เงินเฟ้อที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นแล้ว??? รู้ทันโลก (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 11 พฤศจิกายน 2010.

  1. โฮดี้๐๐

    โฮดี้๐๐ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    108
    ค่าพลัง:
    +14
    ขอรับผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณใจดีจะเป็นคุณทวีคนต่อไปรึเปล่า ซีรีส์นี้ยังอีกยาวครับ เดี๋ยวผมจะร้องเพลงรอเป็นเพื่อนนะขอรับ
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    คิม จองอิล...ผู้นำรวมศูนย์จอมสีสัน ...รับช่วงจากพ่อส่งต่อลูกสำเร็จไหม?

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    กาแฟดำ


    ผมติดตามข่าวคราวสุขภาพของผู้นำเกาหลีเหนือ “คิม จองอิล” มาหลายปีดีดัก

    แต่เมื่อมีข่าวว่าเขาจากไปในวัย 69 เมื่อวานก็ยังอดใจหายไม่ได้

    ใจหายสำหรับความไม่แน่นอนของคาบสมุทรเกาหลีที่อาจจะเกิดขึ้น, และใจหายที่เห็นคนที่รับช่วงจากพ่อ (คิม อิลซุง) เมื่อ ค.ศ.1994 หรือเมื่อ 17 ปีก่อนและคานงัดกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐมาอย่างแข็งขันตลอด จะต้องจากไปค่อนข้างกะทันหัน

    ที่ว่ากะทันหันเพราะลูกชายที่ชื่อคิม จองอุน อายุไม่ถึง 30 คนนี้ยังไม่มีบารมีเพียงพอที่จะกุมบังเหียนของประเทศที่ยากจน, โดดเดี่ยว, และอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองรวมศูนย์มายาวนาน ตั้งแต่เกาหลีถูกแบ่งเป็นสองประเทศเมื่อ 1948 หรือ 63 ปีก่อน

    คิม จองอิล เพิ่งจะวางตัวลูกชายคนนี้ในตำแหน่งสำคัญปีก่อนนี้เอง จึงยังไม่อยู่ในฐานะที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างองอาจสง่างาม

    และมองข้ามไม่ได้ว่ากลุ่มแกนนำของเกาหลีเหนือที่รับใช้คิม จองอิล มาตลอด และที่ไม่เชื่อว่าคิม จองอุน จะสามารถปกครองบ้านเมืองได้อาจจะก่อเหตุ เช่นรวมหัวกันยึดอำนาจ ไม่ว่าจะทางอ้อมหรือโดยเปิดเผยก็ตาม

    ประกาศในสื่อทางการของเกาหลีเหนือตอกย้ำว่าผู้นำคนต่อไปคือลูกชายของผู้นำที่จากไปแน่ เพราะในคำแถลงการณ์นั้นเรียกร้องให้ประชาชนเกาหลีเหนือ “เดินตามการนำของสหายคิม จองอุน อย่างซื่อสัตย์...เพื่อเสริมความแข็งแกร่งแนวร่วมของพรรค, ทหารและประชาชน”

    ประกาศทางการบอกว่าคิม จองอิล เสียชีวิตเพราะ “ทุ่มเททำงานหนัก” ต่อมาก็มีรายงานผ่านสำนักข่าวทางการ KCNA ว่าเขาจากไปด้วย “โรคหัวใจวาย”

    อนาคตของเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้คือประเด็นหลักของการวิเคราะห์ทิศทางต่อไปข้างหน้าหลังการจากไปของผู้นำเกาหลีเหนือคนนี้

    และตัวละครหลักก็คือจีน และอเมริกา...ที่ต่างคนต่างถือหางเกาหลีกันคนละข้าง

    ปัญหาหลักที่สหรัฐมองที่เกาหลีเหนือคือความพยายามเสริมสมรรถภาพทางด้านนิวเคลียร์ที่สร้างความหวั่นกลัวว่าจะนำไปสู่การมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง

    ประกอบกับข่าวที่เกาหลีเหนือได้ช่วยเหลือพม่าในการผลิตนิวเคลียร์ด้วย จึงทำให้อเมริกา ต้องคอยบอกกับจีน ทุกครั้งที่มีการพูดจากันเรื่องความสัมพันธ์ของสองยักษ์ใหญ่ว่าให้ปักกิ่งช่วยกดดันเปียงยางอย่าได้เข้าไปเล่นเกมนิวเคลียร์

    เพราะจะทำให้เกาหลีใต้อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ และสหรัฐก็จะไม่ยอมให้เกาหลีเหนือภายใต้การสนับสนุนของจีนเดินหน้าพัฒนานิวเคลียร์

    การเจรจาหกฝ่ายเรื่องนี้ยืดเยื้อมาตลอด, และคิม จองอิล ก็เล่นเกมต่อรองกับสหรัฐด้วยการเล่นเกม “ผีเข้าผีออก” เพื่อดึงให้วอชิงตันต้องเข้ามาให้ความช่วยเหลือเพื่อให้เกาหลีเหนือยังอยู่ในกระบวนการเจรจาต่อเนื่อง

    จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต, ผู้นำเกาหลีเหนือคนนี้ก็ยังไม่สยบยอมอเมริกา และยืนยันว่าประเทศของเขาจะเดินหน้าสร้างเสริมนิวเคลียร์เพื่อปกป้องตนเอง

    สไตล์การบริหารประเทศของคิม จองอิล ไม่ธรรมดา เขาใช้วาทะดุดันสลับกับการยอมถอยในบางครั้งเพื่อรักษาอำนาจต่อรองของตนกับโลกตะวันตก ขณะเดียวกันก็รักษาความสนิทสนมกับจีนอย่างไม่ลดละ

    แต่ทั้งโลกก็พอจะรู้ว่าเขาต้องเผชิญกับปัญหาหนักหน่วงทางเศรษฐกิจเพราะข่าวคราวเรื่อง “คนหิวตาย” โดยเฉพาะเด็กๆ นั้นมีเล็ดลอดออกมาตลอดเวลา และได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ ที่เข้าไปช่วยเหลือว่าประเด็นปากท้องเป็นเรื่องหนักหนาสากรรจ์ที่สุด

    เขาจึงสามารถปกครองประเทศได้ด้วยมาตรการเด็ดขาดและปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงเท่านั้น
    เขาจึงเป็นผู้นำรวมศูนย์ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่สุดคนหนึ่ง

    คิม จองอิล เพิ่งจะไปเยือนจีนเมื่อเร็วๆ นี้ท่ามกลางข่าวว่าเขาพาลูกชายไปแนะนำให้ผู้นำจีนได้รู้จักว่าเป็นทายาทคนต่อไป

    ความจริง, หากย้อนไปดูข่าวชิ้นนั้นก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า คิม จองอิล เริ่มรู้ตัวว่าสุขภาพไม่อำนวยที่จะอยู่ในโลกนี้อีกนานเท่าไหร่แล้ว

    แต่เขาก็เป็น “มนุษย์เก้าชีวิต” จริงๆ เพราะข่าวลือเรื่องสุขภาพของเขาย่ำแย่ (ที่มาพร้อมกับรูปที่ปรากฏออกมาให้ชาวโลกเห็นในลักษณะผ่ายผอมลงไปถนัดตา) แต่เขาก็อึดมาได้หลายปีโดยที่เกาหลีเหนือไม่ยอมต่อแรงกดดันของสหรัฐแต่อย่างใด

    ข่าวคราวเกี่ยวกับความเป็น “นักดื่ม, นักกิน, นักเที่ยว” ของเขาเป็นเรื่องที่สื่อตะวันตกนำมานินทากันสนุกปากเสมอ แต่คนที่เคยพบเขาบอกว่าสติปัญญาของคิม จองอิล ไม่ได้อ่อนด้อยอย่างที่ปล่อยข่าวกันออกผ่านเกาหลีใต้แต่อย่างใด

    ทุกสายตาจึงต้องจ้องไปที่คาบสมุทรเกาหลีจากนี้ไป...เพราะนักวิเคราะห์ระหว่างประเทศไม่น้อยเชื่อว่าหากจะเกิดสงครามขยายวงในโลก, เกาหลีเหนือและใต้นี่แหละจะเป็นจุดล่อแหลมที่สุดแห่งหนึ่ง

    สำหรับผมที่ติดตามผู้นำที่มีสีสันและน่าติดตามมาตลอด...การจากไปของคิม จองอิล ก็ทำให้ผู้นำคอมมิวนิสต์ “ฮาร์ดคอร์” ที่เหลืออยู่คนเดียวคือ ฟิเดล คาสโตร แห่งคิวบา ที่ส่งมอบตำแหน่งให้กับน้องชายไป, แต่ก็ยังมีข่าวคราวให้เกาะติดกันอยู่ไม่สร่างซา


     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    กระเทาะเปลือก"คิม จอง-อึน"ผู้นำใหม่เกาหลีเหนือ

    โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    [​IMG]

    กระเทาะเปลือก"คิม จอง-อึน"ผู้นำใหม่เกาหลีเหนือ-ถอดแบบจากบิดาทั้งบุคคลิกภาพและศักยภาพความเป็นผู้นำ

    คิม จอง-อึน เกิดเมื่อปี 2526 หรือต้นปี 2527 เป็นบุตรชายที่เกิดจากนางโค ยอง ฮุย ภรรยาคนที่สามและเชื่อว่าเป็นภรรยาคนโปรดของนายคิม แต่เสียชีวิตแล้วจากโรคมะเร็งทรวงอกเมื่อ 7 ปีที่แล้ว
    แต่เดิมนั้น จอง-อึน ไม่ใช่จุดสนใจในฐานะว่าที่ ทายาทการเมืองของบิดา ส่วนใหญ่มุ่งไปที่พี่ชายต่างมารดาอย่างนายคิม จอง-นัม และพี่ชายแท้ๆนายคิม จอง-ชอล ที่ถูกยกเป็นตัวเต็งในตอนแรก แต่นายคิมมองว่าลูกชายคนนี้อ่อนแอ ไม่เหมาะกับตำแหน่งผู้นำประเทศ
    ส่วนนายจอง-นัม ทำลายโอกาสของตัวเอง หลังถูกเทรเทศออกจากญี่ปุ่นเมื่อปี 2544 ฐานพยายามเข้าญี่ปุ่นด้วยหนังสือเดินทางปลอม ขณะพยายามไปเที่ยวดิสนียแลนด์ โตเกียว
    ผู้นำเกาหลีเหนือเร่งแผนผ่องถ่ายอำนาจให้กับทายาท หลังล้มป่วยด้วยอาการเส้นเลือดในสมองตีบเมื่อสิงหาคม 2551 พร้อมกันนั้น ก็เริ่มมีกระแสคาดการณ์มากขึ้นเรื่อยๆว่า คนที่ผู้นำโสมแดงเลือกและกรุยทางให้สืบทอดอำนาจที่แท้จริงคือ คิม จอง-อึน โดยสัญญาณที่ชัดเจน คือการแต่งตั้งคิมจอง-อึน เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการกลาโหมแห่งชาติ องค์กรสำคัญที่สุดของเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญก่อนขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศ เมื่อมกราคม 2552
    กันยายน 2553 นายคิม ผู้ลูก ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายพล 4 ดาว และนั่งตำแหน่งระดับสูงของพรรคกรรมกร ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการทหารใดๆ และครั้งนั้นเองที่สื่อเกาหลีเหนือเพิ่งได้ตีพิมพ์ภาพของนายคิม จอง-อึน ในวัยผู้ใหญ่เป็นครั้งแรก
    นับจากนั้นมา นายคิม จอง-อึน จะอยู่ข้างกายบิดาเวลาลงพื้นที่ รวมทั้งการไปเยือนจีน เมื่อเดือนสิงหาคม 2553 นอกจากนี้ นายคิม ผู้ลูกยังได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการกำหนดนโยบาย ขณะสื่อทางการเริ่มเรียกนายคิม ผู้ลูกว่า "ท่านนายพล" หลังจากเคยเรียกแต่ตำแหน่งทางการว่า รองประธานคณะกรรมาธิการกลางทหาร ของพรรคกรรมกรแห่งเกาหลี
    ความเคลื่อนไหวล่าสุดของสื่อทางการ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญในเกาหลีใต้ที่จับตาเรื่องการสืบทอดอำนาจ มองว่า นายคิม จอง-อึน กำลังได้รับการยกสถานะเป็นผู้นำกองทัพ กรุยทางสู่การเป็นผู้นำทรงอำนาจเหมือนกับบิดา
    นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ยังคาดการณ์ว่า คิม ยอง-ฮุย น้องสาวเพียงคนเดียวของนายคิม จอง-อิล และสามี นายจาง ซอง-แต็ก ผู้นำหมายเลขสองอย่างไม่เป็นทางการของเกาหลีเหนือ จะทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ค้ำบัลลงค์ของหลานชาย ไปจนกว่าจะยืนบนขาของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
    ข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับนายคิม จอง-อึน มีไม่มากนัก แต่จากคำบอกเล่าผ่านหนังสือของนายเคนจิ ฟูจิโมโตะ อดีตเชฟซูชิชาวญี่ปุ่นที่เคยทำงานให้กับนายคิม จอง-อิล และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆในเกาหลีใต้ ระบุตรงกันว่า คิม จอง-อึน ถอดแบบจากบิดาทั้งรูปร่างหน้าตา และมีบุคลิกลักษณะหลายอย่างที่คล้ายกับบิดา โดยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำที่เข้มแข็งเด็ดขาด และโหดเหี้ยมได้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาสุขภาพเหมือนกับบิดาคือเป็นเบาหวานและโรคหัวใจ เพราะไม่ค่อยออกกำลังกาย
    ด้านการศึกษา สื่อเกาหลีใต้ รายงานว่า คิม จอง-อึน เรียนโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์เหมือนกับพี่ชาย โดยใช้ชื่อปลอม และเป็นที่จดจำในหมู่เจ้าหน้าที่ที่โรงเรียนและเพื่อนๆ ว่าเป็นเด็กชายขี้อาย เป็นแฟนบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอ ชอบวาดการ์ตูน เล่นสกีและ ฌอง คลอด แวน แดม พระเอกนักบู๊แห่งฮอลลีวู้ดคือดาราคนโปรด เมื่อกลับไปเปียงยาง ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยทหารคิม อิล ซุง และสำเร็จการศึกษาในปี 2550

     
  4. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176


    เรื่องอย่างนี้ก็เหมือนกัน เห็นหลายประเทศแล้ว
    หลายประเทศยากจน ผู้นำกับครอบครัวอยู่อย่างฟุ้งเฟ้อ หรูหรา แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศกลับอดอยากขาดแคลน / มีหลายประเทศลุกขึ้นมาปฏิวัติโค่นอำนาจผู้นำที่ครองอำนาจมายาวนานแต่ไม่สามารถดูแลทุกข์สุขของคนในประเทศตัวเองได้ / แต่ก็มีอีกหลายประเทศ ประชาชนยังคงก้มหน้าก้มตาต่อไป

    ส่วนเรื่องภาพพจน์ที่ออกสู่สายตาชาวโลกว่าเกาหลีเหนือเป็นตัวตลก จะเห็นได้บ่อยในหนังอเมริกัน
     
  5. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ตกลงคนนี้เขาเป็นคนยังไงอ่ะ คุณขวัญ?

    ดิฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเขาเลยค่ะ พึ่งสนใจก็ในกระทู้นี้แหละ
    ลองหาข้อมูลดู บางบทความก็ยกย่องว่าเป็นมหาเศรษฐีที่เปลี่ยนจากดำเป็นขาว จากคนร้ายกาจและบ้างานมาเป็นคนใจบุญที่บริจาคเงินมหาศาลให้สาธารณกุศลโดยไม่หวังผลตอบแทน

    มีข้อมูลที่เพื่อนสมาชิกเว็บพลังจิตเคยโพสต์ไว้ให้อ่านด้วย
    ขออนุญาตแปะนะคะ คุณขวัญ

    เครดิต คุณ washiravit
    http://palungjit.org/threads/john-d...าจแต่ปรับปรุงตัวเองจนกลายเป็นที่เคารพ.312882/

    John D. Rockefeller
    มหาเศรษฐีที่น่าอนาจแต่ปรับปรุงตัวเองจนกลายเป็นที่เคารพ


    [FONT=&quot]ผมชักเริ่มสงสัยขึ้นทุกทีแล้ว ครับ ว่าตกลงแล้ว การที่คนเราส่วนใหญ่เข้าวัดทำบุญ นั่นเพราะเรามีความเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมอย่างเหนียวแน่น หรือแท้ที่จริงเราถูกปลูกฝังความเชื่ออะไรบางอย่างภายใต้จิตสำนึกของเรา ภาพลักษณ์ของการทำบุญเท่าที่เรานึกออกคือ การทำบุญเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หลายครั้งมันอยู่ในรูปแบบการเสียสละ แต่ในหลายๆครั้ง การทำบุญถูกนำไปใช้ในรูปแบบของการลงทุน ทำด้วยทรัพย์จำนวนเท่านี้ และขอพรด้วยจำนวนเท่านั้น การทำบุญที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยประสบมา คือความสบายใจที่เกิดขึ้นทั้งก่อน ขณะ และหลังทำบุญ ถ้าหวังมากกว่านี้น่าจะเรียกว่าเป็นความโลภได้ [/FONT]

    [FONT=&quot]และ ถ้าคุณได้เคยอ่านหนังสือธรรมะ หรือหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องอิทธิฤทธิ์ของบุญ แล้วก็มีความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ครั้นจะเชื่อก็ดูเหมือนงมงาย ครั้นจะไม่เชื่อก็กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนอกศาสนา เพราะมีแต่คนการันตีๆเอาว่าทำบุญแล้วดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แต่ไม่มีใครสามารถเอาหลักฐานมาตั้งให้เห็นและจับต้องได้ ทั้งที่ชีวิตนี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมายว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดี แล้วเราจะเลือกที่จะเชื่อเรื่องของการทำบุญได้อย่างไรถึงจะเรียกได้ว่าเป็น คนฉลาด โดยที่เราสามารถจับต้องได้ มีหลักการและเหตุผล ไม่งมงาย รวมไปถึงสามารถอธิบายได้ตามหลักจิตวิทยา[/FONT] [FONT=&quot]วิทยาศาสตร์ และศาสนา[/FONT]

    [FONT=&quot]ฉะนั้น เรื่องราวในวันนี้ ผมจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่มีตัวตนจริงๆ ที่ได้อานิสงค์จากการทำบุญในปัจจุบันชาติจริง โดยที่เขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ และไม่น่าจะมีความรู้เรื่องกฏแห่งกรรม เรียกได้ว่าเขาอาจจะเป็นคนทำบุญที่ไม่ได้ตั้งความเชื่อพื้นฐานเรื่องการทำ บุญเหมือนชาวพุทธเลยด้วยซ้ำ ชีวิตการทำบุญของเขา เริ่มต้นจากศูนย์ ซึ่งแตกต่างกับชาวพุทธที่มีความเชื่อเรื่องการทำบุญเต็มที่เลย แล้วคำถามที่น่าสนใจคือ การทำบุญช่วยอะไรเขาได้บ้าง เขาได้รับอานิสงค์อย่างไรจากการทำบุญ [/FONT]

    [FONT=&quot]เขาคือผู้โด่งดังจากการก่อตั้งบริษัท [/FONT]Standard Oil[FONT=&quot] และปัจจุบันเป็นคนที่มีบุญคุณต่อคนอีกหลายๆแสนล้านคนในปัจจุบัน เขาคนนั้นมีชื่อว่า [/FONT]John d Rockefeller[FONT=&quot] ครับ[/FONT]


    [FONT=&quot][​IMG][/FONT]
    [FONT=&quot]ภาพจาก [/FONT]

    ภาพจาก freeinfosociety.com​

    [FONT=&quot]ถ้าคุณอยาก รู้ว่าเขาเป็นใคร น่าสนใจอย่างไร ผมขอเล่าง่ายๆ ว่าเขาเป็นอภิมหาเศรษฐีโครตรวย รวยโครตๆ รวยจนน่าตกใจ เนื่องจากเขาเป็นคนรวยที่หาตัวจับได้ยาก นิสัยของเขาจึงเต็มไปด้วยความร้ายมากเช่นกัน เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ วิตกจริต ชอบเป็นทุกข์ ไม่ยอมปล่อยวางเรื่องราวต่างๆในชีวิต และไม่ให้อภัยคนเลยแม้แต่เรื่องเดียว ด้วยความเครียดต่างๆนาๆที่เขาเป็นคนสร้างเอาไว้ เพียงแค่วัยกลางคน ร่างกายของเขาไม่ต่างอะไรไปจากซากศพเดินได้ [/FONT]

    [FONT=&quot]นานวันเข้า การทำงานอย่างไม่ปล่อยวางทำให้สุขภาพของเขาทรุดโทรอย่างหนัก[/FONT] [FONT=&quot]เขารับประทานอาหารแทบไม่ได้ ต้องทานอาหารที่ไม่มีใครอยากทานคือ[/FONT] "[FONT=&quot]นมคน[/FONT]" [FONT=&quot]เพื่อ ประทังชีวิตให้อยู่รอด ในวินาทีนั้นชายนิสัยเสียแปลงสภาพกลายเป็นมหาเศรษฐีที่น่าอนาจที่สุดในโลกคน หนึ่ง เขาป่วย เขาโดดเดี่ยว เขากำลังจะตาย ไม่มีใครเข้าใจเขา ไม่มีใครเหลียวแลเขา ไม่มีโศกเศร้าเสียใจให้เขาแม้วันที่เขาตายลาจากโลกนี้ไป[/FONT]

    [FONT=&quot]เมื่อ ถึงขีดสุดของสุขภาพทั้งกายและใจ แพทย์ลงความเห็นให้เขาเลิกใช้ชีวิตของเขากับธุรกิจ ถ้าเขายังไม่เปลี่ยนแปลงนิสัย ความตายจะมาเยือนเขาอย่างรวดเร็วแน่นอน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่แพทย์สามารถมอบให้ได้คือคำแนะนำ แนะนำให้เขา[/FONT] "[FONT=&quot]วางมือ[/FONT]"

    [FONT=&quot]และลองเดาสิครับ คนอย่างเขา คนที่คลั่งธุรกิจ เขาตัดสินใจอย่างไร...[/FONT]???

