอร์เซีย พระองค์แอบบฟื้นฟูโครงการมหาวิหารอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการขยายตัววิหารออกไป ก็ไม่ทราบว่าวิหารที่ไซรัสมหาราชสร้างเอาใจยิวหน้าตาเป็นอย่างไร แต่คงไม่วิลิศมาหรา เหมือนเหมือนวิหารในยุคแรกเป็นแน่ เพราะสร้างหวังผลทางการเมืองไม่ใช่จากความศรัทธา เฮรอดมหาราชกษัตริย์ยิวจึงวางแผนก่อสร้างขยายวิหารออกไป ทางกำแพงตัวนออก ที่ปัจจุบันยิวอ้างว่าซากกำแพงที่เห็นเหลืออยู่บน The Temple Mount คือซากกำแพงของกษัตริย์เฮรอด นอกจากนั้นยังสร้างส่วนที่เป็นตัวซุ้มประตูวิหารรูปทรงทึบตัน ที่เรียกว่า stoa (ดูรูปที่สถาปนิกยิวยุคปัจจุบันออกแบบรอการสร้างใหม่)


    [​IMG]
    มหาวิหารในจินตนาการ เชื่อว่าวิหารยุค 2 จุดเด่นที่ stoa หรือซุ้มประตูใหญ่หน้าทางเข้าทิศตะวันออก

    แผนการสร้างวิหารยุคสองรุ่นต่อเติมเริ่มในปีที่ 19 ก่อนคริสต์กาล วิหารยุคที่สองจึงถูกเรียกว่า วิหารเฮรอด ว่ากันว่าวิหารเฮรอด มีความสมบูรณ์และมีขนาดใหญ่โตกว่าวิหารเดวิดมาก มีการใช้รูปแบบสไตล์ของสถาปัตยกรรมกรีกและโรมัน ซึ่งเป็นศิลปกรรมร่วมในในยุคนั้นอย่างอลังการงานสร้าง วิหารเฮรอดเสร็ตสิ้นสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 63 ...เรื่องราวในตำนานวิหารสามยุคของยิวยังไม่จบ

    มหาวิหารยุคที่สอง ถูกโรมันทำลายอย่างไร เอาไว้เล่าต่อในตอนหน้าครับ

     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิวฟื้นวิหารยุคที่ 3 ต้องข้ามศพมุสลิมไปก่อน

    shaffi : เขียน (23 มีนาคม 2009)

    ตอนที่แล้วผมเล่ามาถึงประมาณปีที่ 19 ก่อนคริสต์กาล กษัตริย์ยิวนามว่าเฮรอดคิดฟื้นฟูจิตวิญญาณและศาสนายิวที่เสื่อมลง โดยใช้การฟื้นฟูมหาวิหารยูดาห์เป็นอุบาย ในการซักฟอกจิตใจชาวยิว มหาวิหารหลังใหม่นี้จึงเป็นมหาวิหารยุคที่ 2 ที่ ยิวเรียกว่า มหาวิหารแห่งเฮรอด การบูรณะต่อเติมเสร็จสิ้นในปีคริสตศักราช ที่ 63

