อภินิหาร เรื่องเล่า ประสบการณ์ ประวัติ ปฏิปทา คำสอน - หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย kennek, 4 เมษายน 2011.

  1. รักษ์พระ

    รักษ์พระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    440
    ค่าพลัง:
    +3,128
    ขออนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ที่นำเอาเรื่องของหลวงปู่ชอบ ฐานสโมมาเล่าสู่กันฟัง
    ท่านเป็นสุดยอดของพระอรหันต์ที่ทรงคุณวิเศษเป็นเลิศอย่างแท้จริง มีเรื่องเกี่ยวกับท่านที่พอจำได้ 2 เรื่องครับ
    เรื่องแรก เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสไปกราบท่านที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถวรามคำแหงเมื่อครั้งที่ท่านมาพักรักษาตัวที่กรุงเทพ เคยอ่านเรื่องของท่านมาบ้างทำให้อยากไปกราบท่าน
    เมื่อเปิดประตูห้องผู้ป่วยที่ท่านมาพักอยู่เข้าไป เห็นท่านกำลังนั่งอยู่กับกลุ่มพระภิกษุที่ติดตามท่านมา จิตรู้สึกได้ถึงพลังที่แรงสุดๆเข้ามาปะทะกับตัว เป็นสุดยอดพลังด้านเมตตาที่ไม่เคยพบในชีวิตนี้มาก่อนเลย ยอมรับว่าทั้งตกใจ ประหลาดใจและนับถือท่านอย่างสุดหัวใจ วันนั้นโชคดีมากครับ ได้กราบท่านและได้รับพระรูปเหมือนของท่านจากมือของท่าน ท่านยังเมตตาประสิทธิ์ประสาทพระที่มอบให้อีกด้วย
    เรื่องที่สอง ต่อมาหลวงปู่ท่านมรณะภาพลง ได้ไปขออังคารธาตุของท่านจากพระลูกศิษย์ใกล้ชิดกับท่านที่มาจำพรรษาชั่วคราวอยู่วัดนรนารท พระท่านก็เมตตามอบมาให้พร้อมกับเล่าเรื่องประหลาดว่าท่านเองได้รับอังคารธาตุมาส่วนหนึ่งไม่มากก็แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้กับผม ส่วนอีกส่วนท่านได้อธิษฐานในตอนคืนนั้นว่าหากท่านมีบุญวาสนาในพระพุทธศาสนาสืบต่อไปขอให้อังคารธาตุของหลวงปู่แสดงปาฎิหาริย์ให้ปรากฎด้วย พอเช้าวันรุ่งขึ้น อังคารธาตุที่อยู่ในสภาพผงร่วนๆจับตัวกันเองกลายเป็นก้อนกลมแข็งเหมือนลูกหินหนึ่งลูก ยังไงยังงั้นครับ ท่านได้นำมาให้ชมเป็นบุญตาด้วย มีคนจังหวัดเลยที่เป็นครูที่นั่นเคยนำเอาอัฐธาตุของหลวงปู่ชอบที่เขาได้ไปมาให้ดูก็แปรสภาพเป็นพระธาตุใสสวยงามมากครับ
    ท่านใดมีโอกาสได้พระของหลวงปู่ชอบไปก็ขอให้เก็บรักษาให้ดีๆนะครับเพราะเป็นพระที่ทรงคุณค่ายิ่งครับ
     
  2. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,243
    อนุโมทนาครับ บางเรื่องก็เป็นเรื่องหาฟังยาก เพราะศิษย์ไปพบมากับตน ไม่มีในบันทึกที่ไหน ถือเป็นข้อมูลหลักฐานชิ้นสำคัญครับ
     
  3. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,243
    เห็นกายทิพย์ของพระอาจารย์


