เกิดอาการหูดับและไม่รับรู้การมีร่างกายและลมหายใจขณะนั่งสมาธิเป็นเพราะอะไร

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย jjustdream, 20 มิถุนายน 2012.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    "จิตมาร" ภาคที่ 5

    "ตัวพูดมาก ตัวพูดมั่ว" กับนิโรธสมาบัติ (สรรพสิ่ง หลุดออก แยกออก ไม่ผสม ส่วนใครส่วนมัน)

    สิ่งที่ผมเคยเน้นไว้ในโพสท์ที่ผ่าน ๆ มาแล้วนั้นว่า ควรจะฝึกให้ผ่านเจ้า "ตัวพูดมาก" นี้ ให้ได้นั้น เพราะตัวนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้ภาษาทั้งหมด เพราะมันเป็น "ตัวควบคุมการใช้ภาษา ในการสื่อสารของมนุษย์" หากผู้ใดฝึกผ่านเจ้าตัวนี้ได้แล้ว ก็สามารถที่จะวางรากฐานที่มั่นคงมาก ๆ 4 ประการคือ อรรถะ ธรรมะ นิรุกติ ปฏิภาณ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมขึ้นกับ ระดับความละเอียดของสติที่ยิ่งละเอียดมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งแตกฉานมากขึ้นเท่านั้นนะครับ

    การดู "ตัวพูดมาก" นั้นให้เริ่มตามขั้นตอนดังนี้

    1. ทำความรู้สึกตัวให้ได้ทั้งตัว เมื่อได้แล้ว
    2. ให้ "อยู่" กับความรู้สึกตัว สักพักหนึ่ง เมื่อได้แล้ว
    3. ให้ค่อย ๆ "สังเกตุ" อาการ "รำพึงรำพัน" ในใจ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว
    4. ให้คอย "สังเกตุ" อาการกระพริบกระเพื่อม นิด ๆ ในขณะที่มัน "กำลังพูด"
    5. ให้ดูไปที่ "การกระพริบ" ห้ามดูที่ "ตัวคำพูด" ปล่อยให้มันพูดตามสบาย
    6. เมื่อ "เห็นการกระพริบ" ที่ชัดเจนแล้ว
    7. ให้ค่อย ๆ ทำความ "รู้ตัว" ช้า ๆ
    8. "ตัวพูดมาก" จะเริ่ม "อธิบาย" การทำความรู้ตัวของผู้ฝึกเอง
    9. เมื่อเริ่มรู้ตัวนิด ๆ ในขณะที่ "การกระพริบ" ยังคงอยู่
    10. ไม่ว่าเสียงอะไรก็ตามที่แทรกเข้ามาในขณะนั้น จะถูกแยกออกไปเป็นส่วน ๆ
    11. สัมผัสทุกชนิด แม้กระทั่งลมพัดผ่านร่าง ก็จะถูกแยกออกไปด้วย
    12. ความรู้สึกทุกชนิด รวมทั้ง สรรพสิ่ง จะ หลุดออก แยกออก ไปจากตนเป็น ส่วนใครส่วนมัน

    ความรู้สึก ความคิดของตัวพูดมาก ผัสสะทั้งหมด สิ่งที่อยู่ในจิตทั้งหมด ล้วนมีอยู่ทั้งหมดในปัจจุบันขณะ แต่แยกกันอยู่ทั้งหมด รวมทั้งตัวผู้ฝึกด้วย ทั้งหมดเป็นส่วนของใครของมัน ไม่มีการเจือปนกันแม้แต่เพียงอณูเดียว

    หลังจากที่ "ผ่าน" ตรงนี้ได้แล้ว "ตัวพูดมาก" จะเริ่มทำหน้าที่ "รับผิดชอบ" ในเรื่องของ "ภาษาของการสื่อสารทั้งหมด" ให้เป็นไปตามสัจจธรรม การเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมไปตามจิตของผู้ฟัง ใช้ภาษาได้ถูกต้องตรงตามอาการของจิต และใช้ภาษาได้เหมาะสมต่อสถานการณ์ในปัจจุบันขณะ
     
  2. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    สวัสดีครับคุณธรรมชาติ ไม่ได้แวะมา XP สักพัก มาเจอกระทู้นี้ เดี๋ยวจะต้องอ่านสักหน่อยแล้ว :)
     
  3. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    สมกับที่รอมานาน แต่ผมคงต้องอ่านหลายรอบหน่อยครับ ตรงกับผมหลายจุดเลยทีเดียว เพียงแต่ตอนนี้มันจะออกมาเหมือนตัวตุ่น ผลุบๆโผล่ๆ
     
  4. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    ขออนุญาติ ที่ผมเห็นมาบางตัว...

    "ตัวสอน" มันสอนจัง แบบพอจิตมันรู้มันก็พอแล้ว มันยังจะสอนเราเป็นคำพูด และก็ตัวนี้แหละทำให้เราดิ้นไปสอนคนอื่น เสียงมันดังกว่าชาวบ้านเสียด้วย จะปรามาสใคร ฟุ้งในธรรม หลงว่าตัวเป็นผู้รู้ ก็ตัวนี้แหละตัวดี แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่ให้ความสำคัญมันเท่าไหร่ มันเงียบไปเยอะ อยู่ทางขวา

    "ตัวรู้มั่วๆ" แบบพอทำสมาธิเงียบๆ ว่างๆ ถ้าไม่ว่างไม่นิ่งไม่ได้ยิน มันจะพูดเบาๆ พูดนั่นพุดนี่ อยากรู้อะไรลองกำหนดจิตถาม แล้วนั่งไปนิ่ง แต่พูดมั่ว พูดเหมือนรู้ไปหมด รู้ฟ้า รู้ดิน ตัวนี้แหละน่ากลัว เคยเห็นคนโพสต์บอกอยากรู้อะไรให้ถามตัวเองแล้วฟัง เนี่ยแหละมันมั่วหน้าแตกไปหลายราย แต่ไม่อยากทัก อยู่ทางขวาเหมือนกัน คิดว่าเขาคงไม่เชื่อต้องให้มันแตกก่อนแล้วอาจพอเห็น...ไม่ทราบว่าใช่ตัวเดียวกันไหม



    ไม่ทราบสองตัวนี้มันจิตมารหรือเปล่าครับ แต่ผมว่าใช่ อันแรกน่าจะเกิดกับพวกปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมเยอะ อันสองต้องนิ่งๆ และไม่ทราบว่าฝั่งขวานี่เป็นฝั่งมารหรือไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ทั้งสองอาการเป็น "ตัวพูดมาก" ทั้งหมดครับ ส่วนอาการของ "จิตมาร" คืออะไรกันแน่นั้น คำตอบอยู่ในภาคที่ 4 แต่อย่าลืมนะครับว่า ความละเอียดของมันนั้น อยู่ในชั้นเดียวกันกับ หูทิพย์ เพียงหยาบกว่าชั้น เจโตปริยะญาณ เพียงขั้นเดียวเท่านั้น

    จริง ๆ แล้วตัวนี้ไม่มีฝั่งครับเพราะมันเป็นจิตเราเองทั้งหมด ลองอ่านกลับไปกลับมาสัก 2-3 เที่ยวดูนะครับ คุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อาจจะ "ผ่าน" มันได้้เหมือนกัน เพราะคุณเคยเห็นอาการของมันมาบ้างแล้ว ลอง ๆ ดูนะครับ
     
  6. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เข้าใจว่า ทั้งหมดทั้งหลายนั่น อาจจะมีบางส่วน ที่มาจากภายนอก
    แต่ส่วนใหญ่แล้ว เกือบทั้งหมด คือ สิ่งที่เราสะสมมาจากการเดินทางหลายอสงไขย

    จนมันสะสมกันซับซ้อน เป็นเหมือนสิ่งที่จิตวิทยายุคใหม่เรียกว่า หลายบุคลิก (multi-personality)
    เพียงแต่กลุ่มก้อนของสภาวะพวกนี้ มันไม่ได้เป็นก้อนใหญ่ขนาดเป็นบุคลิก แต่มันจะทำงานเมื่อมีผัสสะบางอย่างมากระทบ แล้วสติไม่สามารถเห็นทันเพื่อระงับมันได้ มันจะเกิดสายกระบวนการทำงานของมันแบบอัตโนมัติออกมา