    [FONT=&quot]เขา ตัดสินใจ แขวนนวมครับ ภาระและหน้าที่ทุกอย่างถูกวางไว้ตรงนั้นเพื่อรักษาชีวิต แต่ถึงเขาวางมือจากการทำงานของเขาก็จริง อุปนิสัยของเขาที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิต มันจะหายไปง่ายๆเชียวหรือ ในเมื่อเขาเป็นคนที่ยึดติดขนาดโคม่า คงไม่ง่ายเลยที่จะรักษาชีวิตของเขาด้วยการเปลี่ยนวิถีชีวิตแค่นั้น และความลับที่สำคัญที่สุดที่แม้แต่ตัวเขาเองไม่รู้ก็คือ แพทย์ที่รักษาตัวเขาก็ลงความเห็นว่าเขาจะสามารถมีชีวิตได้อีกประมาณ 2 ปี หมายความว่าเขาอาจจะต้องตายลงด้วยโรคสารพัดที่รุมเร้าอันมาจากนิสัยของเขา เองภายในวัย 54 ปีเท่านั้น [/FONT]

    [FONT=&quot]ระหว่าง ที่เขากำลังทนทุกข์ทรมานจากโรคของเขาที่เขาไม่ต้องการ เขามีเวลามากพอที่จะทำให้เขาเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตัวเองทีละเล็ก ละน้อย การปล่อยวางจากธุรกิจของเขาทำให้เขาผ่อนคลายขึ้น และความผ่อนคลายนั้นเอง(มั้ง) ที่ทำให้เขาเริ่มคำนึงถึงความผิดพลาดของตัวเองในอดีต และเขาอยากแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยกระทำมา ใช่แล้ว เขาเริ่มนึกถึงคนอื่น เขาเริ่มสงสัยว่าเขาจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ จึงจะสามารถสร้างความสุขให้กับคนทั้งโลกได้ [/FONT]

    [FONT=&quot]และด้วยความรู้สึกตรงนี้เอง ที่ทำให้เขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เขาบริจาคเงินจำนวนมหาศาลเพื่อสาธารณกุศลโดยไม่แสวงหาผลตอบแทน [/FONT]

    [FONT=&quot]ใน หนังสือที่เขียนถึงเรื่องราวของเขาได้กล่าวถึงขนาดที่ว่า แหล่งที่รับบริจาคเงินของเขาหลายแห่งปฏิเสธที่จะรับเงินของเขา เพราะชื่อเสียงของเขาที่เขาสร้างเอาไว้มีแต่เรื่องเสียๆทั้งนั้น ซึ่งเขาไม่สนใจ เขายังคงบริจาคต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง [/FONT]

    [FONT=&quot]ผม เองก็ไม่รู้ว่าเขาจะรู้มั้ย ว่าการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาได้เปลี่ยนแปลงโลกไปมากมายมหาศาลขนาด ไหน วงการแพทย์ วงการการศึกษา วงการเศรษฐกิจ สุขภาพ และวงการอื่นๆสามารถพัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้ก็เพราะเขา [/FONT]

    [FONT=&quot]เมื่อ เขาบริจาคจนอื่มตัว เขาก็ตั้งมูลนิธิของเขาขึ้นมา ชื่อมูลนิธิร็อคกี้ เฟลเลอร์ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บให้กับคนทั้งโลก เป็นบุญใหญ่ มหากุศล[/FONT]

    [FONT=&quot]มาเข้าคำถาม สำคัญ เขาได้รับอะไรจากการบริจาคอย่างไม่แสวงหาผลตอบแทน คนใกล้ชิดเขาทุกคน ต่างพากันประหลาดใจเป็นอย่างมาก จากคนที่มีนิสัยสุดโต่งทางด้านความทุกข์ กลายมาเป็นคนที่มีความสุขจากการให้ เขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งวันที่ธุรกิจของเขาที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือถึงวันล่มสลาย เขาก็ยังคงสามารถมีความสุขไม่ทุกข์ร้อน ไม่ยี่ระต่อเรื่องราวที่สามารถทำให้เขาทุกข์อีกต่อไป [/FONT]

    [FONT=&quot]เข้าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการเอาชนะความทุกข์ของเขา...[/FONT]???

    [FONT=&quot]แพทย์ที่รักษาเขาเคยพยากรณ์ไว้ว่าเขาไม่น่าจะมีอายุเกิน 54 ปี แล้วรู้ไหมครับ เขาเสียชีวิตตอนอายุเท่าไหร่ [/FONT]

    [FONT=&quot]98 ปีครับ [/FONT]!!![FONT=&quot] จากคนใกล้ตายด้วยโรคร้ายในวัยกลางคน กลับเป็นคนที่มีอายุยาวนานถึง 98 ปี [/FONT]!!!

    [FONT=&quot]แล้วถามว่าภาพลักษณ์ของเขาที่ยังคนตราตรึงอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ก็ลองไปค้นหาใน[/FONT] Google[FONT=&quot] ดูสิครับ ว่าเขามีคนให้ร้ายกับยกย่องอย่างไหนมากกว่า[/FONT]

    [FONT=&quot]แล้ว ทางจิตวิทยากับทางวิทยาศาสตร์หละ รองรับเรื่องราวที่น่าจะเป็นเรื่องปาฏิหาริย์อย่างนี้ได้หรือเปล่า ทำไมคนใกล้ตายถึงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้จากการทำบุญ เกิดอะไรขึ้น เพราะอะไร และทำไม คำตอบเดียวที่ผมรู้เรื่องนี้ก็คือ เพราะจิตอยู่เหนือร่างกายครับ ถ้าจิตดี ร่างกายก็มีเชื้อเพลิงที่ดีด้วย จิตที่เบาสบายและมีความสุขจากการทำบุญและความสงบถือเป็นจิตใจที่มีคุณภาพ ซึ่งแตกต่างจากจิตที่คิดแต่จะเอาเพียงอย่างเดียว ลองสังเกตให้ดีนะครับ เวลาเราทำบุญ จิตของเราเป็นอย่างไร ความสบายใจมากมายขนาดนั้น นั่นคือมหากุศลที่เราได้ร่วมกระทำแล้วครับ [/FONT]

    John d Rockefeller[FONT=&quot] เกิดเมื่อวันที่ [/FONT]8 [FONT=&quot]กรกฎาคม [/FONT]2382[FONT=&quot] ตายเมื่อวันที่ [/FONT]23 [FONT=&quot]พฤษภาคม พ.ศ. 2458[/FONT]


    บทความจาก http://www.healingoftarot.com
     
  6. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    เจอข้อมูลว่า ตระกูลนี้เขามีชื่อเกี่ยวข้องกับองค์กร illuminati และ CFR (Council on Foreign Relations สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ)
    v
    v
    ธรรมจักร 卍 ธรรมศาลา :: อ่าน - องค์กรลับยึดโลก

    รอคุณขวัญมาคุยต่อดีกว่า เรื่องนี้น่าสนใจ
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องตระกูลมหาเศรษฐีโลก นี่เขามีวาระซ่อนเร้นให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดเยอะแยะเลยค่ะ
    พอดีตระกูล Rockefeller ร่ำรวยมาจากธุรกิจน้ำมันและธนาคาร ที่เป็นปัญหาหลักเรื่อง
    ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมทางกายและใจของผู้คนบนโลก เลยกลายเป็นจำเลยของสังคม
    ระดับหนึ่ง ดูแต่ คุณ John d Rockefeller[FONT=&quot] ยังเกือบตายเพราะธุรกิจธุรกรรมและแนวคิด[/FONT]
    ที่ไม่ปกติเลย มันไม่ธรรมดานะ แต่เขากลับตัวได้แถมยังสร้างคุณูปการให้สังคม แต่มันก็
    เป็นที่ตัวเขาไง แต่แนวคิดและแนวปฏิบัติของตระกูลมีเบื้องลึกเบื้องลับอะไรเป็นวาระซ่อนเร้น
    รึป่าวนี่ มีพวกจิตไม่ว่างสร้างทฤษฎีสมคบคิดออกมาหลายเวอรชั่น อยู่ค่ะ ก็ต้องใช้วิจารณญาณ
    หาความจริงกันต่อไป พอดีตอนนี้กำลังสนใจเรื่องเศรษฐกิจและการธนาคารโลก ระบบทุนนิยม
    มันมีวิวัฒนาการมาจากไหน มีต้นตอเป็นใคร ก็ไปเจอพวกยูทูบเยอะเหมือนกันก็มาแปะไว้
    แล้วจะทะยอยย่อยไปเรื่อยๆ เพราะแต่ละอันยาวมาก เป็น ชม. ดูกันหูตูบเลยค่ะ

    แต่นะสนใจนะเรื่องคนบาปกลับใจ แต่องค์กรลับมีกลับใจมั่งหรือยังก็ไม่รู้ แหะ แหะ
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    David Landes จะเล่าเรื่องราวและชี้ให้เห็นความสำคัญของอาณาจักรธุรกิจและตระกูลที่สร้างอาณาจักรธุรกิจเหล่านั้นให้ร่ำรวยและมีชื่อเสียงมานานหลายชั่วอายุคน ใน Dynasties : Fortunes & Misfortunes of the World's Great Family Businesses กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของตระกูลธนาคารที่ยิ่งใหญ่ (Baring, Rothschild และ Morgan) ตระกูลผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลก (Ford, Renault และ Toyota) และตระกูลที่ร่ำรวยมาจากทรัพยากรธรรมชาติ (Rockefeller, Guggenheim และ Wendel)

    บางครั้งลูกไม้ก็หล่นไกลต้น

    สิ่งหนึ่งที่มักเกิดขึ้นกับธุรกิจที่สร้างโดยตระกูลเดียวคือ รุ่นลูกมักจะเก่งเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่ แต่พอถึงรุ่นหลาน กลับไม่ค่อยสนใจหรือไม่เก่งพอที่จะบริหารธุรกิจของตระกูลได้ต่อไป เช่น John D. Rockefeller ผู้ก่อตั้ง Standard Oil ซึ่งสร้างรายได้ให้เขามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในปี 1913 เมื่อเขาสูงวัย บุตรชายของเขาคือ John Jr. ก็เข้ามาบริหารธุรกิจแทนบิดา Junior ทำงานเก่งเหมือนพ่อ แต่เขาออกจาก Standard Oil ตั้งแต่อายุ 36 เพื่อไปบริหารมูลนิธิการกุศลของตระกูล และไม่ได้สอนลูกหรือหลานในเรื่องธุรกิจเลย

    ผู้แต่งสรุปว่า คนรุ่นที่ 3 ในตระกูลมักจะรับสืบทอดธุรกิจมาโดยขาดวิญญาณของผู้ประกอบการ และไร้แรงผลักดัน ของการอยากทำเงินเหมือนรุ่นพ่อรุ่นปู่ รวมทั้งไม่มีความรู้สึกว่า ธุรกิจของตระกูล หาใช่ทรัพย์สมบัติของตระกูล เป็นสิ่งที่ควรปกป้องและรักษาไว้ สำหรับกรณีของ Rockefeller ลูกหลานไม่สนใจธุรกิจแต่กลับไปสนใจเรื่องการเมืองและการกุศลมากกว่าธุรกิจ ส่วนตระกูลอื่นๆ คนรุ่นที่ 3 มักสนใจสะสมงานศิลปะ หรือทำตัวเป็นคนเด่นดังของสังคม และใช้ชีวิตอย่างหรูหราแทนที่จะสนใจบริหารธุรกิจของตระกูล

    เลือดข้นกว่าน้ำ

    การที่ลูกหลานไม่สนใจธุรกิจ ทำให้ตระกูลธุรกิจเหล่านี้ต้องพึ่งการว่าจ้างผู้บริหารจากภายนอก ผู้แต่งตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจเป็นสาเหตุให้มหาเศรษฐีเจ้าของตระกูลธุรกิจมีลูกมาก โดยหวังว่าจะมีลูกหลานคนใดคนหนึ่งที่จะสามารถนำพาธุรกิจของตระกูลให้รุ่งเรืองต่อไปในอนาคตได้ อย่างเช่นที่ Jean-Martin Wendel มีลูกถึง 14 คน

    ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผู้แต่งชี้ว่าการดึงคนนอกเข้ามาบริหารธุรกิจของตระกูลเป็นเรื่องเสี่ยง โดยเฉพาะหากธุรกิจของตระกูลนั้นต้องอาศัยพึ่งพาเส้นสายความสัมพันธ์อย่างเช่นธุรกิจธนาคาร เช่น กรณี J.P. Morgan ที่ว่าจ้าง George Perkins ให้มาช่วยบริหาร แต่ก็ต้องปลดเขาออก หลังจาก Perkins ทำตัวฟุ้งเฟ้อเกินไป และไม่เคารพคนในตระกูล Morgan

    อย่างไรก็ตาม หากธุรกิจของตระกูลต้องการความเชี่ยวชาญชำนาญทางเทคนิค มักจำเป็นต้องจ้างผู้บริหารจากภายนอก เพื่อให้เป็นพี่เลี้ยงทายาทที่ยังอ่อนหัดและไร้ประสบการณ์ แต่ก็ไม่ใช่จะได้ผลเสมอไป อย่างกรณี Ford ที่มีผู้บริหารคนดังหลายคนผลัดกันเรียงแถวตบเท้าเข้ากุมบังเหียน ไม่ว่าจะเป็น Lee Iacocca, Alexander Trotman และ Jacques Nasser แต่ก็ยังคงแก้ปัญหาผลกำไรไม่ได้

    สุดท้ายผู้แต่งชี้ว่า ธุรกิจครอบครัวมีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องมาจากกว่า 90% ของธุรกิจในสหรัฐฯ เป็นธุรกิจครอบครัว ซึ่งผลิตสินค้าและบริการรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของสินค้าและบริการทั้งหมดในสหรัฐฯ นอกจากนี้ ธุรกิจครอบครัวยังเป็นแหล่งเพาะสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย

    gotomanager.com - นิตยสารผู้จัดการ 360
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    ประวัติ
    City Bank of New York ก่อตั้งในปี ค.ศ.1812 โดยกลุ่มพ่อค้าในเมืองนิวยอร์ก คนที่เป็นผู้นำกลุ่มในตอนนั้นคือ Samuel Osgood ก่อนที่จะมีการเข้ามาครอบครองและบริหารจัดการส่วนต่างๆทั้งหมดโดย Moses Taylor และได้พัฒนาไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ระดับโลก ระหว่างที่ Taylor’s ได้บริหารงานอยู่นั้น ธนาคารได้ทำหน้าที่หลักส่วนใหญ่กับการเป็นศูนย์กลางในการเงิน กองทุน และการให้เครดิตเกี่ยวกกับธุรกิจไปอย่างกว้างขวาง
    ในปี ค.ศ. 1863 ธนาคารได้เข้าร่วมกับระบบของธนาคารแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา และกลายมาเป็น The National City Bank of New York ต่อมาในปี ค.ศ.1868 ได้รับพิจารณาให้เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ถัดมาในปี ค.ศ.1897 เป็นธนาคารแรกในสหรัฐอเมริกาที่มีการเริ่มติดต่อการลงทุนกับต่างชาติ ในขณะที่ปี ค.ศ.1896 เป็นที่แรกที่ได้ช่วยเหลือเรื่องการสำรองเงินของสหพันธ์ธนาคารในนิวยอร์ก The National City กลายเป็นธนาคารระดับชาติ และได้ข้ามไปเปิดทำการในสาขา กรุงบูนอร์ตอายเรต์ ประเทศอาร์เจนติน่า ในปี ค.ศ.1914 และตามมาด้วยยสำนักงานที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ รวมทั้งที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ที่เมืองกัตตาลัน ประเทศอินเดีย รวมถึงเมืองอื่นๆ อีกด้วย โดยเป็นบริษัทการเงินระหว่างประเทศ เป็นบริษัทจัดการการเงิน การธุรกิจภายนอกประเทศสหรัฐอเมริกา
    และในปี ค.ศ.1910 ในขณะนั้น The National City ได้เข้าไปซื้อหุ้นของ Haiti’s National Bank ได้เข้าไปทำหน้าที่เรื่องเงินทุนของชุมชนท้องถิ่น และมีอำนาจผูกขาดในสิทธิ์ทั้งหมดหลัง
    จากที่ประเทศสหรัฐอเมริกาบุกรุกเข้าไปในกรุงเฮติ ซึ่งตอนนั้นเป็นที่ถูกวิจารณ์ไปอย่างมาก
    และถัดมาในปี ค.ศ.1929 Charles E. Mitchell ได้ถูกคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานบริหาร จนถึงกระทั่งในปี ค.ศ.1933 ภายใต้การบริหารงานของ Mitchell นั้นธนาคารได้ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว โดยในปี ค.ศ.1930 ได้ขยายตัวถึง 100 สาขาใน 23 พื้นที่นอกสหรัฐอเมริกา แต่มาในปี ค.ศ.1933 Mitchell ถูกตรวจสอบจากวุฒิสภาสหรัฐ ว่าบริหารงานจนธนาคารขาดทุนเป็นจำนวนมากกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงถูกปลดออก ต่อมาในปี ค.ศ.1952 ธนาคารได้ถูกบริหารงานโดยตระกูล Rockefeller จนถึงปี ค.ศ.1967
    และในระหว่างช่วงปี ค.ศ.1935 ที่ผ่านมานั้น ธนาคารได้ถูกรวมกับ The First National Bank of New York แล้วเปลี่ยนชื่อให้สั้นลงคือ First National City Bank ในปี ค.ศ.1952 ในช่วงตระกูลของ Rockefeller บริษัทได้เข้าสู่การเป็นบริษัทที่ให้บริการสัญญาเช่าซื้อต่างๆ และธุรกิจ
    บัตรเครดิต และได้เริ่มทำตลาดในลอนดอน โดยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Master Card จากนั้นจึงเริ่มที่จะแนะนำบัตรเครดิต First National City Charge Service ที่รู้จักกันในชื่อ “Everything Card” ในปี ค.ศ.1967
    ถัดมาในช่วงระหว่างกลางยุค 70’s นั้น ได้อยู่ภายใต้การบริหารงานของ Walter Wriston (CEO) จึงให้เรียกชื่อใหม่ว่า Citibank จนกระทั่งทุกวันนี้ โดยเวลานั้นธนาคารได้สร้างตัวเองให้เป็น “One-Bank Holding Company”