    [​IMG]
    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต


    ในบรรดาศิษย์รุ่นใหญ่ของ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตมหาเถระ หลวงปู่(หลวงปู่ชอบ ฐานสโม) ดูเหมือนจะมีประสบการณ์คล้ายกับบูรพาจารย์ของท่านมากที่สุด โดยเฉพาะด้านการรู้เห็น ติดต่อกับสิ่งลึกลับ ที่อยู่ต่างภพต่างภูมิ มาขอความอนุเคราะห์จากท่าน... ขอสร้างบุญ สร้างกุศล ทำบุญกับท่าน ขอฟังธรรมให้ท่านเทศน์โปรด

    ความอันนี้ ดูจะเป็นที่สังเกตและทราบตั้งแต่เมื่อท่านเป็นพระผู้น้อย เข้าไปกราบท่านพระอาจารย์มั่นใหม่ ๆ

    เวลาที่ท่านภาวนา...ทุกคืน ได้เห็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่ง เป็นเหตุการณ์ปรากฏซ้ำคล้ายกันแทบทุกคืน วันหนึ่งอดใจไม่ได้ ก็คลานเข้าไปกราบเรียนถามข้อสงสัย

    กล่าวคือ ท่านภาวนาเห็นพระอาจารย์มั่นถือไม้เท้าไปเคาะดูตามกุฏิลูกศิษย์หลังโน้นหลังนี้ทุกคืน ท่านพระอาจารย์มั่น ดู ๆ แล้วก็กลับ ไม่ทราบว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ไปด้วยเหตุผลกลใด

    ท่านพระอาจารย์มั่น ฟังแล้วแล้วก็นิ่ง มองพระน้อยองค์นี้ แทนที่จะตอบคำถาม ท่านกลับปรารภออกมาดัง ๆ ต่อหน้าพระเณรทุกองค์ว่า

    “เออ..ให้ทุกองค์ภาวนาให้ได้เหมือนท่านชอบซิ !”

    ได้ความว่า ระยะนี้ทุกคืน ท่านพระอาจารย์มั่นต้องการจะตรวจดูว่า พระเณรได้มีการทำความเพียรภาวนากันอย่างเต็มที่ สมกับที่เป็นพระธุดงค์ กรรมฐาน ศิษย์ของท่านหรือไม่... หรือจะมีใครง่วงเหงาหาวนอน ขี้เกียจภาวนา แอบเป็นจระเข้ ยึดถือหมอนเป็นหลัก หรือว่ามีจิตส่งออก คิดไปในทางไม่ถูก ไม่ควรบ้าง...

    ท่านจึงคอยไปตรวจดู...เคาะกุฏิดู...!

    และความจริงท่านก็มิได้ออกเดินไปดูจริง ๆ... ท่านเพียงแต่ส่งจิตออกไปดูเท่านั้น...!

    แต่พระน้อยองค์นี้ ก็สามารถมองเห็นกายทิพย์ของท่านได้...!

    นับแต่นั้น ท่านพระอาจารย์มั่นก็ให้ความเมตตาท่านมากขึ้น ไม่ว่าจะแนะอุบาย ข้อปฏิบัติเช่นไร ท่านก็พยายามทำตามอย่างไม่ลดละ เช่น ควรจะไปอยู่ป่านั้น ถ้ำนั้น ภูเขาลูกนั้น ตำบลนั้น ข่าวว่าลำบากยากแค้นกันดารอย่างไร ท่านจะไม่ลังเลสงสัยเลย ท่านจะตรงไปอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจทำความเพียรในป่านั้น ถ้ำนั้น ภูเขาลูกนั้น ตำบลนั้น อย่างไม่หวั่นกลัวหรือหวาดเกรงภัยใด ๆ และเมื่อไปแล้วแระสบผลอย่างไร มีอุบายพาดำเนินข้อขัดข้องไปได้เช่นไร ก็จะกลับมาเรียนชี้แจง ขอสอบทานความคิดเห็น หรือยังมีปัญหาใดค้างคาอยู่ ก็จะมาเรียนขอให้ท่านอนุเคราะห์ให้ความสว่างแก่ศิษย์

    ครูบาอาจารย์ในสมัยก่อนนั้น ท่านดูแลขัดเกลานิสัยศิษย์อย่างเอาใจใส่ ทั้งจริตนิสัยภายนอก ทั้งจิตภายในที่จะต้องกล่อมเกลาให้สำรวมระวัง ดูแลทุกข์สุข....