    ขณะที่มหาวิหารได้รับการฟื้นฟู ราชอาณาจักรยูดาห์มีสถานะเป็นเมืองขึ้นของโรมัน ปกครองโดยข้าหลวงจากโรม และโรมเลือกพระยิวให้ปกครองศาสนจักรยูดาห์ พูดง่ายๆว่าโรมควบคุมทั้งทางการเมืองและชักใยอยู่เบื้องหลังศาสนาแบบเบ็ดเสร็จ ชาวยิวต้องยอมรับสภาพด้วยความจำทน เพราะไม่อยากถูกทำลายล้างชาติเหมือนคราวที่บาบิโลนปกครองยิว แต่แล้วยิวก็หนีไม่พ้นวงจรอุบาศก์ เพียง 7 ปี ให้หลัง มหาวิหารที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จใหม่ๆ ก็ถูกเผาทำลายโดยน้ำมือโรมัน เพื่อเป็นการลงโทษชาวยิวที่ลุกฮือขึ้นก่อกบฏต่อโรม ข้าหลวงผู้ปกครองชาวโรมันชื่อ Florus สั่งให้ทหารโรมันเข้าปล้นสดมภ์ ขนย้ายสมบัติมีค่าในมหาวิหารออกไปจนหมด (บ้างก็ว่าโรมันหาเรื่องยิวเพราะหมั่นไส้ ที่เห็นยิวมีสมบัติมาก เลยเอาเรื่องกบฏมาอ้างเพื่อปล้นสมบัติยิว) ภาพสลักประวัติศาสตร์การทำลายล้างมหาวิหารยุคที่ 2 ถูกสลักไว้ที่ประตูชัย ในโรมันฟอรัม ในกรุงโรม ปัจจุบันยังมีเหลือให้เห็นภาพทหารโรมันกำลังทำลายวิหารและขนย้ายแท่นเทียนทองคำกลับมายังกรุงโรม ในปี ค.ศ. 70

    หากช่วงเวลาตามหลักฐานที่ฝ่ายยิวใช้อ้างอิงถูกต้อง ช่วงเวลาที่เยซู (หรือศาสนทูต อีซาของชาวมุสลิม) มีชีวิตอยู่และทันได้เห็นมหาวิหารยุคที่ 2 (ที่ยังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง) และได้เห็นอยู่จนกระทั่ง เยซูจากโลกนี้ไป ตามหลักฐานของฝ่ายอิสลาม พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแด่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด เล่าเรื่องราวของมัรยัม (หรือที่ยิวและคริสเตียนเรียกว่าพระแม่มารี หรือ Mary The Virgin หรือ Madonna พระมารดาของเยซู) ว่า.. มัรยัม หรือแมรี่ รักษาพรหมจรรย์และอยู่ปฏิบัติงานในมัสยิด(มหาวิหาร)ของพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าทรงให้เทวทูต เกเบรียล (ภาษาอาหรับในพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน เรียกว่าเทวทูตองค์นี้ว่าท่าน “ญิบรออีล”) ได้มาแจ้งแก่มัรยัม หรือแมรี่ ว่าพระเจ้าจะทรงประทานบุตรแก่นาง มัรยัมหรือแมรี่ จึงกล่าวแก่เทวทูตเกเบรียลว่า นางรักษาพรหมจรรย์และไม่เคยสมสู่กับชายใด นางจะมีบุตรได้อย่างไร เทวทูตตอบว่าพระองค์(พระเจ้า)ทรงประสงค์ให้สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น และอย่าได้สงสัยในพระเดชานุภาพของพระองค์ ..ในที่สุดเมื่อแมรี่หรือมัรยัมตั้งครรภ์เยซู นางก็หลบออกจากวิหาร.. วิหารที่นางอยู่ปฏิบัติสักการะพระผู้เป็นเจ้า จนตั้งครรภ์และจากมา อาจเป็นมหาวิหารแห่งเยรูซาเล็มหรือวิหารเฮรอด มหาวิหารที่ถูกโรมันทำลายในปี ค.ศ. ที่ 70 หรือไม่..เรื่องนี้ชวนให้คิด

    หลักฐานของฝ่ายฝรั่งคริสเตียน อ้างว่าตลอดช่วงเวลา 3 ปี แห่งการประกาศพระวัจนะของพระผู้เป็นเจ้าของเยซู มีส่วนกระตุ้นให้โรมตัดสินใจทำลายวิหารแห่งเยรูซาเล็ม เราหรือใครก็ไม่มีวันทราบความจริงได้เลยว่า ทำไมเยซูจึงทำให้โรมันรู้สึกไม่สบายใจมาก กับแค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง หลักฐานที่ฝ่ายคริสเตียนใช้อ้าง คือ The New Testament นั้นก็ถูกเขียน และรวบรวมขึ้นโดยสาวกและผู้ศรัทธาเยซู หลังการจากไปของเยซูแล้วหลายร้อยปี เป็นการเขียนบอกเล่าจากความทรงจำ มุมมอง การตีความและทัศนคติที่แตกต่างกันไป ไม่ทำให้เราพบความจริงในทางประวัติศาสตร์