    ผมเข้าใจเช่นนี้ครับ พอเข้าเค้าไหมครับ ท่านธรรม-ชาติ
     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    เข้าใจว่า ทั้งหมดทั้งหลายนั่น อาจจะมีบางส่วน ที่มาจากภายนอก
    แต่ส่วนใหญ่แล้ว เกือบทั้งหมด คือ สิ่งที่เราสะสมมาจากการเดินทางหลายอสงไขย

    +++ ในปัจจุบันขณะ มันมาจากทั้งภายนอกและภายใน แต่มันเป็นการสะสมมาหลายอสงไขย ใช่ครับ

    จนมันสะสมกันซับซ้อน เป็นเหมือนสิ่งที่จิตวิทยายุคใหม่เรียกว่า หลายบุคลิก (multi-personality)

    +++ ใช่ครับ ตามภาษาของจิตวิทยายุคใหม่

    เพียงแต่กลุ่มก้อนของสภาวะพวกนี้ มันไม่ได้เป็นก้อนใหญ่ขนาดเป็นบุคลิก แต่มันจะทำงานเมื่อมีผัสสะบางอย่างมากระทบ แล้วสติไม่สามารถเห็นทันเพื่อระงับมันได้ มันจะเกิดสายกระบวนการทำงานของมันแบบอัตโนมัติออกมา

    +++ นิสัยหลักเป็นบุคลิกหลัก เมื่อมีผัสสะมากระทบ แล้วสติเห็นไม่ทัน อุปนิสัยหรือนิสัยรองที่ เข้ากันได้ (สัมประยุต) กับผัสสะนั้น จะแสดงตัวและทำงานโดยอัตโนมัติ

    ผมเข้าใจเช่นนี้ครับ พอเข้าเค้าไหมครับ ท่านธรรม-ชาติ

    +++ เกินกว่าพอเข้าเค้าไปแยะทีเดียวครับ(deejai)
     
  8. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ลองฝึกดูตรงๆแล้วนะคะ คงไม่ถูกจุดเท่าไหร่ เพราะรู้สึกมันวูบขึ้นนิดเดียว ไม่หลุดออก แต่สังเกตุตอนนี้มันไม่ค่อยพูดมากแล้วน่ะค่ะ แต่มันจะคิดเป็นภาพขึ้นมาให้เห็นแทน

    พูดถึง ตัวพูดมาก (...อันนี้แค่เล่าสู่กันฟังเฉยๆนะคะ ..) เจ้านี่ล่ะตัวดี ถ้าเราได้พูดคุยกับใครแล้วเรารู้สึกว่าคนนี้เป็นคนดีนะมันจะบอกไม่ดี พอเรารู้สึกว่าคนนั้นไม่ดีแต่มันจะบอกดี สับสนจนโดนมันหลอกแทบจะเอาชีวิตไม่รอดไม่ได้เป็นผู้เป็นคนมาหลายครั้งแล้ว เพราะไปหลงเชื่อคำพูดมันนี่ล่ะค่ะ

    สมัยที่รู้จักกับผู้หญิงที่คุณแม่เธอดวงตาไม่มีแวว ครั้งแรกที่เห็นเธอก่อนที่เธอจะเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะทานอาหารด้วย ตอนนั้นดูเธอแล้วความรู้สึกข้างในครั้งแรกบอกเราก่อนเลยว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเธอนะ พอเธอพูดคุยด้วยหน่อยเดียว ไอ้ตัวพูดมากมันบอกว่า เธอเป็นคนดี มันสวนทางกับความรู้สึกเราน่ะค่ะ เออ อ่าว มันว่าดีเราก็ว่าดีตามมัน มีช่วงหนึ่งที่ญาติทางไกลมาพักด้วย เธอกับแม่เธอแวะมาชวนไปดูบ้านที่เธอกำลังสร้างขายและชวนแวะไปเดินเล่นริมทะเลแถวบ้านเธอ เราก็ไม่ปฏิเสธ ไปถึงบ้านเธอ เธอถามว่าจะดื่มอะไร คนอื่นเอาชา กาแฟ ตัวดิฉันขอเป็นน้ำเปล่า สักประมาณครึ่งชั่วโมง เธอให้ลูกสาวเธอเอาน้ำมาให้ แต่เป็นน้ำแดงน่ะค่ะ เราก็มองดูแก้วน้ำ เอ บอกน้ำเปล่า เธอให้น้ำแดง มองไปที่แก้วน้ำแดง ในใจก็รู้สึกไม่ดื่มดีกว่า ไอ้ตัวพูดมากนี่ล่ะค่ะมันบอก ดื่มไปเถอะ เกรงใจเขา เดี๋ยวเขาว่าเรารังเกียจเขา ( นี่คือการอยู่ใต้อำนาจจิตมารเพราะขาดสติ มันบอกทำอะไรก็ทำตามมัน บางคนมันบอกให้ฆ่าตัวตายก็ฆ่าตัวตาย มันบอกให้โดดตึกก็โดด มันบอกให้ด่าคนนั้นคนนี้ก็ทำตามมันบอก ) พอมันพูดอย่างนั้นเราก็คิด อืม เพิ่งรู้จักกัน เธอคงไม่กล้าทำไม่ดี เธอก็มีพร้อมทุกอย่าง มียิ่งกว่ามีอีก เธอคงไม่ทำอะไรเราหรอกมั่ง นี่คือความคิดของเราตอนนั้นน่ะค่ะ ส่วนคุณแม่เธอก็พูดแล้วพูดอีกทำนองว่าให้ดิฉันรับลูกสาวเธอเป็นน้องสาวแท้ๆ พูดทำนองว่าน้องมันเอาแต่ใจตัวเอง เราก็ฟังเฉยๆ ลึกๆก็เอ่ะใจอยู่ แต่ไม่พูดอะไร นับตั้งแต่รู้จักกับเธอและคุณแม่เธอมาก็ดื่มน้ำแดงไปประมาณ 3 แก้วได้ สังเกตุช่วงเวลากลางคืนจะไอไม่หยุด เป็นไงล่ะทีนี้ ตัวพูดมากมันพาเราลงนรกทั้งเป็นเลย ก็รู้สึกเจ็บใจตัวเองนะที่ไม่เชื่อฟังความรู้สึกของตัวเองที่เกิดขึ้นครั้งแรก กลางคืนพอเอนหลังนอนแค่หลับตาปุ๊บ เห็นนิมิตรผู้หญิงใส่ชุดขาวผูกคอตาย เป็นผู้หญิงวัยรุ่น บางครั้งนั่งเงียบๆสักพักจะวูบเห็นภาพผู้หญิงถูกรถชนตายนอนจมกองเลือดที่กลางถนน นอนก็หลับๆตื่นๆ ถ้าหลับก็จะฝันเห็นหมาดำวิ่งไล่ บ่อยมากที่ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ เสียงดังฟังชัดมากค่ะ แต่ไม่มีใคร ช่วง 2-3เดือนแรก เวลาประมาณตี1-2ของทุกคืน จะมีนกแสก 2 ตัว บินมาทะเลาะกันที่ริมรั้วข้างบ้าน บินร้องไล่กันผ่านหน้าบ้านแล้วก็บินกลับไปที่ริมรั้วเหมือนเดิม ทะเลาะกันเสียงดังลั่นแบบเอาเป็นเอาตาย ร้องเสียงแหลมก้องกังวานจับใจอย่างน่ากลัว ประมาณ 10-15 นาทีได้เสียงนั้นจึงจะเงียบหายไป ทุกข์เวทนาตรงนี้แหล่ะค่ะที่ก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายทั้งคนทั้งผี หนักๆเข้าเบื่อหน่ายกระทั่งตัวเอง ทั้งตัวเองทั้งคนทั้งผีพอๆกัน ต่างก็สร้างความวุ่นวายมั่วตั่วกันไปหมด เมื่อความทุกข์มันเกิดแล้ว แรกๆเราก็ไปโทษว่าคนอื่นทำให้ทุกข์ ก็ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะรู้ว่าทุกข์ไม่ใช่เกิดจากใครทำให้ จริงๆแล้วทุกข์เกิดจากเราทำตัวเองให้ทุกข์ เราออกไปรับทุกข์จากข้างนอกเข้ามาเอง พอเข้าใจแล้วว่าทุกข์เพราะเราไปรับจากข้างนอกเข้ามา ก็เลยไม่ออกไปคบหาสมาคมกับใคร แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ได้มารู้ความจริงอีกว่า แม้เราจะไม่สร้างทุกข์ให้ตัวเอง ไม่ออกไปรับทุกข์จากข้างนอกเข้ามา แต่ทุกข์มันก็ยังเกิดขึ้นของมันเอง เมื่อเรารู้จักทุกข์จนถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว เมื่อใดที่เกิดทุกข์ขึ้นมา ก็แค่ให้รู้ว่ากำลังทุกข์ แต่เราจะพยายามไม่เอาใจไปทุกข์กับมัน ก็พูดกับตัวเองตลอดนะคะว่า ถ้าปรารถนาจะหลุดพ้นจากกองทุกข์ ก็ไม่ควรกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
     