    ข้อมูลสภาบันการเงินภาษาไทย

     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=800><TBODY><TR vAlign=top><TD height=600 background=images/photo-bg.jpg width=780><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=780><TBODY><TR><TD>สมเด็จฯ พระบรมราชชนกกับการต่างประเทศ
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="75%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD vAlign=top>
    [​IMG]
    นายจอห์น ดี ร็อคกีเฟลเลอร์ (John D. Rockefeller) ผู้ก่อตั้งมูลนิธิร็อคกีเฟลเลอร์
    (A Rockefeller Family Portrait
    หลังหน้า 76)

    </TD><TD width="50%">
    [​IMG]
    ดร.วิกเตอร์ จี ไฮเซอร์
    (60 ปี แห่งความร่วมมือฯ น.21)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>3.3 ความร่วมมือระหว่างมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์และรัฐบาลไทย
    มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ก่อตั้งขึ้นโดยตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ ซึ่งเป็นตระกูลที่บทบาทอำนาจสูงมากในสหรัฐอเมริกา จนถึงกับกล่าวกันว่า เป็นตระกูลที่เปรียบเสมือนราชวงศ์ของสหรัฐอเมริกา อันเป็นประเทศที่ไม่มีระบอบกษัตริย์เลยทีเดียว การติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ กับประเทศไทย มีมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากหนึ่งในกิจการทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มเข้ามาลงทุนในเมืองไทยสมัยนั้น คือ กิจการน้ำมันของบริษัทสแตนดาร์ดออยส์แห่งนิวยอร์ก ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์
    </TD><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD><TD width=20>[​IMG]</TD></TR><TR vAlign=top><TD><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=780><TBODY><TR><TD width=160></TD><TD>สำหรับในส่วนของมูลนิธิ มูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์มีนโยบายช่วยเหลือ ประเทศกำลังพัฒนาในด้านต่างๆ ในกรณีของไทยก็ได้ให้ความช่วยเหลือปรับปรุงการแพทย์ และการศึกษาแพทย์อย่างไม่เป็นทางการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2458 บุคคลสำคัญที่เป็นตัวแทนดำเนินงานของมูลนิธิในระยะแรก คือ ดร.วิกเตอร์ จี ไฮเซอร์ (Dr. Victor G. Heiser) ผู้อำนวยการฝ่ายสาธารณสุขระหว่างประเทศ ของมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ในขณะที่ทางไทยมีสมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ผู้บัญชาการราชแพทยาลัยอันเป็นโรงเรียนฝึกสอนแพทย์ ที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศ ทรงคอยประสานงานในช่วงเริ่มต้น ผลงานที่สำคัญของมูลนิธิในช่วงนี้ ได้แก่ การช่วยดำเนินการปราบปรามการแพร่ระบาดของโรคพยาธิปากขอ ร่วมกับสภากาชาดและกรมสุขาภิบาลของไทย อย่างไรก็ตามเนื่องจากความช่วยเหลือยังมีลักษณะไม่เป็นทางการ จึงยังไม่สามารถทำการพัฒนาได้เต็มที่
    การตกลงให้ความช่วยเหลือของมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์อย่างเป็นทางการ จะเริ่มต้นขึ้นในพ.ศ. 2464 โดยรัฐบาลไทยได้พยายามแสวงหาบุคคล ที่จะมาทำหน้าที่ผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อประสานงานต่างประเทศร่วมกับมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ซึ่งบุคคลดังกล่าว ควรจะเป็นเจ้านายในพระราชวงศ์ไทยชั้นสูงที่ทรงเป็นที่เคารพนับถือ ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ สามารถสื่อสารด้วยภาษาต่างประเทศหลายภาษา และควรจะต้องทรงมีความรู้ทางการแพทย์อยู่ด้วยพอสมควร เมื่อพิจารณาแล้วจึงเห็นว่าสมเด็จฯ พระบรมราชชนกทรงเป็นบุคคลที่เหมาะสมอย่างยิ่ง รัฐบาลไทยจึงให้มหาเสวกเอก เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ ทำหนังสือกราบทูลไปยังพระองค์ที่ขณะนั้น ประทับอยู่ในประเทศอังกฤษ ขอให้ทรงดำรงตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งก็ทรงตอบรับด้วยความเต็มพระทัย
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR vAlign=top><TD width=290>
    [​IMG]
    สมเด็จฯ พระบรมราชชนก
    และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
    ณ กรุงปารีส พ.ศ.2464
    (มหิตลปูชา น.65)
    </TD><TD>
    ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2464 สมเด็จฯ พระบรมราชชนก พร้อมด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้เสด็จไปทรงพบ และเจรจากับผู้แทนของมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ตามเมืองต่างๆ ในทวีปยุโรป เช่น กรุงลอนดอน กรุงปารีส และกรุงเบิร์น จนสามารถจัดให้มีการร่างข้อตกลงขั้นสุดท้าย เป็นบันทึกข้อตกลง (Memorandum) ซึ่งได้รับการรับรองจากทั้งทางมูลนิธิ และได้รับพระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปลายปี พ.ศ. 2465 จากนั้นจึงทรงร่วมกับมูลนิธิ เสาะหาบุคคลเข้ามาเป็นอาจารย์ และจัดปรับปรุงหลักสูตรแพทย์ของไทย ให้ถึงระดับแพทยศาสตรบัณฑิต นอกจากนี้สมเด็จฯ พระบรมราชชนกยังทรงได้คัดเลือกนักเรียนไทย ที่กำลังเรียนวิชาแพทย์ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ให้ได้รับทุนของมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ เพื่อฝึกอบรมศึกษาต่อ สำหรับกลับมาเป็นอาจารย์ในคณะแพทยศาสตร์ต่อไปด้วย​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    ทรงฉายพระรูปกับคณาจารย์ที่มูลนิธิร็อคกีเฟลเลอร์ส่งมาช่วย และคณะนักศึกษา
    (มหิตลปูชา น.70)

    ใน พ.ศ. 2466 สมเด็จฯ พระบรมราชชนกทรงตั้งพระทัยจะเสด็จไปทรงศึกษาวิชาแพทย์ ระดับคลินิกต่อที่มหาวิทยาลัยเอดินเบอระ แต่จากการที่พระวรกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว จึงทรงพระประชวรเนื่องจากอากาศหนาว และต้องเสด็จกลับประเทศไทย ณ เวลานั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย เพื่อให้สะดวกแก่การที่จะทรงประสานงานกับมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ ในการพัฒนาคณะแพทยศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเพียงแห่งเดียวอยู่ในขณะนั้น ในระหว่าง พ.ศ. 2466-2468 พระองค์จึงได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับผู้แทนของมูลนิธิต่อไป ทรงช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากการทำงานของฝ่ายไทย และความไม่เข้าใจกันของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้สมเด็จฯ พระบรมราชชนกยังทรงรับตำแหน่งประธานกรรมการโรงพยาบาลศิริราช เพื่อดำเนินการปรับปรุงการบริหารจัดการ โดยรับความช่วยเหลือจากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งความสำเร็จจากความร่วมมือจะได้ปรากฏให้เห็นในเวลาต่อมา คือการที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีนิสิตแพทย์ จบการศึกษาระดับปริญญารุ่นแรกใน พ.ศ. 2471 ส่วนโรงพยาบาลศิริราช ก็ได้พัฒนาเป็นโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานเหมาะสมสำหรับสอนนิสิตแพทย์ด้วย

    สมเด็จฯ พระบรมราชชนกทรงมีพระราชประสงค์ ที่จะศึกษาต่อวิชาแพทย์ให้สำเร็จในระดับสูงสุด ดังนั้นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2469 พระองค์จึงได้เสด็จไปประเทศสหรัฐอเมริกาอีกครั้งเพื่อทรงศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ต่อในชั้นคลินิก ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ครั้นถึงต้นปี พ.ศ. 2471 ก่อนการสอบ สมเด็จฯ พระบรมราชชนกทรงมีพระอาการโรคพระวักกะ (ไต) กำเริบ แม้ผู้อำนวยการโรงเรียนแพทย์เสนอว่า จะถวายปริญญาแพทยศาสตร์ โดยไม่ต้องสอบไล่เพราะผลการศึกษาของพระองค์อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ก็ไม่ทรงยินยอม ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2471 จึงทรงเข้าสอบไล่เช่นเดียวกับผู้อื่นเพื่อรับปริญญา (Doctor of Medicine) และปรากฏว่าผลการสอบของพระองค์อยู่ในขั้นเกียรตินิยม (Cum Laude) โดยทรงได้เหรียญทองสำหรับที่ 1 วิชาสาธารณสุข 1 เหรียญ สำหรับเกียรตินิยมอีก 1 เหรียญ เป็นการทรงสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]
    พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่โมมาแห่งนี้ นับเป็นหนึ่งในสิ่งสร้างนับสิบแห่งของนิวยอร์กที่ริเริ่มโดยสมาชิกในตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ ตระกูลที่ได้ชื่อว่ามีส่วนสำคัญในการ "สร้าง" เมืองนิวยอร์กให้เติบโตและมีความสำคัญยิ่งใหญ่เช่นในปัจจุบัน


    นอกจากโมมาแล้ว สิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวพลาดไม่ได้หากย่างเท้าไปเหยียบแผ่นดินนิวยอร์กคือ top of the rock

    GE Building

    [​IMG]
    30 Rockefeller Plaza
    New York, New York 10112
    USA​


    top of the rock ยุคปรับปรุงใหม่เพิ่งสร้างเสร็จสดๆ ร้อนๆ เมื่อปี 2005 ตั้งอยู่บนยอดหลังคาตึก GE อาคาร 70 ชั้น ใจกลาง Rockefeller Center เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบชมวิวจากมุมสูง นักท่องเที่ยวสามารถเดินออกไปรับลมชมทัศนียภาพของเมืองแมนฮัตตันได้รอบทิศ 360 องศา ผลงานของจอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์ จูเนียร์

    สัญลักษณ์สำคัญของ top of the rock คือภาพถ่ายระหว่างการก่อสร้างที่มีเหล่าวิศวกรใจกล้าขึ้นไปนั่งห้อยขารับประทานอาหารกลางวันกันบนคานเหล็กให้เป็นที่น่าหวาดเสียว โดยเจ้าคานเหล็กที่ว่านี้ห้อยโตงเตงอยู่เหนือพื้นถนนข้างล่างถึง 200 กว่าเมตร (840 ฟุต) นั่นละค่ะ

    ผลงานน่าทึ่งในนิวยอร์กของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ ยังไม่หมดแค่นี้ ยังมี Radio City สถานที่แห่งหนึ่งที่คอบันเทิงทุกคนไม่ยอมพลาด

    Radio City Music Hall เป็นโรงมหรสพยุคดั้งเดิมของชาวนิวยอร์ก ตั้งอยู่ในอาณาเขตของ Rockefeller Center เช่นกัน แต่ไหนแต่ไรมาโรงหนังแห่งนี้ถูกออกแบบให้จุคนได้ถึง 6 พันคน และปัจจุบันยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมยิ่งใหญ่ในวงการบันเทิงที่รู้จักกันดีเช่น งาน MTV Video Music Awards

    ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลงานสมาชิกตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ ที่หาชมได้ในอาณาเขตเมืองนิวยอร์กเท่านั้นค่ะ

    แท้จริงแล้วตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ มีผลงานเป็นที่รู้จักในระดับโลกมากมาย ทั้งอาคารเวิรลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่โด่งดังเมื่อหลายปีก่อน มหาวิทยาลัยร็อกกี้เฟลเลอร์ มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ ที่ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยในวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์สาขาต่างๆ รวมถึงพัฒนาการแพทย์แผนปัจจุบันในบ้านเราในอดีตก็ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธินี้

    จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์ ต้นตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ สร้างฐานะขึ้นมาจากธุรกิจน้ำมัน อดีตชายผู้นี้เคยมีทรัพย์สินส่วนตัวรวมถึง 1 พันล้านเหรียญ ต่อมาได้บริจาคให้กับองค์กรการกุศลต่างๆ โดยในรุ่นลูกและหลานก็ยังคงดำเนินรอยตามอุดมการณ์ของผู้เป็นพ่อ ทำให้ ณ ขณะนี้ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ ติดอันดับมหาเศรษฐีใจบุญที่สุดในโลกไปแล้ว

    ARTgazine Articles :: View topic - MoMA
     
  12. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รู้เท่าทันทุนนิยม ตอนที่ ๒

    เอกสารเรื่อง “รู้เท่าทันทุนนิยม” เป็นการเรียบเรียงโดย คุณแวง พลังวรรณ เพื่อใช้ประกอบการเสวนา “รู้เท่าทันทุนนิยม” ของเครือข่ายสื่อประชาชนภาคอีสาน ซึ่งมีทั้งหมด ๕ ตอน เสียงคนอีสานของนำเสนอตอนที่ ๒

    ร็อกกีเฟลเลอร์ ผีห่าซาตานหรือนักบุญ?

    องค์กรเอกชนของอเมริกาที่มีความสัมพันธ์โยงใยกับทุกประเทศทั่วโลก กล่าวโดยเฉพาะประเทศไทย เรามีความสัมพันธ์กับองค์กรนี้ต่อเนื่องยาวนานนับเป็นศตวรรษ เราเอาประเทศ สถาบันต่างๆ และวิถีชีวิตของประชาชนผูกโยงกับองค์กรนี้จนผสานเป็นเนื้อเดียวจนไม่รู้สึกถึงความแปลกแยก ภารกิจและกิจการขององค์กรนี้หยั่งรากลึก และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในไทยอย่างขนานใหญ่ ไทยต้องเปลี่ยนทั้งระดับโครงสร้าง ชุมชนและวิถีชีวิต จะว่าไปแล้ว ชีวิตของชาวไทยถูกผูกโยงกับองค์กรนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย และจากรุ่น ปู่รุ่นย่ากระทั่งรุ่นคนปัจจุบันและยังจะเกี่ยวเนื่องต่อไปในอนาคต เราต้องสูญเสียภูมิปัญญา การพึ่งพิงตนเองให้กับองค์กรนี้ และขณะเดียวกัน เราก็รับเอาภูมิปัญญาและการครอบงำนานาจากองค์กรนี้ด้วยเช่นกัน กล่าวได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยกว่า ๑ ศตวรรษที่ผ่านมากระทั่งปัจจุบันเป็นผลมาจากนโยบายและแผนขององค์กรนี้อยู่หลายส่วน

    การเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการแพทย์ไทย การเขี่ยการแพทย์แผนไทยและหลักสูตรแพทย์แผนไทยให้จมธรณีไม่ได้ผุดได้เกิด การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตภาคเกษตรของไทยจากเกษตรพึ่งตนเองให้เป็นเกษตรแบบพึ่งพาหรือเกษตรปฏิวัติเขียว (Green Revolution) การขัดแย้งพิพาทระหว่างคนไทยด้วยกันในกรณียอมรับไม่ยอมรับพืชตัดต่อยีน เหล่านี้ คือส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ที่อยู่ภายใต้การสนับสนุนขององค์กรนี้ จากการเข้ามาเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับโครงสร้างจนถึงระดับรากหญ้า ทำให้คนไทยมององค์กรนี้ในภาพลักษณ์แตกต่างกัน อย่าว่าแต่ชาวไทยเลย แม้ชาวโลกทั่วไปยังสับสนว่าองค์กรนี้เป็นนักบุญผู้โปรยทานหรือซาตานผู้เลือดเย็น และไม่เฉพาะแต่ประเทศไทยที่ต้องตกอยู่ในการชี้นำจากองค์กรนี้ แม้ความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐฯ และชีวิตชาวอเมริกันก็ล้วนอยู่ในบงการขององค์กรนี้ ที่แน่ๆ องค์กรนี้คือผู้มีส่วนร่วมก่อตั้งกลุ่มองค์การโลกทั้งสาม (CFR, TLC และ Bilderbergers) องค์กรนี้มีเครือข่ายจำนวนมากสอดไขว้กันนุงนัง มีทั้งองค์กรการกุศล ในนามมูลนิธิ ภาคธุกิจ ธนาคาร กิจการน้ำมัน กลุ่มบริษัท บรรษัท ซึ่งเพียงพอที่องค์กรนี้จะบงการและสยบโลกให้อยู่แทบเท้า

    องค์กรนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ร็อกกีเฟลเลอร์ ร็อกกีเฟลเลอร์ คือ ตระกูลของอัครมหาเศรษฐีผู้มีอิทธิพลอีกตระกูลหนึ่ง ที่มีบทบาทโยงใยกับกลุ่มมหาอำนาจของโลก คนในตระกูลนี้เป็นชาวอเมริกัน เท่าที่สืบสาวประวัติได้ ตระกูลนี้เริ่มมีชื่อเด่นในวงสังคมอเมริกันนับตั้งแต่ปี 1913 เมื่อ John D. Rockefeller, Jr. ได้แต่งงานกับ Abbey ลูกสาวของวุฒิสมาชิก Aldrich และได้ร่วมกันมีบทบาทสนับสนุนการก่อตั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และได้มีความสัมพันธ์กับ Paul Warburg ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothchild จากยุโรป พวกร็อกกีเฟลเลอร์ได้แผ่ขยายกิจการของตระกูลอย่างมหาศาล ในรายงานของอาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เสนอต่อสภาคองเกรสถึงฐานะกิจการของตระกูลนี้ในปี 1970 ระบุว่า สมาชิกตระกูล 15 คน เป็นผู้อำนวยการของ 40 บริษัท ซึ่งมีทรัพย์สินรวมกัน 70 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คณะกรรมการที่ตระกูลนี้รับตำแหน่งมีความเกี่ยวข้องโยงใยกับกิจการชั้นนำของอเมริกาถึง 91 แห่ง มีทรัพย์สินรวมกัน 640 พันล้านเหรียญฯ นอกจากนั้นพวกตระกูลนี้ยังมีกิจการธนาคารและมูลนิธิอีกมากกว่า 200 แห่งมียอดเงินฝากมูลค่ามหาศาล ธุรกิจลำดับที่ 1 ของร็อกกีเฟลเลอร์ คือ กิจการน้ำมัน Exxon ซึ่งมีสาขา 300 แห่งทั่วโลก ลำดับ 2 คือ ธุรกิจธนาคารอันประกอบด้วย ธนาคารเชส แมนฮัตตัน ซิตีแบงก์ และเคมิคัลแบงก์ กิจการที่เกี่ยวข้องกับธนาคารเหล่านี้ ก็คือ ธุรกิจประกันชีวิต ได้แก่ New York Life, Equitable Life และ Metropolitan Life ด้านกิจการธนาคาร ทุนของร็อกกีเฟลเลอร์คิดเป็นประมาณ 25% ของทรัพย์สินของธนาคารพาณิชย์ใหญ่ที่สุด 50 แห่งของอเมริการวมกัน สำหรับกิจการประเภทอื่นของร็อกกีเฟลเลอร์ ได้แก่ กิจการน้ำมัน Mobil Oil, Marathon Oil, Shell, Gulf, Union, Continental Oil, Standard สายการบิน Boeing, TWA, Eastern, United, National, Delta, North-West ผลิตรถยนต์ American Motors กิจการเครื่องใช้สำนักงาน Xerox, IBM กิจการผลิตภัณฑ์อื่นๆ Westinghouse, Avon, Safeway, General Foods, Allied Chemicals, Anaconda Copper ล่าสุด บทความในนิตยสาร American Heritage รายงานว่า นายจอห์น ดี ร็อกกีเฟลเลอร์ คือคนอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุด จากที่เคยมีทรัพย์สินมูลค่า 900 ล้านเหรียญในปี 1913 ถึงวันนี้ถีบตัวขึ้นเป็น 189,600,000,000 เหรียญ ความมั่งคั่งของพวก Rockefeller มีสาเหตุสำคัญเนื่องมาจากความสัมพันธ์กับ CFR ตลอดจนกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ซึ่งสนับสนุนให้อำนาจทางด้านเศรษฐกิจการเมือง การปกครองระดับโลก กลุ่มอิทธิพลเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงกันจนสามารถก่อตั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก ซึ่งกำลังมีบทบาทควบคุมเหนือประเทศต่างๆ ในโลก --------
    เรียบเรียงจาก เปรมศักดิ์ จีระแพทย์. รัฐบาลโลก. กรุงเทพฯ: ด่านสุทธาการพิมพ์, 2542