    อย่างไรก็ตาม เยซูคงทำให้โรมันหวั่นไหวไม่น้อยเลย ลำพังคนธรรมดาคนเดียว ไม่ได้มี Background เป็นพระหรือแรบไบชั้นผู้ใหญ่ผู้ร่ำรวย หรือแม้แต่ผู้ทรงเกียรติใดๆในสังคมยิว อยู่ๆก็ลุกขึ้นมาประกาศต่อประชาชนว่า ได้รับวิวรณ์จากพระเจ้าแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูตเพื่อนำ “ทางนำ” จากพระเจ้ามาสู่มนุษยชาติ แสดงว่าเยซูต้องทำให้โรมันกลัว Public Opinion นามเยซูคนนี้ เป็นอันมาก ชาวยิวมองโรมันเป็นพวกป่าเถื่อนนอกศาสนาบูชาเทพเจ้าหลายองค์ ขณะที่โรมันไม่รู้จักศาสนายิว โรมันไม่รู้ว่าสิ่งที่เยซูนำมาสู่มนุษย์คืออะไร แต่ระแวงไว้ก่อน อย่าว่าแต่โรมันเลย พวกพระยิวที่หลงในอำนาจที่โรมมอบให้ ก็ยังอิจฉาริษยาเยซู ก็อย่างว่าแหละครับ..ใครที่ไหนไม่รู้ อยู่ๆก็มาเทศนาสั่งสอนชาวบ้าน แถมชาวบ้านไม่น้อยเลยที่ให้ความเลื่อมใสศรัทธาตรงช่วงจังหวะนี้ ถือว่าเป็นจุดตัดหรือทางแยกสำคัญทางประวัติศาสตร์ระหว่างคริสต์กับยิว

    ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า ตอนที่เยซูได้รับวิวรณ์ และออกเทศนาด้วยพระวัจนะของพระผู้เป็นเจ้านั้น เยซูอ้างถึงพระเจ้าองค์เดียวกันกับพระเจ้าของยิว ยิวเรียกพระนามของพระเจ้าว่า ยะโฮวา แต่เวลาเขียนเป็นตัวอักษร ด้วยภาษาฮีบบรู จะเขียนด้วยอักษร ย. ฮ.(หรือห.) และ ว. โดยไม่มีสระและตัวสะกด ที่อ่านออกเสียงว่า ยะโฮวา นี้มาจาก คำที่อยู่ใน The Old Testament ครับ และพระเจ้าของยิว และของเยซู ก็คือพระเจ้าองค์เดียวกันกับพระเจ้าของชาวมุสลิม คือ อัลลอฮฺ นั่นเองครับ ตอนที่เยซูเผยแผ่คำสอน เยซูไม่ได้กล่าวว่าท่านเป็นคริสเตียน คำว่า คริสเตียน และศาสนาคริสต์เกิดขึ้นภายหลังจากการตีความว่า สิ่งที่เยซูนำมาสอนนั้นต่างจากศาสนาของยิว (ศาสนาของยิวเองก็เพี้ยนไปมาก เพราะบรรดาพระแรบไบตกแต่งเพิ่มเติมตัดทอนเอาตามใจและตามสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งจะเก็บไว้เล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปครับ) คริสต์เกิดขึ้นหลังจากช่วงเวลาที่เยซูยังมีชีวิตอยู่หลายร้อยปี

