เกิดอาการหูดับและไม่รับรู้การมีร่างกายและลมหายใจขณะนั่งสมาธิเป็นเพราะอะไร

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย jjustdream, 20 มิถุนายน 2012.

  1. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    พักนี้นั่งสมาธิได้ไม่ดีเลยค่ะ พอนั่งสมาธิไปได้สักพักพอจิตว่าง สมองโล่งจากความคิดทั้งปวงไปได้ระยะหนึ่งจะมีอาการปวดหัว อาการเหมือนถูกบีบ ขนาบ มาจากทุกทิศทางรอบหัวเราเลย ทำให้เราปวดหัวแบบอึดอัดน่ะค่ะ สักพักก็มีอาการปวดแบบรั้งหัวเราขึ้นสูง เหมือนหัวเราจะฉีกออกจากกัน เวียนหัวไปหมด จนต้องถอนสมาธิ มาตั้งหลักหายใจลึกๆให้การหายใจเรากลับมาเป็นปกติ จึงหายจากอาการดังกล่าว เป็นอย่างนี้มา3-4ครั้งติดๆกันเลยค่ะ จนไม่ไหวแล้ว ไม่ค่อยนั่งสมาธิแล้ว กลัวค่ะ!
     
  2. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,509
    ค่าพลัง:
    +1,817
    การปฏิบัติสมาธิ ที่ถูกต้องนั้น หมายถึงการฝึกให้บุคคลรู้จักควบคุมความคิด มิให้เกิดการคิดฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อ หรือจะเรียกว่า การปฏิบัติสมาธิ หมายถึง การฝึกให้บุคคลเกิดสติสัมปชัญญะ อยู่เป็นนิจ มิให้เกิดการคิดไหลตามสิ่งที่ได้สัมผัสทางอายตนะทั้งหลาย
    การนั่งสมาธิแล้ว เกิดการปวดเมื่อย แล้วคิด นั่นแสดงว่า คุณไม่ได้มีสมาธิแล้ว แต่มีแต่ความฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อเกิดขึ้นแทน ส่วนที่่คุณเล่ามา อาจจะเกิดจากการที่คุณใช้สมองมาก จึงทำให้ระบบสมองบางส่วนหยุดทำงานจึงทำให้รู้สึกอย่างนั้น เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลกปลาดมหัศจรรย์อะไรเลยขอรับ
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ผมมั่นใจว่าอาการที่เกิดกับคุณในขณะนี้นั้น เป็นอาการแรกเริ่มของการ รวมตัวของกายเวทนา ขอให้คุณลองอ่านทบทวนในโพสท์ที่ 52 ในกระทู้นี้ดูนะครับ ว่าอาการตรงกันไหม

    http://palungjit.org/threads/เกิดอาการหูดับและไม่รับรู้การมีร่างกายและลมหายใจขณะนั่งสมาธิเป็นเพราะอะไร.345077/page-3#post6771183

    +++ หากเหมือน หรือ ต่างกันอย่างไร ช่วยบอกให้ผมทราบด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2015
  4. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    ก็อาจจะเป็นไปได้ค่ะคุณtelwada เพราะเราไม่อาจบังคับสภาพรา่งกายให้สดชื่น ปลอดโปร่งเสมอ อาการดังกล่าวอาจเป็นผลตกค้างจากการทำงานมาทั้งวัน ใช้ร่างกายและสมองมาทั้งวัน แต่การที่ดิฉันนั่งสมาธิก็เพื่อประโยชน์ทดแทนที่ร่างกายทำงานมาทั้งวัน สมองวิ่งวนให้พล่าน จิตสับสน นั่งเพื่อให้จิตว่าง ร่างกายได้พักผ่อน สมองได้ผ่อนคลาย ไม่ได้หวังให้ได้ฌาณ หรือ อภิญญาปาฎิหารย์อันใด แต่พอนั่งแล้วเกิดผลสะท้อนกลับมาด้วยอาการต่างๆที่เล่ามานั้นก็เกิดความตระหนกไปต่างๆนานา จึงหวังหาผู้ที่รู้ผู้ปฎิบัติช่วยชี้แจง แล้วที่ว่าต้องแผ่เมตตาทันที เพราะรู้มาว่าการนั่งสมาธิก็เกิดบุญ มึคนบอกว่าทำบุญต้องแผ่เมตตาทันทีไม่เช่นนั้นบุญนั้นจะเป็นของเราซะหมด ก็เท่านั้นเองค่ะ
     
  5. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    ได้อ่านแล้วค่ะคุณธรรมชาติ อาการคล้ายกันมากค่ะ ที่ดิฉันเป็นมันเหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นบีบเข้ามาที่หัวดิฉันพร้อมกันทุกทาง จนอึดอัดเหมือนหัวจะแตก จะฉีก แต่อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจภาษาทางพุทธศาสนามากนัก รบกวนหน่อยเถอะค่ะ ช่วยอธิบายให้ดิฉันใหม่ที่พอจะทำให้เห็นภาพออก คิดตามทัน เอาเป็นข้อความง่ายๆ ภาษาง่ายๆก็ได้ค่ะ จะว่าเรื่องมากก็ได้ค่ะ แต่ไม่เข้าใจจริงๆค่ะ^-^
     
  6. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เอ้า ทำไมฝึกธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วไปเห็นธรรมะ เป็นอัตตาเข้าหละ

    ก็ร่างกายนี้มันบังคับไม่ได้ ใจมันก็บังคับไม่ได้ จะไปบังคับมันได้อย่างไร ถ้าจะฝึกเพื่อบังคับจิตใจให้ได้ มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสมาธิหนะสิ...

     
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ถูกแล้วครับ นั่นคืออาการแรกเริ่มของการรวมตัวที่จะมีผลลัพธ์ออกมาเป็น "ความรู้สึกตัว" นั่นเอง อาการของมันเหมือนเป็น กำแพง หรือ ภูเขา ที่บีบตัวเข้ามาทุกทิศทุกทาง ในขณะนั้น จิต จะเกิดความกลัวอย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่ยามใดก็ตามที่กระบวนการนี้สิ้นสุดยุติลง คุณจะได้ ความหนักแน่นที่ทรงพลังเปี่ยมล้นของสิ่งที่เรียกว่า "ความรู้สึกตัว" ซึ่งเป็นบันทัดฐานที่สำคัญที่สุดของการปฏิบัติธรรม และเมื่อใดก็ตามที่คุณได้ "พลัง" จากมหาสตินี้แล้ว จิตอื่นที่เป็นมิจฉาทิฐิจะไม่สามารถเข้ามาเบียดเบียนคุณได้อีกต่อไป และคุณยังสามารถใช้พลังตัวนี้เข้าช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรมรายอื่น ๆ ได้อีกด้วย นับเป็นโอกาสในการการสร้างบารมีอีกแบบหนึ่ง

    ของแบบนี้ นึกเอาเอง ฝันเอาเอง ก็ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ อยากให้ตายก็ไม่มีวันได้ จะเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ที่มีบารมีเพียงพอที่จะรับมันได้เท่านั้น คุณควรปล่อยให้กระบวนการนี้เสร็จสิ้นจนสมบูรณ์ นะครับ ผมผ่านปรากฏการณ์นี้มาแล้วด้วยตัวผมเอง ไม่มีโทษใด ๆ เจือปน มีแต่ประโยชน์ล้วน ๆ นะครับ

    ขอแนะนำให้คุณ "รับ" และ ได้ "พลังสติ" ตัวนี้ไว้ เพื่อประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน ในอนาคต และควรอ่านทบทวนในโพสท์ที่ 52 ของผมให้ละเอียดเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้นกว่านี้ นะครับ
     
  8. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    ขอบคุณค่ะ สำหรับคำอธิบายง่ายๆ ให้กับคนเข้าใจยากอย่างดิฉัน สิ่งที่ได้รู้ ทำให้ความตั้งใจที่จะเลิกนั่ง แปรเปลี่ยนเป็นจะพยายามปฎิบัติต่อไปให้ผ่านจุดนั้นไปได้ อนุโมทนาด้วยค่ะที่คุณใช้ประสบการณ์ตรงมาชี้แจงและเปลี่ยนความคิดของคนที่คิดจะเลิกมาปฎิบัติต่อไป
     
  9. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    กราบขอบพระคุณ คุณธรรม-ชาติ มากค่ะ ที่อธิบายอย่างละเอียดชัดเจนกับสภาวะที่เกิดขึ้น การปรึกษา สนทนาธรรมเกี่ยวกับสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น หากจะให้ดีแล้ว ผู้ที่เราปรึกษาด้วยหรือผู้ที่จะให้คำแนะนำเราได้ดี ย่อมต้องเป็นผู้ปฏิบัติที่มีประสบการณ์และเคยผ่านสภาวะนั้นๆมาก่อน นั่นจึงจะทำให้คนที่ได้รับฟังได้รับรับคำแนะนำ เข้าใจง่ายและปฏิบัติได้เร็วขึ้น ตัวดิฉันเองเพิ่งจะมาได้สัมผัสกับอานิสงค์ของสติปัฏฐาน4ก็จากที่คุณธรรม-ชาติแนะนำให้ปฏิบัตินี่ล่ะค่ะ

    สาเหตุก่อนที่อาการนี้จะเกิดขึ้น (จริงๆแล้วอาจจะเกิดขึ้นบ่อยแล้วก็ได้แต่ที่ไม่เห็น คงเพราะไม่เคยสังเกตเพราะไม่เคยดูจิตตัวเอง ) เมื่อ 4- 5 เดือนที่ผ่านมา เกิดอาการรู้สึกเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายจากภายนอกอย่างแรง ไม่ว่าจะเป็นกับคนรู้จักโดยส่วนตัวหรือคนที่เราติดต่อธุระด้วย เวลานั้นคงเป็นความรู้สึกเบื่อหน่ายที่สะสมมาเนิ่นนานจนท่วมล้นแล้ว จึงทำให้ตัวดิฉันเองนั่งคิดทบทวนและได้เห็นสัจธรรมว่า แท้จริงแล้ว ความวุ่นวายที่เรารับรู้เราเห็น มันไม่ใช่เกิดจากคนอื่น มันเกิดจากตัวเราเองทั้งสิ้น เพราะเราออกไปเห็นออกไปรับ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา เราอยากวุ่นวายก็อยู่ที่ตัวเรา เราอยากสงบก็อยู่ที่ตัวเรา หลังจากนั้นก็เลยปล่อยวางจากภายนอก ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน ไม่ออกไปพบปะกับใครถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ปิดรับเครื่องสื่อสาร ถ้าออกไปจับจ่ายใช้สอยอะไรข้างนอกแล้วบังเอิญได้เจอคนรู้จักก็ทักทาย ใครพยายามยื่นข้อเสนองานอะไรให้ก็ปฏิเสธ ไม่เอาแล้ว มีพอแล้ว ตรงนี้แหล่ะค่ะที่ทำให้ดิฉันได้มีเวลาหันมามองตัวเองและเห็นตัวเองมากขึ้น พอได้ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านแบบเงียบๆแล้ว ได้สัมผัสกับความสงบมากขึ้น เห็นอะไรก็ปล่อยวางได้ ไม่ยึดไม่ติด ไม่ทุกข์ ซึ่งเป็นนิสัยปกติของตัวเองอยู่แล้ว หลังจากใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ประมาณ1-2เดือนน่าจะได้

    แล้วมีอยู่วันหนึ่งขับรถออกไปข้างนอก ช่วงเวลาที่กำลังขับๆอยู่ ขณะที่สายตาทอดมองดูคนนั้นคนนี้ขับสวนกันไปสวนกันมา อยู่ๆก็รู้สึกหงุดหงิด ในใจคิดจะว่าจะตำหนิเขา สายตาที่มองออกไปเหมือนจะพาล และช่วงเสี้ยววินาทีที่รู้ว่ามีอาการอย่างนั้นเกิดขึ้น มันมีความคิดหนึ่งผุดออกมาจากใจเองทันทีทันใดเลยว่า นี่มันไม่ใช่นิสัยเรา เราไม่ใช่คนนิสัยอย่างนี้ ไปเอานิสัยนี้มาจากไหน ก็คิดนะคะว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ได้แต่คิด และก็ปล่อยให้รับรู้อารมณ์เป็นอย่างนั้นแหล่ะ แค่เราไม่รับและไม่ทำตามอารมณ์นั้น อยากหงุดหงิดก็หงุดหงิดไป ฉันไม่หงุดหงิดด้วย จนเข้าวันที่สอง อารมณ์หงุดหงิดที่มันเกิดอยู่ภายในนี้มันไม่หายไปไหน ก็ได้แต่รู้ เพราะทำอะไรไม่ได้ แต่แล้วอยู่ๆเหมือนจะเกิดสมาธิวูบเพียงเสี้ยววินาที นิมิตเห็นหน้าพี่คนหนึ่ง(ซึ่งพี่คนนี้เป็นคนเจ้าอารมณ์หงุดหงิดแล้วพาล) แว๊บขึ้นแล้วก็หายไป จากนั้นอารมณ์หงุดหงิดร้อนรุ่มนั้นมันหายไปเหมือนปลิดทิ้งเลยน่ะค่ะ

    หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เกิดอีก อยู่ๆก็ค่อยๆเกิดอารมณ์ทุกข์ขึ้นมา รู้แล้วว่าทุกข์ ความรู้สึกทุกข์มันทวีพูนขึ้น จนกระทั่งเห็นว่าหายใจเข้าก็ทุกข์ หายใจออกก็ทุกข์ ทุกข์อยู่นั่นแหล่ะ สำรวจดูใจตัวเองก็สงบดีแต่ทำไมมันทุกข์ พอรู้ว่าทุกข์ ก็เลยพยายามหาสาเหตุว่าทุกข์เพราะอะไร แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ พอหาสาเหตุแห่งทุกข์ไม่เจอ ก็มานั่งคิดทบทวน เอ เราก็มีพร้อมหมดทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรจะทุกข์แล้ว ทำไมมันเกิดทุกข์ ทุกข์นี้มันมาจากไหน เมื่อหาสาเหตุของทุกข์ไม่ได้และไม่รู้มันมาจากไหน ก็เลยปล่อยให้มันทุกข์ไปอย่างนั้นแหล่ะ อยากทุกข์ก็ทุกข์ไป ฉันไม่ทุกข์ด้วยแล้ว ที่พูดว่าฉันไม่ทุกข์ด้วยแล้วใช่ว่าความทุกข์มันจะหายไปนะคะ คือยังไงก็ยังรู้ว่ามันทุกข์ แต่เราไม่ทุกข์กับมัน อาการนี้เป็นอยู่ 4 วัน หลังจากนั้นไม่นาน อาการทุกข์นี้ก็จางหายไปเองโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย
    พออีกไม่กี่วันมาอีกค่ะ ครั้งนี้มาอารมณ์ใหม่ อารมณ์ด่า มองเห็นอะไรในใจก็อยากด่า เห็นอะไรขวางหูขวางตาอยากจะด่าไปหมด ขับรถผ่านอะไรก็อยากด่า ตอนนี้เรารู้ทันมันแล้ว รู้ว่ามันอยากด่า อยากด่าก็ด่าเอง ฉันไม่ด่าด้วย แต่พออาการนี้เกิดขึ้นสักระยะหนึ่งเหมือนจะเข้าสมาธิวูบเพียงเสี้ยววินาที แล้วอยู่ๆความรู้สึกหนึ่งมันก็แว๊บขึ้นมา อ่าว นี่นิสัยคุณยายนี่ ( แบบว่าคุณยายที่รู้จักท่านชอบด่าลูกหลาน ใครทำอะไรไม่พอใจด่าแหลก) ไปเอานิสัยคุณยายมาอยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ แค่นี้แหล่ะค่ะ อารมณ์ที่อยากด่ามันก็หายไปทันทีเลย ตรงนี้ไม่ใช่คิดเองเออเองแน่นอน เพราะอารมณ์กับความคิดมันต่างกัน