  9. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    สาธุครับ
    อยู่ในระดับรูปฌานที่ ๓ และที่๔ ต่อเนื่องกัน
    ถ้าหายไปทั้งหมดก็เข้าสู่อรูปฌานครับ
    การปฏิบัติของคุณเท่ากับปฏิบัติของผมประมาณ ๑๐ กว่าปีครับ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    จากโพสท์ที่ #96 ในวันที่ 06-01-2013

    +++ หลังจากทำความรู้สึกตัวแล้ว ให้สังเกตุ อาการกระพริบกระเพื่อมน้อย ๆ ในเวลาที่มันพูดทุกครั้ง แล้วดูตรง ๆ ไปที่อาการกระพริบนั้น ๆ หากดูได้ถูกส่วนแล้ว มันจะถูกพลังสติดันให้มันออกไปพูดนอกตัวเรา

    ตรงนี้คงต้องฝึกน่ะค่ะ เพราะดูแล้วขีดความสามารถคงยังไม่ถึง ( ถ้าเป็นทางโลกก็แบบว่าต้องใช้ไหวพริบน่ะค่ะ)แต่ก็พอจะเข้าใจวิธีดูตรงๆบ้างแล้ว
    ===================================================
    วันนี้ 13-01-2013 ( เพียง 7 วันให้หลังเท่านั้น)

    1. ลองฝึกดูตรงๆแล้วนะคะ คงไม่ถูกจุดเท่าไหร่ เพราะรู้สึกมันวูบขึ้นนิดเดียว ไม่หลุดออก

    +++ จาก "จิตมาร" ภาคที่ 5 ในข้อที่ 5. ให้ดูไปที่ "การกระพริบ" ห้ามดูที่ "ตัวคำพูด" ปล่อยให้มันพูดตามสบาย

    +++ หลัก ๆ คือ ต้องปล่อยให้มันพูด แล้วค่อย ๆ สังเกตุหาอาการกระพริบ แรก ๆ อาจอยู่กันคนละที่ แต่ต้องค่อย ๆ หาจนกว่าจะเจอ "การกระพริบ" นิด ๆ เบา ๆ นี้ ส่วนใหญมักจะอยู่ลึกเข้ามาข้างใน ใกล้ตัวมากกว่า "ตัวคำพูด" เมื่อเจอแล้วจึง ค่อย ๆ "สังเกตุ" เบา ๆ ไปที่ "การกระพริบ" แล้วมันจะค่อย ๆ กลายสภาพมาเป็น "การดูตรง ๆ" ด้วยตัวมันเอง

    +++ จากตรงนี้คุณ จิตวิญญาณ คงจะพอสังเกตุออกแล้วนะครับว่า "วิธี" ที่จะเข้าถึง "การใช้ภาษา" ของผมนั้น ต้องเกิดจากการปฏิบัติ แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้ว่าคุณ จิตวิญญาณ จะลงมือปฏิบัติด้วยตนเองแล้ว มันก็ยังไม่ง่าย เพราะเพียงคำว่า "ดูตรง ๆ" เพียงคำเดียวนั้น ยังต้องทราบ "วิธีดู" อีกด้วย มิฉะนั้นการ "ดูตรง ๆ" จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย

    +++ จากการ "ดูไกล" แต่ "สังเกตุใกล้" นี้ เป็นส่วนหนึ่งของการปรับความละเอียดทางจิต ในวสี 5 (เข้า ออก เร่ง ผ่อน อยู่) ที่ผมเคยให้คุณฝึกเมื่อตอนต้น ๆ มาแล้วนั่นเอง ตอนนี้คือเวลาที่ต้อง งัดเอาออกมาใช้แล้ว นะครับ (จากความรู้สึกทั้งตัว แล้วฝึก เข้า ออก เร่ง ผ่อน อยู่ จนได้ดังใจทุกประการ)

    2. แต่สังเกตุตอนนี้มันไม่ค่อยพูดมากแล้วน่ะค่ะ แต่มันจะคิดเป็นภาพขึ้นมาให้เห็นแทน

    +++ จาก "จิตมาร" ภาคที่ 2 หมายเหตุที่ 2 ระหว่างข้อ 7-8 จะเสริม (เพิ่มความเข้าใจ ในวงเล็บ) นะครับ

    หมายเหตุ 2 ยามใดที่ การกระทบวูปแว็ปจากภายนอก หากไม่ละเอียดเพียงพอ (หากหยาบกว่า เจโตประยะญาณ) หรือ ถูกตัวดูตรึงเอาไว้ (การ "ระวังทางจิต" ทำให้หยาบกว่า) ก็จะปรากฏเป็น ภาพหรือเสียง ซึ่งเป็นการสื่อสารด้วยการเห็นและได้ยิน ซึ่งหยาบกว่าการสื่อสารด้วยความเข้าใจ (เจโตประยะญาณ)

    +++ ประเด็นตรงจุดนี้คือ การปรากฏเป็น ภาพหรือเสียง (ภาพ = ตา เสียง = หู)
    +++ ดังนั้นให้เข้าใจไว้ว่า มันอยู่ในหมวดเดียวกัน เพียงแต่ความละเอียดจะเหลื่อมล้ำกันนิดหน่อยเท่านั้น ระหว่างภาพกับเสียง

    พูดถึง ตัวพูดมาก (...อันนี้แค่เล่าสู่กันฟังเฉยๆนะคะ ..) เจ้านี่ล่ะตัวดี ถ้าเราได้พูดคุยกับใครแล้วเรารู้สึกว่าคนนี้เป็นคนดีนะมันจะบอกไม่ดี พอเรารู้สึกว่าคนนั้นไม่ดีแต่มันจะบอกดี สับสนจนโดนมันหลอกแทบจะเอาชีวิตไม่รอดไม่ได้เป็นผู้เป็นคนมาหลายครั้งแล้ว เพราะไปหลงเชื่อคำพูดมันนี่ล่ะค่ะ

    +++ ตอนนี้คงพอทำความเข้าใจในคำพูดของผมที่ว่า "ให้สังเกตุความเป็น มิจฉาทิฐิ ของมัน" ในกระทู้ "ใครมีวิธีแก้กรรมด่าพระด่าเจ้าบ้าง ในหน้าที่ 4 โพสท์ที่ 72" แล้วนะครับ

    +++ ดังนั้นหาก "ผ่าน" ไอ้เจ้า "ตัวพูดมาก" ได้ทั้งในระดับ ภาพและเสียง เมื่อไรก็ตาม จึงจะกล่าวได้ว่า "ผ่านมิจฉาทิฐิ" เมื่อนั้น และเมื่อสามารถผ่าน "มิจฉาทิฐิ" ได้เมื่อใดก็ตาม ก็กล่าวได้ว่า "ปิดอบาย" เมื่อนั้น นะครับ