    วอลล์สตรีท: ท้าวโลกบาล

    ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้ผงาดขึ้นเป็นเจ้าโลก กดข่มรัศมีของเจ้าอาณานิคมเดิมลงไปสิ้น ขณะเดียวกันก็ลดฐานะพวกเจ้าอาณานิคมบางประเทศลงเป็นประเทศเมืองพึ่งของตน สหรัฐฯ ไม่ได้เติบใหญ่ขึ้นมาอย่างฉับพลันทันที แต่มันเป็นผลิตผลของวิถีทางแห่งประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และของโลก เริ่มที่สหรัฐฯ ประสบชัยชนะในสงครามกู้เอกราช หลังจากนั้นลัทธิทุนนิยมของสหรัฐฯ ก็ถูกสถาปนา และเติบกล้าขยายอาณาเขตออกไปโดยการรุกรานเอาที่ดินจากชนท้องถิ่น ทั้งอินเดียนแดง แม็กซิกัน ตลอดจนเมืองขึ้นของมหาอำนาจทวีปยุโรปอื่นๆ จากดินแดนบนฝั่งทะเลตะวันออกขยายจนกลายเป็นดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลกวมถึงทะเลอีกด้านหนึ่ง สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ ก่อให้เกิดยุคใหม่ขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1850 ถึง ค.ศ. 1900 อุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ขยายตัวรวดเร็วยิ่งกว่าอุตสาหกรรมของประเทศใดๆ เพราะแทนที่จะเสาะแสวงหาแหล่งกำเนิดแร่ธาตุอย่างเจ้าอาณานิคมเดิมเคยประพฤติ แต่สหรัฐฯ กลับรุกด้วยพลังทางเศรษฐกิจ โดยบรรดาเจ้าของธนาคาร การรถไฟ เหล็กกล้าและน้ำมันต่างก็เข้ายึดครองดินแดนของพวกอินเดียนแดง ริบเอาบ้านช่อง เรือกสวนไร่นาของชาวนาชาวไร่มาเป็นสมบัติของตน นายทุนอเมริกันได้สร้างความมั่งคั่งในระยะต้นบนความทุกข์ยากของทาสชาวนิโกรนับล้านๆ ที่ลักพาตัวจากทวีปอัฟริกา และก็สืบต่อความร่ำรวยบนความทุกข์ยากของลูกหลานชาวนิโกรในอีกชั่วอายุคนต่อมา โดยใช้อำนาจทางเศรษฐกิจของระบบเศรษฐกิจอันป่าเถื่อนของนายทาสภาคใต้ นำเข้ากรรมกรและช่างฝีมือจากยุโรปนับจำนวนล้านๆ เพื่อเอาชนะมาตรฐานทางเทคนิคของชาวยุโรป ว่าจ้างชาวแม็กซิกัน จีนและฟิลิปินส์นับแสนๆ ให้สร้างรางรถไฟ และทำงานในฟาร์มในภาคตะวันตกเฉียงใต้ด้วยค่าจ้างและสภาพการทำงานอยู่ในระดับเดียวกับชาวเมืองขึ้น แล้วลัทธิทุนนิยม ระบบการแข่งขันแบบ “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” ก็เบ่งขยาย และนำมาซึ่งการก่อตั้งองค์การผูกขาด เรียกกันว่า “ทรัสต์” ของอุตสาหกรรมและการเงินการคลัง ซึ่งระบอบเศรษฐกิจผูกขาดนี้ได้ก่อให้เกิดความทุกข์ยากแก่คนงาน ชาวนาและนักธุรกิจขนาดย่อม จนในปี ค.ศ. 1890 ได้เกิดการกดดันทางการเมืองภาคประชาชนในสหรัฐฯ ขึ้น จนทำให้มีการออกกฎหมายที่เรียกว่า กฎหมายเชอร์แมน แอนตี้ทรัสต์ ขึ้น แต่เนื่องจากรัฐบาลของสหรัฐฯ ก็คือตัวแทนของกลุ่มนายทุนและการผูกขาด กฎหมายฉบับดังกล่าวแทนที่จะใช้บังคับควบคุมการผูกขาด กฎหมายนี้ได้กลายเป็นเรื่องตลกไป แต่ประวัติศาสตร์ของอเมริกาภายใต้อำนาจของกลุ่มนายทุนยังมีเรื่องที่ตลกมากไปกว่านี้ หากรู้เบื้องหลังของสงครามกลางเมืองในอเมริกาแล้วจะรู้ว่าตลกยิ่งกว่า สงครามกลางเมือง อันถือว่าเป็นสงครามแห่งศักดิ์ศรีในการรบพุ่งระหว่างชาวใต้และชาวเหนือในอเมริกา เป็นสงครามเพื่ออิสระ เสรีภาพ ประชาธิปไตยและเอกราช แต่เบื้องหลังของสงครามกลับน่าอดสูยิ่ง และสิ่งที่ลดทอนความศักดิ์สิทธิ์และความน่าเชื่อถือในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ให้กลายเป็นเรื่องตลกขบขัน คือ การสงครามครั้งประวัติศาสตร์นี้มี “สปอนเซอร์” หรือผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังโดยออกทุนให้ทั้งสองฝ่ายสู้รบกัน อนึ่ง ในกลุ่มประเทศยุโรป บุคคลที่มีอำนาจอิทธิพลทางด้านการเงินการธนาคาร ได้แก่บุคคลในตระกูล Rothchild ระยะต่อมาตระกูลดังกล่าวได้แผ่อิทธิพลมายังอเมริกา อันเป็นประเทศน้องใหม่ โดยส่งตัวแทนเข้ามาหลายคนเพื่อคุมอำนาจในธนาคารชั้นนำของอเมริกา และมีคนอยู่ 2 คนที่มีบทบาทสำคัญยิ่ง คือ August Belmont ผู้ดูแลอเมริกาฝ่ายเหนือ และ Erlangers ผู้ดูแลอเมริกาฝ่ายใต้ พวกเขาได้เข้าไปในอเมริกาในช่วงที่เกิดความวุ่นวาย (panic) ในปี 1837 คนคู่นี้มีอำนาจหน้าที่ในการซื้อพันธบัตรรัฐบาล และในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมือง คนทั้งสองได้ให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ หมายความว่า ทั้งกองทัพฝ่ายเหนือและกองทัพฝ่ายใต้ต่างก็ได้รับการสนับสนุนจากนายทุนกลุ่มเดียวกัน ดังนั้น ไม่ว่าฝ่ายใดได้รับชัยชนะในสงครามก็จะตกเป็นลูกหนี้ของธนาคารที่ให้ความช่วยเหลือด้านการเงินเหมือนๆ กัน และการให้การสนับสนุนกองทัพในสงครามกลางเมืองนี่เองได้ทำให้ Rothchild มีอำนาจผูกขาดด้านเงินทุนในอเมริกาเมื่อสงครามสงบ

    ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า เบื้องหลังและผู้อยู่เบื้องหลังความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐฯ คือ กลุ่มทุนเพียงกระหยิบมือเดียว และเป็นผู้ครองโลกตัวจริง โดยเข้าควบคุมบงการนโยบายสหรัฐฯ ให้ตอบสนองต่อโครงการครองโลกของพวกเขา 40 ปี ต่อมาได้มีตัวแทนคนใหม่ของ Rothchild คือ John Pierpont Morgan (J.P. Morgan) คนผู้นี้ได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการเศรษฐกิจในปี 1907 เขาเป็นแกนนำในการก่อตั้งธนาคารกลางของอเมริกาได้สำเร็จ โดยเรียกชื่อว่า Federal Reserve Bank โดยมีธนาคาร The Morgan Guaranty Trust ของตัวเองเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในธนาคารกลางแห่งนี้

    ต่อมาในเดือนมีนาคม 1932 อันเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของอเมริกา N.M. Victor Rothchild หลายชายวัย 21 ปี ของ Baron Rothchild ได้เดินทางจากอังกฤษไปยังอเมริกาเพื่อรับตำแหน่งในบริษัท J.P. Morgan Paul Warburg มาจาก Warburg Bank of Germany เข้าอเมริกาปี 1902 แต่งงานกับลูกสาวของ Kuhn Loeb เจ้าของ Bank of New York ส่วน Felix Warburg ผู้น้องได้แต่งงานกับลูกสาวของ Jacob Schiff เจ้านายของ Kuhn Loeb และ Jacob Schiff ได้ใช้เงินของ Rothchild ซื้อหุ้นของ Kuhn Loeb หลังจากสองพี่น้องตระกูล Warburg ได้เข้าไปวางพื้นฐานธุรกิจในอเมริกาแล้ว ได้ร่วมมือกับวุฒิสมาชิก Aldrich พ่อตาของ John D. Rockefeller, Jr. ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ผลักดันร่างกฎหมายเงินทุนสำรองสหรัฐฯ (Federal Reserve Act) โดย Paul Warburg ได้ประสานงานกับ Aldrich ในเดือนธันวาคม 1913 โดยได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก Woodrow Wilson และนายพล Edward Mandell House จึงมีการลงนามผ่านกฎหมายเงินทุนสำรอง อนึ่ง คงยังไม่ลืมชื่อและบทบาทของนายพล Edward Mandell House ว่าเขาคือ ผู้ก่อตั้ง Council on Foreign Relations-CFR และนายพลคนนี้ใช่ใครอื่น หากเป็นบุตรชายของ Thomas House ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothchild ในช่วงสงครามกลางเมือง โดย Thomas House ผู้บิดาได้ส่งบุตรชายไปศึกษาในยุโรป ภายหลังกลับมาอเมริกาแล้วก็ได้ร่วมงานใกล้ชิดกับ Woodrow Wilson หลังจาก Woodrow Wilson ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และได้ลงนามผ่านกฎหมายธนาคารกลางไปแล้ว ผู้รับตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนแรกจึงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก Paul Warburg



    ผู้ถือหุ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ

    จากประวัติการก่อตั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเห็นว่า ผู้ถือหุ้นและผู้บริหารคนสำคัญเป็นบุคคลที่มาจากยุโรปทั้งสิ้น และยังคงลักษณาการเช่นนี้ไม่มีเปลี่ยนจนถึงปัจจุบัน และเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ มิได้มีรัฐบาลของสหรัฐฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เหมือนดังที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่ 8 อันดับต้นๆ ประกอบด้วย 1. Rothchild Banks (London, Paris) 2. Lazard Brothers Bank (Paris) 3. Israel Moses Seif Banks (Italy) 4. Warburg Bank (Hamburg, Amsterdam) 5. Lehman Brothers Bank (New York) 6. Loeb Bank (New York) 7. Chase Manhattan Bank (New York) 8. Goldman, Sachs Bank (New York) และกลุ่มตระกูลของคนเหล่านี้คือผู้อยู่เบื้องหลังอิทธิพลของสหรัฐฯ เพราะเป็น “ผู้ทรงอำนาจทางการเงินการคลัง” และคนกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม “วอลล์สตรีท” พวกเขาส่งออกทุนในรูปของการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งต่างจากเจ้าอาณานิคมเดิมที่ส่งออกตัวสินค้า ในอีกทางหนึ่งก็จัดตั้งองค์กรผูกขาดระหว่างประเทศ เรียกว่า คาร์เตล (cartel) และในรูปแบบอื่นเพื่อแบ่งสรรปันโลก “บรรดาผู้ปกครองของเมริกา (ตัวจริง)” หรือ วอลล์สตรีท เหล่านี้ ได้แก่ตระกูล มอร์แกน ร็อกกีเฟลเลอร์ เมลลอน และ บรรดาอภิสิทธิ์ชนผู้ทรงอำนาจทางเศรษฐกิจอีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาเป็นเจ้าของทรัสต์อาลูมิเนียม สแตนดาร์ดออยล์ ทรัสต์ เคมิคอล ทรัสต์ของดูปองต์ ทรัสต์เหล็กกล้า ทรัสต์อุปกรณ์การไฟฟ้า การรวมทุนทางธนาคารกับทางอุตสาหกรรมเข้าเป็นทุนทางการเงินการคลังจะเห็นได้อย่างชัดแจ้งจากบทบาทของ ตระกูลมอร์แกน ในการก่อตั้งทรัสต์อุปกรณ์การไฟฟ้าและเหล็กกล้า บทบาทของ ธนาคารเมลลอน ในการก่อตั้งทรัสต์อาลูมิเนียม บทบาทของ บริษัทคุห์นเลิบ ในการรวมการรถไฟเข้าด้วยกัน การทุ่มเงินเข้าซื้อหุ้นจำนวนมากในธนาคารแนชแนล ซิตี้ ของ ตระกูลร็อกกีเฟลเลอร์ ตลอดจนการที่ตระกูลนี้เข้าควบคุมธนาคารเชส แมนฮัตตัน เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1935 ซึ่งจากรายงานของคณะกรรมาธิการว่าด้วยทรัพยากรของชาติ ภาค 1 หน้า 317 ค.ศ. 1939 ซึ่งเป็นรายงานของรัฐบาลสหรัฐฯ เองก็ได้พบว่า กลุ่มทุนการเงินการคลัง 8 กลุ่มนี้ได้ควบคุมอุตสาหกรรมการขนส่ง การสาธารณูปโภค และการธนาคารของทั้งประเทศไว้ถึง 62%


    ที่มา : แวง พลังวรรณ (202.91.19.206) [2008-10-02 08:02:33]

    :: Esan Voice
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่อง"เกลียดยิว" ของฮิตเล่อร์มีคนถามหลายคน ตามกระทู้ต่างๆ แต่จะเข้าไปอธิบายไม่ได้ เพราะ คนที่ถามตั้งใจจะรู้ด้วยเพียงการสรุปให้สองสามประโยค ซึ่งเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
    คนที่อยากรู้จริงๆ ต้องเข้าใจพื้นฐานการเป็นไปในประวัติศาสตร์ยุโรปเสียก่อน..
    โดยเฉพาะ เรื่องของเศรษฐกิจที่อยู่ในมือของคนเพียงกลุ่มเดียว..กลุ่มนี้แหละ คือ The Rothschild Family หรือ The House of Rothschild เทียบได้สมัยนี้เท่ากับ โซรอส นั่นแหละ..
    ต้นตระกูลของเขาคือ นาย Mayer Amschel Rothschild เห็นชื่อต้นว่า Mayer** ก็ไม่ต้องเดานะ เพราะว่า นี่คือ"ยิว"แท้ๆ
    แต่เขาเกิดในแฟรงค์เฟิร์ต เยอรมัน (1743-1812) พอโตขึ้น เขาก็เข้าทำงานที่ Hanover Bank ที่เจ้าของคือตระกูล Oppenheimers อันเป็นจ๊อบแรก จากนั้นก็ลาออกไปบริหารธุรกิจของครอบครัว เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของผู้บิดา
    (**Mayer สืบเนื่องต่อจากกระทู้ที่แล้ว..ถึงที่มาของชื่อนี้ที่ได้กลายมาเป็นอัปมงคลสำหรับชาวเยอรมันในยุคต่อต้านยิว..ตามที่เกอริงได้ประกาศเอาไว้..)
    [​IMG]

    ในช่วงที่เขาได้ทำงานธนาคารนั้น เขาได้เก็บเกี่ยวความรู้ในเรื่องเงินสกุลต่างๆรวมทั้งสะสมเหรียญกษาปณ์ที่หายาก
    ซึ่งทำรายได้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนให้เขาอย่างมากมาย จนในปี 1769 เขาได้รับการไว้เนื้อเชื่อใจจากพระราชวงค์ต่างๆทั่วยุโรป
    รวมทั้งพระเจ้า George ที่สองของอังกฤษ ให้เป็นตัวแทนในการดำเนินการซื้อขายแลกเปลี่ยน
    ซึ่งในที่สุดต่อมาเขาได้ขยายกิจการไปยังสาขาอื่นๆ เช่น ลงทุนซื้อไร่ไวน์ชั้นเลิศในฝรั่งเศส, การนำเข้า-ออกของสินค้าจากอังกฤษ
    และจากนั้นไม่นาน รอธส์ไชลด์ ก็เริ่มรู้ว่าเดินมาถูกทางในการที่ก้าวขึ้นไปสู่
    บัลลังค์เงินตรา
    โดยการนำเงินกู้ให้กับกษัตริย์ในประเทศต่างๆ เช่นเจ้าชาย วิลเฮล์ม แห่ง เฮสส์ (เยอรมัน) ในปี 1804 (ให้กู้ในนามของรัฐบาล)
    เพื่อนำมาหมุนเวียนภายในประเทศ
    ในปี 1806 นโปเลียนยาตราทัพเข้าตีเยอรมัน
    เจ้าชายวิลเฮล์มต้องหนีไปอยู่ที่เดนมาร์คอย่างกระทันหัน ทิ้งทรัพย์สินเงินทองให้อยู่ในความดูแลของ Mayer Rothschild ซึ่งไม่ต่างอะไรกับอ้อยเข้าปากช้าง
    เพราะ หลักฐานรายการทรัพย์สินต่างๆได้ถูกทำลายทิ้งไป แต่ที่รู้ๆก็มีว่านาย Buderus von Carlhausen รัฐมนตรีคลังของเยอรมัน และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ต้องจ่ายเงินจำนวน หกแสนปอนด์ให้กับนโปเลียนเพื่อไม่ให้มายุ่งกับเงินในส่วนอื่นๆของประเทศ
    และนาย คาลเฮาซัน รีบส่งตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศให้กับนาย ร็อธส์ไชลด์ ทันที
    นโปเลียนได้ออกคำสั่งว่า รายได้อันจะพึงมีจากเงินกู้กรือดอกเบี้ยใดๆก็จากในบัญชีของเจ้าชายวิลเฮล์ม ต้องส่งเข้าคลังของฝรั่งเศส
    และ..ถ้าในตามเก็บหนี้ที่สูญไปมาได้ จะให้ค่านายหน้า 25% (เห็นแม๊ะ..นโปเลียนก็เล่นเป็น)
    แต่..นายร็อธไชลด์ ได้แต่คิดในใจว่า..ฝันไปเหอะ นโปเลียนเอ๋ย..!!

    จังหวะแรกของการร่ำซ้ำรวยซ้อนของร็อธส์ไชลด์ ได้แก่การฉวยโอกาสที่สงคราม วอเตอร์ลู
    ซึ่งในครั้งแรก นโปเลียนมีชัยชนะ..ใครๆก็เชื่อว่าอย่างนั้น
    แต่ Sir Nathan Rothschild (ลูกชายนาย Mayer) นายธนาคารใหญ่แห่งประเทศอังกฤษ อุตส่าห์ส่งคน (นาย Rothworth)ไปเฝ้าสังเกตการศึกครั้งนี้ด้วยตัวเอง
    พอเริ่มเห็นว่า นโปเลียนพ่ายทัพครั้งนี้จริงๆซะแล้ว..จึงรีบขี่ม้าไปยังกรุงบรัสเซลส์ และ ออสเทนด์ ยอมจ่ายค่าเรือข้ามช่องแคบมายังอังกฤษแบบเร่งด่วนด้วยราคา 2000 ฟรังค์
    เพื่อมาบอกข่าวแก่เจ้านาย
    เซอร์ นาธาน รับทราบข่าวในวันที่ 20 มิถุนายน เขาได้พยายามบอกแก่ใครต่อใครว่า นโปเลียนพ่ายทัพ แต่ไม่มีใครเชื่อ ต่างพากันหัวเราะเยาะเฮฮา
    ซึ่งเข้าทางของนายนาธาน เขาเอาสต๊อคของเขาออกมาเทขายทิ้งแบบไม่มีราคาค่างวด ใครต่อใครจึงเทขายตาม..
    และ..คงไม่ต้องเดานะ ว่า เขาได้สั่งให้พรรคพวกไปแอบช้อนซื้อมาเก็บไว้ทั้งหมด..ในราคาที่ถูกแสนถูก

    [​IMG]
    Sir Nathan Rothschild

    และในวันที่ 21 มิถุนายน..ท่านผู้บัญชาการ Henry Percy ได้กลับมาจากทัพ เข้าสู่กลาโหมเพื่อที่จะประกาศว่า
    สงครามครั้งนี้ นโปเลียนได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูป
    เพียงเท่านั้นเอง..นายนาธาน ร็อธส์ไชลด์ ก็ได้คุมเศรษฐกิจของอังกฤษไว้ทั้งหมด เขาสามารถสั่งให้รัฐบาลทำใบอนุญาตการธนาคารให้แก่เขาในนามว่า Bank of England
    ซึ่งอำนาจทั้งหมดในการบริหารขึ้นอยู่กับเขาแต่ผู้เดียว
    เป็นอันว่า..การพ่ายทัพของนโปเลียน ได้สร้างความมั่งคั่งอันดับหนึ่งในยุโรปให้กับตระกูลยิวร็อธส์ไชลด์ เพียงชั่วข้ามคืน !!