    และก็มีอยู่เช้าวันหนึ่ง อยู่ๆก็เกิดอาการเริ่มปวดไหล่ ปวดมากขึ้นจนแทบจะทนไม่ได้ สภาวะนี้แรกๆจะยังแยกไม่ออก คิดแต่ว่ามีอะไรมากระทำให้ปวด เพราะตอนที่เดินไปส่องกระจกดูแววตาตัวเอง เห็นแววตาขวางๆยังไงไม่รู้ ก็รับรู้อาการปวดและก็สังเกตุดูไปด้วย ทีนี้ความปวดมันเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นมากขึ้น จนเกิดความเวทนาในกาย รู้ทั้งรู้แต่ว่าเราทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยให้มันปวดไป ทำได้ก็แค่รู้ว่ามันปวด พอได้สติแว๊บไปนึกถึงโพสท์ของคุณธรรม-ชาติที่บอกไว้ว่าให้ทำความรู้สึกทั้งตัว ก็ตั้งสติทำความรู้สึกทั้งตัว แต่ในใจตอนนั้นยังคร่ำครวญอีกนะว่า ทำไมปล่อยให้ปวดทรมานมากขนาดนี้ ส่งมาเกิดแล้วทำไมไม่ดูแลกัน ( แบบว่าปวดทรมาณจนคร่ำครวญในใจน่ะค่ะ) แต่ในระหว่างที่การคร่ำครวญในใจนั้นสิ้นสุดลง มันเหมือนมีอาการวูบขึ้นแล้วการคลายตัวจะคล้ายกับที่คุณธรรม-ชาติอธิบายเลยน่ะค่ะ แล้วอาการที่ปวดอย่างทรมานอยู่นั้นมันหายไปเหมือนปลิดทิ้งหมดเลย เหลือความสงบ โปร่งโล่ง เบา สบายมาแทน อาการนี้เพิ่งเป็นครั้งแรก แม้จะผ่านไปแล้ว ดับไปแล้ว แต่ก็ทำให้นึกถึงความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นของการอาการดังกล่าวอยู่เหมือนกัน ความคิดตอนนั้น คิดว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญ

    หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันต่อมา ช่วงเช้าตื่นนอนใหม่ๆมีอาการเริ่มปวดศรีษะ เวลาผ่านไปไม่กี่นาที ความปวดทวีความขึ้นอย่างรุนแรง ปวดมากจนแทบขยับศรีษะไม่ได้ เหมือนมีอะไรมาบีบรัดจนแน่นตึง เดินก็ต้องค่อยๆย่องเดินเบาๆ ปวดมากๆเข้า นึกขึ้นมาได้ว่าให้ทำความรู้สึกทั้งตัว ก็ตั้งสติกำหนดลมหายใจอยู่กับลมหายใจเข้าออกแล้วทำความรู้สึกทั้งตัว สักพักความปวดนั้นก็คลายและจางหายไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    พอครั้งหลังสุด ตื่นเช้ามาสังเกตุใจก็สงบนิ่งปกติ ทำโน้นทำนี่เสร็จเรียบร้อยเดินออกไปหน้าบ้าน หูไปกระทบกับเสียงสุนัขที่เลี้ยงไว้ เขากำลังเลียทำความสะอาดตัวเขาเองอยู่ เกิดความไม่พอใจหันไปมองเขาแบบตาขวางเลย อารมณ์รุ่มร้อนหงุดหงิดโมโหขึ้นมาทันทีทันใด อีกใจหนึ่งผุดคิดขึ้นมา อาการนี้ไม่ใช่แล้วนะ ฉันให้ความรักความเมตตาและเลี้ยงดูเขาอย่างดี ไม่เคยมีจิตขุ่นเคืองอะไรเลย ทำไมวันนี้เป็นอย่างนี้ เดินไปส่องกระจก มองไปที่ตาตัวเองแล้วเพ่งดูในตา เห็นแววตาที่ฉายออกจากดวงตามากระทบ ทำให้รู้สึกได้ทันทีเลยว่านั่นไม่ใช่เราจริงๆ เป็นใครมาจากไหน เกิดอาการปฏิเสธขึ้นมาโดยอัตโนมัติ หลังจากนั้นก็เริ่มร้อนตามแขน ไหล่ แล้วรู้สึกหนักๆท้ายทอย ตึงๆอยู่ตรงกลางกระหม่อม สภาวะนี้ตอนที่แววตามากระทบทำให้จิตกระเพื่อมพอสมควร แต่ใจตอนนั้นเต็มร้อย ถ้ากำลังสมาธิไม่เพียงพอ จิตตก สามารถทำให้สติแตกพล่านได้เหมือนกัน สภาวะนี้ การคลายตัวจะคล้ายๆกับสภาวะที่ปวดไหล่น่ะค่ะ

    ** ตัวดู" ในขณะที่มันอยู่ในสภาพ จางคลาย มันจะกลายมาเป็น ธรรมารมณ์ ชนิดหนึ่ง ในขณะที่มัน ถูกรู้ ด้วย สติที่เป็นสมาธิ พลังแห่งสตินี้ จะสามารถผลักดันให้มันหลุดออกไปและสลายตัวได้ และในขณะนั้น ๆ สามารถกล่าวได้ว่า "เป็นการปลดเปลื้องภาระทั้งมวล" หรือเรียกได้ว่า "หมดภาระทางจิต" ใช่ไหมครับ **
    กราบขอบพระคุณมากค่ะที่อธิบายได้ตรงกับอาการที่เกิดขึ้น ประโยคนี้อ่านแล้วทำให้น้ำตาไหลพรากออกมาเองจนกลั้นไว้ไม่อยู่เลยค่ะ เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ ตอนนี้เริ่มพอจะรู้แล้วว่า ความทุกข์เวทนาทั้งหลายที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นจากขันธ์5ปรุงแต่งขั้นมา
    นับว่าเป็นบุญวาสนาของตัวเองอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาพบคุณในเว็บพลังจิตแห่งนี้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว ดิฉันคงยังจะเป็นเหมือนกับคนตาบอดคลำช้างอยู่น่ะค่ะ ทุกวันนี้พอตื่นนอนปุ๊บก็ทำสติอยู่กับความรู้สึกตัว จะกิน จะเดิน จะขับรถ จะทำอะไรก็ให้รู้สึกตัว ก็มีบ้างที่เวลาคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้แล้วเผลอ แต่เมื่อรู้ว่าเผลอก็จะรีบดึงกลับคืนมาทันที การทำสติให้รู้สึกทั้งตัวอยู่เสมอ จะสังเกตเห็นสรีระตัวเองมีการขับเคลื่อนช้า ถึงแม้จะขับเคลื่อนช้า แต่สังเกตุเห็นกำลังของสติทำให้เกิดปัญญาขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ขอกราบขอบพระคุณคุณธรรม-ชาติอีกครั้งนะคะที่แนะนำวิธีปฏิบัติให้ ถ้าคุณธรรม-ชาติมีอะไรแนะนำเพิ่มเติมในการปฏิบัติก็บอกได้นะคะ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    การปรึกษา สนทนาธรรมเกี่ยวกับสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น หากจะให้ดีแล้ว ผู้ที่เราปรึกษาด้วยหรือผู้ที่จะให้คำแนะนำเราได้ดี ย่อมต้องเป็นผู้ปฏิบัติที่มีประสบการณ์และเคยผ่านสภาวะนั้นๆมาก่อน นั่นจึงจะทำให้คนที่ได้รับฟังได้รับรับคำแนะนำ เข้าใจง่ายและปฏิบัติได้เร็วขึ้น ตัวดิฉันเองเพิ่งจะมาได้สัมผัสกับอานิสงค์ของสติปัฏฐาน4ก็จากที่คุณธรรม-ชาติแนะนำให้ปฏิบัตินี่ล่ะค่ะ

    +++ ครับ ผู้ที่เคยผ่านมาแล้วย่อมรู้ว่าปรากฏการณ์นั้น ๆ มีความเป็นมาอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือมีวิธีฝ่าด่านนั้น ๆ ด้วยวิธีใดจึงออกมาได้ ส่วนอานิสงค์ของมหาสติปัฏฐาน 4 นั้น หลวงปู่มั่นเคยกล่าวไว้ว่า "สติปัฏฐานเป็นความรู้อนันตนัย ไม่มีประมาณ ไม่เหมือนความรู้ชนิดอื่น สนทิฏฐิโก เห็นได้เฉพาะนักปฏิบัติ ปจจตตํ รู้ได้ด้วยตน รู้ธรรมลึกลับ สุขุมคัมภีรภาพ" และจริง ๆ แล้วผมเองก็ยังไม่เคยเห็นเลยว่าจะมีกรรมฐานใดหลุดออกไปนอกวงของ มหาสติปัฏฐาน 4 นี้ได้ ส่วนใหญที่ติดกันไป ๆ มา ๆ ก็ติดกันอยู่ในความคิดตนเองทั้งนั้น

    (1) แล้วมีอยู่วันหนึ่งขับรถออกไปข้างนอก ช่วงเวลาที่กำลังขับๆอยู่ อยู่ๆก็รู้สึกหงุดหงิด และช่วงเสี้ยววินาทีที่รู้ว่ามีอาการอย่างนั้นเกิดขึ้น มันมีความคิดหนึ่งผุดออกมาจากใจเองทันทีทันใดเลยว่า นี่มันไม่ใช่นิสัยเรา เราไม่ใช่คนนิสัยอย่างนี้ ไปเอานิสัยนี้มาจากไหน แต่แล้วอยู่ๆเหมือนจะเกิดสมาธิวูบเพียงเสี้ยววินาที นิมิตเห็นหน้าพี่คนหนึ่ง(ซึ่งพี่คนนี้เป็นคนเจ้าอารมณ์หงุดหงิดแล้วพาล) แว๊บขึ้นแล้วก็หายไป จากนั้นอารมณ์หงุดหงิดร้อนรุ่มนั้นมันหายไปเหมือนปลิดทิ้งเลยน่ะค่ะ

    (2) หลังจากนั้นไม่กี่วันก็เกิดอีก อยู่ๆก็ค่อยๆเกิดอารมณ์ทุกข์ขึ้นมา จนกระทั่งเห็นว่าหายใจเข้าก็ทุกข์ หายใจออกก็ทุกข์ ทุกข์อยู่นั่นแหล่ะ สำรวจดูใจตัวเองก็สงบดีแต่ทำไมมันทุกข์ พอรู้ว่าทุกข์ ก็เลยพยายามหาสาเหตุว่าทุกข์เพราะอะไร แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เมื่อหาสาเหตุของทุกข์ไม่ได้และไม่รู้มันมาจากไหน ก็เลยปล่อยให้มันทุกข์ไปอย่างนั้นแหล่ะ อยากทุกข์ก็ทุกข์ไป ฉันไม่ทุกข์ด้วยแล้ว ที่พูดว่าฉันไม่ทุกข์ด้วยแล้วใช่ว่าความทุกข์มันจะหายไปนะคะ คือยังไงก็ยังรู้ว่ามันทุกข์ แต่เราไม่ทุกข์กับมัน อาการนี้เป็นอยู่ 4 วัน หลังจากนั้นไม่นาน อาการทุกข์นี้ก็จางหายไปเองโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย

    (3) พออีกไม่กี่วันมาอีกค่ะ ครั้งนี้มาอารมณ์ใหม่ อารมณ์ด่า มองเห็นอะไรในใจก็อยากด่า เห็นอะไรขวางหูขวางตาอยากจะด่าไปหมด ขับรถผ่านอะไรก็อยากด่า ตอนนี้เรารู้ทันมันแล้ว รู้ว่ามันอยากด่า อยากด่าก็ด่าเอง ฉันไม่ด่าด้วย แต่พออาการนี้เกิดขึ้นสักระยะหนึ่งเหมือนจะเข้าสมาธิวูบเพียงเสี้ยววินาที แล้วอยู่ๆความรู้สึกหนึ่งมันก็แว๊บขึ้นมา อ่าว นี่นิสัยคุณยายนี่ ( แบบว่าคุณยายที่รู้จักท่านชอบด่าลูกหลาน ใครทำอะไรไม่พอใจด่าแหลก) ไปเอานิสัยคุณยายมาอยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ แค่นี้แหล่ะค่ะ อารมณ์ที่อยากด่ามันก็หายไปทันทีเลย ตรงนี้ไม่ใช่คิดเองเออเองแน่นอน เพราะอารมณ์กับความคิดมันต่างกัน

    +++ อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้นั่นแหละครับว่าคุณ จิตวิญญาณ มีจิตที่โลดโผนมาก เป็นจริตที่มีนิสัยและวาสนาอยู่เลยออกไปจากสุขขะวิปัสสะโก แถมยังเป็นพุทธะจริตอีกด้วย จากข้อ (1)-(3) รวมทั้ง (4) ข้างล่างด้วย อันนี้เป็นข้อ "ขาดทุนทางจิต" ของผู้ที่มีขีดความสามารถที่จะไปรับรู้อารมณ์ของจิตอื่นเข้ามาได้ แม้จะระแวงว่า "มันไม่ใช่ของเรา" ก็ตามแต่ก็รับเข้าไว้เต็ม ๆ ซะแล้ว ข้อ (1) โดนไป 2 วัน ข้อ (2) โดนอีก 4 วัน ข้อ (3-4) ถือว่าจ่ายดอกเบี้ยก็แล้วกัน(deejai) ผมเคยพิสูจน์เรื่องพวกนี้มาก่อน ถือว่าเล่าสู่กันฟังนะครับ

    +++ สมัยที่ผมยังเร่งความเพียรอย่างจัด ๆ เคยเดินจงกรมในสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง บนเขาในป่าภูพานตอนดึก ๆ ในขณะเดินจงกรม จู่ ๆ ก็เกิดความกลัววูปหนี่งจับใจแบบผิดปกติ จนถึงกับต้องหยุดร่างกายค้างไว้ในอิริยาบทนั้นทันที ดีที่ผมมีไฟฉายติดตัวไว้ด้วย เลยเอาออกมาส่องดู พบว่า ถ้าเท้าของผมเดินต่อไป ต้องเหยียบคางคกตัวหนึ่งแน่ มันกลัวมากถึงขนาดนอนแนบตัวอยู่บนทางจงกรมแบบโดดไม่ทัน ดูแววตาของมันจึงรู้ได้ว่า เราไปรับความกลัวมาจากจิตมันนั่นเอง จากประสพการณ์อันนี้ ทำให้ผมต้องคอยสังเกตุและจับอารมณ์ของจิตตนเองอยู่เสมอ จนพอสรุปได้ว่า หลายครั้งจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความคิดก็ตาม อารมณ์ก็ตาม ที่ปรากฏขึ้นมานั้น เราไม่ได้สร้างมันขึ้น แต่ไปรับเอาของคนอื่นเขามา ถ้าสติไม่ละเอียดพอก็จะนึกว่าตนเองฟุ้งซ่านซะอีกด้วย นี่เป็นการ "ขาดทุนทางจิต" จริง ๆ

    +++ แต่จริง ๆ แล้ว นี่คือคุณสมบัติทางจิตที่มีเหมือน ๆ กันทุกดวง มันเป็นธรรมชาติของจิตที่มีคุณสมบัตินี้ในตัวเองอยู่แล้ว แต่ที่แตกต่างกันนั้น มันอยู่ที่คุณสมบัติของ สติ ของแต่ละบุคคลเท่านั้น หากผู้ใดที่ฝึกสติจนละเอียดเพียงพอแล้ว ก็จะรู้ได้ว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดา และเป็นความจริง ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้สติก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องของอภิญญา และเป็นเรื่องความเชื่อนั่นเอง

    +++ ย้อนกลับไปดูคำพูดของหลวงปู่มั่นข้างบนอีกทีนะครับ จะเห็นได้ว่า หนีไม่พ้นมหาสติปัฏฐานจริง ๆ อีกนั่นแหละ ส่วนวิธีดูว่ามันมาจากใครนั้น ให้หยุด หรือ ตรึง ความคิดหรืออารมณ์ที่แปลกปลอมเข้ามานั้น แล้วใช้ตัวดู ดูแบบแตะแผ่ว ๆ ที่ตรงกลางของปรากฏการณ์นั้น ก็จะรู้ได้ว่า ใครมันส่งมาฟ้องเรา หากพิจารณาแล้วเห็นว่าไร้สาระ ก็ให้จางคลายหรือวางตัวดูลง แล้วกำหนดรู้สึกตัว ก็จะวางได้เอง ให้หมั่นสังเกตุสิ่งแปลกปลอมทางจิตนี้ไว้เรื่อย ๆ ก็จะชำนาญในเรื่องของจิตได้เอง นะครับ