    จากย่อหน้าสุดท้ายใน "จิตมาร" ภาคที่ 5

    หลังจากที่ "ผ่าน" ตรงนี้ได้แล้ว "ตัวพูดมาก" จะเริ่มทำหน้าที่ "รับผิดชอบ" ในเรื่องของ "ภาษาของการสื่อสารทั้งหมด" ให้เป็นไปตามสัจจธรรม การเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมไปตามจิตของผู้ฟัง ใช้ภาษาได้ถูกต้องตรงตามอาการของจิต และใช้ภาษาได้เหมาะสมต่อสถานการณ์ในปัจจุบันขณะ

    +++ นั่นคือการก่อกำเหนิดของ สัมมาทิฐิ และ สัมมาวาจา โดยสภาวะที่เป็นไปตามธรรมชาตินั่นเอง นะครับ

    =========================================================

    ที่คุณ ฐสิษฐ์929 กล่าวไว้ว่า "อยู่ในระดับรูปฌานที่ ๓ และที่๔ ต่อเนื่องกัน"

    +++ หากนับระดับความลึกแบบ ฌาณ ในสมถะสมาธิ ก็ใช่ตามนั้นแหละครับ แต่การฝึกของ คุณ จิตวิญญาณ ในขณะนี้เป็นการฝึกอยู่ใน วิปัสสนาญาณทัสสนะ ซึ่งลงไปในระดับ รูปฌาณ เรียบร้อยแล้ว ยามใดก็ตาม หากการฝึกลงไปอยู่ในชั้น "ตัวดู" หรือเรียกว่า ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน เมื่อไร ก็สามารถกล่าวได้ว่า วิปัสสนาญาณทัสสนะ นั้นเข้าไปในระดับ อรูปฌาณ ได้เช่นกัน นะครับ
     
  11. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ จากตรงนี้คุณ จิตวิญญาณ คงจะพอสังเกตุออกแล้วนะครับว่า "วิธี" ที่จะเข้าถึง "การใช้ภาษา" ของผมนั้น ต้องเกิดจากการปฏิบัติ แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แม้ว่าคุณ จิตวิญญาณ จะลงมือปฏิบัติด้วยตนเองแล้ว มันก็ยังไม่ง่าย เพราะเพียงคำว่า "ดูตรง ๆ" เพียงคำเดียวนั้น ยังต้องทราบ "วิธีดู" อีกด้วย มิฉะนั้นการ "ดูตรง ๆ" จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย

    ใช่ค่ะ ดูตรงๆไม่สามารถทำได้ ต้องรู้วิธีดูด้วย ช่วงที่ลองดูตรงๆแล้วรู้สึกวูบ อาการวูบกระเพื่อมจะเริ่มจากลิ้นปี่ขึ้นนิดเดียวถึงแค่หลอดลม หลังจากนั้นก็สังเกตเห็นตัวเองหายใจเข้าลึกยาวน่ะค่ะ ตรงนี้คงต้องหัดฝึกความรู้สึกทั้งตัว แล้วฝึก เข้า ออก เร่ง ผ่อน อยู่ จนคล่องกว่านี้ก่อนน่ะค่ะ พูดถึงเรื่องนั่งสมาธินี่สังเกตช่วงนี้ไม่ค่อยนั่งแล้วนะคะ ดูเหมือนเขา(ตัวเอง)จะทำสมาธิของเขาเองโดยอัตโนมัติ การใช้ชีวิตประจำวันจะอยู่ในอารมณ์ปล่อยวาง คือเฉยๆน่ะค่ะ แต่ในความเฉยนั้นถ้าเขาไปสะดุดได้ยินหรือเห็นอะไร เขาก็พิจารณาสิ่งนั้นให้เข้าถึงธรรมแล้วปล่อยวางเองของเขาได้ บางทีเวลาเขากำลังพูดคุยกับใคร สังเกตเขาจะมองเข้าไปที่จิตข้างในของคนที่เขาพูดด้วย เหมือนเขาจะไม่สนใจรูปร่างหน้าตา ( อารมณ์นี้จะเกิดขึ้นเป็นบางครั้งนะคะ ) บางทีเวลาตัดกิ่งไม้หรือเดินมองดูโน้นนี่ที่สนามหญ้า มันรู้สึกได้ชัดเจนเลยว่าการมองของเขาจะมองจากจิตข้างในผ่านลูกตาของกายออกไปดู แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าร่างกายเราเองที่มองออกไปดู อาการนี้จะเป็นสลับกัน ช่วงที่รู้สึกว่ามองจากจิตข้างในออกไปดูนี่จะคล้ายกับเราอยู่อีกมิติหนึ่ง สภาวะนี้ตอนเห็นกายกำลังเดินนี่จะมีความรู้สึกเป็นเหมือนหุ่นเดินได้ พอสักพักก็วื๊บกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ทุกอาการจะอยู่ในอารมณ์อุเบกขา เราแค่มีหน้าที่คอยสังเกต ตามดู ตามรู้ และนำมันมาพิจารณาต่อเท่านั้นเอง

    จะมีอยู่ช่วงหนึ่ง เวลาเข้านอนจะมีอาการนี้เกิดขึ้นน่ะค่ะ ก่อนที่จะเกิดอาการนี้ขึ้นไม่กี่วัน คุณยายที่รู้จักท่านสั่งคนมาบอกให้ไปเยี่ยมท่านเพราะไม่เจอกันหลายเดือนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านน่ะค่ะ หลังจากนั้นประมาณ 4-5 วันได้ ช่วงเวลาเข้านอน สังเกตเห็นกายตัวเองช่วงขามันไม่อยู่นิ่งๆน่ะค่ะ สักพักมันก็ขยับ แบบว่าขยับไปขยับมาลักษณะเหมือนมันหงุดหงิดน่ะค่ะ แต่ไม่รู้สึกหงุดหงิดนะคะ หันมาดูใจตัวเองก็สงบนิ่งดี ดูอารมร์ก็สงบนิ่งดี พอคืนที่สองเป็นอีก ก็สังเกตุดูไปด้วยและก็คิดไปด้วยนะคะว่าเป็นอะไร แต่พอลืมคิดสักพักเหมือนจะหลับวูบแล้วนิมิตรเห็นเศียรพ่อแก่ หลังจากนั้นสังเกตุดูอาการที่เป็นก็หายไปเหมือนปลิดทิ้งเลยน่ะค่ะ พอหายแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเคยเห็นเศียรพ่อแก่นี้ที่บ้านคุณยาย และหลังจากนั้นก็เป็นอีก แต่ครั้งหลังวูบแล้วเห็นเป็นหน้าผู้ชาย แล้วอาการที่เป็นก็หายไปเหมือนกัน ตรงนี้ไม่ทราบว่าเป็นอาการของสติเห็นจิตด้วยไหมคะ


    +++ ตอนนี้คงพอทำความเข้าใจในคำพูดของผมที่ว่า "ให้สังเกตุความเป็น มิจฉาทิฐิ ของมัน" ในกระทู้ "ใครมีวิธีแก้กรรมด่าพระด่าเจ้าบ้าง ในหน้าที่ 4 โพสท์ที่ 72" แล้วนะครับ

    เข้าใจแล้วค่ะ เมื่อก่อนยังนับเป็นญาติด้วยก็เลยพอจะให้อภัยกันได้ เดี๋ยวนี้คงต้องตัดญาติขาดมิตรกับมันแล้วล่ะค่ะ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น เดี๋ยวมันจะพาเรากลับมาเกิดอีก .. เมื่อก่อนนะ ช่วงเราสวดมนต์ สวดๆไป ตัวพูดมากมันบ่นเมื่อไหร่จะเสร็จเนี่ย เหลือตั้งหลายหน้าแหน่ะ พอตกกลางคืนบรรยากาศเงียบๆ ถ้าได้ยินเสียงอะไรก๊อกแก๊กภายในบ้านแล้วทำให้เราคิด ตัวพูดมากมันจะรีบบอกก่อนเลยว่า ผี เป็นไงล่ะทีนี้ ก็พามันวิ่งเข้าห้องนอนห่มผ้าคลุมโปงเลยน่ะสิคะ