    ในปี 1817 ฝรั่งเศสเริ่มกู้เศรษฐกิจของประเทศกลับคืนมาได้ พวกร็อธส์ไชลด์เห็นเป็นโอกาสอันดี จึงถล่มซื้อพันธบัตรฝรั่งเศสด้วยจำนวนมหาศาลในปี 1818
    เพื่อเป็นการเก็งกำไร เพียงปีเดียว พวกเขาก็ได้ครอบครองเศรษฐกิจของฝรั่งเศสอย่างมั่นคง
    ไม่ใช่แค่อังกฤษและฝรั่งเศสที่กล่าวมาแค่นั้น..มันกระจายไปทั่วยุโรป ดังนี้
    Nathan Rothschild และ ลูกชาย คุม การธนาคาร ใน อังกฤษ เยอรมัน เขาคนนี้เคยพูดไว้ว่า..
    "ใครจะมานั่งบัลลังค์อังกฤษนี่ ไม่สำคัญสำหรับผมหรอก คนที่คุมคลังเท่านั้น คือผู้กุมอำนาจอย่างแท้จริง"
    ลูกชาย Salomon Rothschild ได้ยกให้เป็น ท่านบารอน ในอาณาจักรแห่งออสเตรีย และคุมการคลังในออสเตรีย เขาคนนี้เป็นคนที่ประกาศเช่นกันว่า
    "ใครจะร่างกฏหมายอย่างไรก็ช่างมัน ขอแต่ให้ข้าคุมถุงเงินก็พอ"
    นอกนั้นยังมีคนในตะกูลอื่นๆอีก ที่เข้ามาควบคุมตำแหน่งสำคัญทางการเงินในเมืองสำคัญๆแทบทั้งหมด เช่น
    Karl Mayer Rothschild คุมธนาคารที่เนเปิล อิตาลี
    James Mayer Rothschild คุมธนาคารที่ปารีส ฝรั่งเศส
    ตระกูลร็อธส์ไชลด์ ได้มีทรัพย์สินในยามนั้น ประมาณกว่า สามร้อยล้าน ดอลล่าร์

    เมื่อมีเงินมาขนาดนั้น พวกเขาก็คิดทำงานใหญ่ นั่นคือ ออกเงินกู้ให้อังกฤษซื้อสัมปทานคลองซูเอซ,สร้างทางรถไฟ,
    สนับสนุนอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก
    สนับสนุนโครงการเจาะน้ำมันในรัสเซียและในทะเลทรายซาฮาร่า, ทำเหมืองเพชร,
    ให้ทุนฝรั่งเศสในการเข้าไปบุกรุกยึดครองอาฟริกา,
    สนับสนุนโครงการสัมปทานน้ำมันให้กับตระกูล Rockyfeller(ยิวอเมริกัน), ให้เงินกู้สถานะสภาพคล่องให้กับสำนักวาติกัน, และ ให้เงินกู้กับราชวงค์ฮัฟบวร์ก

    ดังนั้น..ในยุคของ 1820 เป็นต้นมา..คือยุคทองของ Rothschild อย่างแท้จริง..จนมีคำกล่าวว่า.. "only one power in Europe, and that is Rothschild."
    ในปี 1913 ทรัพย์สินของพวกเขามีถึงกว่าสองพันล้านดอลล่าร์

    ต่อมาความจริงจากสายสืบของอเมริกาและอังกฤษก็ได้หลักฐานว่า....สงครามที่รบๆกันอยู่ในอเมริกาก็ดี ทั้ง James Madison, Thomas Jefferson, และ James Monroe
    ล้วนแต่ได้รับทุนสนับสนุนจากร็อธส์ไชล์ด ทั้งนั้น ยิ่งค้นยิ่งเจอ นั่นคือ แม้กระทั่งนโปเลียนเอง ก็ได้รับการสนับสนุนจากร็อธส์ไชลด์ สาขาฝรั่งเศส
    ส่วน..อังกฤษ ก็ได้รับทุนจากสาขาร็อธส์ไชลด์ สายอังกฤษเช่นกัน เอาเป็นว่า ไม่ว่าใครรบกันที่ไหน กู้เงินจากยิวตระกูลนี้ทั้งนั้น
    ในอังกฤษ..ที่ทำการของร็อธส์ไชล์ดนั้น ตั้งอยู่ในกลางใจกรุงลอนดอน อันเป็นที่เรียกกันว่า "The City" หรือ "Square Mile"
    อันเป็นที่ตั้งของธนาคารและบริษัทยักษ์ใหญ่สารพัด เนื้อที่ประมาณว่า 677 เอเคอร์ อันนับว่าเป็นพื้นที่ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก
    อีกทั้ง..ได้รับสิทธิพิเศษในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของตัวเองได้ทุกปี (ตั้งแต่ปี 1215 โดยพระเจ้า จอห์น) และยึดถือปฏิบัติมาจนทุกวันนี้
    ในเนื้อที่ของ The City นี้..เป็นเอกเทศจริงๆ เพราะได้รับเอกสิทธิจากการเป็นที่ดินส่วนตัว และจากการให้เงินค้ำจุนประเทศ จึงไม่ต้องขึ้นตรงต่อพระเจ้าแผ่นดิน
    หรือสภาอังกฤษ..พวกเขาปกครองกันเอง โดยคณะกรรมาธิการ 12-14 คน ขึ้นตรงกับ ลอร์ดแมย์ แต่ผู้เดียว
    อันเป็นที่มาของการคุมเศรษฐกิจค่อนโลกของคนเพียงตระกูลเดียว..

    ตอนนี้เข้าใจหรือยัง..ว่า สงครามในครั้งต่อๆมา รวมไปถึงสงครามกลางเมืองในเยอรมันตอนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น ใครอยู่เบื้องหลัง..
    และ..ยุยงสนับสนุนกำลังทรัพย์ในทุกๆด้าน..
    ที่เขียนมาเล่านี่แบบข้ามๆนะ เพราะมันจะยาวมาก
    แต่..ฮิตเล่อร์นั้น เกิดทันได้เห็นข้อมูลที่เล่ามาต่างๆเหล่านี้คาตา..สะสมความแค้นทีละเล็กละน้อยในใจ จนมันตกผลึก กลายมาเป็น ความเกลียดชังอย่างที่เห็นๆนี่แหละ !!

     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิว-โปรโตคอล .. FREEMASONS - THE HOUSE OF ROTHSCHILD ถึง BILDERBERG GROUP...
    Shaffi : เขียน (17 มีนาคม 2009)
    [​IMG]

    ตราสัญลักษณ์ตระกูล Rothschild
    ทำไปทำมา Freemasons โดน take over เป็นของยิวไซออนิสต์ไปเลย เพราะยิวโฆษณาไปทั่วยุโรปว่ายิวเป็นคนก่อตั้ง และดำเนินการ ก็ไม่เห็นมีสมาชิก Freemasons คนไหนออกมาเถียงว่าไม่ใช่.. Freemasons ถูกตัดต่อพันธุกรรมกลายเป็นยิวไซออนิสต์เต็มตัว กำลังทะยานสู่เส้นทางทางแห่งอำนาจที่ใครก็ยั้งไม่อยู่ ไม่ใช่เพราะ Freemasons เต็มไปด้วยสมาชิกที่ทรงอิทธิพลทางความคิด ไม่ใช่เพราะอำนาจจากราชสำนักแห่งมหาอำนาจยุโรป แต่มันคืออำนาจจาก The House Of Rothschild ต่างหาก...
    อย่าเพิ่งปวดหัวนะครับ..บางท่านอาจกำลังบ่นว่า ความเดิมยังไม่ทันคลี่คลาย มีชื่อใหม่มาอีกแล้ว อะไรอีกล่ะเนี่ย.. The House Of Rothschild หรือตระกูล Rothschild ผู้ร่ำรวยและทรงอิทธิพลมากที่สุดในยุโรป อำนาจแห่งเงินตรา ที่ตระกูลยิวเก่าแก่ตระกูลนี้ ครอบครอง ล้ำค่าเหนือกว่าอำนาจของราชสำนักใดๆในยุโรปตระกูล Rothschild มาเกี่ยวกับ Freemasons ได้ก็เพราะว่าMeyer Rothschild ออกสตางค์ให้เพื่อนที่ชื่อ Adam Weishaupt ก่อตั้งองค์กรทางศาสนาชื่อ the Lodge of Theodore ในเมือง มิวนิค เสมียนของ Adam Weishaupt ชื่อSigmund Geisenheimer เป็นผู้กว้างขวางและรู้จักสมาชิก Freemasons มากมาย บวกด้วยความช่วยเหลือของDaniel Itzig ผู้พิพากษายิวในราชสำนักของเฟดเดอริก วิลเฮมที่ 2 และพ่อค้ายิวอีกคนชื่อIsaac Hildesheim ไม่ต้องจำชื่อให้ปวดหัวหรอกครับ เอาเป็นว่า โยงกันไปโยงกันมา ทำให้คนยิวที่มีอิทธิพลมาเจอกันก็แล้วกัน ..ยิวร่ำรวยและมีอิทธิพลมาเจอกันที่องค์กรศาสนายูดายที่ชื่อว่า Judenloge คนที่มาร่วมด้วยคนสำคัญก็คือNathan Rothschild กับ James Rothschild James นี่เป็นสมาชิก Freemasons ในฝรั่งเศสมาก่อน พวกสกุลยิว Rothschild เป็นยิวเยอรมัน สุมหัวกันไปสุมหัวกันมา เลยตั้ง Freemasons ขึ้นในแฟรงค์เฟิร์ต มันเสียเลย ...ตรงช่วงแถวๆนี้แหละ ที่ยิวเอาไปอ้างว่า คนยิวเป็นเจ้าของ Freemasons และเมื่อ Freemasons กลายเป็นของยิว สมาคมเก่าแก่แห่งนี้จึงถูกนำมารับใช้แนวคิดยิวในทางการเมือง ในปี 1819 Johann Christian Ehrmann (ชื่อกลาวคริสเตียนแต่ตัวเป็นยิว) ก่อตั้ง Jewish Mason ในแฟรงค์เฟิร์ต เขาใช้มันสร้างงานการเมืองโดยออกใบปลิวเตือนคนเยอรมัน ในนามของ Das Judenthum in der Maurerey หรือ the Jews in Masonry ว่าชาวยิว Masons ต้องการเห็น “โลกแห่งสาธารณรัฐ ที่วางอยู่บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน” ซึ่งถิอว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายมากเพราะยุโรปในขณะนั้นอยู่ในอำนาจของจักรวรรดิ์ของบรรดาราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ และการพูดถึงสาธารณรัฐ หมายถึง “กบฏ”
    David Ben Gurion ไซออนิสต์หัวแถว..นายกรัฐสนตรีรัฐยิวคนแรก ก็เป็นสมาชิกของ Freemasons รวมทั้งนายกรัฐมนตรียิวทุกคนที่เคยอยู่ในยุโรปมาก่อนล้วนเป็น Freemasons รวมทั้งGolda Meier นายกรัฐมนตรีหญิงยิวคนแรก แม้เป็นสมาชิกของ Masons โดยตรงไม่ได้เพราะสมาชิก Masons มีแต่บุรุษ แต่ Golda Meier ก็ยังอุคส่าห์เป็นสมาชิกองค์กรคู่แฝดของ Freemasons ที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับสมาชิกที่เป็นผู้หญิง... ผู้พิพากษาชาวยิวเกือบทุกคนเป็นสมาชิก Freemasons ตระกูล Rothschild เป็นสปอนเซอร์สนับสนุน มหาวิทยาลัยฮีบบรู ในอิสราเอล คนของตระกูล Rothschild อุตส่าห์มายกแท่งหิน Obelisk สัญลักษณ์ของ Freemasons ตั้ง ที่คอร์ดหน้ามหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง ... ใครนึกไม่ออกว่าแท่งหินที่ว่านี้หน้าตาเป็นยังไง ให้นึกถึงอนุสาวรีย์จอร์จ วอชิงตัน ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ โปโตแมคใน Washington DC. ...ทำไมอนุสาวรย์จอร์จ วอชิงตัน ไม่ปั้นเป็นตัวเหมือนอนุสาวรีย์ลินคอน ทำไมต้องเป็นแท่งหิน..Obelisk อียิปต์ ก็เพราะ จอร์จ วอชิงตัน ก็เป็นสมาชิกของ Freemasons ด้วยน่ะสิครับ..
    นอกจาก Freemasons จะเป็นต้นน้ำให้เกิดสมาคมลับสายพันธุ์เดียวกันกับ Freemasons ในชื่อต่างๆกันแล้ว ยังมีสมาคมลับที่ถือว่าเป็นญาติสนิทอีกสมาคมหนึ่ง เกิดทีหลัง Freemasons หลายร้อยปี แต่มาเกิดในยุคที่ ยิวจากตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรปของตระกูล Rothschild เข้าครองครอง Freemasons กลายเป็น Judo Mason หรือ Jewish Masons ไปเรียบร้อยแล้ว สมาคมลับนี้เรียกว่า The Illuminati ซึ่งเป็นสมาคมที่เกี่ยวกับศาสนามากกว่า Freemasons ถ้า Freemasons เป็นที่ซ่องสุมของพวกปัญญาชน และนักการเมือง ที่ The Illuminati ก็เป็นที่ซ่องสุมของพวกนักเทววิทยา และแรบไบยิว นั่นเอง.. The Illuminati ก่อตั้งขึ้นในบาวาเรียน ในปี 1776 โดย Adam Weishaupt เป้าหมายของ The Illuminati คือ “..to destroy the existing order of society and replace it with a New World Order..” ทำลายระเบรยบโลกเดิม.งแทนที่ด้วยระเบียบโลกใหม่ ตรงนี้แหละครับ ที่ผมว่ามันมีความคล้ายคลึงกับ โปโตคอลของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน ... องค์กรอย่าง Jewish Freemasons ทำให้คนยิวที่มีอิทธิพลมาเจอกัน ที่ The Illuminati เอาไว้ถกเถียงว่าจะทำอะไรได้บ้าง..ส่วนโปโตคอล เป็นบันทึกความเห็นจากปราชญ์อาวุโส ที่อาจได้ยินหรือพยายามจะตอบสนองความต้องการของยิวหนุ่มๆที่ Freemasons ด้วยการเสนอวิธีการเชิงยุทธศาสตร์ ส่งให้คนหนุ่มๆที่มีทั้งอำนาจเงิน อำนาจการเมือง ไปจัดการให้เป็นไปตาม โปรโตคอล..
    นักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องของ The Illuminati ชื่อ Henry Martin ได้บันทึกคำพูดถึงเจตนารมณ์ในการก่อตั้งสมาคมลับ The Illuminati ของ Adam Weishaupt ไว้ว่า “ "...he proposed as the end of Illuminism the abolition of property, social authority, of nationality and the return of the human race to the happy state in which it formed only a single family without artificial needs, without useless sciences, every father being a priest and magistrate ..." ”เขา (Adam Weishaupt) เสนอว่าในบั้นปลายของแนวคิด Illuminism คือการล้มล้าง การครอบครองทรัพย์สิน การครอบครองอำนาจทางสังคม กลับคืนสู่มนุษยชาติ และเปลี่ยนให้เป็นรัฐแห่งความสุข ของคนที่มาจากครอบครัวเดียวกัน ปราศจากสิ่งที่่ไร้ความจำเป็น ปราศจากวิทยาศาสตร์ที่ไร้คุณประโยชน์ พ่อทุกคนเป็นทั้งพระและผู้พิพากษา..” ฟังดูคล้ายกับว่าความต้องการของพวกยิวต้องการเปลี่ยนโลกให้เป็นอย่างที่พวกเขาต้องการ.. ซึ่งฟังดูแล้ว นึกถึงนิยายการเมืองของ ออสัน เวลล์ ที่ชื่อเรื่อง “1984” ของ Big Brother อ่านดีๆรู้สึกเหมือน เป็นพวกมาร์กซิสต์ ... แต่ความคิดสติเฟื่องพวกนี้ถูกทำลายไปเสียก่อนเพราะเอกสารถูกทางการค้นพบเสียก่อน.. คล้ายๆกับโปรโตคอล ที่ถูกสั่งให้ทำลายทิ้งจนหาต้นฉบับไม่เจอนั่นแหละ..
    มาในยุคศตวรรษที่ 20 Freemasons กับ The Illuminati ก็ยังไม่เคยถูกทำให้ชัดเจนยิ่งลี้ลับก็ยิ่งชวนให้ค้นหา แล้ว The Bilderberg Group ก็เป็นอีกสมาคมหนึ่งที่เกาะติดมากับ Freemasons ในยุค 1954 ก่อตั้งโดย Dr. Joseph Retinger ตามดูมาจนถึงขณะนี้ท่านผู้อ่านสงสัยเหมือนผมหรือไม่ว่า ทำไมพวกยิวนี่มันยุ่งจริงๆ มันจะอยู่นิ่งๆ ไม่ทำให้มีเรื่องวุ่นวายไม่ได้เลยหรือไง.. ชอบทำอะไรลับๆล่อๆ ชอบตั้งก๊วนตั้งแก็งแถมปิดเป็นความลับ แล้วแก็งก๊วนที่ตั้งมานี่ แต่ละแก็งก็ย่อยเสียเมื่อไหร่ ช่างคิดจริงๆ..จะเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ จะครองโน่น จะโค่นนี่ จะล้มระบบนั้น จะตั้งระบอบนี้ ... ดูเหมือนว่าชนชาติยิวนี่มันจะใช้สมองไปในทางที่ไม่ค่อยจะสร้างสรรค์เอาเสียเลย คิดแต่ว่าจะแก้ไขโลกอย่างไรให้เป็นไปตามแบบของพวกตัว แต่ไม่เคยคิดว่าพวกตัวเองจะแก้ขปรับตัวอย่างไรให้เหมาะกับโลก ... Dr. Joseph Retinger ทำงานบังหน้าแทนเจ้าชาย Bernard แห่งเนเธอร์แลนด์ Colin Gubbins อดีต director of the British Special Operations Executive และพลเอก Walter Bedel Smith อดีตทูตสหรัฐประจำมอสโคว์ และผู้อำนวยการ CIA. ผู้บริหาร The Bilderberg Group ล้วนเป็นคนโตจากภาคธุรกิจและการเมือง อย่าง Robert Ellswort จากตระกูลเจ้าของธนาคารเพื่อการลงทุน กลุ่มLazard Freres, John Loudon, จากกลุ่ม N. M. Rothschild, Paul Nitze จากธนาคาร Shroeder Bank, Stansfield Turner (ต่อมาเป็นผู้อำนวยการ CIA) Peter Calvocoressi,จากกลุ่ม Penguin Books, Andrew Schoenberg, Daniel Ellsberg and Henry Kissinger อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสมัยนิกสัน.. การประชุมนัดแรกนัดกันที่โรงแรม Hotel de Bilderberg ซึ่งเป็นที่มาของชื่อกลุ่ม นอกจากนี้ยังมี Lord Rothschild และ Laurance Rockefeller 2 ใน 100 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เข้าร่วมวงไพบูลย์ด้วยอีกคน กลุ่ม Bilderberg พบปะพูดคุยกันเหมือนอย่างที่สมาชิกสมาคม Freemasons เคยทำกัน เพื่อประชุมกันปีละครั้ง.. ทุกครั้งทุกปีที่เจอกัน คนเหล่านี้มาด้วยคำถามซ้ำๆกันทุกปีว่า
    “เราจะเปลี่ยนโลกนี้ ให้เป็นอย่างที่พวกเรา(ชาวยิว)อยากให้เป็นไปได้อย่างไร ? ในฐานะที่เรา(ชาวยิว)เป็นรัฐบาลโลกที่แท้จริง”
    คุยเรื่องโปรโตคอล ไง..ไปเป็น.. บิลเดอร์เบิร์ก ได้ก็ไม่รู้..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2011
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [​IMG]