    และก็มีอยู่เช้าวันหนึ่ง อยู่ๆก็เกิดอาการเริ่มปวดไหล่ ปวดมากขึ้นจนแทบจะทนไม่ได้ สภาวะนี้แรกๆจะยังแยกไม่ออก คิดแต่ว่ามีอะไรมากระทำให้ปวด เพราะตอนที่เดินไปส่องกระจกดูแววตาตัวเอง เห็นแววตาขวางๆยังไงไม่รู้ ก็รับรู้อาการปวดและก็สังเกตุดูไปด้วย ทีนี้ความปวดมันเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นมากขึ้น จนเกิดความเวทนาในกาย รู้ทั้งรู้แต่ว่าเราทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยให้มันปวดไป ทำได้ก็แค่รู้ว่ามันปวด พอได้สติแว๊บไปนึกถึงโพสท์ของคุณธรรม-ชาติที่บอกไว้ว่าให้ทำความรู้สึกทั้งตัว ก็ตั้งสติทำความรู้สึกทั้งตัว แต่ในใจตอนนั้นยังคร่ำครวญอีกนะว่า ทำไมปล่อยให้ปวดทรมานมากขนาดนี้ ส่งมาเกิดแล้วทำไมไม่ดูแลกัน ( แบบว่าปวดทรมาณจนคร่ำครวญในใจน่ะค่ะ) แต่ในระหว่างที่การคร่ำครวญในใจนั้นสิ้นสุดลง มันเหมือนมีอาการวูบขึ้นแล้วการคลายตัวจะคล้ายกับที่คุณธรรม-ชาติอธิบายเลยน่ะค่ะ แล้วอาการที่ปวดอย่างทรมานอยู่นั้นมันหายไปเหมือนปลิดทิ้งหมดเลย เหลือความสงบ โปร่งโล่ง เบา สบายมาแทน อาการนี้เพิ่งเป็นครั้งแรก แม้จะผ่านไปแล้ว ดับไปแล้ว แต่ก็ทำให้นึกถึงความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นของการอาการดังกล่าวอยู่เหมือนกัน ความคิดตอนนั้น คิดว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญ

    หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันต่อมา ช่วงเช้าตื่นนอนใหม่ๆมีอาการเริ่มปวดศรีษะ เวลาผ่านไปไม่กี่นาที ความปวดทวีความขึ้นอย่างรุนแรง ปวดมากจนแทบขยับศรีษะไม่ได้ เหมือนมีอะไรมาบีบรัดจนแน่นตึง เดินก็ต้องค่อยๆย่องเดินเบาๆ ปวดมากๆเข้า นึกขึ้นมาได้ว่าให้ทำความรู้สึกทั้งตัว ก็ตั้งสติกำหนดลมหายใจอยู่กับลมหายใจเข้าออกแล้วทำความรู้สึกทั้งตัว สักพักความปวดนั้นก็คลายและจางหายไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    (4) พอครั้งหลังสุด ตื่นเช้ามาสังเกตุใจก็สงบนิ่งปกติ ทำโน้นทำนี่เสร็จเรียบร้อยเดินออกไปหน้าบ้าน หูไปกระทบกับเสียงสุนัขที่เลี้ยงไว้ เขากำลังเลียทำความสะอาดตัวเขาเองอยู่ เกิดความไม่พอใจหันไปมองเขาแบบตาขวางเลย อารมณ์รุ่มร้อนหงุดหงิดโมโหขึ้นมาทันทีทันใด อีกใจหนึ่งผุดคิดขึ้นมา อาการนี้ไม่ใช่แล้วนะ ฉันให้ความรักความเมตตาและเลี้ยงดูเขาอย่างดี ไม่เคยมีจิตขุ่นเคืองอะไรเลย ทำไมวันนี้เป็นอย่างนี้ เดินไปส่องกระจก มองไปที่ตาตัวเองแล้วเพ่งดูในตา เห็นแววตาที่ฉายออกจากดวงตามากระทบ ทำให้รู้สึกได้ทันทีเลยว่านั่นไม่ใช่เราจริงๆ เป็นใครมาจากไหน เกิดอาการปฏิเสธขึ้นมาโดยอัตโนมัติ หลังจากนั้นก็เริ่มร้อนตามแขน ไหล่ แล้วรู้สึกหนักๆท้ายทอย ตึงๆอยู่ตรงกลางกระหม่อม สภาวะนี้ตอนที่แววตามากระทบทำให้จิตกระเพื่อมพอสมควร แต่ใจตอนนั้นเต็มร้อย ถ้ากำลังสมาธิไม่เพียงพอ จิตตก สามารถทำให้สติแตกพล่านได้เหมือนกัน สภาวะนี้ การคลายตัวจะคล้ายๆกับสภาวะที่ปวดไหล่น่ะค่ะ

    ** ตัวดู" ในขณะที่มันอยู่ในสภาพ จางคลาย มันจะกลายมาเป็น ธรรมารมณ์ ชนิดหนึ่ง ในขณะที่มัน ถูกรู้ ด้วย สติที่เป็นสมาธิ พลังแห่งสตินี้ จะสามารถผลักดันให้มันหลุดออกไปและสลายตัวได้ และในขณะนั้น ๆ สามารถกล่าวได้ว่า "เป็นการปลดเปลื้องภาระทั้งมวล" หรือเรียกได้ว่า "หมดภาระทางจิต" ใช่ไหมครับ **

    กราบขอบพระคุณมากค่ะที่อธิบายได้ตรงกับอาการที่เกิดขึ้น ประโยคนี้อ่านแล้วทำให้น้ำตาไหลพรากออกมาเองจนกลั้นไว้ไม่อยู่เลยค่ะ เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ ตอนนี้เริ่มพอจะรู้แล้วว่า ความทุกข์เวทนาทั้งหลายที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นจากขันธ์5ปรุงแต่งขั้นมา

    +++ ถูกแล้วครับ ส่วนใหญ่มาจากขันธ์เราเอง แต่บางส่วนก็ไปรับเขามาแล้วก็แบกเอาไว้เหมือนกัน ต้องหมั่นสังเกตุดี ๆ นะครับ

    นับว่าเป็นบุญวาสนาของตัวเองอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาพบคุณในเว็บพลังจิตแห่งนี้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว ดิฉันคงยังจะเป็นเหมือนกับคนตาบอดคลำช้างอยู่น่ะค่ะ ทุกวันนี้พอตื่นนอนปุ๊บก็ทำสติอยู่กับความรู้สึกตัว จะกิน จะเดิน จะขับรถ จะทำอะไรก็ให้รู้สึกตัว ก็มีบ้างที่เวลาคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้แล้วเผลอ แต่เมื่อรู้ว่าเผลอก็จะรีบดึงกลับคืนมาทันที การทำสติให้รู้สึกทั้งตัวอยู่เสมอ จะสังเกตเห็นสรีระตัวเองมีการขับเคลื่อนช้า ถึงแม้จะขับเคลื่อนช้า แต่สังเกตุเห็นกำลังของสติทำให้เกิดปัญญาขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ขอกราบขอบพระคุณคุณธรรม-ชาติอีกครั้งนะคะที่แนะนำวิธีปฏิบัติให้ ถ้าคุณธรรม-ชาติมีอะไรแนะนำเพิ่มเติมในการปฏิบัติก็บอกได้นะคะ

    +++ ความรู้สึกตัว เป็น เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน เมื่อได้แล้ว จะทำให้ สติ ทรงตัวและละเอียดไปเรื่อย ๆ ได้เอง เมื่อละเอียดจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะเริ่มเห็น จิตขันธ์ และ อารมณ์ขันธ์ ได้เอง เรียกว่า เข้าสู่ จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน และ ธรรมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ด้วยวิถีทางธรรมชาติแห่งตัวสติเอง ทุกอย่างจะเป็นไปเองโดยธรรมชาติทั้งสิ้น และ ไม่มีความนึกคิดเข้ามาปรุงแต่งแต่อย่างใดทั้งสิ้น

    +++ จากการที่คุณเริ่มสังเกตุสิ่งแปลกปลอมทางจิตได้ ต่อไปให้หัด สังเกตุจิตตนเองตรง ๆ โดยไม่ต้องใช้กระจกเป็นตัวช่วยดูนะครับ อาจทำให้สติของคุณมีความละเอียดมากขึ้น และว่องไวมากขึ้นอีกด้วย ให้สังเกตุความก้าวหน้าในขณะนี้กับเมื่อก่อนสัก 3-4 เดือนที่แล้วดูว่าต่างกันอย่างไรบ้างนะครับ
     
  11. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    กราบขอบคุณมากค่ะคุณธรรม-ชาติ คำอธิบายและคำชี้แจงของคุณทำให้ความเคลือบแคลงสงสัยที่เคยมีหายหมดสิ้นไปได้มากเลยทีเดียว เรื่องที่ พอสังเกตุว่ามีสิ่งแปลกปลอมทางจิตแล้วเดินไปส่งกระจกดูสายตาตัวเอง เรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปน่ะค่ะ

    เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งดิฉันได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งโดยบังเอิญ หลังจากนั้นก็ได้พบปะพูดคุยกับเธอประมาณ 4-5 ครั้งได้ โดยทุกครั้งเธอจะพาคุณแม่เธอมาด้วย และทุกครั้งที่ดิฉันได้พูดคุยกับคุณแม่เธอ ดิฉันจะสังเกตเห็นดวงตาคุณแม่ของเธอไม่มีแววตาน่ะค่ะ ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็จะคล้ายๆกับดวงตารูปปั้นหุ่นปูนที่ไร้แววตา ทำให้ดิฉันมีความรู้สึกว่าที่ดิฉันกำลังพูดคุยอยู่ด้วยนี่ไม่ใช่แม่เธอ แม่เธอเป็นเพียงแค่สังขารเท่านั้น ก็นับตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ค้นคว้าศึกษาหาความรู้ไปเรื่อยๆว่ามันคืออะไร โดยการสังเกตดูแววตาเพื่อนๆและตัวเองนี่ล่ะค่ะ แต่ดวงตาของเพื่อนๆหรือของตัวเองไม่ว่าจะตาเหลืองตาแดงตาปูดก็เห็นมีแววตาทุกคนนะคะ เพียงแค่เห็นแต่ละแววตาบ่งบอกอารมณ์ที่แตกต่างกันไป ถ้ามีอะไรแฝงก็จะรู้สึกเองว่ามีอะไรแฝง รู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ แค่ได้รู้ไปงั้นแหล่ะ แต่สำหรับคุณแม่ของเธอ ดิฉันดูหลายครั้งแล้วก็ไม่เห็นมีแววตาจริงๆน่ะค่ะ ก็ไม่ได้ติดใจอะไรนะคะ แค่จะศึกษาหาความรู้ว่าคืออะไรเท่านั้นเอง เดี๋ยวต่อไปจะพยายามไม่ใช้กระจกเป็นตัวช่วยแล้วค่ะ ที่ผ่านมาทำเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง อีกอย่างคงเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเองเออเองน่ะค่ะ

    ช่วงนี้จิตใจจะสงบมาก แต่สังเกตุว่าจะคิดฟุ้งซ่านเป็นบางครั้งน่ะค่ะ บางครั้งหยุดความคิดไม่ได้ก็ปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านจนเหนื่อย พอเหนื่อยก็หยุดคิดเอง ตอนนี้เริ่มหาอุบายวิธีระงับการคิดฟุ้งซ่านให้ตัวเองได้แล้ว พอรู้ว่าคิดฟุ้งซ่านเมื่อไหร่ก็กำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกก่อนแล้วตามด้วยความรู้สึกทั้งตัว ก็สังเกตุได้ผลนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2012
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    เรื่องที่ พอสังเกตุว่ามีสิ่งแปลกปลอมทางจิตแล้วเดินไปส่งกระจกดูสายตาตัวเอง เรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปน่ะค่ะ

    เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งดิฉันได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งโดยบังเอิญ หลังจากนั้นก็ได้พบปะพูดคุยกับเธอประมาณ 4-5 ครั้งได้ โดยทุกครั้งเธอจะพาคุณแม่เธอมาด้วย และทุกครั้งที่ดิฉันได้พูดคุยกับคุณแม่เธอ ดิฉันจะสังเกตเห็นดวงตาคุณแม่ของเธอไม่มีแววตาน่ะค่ะ ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็จะคล้ายๆกับดวงตารูปปั้นหุ่นปูนที่ไร้แววตา ทำให้ดิฉันมีความรู้สึกว่าที่ดิฉันกำลังพูดคุยอยู่ด้วยนี่ไม่ใช่แม่เธอ แม่เธอเป็นเพียงแค่สังขารเท่านั้น ก็นับตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็ค้นคว้าศึกษาหาความรู้ไปเรื่อยๆว่ามันคืออะไร โดยการสังเกตดูแววตาเพื่อนๆและตัวเองนี่ล่ะค่ะ แต่ดวงตาของเพื่อนๆหรือของตัวเองไม่ว่าจะตาเหลืองตาแดงตาปูดก็เห็นมีแววตาทุกคนนะคะ เพียงแค่เห็นแต่ละแววตาบ่งบอกอารมณ์ที่แตกต่างกันไป ถ้ามีอะไรแฝงก็จะรู้สึกเองว่ามีอะไรแฝง รู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ แค่ได้รู้ไปงั้นแหล่ะ แต่สำหรับคุณแม่ของเธอ ดิฉันดูหลายครั้งแล้วก็ไม่เห็นมีแววตาจริงๆน่ะค่ะ ก็ไม่ได้ติดใจอะไรนะคะ แค่จะศึกษาหาความรู้ว่าคืออะไรเท่านั้นเอง เดี๋ยวต่อไปจะพยายามไม่ใช้กระจกเป็นตัวช่วยแล้วค่ะ ที่ผ่านมาทำเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง อีกอย่างคงเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเองเออเองน่ะค่ะ

    +++ คุณ จิตวิญญาณ มีการสังเกตุการณ์ที่ดีมาก เพื่อความเข้าใจที่ละเอียดกว่าเดิมถึงกระบวนการทำงานของจิต ผมจะใช้เรื่อง แววตา ที่คุณโพสท์มาเพื่อเป็น Case Study อธิบายกับตัวคุณเองดังนี้

    +++ แววตา ที่คุณเห็นนั้น เกิดจาก "ตัวดู" ของบุคคลนั้น ๆ "ส่งออกมา" โดยที่มี "ธรรมารมณ์" ของบุคคลนั้นหนุนอยู่ข้างหลัง ส่วนที่คุณบอกว่า "แต่ละแววตาบ่งบอกอารมณ์ที่แตกต่างกันไป" นั้นถูกต้อง เพราะ "ธรรมารมณ์" ในแต่ละขณะ จะต่างกันออกไป ซึ่งจิตทุกดวงจะเป็นเหมือนกันหมด อันเป็นมาตรฐานเดียวกันตามธรรมชาติแห่งความเป็นจิต รวมทั้งตัวคุณและตัวผมด้วย ไม่มีข้อยกเว้น การเห็นแววตานั้น จัดเป็น รูปธรรม ส่วนความรู้สึกถึงเจ้าของแววตานั้นเป็น นามธรรม ตรงนี้เรียกได้ว่า รู้ความรู้สึกทางจิต หรือ ธรรมารมณ์ ของจิตอื่นได้ ตรงนี้เป็นการรับรู้ของสภาวะรู้ ต่อจากนั้น ตัวดูของคุณจึงรับช่วงมาจากสภาวะรู้นี้อีกที แล้วจึงก่อเกิดเป็น "ความเข้าใจ" ในตัวดูของคุณ

    +++ สรุปในรูปแบบของสมการได้ดังนี้ (1) ตัวดูส่งออก ด้วยการผลักดันของ ธรรมารมณ์ ในจิตอื่น (2) ธรรมารมณ์ ปรากฏใน "สภาวะรู้ อันเป็นกลาง" ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ (3) สภาวะรู้ มีอยู่ในจิตทุกดวง ขึ้นอยู่ที่ว่า ใครมีขีดความสามารถที่จะรู้มันได้ (4) สภาวะรู้อันเป็นกลาง ที่คุณรู้ได้ (เพราะมีสติ) จึงสัมผัสธรรมารมณ์ที่ผลิตมาจากจิตอื่น และ "ถูกส่งมาฟ้องจากตัวดูของเจ้าของธรรมารมณ์นั้น ๆ" (5) ธรรมารมณ์นั้น ๆ ปรากฏในสภาวะรู้ "ที่ตัวดูของคุณรับมาจาก สภาวะรู้ในคุณ" (6) ตัวดูของคุณ รับ ธรรมารมณ์นั้น ๆ มาทำงานต่อ โดยแปรรูปมาเป็นความเข้าใจของคุณ