    +++ ดังนั้นหาก "ผ่าน" ไอ้เจ้า "ตัวพูดมาก" ได้ทั้งในระดับ ภาพและเสียง เมื่อไรก็ตาม จึงจะกล่าวได้ว่า "ผ่านมิจฉาทิฐิ" เมื่อนั้น และเมื่อสามารถผ่าน "มิจฉาทิฐิ" ได้เมื่อใดก็ตาม ก็กล่าวได้ว่า "ปิดอบาย" เมื่อนั้น นะครับ

    ที่ฝึกก็คงเป็นเพราะ”ปิดอบาย”นี่ล่ะค่ะ ไม่คาดหวังจะหูทิพย์ตาทิพย์อะไร ยกตัวอย่าง..แค่ได้ยินคนนั้นพูดอย่างนี้ คนนี้จะเอาอย่างนั้น ผีบอกให้ทำอย่างนี้ คนบอกให้ทำอย่างนั้น นี่ก็เบื่อหน่ายพอสมควรแล้วน่ะค่ะ (เมื่อก่อนมีคนที่เขาสื่อกับผีได้ เราทำบุญให้ก็แล้ว แผ่เมตตาให้ก็แล้ว เซ่นไหว้ก็แล้ว ผีบอกให้ย้ายกระถางต้นไม้ออกจากร่องน้ำภายในบ้าน เราก็ย้ายให้ หนักๆเข้ามันบอกให้ย้ายต้นไม้ใหญ่ออก มันสั่งเหมือนสั่งก๊วยเตี๋ยวเลย เราก็ เออ อ่าว งั้นบอกมันมาย้ายเองเลย ฉันไม่ทำแล้ว เลิกคบทั้งคนทั้งผีไปเลย ) คิดแล้วก็ยังอดขำตัวเองไม่ได้ ยังมีอีกหลายเรื่องราวที่ตลกขบขัน เฮ้อ เรามันเป็นได้ถึงขนาดนั้นเลยหรือนี่ เมื่อไม่นานมานี้ก็บังเอิญได้นั่งคุยกับเพื่อน อยู่ๆไปรับรู้จิตข้างในเธออิจฉา เราก็ไม่พูดพร่ำอะไร ลุกขึ้นเดินหนีเลยค่ะ และก็มีอยู่ช่วงหนึ่งยืนคุยกับสามีเพื่อน คุยๆกันอยู่เขาส่งจิตเข้ามา เราก็รับปุ๊บแล้วรู้เลยว่าจิตเขากำลังมีอารมณ์ ต้องรีบเดินหนีเหมือนกันน่ะค่ะ เวลานี้ก็เลยยิ่งทำให้ไม่อยากจะออกไปไหนเพราะเกรงว่าจะออกไปเจอคนรู้จัก แบบว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะพูดจะคุยแล้วน่ะค่ะ นี่ถ้าเกิดหูทิพย์ตาทิพย์ไปได้ยินได้เห็นอะไรต่อมิอะไรเพิ่มขึ้น มันจะไม่ทำให้อาการเบื่อหน่ายเป็นหนักขึ้นกว่าเดิมหรือคะ แต่พูดก็พูดนะคะ แม้จะรู้สึกเบื่อหน่ายแต่ก็ไม่ทุกข์ ยังใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเดิมค่ะ
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การฝึก เข้า ออก เร่ง ผ่อน อยู่ นั้นเมื่อพอทำได้แล้ว ก็ให้ฝึกแบบเล่น ๆ โดยไม่จำกัดอิริยาบท แม้กระทั่งขณะรับประทานอาหาร ก็ลองเล่นดูได้ ในขณะที่ "อยู่" และในช่วงกลืนอาหารลองสังเกตุดูดี ๆ อาจเห็นอาการของ ionize ที่เรียกว่า "โอชารส" ได้ แม้ว่ามันไม่ใช่ รสชาติ ก็ตาม แต่ตรงนี้อยู่ในความละเอียดระหว่าง รส กับ กลิ่น เป็นลักษณะคล้าย ละออง ชนิดหนึ่งนะครับ

    พูดถึงเรื่องนั่งสมาธินี่สังเกตช่วงนี้ไม่ค่อยนั่งแล้วนะคะ ดูเหมือนเขา(ตัวเอง)จะทำสมาธิของเขาเองโดยอัตโนมัติ การใช้ชีวิตประจำวันจะอยู่ในอารมณ์ปล่อยวาง คือเฉยๆน่ะค่ะ แต่ในความเฉยนั้นถ้าเขาไปสะดุดได้ยินหรือเห็นอะไร เขาก็พิจารณาสิ่งนั้นให้เข้าถึงธรรมแล้วปล่อยวางเองของเขาได้

    +++ การทำสมาธิโดยอัตโนมัติ คือ การได้นิสัยในสมาธิ นั่นเอง ส่วนการพิจารณาให้เข้าถึงธรรมนั้น ต้องสังเกตุดูให้ดี ๆ ว่าไอ้เจ้า "ตัวพูดมาก" มันขึ้นมาช่วยพิจารณาด้วยหรือไม่ จริง ๆ แล้ว "ตัวพูดมาก" หรือ "จิตมาร" นี้ครูบาอาจารย์ท่านเรียกมันว่า "กิเลสมาร" หรือ "กิเลส" เฉย ๆ นั่นเอง สำหรับผมแล้ว ไม่ต้อง "พิจารณา" เสียเลยจะดีกว่าเพราะยิ่ง "พิจารณา" มากก็ยิ่งเสียเวลามากตามไปด้วย ตรงนี้ต้องสังเกตุให้ละเอียดจึงจะรู้ได้

    บางทีเวลาเขากำลังพูดคุยกับใคร สังเกตเขาจะมองเข้าไปที่จิตข้างในของคนที่เขาพูดด้วย เหมือนเขาจะไม่สนใจรูปร่างหน้าตา ( อารมณ์นี้จะเกิดขึ้นเป็นบางครั้งนะคะ ) บางทีเวลาตัดกิ่งไม้หรือเดินมองดูโน้นนี่ที่สนามหญ้า มันรู้สึกได้ชัดเจนเลยว่าการมองของเขาจะมองจากจิตข้างในผ่านลูกตาของกายออกไปดู แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าร่างกายเราเองที่มองออกไปดู อาการนี้จะเป็นสลับกัน ช่วงที่รู้สึกว่ามองจากจิตข้างในออกไปดูนี่จะคล้ายกับเราอยู่อีกมิติหนึ่ง สภาวะนี้ตอนเห็นกายกำลังเดินนี่จะมีความรู้สึกเป็นเหมือนหุ่นเดินได้ พอสักพักก็วื๊บกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ทุกอาการจะอยู่ในอารมณ์อุเบกขา เราแค่มีหน้าที่คอยสังเกต ตามดู ตามรู้ และนำมันมาพิจารณาต่อเท่านั้นเอง

    +++ เมื่อ สติ ทำงานได้ถูกส่วนแล้วก็จะเป็นอย่างที่คุณ จิตวิญญาณ กล่าวมาทั้งหมดนั่นแหละ คือ "ดูที่ความเป็นจิต" ทั้งของเขาและของเราในเวลาเดียวกัน (ธรรมชาติของ สติที่ละเอียด เจโตปริยะญาณ จะทำงานของมันเอง) อาการของสิ่งถูกรู้ทั้งหลาย ไม่ว่ากายหรือจิต จะปรากฏคล้ายซ้อนกันอยู่คนละมิติ และตอนนี้คุณ จิตวิญญาณ จะเริ่มเห็นชัดขึ้นเองเรื่อย ๆ ว่า กาย ไม่ใช่ตัวเรา และเราไม่ใช่ตัวกาย ทั้งกายและจิต ไม่ใช่ตัวเรา ยามใดก็ตามที่ความเข้าใจถึงจุดที่มันเต็มที่แล้ว มันก็จะขาดจากความเป็นกายและจิตแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และไม่หวลกลับมาเป็นกายและจิตอีกเลย เรียกตรงนี้ว่า เจโตวิมุติ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตัดเรื่องของคำว่า "พิจารณา" ออกไปเลยจะดีกว่า เพราะสุดท้ายแล้ว มันเป็นตัวขวางทำให้การปฏิบัติเนิ่นช้าลง นะครับ เพราะความเข้าใจที่แท้จริง ไม่ได้เกิดจากการพิจารณา แต่เกิดจากการเห็นอาการ และการขาดจากอาการ เท่านั้น