    เจ้าของทองคำก้อนนี้ เชื้อสายเยอรมัน-ยิว มีหน้าที่ปรับราคาทองคำในตลาดโลก "เป็นรายวัน"
    อยู่ที่เค้าอยากจะให้เป็นเท่าไหร่ และเป็นเจ้าของตลาดค้าทองคำลอนดอน(ตัวจริง)
    มีทรัพย์สินมากกว่า Bill Gate ประมาณ 500 เท่า เท่าที่ประมาณกัน 500-600 Trillion
    ($500-$600,000,000,000,000) หรือครึ่งนึงของความมั่งคั่งทั้งหมดของโลกใบนี้


    นี่คือมนุษย์ที่อาจจะรวยที่สุดในโลก รวยกว่าบิลเกต 500 เท่า
    มีทรัพย์สิน $500 - $600,000,000,000,000 อ่านว่า 500 ล้าน ล้าน เหรียญ


    นาย Rotschild (Rothschild Family)
    [​IMG]

    ผู้นำเครือข่ายครอบครัวร๊อตไชด์คนปัจจุบัน และเป็นเจ้าของตลาดค้าทองคำลอนดอน ปล่อยและทำกำไรจากเงินกู้ในสงคราม
    เกือบทั้งหมดของของมนุษยชาติ ฯลฯ

    ภาพของ 3 ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก

    [​IMG]

    - ซ้ายสุดคือวอเรน บัฟเฟต ที่ถูกจัดอันดับให้เป็นคนที่รวยเป็นอันดับ 2 ของโลก
    - กลางคืออาโนลด์ คนเหล็ก ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอเนีย เจ้าของสโลแกน "I Will Be Back"
    - ขวาสุดคือผู้นำเครือข่ายครอบครัวร๊อตไชด์คนปัจจุบัน และเป็นเจ้าของตลาดค้าทองคำลอนดอน
    *ความมั่งคั่งของ 3 คนนี้ ถ้านำมารวมกัน จะเกินครึ่งโลกของรายได้มวลรวมทั้งหมดในโลกนี้*

    อ่านต่อ http://palungjit.org/threads/...0%B8%A1-illuminati.227071/
    อีกตระกูลนึงก็ คือ ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า คนนี้รวยสุดในโลกหละ เพราะคุมอเมริกาไว้หมด

    http://www.youphuket.com/index.php?topic=6569.0
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552

    ยิวและไซออนิสต์ : ยิวยุคใหม่กับโปรโตคอลก่อการร้าย
    Protocols of Learned of Zion (สนธิสัญญาชั้นต้นของผู้รอบรู้อาวุโสไซออนิสต์) หรือที่ถูกต้องก็คือ มติๆต่างของยิว ถือว่าเป็นแผนการเพื่อการทำลายโลกที่อันตรายที่สุดเท่าที่เคยพบในยุคใหม่จนถึงขณะนี้
    ไม่มีใครจะสามารถล่วงรู้ถึงอันตรายของมันได้เลย เว้นแต่ผู้ที่ศึกษามันคำต่อคำอย่างช้าๆ โดยพินิจพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้จากความปั่นป่วนและบ่อนทำลายทั้งหลาย เมื่อนั้นเอง เขาก็จะประจักษ์ถึงแผนการร้ายของยิวที่มุ่งทำลายความเสื่อมโทรมและทำลายชาวโลก เพื่อชาวโลกทั้งหมดจะได้สยบต่อผลประโยชน์ของยิว และยิวก็จะครองโลก กุมชะตากรรมของโลกไว้แต่เพียงผู้เดียว
    หากเราจินตนาการว่ามีมารร้ายผู่ก่ออาชญากรรมที่มีพลังอำนาจที่สุดกลุ่มหนึ่งได้ชุมนุมเพื่อแข่งขันกันสร้างแผนชั่วและสกปรกที่ทำให้ชาวโลกตกเป็นทาสของมัน แน่นอน สติปัญญาของมนุษย์ก็มิอาจจะคิดแผนการอันชั่วร้ายไปกว่าแผนการเหล่านี้ได้เลย




    การประชุมครั้งแรกของผู้รอบรู้ชาวยิวได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1897 โดยเหล่าผู้เข้าร่วมประชุมได้ศึกษาแผนอาชญากรรมเพื่อทำให้ชาวยิวนั้นครองโลกทั้งหมดโดยมี 3 ขั้นดังนี้
    1. ก่อนตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์
    2. ระหว่างตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์
    3. หลังตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์




    มติการประชุมครั้งแรก
    ผู้นำยิวได้จัดประชุมครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 1897 จนถึงปี ค.ศ.1951 ถึง 23 ครั้งด้วยกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาแผนต่างๆที่จะนำไปสู่การก่อตั้งอาณาจักรไซออนิสต์สากล ในการประชุมครั้งแรกนั้นจัดขึ้นที่เมืองบาซิลของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภายใต้การนำของนายธีโอดอร์ เฮอร์เซ็ล (ผู้ก่อตั้งไซออนิสต์สากล เกิดที่เมืองบูดาเบส ปี ค.ศ. 1860 แล้วย้ายไปอยู่ที่กรุงเวียนนา และในปี ค.ศ.1895 เขาได้ประพันธ์หนังสือชื่อ "รัฐยิว" เสียชีวิตในเมืองโอลาค ในวันที่ 2 ก.ค. 1904 โดยศพของเขาถูกย้ายไปยังปาเลสไตน์และฝังที่นั่น) โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน 300 คนจากผู้รอบรู้ชาวยิวของ 50 สมาคมยิว และมีมติในที่ประชุมถึงแผนการลับของพวกเขา เพื่อทำให้โลกทั้งหมดตกเป็นทาสภายใต้มงกุฏกษัตริย์เชื้อสายเดวิด และในตอนนั้นมติต่างๆของพวกเขาถูกเก็บเป็นความลับอย่างเหนียวแน่น

    ส่วนองค์ประกอบบางประการของแผนการก่อการร้ายของพวกเขาคือ
    1. ยิวมีทัศนะว่ารูปแบบของการปกครองบนโลกทั้งหมดนั้นใช้ไม่ได้ จำเป็นต้องเพิ่มการบ่อนทำลายไปจนถึงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อก่อตั้งอาณาจักรยิว
    2. การปกครองมนุษย์ คืองานอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ความคิดของมนุษย์ยังขาดความปรานีตในงานนี้ นอกจากชาวยิว
    3. มนุษย์ทั่วไปที่นอกจากชาวยิวจะต้องถูกปกครองเสมือนฝูงสัตว์ที่ต่ำต้อย ถูกปกครอง (ถูกต้อน)
    4. ล่อลวงมนุษย์ด้วยตันหาราคะ และแพร่ความชั่วช้า ความเสื่อมโทรม จนกระทั่งประชาชาติต่างนองเลือดกันเอง และไม่มีทางเลือกใดๆนอกเสียจากจะต้องโยนตัวเองไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของชาวยิว
    5. ชาวโลกนอกจากยิว โดยเฉพาะบรรดาผู้นำ แท้จริงพวกเขาเหล่านั้นก็คือหมากรุกในมือของพวกเขา เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้ตกเป็นทาสโดยการข่มขู่ ทรัพย์สมบัติ ผู้หญิง ตำแหน่งต่างๆ และ ฯลฯ
    6. สร้างวิกฤตการทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นเรื่อยๆ เพื่อโลกจะได้ไม่อยู่อย่างสงบ แล้วก็หันไปขอความช่วยเหลือการปัดเป่าความโศรกเศร้า และทำให้คนสิ้นคิดมีความสุขด้วยอำนาจของยิว
    7. สื่อทุกชนิดจะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของยิว ไม่ว่าจะเป็นสื่อการพิมพ์ หนังสือพิมพ์ โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงละคร บริษัทผลิตภาพยนตร์ โรงภาพยนตร์ ศาสตร์แขนงต่างๆ กฏหมาย ตลาดหุ้น การลงทุน และ ฯลฯ
    8. ขอความช่วยเหลือจากทองคำ ซึ่งยิวได้กักตุนมันไว้ เพื่อขจัดจิตสำนึก ทำลายมนุษย์ และครอบครองโลกทั้งหมดไว้




    โปรโตคอลถูกเปิดโปงได้อย่างไร?
    เพราะสตรีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง (นางเคยเป็นชู้รักของนักบวชหนุ่มชาวยิว และนางเป็นสายลับของรัสเซีย) ขณะที่นางได้เข้าร่วมประชุมกับผู้นำอาวุโสของยิวในฝรั่งเศส นางสามารถขโมยเอกสารบางส่วนและนำมันหนีออกมา และก็ได้นำส่งเอกสารเหล่านั้นไปยังอเล็ก นิโคลัส เนฟซ์ ผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสในกลุ่มองคมนตรีแห่งรัสเซียตะวันออกในยุคของพระเจ้าซาร์ แล้วเขาก็ได้รับรู้ถึงอันตรายและเจตนาร้ายของมันต่อชาวโลกโดยเฉพาะประเทศรัสเซียของเขาเอง
    หลังจากนั้น เขามีความคิดว่าควรจะเก็บมันไว้ในที่ที่ปลอดภัย ซึ่งเขาสามารถเอาประโยชน์ได้และแพร่มันออกไป ดังนั้นเขาจึงได้มอบเอกสารให้กับเพื่อสนิทของเขา ซึ่งเป็นนักวิชาการชาวรัสเซีย คือ นายเซอร์จี ไนลอส ซึ่งเขาได้ศึกษามันอย่างละเอียดถี่ถ้วน และเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปัจจุบันในขณะนั้น เขาจึงรู้ล่วงหน้า (คาดการ) และเหตุการณ์ที่ดังกระหึ่มไปทั่วโลกบางส่วนที่จะขอกล่าวคือ
    - แผนโค่นล้มพระจักรพรรดิ์แห่งรัสเซีย แพร่หลายระบอบคอมมิวนิสต์ และยึดเอารัสเซียเพื่อแพร่หลายแผนการร้ายและความปั่นป่วนในโลก (ซึ่งก็เป็นจริงและประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง)
    - แผนโค่นล้มอาณาจักรอุสมานียะฮฺ (อ็อตโตมัน) โดยฝีมือของชาวยิวก่อนการก่อตั้งอิสราเอล (และระบอบอุสมานียะฮฺก็ล่มสลายจริง)
    - แผนการเพื่อนำชาวยิวเข้าสู่ดินแดนปาเลสไตน์ และสถาปนารัฐอิสราเอล (และรัฐอิสราเอลก็ถูกก่อตั้งจริงในปัจจุบัน)
    - แผนการเพื่อโค่นล้มระบบกษัตริย์ในยุโรป (และระบบกษัตริย์ก็ถูกขจัดไปทั้งในเยอรมัน ออสเตรีย โรมาเนีย อิตาลี และ ฯลฯ)
    - แผนการก่อสงครมโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ต่างสูญเสียไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่มีผู้ใดได้รับประโยชน์นอกเสียจากชาวยิว (และสงครามโลกทั้งสองครั้งก็เกิดขึ้นจริง และขณะนี้ยิวกำลังเตรียมพร้อมกับการก่อสงครามโลกครั้งที่ 3?)
    -แผนการแพร่กระจายความปั่นป่วน วิกฤติการณ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศบนรากฐานของทองคำ ซึ่งยิวได้กักตุนไว้
    -และอื่นๆจากแผนการณ์ที่ประจักษ์ถึงข้อเท็จจริงของมันต่อสายตาของเราทุกคน


    แท้ที่จริงแล้ว การดำเนินการของยิวในรัสเซียนั้นก็เสมือนกับการดำเนินการของพวกเขาในอเมริกาในทุกวันนี้ หรือจะมากกว่าด้วยซ้ำไป ดังนั้นการปกครองในอเมริกาของพวกเขามาจากยิว หรือผลงานของยิว โดยใช้เงิน เศรษฐกิจ และผู้หญิง
    กล่าวคือทั้งสองประเทศนั่นก็คือประเทศมหาอำนาจ ยิวได้ดึงทั้งสองเข้าสู่สงครามเพื่อการทำลายไปพร้อมกันๆ และปล่อยบางประเทศไว้บนความเป็นกลางเพื่อเป้าหมายของยิวโดยเฉพาะ (ยิวใช้สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน เป็นศูนย์กลางสำคัญในการวางแผนต่างๆ และเป็นที่เก็บทองคำ ทรัพย์สมบัติ ด้วยเหตุนี้เองเขาถึงประกาศความเป็นกลาง เพื่อให้มีความปลอดภัยกับตัวเขา ดังนั้นไม่เป็นที่แปลกใจเลยที่สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นเมืองหลวงทางการเงินและธนาคารโลก และกรุงเจนีวาเป็นปราสาทของสหประชาชาติ) ครั้นเมื่อสองประเทศทั้งสหรัฐและรัสเซียถูกโค่นล้ม ยิวก็เพิ่มความละโมภขึ้นอีกที่จะปกครองโลกทั้งหมด โดยการปกครองอย่างเปิดเผยภายใต้มงกุฏของกษัตริย์เชื้อสายเดวิดแทนจากการปกครองที่สวมหน้ากากอยู่ในขณะนี้ !!!???
    เขียนโดย ISLAM4PEACE ที่ 10:09
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิว-โปรโตคอล กับ..กลุ่มทุนยิวผูกขาดโลก
    Shaffi : เขียน (18 มีนาคม 2009)


    [​IMG]