    +++ ตัวอย่างนี้ หากคุณเอากระดาษและปากกามาร่างเป็นแผนผัง อาจทำให้คุณเข้าใจได้ดีขึ้น เพราะเป็นเรื่องการทำงานของจิต ในสภาวะของ "วาระจิตละเอียด" คำศัพท์ในภาษาบาลีเรียกการทำงานของจิตชนิดนี้ว่า "เจโตปริยญาณ" ซึ่งจริง ๆ แล้วมีอยู่ในจิตทุกดวงอย่างเท่าเทียมกัน เพียงแต่ใครพอที่จะมีสติในการรับรู้ได้เท่านั้นเอง

    +++ ดังนั้นให้สังเกตุดูนะครับว่า การรู้ในเรื่องนี้ จริง ๆ แล้ว ตัวดูของคุณรับมันมาจาก สภาวะรู้ในตัวคุณนั่นเอง โดยที่จิตของคุณไม่ได้มีการส่งออกแต่ประการใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนแววตาต่าง ๆ นั้น ทำให้คุณ "รู้สึก" ผิดสังเกตุได้ และเจ้า "รู้สึก" นี้ เกิดขึ้น "ภายใน" ตัวคุณ จึงทำให้ "สติ" ของคุณจัดการกับกระบวนการทางจิตนี้ได้ ตามสภาวะทางธรรมชาติของมันนั่นเอง หาได้เป็นอภินิหารแต่ประการใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่เหมือนกับความเข้าใจโดยทั่วไปในสังคม ที่ไม่มีความสามารถในการเข้าใจการทำงานในจิตตนเองได้เลย ดังนั้นเมื่อคุณเข้าใจกระบวนการทำงานนี้ได้แล้ว หากสามารถจับอาการผิดสังเกตุได้อีก ให้กำหนดรู้เบา ๆ แล้วใช้ตัวดูของคุณ แตะปรากฏการณ์นั้น ๆ แค่เบา ๆ เท่านั้น ทุกอย่างก็จะรู้ได้เองนะครับ

    ช่วงนี้จิตใจจะสงบมาก แต่สังเกตุว่าจะคิดฟุ้งซ่านเป็นบางครั้งน่ะค่ะ บางครั้งหยุดความคิดไม่ได้ก็ปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านจนเหนื่อย พอเหนื่อยก็หยุดคิดเอง ตอนนี้เริ่มหาอุบายวิธีระงับการคิดฟุ้งซ่านให้ตัวเองได้แล้ว พอรู้ว่าคิดฟุ้งซ่านเมื่อไหร่ก็กำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกก่อนแล้วตามด้วยความรู้สึกทั้งตัว ก็สังเกตุได้ผลนะคะ

    +++ ตอนนี้คุณยังใช้ ลม เป็นอุปกรณ์อยู่ ต่อไปให้ฝึก กำหนดรู้สึกตัวตรง ๆ และ เร่งให้มันเข้าที่ จากจิตของคุณโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านลมหายใจอีก เพื่อเป็นการประหยัดวาระการทำงานของจิตไปในตัวด้วย เพราะต่อไปอีกไม่นาน การเดินทางของสติและจิตจะละเอียดลงไปเรื่อย ๆ การกำหนดของจิตจะฟุ่มเฟือยมากไม่ได้ เพราะอาจทำให้พลาดโอกาสในสภาวะธรรมที่ละเอียดมาก ๆ ได้นะครับ
     
  13. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ สมัยที่ผมยังเร่งความเพียรอย่างจัด ๆ เคยเดินจงกรมในสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง บนเขาในป่าภูพานตอนดึก ๆ ในขณะเดินจงกรม จู่ ๆ ก็เกิดความกลัววูปหนี่งจับใจแบบผิดปกติ จนถึงกับต้องหยุดร่างกายค้างไว้ในอิริยาบทนั้นทันที ดีที่ผมมีไฟฉายติดตัวไว้ด้วย เลยเอาออกมาส่องดู พบว่า ถ้าเท้าของผมเดินต่อไป ต้องเหยียบคางคกตัวหนึ่งแน่ มันกลัวมากถึงขนาดนอนแนบตัวอยู่บนทางจงกรมแบบโดดไม่ทัน ดูแววตาของมันจึงรู้ได้ว่า เราไปรับความกลัวมาจากจิตมันนั่นเอง จากประสพการณ์อันนี้ ทำให้ผมต้องคอยสังเกตุและจับอารมณ์ของจิตตนเองอยู่เสมอ จนพอสรุปได้ว่า หลายครั้งจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความคิดก็ตาม อารมณ์ก็ตาม ที่ปรากฏขึ้นมานั้น เราไม่ได้สร้างมันขึ้น แต่ไปรับเอาของคนอื่นเขามา ถ้าสติไม่ละเอียดพอก็จะนึกว่าตนเองฟุ้งซ่านซะอีกด้วย นี่เป็นการ "ขาดทุนทางจิต" จริง ๆ


    ตอนนี้พอจะทราบแล้วค่ะว่าไปรับเอาความคิดฟุ้งซ่านมาจากไหน

    ก่อนจะมีอาการนี้ ช่วงเช้าวันหนึ่งดิฉันออกไปทำธุระข้างนอกน่ะค่ะ เสร็จแล้วก็ไปหาทานข้าวที่ food court ก็สังเกตเห็นโต๊ะด้านหลังดิฉันจะมีผู้ชายไทยที่เสียสติคนหนึ่ง เขาแต่งตัวเหมือนคาวบอยเดินวนไปวนมาแล้วนั่งลงเก้าอี้ (ซึ่งจำได้ว่าก่อนหน้านั้นก็เคยเห็นผู้ชายคนนี้เดินตามริมถนนพูดอยู่คนเดียวบ่อยมาก) พี่ที่ไปด้วยพูดว่ารู้สึกสงสารและเสียใจที่เขาเป็นอย่างนั้น หลังจากนั้นก็คุยกันว่าไม่รู้เขาหิวข้าวหรือเปล่า เดี๋ยวเราให้เงินเขาเป็นค่าอาหารดีไหม ช่วงที่ดิฉันหยิบเงินแล้วมองไปที่เขา สังเกตุเห็นเขาชำเรืองตา มองซ้ายมองขวาไปมาหลายรอบมีความรู้สึกไม่น่าไว้ใจน่ะค่ะ และขณะที่ดิฉันกำลังลังเลใจที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเดินเอาเงินไปให้เขา ก็เห็นเขาลุกขึ้นแล้วเดินมายืนข้างโต๊ะที่ดิฉันนั่งอยู่แล้วชี้นิ้วแสดงท่าทางพร้อมกับพูดเป็นภาษาอังกฤษแปลไทยว่า “ ยูให้เงินไม่ได้ ยูให้เงินไม่ได้ ไปสถานีตำรวจ ยูให้เงินไม่ได้ ไปสถานีตำรวจเยอรมัน จ่ายห้าพัน ยูให้เงินไม่ได้ “ ตอนนั้นก็ได้แต่นั่งมองหน้าเขาฟังเขาพูดจนจบแล้วดิฉันก็ยื่นเงินให้พี่นั่งอยู่ด้วยเก็บเข้ากระเป๋า จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็เดินหนีไป หลังจากนั้นก็เดินออกมานอกห้างเพื่อขึ้นรถ ก็สังเกตดูและรู้ใจตัวเองตั้งแต่แรกแล้วนะคะว่าจิตใจสงบนิ่งมาก ไม่มีอารมณ์โกรธไม่มีความคิดตำหนิติเตียนเขาแต่อย่างใด เป็นอารมณ์ที่ปล่อยวางน่ะค่ะ พอสักพักอยู่ๆก็ไปคิดนึกภาพที่ผู้ชายคนนั้นกำลังยืนพูดอยู่ คิดไปคิดมาเกิดความรู้สึกสงสารเขาที่เห็นสภาพเขาตกอยู่ในความลำบาก หลังจากนั้นก็คิดมาเรื่อยๆ ไม่รู้คิดอะไรต่ออะไรเรื่อยเปื่อยจนเหมือนคิดฟุ้งซ่านน่ะค่ะ รู้ว่าคิดจนสมองเหนื่อย แต่ใจไม่ทุกข์อะไรนะคะ บางครั้งเวลาจะเดินไปหยิบของก็เผลอเดินผ่านเลย พอสติกลับมานึกขึ้นได้อ่าว จะเดินมาหยิบของแล้วทำไมเดินเลยมาถึงนี่ จะไปทิ้งขยะก็เผลอเดินเลยถังขยะ ก็ยังนึกๆอยู่ว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ท่าทางจะเป็นเอามาก พออาการคิดฟุ้งซ่านนี้หายไปแล้ว เลยกลับมานั่งคิดทบทวนดู สงสัยน่าจะไปรับรู้จิตของผู้ชายคนนั้นน่ะค่ะ เป็นลักษณะจิตที่ขาดสติควบคุม .. งานนี้ดูเหมือนดิฉันส่งจิตออกไปรับมาเองเต็มๆ ขาดทุนยับเยินเลยค่ะ
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ โพสท์นี้ ถือว่าเป็นการสนทนาธรรมเฉย ๆ นะครับ

    ตอนนี้พอจะทราบแล้วค่ะว่าไปรับเอาความคิดฟุ้งซ่านมาจากไหน

    ก่อนจะมีอาการนี้ ช่วงเช้าวันหนึ่งดิฉันออกไปทำธุระข้างนอกน่ะค่ะ เสร็จแล้วก็ไปหาทานข้าวที่ food court ก็สังเกตเห็นโต๊ะด้านหลังดิฉันจะมีผู้ชายไทยที่เสียสติคนหนึ่ง เขาแต่งตัวเหมือนคาวบอยเดินวนไปวนมาแล้วนั่งลงเก้าอี้ (ซึ่งจำได้ว่าก่อนหน้านั้นก็เคยเห็นผู้ชายคนนี้เดินตามริมถนนพูดอยู่คนเดียวบ่อยมาก)

    +++ เรื่องของการพูดคนเดียวนี้ หลวงปู่ดูลย์เคยกล่าวไว้ว่า เรื่องของจิตนี้ "ถ้ามันไม่พูดกับใคร มันก็พูดกับตัวมันเองนั่นแหละ" "แถมพูดไม่หยุดซะอีก" "เพียงแต่มันไม่เอ่ยปากมาให้ใครได้ยินเท่านั้น" จิตอย่างนี้ท่านเรียกมันว่า "วจีจิตตะสังขาร" คือ จิตที่คิดออกมาเป็นคำพูดนั่นแหละ แต่สำหรับผมแล้ว ผมใช้ภาษาส่วนตัวเรียกมันว่า "ตัวพูดมาก" เพราะมันพูดมากจริง ๆ พูดไม่ยอมหยุด และการพูดของมันไม่จำเป็นต้องหยุดพักหายใจ แถมหลาย ๆ ครั้ง มันยังเลียนเสียงผู้อื่นได้อีกด้วย ประดุจเป็นเสียงผู้นั้นจริง ๆ ดังนั้นหากผู้ใดไม่เคยฝึกสติปัฏฐานจนสามารถแยกเจ้า "ตัวพูดมาก" ออกมาจาก "ตน" ได้แล้ว โอกาสหลงยังมีได้สูงมาก

    +++ แต่เรื่องของเจ้า "ตัวพูดมาก" ยังมีอีกนะครับ คือ เมื่อหลายปีก่อนตอนที่ผมยังอยู่ในต่างประเทศ มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ผมอยู่ที่ป้ายรถเมล์ เกิดมีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งคมกริบชัดเจนดังขึ้นมาในใจผมว่า "hi there" มาจากทางข้างหลังผม ผมทราบชัดเจนเลยว่า แหม่มฝรั่งคนนี้มีขีดความสามารถของ การสื่อสารทางจิตอยู่ด้วย แต่ผมไม่ได้กำหนดจิตตอบกลับไป เพียงแต่หันไปยิ้ม ๆ ให้เฉย ๆ แต่อาการของแหม่มคนนั้นรู้ชัดว่า ผมรับได้แต่ไม่ตอบกลับไปเฉย ๆ เท่านั้นเอง ดังนั้นหากฝึกจนมีความสามาารถเหนือเจ้า "ตัวพูดมาก" นี้ได้ ก็จะเป็น วิชชา ตัวหนึ่งที่เหล่าครูบาอาจารย์ท่านใช้มันไปอบรมสั่งสอนศิษย์ในขณะที่ศิษย์ต่าง ๆ เหล่านั้นกำลังอยู่ในสมาธิหรือในจิตปกตินั่นเอง แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าภาษาบาลีท่านเรียกการทำงานของจิตแบบนี้ว่าอะไรนะครับ

    พี่ที่ไปด้วยพูดว่ารู้สึกสงสารและเสียใจที่เขาเป็นอย่างนั้น หลังจากนั้นก็คุยกันว่าไม่รู้เขาหิวข้าวหรือเปล่า เดี๋ยวเราให้เงินเขาเป็นค่าอาหารดีไหม ช่วงที่ดิฉันหยิบเงินแล้วมองไปที่เขา สังเกตุเห็นเขาชำเรืองตา มองซ้ายมองขวาไปมาหลายรอบมีความรู้สึกไม่น่าไว้ใจน่ะค่ะ และขณะที่ดิฉันกำลังลังเลใจที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเดินเอาเงินไปให้เขา ก็เห็นเขาลุกขึ้นแล้วเดินมายืนข้างโต๊ะที่ดิฉันนั่งอยู่แล้วชี้นิ้วแสดงท่าทางพร้อมกับพูดเป็นภาษาอังกฤษแปลไทยว่า “ ยูให้เงินไม่ได้ ยูให้เงินไม่ได้ ไปสถานีตำรวจ ยูให้เงินไม่ได้ ไปสถานีตำรวจเยอรมัน จ่ายห้าพัน ยูให้เงินไม่ได้ “ ตอนนั้นก็ได้แต่นั่งมองหน้าเขาฟังเขาพูดจนจบแล้วดิฉันก็ยื่นเงินให้พี่นั่งอยู่ด้วยเก็บเข้ากระเป๋า จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็เดินหนีไป หลังจากนั้นก็เดินออกมานอกห้างเพื่อขึ้นรถ ก็สังเกตดูและรู้ใจตัวเองตั้งแต่แรกแล้วนะคะว่าจิตใจสงบนิ่งมาก ไม่มีอารมณ์โกรธไม่มีความคิดตำหนิติเตียนเขาแต่อย่างใด เป็นอารมณ์ที่ปล่อยวางน่ะค่ะ พอสักพักอยู่ๆก็ไปคิดนึกภาพที่ผู้ชายคนนั้นกำลังยืนพูดอยู่

    +++ ตรงนี้คืออาการที่ ความจำ (สัญญา นึก) ปรากฏ เกิดจากจิตเราเองไม่ได้มาจากจิตเขา หากผู้ฝึกยังไม่ชำนาญในการจับ กิริยาจิต ก็ยากที่จะรู้ทันได้ เพราะตรงนี้เป็นการอุบัติของจิตในระดับ 1 วาระจิตเท่านั้น หากผู้ฝึกรู้ทันกิริยาจิต อาการนี้จะดับไปโดยอัตโนมัติ

    +++ อาการที่เกิดจากจิตเราเอง จะมี กิริยาจิต กำกับอยู่ด้วยเสมอไป หากมันมาจากจิตอื่น กิริยาจิต จะไม่ปรากฏในวาระจิตที่มันเกิด ดังนั้น การรู้อาการ กระพริบ กระเพื่อมทางจิต จึงเป็นบันทัดฐานในการตัดสิน เรื่องการทำงานของจิต ดังนั้นตรงนี้ต้องฝึกให้มาก และต้องทำให้ได้จนเป็นนิสัยนะครับ

    คิดไปคิดมาเกิดความรู้สึกสงสารเขาที่เห็นสภาพเขาตกอยู่ในความลำบาก หลังจากนั้นก็คิดมาเรื่อยๆ ไม่รู้คิดอะไรต่ออะไรเรื่อยเปื่อยจนเหมือนคิดฟุ้งซ่านน่ะค่ะ รู้ว่าคิดจนสมองเหนื่อย แต่ใจไม่ทุกข์อะไรนะคะ บางครั้งเวลาจะเดินไปหยิบของก็เผลอเดินผ่านเลย พอสติกลับมานึกขึ้นได้อ่าว จะเดินมาหยิบของแล้วทำไมเดินเลยมาถึงนี่ จะไปทิ้งขยะก็เผลอเดินเลยถังขยะ ก็ยังนึกๆอยู่ว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ท่าทางจะเป็นเอามาก พออาการคิดฟุ้งซ่านนี้หายไปแล้ว เลยกลับมานั่งคิดทบทวนดู สงสัยน่าจะไปรับรู้จิตของผู้ชายคนนั้นน่ะค่ะ เป็นลักษณะจิตที่ขาดสติควบคุม .. งานนี้ดูเหมือนดิฉันส่งจิตออกไปรับมาเองเต็มๆ ขาดทุนยับเยินเลยค่ะ