    จะมีอยู่ช่วงหนึ่ง เวลาเข้านอนจะมีอาการนี้เกิดขึ้นน่ะค่ะ ก่อนที่จะเกิดอาการนี้ขึ้นไม่กี่วัน คุณยายที่รู้จักท่านสั่งคนมาบอกให้ไปเยี่ยมท่านเพราะไม่เจอกันหลายเดือนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านน่ะค่ะ หลังจากนั้นประมาณ 4-5 วันได้ ช่วงเวลาเข้านอน สังเกตเห็นกายตัวเองช่วงขามันไม่อยู่นิ่งๆน่ะค่ะ สักพักมันก็ขยับ แบบว่าขยับไปขยับมาลักษณะเหมือนมันหงุดหงิดน่ะค่ะ แต่ไม่รู้สึกหงุดหงิดนะคะ หันมาดูใจตัวเองก็สงบนิ่งดี ดูอารมร์ก็สงบนิ่งดี พอคืนที่สองเป็นอีก ก็สังเกตุดูไปด้วยและก็คิดไปด้วยนะคะว่าเป็นอะไร แต่พอลืมคิดสักพักเหมือนจะหลับวูบแล้วนิมิตรเห็นเศียรพ่อแก่ หลังจากนั้นสังเกตุดูอาการที่เป็นก็หายไปเหมือนปลิดทิ้งเลยน่ะค่ะ พอหายแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเคยเห็นเศียรพ่อแก่นี้ที่บ้านคุณยาย และหลังจากนั้นก็เป็นอีก แต่ครั้งหลังวูบแล้วเห็นเป็นหน้าผู้ชาย แล้วอาการที่เป็นก็หายไปเหมือนกัน ตรงนี้ไม่ทราบว่าเป็นอาการของสติเห็นจิตด้วยไหมคะ

    +++ ตรงนี้เป็นอาการของ "จิตอื่นติดต่อ หรือ สื่อสารเข้ามา" นะครับ เราจะพูดคุยกับเขาบ้างก็ได้ แม้ว่าจะไม่ใช่มนุษย์ก็ไม่เป็นไร เมื่อการปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่งแล้ว สิ่งเหล่านี้จะมีมาเองเป็นมาเองโดยธรรมชาติของภูมิ สติ ที่ละเอียดกว่าภูมิมนุษย์

    ที่ฝึกก็คงเป็นเพราะ”ปิดอบาย”นี่ล่ะค่ะ ไม่คาดหวังจะหูทิพย์ตาทิพย์อะไร ยกตัวอย่าง..แค่ได้ยินคนนั้นพูดอย่างนี้ คนนี้จะเอาอย่างนั้น ผีบอกให้ทำอย่างนี้ คนบอกให้ทำอย่างนั้น นี่ก็เบื่อหน่ายพอสมควรแล้วน่ะค่ะ

    +++ การฝึกที่ถูกต้องตามการเดินทางของ สติ นั้น จะผ่าน วิชชา 3 อภิญญา 6 และปฏิสัมภิทาญาณ 4 เองโดยธรรมชาติของมัน ให้ดู "จิตมาร" ภาคที่ 2 ประกอบไปด้วย ในข้อ 8-11 นั้นเป็นเรื่องของ วิชชา 3 ในข้อ 4-11 จะรวมอภิญญา 6 ไว้ด้วย ส่วนใครฝึกความละเอียดในช่วงรอยต่อระหว่าง 7-8 ก็จะได้ปฏิสัมภิทาญาณ 4 โดยปริยาย เพราะ "ตัวพูดมาก" จะเริ่มทำหน้าที่ "รับผิดชอบ" ในเรื่องของ "ภาษาของการสื่อสารทั้งหมด" ส่วน อาสวักขยญาณ นั้นต้องชัดเจนในข้อ 1-3 นะครับ

    +++ ดังนั้นหาก "ผ่าน" ไอ้เจ้า "ตัวพูดมาก" นี้ได้ทั้งในระดับ ภาพและเสียง เมื่อไรก็ตาม นอกจากจะ "ปิดอบาย" แล้ว ยังได้ของแถมแบบนับไม่ถ้วนตามมาด้วย โดยไม่ต้องเรียกร้องอะไรเลย นะครับ

    เมื่อไม่นานมานี้ก็บังเอิญได้นั่งคุยกับเพื่อน อยู่ๆไปรับรู้จิตข้างในเธออิจฉา เราก็ไม่พูดพร่ำอะไร ลุกขึ้นเดินหนีเลยค่ะ และก็มีอยู่ช่วงหนึ่งยืนคุยกับสามีเพื่อน คุยๆกันอยู่เขาส่งจิตเข้ามา เราก็รับปุ๊บแล้วรู้เลยว่าจิตเขากำลังมีอารมณ์ ต้องรีบเดินหนีเหมือนกันน่ะค่ะ เวลานี้ก็เลยยิ่งทำให้ไม่อยากจะออกไปไหนเพราะเกรงว่าจะออกไปเจอคนรู้จัก แบบว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะพูดจะคุยแล้วน่ะค่ะ นี่ถ้าเกิดหูทิพย์ตาทิพย์ไปได้ยินได้เห็นอะไรต่อมิอะไรเพิ่มขึ้น มันจะไม่ทำให้อาการเบื่อหน่ายเป็นหนักขึ้นกว่าเดิมหรือคะ แต่พูดก็พูดนะคะ แม้จะรู้สึกเบื่อหน่ายแต่ก็ไม่ทุกข์ ยังใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเดิมค่ะ

    +++ นั่นแหละครับผู้ที่รู้แล้ว ผ่านมาแล้วก็กลายเป็นงั้น ๆ ไป เป็นเรื่องเฉย ๆ บางทีก็เบื่อ ๆ เอาดื้อ ๆ เพราะเป็นการเบื่อในสังขารขันธ์ ทั้งของเราและผู้อื่น บางทีก็ผสมความสมเพชไปด้วย แต่ก็ไม่ทุกข์อะไรหรอก ส่วนผู้ที่ยังไม่ผ่าน หรือ เพิ่งผ่านใหม่ ๆ ก็ย่อมมีการตื่นเต้นเป็นธรรมดา เพราะจิตมันยังไม่คุ้นเคยนั่นเอง จนกว่าจะรู้ ธรรมชาติของจิต ขีดความสามารถของจิต และข้อจำกัดของจิต แล้วก็จะค่อย ๆ เรียนรู้ไปเองละครับ
     
  13. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    เคยเป็นครั้งนึงค่ะ พอจะหยุดนั่งปรากฎว่าตัวเองจะลุกขยับแต่ร่างกายไม่ได้ขยับไปด้วยเลยเลย ตัวข้างในก็พยายามจะขยับ
    ลึกๆแล้วตกใจแต่ก็ทนรอแป๊บนึงก็เป็นปกติวันนั้นบอกใครใครก็ไม่เชื่อ เค้าบอกว่าหนูละเมอรึเปล่า?
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    อธิบายปรากฏการณ์ของคุณ photocycling ในแต่ละขณะการทำงานของจิต ดังนี้

    พอจะหยุดนั่ง

    +++ ตรงนี้เป็น เจตนา ของจิตในขณะที่อยู่ในสมาธิ และตัวคุณ photocycling (อัตตาจิต ตัวดู)(ข้อ 3 จาก"จิตมาร" ภาคที่ 2) ในขณะนั้น เป็นจิต ไม่ได้เป็นร่างมนุษย์ ความรู้สึกทุกอย่างในขณะนั้น เป็นของจิตทั้งหมด ความละเอียด อยู่ในระดับของข้อที่ 8