    ตอนที่เยซูออกเทศนา แม้แต่พระยิวผู้ทรงอำนาจทั้งหลายยังหวั่นไหวและไม่ชอบใจเพราะประชาชนทำท่าจะสนับสนุนเยซูมากขึ้นทุกที ลองนึกภาพพระยิวที่เสียหน้าและดื้อรั้น ไม่ยอมรับเยซู ส่วนโรมันก็เริ่มหัวเสียเพราะวิตกว่าเยซูจะกลายป็นตัวปัญหา ที่นำความวุ่นวายมาสู่โรม เพียงคำสอนของเยซูโดยเนื้อหาก็เป็นการปฏิเสธพระเจ้าอื่น ปฏิเสธพระเจ้าหลายองค์ แค่นี้ก็เป็นปฏิปักษ์เป็นกบฏทางความคิดต่อโรมแล้วครับ ยังไม่ต้องเป็นกบฏจริงๆหรอกครับ ยิ่งผู้คนหันมาเคร่งครัดในศาสนา อยู่ในศีลในธรรม แค่นี้โรมก็กลัวขนหัวลุกแล้วครับ อำนาจอะไรจะมากเท่าความศรัทธาในพระเจ้า หากคนศรัทธาจับอาวุธขึ้นมาพร้อมกัน โรมันก็เสร็จสิครับ..โรมันจึงสมคบพระยิวตัดไฟแต่ต้นลม กำจัดเยซูเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป

    เรื่องต่อไปที่ผมจะเล่านี้ เป็นปมประเด็นสำคัญครับ นั่นคือสถานภาพการเป็น Messiah หรือ “เมสสิอาห์” ผู้เปิดเผยสัจธรรมและความจริงเมื่อวันสิ้นโลกมาถึง ชาวยิวนั้นรับรู้เรื่องราวการเสด็จมาของ Messiah ก่อนที่เยซูจะมาเกิดในโลกเสียอีก ยิวเชื่อว่าโลกในช่วงปลายๆก่อนพระเจ้าจะทรงทำลายโลก ชนชาติยิวจะถูกรวบรวมกันเป็นหนึ่งโดยกษัตริย์ยิวองค์หนึ่ง กษัตริย์ยิวพระองค์นี้จะนำสัจธรรมและศาสนาที่แท้จริงมายังมนุษยชาติ (ซึ่งยิวกำลังจะบอกว่า ศาสนาของพวกเขาเท่านั้นที่พระเจ้าทรงให้การรับรองว่าเป็นศาสนาของมนุษยชาติ) ดังนั้นบางทียิวก็เรียก Messiah นี้ว่า “The Anointed King” แปลว่า “กษัตริย์ผู้ได้รับการเจิมด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธิ์” หมายถึงว่า ยิวสงวนสิทธิ์พิเศษให้พระ Messiah จากฝ่ายยิวเท่านั้นที่ได้รับการเจิมหรือลงพระนามให้ Recognition จากพระเจ้าแล้วว่า เป็นพระ Messiah ที่ถูกต้อง Messiah ต้องเป็นยิว..ผิดจากนี้ไม่ใช่ นี่คือทัศนะฝ่ายยิว พอเยซูออกเทศนาและแสดงตนว่าพระเจ้าทรงเลือกเยซูให้เป็น Messiah พวกยิวจึงรับไม่ได้ ยิวจึงต่อต้านเยซูไงล่ะครับก็ไหนพระยิวสอนมาว่า Messiah ต้องเป็นกษัตริย์ยิวผู้ยิ่งใหญ่ ทำไม Messiah ที่มีนามว่าเยซู จึงซอมซ่ออนาถายิ่งนัก ไม่เหมือนภาพที่วาดไว้ในใจ พระยิวจึงไม่เชื่อเยซู และทำให้เยซูกลายเป็นตัวตลกในสายตาประชาชน ทำให้ผู้คนเยาะเย้ยถากถาง และเอามงกุฏหนามมาสวมให้เยซู