    +++ อาการ นึก (สัญญา ความจำ) เป็นวาระจิตที่ 1 ส่วนที่ตามมาเป็นวาระจิตที่ 2 คืออาการ คิด (สังขารจิต) ในเรื่องของขันธ์ 5 ท่านแยกเอาไว้เป็นคนละขันธ์ เพราะเป็นเรื่อง "อธิบาย" จึงต้องจำแนกแยกแยะออกมาให้เป็นคนละอาการ แต่ในมหาสติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นหลักและ "วิธีปฏิบัติ" โดยตรง ท่านจับเอามารวมกันเป็นอันเดียวคือ จิตตะสังขารขันธ์ เพราะหลักในการฝึกให้ ฝ่าด่านนี้โดยไม่ลำบากยากเย็นจนเกินไป ท่านให้รู้ตรง ๆ ไปที่ กิริยาจิต ที่มันกระพริบกระเพื่อมอยู่ใน ปัจจุบันขณะนั้น ๆ

    +++ ความคิดนั้น ย่อมถูกผลักดันโดยธรรมารมณ์เสมอ ในกรณีนี้ของคุณ ธรรมารมณ์ คือ ความสงสาร (อย่าลืมว่า มันเป็นความรู้สึกที่อยู่ข้างใน ตัวคุณ) แต่ในกรณีนี้ คุณเป็นผู้ผลิตมันเอง ถ้าคุณทำแผนผังจากในโพสท์ที่แล้วของผม ลองเอาแผนผังนั้นมากางดู ก็พอจะรู้อย่าางคร่าว ๆ ได้ไม่ยากถึง การทำงานของจิตในแต่ละกรณีนะครับ

    +++ สังเกตุได้อย่างหนึ่งคือ ยามใดก็ตามที่มีความคิดเกิดขึ้น สิ่งที่คุณจะต้องสูญเสียไปคือ ปัจจุบันขณะ การเสียปัจจุบันขณะของผู้ปฏิบัติธรรมคือ การเสียเวลา และการเสียเวลาของผู้ปฏิบัติธรรมคือ ความประมาท ต้องสังเกตุตรงนี้ให้ละเอียดนะครับ

    +++ การสังเกตุในระดับมหาสติปัฏฐานคือ ยามใดก็ตามที่มีความคิดเกิดขึ้น ความรู้ตัวและความรู้สึกตัวย่อมจางคลาย ในยามใดก็ตามที่ ความรู้ตัวและความรู้สึกตัวปรากฏมีขึ้น ความคิดย่อมจางคลาย ดังนั้น ระหว่าง รู้ (วิชชา) กับ ไม่รู้ (อวิชชา) มันเป็นของที่เป็น ปฏิภาคกลับด้านกันเสมอ สภาวะรู้ เป็นของถาวรที่มีอยู่แล้ว เป็นอยู่แล้ว ไม่เคยหายไปไหน เพียงแต่โดนบดบังได้เป็นบางที ในยามที่โดนบดบัง แล้วเราไม่สามารถรู้ได้ทันท่วงที ยามนั้นเราอยู่ในสภาวะ ไม่รู้ แต่ นึกว่ารู้อยู่เสมอ เพราะโดน ความนึก ความคิดและอารมณ์ บดบังอยู่ นั่นเอง

    +++ ฝึก รู้ตัว รู้สึกตัว รู้กิริยาจิต รู้อารมณ์ ให้เป็นนิสัยอยู่เสมอ จนกว่าทั้ง 4 อย่างจะถูกรู้พร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน หากยังทำไม่ได้ อันไหนรู้ได้ก่อน ก็ให้รู้อันนั้นไว้ก่อน ต่อไปทุก ๆ อย่างจะค่อย ๆ เป็นไปเองนะครับ รวมทั้งสภาวะธรรมที่ละเอียดอื่น ๆ อีกด้วย
     
  15. pepsi5510

    pepsi5510 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,420
    โมทนาสาธุด้วยครับ
    ผมนั่งมานานมากๆยังไม่ได้แบบนี้เลยครับ
    อย่างดีได้แต่แค่ความสงบว่างเปล่า
    ยังไงอย่าทิ้งนะครับ. ปฎิบัติต่อไปนะครับเป็นกําลังใจให้ครับ
    คิดอย่างเดียวว่าอย่ากลัว. อะไรจะเกิดให้มันเกิดถ้าจะตายก็ขอให้ตายในการปฎิบัตินี้ แล้วอาการต่างๆจะหายไปครับ
     
  16. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ โพสท์นี้ ถือว่าเป็นการสนทนาธรรมเฉย ๆ นะครับ

    +++ เรื่องของการพูดคนเดียวนี้ หลวงปู่ดูลย์เคยกล่าวไว้ว่า เรื่องของจิตนี้ "ถ้ามันไม่พูดกับใคร มันก็พูดกับตัวมันเองนั่นแหละ" "แถมพูดไม่หยุดซะอีก" "เพียงแต่มันไม่เอ่ยปากมาให้ใครได้ยินเท่านั้น" จิตอย่างนี้ท่านเรียกมันว่า "วจีจิตตะสังขาร" คือ จิตที่คิดออกมาเป็นคำพูดนั่นแหละ แต่สำหรับผมแล้ว ผมใช้ภาษาส่วนตัวเรียกมันว่า "ตัวพูดมาก" เพราะมันพูดมากจริง ๆ พูดไม่ยอมหยุด และการพูดของมันไม่จำเป็นต้องหยุดพักหายใจ แถมหลาย ๆ ครั้ง มันยังเลียนเสียงผู้อื่นได้อีกด้วย ประดุจเป็นเสียงผู้นั้นจริง ๆ ดังนั้นหากผู้ใดไม่เคยฝึกสติปัฏฐานจนสามารถแยกเจ้า "ตัวพูดมาก" ออกมาจาก "ตน" ได้แล้ว โอกาสหลงยังมีได้สูงมาก

    +++ แต่เรื่องของเจ้า "ตัวพูดมาก" ยังมีอีกนะครับ คือ เมื่อหลายปีก่อนตอนที่ผมยังอยู่ในต่างประเทศ มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ผมอยู่ที่ป้ายรถเมล์ เกิดมีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งคมกริบชัดเจนดังขึ้นมาในใจผมว่า "hi there" มาจากทางข้างหลังผม ผมทราบชัดเจนเลยว่า แหม่มฝรั่งคนนี้มีขีดความสามารถของ การสื่อสารทางจิตอยู่ด้วย แต่ผมไม่ได้กำหนดจิตตอบกลับไป เพียงแต่หันไปยิ้ม ๆ ให้เฉย ๆ แต่อาการของแหม่มคนนั้นรู้ชัดว่า ผมรับได้แต่ไม่ตอบกลับไปเฉย ๆ เท่านั้นเอง ดังนั้นหากฝึกจนมีความสามาารถเหนือเจ้า "ตัวพูดมาก" นี้ได้ ก็จะเป็น วิชชา ตัวหนึ่งที่เหล่าครูบาอาจารย์ท่านใช้มันไปอบรมสั่งสอนศิษย์ในขณะที่ศิษย์ต่าง ๆ เหล่านั้นกำลังอยู่ในสมาธิหรือในจิตปกตินั่นเอง แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าภาษาบาลีท่านเรียกการทำงานของจิตแบบนี้ว่าอะไรนะครับ

    อ่านแล้วทำให้ขำตัวเองเลยค่ะ สับสนกับ"ตัวพูดมาก"นี้มาเป็นเวลานานแล้วค่ะว่ามันคืออะไร นึกว่าตัวเองจิตผิดปกติ เวลานี้เข้าใจแล้วค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ

    ใช่ค่ะ ตัวพูดมากที่คุณว่านี่ล่ะค่ะบางครั้งมันพูดจ้อเลย พูดมากจนเราทั้งเหนื่อยทั้งเบื่อ บางครั้งต้องบอกในใจว่าจะพูดอะไรนักหนา ฟังจนเมื่อยแล้วเนี่ย เบื่อ เลิกพูดได้แล้ว บางครั้งเหมือนจะมีใครส่งจิตมาถาม เจ้าตัวพูดมากที่ว่านี้ มันจะตอบคำถามแบบคุยจ้อเลยค่ะ บางทีต้องบอก พอแล้ว จะไปบอกเขาละเอียดอะไรขนาดนั้น พอได้แล้ว แต่บางทีก็ถามเอง ตอบเอง

    เมื่อหลายปีก่อนสมัยที่ดิฉันยังอยู่ต่างประเทศ ความเงียบของที่นั่นทำให้จิตเป็นสมาธิดีมาก กลางวันที่ร้านจะมีลูกค้าเวียนมาซื้อของไม่หยุด วันไหนคึกๆหน่อยดิฉันก็จะมองดูลูกค้าที่กำลังเดินเข้ามาในร้าน ใจนี่จะรู้เลยค่ะว่าลูกค้าคนนี้จะมาซื้ออะไร เขายังไม่ทันได้พูดอะไรนะคะ ดิฉันหยิบของสิ่งนั้นมาวางบนเค้าเตอร์ให้ลูกค้าเองเลย บางครั้งลูกค้ากำลังจะเอ่ยปากบอกว่าจะซื้ออะไร ดิฉันจะพูดก่อนลูกค้าเลยว่าจะเอานั่นเอานี่เหรอ ลูกค้า งง มาก ลูกค้าบางคนถามว่าคุณรู้ได้ไง ก็ทำได้แค่ยิ้ม ตอบเขาไม่ได้ค่ะ เพราะก็ไม่รู้เหมือนกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลูกค้าเป็นผู้หญิง ตื่นเต้นอุทานเสียงดัง โอ้มายก๊อด ยูรู้ด้วยว่าฉันคิดอะไร ยูอ่านใจฉันได้ เหตุการณ์แบบนี้โดยส่วนตัวดิฉันเองจะรู้สึกเฉยๆค่ะ เพราะมันเป็นเองหายเอง และก็มีอยู่ครั้งหนึ่งค่ะ ฝันว่าไฟไหม้บ้าน เริ่มไหม้จากห้องนอนพี่สาว ในฝันดิฉันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ก็ไหม้ไปไม่มากเพราะดับไฟทัน ตื่นขึ้นมาหัวใจเต้นแรง เหมือนยังตกใจอยู่น่ะค่ะ ดูนาฬิกาก็ประมาณ 3 ทุ่มสี่สิบกว่า หลังจากนนั้นก็นอนไม่ค่อยหลับเลยค่ะ จนกระทั่งรุ่งเช้าตี5 ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอรับสาย หลานโทรมาจากเมืองไทยบอกว่า เมื่อคืนไฟไหม้บ้าน ไหม้ห้องแม่(พี่สาวดิฉัน)ไปครึ่งห้อง ก็เลยถามหลานว่าไหม้ช่วงกี่ทุ่ม พอหลานบอกเวลาแล้วมันตรงกับเวลาที่ฝันเลยน่ะค่ะ อันนี้แค่เล่าสู่กันฟังเฉยๆค่ะ

    สำหรับเรื่องการปฏิบัตินั่งสมาธิภาวนานี่ก็ทำแบบเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ ทำเพื่อให้จิตใจสงบ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไรมาก แต่ดูเหมือนว่าตัวเองจะชอบวิปัสสนา วิปัสสนาได้ทุกสภาวะน่ะค่ะ ก็เข้าใจตามที่เข้าใจ เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ให้คำปรึกษาชี้แนะ บางครั้งก็อยากฝึกให้ก้าวหน้า แต่ยังไม่พบครูบาอาจารย์ที่จะสอนวิธีการฝึกให้จริงๆ ทำได้ก็แค่เข้ามาอ่านธรรมะตามอินเตอร์เนท เห็นท่านไหนเล่าว่านั่งสมาธิแล้วเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ อ่านแล้วก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเราก็เคยเป็น บางทีก็มีบ้างที่โพสท์ถามผู้รู้ แต่ก็ได้รับคำตอบที่ไม่ชัดเจน ถ้าสมมุติบอกว่าเข้าสมาธิลึกไป ให้ถอยสมาธิออกมาที่ฌาน 3 2 1 แล้วเข้า 1 2 3 อะไรอย่างนี้ จะไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจอะไรเลยค่ะ แม้แต่ที่ว่า ญาณ ณาน อะไรนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่รู้และไม่เข้าใจค่ะ เพราะเข้าใจว่าผู้ที่จะได้ ญาณ ฌานนั้น จะต้องเป็นผู้ที่เคยฝึก มโนมยิทธิ หรือ กสิณ เท่านั้น ตัวดิฉันเองไม่เคยฝึก เลยไม่สนใจไม่ใส่ใจ ก็เลยดูกลายเป็นว่าการปฏิบัติของตัวเองเป็นการปฏิบัติแบบเรื่อยเปื่อย รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ ไม่รู้ในสิ่งที่รู้ จนกระทั่งได้มาพบคุณในกระทู้นี้นี่ล่ะค่ะ วิธีที่คุณแนะนำดูเหมือนดิฉันจะรับและเข้าใจได้ง่าย พอเล่าถึงสภาวะที่ตัวเองเป็น คุณก็อธิบายและให้คำแนะนำที่ทำให้เข้าใจกับสภาวะนั้นๆได้ชัดเจน เป็นคำอธิบายและคำแนะนำที่มาจากผู้รู้จริงและรู้อย่างแจ่มแจ้งมากๆ กับบางเรื่องที่ยังค้างคาใจ ก็สามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งจากการอธิบายการบอกเล่าของคุณ เปรียบเสมือนการไขปริศนาธรรมให้รู้ให้เข้าใจ บางครั้งแค่คุณพูดสะกิดนิดเดียว สังเกตุตัวเองปฏิบัติไปได้เร็วมาก เพียงแต่ไม่ได้เข้ามารายงานผลให้ทราบ ตรงนี้ล่ะค่ะที่ทำให้เกิดกำลังใจและเริ่มจริงจัง ถ้าอันไหนอ่านครั้งแรกแล้วยังไม่เข้าใจ ก็จะปริ้นนำมาอ่านทบทวนอีกครั้งและก็จะเข้าใจไปได้เองค่ะ ถ้าคำไหนเป็นภาษาปริยัติภาษาธรรมหรืออะไรนี่ ก็จะไปค้นหาความหมายตามเนท กับคำว่าพุทธจริต จิตผาดโผนหมายถึงอะไร ก็ได้รู้ความหมายจากเนทนี่ล่ะค่ะ อย่างกรณีที่คุณแนะนำเรื่องการปรามาสของจิตมารในกระทู้หนึ่ง ช่วงนั้นกำลังมีสภาวะนี้เกิดขึ้นอยู่ ก็เพิ่งได้รู้ตอนนั้นเองว่าคือจิตมาร ดิฉันปริ้นมาอ่านและคิดทบทวนประมาณ 2-3 วันได้ อ่านก็เข้าใจนะคะ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก งง มาก คุยกับตัวเองในใจ เอ ให้ตามดูและรู้จิตมาร จะตามดูตามรู้ได้ยังไงในเมื่อเราจะรู้ก็ต่อเมื่อหลังจากจิตมารปรามาสไปแล้ว และมีช่วงหนึ่งที่จิตสงบนิ่ง อยู่ๆก็มีอาการวูบเพียงเสี้ยววินาทีแล้วความรู้สึกหนึ่งก็วื๊บเข้ามาในจิตในใจ หลังจากนั้นก็ อ่อ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว เป็นความรู้สึกที่เข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายอีก ไม่ใช่มาจากความคิดว่ารู้นะคะ และก็เริ่มเลยทีนี้ พอมีจิตมารเข้ามาปุ๊บ จะรู้ทันทีเลยค่ะ แปลกมาก แค่รู้เขากำลังจะปรามาส เรากำหนดจิตให้นิ่งเฉย ก็จะไม่เกิดการปรามาสขึ้น ที่แปลกใจมากก็ตรงที่ เวลาจิตมารอยู่ก็จะรู้เองว่าอยู่ เวลาจิตมารไม่อยู่ก็จะรู้เองว่าไม่อยู่ น่าอัศจรรย์ใจค่ะ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ปรามาสจนกลัว เวลาเดินผ่านหิ้งพระต้องก้มหน้าหลบพระพุทธรูปน่ะค่ะ ทีนี้ก็เริ่มมาสังเกตตัวเองถึงความแตกต่างของสภาวะ”รู้”ที่เกิดขึ้นใหม่อีก สิ่งหนึ่งคือ”รู้” เป็น“ รู้”จากการอ่านการฟังหรืออะไรต่อมิอะไรประมาณนี้น่ะค่ะ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกคนอยู่แล้ว สิ่งที่สองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ คือ”รู้”เหมือนกัน แต่เป็นรู้ที่เข้ามาสัมผัสในจิตในใจเองโดยอัตโนมัติจากอาการวูบแล้ววื๊บอะไรนี่ล่ะค่ะ อาการนี้เกิดขึ้นสองครั้งแล้วค่ะ ครั้งสุดท้ายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง ( ไม่ใช่วูบจะเป็นลมนะคะ เพราะวูบเป็นลมนี่จะเหนื่อย แต่วูบนี้เป็นวูบ”รู้”แบบกระจ่างน่ะค่ะ อธิบายไม่ถูกเลยค่ะ เฮ้อ พิมพ์ไปด้วยก็ขำไปด้วย )
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    อ่านแล้วทำให้ขำตัวเองเลยค่ะ สับสนกับ"ตัวพูดมาก"นี้มาเป็นเวลานานแล้วค่ะว่ามันคืออะไร นึกว่าตัวเองจิตผิดปกติ เวลานี้เข้าใจแล้วค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ

    ใช่ค่ะ ตัวพูดมากที่คุณว่านี่ล่ะค่ะบางครั้งมันพูดจ้อเลย พูดมากจนเราทั้งเหนื่อยทั้งเบื่อ บางครั้งต้องบอกในใจว่าจะพูดอะไรนักหนา ฟังจนเมื่อยแล้วเนี่ย เบื่อ เลิกพูดได้แล้ว บางครั้งเหมือนจะมีใครส่งจิตมาถาม เจ้าตัวพูดมากที่ว่านี้ มันจะตอบคำถามแบบคุยจ้อเลยค่ะ บางทีต้องบอก พอแล้ว จะไปบอกเขาละเอียดอะไรขนาดนั้น พอได้แล้ว แต่บางทีก็ถามเอง ตอบเอง

    +++ จากการที่คุณรู้จัก "ตัวพูดมาก" มาก่อนหน้านี้แล้ว รวมทั้งระดับความก้าวหน้าของสติที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทำให้ผมมั่นใจอย่างหนึ่งว่า คุณเคยฝึกมหาสติปัฏฐาน 4 มาก่อนแล้ว หรือไม่ก็เป็นของเก่าที่อยู่ภายในจิตของคุณเรียบร้อยแล้ว

    +++ "ตัวพูดมาก" นี้ต้องเป็น "วิปัสสนาญาณทัศนะ" เท่านั้นจึงจะรู้หรือเห็นมันได้ และไม่ว่าจะเป็นกรรมฐานกองใดก็ตาม ล้วนหมดสิทธิ ยกเว้นมหาสติปัฏฐาน 4 ที่อยู่ในระดับ "มหาสติ" แล้วเท่านั้น "อนุสติ" ก็ยังไม่มีขีดความสามารถที่จะเห็นสิ่งนี้ได้

    +++ คุณคงเคยได้ยินประโยคปริศนาธรรมบทนี้มาบ้างแล้วนะครับ "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ไอ้ที่พูดได้ไม่ใช่ของจริง" อะไรประมาณนี้แหละครับ แต่จริง ๆ แล้ว มันไม่ใช่ปริศนาอะไรเลยแม้แต่น้อย มันเป็นประโยคที่ระบุว่า เมื่อปฏิบัติมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ก็จะเจอปรากฏการณ์แบบนี้เอง นั่นก็คือ ไอ้เจ้า "ตัวพูดมาก" นี่ไงละครับ มันพูดว่า เป็นเรา เป็นเขา ตัวเรา ตัวเขา ตลอดเวลานั่นเอง

    +++ วิธีที่จะดูเจ้าตัวนี้ชัด ๆ ทำได้ดังนี้ คือ หลังจากทำความรู้สึกตัวแล้ว ให้สังเกตุ อาการกระพริบกระเพื่อมน้อย ๆ ในเวลาที่มันพูดทุกครั้ง แล้วดูตรง ๆ ไปที่อาการกระพริบนั้น ๆ หากดูได้ถูกส่วนแล้ว มันจะถูกพลังสติดันให้มันออกไปพูดนอกตัวเรา แล้วจะเข้าใจได้อย่างชัดเจนเองว่า "มันไม่ใช่เรา แม้ว่ามันจะพูดว่าเป็นเราก็ตาม" แล้วก็จะรู้แจ้งได้ว่า "ตัวพูดมากนี้คือ เราตัวปลอม แต่เราตัวจริง ไม่ได้พูด" นะครับ

    เมื่อหลายปีก่อนสมัยที่ดิฉันยังอยู่ต่างประเทศ ความเงียบของที่นั่นทำให้จิตเป็นสมาธิดีมาก กลางวันที่ร้านจะมีลูกค้าเวียนมาซื้อของไม่หยุด วันไหนคึกๆหน่อยดิฉันก็จะมองดูลูกค้าที่กำลังเดินเข้ามาในร้าน ใจนี่จะรู้เลยค่ะว่าลูกค้าคนนี้จะมาซื้ออะไร เขายังไม่ทันได้พูดอะไรนะคะ ดิฉันหยิบของสิ่งนั้นมาวางบนเค้าเตอร์ให้ลูกค้าเองเลย บางครั้งลูกค้ากำลังจะเอ่ยปากบอกว่าจะซื้ออะไร ดิฉันจะพูดก่อนลูกค้าเลยว่าจะเอานั่นเอานี่เหรอ ลูกค้า งง มาก ลูกค้าบางคนถามว่าคุณรู้ได้ไง ก็ทำได้แค่ยิ้ม ตอบเขาไม่ได้ค่ะ เพราะก็ไม่รู้เหมือนกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลูกค้าเป็นผู้หญิง ตื่นเต้นอุทานเสียงดัง โอ้มายก๊อด ยูรู้ด้วยว่าฉันคิดอะไร ยูอ่านใจฉันได้ เหตุการณ์แบบนี้โดยส่วนตัวดิฉันเองจะรู้สึกเฉยๆค่ะ เพราะมันเป็นเองหายเอง และก็มีอยู่ครั้งหนึ่งค่ะ ฝันว่าไฟไหม้บ้าน เริ่มไหม้จากห้องนอนพี่สาว ในฝันดิฉันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ก็ไหม้ไปไม่มากเพราะดับไฟทัน ตื่นขึ้นมาหัวใจเต้นแรง เหมือนยังตกใจอยู่น่ะค่ะ ดูนาฬิกาก็ประมาณ 3 ทุ่มสี่สิบกว่า หลังจากนนั้นก็นอนไม่ค่อยหลับเลยค่ะ จนกระทั่งรุ่งเช้าตี5 ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอรับสาย หลานโทรมาจากเมืองไทยบอกว่า เมื่อคืนไฟไหม้บ้าน ไหม้ห้องแม่(พี่สาวดิฉัน)ไปครึ่งห้อง ก็เลยถามหลานว่าไหม้ช่วงกี่ทุ่ม พอหลานบอกเวลาแล้วมันตรงกับเวลาที่ฝันเลยน่ะค่ะ อันนี้แค่เล่าสู่กันฟังเฉยๆค่ะ

    +++ นี่ก็ชี้ให้เห็นถึงการที่มีสติที่ละเอียดในระดับหนึ่ง จึงสามารถรับรู้ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้ มันเป็นธรรมชาติทางจิตที่มนุษย์ทั้งหลายละเลยมันไปนั่นเอง แถมยังอุตริต่อต้านความสามารถของตนเองเสียอีก ดู ๆ ไปในสังคมแล้วช่างน่าสมเพชจริง ๆ แต่ก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรมของมวลสรรพสัตว์นั่นแหละครับ

    สำหรับเรื่องการปฏิบัตินั่งสมาธิภาวนานี่ก็ทำแบบเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ ทำเพื่อให้จิตใจสงบ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไรมาก แต่ดูเหมือนว่าตัวเองจะชอบวิปัสสนา วิปัสสนาได้ทุกสภาวะน่ะค่ะ ก็เข้าใจตามที่เข้าใจ เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ให้คำปรึกษาชี้แนะ บางครั้งก็อยากฝึกให้ก้าวหน้า แต่ยังไม่พบครูบาอาจารย์ที่จะสอนวิธีการฝึกให้จริงๆ ทำได้ก็แค่เข้ามาอ่านธรรมะตามอินเตอร์เนท เห็นท่านไหนเล่าว่านั่งสมาธิแล้วเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ อ่านแล้วก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเราก็เคยเป็น บางทีก็มีบ้างที่โพสท์ถามผู้รู้ แต่ก็ได้รับคำตอบที่ไม่ชัดเจน ถ้าสมมุติบอกว่าเข้าสมาธิลึกไป ให้ถอยสมาธิออกมาที่ฌาน 3 2 1 แล้วเข้า 1 2 3 อะไรอย่างนี้ จะไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจอะไรเลยค่ะ แม้แต่ที่ว่า ญาณ ณาน อะไรนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่รู้และไม่เข้าใจค่ะ

    +++ ในขณะที่ยังต้องฝึกนี้ ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องไปใส่ใจกับคำศัพท์พวกนั้นหรอกครับ หากใส่ใจมาก จะฝึกไม่ได้เพราะไอ้พวกคำศัพท์ต่าง ๆ เหล่านั้นมันจะกลับมาขวางการปฏิบัติทุกครั้งไป ผมเองก็เหมือนกัน ตอนกำลังเร่งความเพียรนั้น ฌาณ ญาณ อภิญญา อะไรต่อมิอะไรไม่เคยต้องการรู้เลย แต่พอเมื่อติดขัดอะไรจริง ๆ ก็ไปถามกับพระป่าที่ปฏิบัติจริง ๆ เท่านั้น ก็ไม่เห็นมีองค์ไหนใช้ภาษาพระไตรปิฏกอะไรมาตอบผม ทุกอย่างใช้ภาษามนุษย์ชาวบ้านที่คุยกันรู้เรื่องตามปกตินี่แหละ จึงทำให้การปฏิบัติราบรื่นไร้อุปสรรคสะดวกรวดเร็ว และสามารถสอบจิต แก้จิตกันได้ตรงประเด็นทุกครั้งไป ส่วนภาษาในพระไตรปิฏกนั้น ผมค่อย ๆ มาอ่านเอาที่หลังว่าเขาเรียกอาการต่าง ๆ นั้นว่าอะไร หลังจากที่ผ่านมาแล้ว ก็เท่านั้นเองครับ

    เพราะเข้าใจว่าผู้ที่จะได้ ญาณ ฌานนั้น จะต้องเป็นผู้ที่เคยฝึก มโนมยิทธิ หรือ กสิณ เท่านั้น ตัวดิฉันเองไม่เคยฝึก เลยไม่สนใจไม่ใส่ใจ ก็เลยดูกลายเป็นว่าการปฏิบัติของตัวเองเป็นการปฏิบัติแบบเรื่อยเปื่อย รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ ไม่รู้ในสิ่งที่รู้ จนกระทั่งได้มาพบคุณในกระทู้นี้นี่ล่ะค่ะ วิธีที่คุณแนะนำดูเหมือนดิฉันจะรับและเข้าใจได้ง่าย พอเล่าถึงสภาวะที่ตัวเองเป็น คุณก็อธิบายและให้คำแนะนำที่ทำให้เข้าใจกับสภาวะนั้นๆได้ชัดเจน เป็นคำอธิบายและคำแนะนำที่มาจากผู้รู้จริงและรู้อย่างแจ่มแจ้งมากๆ กับบางเรื่องที่ยังค้างคาใจ ก็สามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งจากการอธิบายการบอกเล่าของคุณ เปรียบเสมือนการไขปริศนาธรรมให้รู้ให้เข้าใจ บางครั้งแค่คุณพูดสะกิดนิดเดียว สังเกตุตัวเองปฏิบัติไปได้เร็วมาก เพียงแต่ไม่ได้เข้ามารายงานผลให้ทราบ ตรงนี้ล่ะค่ะที่ทำให้เกิดกำลังใจและเริ่มจริงจัง ถ้าอันไหนอ่านครั้งแรกแล้วยังไม่เข้าใจ ก็จะปริ้นนำมาอ่านทบทวนอีกครั้งและก็จะเข้าใจไปได้เองค่ะ ถ้าคำไหนเป็นภาษาปริยัติภาษาธรรมหรืออะไรนี่ ก็จะไปค้นหาความหมายตามเนท กับคำว่าพุทธจริต จิตผาดโผนหมายถึงอะไร ก็ได้รู้ความหมายจากเนทนี่ล่ะค่ะ

    +++ วิธีที่ผมอธิบายนั้น เป็นวิธีที่สายพระป่าหลวงปู่มั่นท่านใช้ในเวลา แก้จิต สอบจิต แบบลูกศิษย์ลูกหาส่วนตัวและเป็นกันเองนั่นแหละ ไม่เหมือนกับเวลาที่ท่านเทศกับคนหมู่มาก อันนั้นเป็นภาษาส่วนรวมจึงต้องมีภาษาในพระไตรปิฏกประกอบไปด้วยตลอดเวลา ดังนั้นเรื่องของภาษาควรทำความเข้าใจในแต่ละกรณีประกอบไปด้วย

    อย่างกรณีที่คุณแนะนำเรื่องการปรามาสของจิตมารในกระทู้หนึ่ง ช่วงนั้นกำลังมีสภาวะนี้เกิดขึ้นอยู่ ก็เพิ่งได้รู้ตอนนั้นเองว่าคือจิตมาร ดิฉันปริ้นมาอ่านและคิดทบทวนประมาณ 2-3 วันได้ อ่านก็เข้าใจนะคะ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก งง มาก คุยกับตัวเองในใจ เอ ให้ตามดูและรู้จิตมาร จะตามดูตามรู้ได้ยังไงในเมื่อเราจะรู้ก็ต่อเมื่อหลังจากจิตมารปรามาสไปแล้ว และมีช่วงหนึ่งที่จิตสงบนิ่ง อยู่ๆก็มีอาการวูบเพียงเสี้ยววินาทีแล้วความรู้สึกหนึ่งก็วื๊บเข้ามาในจิตในใจ หลังจากนั้นก็ อ่อ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว เป็นความรู้สึกที่เข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายอีก

    +++ มันไม่ใช่ใครอื่นหรอกครับ ไอ้ตัวเก่านั่นแหละ "ตัวพูดมาก" นั่นเอง ไม่ว่ามันจะพูด ธรรมะหรืออธรรม ก็ตามเป็นมันตัวเดียวเท่านั้น ไม่มีตัวอื่นหรอก รอให้สติของคุณดันมันออกไปนอกตัวได้เท่านั้น ทุกอย่างก็จะชัดเจนแจ่มแจ้งเอง

    ไม่ใช่มาจากความคิดว่ารู้นะคะ และก็เริ่มเลยทีนี้ พอมีจิตมารเข้ามาปุ๊บ จะรู้ทันทีเลยค่ะ แปลกมาก แค่รู้เขากำลังจะปรามาส เรากำหนดจิตให้นิ่งเฉย ก็จะไม่เกิดการปรามาสขึ้น ที่แปลกใจมากก็ตรงที่ เวลาจิตมารอยู่ก็จะรู้เองว่าอยู่ เวลาจิตมารไม่อยู่ก็จะรู้เองว่าไม่อยู่ น่าอัศจรรย์ใจค่ะ

    +++ ตรงนี้เป็นส่วนของอารมณ์ (ธรรมารมณ์) ละเอียดซึ่งเป็นผู้ให้กำเหนิดเจ้า "ตัวพูดมาก" พอเรารู้สึกถึงความทะแม่ง ๆ ในจิต (ตรงนี้แหละเป็น ธรรมารมณ์ เรียกง่าย ๆ ว่า ปรากฏการณ์ของอารมณ์ ที่เกิดขึ้นแล้ว) พอเรารู้ทันปั๊บ มันก็เลยเป็นอารมณ์ที่ถูกควบคุมโดยสติไปโดยปริยาย

    ไม่เหมือนเมื่อก่อน ปรามาสจนกลัว เวลาเดินผ่านหิ้งพระต้องก้มหน้าหลบพระพุทธรูปน่ะค่ะ

    +++ ตอนนั้นสติ ยังไม่ทัน "ตัวพูดมาก" ก็ย่อมเป็นเช่นนั้นแหละ ตอนนี้ผ่านขั้นตอนนั้นไปแล้ว