    แน่ชัดแล้วว่า ไซออนิสต์-โปรโตคอล มีความเชื่อมโยงกับองค์กรที่ตั้งโดยปัญญาชนยิวกลุ่มต่อๆมาที่เกิดขึ้นภายหลัง และก่อนหน้าอย่าง Freemasons ความเชื่อมโยง และสายสัมพันธ์เกิดขึ้นหลายมิติ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคล เป็นจุดเริ่มต้น Freemasons เป็นสมาคมสุภาพบุรุษอันเก่าแก่ ที่เชิญชวนให้ยิวหัวกะทิในยุโรปมารวมกัน สมาคมลับอย่าง The Illuminati ที่ใช้ศาสนายูดายเป็นแนวทางชี้นำการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจึงเกิดขึ้นตามมา สมาคมลี้ลับมีแรงดึงดูดใจทั้งนักการเมือง และมหาเศรษฐีนักค้าเงินจากตระกูลใหญ่ในยุโรป เช่นตระกูล Rothschild ให้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน
    ผมอยากกลับไปที่ โปรโตคอล อยากให้ท่านผู้อ่านพิจารณา ในบทที่ 4 ข้อที่ 2 โปรโตคอล เขียนว่าGentile masonry blindly serves as a screen for us and our objects but the plan of action of our force, even its very abiding place, remains for the whole people an unknown mystery.” แปลว่า “บรรดาสมาชิก Masons (Freemasons) พวกที่ไม่ใช่ยิว ทำหน้าที่สร้างฉากปิดบังพวกเรา และจุดมุ่งหมายของเราไว้โดยไม่รู้ตัว แผนปฏิบัติการการของเรายังคงอยู่เหมือนเดิม ยังคงทิ้งไว้เป็นหลุมพรางลึกลับสำหรับพวกที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่..(ให้พลัดตกลงไป)” จากโปรโตคอล ข้อที่ 2 ในบทที่ 4 นี้ ปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน มิได้ปิดบังหรือตั้งใจจะทำให้เข้าใจยากเลย กับการใช้คำว่า “Masonry” หลายปีก่อนผมเคยอ่านโปรโตคอล ที่ถูกแปลมาเป็นภาษาไทยโดยอาจารย์ท่าหนึ่ง กลับไปค้นหาหลายรอบแล้วยังไม่เจอ แต่จำได้ว่าอาจารย์ท่านนั้น แปลคำว่า “Masonry” ว่า ช่างฝีมือ หนือการก่ออิฐ อะไรเนี่ยผมก็จำได้ไม่แน่ชัด ซึ่งพออ่านรวมๆแล้วมันไม่รู้เรื่อง ผมต้องขออภัยอาจารย์ท่านนั้นด้วย ผมมิได้ตำหนิท่านเลยแม้แต่น้อย พอผมโตขึ้นมาหน่อยจึงรู้ว่า จะอ่านโปรโตคอลให้เข้าใจ ต้องรู้บริบท เลื้องหน้าเบื้องหลัง เบื้องลึกของพวกไศออนิสต์ และต้องสร้างการเชื่อมโยงระหว่างองค์กรยิวกลุ่มต่างๆให้เห็นภาพเสียก่อน..ดังนั้นผมจึงแน่ใจว่า “Masonry” ที่กล่าวในโปรโตคอล ก็คือ Freemasons ที่เรารู้จักและเข้าใจนั่นเอง (ใน official website ของ Freemasons เอง ก็มัคำเรียกพวกตัวเองหลายคำ เช่น Masons - Masonry)
    ในบทที่ 4 ข้อที่ 2 ของโปรโตคอล ที่กล่าวว่า “ยิวใช้พวกสมาชิก Freemasons ที่ไม่ใช่ยิวบังหน้า สอดคล้องกับหลายบทก่อนหน้านี้ ที่กล่าวไว้หลายที่ว่า ยิวแอบอยู่เบื้องหลังคนมีอำนาจ เพื่อกระทำการตามแผนการที่วางไว้ คนพวกนี้ไม่ใช่ยิวครับ ในสมาคมลับ Freemasons ในยุคศตวรรษที่ 18 ขุนนาง เสนาบดี เจ้าในราชสำนักยุโรป ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ฮับบวกส์ของจักวรรดิ์ออสโตร-ฮังการี, ราชวงศ์บูบองด์ของฝรั่งเศส, ราชวงศ์ออเร๋นจ์ของเนเธอร์แลน แม้แต่ราชวงศ์ของฝั่งอังกฤษ ล้วนเป็นสมาชิกสมาคม Freemasons ที่มีชื่อเรียกว่า Lodge of..โน่น Lodge of ..นี่ แต่ทั้งหมด คือเครือข่ายเดียวกัน พวกนี้ก็คือ “Gentile Masonry blindly ...” รับใช้ยิวไซออนิสต์ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง โดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
    โปรโตคอล ในบทที่ 5 เป็นต้น จะมีการพูดถึงเป้าหมายทางการเมือง และการจัดระเบียบโลกใหม่ อย่างเข้มข้น หากพิจารณาให้ดี อาจพอเข้าใจได้ว่า แนวคิดทางการเมืองของบรรดาปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน ต้องการเปลี่ยนระบบการเมืองในยุโรป ให้เหมือนกัน เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าแทรกแซงและควบคุม ปัจจุบันยุโรปรวมตัวกันเป็นสหภาพยุโรป ที่มีระบบเงินเป็นระบบเดียวกัน มีคณะกรรมาธิการยุโรป ทำหน้าที่เหมือนรัฐบาลของยุโรปทั้งหมด มีรัฐสภายุโรปทำหน้าที่นิติบัญญัติ ..แบบนี้หรือเปล่าที่ยิว-ไซออนิสต์อยากให้เกิดขึ้น เรามาตามดูกันต่อไปครับ
    โปรโตคอล บทที่ 5 ข้อที่ 1 กล่าวว่า “...We shall create an intensified centralisation of government in order to grip in our hands all the forces of the community....” แปลว่า “เราจะทำให้รัฐบาลมีความเป็นกลางให้เข้มข้นขึ้น เพื่อเราจะได้กุมอำนาจจากทุกๆที่มาไว้ที่เรา” รัฐบาลที่เป็นกลาง อาจหมายถึงรัฐบาลที่ชาติต่างๆในยุโรปทั้งหมดให้การยอมรับ เป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชน การจะมีรัฐบาลเช่นนี้ ยุโรปต้องเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ เมื่อยุโรปใช้ระบบการเมืองเหมือนกัน ทำให้การแทรกแซงทางการเมืองผ่านพรรคการเมือง ผ่านนักการเมืองยิวในแต่ละประเทศ หรือแม้แต่อำนาจที่ส่งผ่านระบบการเงิน ก็จะทำได้ง่ายดายขึ้น ไซออนิสต์ไม่ต้องการปกครอง แต่ต้องการชักใยอยู่เบื้องหลัง และใช้อำนาจตามเป้าหมายทางการเมือง ผ่านมือของสมาชิกสภา ผ่านลายเซนต์ของผู้นำประเทศเหล่านั้น
    โปรโตคอลบทที่ 5 ข้อที่ 5 กล่าวว่า “ For a time perhaps we may be successfully dealt with by a coalition of the goyim of all the world: but from this danger we are secured by the discord existing among them... We have set one against another the personal, and national reckonings of the goyim, religious and race hatreds, which we have fostered ..over the past twenty centuries...” “บางทีเราอาจประสบความสำเร็จ ในการตกลงกับบรรดาพันธมิตรของพวกกอยยิม แต่ในการนี้ก็มีอันตรายที่เราต้องป้องกันไว้ด้วยการยุแหย่ให้พวกกอยยิมระแวงกันเอง ทำให้ประเทศหนึ่ง เล่นงานอีกประเทศหนึ่ง โดยใช้ประเด็นความเกลียดชังทางศาสนา และเชื้อชาติ ซึ่งเรื่องพวกนี้เราได้จุดประเด็นโหมไฟ ไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่แล้ว..”
    ฟังแล้วน่ากลัวนะครับ..ผมอ่านโปรโตคอล ข้อนี้แล้ว ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์สงครามในบัลข่าน ตั้งแต่ทศวรรษที่ 80 เป็นต้นมา สหภาพโซเวียตทำท่าจะไปไม่รอด ดินแดนที่มีปัญหามากที่สุดในยุโรป คือ ยุโรปตะวันตก โปร์แลนด์โค่นคอมมิวนิสต์ ตามด้วยโรมาเนีย ฮังการี บัลแกเรีย เช็คโกสโลวะเกียแตกเป็นสองประเทศ ยูโกสลาเวียหนักที่สุด เพราะเป็นชาติของผู้คนหลายเผ่าพันธ์ หลายศาสนา เกิดสงครามแยกเป็น โครเอเชีย สโลเวเนีย บอสเนีย-เฮอเซโกวิน่า เซอร์เบีย กว่าจะเสร็จเรื่อง ล้มตายกันไปไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งหมดมาจากประเด็นความแตกต่างของเชื้อชาติและศาสนา ประเด็นที่ปราชญ์แห่งไซออน วางระเบิดเวลาเอาไว้ในยุโรป ...
    ในการกุมอำนาจทางการเมือง ด้วยการจัดระเบียบโลกใหม่ จำเป็นต้องใช้อำนาจทางเศรษฐกิจร่วมด้วย อาวุธสำคัญที่ไซออนิสต์ใช้ควบคู่กับเล่กลทางการเมืองก็คือ อำนาจเงินในมือยิวครับ..โปรโตคอลพูดถึงอำนาจทางเศรษฐกิจไว้ค่อนข้างชัดเจน ในโปรโตคอล บทที่ 5 ข้อที่ 6 โดยกล่าวว่า “ And it was said by the prophets that we were chosen by God Himself to rule over the whole earth. God has endowed us with genius that we may be equal to our task. ...All the machinery of all States go by the force of the engine, which is in our hands, and that engine of the machinery of States is - Gold.” หมายถึง “อย่างที่พระเจ้าบอกแล้วว่าพระองค์ทรงเลือกให้เรา(ยิว) เป็นผู้ปกครองโลกทั้งผอง พระเจ้ามอบความเฉลียวฉลาดให้พวกเรา เท่าๆกับที่ทรงมอบหมายภาระกิจให้เราด้วย พลังขับเคลื่อนรัฐคือ พลังที่อยู่ในมือเรา..มันคือทองคำ” และในข้อ 7 กล่าวว่า “..Capital, if it is to co-operate untrammelled, must be free to establish a monopoly of industry and trade. This is already being put in execution by an unseen hand in all quarters of the world.” แปลว่า “..ทุน ถ้าเอามากองรวมกัน ใช้ทำอะไรก็ได้โดยอิสสระ เราจะใช้มันทำให้เกิดการผูกขาดทางการค้าและอุตสาหกรรม นี่คือสิ่งที่พร้อมที่จะทำได้ทันจากมือที่มองไม่เห็นจากทุกหนทุกแห่งในโลก..” ลองคิดตามเล่นๆนะครับ การรวมกันของทุน ก็คือกองทุน การขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจด้วยกองทุน กลายเป็นอาวุธและเป็นเครื่องมิในการผูกขาดเศรษฐกิจโลก น่ากลัวมากนะครับ..พวกยิวคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เดี๋ยวนี้เราเห็นกองทุนซื้อล่วงหน้าน้ำมัน จนทำให้กลไก Demand-Supply ไม่เป็นปกติ สหรัฐโกรธอิหร่านที ราคาน้ำมันก็พุ่งขึ้นที เช่นนี้แหละที่เรียกว่า การผูกขาดการตั้งราคาขายล่วงหน้า เราเห็นกองทุนเก็งกำไร ต่างๆอย่างเช่น การตั้งกองทุนโจมตีค่าเงิน การตั้งกองทุน CDO. หรือ Collateralized Debt Obligation หรือ CLO. - Collateralized Loan Obligation ที่กำลังก่อปัญหาไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ เชื่อแล้วว่ากองทุนของยิว สร้างพลังอำนาจแห่งการผูกขาดเศรษฐกิจโลกได้จริงๆ
    เพียงแต่คราวนี้เป็นพลังแห่งการผูกขาดความพินาศฉิบหายแก่ชาวโลกอย่างพร้อมเพียงกัน..ก็แค่นั้น
    http://www.oknation.net/blog/TalkingBook/2009/03/18/entry-1
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิวในเงารัฐบาลโลก..ไม่ยอมรับแต่ไม่ปฏิเสธ..
    Shaffi : เขียน (20 มีนาคม 2009)
    [​IMG]
    ผมอ่านเจอบทความชิ้นหนึ่ง เขียนจากมุมมองและทัศนะของฝรั่งคริสเตียนในโลกตะวันตก บทความนี้น่าสนใจครงที่ ผู้เขียนเริ่มจากการตั้งคำถามว่า ทำไมโลกในศตวรรษที่ 21 ที่เรากำลังอยู่กันตรงนี้ ถึงแย่ลง และแย่ลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 1900 เป็นต้นมา ทำไมบรรดาทฤษฎีที่เรียกว่า Conspiracy Theory หรือ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด ซึ่งตัวของทฤษฎีเองมีความเป็นวิทยาศาสตร์น้อยมาก จึงเป็นที่นิยม และถูกนำมาใช้อธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ ตั้งแต่บทบาทของสหรัฐในฐานะของมหาอำนาจ ไปจนถึง ความประสงค์อันลี้ลับซ่อนเร้นของยิว ล้วนถูกอธิบายด้วยทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด บทความที่ผมว่านี้ ชี้ว่าปัญหาทั้งหลายแหล่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่า มีคนที่ทำให้โลกแย่ลง และอธิบายไม่ได้ว่าเกิดจากใคร ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด จึงเติบโตขึ้น ... ในบ้านเราก็ใช้ Conspiracy Theory อธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองมาตลอด ตั้งแต่ 2475 อะไรที่ดูมีลับลมคมใน เราก็จะอธิบายด้วยความเชื่อ ฝ่ายไหนเชื่ออย่างไร ก็จะหาหลักฐานมาสนับสนุนความเชื่อของตน ให้ได้รับการยอมรับมากกว่าฝ่ายที่เห็นตรงข้าม แน่นอนว่าหลักฐานทั้งหลายมีทั้งจริงมีทั้งปลอม บางทีบ้านเราอาจใช้ทฤษฎี Conspiracy มากกว่าฝรั่งด้วยซ้ำไป เพียงแต่เราเราไม่ได้เรียกว่ามันคืออะไรเท่านั้นเอง.. (ใครไม่เห็นด้วยลองไปอ่านหนังสือ ลับ ลวง พราง ภาค 2 ของคุณวาสนา นาน่วม คุณว่ามันใช่ทฤษฎี Conspiracy หรือไม่)

    มหาตม คานธี เคยกล่าวว่า “โลกเลวลงไมใช่เพราะคนชั่ว แต่เกิดจากการที่คนดีๆ นิ่งดูดายต่างหาก” โลกเราแย่ลง หรือดีขึ้น ชีวิตเราดีขึ้น สะดวกขึ้น แต่เรากำลังเผชิญหน้ากับอะไร ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมาโลกต้องเจอกับสงครามโลก 2 ครั้ง ต้องเจอกับการล่มสลายของระบบเศรษฐกิจ การปฏิวัตินองเลือด การทำลายสภาพแวดล้อมครั้งใหญ่ที่สุดของมนุษย์เกิดขึ้นในชั่ว 100 ปีมานี่เอง เบื้องหลังก็คือ ความพยายามจะทำให้โลกเป็น Free Trade เสรีนิยม ประชาธิปไตย สื่อคือมนตร์ขลังถูกใช้เพื่อครอบครองความคิดมนุษย์ สิ่งที่น่าหวั่นไหว คือ ข้อเท็จจริงที่ว่า ใครกันแน่ที่เป็นตัวจริง ในการขับเคลื่อนสหรัฐมหาอำนาจเดี่ยวในโลก ใครบอกว่าสหรัฐควรเดินไปทางนั้น ไปทางนี้ หรือนี่เป็นเรื่องบังเอิญ ที่มีคนเพียงกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คนที่เอาแต่หลบอยู่ในเงา และคอยบงการความต้องการผ่านไปยังประธานาธิบดีสหรัฐ

    รัฐบุรุษคนสำคัญของสหรัฐ ผู้่ร่างคำประกาศอิสรภาพ Thomas Jefferson: เคยกล่าวเตือนว่า "If the American people ever allow private banks to control the issue of their currency, first by inflation, then by deflation, the banks ...will deprive the people of all property until their children wake up homeless on the continent their fathers conquered..." แปลว่า “หากชาวอเมริกันยอมให้ธนาคารเอกชนครอบงำเรื่อยไป คนอเมริกันต้องเจอกับเงินเฟ้อ แล้วเดี๋ยวก็เงินฝืด ธนาคารจะดูดเอาทุกอย่างไป กระทั่งลูกๆของพวกเขาจะตื่นขึ้นมาพบว่ากลายเป็นคนไร้บ้าน ทั้งๆที่แผ่นดินนี้บรรพบุรุษของพวกเขาคือผู้ที่สร้างมันมา” คนอเมริกันกำลังนำพาโลกให้ต้องเผชิญกับสิ่งที่ Jefferson เคยเตือนมาแล้ว 200 กว่าปี อย่างเต็มใจ

    Benjamin Disraelli ผู้ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวต่อสภาผู้แทนราษฎร หรือ House Of Common ในปี 1852 ว่า “...the world is governed by very different personages from what is imagined by those who are not behind the scenes..." โลกถูกชักนำโดยใครบางกลุ่ม บางคนมาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรแล้ว ใครบ้างที่ชักใย

    ธนาคารในสหรัฐอยู่ในมือครอบครัวใดบ้าง 1.) Rothschild 2) Lehman Brothers 3) August Belmont 4) Goldman Sachs & Co. 5) J. & W. Seligman 6) James Speyer & Co. 7) Kuhn Loeb & Co. (Warburg) 8. Lazard Freres

    สื่อในสหรัฐอยู่ในมือใคร 1) AOL-Time Warner : Gerald Levin 2) CNN : Walter Isaacson 3) Polygram : Edgar Bronfman Jr. 4) Walt Disney : Joseph E. Roth 5) Miramax Films : B. & H. Weinstein 6) ABC : Michael Eisner 7) Viacom : Murray Redstone 8) CBS : Murray Redstone 9) Dreamworks : Katzenberg/Geffen/Spielberg 10) Vivendi : Edgar Bronfman Jr. 11) News Corporation : Rupert Murdoch 12) Associated Press : Michael Silverman และ 13) Advance Publications : Samuel Newhouse

    หนังสือพิมพ์สหรัฐ 1) New York Times : Arthur Sulzberger 2) Washington Post : K. M. Graham 3) Wall Street Journal : Peter Kahn 4) New York Daily News : M. Zuckerman และ 5) New York Post : Peter Chernin

    ตัวอย่างบางคนที่เป็น Key Persons ในรัฐบาลคลินตัน 1) Margaret Albright - Secretary of State 2) G. Tenet - Chief of F. B. I. 3) W. Cohen - Secretary of Defense 4) Robert Rubin - Secretary of Treasury

    ตัวอย่างบางคนที่เป็น Key Persons ในรัฐบาลบุช 1) Douglas Feith - Under Secretary of Defense 2) Richard Perle - Pentagon adviser 3) Paul Wolfowitz - Deputy Defense Secretary (upgraded to Director of the World Bank 1/6/05) 4) David Wormser - adviser to the Vice President 5) Harold Rhode - Iran specialist

    ตัวอย่างบางคนที่เป็น Key Persons ในรัฐบาลโอบามา 1) Rahm Emanuel - White House Chief of Staff 2) David Axelrod - Special Adviser to the President 3) Jared Bernstein - Chief Economist and Economic Policy Adviser to the Vice President 4) Timothy Geithner - Treasury Secretary 5) Jacob Lew AND James Steinberg - Deputy Secretaries of State 6) Dennis Ross - Obama’s Ambassador-At-Large in the (Entire) Middle East 7) Robert Rubin - Economic adviser to Obama-Biden 8) Daniel B. Shapiro - Head the Middle East Desk at the National Security Council 9) Lawrence (Larry) Summers - Director of the White House National Economic Council

    ที่อังกฤษ ใครควบคุมโทรทัศน์-วิทยุ 1) BBC TV : Greg Dyke 2) Carlton Communications : Michael Green 3) Granada : S. Morrison 4) BSky : R. Murdoch 5) ITV : Michael Green 6) ITN : Michael Green และ 7) BBC Radio : Jenny Abramsky

    หนังสือพิมพ์อังกฤษ 1) Daily Express : R. Desmond 2) Sunday Express: R. Desmond 3) Daily Star : R. Desmond 4) The Sun : R. Murdoch 5) The Times : R. Murdoch 6) News of the World : R. Murdoch 7) Daily Telegraph : Israel Asper 8) Weekly Telegraph : Israel Asper และ 9) Daily Mail : Guy Zitter

    ข้อเท็จจริงก็คือ..พวกเขาทั้งหมด เป็นยิว...

    ที่เห็นเช่นนี้หาใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น มาเกิดขึ้นมานานแล้วอย่างสำนักข่าว Reuter ที่ก่อตั้งในปี 1849 โดย Israel Beer Josaphat ดดยเริ่มจากส่งข่าวทางนกพิราบ ปี 1858 Israel Beer Josaphat เปลี่ยนชื่อเป็น Baron Paul Julius von Reuter ว่ากันว่าตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 19 ถึง ปัจจุบัน ยิว..คือผู้ที่คอยควบคุมคำสำคัญ 2 คำ ในสื่อต่างๆของโลก คือคำว่า Anti-Semitism กับคำว่า Holocaust สื่องในมือยิวควบคุมไม่ให้เกิดการใช้สื่อเพื่อ ต่อต้านยิว และใช้คำว่า Holocaust เพื่อเรียกร้องขอความเห็นใจ และทำให้ฝรั่ง Guilty

     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิว-โปรโตคอล ..จริงไม่จริงก็ช่างหัวยิวปะไร
    Shaffi : เขียน (18 มีนาคม 2009)
    [​IMG]
    ยิวบอกว่า ผู้อาวุโสแห่งไซออนไม่มีจริง ?

    ยิว-โปรโตคอล ..จริงไม่จริงก็ช่างหัวยิวปะไร
    Shaffi : เขียน (18 มีนาคม 2009)


    โปรโตคอล เป็น Conspiracy Theory หรือ นิยายที่ใครกุขึ้นหรือไม่ ผมไม่ทราบ ใครอยากจะเชื่อไปทางไหน สุดแต่ใจของท่านเถิดครับ ผมก็แค่นำความรู้เล็กๆน้อยๆที่พอมีอยู่บ้างมาเล่าสู่กันฟัง Inspired ให้คนที่สนใจจริงๆ ตามค้นคว้าหากันตามอัธยาศัย .เรื่องแบบนี้ต้องใช้ความรู้ครับ ใช้ความเห็นอย่างเดียวไม่พอครับ อาจผิดได้ ผมยังกลัวความเห็นของตัวเองเลยครับ ...หมอประเวศ วะสี เคยสอนมวยอดีต นายกฯพลัดถิ่น ว่าต้องมี “โยนิโสมนัสิการ” หมายถึง อย่าทำตัวเป็นคนที่รู้ ไปหมดทุกเรื่อง เพราะนั่นอาจทำให้เราเสียโอกาสในการเปิดรับความรู้ ที่เรายังไม่รู้ได้ .. เรื่องโปรโตคอล นี่ก็เหมือนกัน บางทีการฟังยิวแก้ตัว ก็ถือว่าเป็นความรู้ด้วยเหมือนกันครับ ..

    เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2006 พิพิธภัณฑ์รำลึกการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ หรือ The U.S. Holocaust Memorial Museum มีการจัดแสดงนิทรรศการหัวข้อ “A DANGEROUS LIE : THE PROTOCOLS OF THE ELDERS OF ZION” แปลว่า “เรื่องโกหกที่อันตราย : โปรโตคอลของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” เนื้อหาที่นำมาจัดแสดงเน้นที่การนำเสนอหลักฐานว่าโปรโตคอลเป็นเรื่องโกหก ของคนที่เกลียดชังชาวยิว ยิวปฏิเสธ “โปรโตคอล” และตัวว่าอย่างไร คือเรื่องราวที่ผมจะเล่าให้ฟังวันนี้ครับ

    ยิวบอกว่าโปรโตคอลเป็น Fiction หรือนิยายที่เขียนขึ้นมาโดยมีเจตนาในการตำหนิความเลวร้ายของยิว ในความพยายามครอบครองโลก และเรียกบรรดาผู้นำทางปัญญา เจ้าของความคิดชั้วร้ายว่า “ปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” ซึ่งยิว หรืออย่างน้อยก็เนื้อหาที่แสดงในนิทรรศการดังกล่าวปฏิเสธว่า “ปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” ไม่เคยมีอยู่จริงในโลก ต่อไปนี้คือเหตุผลที่ยิว นำมาหักล้างข้อกล่าวหา และพิสูจน์ว่า เรื่องโกหกนี้..มีความเป็นมาอย่างไร ?

    ต้นกำเนิดการโกหก ที่ยิวอ้างเริ่มจาก ปี 1903 ตอนที่หนังสือพิมพ์รัสเซียนชื่อ เป็นภาษารัสเซียว่า “Znamya” แปลว่า The Banner นำเรื่องราวของโปรโตคอลมานำเสนอเป็นครั้งแรก และโปรโตคอลฉบับเต็มถูกแปลเป็นภาษารัสเซียในปี 1905 โดย Sergei Nilus ผู้แปลเขียนภาคผนวกวิจารณ์เพิ่มเติมว่า โปรโตคอล คือการปรากฎตัวของ Anti-Christ และบทบัญญัติของซาตาน ไม่มีใครรู้ว่าต้นฉบับของโปรโตคอลตัวจริงหน้าตาเป็นอย่างไร ตลอด 24 บทของโปรโตคอลล้วนมีเนื้อหาต่อต้านรัฐ และถูกอ้างว่าที่มาของโปรโตคอล มาจากการบันทึกการประชุมของบรรดาผู้นำยิว โปรโตคอลคือแผนการลับ(ลวง พราง) เพื่อใช้อำนาจการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อครองโลก ใช้เล่กลเข้าครอบงำสื่อ และให้ทุนเพื่อป่วนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนา

    ต่อมาเกิดการปฏิวัติรัสเซีย ในปี 1917 พวกต่อต้านบอลเชวิกแอบลักลอบเอสโปรโตคอลไปสู่โลกตะวันตก ไม่ช้าไม่นานมันก็ถูกแปลออกเผยแพร่ไปทั่วยุโรป สหรัฐ อเมริกาใต้ ญี่ปุ่น และโลกอาหรับ..