    เอาเป็นว่า พวกยิว.. ไม่ยอมรับว่าเยซู คือ ผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้เป็น Messiah แต่มาภายหลังมาอีกหลายร้อยปี กลุ่มชนที่เชื่อเยซูเรียกตัวเองว่าคริสเตียน ยืนยันว่าเยซูนี่แหละคือ Messiah และแถมยังมอบตำแหน่ง Load of Heaven ให้เยซูอีกตำแหน่งอีกด้วย (ทั้งที่เยซูไม่เคยเทศนาเรื่องที่ตนมีสถานภาพเป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ - Trinity หรือแม้แต่ มีสถานภาพเทียบเคียงพระเจ้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เชื่อก็ไปอ่าน the Old Testament ได้เลยครับ เยซูบอกกับประชาชนว่าท่านเป็นเพียงศาสนทูตของพระเจ้าเท่านั้น อิสลามก็บอกเช่นนั้น)

    สรุปว่า ยิวแม้ไม่ยอมรัยสถานภาพของเยซู ทั้งในฐานะของศาสนทูต และ Messiah แต่ทั้งยิวและคริสเตียน เชื่อตรงกันว่า ที่สุดแล้วก่อนวันสิ้นโลก พระ Messiah จะปรากฎตัวขึ้น (อิสลามก็เชื่อเช่นนั้น) ที่มหาวิหารแห่งเยรูซาเล็ม ... ดังนั้น การรื้อฟื้นให้มหาวิหารกลับคืนมาเป็นมหาวิหารในยุคที่ 3 จึงเป็นเป้าหมายร่วมกัน ของทั้งฝ่ายยิวและฝ่ายคริสเตียน แม้ว่าจะมีหลักศรัทธาและความเชื่อต่างกันว่าใครคือ Messiah ตัวจริงก็ตาม..

    ผมต้องชักแม่น้ำทั้งห้า เล่ามายืดยาว ก็เพื่อจะบอกว่า เพราะอย่างนี้นี่ไง ที่ทำให้ยิว Inspired กันจนเกิดการรวมชาติ และตั้งรัฐยิวได้บนปาเลสไตน์ ยิวได้คืบจะเอาศอกอยากครองเยรูซาเล็ม ฟื้นฟูมหาวิหารยุคที่ 3 รอ Messiah สำหรับฝรั่งทั่วไป Messiah เป็นแค่สัญลักษณ์ Inspiration ให้คนทำดี แต่สำหรับยิว การกลับมาของ Messiah เป็นเรื่องจริงจังมาก ถือว่าเป็น Jewish Consensus หรือฉันทานุมัติแห่งชนชาติยิวทั้งผอง สำหรับนักการเมืองและผู้นำยิว ถือว่า การยึดครองเยรูซาเล็มมาครอบครอง เป็นนโยบายทางการเมืองที่ต้องบรรลุเป้าหมาย การทำลายมัสยิดอัล-อักศอร์ และมัสยิดโดมศิลา (สถานที่สำคัญทางศาสนาอันดับที่สาม ของชาวมุสลิมทั้งโลก) บน the Temple Mount ให้ราบคาบ แล้วก่อสร้างมหาวิหารยุคที่ 3 หรือมหาวิหารยุคสุดท้าย ไว้รอรับ Messiah นั้นถือว่าเป็น National (Hidden) Agenda หรือ..Objective หลักของรัฐบาลอิสราเอล เลยทีเดียว

    ถ้ายิวอยากจะสร้างมหาวิหารยุคสุดท้ายจริงๆ ยิวคงต้องข้ามศพมุสลิม 1,600 ล้านคนทั่วโลกไปก่อน อย่าว่าแต่ข้ามเลย ฆ่าให้หมดก็ฆ่าไม่ไหวแล้ว ยิวเลยต้องยืมมือสหรัฐมาช่วยฆ่ามุสลิมยังไงล่ะ..อ้าว ทำไมแวะไปโดนสหรัฐเข้าจนได้ล่ะเนี่ย

     

แชร์หน้านี้

Loading...