    ทีนี้ก็เริ่มมาสังเกตตัวเองถึงความแตกต่างของสภาวะ”รู้”ที่เกิดขึ้นใหม่อีก สิ่งหนึ่งคือ”รู้” เป็น“ รู้”จากการอ่านการฟังหรืออะไรต่อมิอะไรประมาณนี้น่ะค่ะ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกคนอยู่แล้ว

    +++ "รู้" อันนี้เป็น "รู้ของตัวดู" จะใช้คำศัพท์ว่า "สภาวะรู้" ยังไม่ได้
    +++ "ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ ทั้งหมด" ที่เรียกกันว่า "รู้แบบทางโลก หรือ โลกียะวิชา" นั้น เป็นของ "ตัวดู" และ "อยู่ข้างในตัวดู" ทั้งหมด

    สิ่งที่สองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ คือ”รู้”เหมือนกัน แต่เป็นรู้ที่เข้ามาสัมผัสในจิตในใจเองโดยอัตโนมัติจากอาการวูบแล้ววื๊บอะไรนี่ล่ะค่ะ อาการนี้เกิดขึ้นสองครั้งแล้วค่ะ ครั้งสุดท้ายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง ( ไม่ใช่วูบจะเป็นลมนะคะ เพราะวูบเป็นลมนี่จะเหนื่อย แต่วูบนี้เป็นวูบ”รู้”แบบกระจ่างน่ะค่ะ อธิบายไม่ถูกเลยค่ะ เฮ้อ พิมพ์ไปด้วยก็ขำไปด้วย )

    +++ อาการวูป ถูกรู้ นี้คือ "สภาวะรู้" ที่รู้ อาการวูป และตรงนี้จึงเป็น "สภาวะรู้" ที่ใช้คำศัพท์ถูกต้อง ตรงกับอาการของมัน
    +++ อาการวูป เป็นอาการที่มาจากจิตกระพริบกระเพื่อม หากสังเกตุให้ดี ๆ แล้วจะเห็นได้เองว่า การที่จิตกระพริบกระเพื่อมนั้น ก่อให้เกิดอาการวูปตามมาภายหลัง เปรียบเหมือนน้ำที่เงียบสงบ แล้วเอาน้ำหยดลงไปตรงกลาง จึงก่อให้เกิดระลอกคลื่น
    +++ สภาวะรู้เปรียบเหมือนตัวน้ำที่สงบอยู่ กิริยาจิตหรือจิตกระพริบกระเพื่อม เปรียบเหมือน น้ำหยดตรงกลาง แล้วจึงเกิดเป็น ระลอกคลื่น วูป แล้วจึงเกิด ผัสสะ
    +++ ใช้ "ตัวพูดมาก" เป็นเครื่องมือในการฝึก ด้วยวิธีการดูตามที่กล่าวมาแล้วข้างบน จนชัดเจนว่า "มันไม่ใช่เรา" และจะทำให้เห็น การกระพริบกระเพื่อมของจิตไปในตัวด้วย เมื่อรู้ตรงนี้แล้ว ไม่นานก็จะเข้าใจในโพสท์นี้ได้ทั้งหมด นะครับ
     
  18. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ จากการที่คุณรู้จัก "ตัวพูดมาก" มาก่อนหน้านี้แล้ว รวมทั้งระดับความก้าวหน้าของสติที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทำให้ผมมั่นใจอย่างหนึ่งว่า คุณเคยฝึกมหาสติปัฏฐาน 4 มาก่อนแล้ว หรือไม่ก็เป็นของเก่าที่อยู่ภายในจิตของคุณเรียบร้อยแล้ว

    คิดว่าน่าจะเป็นของเก่าที่อยู่ภายในจิตมากกว่าค่ะ เพียงแต่รู้ไม่เท่าทันเพราะถูกกิเลสหลากหลายบดบังเอาไว้หมด ช่วงทำงานที่กรุงเทพ บางครั้งถ้ามีโอกาสได้เก็บตัวอยู่คนเดียวเงียบๆสักพัก ใจนี่จะรู้จะทายทักชะตาชีวิตเพื่อนๆได้ถูกต้อง รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรและจะเกิดกับเพื่อนคนไหนในอ๊อฟฟิต แต่ถ้าเพื่อนตั้งใจมาบอกว่าดูดวงให้หน่อยนี่จะบอกเพื่อนเลยว่าดูให้ไม่ได้ค่ะ ที่ทักได้เพราะช่วงเวลานั้นมันเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ เกิดขึ้นเป็นบางครั้งบางคราว แต่สังเกตุตัวเองเปลี่ยนแปลงมากช่วงที่อยู่เมืองนอก เพราะที่นั่นจะงียบสงบ ไม่มีอะไรให้คิดให้กังวล ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายด้วย ไม่ต้องมารับรู้ปัญหาอะไรของใคร จะคิดจะทำอะไรก็ใช้สติ และอีกอย่างจะชอบเดินค่ะ เพราะอากาศที่นั่นจะหนาว บางทีเดินหลายกิโล เวลาเดินก็คิดไปด้วยแต่ก็มีสติสัมปชัญญะควบคู่ไปด้วย แต่น่าเสียดายที่ช่วงนั้นไม่เคยหันมามองดูจิตตัวเองเลยน่ะค่ะ มีแต่ไหลไปตามอารมณ์ไหลไปตามความคิด แต่ก็คิดอย่างมีสติ คิดอย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช่คิดแบบฟุ้งซ่านน่ะค่ะ เวลาโกรธหรือไม่พอใจอะไรก็จะเก็บไว้ในใจ เดี่ยวสักพักความโกรธความไม่พอใจมันก็หายไปเอง ทีนี้พอรู้สึกว่าเงียบสงบมากๆเข้า ไม่มีใครจะพูดจะคุยด้วย ก็เลยหันมาพูดมาคุยกับตัวเอง ไม่มีเพื่อนก็เอาตัวเองนี่แหล่ะเป็นเพื่อน ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นประมาณ 3 ปีจึงย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย

    พอกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองน่ะค่ะ ละครทีวีอะไรนี่ไม่ดูเลย ดูไปก็เกิดความเบื่อหน่าย เบื่อที่เห็นเขาด่ากันทะเลาะกันตบตีกัน บางทีก็ดูไปก็คิดไปว่าเขากำลังแสดงอยู่ ตากล้องอยู่ข้างหน้าคงเหนื่อยน่าดู คิดไปถึงนู้นเลยค่ะ ถ้าใครพูดเพ้อเจ้ออะไรนี่ก็จะไม่อยากฟัง ความรู้สึกจะเป็นอะไรที่ให้มีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ แต่ถ้าเห็นคนยากจนนี่จะช่วยเพราะความรู้สึกสงสาร ถ้ามีคนงานมาช่วยทำงานอะไรให้นี่ ก็จะชอบหาข้าวหาอาหารดีๆมาเลี้ยงเขาให้เขากินจนอิ่ม เพราะสังเกตเห็นเวลาเขาได้เงินเขาจะเก็บส่งกลับบ้าน อาหารดีๆจะไม่ค่อยได้กิน ก็เพราะไปเห็นแล้วเกิดความรู้สึกสงสารนี่แหล่ะค่ะเลยเก็บมาคิด คิดจนตัวเองทุกข์เองเลยทีนี้ พอถามเขาว่าทำงานที่นี่มีอะไรทุกข์ใจไหม เขาก็ตอบว่าไม่ทุกข์ใจอะไร เขาดีใจที่ได้มาทำงานที่นี่ ไปๆมาๆก็เลยมาคิดได้ว่า ที่เราเห็นแล้วคิดว่าเขาลำบากเขาทุกข์เลยเก็บมาคิดจนเป็นทุกข์แทนเขานี่ เป็นเพราะเรานำสิ่งที่เราเห็นมาปรุงแต่งขึ้นเองแล้วทุกข์เอง พอคิดได้แค่นี้ก็เลยเริ่มปล่อยวางได้ค่ะ แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้ไปรู้จักกับผู้ชายผู้หญิงคู่หนึ่ง อายุน่าจะห่างกันประมาณ 10-12ปีได้ พี่ผู้หญิงก็คนธรรมะธรรมโม น้องผู้ชายคนนั้นเล่าว่าเคยบวชอยู่10 พรรษา ที่สึกเพราะมาเจอเนื้อคู่ในอดีตชาติคือพี่ผู้หญิง แล้วมีอยู่ประโยคหนึ่งที่สะกิดใจดิฉันคือ น้องผู้ชายคนนั้นพูดขึ้นมาว่า กายกับจิตมันคนละส่วนกัน ก็เลยนำประโยคนี้เก็บมาคิดพิจารณา ก็เพิ่งจะรู้ตอนนั้นเองว่ากายกับจิตคนละส่วนกัน หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดสภาวะนี้ขึ้นกับตัวเองน่ะค่ะ จำได้ว่าขณะนั้นกำลังเดินอยู่ที่สนามหญ้า อยู่ๆก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าร่างกายเราที่กำลังเดินอยู่น่ะมันไม่ใช่เรา มองดูแล้วมีความรู้สึกว่ามันเหมือนหุ่นหรือตัวอะไรก็ไม่รู้ที่เดินได้น่ะค่ะ บอกความรู้สึกในตอนนั้นไม่ถูกเลย ทีนี้หลังจากนั้นดิฉันก็นำสภาวะนี้มาคิดพิจารณาเพิ่ม จนเข้าใจกระจ่างเลยว่า ร่างกายนี้มันเป็นวัตถุสิ่งหนึ่งที่มันไม่รู้เรื่องอะไร มันเป็นแค่สังขารที่มีไว้ให้จิตวิญญาณเราอาศัยและเราสามารถบัญชามันไปตามทิศทางที่เราคิดเราต้องการ ถ้าเรามีอารมณ์เสียใจเศร้าใจจนร้องไห้ สังขารตัวนี้มันก็จะทำหน้าที่แสดงหน้าเศร้าแล้วร้องไห้น้ำตาไหลออกมา ถ้าเราดีใจจนหัวเราะ สังขารตัวนี้มันก็จะแสดงอาการหัวเราะเสียงดังออกมา ถ้าเรามีอารมณ์โกรธ สังขารตัวนี้ก็จะแสดงอาการโกรธออกมา อารมณ์ข้างในเราเป็นยังไง ตัวสังขารมันจะเป็นตัวแสดงให้ ดูๆแล้วสังขารมันก็ทำตามหน้าที่ของมัน นี่หรือที่เขาว่ากันว่าจิตเป็นนายกายเป็นบ่าว ทีนี้ช่วงเวลาไร่เรี่ยกัน บังเอิญได้นั่งดูข่าวเด็กนักเรียนกำลังยกพวกไล่ตีกัน ดูไปด้วยก็เกิดความสังเวชใจไปด้วย สังขารมันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร อยู่ๆก็พามันไปทำความชั่ว พอเห็นคนกินเหล้าเมา ก็ เออ เนอะ สังขารมันไม่ใช่จะรู้เรื่องก็พามันไปกินเหล้าจนเมาแอ๋นแต๋น … ตอนนั้นเป็นอะไรที่เริ่มซึมซับเข้ามาทีละเล็กละน้อยแล้วน่ะค่ะ บางครั้งสังเกตตัวเอง ถ้าได้สนทนาพูดคุยกับใครก็จะรู้เลยว่าคนๆนั้นมีโรคประตัวอะไร เกิดจากทำกรรมอะไรไว้ บางทีแค่มองเฉยๆก็รู้น่ะค่ะ พอลองถามเขาว่าพี่มีโรคประจำตัวโรคนั้นโรคนี้เหรอ เขาก็ตอบว่าใช่ คุณรู้ได้ยังไง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรนะคะ เพราะความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นเองดับเอง และมันเป็นของมันเองโดยธรรมชาติ

    ส่วนเจ้าตัวพูดมากที่ว่า ดิฉันมาสังเกตได้ชัดเจนอยู่ครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นได้รู้จักกับหลวงปู่องค์หนึ่ง ท่านเป็นพระวัดป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ท่านปฏิบัติจนได้อภิญญาแล้ว ท่านก็สอนนะคะว่าเวลาจะพูดจะทำอะไรก็ให้มีสติ ( ซึ่งก็ทำประจำอยู่แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะมีสติอยู่ตลอดเวลานะคะ บ่อยมากที่เผลอหลงใหลไปกับความคิดหลงใหลไปตามกิเลส กว่าจะกลับมาได้ก็ถูกกิเลสเล่นงานจนอ่วมแล้ว ) แล้ววันหนึ่งดิฉันมาสังเกตรู้ว่าจิตตัวเองกำลังพูดคุยเหมือนตอบคำถามใครอยู่น่ะค่ะ ก็ยัง งง พูดคุยอยู่กับใคร หรือคุยอยู่กับหลวงปู่ หรือว่าจิตเราผิดปกติ ตั้งแต่นั้นมาก็สังเกตมาเรื่อยๆ บทมันจะพูดจะคุยก็พูดก็คุยไม่หยุด แต่จะเป็นช่วงที่เรารู้สึกอยากอยู่เงียบๆเบื่อหน่ายไม่อยากพูดไม่อยากคุยกับใคร แต่บทมันจะหายก็หายเงียบไปเลยนะคะ และก็มีอยู่ช่วงหนึ่งไม่รู้เกี่ยวกับตัวพูดมากนี้ไหม คือช่วงนั้นเข้ามาถามท่านสมาชิก แล้วได้รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรมา พอรู้ว่าตัวเองเคยเป็นอะไรมา ดีใจมากค่ะ นอนยิ้มอย่างมีความสุขอยู่หลายวันเลย แต่แล้วอยู่ๆความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาเหมือนจะเตือนว่า อดีตชาติเคยเป็นอะไรมาอย่าไปยึดติด ให้สำนึกไว้ว่า ณ ปัจจุบันตอนนี้เราเป็นคน ไม่ได้เป็นผู้วิเศษอะไร ยังต้องขับถ่าย ยังต้องกินข้าวกินน้ำ ยังต้องหลับนอน ...พอรู้สึกตัวแล้วก็นึกสมเพชรตัวเองเลยค่ะ หลงดีใจมาตั้งหลายวัน กลับมาอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน หมดสนุกเลยทีนี้

    --อย่างกรณีที่คุณแนะนำเรื่องการปรามาสของจิตมารในกระทู้หนึ่ง ช่วงนั้นกำลังมีสภาวะนี้เกิดขึ้นอยู่ ก็เพิ่งได้รู้ตอนนั้นเองว่าคือจิตมาร ดิฉันปริ้นมาอ่านและคิดทบทวนประมาณ 2-3 วันได้ อ่านก็เข้าใจนะคะ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก งง มาก คุยกับตัวเองในใจ เอ ให้ตามดูและรู้จิตมาร จะตามดูตามรู้ได้ยังไงในเมื่อเราจะรู้ก็ต่อเมื่อหลังจากจิตมารปรามาสไปแล้ว และมีช่วงหนึ่งที่จิตสงบนิ่ง อยู่ๆก็มีอาการวูบเพียงเสี้ยววินาทีแล้วความรู้สึกหนึ่งก็วื๊บเข้ามาในจิตใน ใจ หลังจากนั้นก็ อ่อ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว เป็นความรู้สึกที่เข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายอีก

    +++ มันไม่ใช่ใครอื่นหรอกครับ ไอ้ตัวเก่านั่นแหละ "ตัวพูดมาก" นั่นเอง ไม่ว่ามันจะพูด ธรรมะหรืออธรรม ก็ตามเป็นมันตัวเดียวเท่านั้น ไม่มีตัวอื่นหรอก รอให้สติของคุณดันมันออกไปนอกตัวได้เท่านั้น ทุกอย่างก็จะชัดเจนแจ่มแจ้งเอง

    ตรงนี้หรือเปล่าคะที่ว่า ในขณะที่เราคิดเราจะยังไม่รู้เพราะเรามัวแต่คิด แต่พอเรามีสติแล้ว ตัวสติทำให้เราหยุดคิด พอเราหยุดคิดเราจึงรู้
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ช่วงทำงานที่กรุงเทพ บางครั้งถ้ามีโอกาสได้เก็บตัวอยู่คนเดียวเงียบๆสักพัก ใจนี่จะรู้จะทายทักชะตาชีวิตเพื่อนๆได้ถูกต้อง รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรและจะเกิดกับเพื่อนคนไหนในอ๊อฟฟิต แต่ถ้าเพื่อนตั้งใจมาบอกว่าดูดวงให้หน่อยนี่จะบอกเพื่อนเลยว่าดูให้ไม่ได้ค่ะ ที่ทักได้เพราะช่วงเวลานั้นมันเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ เกิดขึ้นเป็นบางครั้งบางคราว