    ยิวกล่าวว่า..ในตอนต้นปี 1920 หนังสือชื่อพิมพ์ชื่อ The Dearborn Independent เจ้าของคือนักปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนตร์ชาวอเมริกัน เฮนรี่ ฟอร์ด ได้ตีพิมพ์บทความโดยใช้โปรโตคอลอ้างอิงเป็นชุดต่อเนื่อง ต่อมาบทความชุดนี้ดังกระฉ่อนไปถึง Adolf Hitler และ Joseph Goebbels (ซึ่งต่อมา Goebbels มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาชวนเชื่อในรัฐบาลนาซี) ได้สดุดีเฮนรี่ ฟอร์ด อย่างเปิดเผย.

    ปี 1921 หนังสือพิมพ์ the London Times ได้นำเสนอข้อเขียนที่สรุปว่า โปรโตคอลเป็นเรื่องที่ "clumsy plagiarism." หรืออธิบายให้ง่ายๆได้ว่า “มันเป็นเรื่องที่ขโมยข้อเขียนจากตรงนั้นที..ตรงนี้ที..แล้วเอามาปะติดปะต่อกันอย่างไม่แนบเนียนด้วยภาษาที่ไม่สละสลวย นี่คือข้อโต้แย้งของฝ่ายยิว.. the London Times “คอนเฟิร์ม” โดย (แสดงความเห็น) อ้างว่า โปรโตคอล มีเนื้อหาที่ถูกตัดลอกมาจากต้นฉบับบทความการเมืองภาษาฝรั่งเศสที่เขียนบทความเสียดสี โดยฝ่ายยิวอ้างว่าในบทความนั้นไม่เอ่ยถึงยิวด้วยซ้ำไป บางบทในโปรโตรคอลฝ่ายยิวพยายามพิสูจน์ว่ามาจาก แรงบันดาลใจจากบทกวีปรัสเซียน Biarritz ของ Hermann Goedsche งานในปี 1868

    ฝ่ายยิวอ้างหลักฐานว่า ในยุคนาซีครองเยอรมัน ช่วงต้นทศวรรษที่ 1920 นักคิดฝ่ายนาซี Alfred Rosenberg ได้นำโปรโตคอลไปเสนอ Hitler ขณะนั้น Hitler กำลังวางแผนครองโลก ยิวอ้างว่า Hitler ได้นำเอาข้อความบางส่วนจากโปรโตคอลไปใช้ในการกล่าวสุนทรพจน์ และ Hitler นี่แหละที่ยิวโทษว่าเป็นคนสร้างตำนานเล่าขานเรื่อง ยิวครองโลกผ่านตำนาน "Jewish-Bolshevists" หรือ ยิวในพรรคบอลเชวิกของเลนิน

    ปี 1935 ศาลสวิสเซอร์แลนด์ ตัดสินปรับสองผู้นำนาซี ที่ตีพิมพ์โปรโตคอลฉบับภาษาเยอรมันออกเผยแพร่ ในกรุงเบิร์นประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ผู้พิพากษามีคำตัดสินว่าโปรโตคอล “เป็นเอกสารปลอมแปลง และเป็นเรื่องไร้สาระ”

    วุฒิสภาสหรัฐออกรายงานในปี 1964 ประกาศว่าโปรโตคอลเป็น "fabricated." หรือการกุเรื่องขึ้น วุฒิสภาเรียกเนื้อหาในโปรโตคอลว่า "gibberish" หรือ การสื่อที่ปราศจากความหมาย และวิจารณ์ใครก็ตามที่เผยแพร่มันออกมาว่าเป็นผู้ที่มีเจตนาเพื่อจะใช้โปรโตคอลไปเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ เหมือนอย่างที่ Hitler เคยใช้มาแล้ว

    ปี 1993 ศาลรัสเซีย ตัดสินว่า องค์กรชาตินิยมขวาจัดที่ชื่อ Pamyat มีการกระทำที่เป็นการต่อต้านยิว หรือ anti-semitic โดยการตีพิมพ์โปรโตคอล ทั้งๆที่การตีพิมพ์โปรโตคอลซ้ำเพื่อออกเผยแพร่ ถือเป็นการกระทำที่มีความผิด

    ตามที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้ออกรายงาน “Report on Global Anti-Semitism" (2004), "The clear purpose of the [Protocols is] to incite hatred of Jews and of Israel." หรือ “รายงานสถานการณ์การต่อต้านยิว ว่าด้วยเรื่องการใช้โปรโตคอลเป็นเป้าหมายในการกระตุ้นให้เกิดการเกลียดชังชาวยิวและประเทศอิสราเอล” ระบุว่า ในสหรัฐและยุโรป กลุ่มนีโอ-นาซี หรือนาซีใหม่ กลุ่ม white supremacists หรือกลุ่มเชิดชูคนผิวขาว และกลุ่มผู้ปฏิเสธเหตุการณ์ Holocaust (กลุ่มนี้เชื่อว่าเหตุการณ์ฆ่ายิว 6 ล้านคนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่เป็นสิ่งที่ยิวกุขึ้นเพื่อเป็นเหตุขอความเห็นใจ) ต่างพิมพ์โปรโตคอล และเผยแพร่หนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับโปรโตคอล แหร่กระจายไปทั่วโลก แม้แต่ในประเทศที่ยากที่จะมีชาวยิวอาศัยอยู่อย่างเช่นประเทศญี่ปุ่น

    ในหนังสือเรียนจำนวนมากในโลกอาหรับบรรจุเนื้อหาที่ระบุว่าโปรโตคอลเป็นเรื่องจริง แม้แต่ในหนังสือการ์ตูน ในปี 2002 รัฐบาลอียิปค์อนุญาติให้รายการโทรทัศน์ออกอากาศสารคดีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับโปรโตคอล เหตุการณ์นี้ถูกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐออกแถลงการณ์ประณาม ขณะที่กลุ่มต่อต้านอิสราเอลในปาเลสไตน์ ฮามาสก็สร้างภาพอิสราเอลเป็นผู้ก่อการร้ายโดยอ้างอิงจากโปรโตคอล

    อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อหนึ่งซึ่งโหมกระพือให้โปรโตคอล กลับมาเป็นที่สนใจของโลกอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายยิวอ้างว่าแม้เว็บไซ์จำนวนมากจะกล่าวว่าโปรโตคอลเป็นเรื่องโกหก แต่กลับทำให้ความเกลียดชังยิวแพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็ว

    ทั้งหมดที่เล่ามา เป็นเนื้อหาโดยสรุปจากนิทรรศการหัวข้อ “A DANGEROUS LIE : THE PROTOCOLS OF THE ELDERS OF ZION” แปลว่า “เรื่องโกหกที่อันตราย : โปรโตคอลของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Holocaust Memorial ที่สหรัฐครับ.. ผมรู้สึกว่ายิวออกจะเดือดร้อนมากอยู่สักหน่อย เพราะยิวบอกว่า คนทั้งโลกเกลียดยิวมากขึ้นเพราะโปรโตคอล.. ที่ยิวอ้างว่าเป็นนิยายโกหก จะโกหก หรือจะจริง ก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก ฟังเหตุผลที่ยิวยกมาอ้าง ก็ออกจะดูแปลกๆอยู่ สมมติว่าเราจะไม่ตัดสิน..

    แต่ที่สิ่งที่ยิวทำ เห็นกันโต้งๆไปทั้งโลก เรื่องจริงชัวร์ๆไม่มั่วนิ่ม ไม่ต้องพิสูจน์ใดๆ ...ยิวฆ่าชาวปาเลสไตน์เล่นเป็นผักปลา..ออกทีวีไปทั่วโลก

    ผมสงสัยนักว่า..ทีเรื่องเลวๆที่น่าอับอายเช่นนี้ ยิวไม่กลัวโลกเกลียดชัง แต่กะอีแค่โปรโตคอล..เก่าแก่ โง่ๆนั่น ทำไมมันจะเป็นจะตายเสียให้ได้ ..แปลกคนจริงๆพวกยิว

    http://www.oknation.net/blog/TalkingBook/2009/03/19/entry-1
     
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ยิวจริง..ยิวปลอม 1
    shaffi : เขียน (30 มี.ค.2009)

    ขณะที่ค้นตำราเพื่อค้นหาว่านอกจากศาสนาแล้วอะไรคือแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ยิวมีความมุ่งมั่นในการแย่งชิงดินแดนจากอาหรับ ก็ไปพบบทความหนึ่ง ที่เขียนวิจารณ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง หนังสือที่ว่านี้ชื่อ The Controversy of Zion เขียนโดย Douglas Reed, Reed ทำงานเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศของหนังสือพิมพ์ the Times หนังสือ พิมพ์ ที่ตีพิมพ์ใน London ประเทศอังกฤษ (บทวิจารณ์) หนังสือเล่มนี้ กล่าวว่า เป็นหนังสือที่มีเนื้อเต็มไปด้วยการถกเถียงกันในประเด็นที่ว่า “ the struggle within Judaism between those who craved a Jewish homeland in the former Judea”
    คือ หนังสือของ Reed พยายามไขข้อข้องใจว่า จริงๆแล้วชาวยิวที่มีเลือดยิวทั้งหลายปรารถนาใฝ่ฝันอยากมีรัฐยิวเป็นของชนชาติยิว หรือว่าการกลับสู่ดินแดนบรรพบุรุษที่ใครๆก็รู้ว่ามันเป็นของปาเลสไตน์นั้น มันเป็นเพียงเรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นโดยพวกยิวที่ไม่ใช่ยิวแท้ๆ สาระสำคัญในหนังสือของ Reed ยังพยายามถลกหนังยิวปลอม และกล่าวถึงแผนการปล้นประเทศปาเลสไตน์ว่า มาจากพวกยิวเทียมที่เป็นเจ้าของความคิดบ้าๆเช่นนี้ นี่แค่อ่านบทความที่วิจารณ์หนังสือนะครับ ยังไม่ได้อ่านหนังสือ The Controversy of Zion เล่มจริงของ Douglas Reed เลย..ยังรู้สึกสนุกและน่าสนใจ ผมไม่แน่ใจว่า Reed เป็นยิวแท้ที่ไม่เห็นด้วยกับยิวเทียมไซออนิสต์ หรือเปล่า แต่จะใช่หรือไม่ใช่ ก็ไม่ได้ทำให้ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ลดน้อยลงแต่ประการใด เพราะเป็นมุมมองใหม่ ที่ผมยังไม่เคยเห็น เป็นมุมมองที่ผมขออนุญาตเรียกว่า “ยิวกัดยิว” ก็แล้วกันครับ เรื่องที่ท่านผู้อ่านจะได้อ่านต่อไปนี้ อาจเปลี่ยนมุมมองที่เคยมองยิวออกไปก็ได้

    Douglas Reed ผู้เขียนจั่วหัว หนังสือ The Controversy of Zion ของเขาไว้อย่างนี้ครับ

    “นี่เป็นเรื่องราวของยิวในอีกมุมมองหนึ่ง และอาจเป็นด้านมุมที่ก่อให้เกิดคำถามในใจต่อไปว่า ตกลงแล้ว.. ยิวคือใคร ใครคือยิว ? ยิวคืออะไร ? อะไรที่ยิวทำ ?​.. อะไรที่ยิวต้องการ ? ผลผลิตที่ตกทอดมาสู่โลกจากผลพวงของเหตุการณ์ Holocaust (นาซีสังหารหมู่ยิว) คือการทำให้โลกรู้จัก และจดจำคำๆหนึ่งได้ขึ้นใจ คำนั้นคือคำว่า “ยิว” คำที่คนที่มีเลือดยิวไม่ชอบให้ใครเรียก ก็เพราะว่า คำว่า “ยิว” นั้น เป็นคำที่พวกยิวเทียมประดิษฐ์ขึ้น ทำให้ยิวถูกเรียกขาน และโลกกล่าวว่ายิวก่ออาชญากรรม และสิ่งเลวร้ายอื่นๆอีกมากมาย..”

    The Khazarian Zionists

    พวกที่รณรงรงค์อยากตั้งรัฐยิวเรียกตัวเองว่าไซออนิสต์ ส่วนพวกที่เหลือและไม่ได้ต้องการรับยิวเรียกตัวเองว่า ยิว ส่วนมากในพวกไซออนิสตืไม่ใช่ยิวโดยสายเลือด แต่บรรพบุรุษของพวกเขาเปลี่ยนศาสนามาเป็นยิวประมาณ 800 ปีก่อนคริสตกาล พวกนี้อยู่ในบริเวณภูมิประเทศที่เรียกว่า Khazaria ในแถบเทือกเขาคอเคซัส ระหว่างทะเลสาปแคสเปียนกับทะเลดำ (ดูภาพ)

    [​IMG]

    พวกที่อาศัยในแถบนี้เรียกรวมๆว่าพวกคอเคเซียน ประวัติความเป็นมาของพวก Khazars ค้นหาได้จาก the Jewish Encyclopedia ปทานนุกรม the Britannica โดยเฉพาะในฉบับที่เขียนโดย Arthur Koestler ชื่อ The Thirteenth Tribe, (เผ่าที่ 13 การเขียนเช่นนี้มีนัยยะ ที่จะไม่นับยิวพวกนี้เข้ารวมไว้กับเผ่ายิว เพราะในคัมภีร์ The Old Testament หรือที่ยิวเรียกว่า Tora ระบุว่า โมเซสนำยิว 12 เผ่าหนีออกจากอียิปต์ เผ่าที่ 13 จึงเป็นเผ่าที่มาทีหลัง หรือพวกที่มาเปลี่นศาสนา แต่ไม่มีเลือดยิวในกายนั่นเอง)

    Sephardics

    ยิวในโลกตะวันตกมีสองพวก คือยิวจากยุโรปตะวันตก และยิวจากยุโรปตะวันออก ยิวตะวันตกมีอารยะกว่ายิวตะวันออก (ยิวว่าอย่างนั้นเอง) ยิวจากตะวันตกมีอาชีพพ่อค้า ทำธุรกิจมาแต่ไหนแต่ไร ค่าทอง ค้าเงิน ธนาคาร การเงิน และอื่นๆ พวกนี้เป็นยิวจริง (ยิวว่าเอง) ยิวพวกนี้สืบย้อนเชื้อสายกลับไปถึงบรพบุรุษที่มากสเปน โมร็อคโค อียิปต์ และตะวันออกกลาง พวกยิวจากตะวันตกไม่ใช่พวกร่ำร้องหาบ้านให้ชนชาติยิว ด้วยการฉวยมาจากปาเลสไตน์ ส่วนพวกยิวจากยุโรปตะวันออกมาจากรัสเซีย

    Ashkenziams

    พวกยิวจากยุโรปตะวันออก ถูกเรียกว่า Ashkenazim เป็นพวกที่แสร้างทำตัวเป็นยิว สิ่งที่น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่งคือ พวก Ashkenazim สร้างนวัตกรรมโดยปรุงแต่งศาสนายิว(ให้ต่างจากศาสนายิวเดิม) ผ่านไปยังผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาโดยใช้คัมภีร์ตัลมุด เป็นเครื่องมือเพื่อยกย่องให้พวกตนเองมีเกียรติยศที่สูงเด่นในหมู่ยิวด้วยกัน ประมารกันคราวๆว่า ร้อยละ 90 หรือมากกว่านั้น ของยิวในโลกปัจจุบัน เป็นยิวพวก Ashkenzi ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ยิวเทียม Ashkenzi ไหลบ่าเข้าสู่สหรัฐ ยุโรป และทุกหนทุกแห่งในโลก

    ในรัสเซีย ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 พวกยิวที่ไร้เลือดเดวิด(ผู้เขียนเรียกยิว Ashkenzi อย่างจงเกลียดจงชัง) พัฒนาตัวเองกลายเป็นกลุ่มก่อการร้ายสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือพวกคอมมิวนิสต์ และอีกกลุ่มหนึ่งคือพวกไซออนิสต์ ทั้งสองกลุ่มสร้างแนวคิด Judaism ขึ้นมา Stephen S. Wise หัวหน้าคณะแรบไบประจำสหรัฐ ในปี 1930 กล่าวว่า “ "Some call it Marxism - I call it Judaism!" Douglas Reed แสดงทัศนะของเขาในหนังสือ The Controversy of Zion อย่างดุดันว่า “ทั้งคอมมิวนิสต์ และไซออนิสต์ ล้วนมีเป้าหมายที่จะครอบครองโลก พวกคอมมิวนิสต์ต้องการโค่นล้มและสังหารราชวงศ์โรมานอฟ สะสางบัญชีแค้นกับพวกคริสเตียนรัสเซีย ยึดครองประเทศรัสเซีย ใช้มอสโควเป็นศูนย์กลางในการสร้างอิทธิพลไปทั่วโลก” Reed เล่นงานพวกไซออนิสต์ว่า “ส่วนพวกไซออนิสต์ ต้องการใช้ปาเลสไตน์เป็นศูนย์กลาง เพราะว่าพวกเขายึดเอาตัลมุด เป็นเครื่องนำทาง และพยายามสร้างการเมืองบนฐานแนวคิดว่าการกลับสู่ปาเลสไตน์คือความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ของชนชาติที่ถูกกล่าวถึงใน The Old Testament พวกไซออนิสต์เรียกร้องยิวรัสเซียให้อพยพสู่ปาเลสไตน์ สร้างนิคม และยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นอิสราเอล และใช้ตัลมุดที่ยิวรัสเซีย ยึดถือศรัทธาก่อรูปเป็นกฎหมายจากที่นั่น (หมายถึงการแปลรัฐอิสราเอลเป็นรัฐที่แปรรูปกฎหมายมาจากคัมภีร์ตัลมุดที่ยิวเทียมจากรัสเซียให้ความศรัทธาเหนือกว่าคัมภีร์ยิวอื่นใดมาใช้เป็นกฎหมายแห่งรัฐ) พวกไร้เลือดเดวิดพวกนี้นำระบบการปกครองแบบผู้ตรวจการสไตล์คอมมิวนิสต์มาใช้โดยมอบตำแหน่งผู้นำให้แก่แรบไบ พวกรัสเซียกระตือรือล้นที่จะเปลี่ยนมาเป็นยิว และการวางแผนอพยพสู่ปาเลสไตน์ ก็เริ่มต้นขึ้น”

    Herzl จัดการประชุมใหญ่ไซออนิสต์

    ศตวรรษแรกแห่งร้อยปียิวเริ่มขึ้นในเมือง Basel ประเทศ Switzerland ในปี 1897 เรียกว่า the Zionist Congress convention จัดโดย Theodore Herzl และผองเพื่อน กลุ่มหนึ่งซึ่งร่วมจัดประชุมนี้ขึ้น คือพวกไซออนิสต์รัสเซียและพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งต่อมาพวกนี้ก็กำจัด Theodore Herzl และขึ้นกำอำนาจ Theodore Herzl เป็นเจ้าพ่อของไซออนิสต์ ที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจว่าเขาเป็นยิวโดยไม่เคยมีเทือกเถาเหล่ากอที่โยงกลับไปเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษยิวในตะวันออกกลางเลยแม้แต่น้อย ยิวจากตะวันตก หรือสเปน Herzl อาจมีสายสัมพันธ์กับเลือดยิวแม้ไม่สำคัญ แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์ ว่าเขาเป็นยิวแท้..

    อ่านมาถึงแค่นี้ ชักเริ่มสนุกแล้วใช่ไหมครับ ใครเป็นยิวจริง ใครเป็นยิวปลอม สงสัยต้องอ่านกันอีกยาวแล้วล่ะครับ

     

แชร์หน้านี้

Loading...