    ปรากฎว่าตัวเองจะลุกขยับแต่ร่างกายไม่ได้ขยับไปด้วยเลย

    +++ จิตมีเจตนาจะลุก จึงเริ่มรับรู้ว่า กายมีอยู่ แต่ด้วยความไม่ชำนาญ อัตตาจิต หรือ ตัวดู (ตัวคุณ photocycling ในขณะจิตนั้น ๆ) จึงยังไม่ได้ย้ายเข้ามาที่ ฐานกาย จึงกลายเป็น ดูกาย รู้กาย แต่ยังขยับกาย ไม่ได้ ความละเอียดอยู่ในระดับ ข้อ 7 จาก"จิตมาร" ภาคที่ 2

    ตัวข้างในก็พยายามจะขยับ

    +++ ในขณะจิตนี้ หลังจากที่ คุณ photocycling รู้กายแล้ว จึงเปลี่ยนมาอยู่ที่ ฐานกาย จึงกลายมาเป็น เห็น ฐานจิต (ตัวข้างใน)
    +++ การสลับระหว่าง ฐานกาย กับ ฐานจิต นี้ใช้เวลาแค่ 1 กิริยาจิตเท่านั้น (ข้อ 4 จาก"จิตมาร" ภาคที่ 2)

    ลึกๆแล้วตกใจแต่ก็ทนรอแป๊บนึงก็เป็นปกติ

    +++ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะคุณยังไม่คุ้นเคยกับ ปรากฏการณ์ของตัวเอง (อัตตาจิต ตัวดู)

    +++ คุณ photocycling ไม่ได้ละเมอหรอกครับ เพราะมันเป็นปรากฏการณ์ของตัวคุณเอง คุณย่อมรู้ชัดเจน ส่วนการบอกใครใครก็ไม่เชื่อ ก็เป็นจริงตามนั้นอีกเช่นกัน เพราะมันไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ของเขาเหล่านั้น

    +++ ผู้ที่จะคุยกับคุณรู้เรื่องนั้น ต้องเคยผ่านปรากฏการณ์เหล่านี้มาแล้วด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่งั้น ความจริงของคุณจะไปแย้งกับความเชื่อของชาวบ้าน แล้วการวิวาทจะตามมาภายหลังได้ หลาย ๆ คนในกระทู้ "เกิดอาการหูดับและไม่รับรู้การมีร่างกายและลมหายใจขณะนั่งสมาธิเป็นเพราะอะไร" นี้ เคยผ่านปรากฏการณ์แบบนี้มาแล้วไม่มากก็น้อย ดังนั้นคุณ photocycling สามารถพูดคุยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ "ปรากฏการณ์ทางจิต" ได้ด้วยความมั่นใจนะครับ

    +++ ควรฝึกต่อไปให้เข้าไปอยู่ในสภาพเดิม แล้วครั้งนี้ให้ตั้งใจว่า "กายไม่ขยับก็ช่างมัน เราขยับเองก็ได้ ไม่ต้องไปง้อมัน" นะครับ
     
  15. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    คุ้มที่สุดแล้วที่โพสต์เข้ามาค่ะ ได้อ่านโพสต์นี้แล้ว พรุ่งนี้จะมาอ่านต่อในหัวข้ออื่นๆนะคะ
    ปัจจุบันนั่งสมาธิแล้วมีอาการ หลุด หลุดคือคิดตามที่ต้องการคิดไม่ได้ เช่นจะแผ่เมตตาแล้วหลุดความคิดในใจไปเลย(คาถาบทสวด)แต่รู้ตัวว่ากำลังแผ่เมตตาจะหลุดไปเป็นความมืดอย่างเดียว ถ้าไม่คิดอะกำหนดแต่ความตั้งใจว่าจะนั่งจะรู้ตัวดี ไม่หลับ แต่ก็ไม่รู้เรื่องภายนอกเช่นกัน
    กำลังสงสัยว่าตนเอง "เหนื่อย" มากเกินไปหรือไม่ หลับในหรือไม่ หรือว่าเครียดเกินไป
    เพราะอาการเพิ่งเกิด และมีอาการปวดหัวตลอดเวลาแล้ว
    ขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้มั้ยคะ
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ปัจจุบันนั่งสมาธิแล้วมีอาการ หลุด หลุดคือคิดตามที่ต้องการคิดไม่ได้ เช่นจะแผ่เมตตาแล้วหลุดความคิดในใจไปเลย(คาถาบทสวด)แต่รู้ตัวว่ากำลังแผ่เมตตาจะหลุดไปเป็นความมืดอย่างเดียว ถ้าไม่คิดอะกำหนดแต่ความตั้งใจว่าจะนั่งจะรู้ตัวดี ไม่หลับ แต่ก็ไม่รู้เรื่องภายนอกเช่นกัน

    +++ "หลุด" ในที่นี้ ใช่อาการ "ลืม" หรือเปล่า คือ จู่ ๆ ก็เหมือน "ตัด" ออกไปเลย แล้วไปอยู่กับความ "สงบ" แทน เพียงแต่มีความ "รู้ตัวอันเป็นส่วนประกอบเฉย ๆ" อยู่เท่านั้น ถ้าหากใช่ นั่นคืออาการของการ "ติดสงบ" เรียบร้อยแล้ว

    +++ ลองอ่านโพสท์ที่ #42 ในหน้าที่ 3 ของกระทู้นี้ดูนะครับ ว่าคุณ photocycling คล้าย ๆ จะเริ่มมีอาการอย่างที่ผมเคยเป็นมาในอดีตหรือเปล่า ลองอ่านทบทวนดูสัก 2-3 รอบนะครับ

    กำลังสงสัยว่าตนเอง "เหนื่อย" มากเกินไปหรือไม่ หลับในหรือไม่ หรือว่าเครียดเกินไปเพราะอาการเพิ่งเกิด และมีอาการปวดหัวตลอดเวลาแล้ว

    +++ หากอาการของคุณคล้าย ๆ กับของผมในโพสท์ที่ #42 แล้วละก็ มันเป็นอาการ "เหนื่อยคิด" เพราะไม่รู้ตัวว่า "กำลังคิด" แล้วจะมีอาการ เพลียกับปวดหัว เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยเสมอ ส่วนอาการ "ลืม" จะเริ่มปรากฏถี่ขึ้นเรื่อย ๆ

    +++ ถ้าหาก "ใช่" ขอให้แจ้งมาให้ผมทราบด้วย

    ขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้มั้ยคะ

    +++ ได้ครับ ถ้าหาก "ใช่" ตามโพสท์ที่ #42 ผมจะหาทางออกให้ เพราะผมเคยโดนและออกจากมันมาแล้ว
     
  17. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    ว่าแล้วคุณต้องเข้ามาช่วงนี้ดีใจมากๆค่ะ
    ขออ่านที่คุณแนะนำก่อน เพราะว่าเมื่อกี๊ก็นั่งสมาธิล้าเลยนอน ก็เกิดอีกเรื่องนึง
    เดี๋ยวกลับมาตอบนะคะ
     
  18. photocycling

    photocycling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    491
    ค่าพลัง:
    +1,286
    อ่านแล้วก็ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าอาการเดียวกันไหม
    เหมือนกับว่า "ฉันจะทำแบบนี้ พอจะทำ" ก็เหมือนมีอาการลึกๆว่า "ฉันไม่ให้เธอทำน่ะ ออกไป" จริงๆไม่ใช่คำพูดแต่ประมาณแบบนี้น่ะค่ะ เลยเหลือแต่ความตั้งใจไว้เฉยๆเพราะบังคับไม่ได้
    ปล.ยังไม่สามารถเห็นภาพต่างๆได้นะคะ ภาพที่ไม่ได้เห็นจริงๆน่ะค่ะ

    สักครู่นั้นทำสมาธิ ได้ทดลอง(ลองไปเรื่อย)ส่งบุญไปถึงผู้ที่ต้องการรับด้วยและอธิษฐานสิ่งที่ต้องการด้วย มีอาการขนลุกถึงใบหูตลอดเวลา(วูบวาบ) แล้วก็เกิดอาการหลงทิศว่าทิศที่ตนนั่งหันไปทางไหน สุดท้ายก็นึกอก (เมื่อวานหลงไปเลยต้องแอบลืมตาดู) นั่นคืดทิศของบุคคลที่จะส่งบุญไปให้อยู่ค่ะ