    +++ ในขณะที่อยู่คนเดียวเงียบ ๆ จิตจะว่างเว้น สงบ สันโดษ จากโลกภายนอก ตรงนี้จะเกิดช่องว่างรอยต่อของจิต ตรงช่องว่างรอยต่อนี้ คือ ภาชนะที่ว่าง (อายตนะวิสุทธิ์) จึงพร้อมที่จะรับรู้ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่จะมาตกกระทบได้ เช่น จิตอื่น เหตุการณ์อื่น เป็นต้น

    แต่สังเกตุตัวเองเปลี่ยนแปลงมากช่วงที่อยู่เมืองนอก เพราะที่นั่นจะงียบสงบ ไม่มีอะไรให้คิดให้กังวล ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายด้วย ไม่ต้องมารับรู้ปัญหาอะไรของใคร จะคิดจะทำอะไรก็ใช้สติ และอีกอย่างจะชอบเดินค่ะ เพราะอากาศที่นั่นจะหนาว บางทีเดินหลายกิโล เวลาเดินก็คิดไปด้วยแต่ก็มีสติสัมปชัญญะควบคู่ไปด้วย แต่น่าเสียดายที่ช่วงนั้นไม่เคยหันมามองดูจิตตัวเองเลยน่ะค่ะ มีแต่ไหลไปตามอารมณ์ไหลไปตามความคิด แต่ก็คิดอย่างมีสติ คิดอย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช่คิดแบบฟุ้งซ่านน่ะค่ะ เวลาโกรธหรือไม่พอใจอะไรก็จะเก็บไว้ในใจ เดี่ยวสักพักความโกรธความไม่พอใจมันก็หายไปเอง ทีนี้พอรู้สึกว่าเงียบสงบมากๆเข้า ไม่มีใครจะพูดจะคุยด้วย ก็เลยหันมาพูดมาคุยกับตัวเอง ไม่มีเพื่อนก็เอาตัวเองนี่แหล่ะเป็นเพื่อน ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นประมาณ 3 ปีจึงย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย

    +++ ของผม 14 ปี เพิ่งกลับมาได้ปีกว่า ๆ นี้เอง

    พอกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองน่ะค่ะ ละครทีวีอะไรนี่ไม่ดูเลย ดูไปก็เกิดความเบื่อหน่าย เบื่อที่เห็นเขาด่ากันทะเลาะกันตบตีกัน บางทีก็ดูไปก็คิดไปว่าเขากำลังแสดงอยู่ ตากล้องอยู่ข้างหน้าคงเหนื่อยน่าดู คิดไปถึงนู้นเลยค่ะ ถ้าใครพูดเพ้อเจ้ออะไรนี่ก็จะไม่อยากฟัง

    +++ ตรงนี้เหมือนกันครับ ละครทีวีไทยนั้น ยิ่งดูจิตจะยิ่งเสียมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกที ความบันเทิงจริง ๆ นั้น จิตจะต้องได้ธรรมารมณ์ที่เป็นลักษณะของ ปิติ กับ สุข ไม่ใช่หนักหน่วงไปด้วย อิจฉา ริษยา อาฆาต พยาบาท ซึ่งเป็นทางตรงกันข้ามกับ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ดังนั้น ระหว่าง ทุคติ กับ สุคติ ของจิตที่จะไปนั้น ดูได้ไม่ยากอะไรเลยนะครับ ทั้งผู้สร้าง ผู้แสดง และผู้ที่ติดตามชม และสังเกตุดูได้ง่ายมากสำหรับผู้ที่ติดละครน้ำเน่าพวกนี้ คือ เป็นพวกสายตาเหม่อลอย ทำอะไรไม่ค่อยมีสติ และเผลอลืมอยู่ตลอดเวลา จิตของพวกนี้ในยามที่ต้องทิ้งร่าง ก็จะไปแบบลมเพลมพัด หากไม่มีผู้มารับไปตามวิบากกรรม ก็จะไปเป็น สัมภเวสี ที่หลงภพหลงภูมิเสียมากต่อมาก และผู้ที่สร้างวิบากกรรมของจิตรวมหมู่ในระดับประเทศนี้ ความกว้างไกลของวงจรกรรมนั้นนับเป็น อจินไตย ได้เลยทีเดียว

    จำได้ว่าขณะนั้นกำลังเดินอยู่ที่สนามหญ้า อยู่ๆก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าร่างกายเราที่กำลังเดินอยู่น่ะมันไม่ใช่เรา มองดูแล้วมีความรู้สึกว่ามันเหมือนหุ่นหรือตัวอะไรก็ไม่รู้ที่เดินได้น่ะค่ะ บอกความรู้สึกในตอนนั้นไม่ถูกเลย ทีนี้หลังจากนั้นดิฉันก็นำสภาวะนี้มาคิดพิจารณาเพิ่ม จนเข้าใจกระจ่างเลยว่า ร่างกายนี้มันเป็นวัตถุสิ่งหนึ่งที่มันไม่รู้เรื่องอะไร มันเป็นแค่สังขารที่มีไว้ให้จิตวิญญาณเราอาศัยและเราสามารถบัญชามันไปตามทิศทางที่เราคิดเราต้องการ ถ้าเรามีอารมณ์เสียใจเศร้าใจจนร้องไห้ สังขารตัวนี้มันก็จะทำหน้าที่แสดงหน้าเศร้าแล้วร้องไห้น้ำตาไหลออกมา ถ้าเราดีใจจนหัวเราะ สังขารตัวนี้มันก็จะแสดงอาการหัวเราะเสียงดังออกมา ถ้าเรามีอารมณ์โกรธ สังขารตัวนี้ก็จะแสดงอาการโกรธออกมา อารมณ์ข้างในเราเป็นยังไง ตัวสังขารมันจะเป็นตัวแสดงให้ ดูๆแล้วสังขารมันก็ทำตามหน้าที่ของมัน นี่หรือที่เขาว่ากันว่าจิตเป็นนายกายเป็นบ่าว

    +++ ถูกแล้วครับ ผู้ที่ได้ กายานุปัสสะนามหาสติปัฏฐาน (ได้นิสัยแห่งการรู้ตัว) จะรู้ถึงอาการต่าง ๆ เหล่านี้ได้ดี ในศีลข้อแรกที่ว่า ปาณาติปาตา เวรมณี นั้น ท่านให้หมายความว่า ห้ามพราก "ชีวิต" ออกจากร่าง ดังนั้นผู้ที่ได้นิสัยใน กายคตาสติ จะรู้ได้ชัดเจนเองว่า สิ่งที่มีชีวิตนั้น ไม่ใช่ร่าง แต่เป็น จิต นั่นเอง ตรงนี้เป็นพยานยืนยันในสิ่งที่พระพุทธเจ้าที่กล่าวไว้ว่า "ธรรมะย่อมสวนทางกับโลก" นั่นแหละ

    +++ อีกประการหนึ่งของ จิตกับร่าง หากสังเกตุให้ดี ๆ ในเวลานั่งสมาธิแล้วสติตั้งตัวอยู่ตามธรรมชาติของมัน จะสังเกตุได้ว่า หน้ามันยิ้มเอง ทั้ง ๆ ที่จิตมันก็ยังเฉย ๆ อยู่ อาการยิ้มนี้เหมือนกับพระพุทธรูปที่ยิ้มน้อย ๆ อย่างไรก็อย่างนั้น ลอง ๆ สังเกตุดูนะครับ

    บางครั้งสังเกตตัวเอง ถ้าได้สนทนาพูดคุยกับใครก็จะรู้เลยว่าคนๆนั้นมีโรคประตัวอะไร เกิดจากทำกรรมอะไรไว้ บางทีแค่มองเฉยๆก็รู้น่ะค่ะ พอลองถามเขาว่าพี่มีโรคประจำตัวโรคนั้นโรคนี้เหรอ เขาก็ตอบว่าใช่ คุณรู้ได้ยังไง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรนะคะ เพราะความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นเองดับเอง และมันเป็นของมันเองโดยธรรมชาติ

    +++ ถูกต้องแล้วครับ หากฝึกให้ทั้ง จิตและสติ ละเอียดมากยิ่งขึ้น ภูมิรู้ก็จะละเอียดมากกว่านี้ ถึงระดับอ่านออกมาเป็นวงจรต่อวงจรได้เอง ให้สังเกตุในขณะที่ สภาวะรู้มีอิทธิพลเหนือกว่าสภาวะอารมณ์ละเอียด (ธรรมารมณ์) ที่มีอยู่ในจิต และในขณะนั้น ๆ สภาวะรู้ จะเป็นกลางทั้งภายนอกและภายใน คือรู้ทั้งสภาวะแห่งตน ผู้อื่น และสภาวะสิ่งแวดล้อม ในขณะนั้น ๆ

    ส่วนเจ้าตัวพูดมากที่ว่า ดิฉันมาสังเกตได้ชัดเจนอยู่ครั้งหนึ่ง ช่วงนั้นได้รู้จักกับหลวงปู่องค์หนึ่ง ท่านเป็นพระวัดป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ท่านปฏิบัติจนได้อภิญญาแล้ว ท่านก็สอนนะคะว่าเวลาจะพูดจะทำอะไรก็ให้มีสติ ( ซึ่งก็ทำประจำอยู่แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะมีสติอยู่ตลอดเวลานะคะ บ่อยมากที่เผลอหลงใหลไปกับความคิดหลงใหลไปตามกิเลส กว่าจะกลับมาได้ก็ถูกกิเลสเล่นงานจนอ่วมแล้ว ) แล้ววันหนึ่งดิฉันมาสังเกตรู้ว่าจิตตัวเองกำลังพูดคุยเหมือนตอบคำถามใครอยู่น่ะค่ะ ก็ยัง งง พูดคุยอยู่กับใคร หรือคุยอยู่กับหลวงปู่ หรือว่าจิตเราผิดปกติ ตั้งแต่นั้นมาก็สังเกตมาเรื่อยๆ บทมันจะพูดจะคุยก็พูดก็คุยไม่หยุด แต่จะเป็นช่วงที่เรารู้สึกอยากอยู่เงียบๆเบื่อหน่ายไม่อยากพูดไม่อยากคุยกับใคร แต่บทมันจะหายก็หายเงียบไปเลยนะคะ และก็มีอยู่ช่วงหนึ่งไม่รู้เกี่ยวกับตัวพูดมากนี้ไหม คือช่วงนั้นเข้ามาถามท่านสมาชิก แล้วได้รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรมา พอรู้ว่าตัวเองเคยเป็นอะไรมา ดีใจมากค่ะ นอนยิ้มอย่างมีความสุขอยู่หลายวันเลย แต่แล้วอยู่ๆความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาเหมือนจะเตือนว่า อดีตชาติเคยเป็นอะไรมาอย่าไปยึดติด ให้สำนึกไว้ว่า ณ ปัจจุบันตอนนี้เราเป็นคน ไม่ได้เป็นผู้วิเศษอะไร ยังต้องขับถ่าย ยังต้องกินข้าวกินน้ำ ยังต้องหลับนอน ...พอรู้สึกตัวแล้วก็นึกสมเพชรตัวเองเลยค่ะ หลงดีใจมาตั้งหลายวัน กลับมาอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน หมดสนุกเลยทีนี้

    +++ การระลึกชาติ หรือ รู้อดีตชาติแบบตัวจริง นั้นมีได้ 2 แบบ แบบแรกเป็นแบบอ่อน ๆ คือ "เห็น" ตัวเองว่าเคย "เป็น" อะไรมาก่อน กรณีนี้มักเป็นกรณีของ "ชาติที่เป็นมนุษย์" ในอดีต ส่วนอีกกรณีคือ ถอดจิตแล้ว "เป็น" ในสภาพที่ตนเองเคย "เป็น" มาก่อน กรณีหลังนี้มักเป็นกรณีที่ "เคยมีกายละเอียดกว่ามนุษย์" มาก่อน เช่น ครุฑ นาค เทพ พรหม เป็นต้น ในกรณีหลังนั้นมักจะทราบว่า ตนเองจะมาทำอะไรต่อ ในชาตินี้ ส่วนในกรณีแรกนั้นแล้วแต่บุพกรรมนำไป

    --อย่างกรณีที่คุณแนะนำเรื่องการปรามาสของจิตมารในกระทู้หนึ่ง ช่วงนั้นกำลังมีสภาวะนี้เกิดขึ้นอยู่ ก็เพิ่งได้รู้ตอนนั้นเองว่าคือจิตมาร ดิฉันปริ้นมาอ่านและคิดทบทวนประมาณ 2-3 วันได้ อ่านก็เข้าใจนะคะ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก งง มาก คุยกับตัวเองในใจ เอ ให้ตามดูและรู้จิตมาร จะตามดูตามรู้ได้ยังไงในเมื่อเราจะรู้ก็ต่อเมื่อหลังจากจิตมารปรามาสไปแล้ว และมีช่วงหนึ่งที่จิตสงบนิ่ง อยู่ๆก็มีอาการวูบเพียงเสี้ยววินาทีแล้วความรู้สึกหนึ่งก็วื๊บเข้ามาในจิตใน ใจ หลังจากนั้นก็ อ่อ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว เป็นความรู้สึกที่เข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายอีก

    +++ มันไม่ใช่ใครอื่นหรอกครับ ไอ้ตัวเก่านั่นแหละ "ตัวพูดมาก" นั่นเอง ไม่ว่ามันจะพูด ธรรมะหรืออธรรม ก็ตามเป็นมันตัวเดียวเท่านั้น ไม่มีตัวอื่นหรอก รอให้สติของคุณดันมันออกไปนอกตัวได้เท่านั้น ทุกอย่างก็จะชัดเจนแจ่มแจ้งเอง

    ตรงนี้หรือเปล่าคะที่ว่า ในขณะที่เราคิดเราจะยังไม่รู้เพราะเรามัวแต่คิด

    +++ ถูกต้องครับ

    แต่พอเรามีสติแล้ว ตัวสติทำให้เราหยุดคิด

    +++ ถูกต้องครับ เมื่อสติรู้ ความคิดย่อมถูกวางลงโดยธรรมชาติ

    พอเราหยุดคิดเราจึงรู้

    +++ ตรงนี้คือ ในขณะที่คิด "สภาวะคิด จะบัง สภาวะรู้"
    +++ "เมื่อ สภาวะคิด ดับไป สภาวะรู้ ก็ปรากฏออกมา"
    +++ มันเป็นเช่นนั้น ตามธรรมชาติของมันนะครับ

    +++ บทที่คุณควรฝึกเพื่อความชัดเจนเรื่อง "ตัวพูดมาก" ควรฝึกดังนี้ คือ

    +++ หลังจากทำความรู้สึกตัวแล้ว ให้สังเกตุ อาการกระพริบกระเพื่อมน้อย ๆ ในเวลาที่มันพูดทุกครั้ง แล้วดูตรง ๆ ไปที่อาการกระพริบนั้น ๆ หากดูได้ถูกส่วนแล้ว มันจะถูกพลังสติดันให้มันออกไปพูดนอกตัวเรา

    +++ ประสพการณ์ตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากในอนาคตของคุณนะครับ คุณควรจะได้มันไว้
     
  20. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ บทที่คุณควรฝึกเพื่อความชัดเจนเรื่อง "ตัวพูดมาก" ควรฝึกดังนี้ คือ

    +++ หลังจากทำความรู้สึกตัวแล้ว ให้สังเกตุ อาการกระพริบกระเพื่อมน้อย ๆ ในเวลาที่มันพูดทุกครั้ง แล้วดูตรง ๆ ไปที่อาการกระพริบนั้น ๆ หากดูได้ถูกส่วนแล้ว มันจะถูกพลังสติดันให้มันออกไปพูดนอกตัวเรา

    +++ ประสพการณ์ตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากในอนาคตของคุณนะครับ คุณควรจะได้มันไว้

    คุณธรรม-ชาติคะ ทำไมพอดิฉันอ่านประโยคท้ายนี้จบแล้ว จิตใจมันมีอาการกระเพื่อม รู้สึกตกใจและแปลกใจขึ้นมาทันที ความรู้สึกมันบอกตัวเองทันทีเลยว่า ต้องเป็น“ตัวพูดมาก”ตัวนี้แน่เลยที่มันก่อภพก่อชาติให้กับเราไม่สิ้นสุด น้ำตามันไหลพรากออกมาเองโดยไม่รู้ตัวเลยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...