    คิดว่านั่งนานแล้วเริ่มหายใจลำบากเลยนอน ก็ใช้วิธีที่เพิ่งอ่านมาคือ นึกถึงบุคคล หรือภาพพระที่ตนจำได้ ทำไปทำมาไม่สำเร็จ ปกติเองดิฉันเป็นคนประเภทไม่จดจำหน้าคน เป็นคนที่จำรายละเอียดอะไรไม่ได้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว นึกเท่าไรก็คลาดเคลื่อน นิ้วมือกลับด้านบ้างภาพใหญ่เล็กบ้าง ก็ปล่อยไปจนถึงภาพพระพุทธชินราช(ไม่ได้ตั้งใจแต่มาเอง)ที่ปกหนังสือสวดมนต์ที่บ้าน ก็คิดในใจว่าเราไม่ได้นึก งั้นเรานึกเป็นพระพุทธเจ้า เป็นภาพวาดบ้าง ภาพการ์ตูนบ้าง ภาพพระพุทธชินราชนี้ก็ยังแฝงเข้ามาแทนตลอดจนยอกแพ้ ปล่อยเลยตามเลย แล้วก็ไม่รู้ตัวอีก ทราบอย่างเดียวว่าภาพพระพุทธชินราชได้กลายเป็นภาพพระพุทธเจ้า(พระพุทธรูป) ที่ไม่เคยเห็น (ตอนนี้จำได้แค่องค์สีทอง) ดิฉันคิดในใจว่า นี่ภาพที่คิดเองเหรอ เราประดิษฐ์ภาพเองเหรอว่าแบบนั้น แบบนี้ต้องจำนะ แบบใหม่ (เหตุการณ์ตอนนี้เหมือนฝันแล้ว เพราะไม่รับรู้ข้างนอกและรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนละคนเป็นเรื่องของดิฉัน-ภาพที่เห็นเท่านั้นบังคับอะไรไม่ได้รับรู้รับฟังอย่างเดียว) และรุ้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงพ่อพูดกับแม่ไกล้ๆตัว จึงรุ้ตัวว่าเหมือนไม่ได้หลับนะ เพราะว่าเราพูดถึงรูปในใจ หรือจะหลับในรึเปล่าฝันรึเปล่าไม่ทราบ แต่ใช้เวลาไม่เกิน30นาที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2013
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    อ่านแล้วก็ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าอาการเดียวกันไหม
    เหมือนกับว่า "ฉันจะทำแบบนี้ พอจะทำ" ก็เหมือนมีอาการลึกๆว่า "ฉันไม่ให้เธอทำน่ะ ออกไป" จริงๆไม่ใช่คำพูดแต่ประมาณแบบนี้น่ะค่ะ เลยเหลือแต่ความตั้งใจไว้เฉยๆเพราะบังคับไม่ได้

    +++ เป็นอาการของ จิตมาร ภาคที่ 1 หน้าที่ 6 (จริง ๆ มันคือ กิเลสมาร ที่อยู่ภายในจิตของเราเอง) แต่มาในรูปของ การสวนทางกับเจตนา

    ปล.ยังไม่สามารถเห็นภาพต่างๆได้นะคะ ภาพที่ไม่ได้เห็นจริงๆน่ะค่ะ

    +++ หากความแข็งแกร่งของ สติ ยังไม่เพียงพอ ยังไม่เห็นอะไรเลยดีที่สุดครับ

    สักครู่นั้นทำสมาธิ ได้ทดลอง(ลองไปเรื่อย)ส่งบุญไปถึงผู้ที่ต้องการรับด้วยและอธิษฐานสิ่งที่ต้องการด้วย มีอาการขนลุกถึงใบหูตลอดเวลา(วูบวาบ)

    +++ การแผ่เมตตาแม้ว่าจะมีสมาธิเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่จะเรียกว่าทำสมาธิก็คงจะยังเรียกได้ไม่ถนัดนัก แผ่เมตตาแล้วขนลุก ถือว่ามีสักขีพยานยืนยันรับรู้ นับว่าการแผ่เกิดผลลัพธ์ที่ดี

    แล้วก็เกิดอาการหลงทิศว่าทิศที่ตนนั่งหันไปทางไหน สุดท้ายก็นึกอก (เมื่อวานหลงไปเลยต้องแอบลืมตาดู) นั่นคืดทิศของบุคคลที่จะส่งบุญไปให้อยู่ค่ะ

    +++ แผ่เมตตาแบบเฉพาะเจาะจง ไม่ต้องกำหนดทิศก็ได้ รวมทั้งแผ่แบบไม่มีประมาณ คือแผ่ทุกทิศ ก็เหมือนกัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ มีสติในการแผ่

    คิดว่านั่งนานแล้วเริ่มหายใจลำบากเลยนอน ก็ใช้วิธีที่เพิ่งอ่านมาคือ นึกถึงบุคคล หรือภาพพระที่ตนจำได้ ทำไปทำมาไม่สำเร็จ ปกติเองดิฉันเป็นคนประเภทไม่จดจำหน้าคน เป็นคนที่จำรายละเอียดอะไรไม่ได้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว นึกเท่าไรก็คลาดเคลื่อน นิ้วมือกลับด้านบ้างภาพใหญ่เล็กบ้าง ก็ปล่อยไปจนถึงภาพพระพุทธชินราช(ไม่ได้ตั้งใจแต่มาเอง)ที่ปกหนังสือสวดมนต์ที่บ้าน ก็คิดในใจว่าเราไม่ได้นึก งั้นเรานึกเป็นพระพุทธเจ้า เป็นภาพวาดบ้าง ภาพการ์ตูนบ้าง ภาพพระพุทธชินราชนี้ก็ยังแฝงเข้ามาแทนตลอดจนยอกแพ้ ปล่อยเลยตามเลย แล้วก็ไม่รู้ตัวอีก ทราบอย่างเดียวว่าภาพพระพุทธชินราชได้กลายเป็นภาพพระพุทธเจ้า(พระพุทธรูป) ที่ไม่เคยเห็น (ตอนนี้จำได้แค่องค์สีทอง) ดิฉันคิดในใจว่า นี่ภาพที่คิดเองเหรอ เราประดิษฐ์ภาพเองเหรอว่าแบบนั้น แบบนี้ต้องจำนะ แบบใหม่ (เหตุการณ์ตอนนี้เหมือนฝันแล้ว เพราะไม่รับรู้ข้างนอกและรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนละคนเป็นเรื่องของดิฉัน-ภาพที่เห็นเท่านั้นบังคับอะไรไม่ได้รับรู้รับฟังอย่างเดียว) และรุ้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงพ่อพูดกับแม่ไกล้ๆตัว จึงรุ้ตัวว่าเหมือนไม่ได้หลับนะ เพราะว่าเราพูดถึงรูปในใจ หรือจะหลับในรึเปล่าฝันรึเปล่าไม่ทราบ แต่ใช้เวลาไม่เกิน30นาที

    +++ ลองนั่งรู้สึกตัวเฉย ๆ อยู่กับที่ ให้ร่างกายมันรู้สึก ๆ อยู่อย่างนั้น สักครู่มันก็จะเริ่มสบาย ๆ ไปเอง แก้เหนื่อย แก้เครียด แถมแก้คิด ไปในตัวได้อีกด้วย เพียงแค่อย่าให้ความรู้สึกมันหายไปแค่นั้นก็พอ ถือว่าเป็นการพักผ่อนและเป็นการ ฝึกสติภายในสมาธิไปในตัวด้วย นะครับ

    +++ เวลาโพสท์ใช้ตัวหนังสือ สีปกติดีกว่านะครับ อ่านง่ายกว่ากันมาก
     
  20. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ผมขอสอบถามหน่อยครับว่าอาการขนลุกนั้นสามารถจำแนกได้ไหมครับว่าเป็นระดับใดบ้างครับ เพราะโดยปรกติผมเองนั้นเวลาแผ่จะมีอาการนี้เสมอครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...