    เป็นทั้ง พ่อ

    เป็นทั้ง แม่

    เป็นทั้ง ครูบา

    เป็นทั้ง อาจารย์

    ของศิษย์จริง ๆ ท่านจึงใช้คำแทนชื่อ เรียกว่า “พ่อแม่ครูบาอาจารย์” หรือเรียก “พ่อแม่ครูจารย์” สั้น ๆ

    ท่านเคารพเชื่อฟังท่านพระอาจารย์มั่นมาก และท่านพระอาจารย์มั่น ก็คงจะเฝ้าสังเกตความก้าวหน้าในการบำเพ็ญภาวนา ของศิษย์ผู้นี้อยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งท่านจึงออกปากพยากรณ์...

    “ไปไกลลิบเลย พระน้อยองค์นี้”



    ในประวัติบางแห่ง กล่าวว่า เมื่อหลวงปู่พบท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว ในพรรษานั้น ก็ได้จำพรรษาอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น หากเรื่องนี้ หลวงปู่ปฏิเสธว่า ท่านไม่เคยจำพรรษากับท่านพระอาจารย์มั่นเลย แต่ออกพรรษาแล้ว เมื่อมีโอกาสครั้งใด ท่านก็จะกลับมากราบครูบาอาจารย์ของท่านเสมอ โดยเฉพาะเมื่อต้องการอุบายธรรม ที่จะส่งเสริมการปฏิบัติให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป

    อันที่จริง บางครั้ง บางเวลา ที่ท่านไปอยู่โดดเดี่ยวในกลางป่าดงพงลึก หรือในถ้ำอันลี้ลับ บนยอดเขาสูง หากการภาวนาเกิดติดขัดอย่างไร ท่านพระอาจารย์มั่นก็จะไปปรากฏร่างในนิมิตภาวนา แสดงบอกอุบายวิธีแก้ไข อาจจะเป็นโดยย่อ เพียงให้ท่านได้อุบายใช้สติปัญญาของตน คิดแยกแยะให้กว้างขวาง แตกฉานออกไป ...หรืออาจจะเป็นธรรมโดยละเอียด ที่ควรแจกแจงให้พิสดารออกไป จนแจ่มแจ้งก็ได้ โดยที่หลวงปู่มีนิสัยในทาง “ออกรู้” สิ่งต่าง ๆ ดีอยู่แล้ว จึงสามารถมีทางรับรู้ธรรมจากครูบาอาจารย์ทางได้เป็นอย่างดี

    แต่ถึงท่านจะมีโอกาส “รับฟัง” ธรรมจากท่านพระอาจารย์มั่นได้ในทางนิมิตภาวนา ง่ายกว่าศิษย์คนอื่น ท่านก็ยังปรารถนาจะหาโอกาสกลับมากราบองค์จริงอยู่บ่อย ๆ

    คืนหนึ่ง ท่านไปทำความเพียรอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากวัดที่ท่านพระอาจารย์มั่นอยู่นัก

    ท่านเล่าว่า

    คืนวันนั้น จิตสงบภาวนาได้ดีมาก แต่ใจหนึ่งก็สงสารสังขาร คิดจะให้ได้พักผ่อนสักหน่อย เพราะท่านใช้เวลาภาวนาติดต่อกันมาหลายคืนแล้ว พอตกลงใจคิดเอนหลังลงจะนอน ก็ได้ยินเสียงดังลั่นเหมือนเสียงฟ้าผ่า เสียงนั้นดังสนั่นมากจนท่านประหลาดใจ คิดว่าพรุ่งนี้จะหาโอกาสไปกราบเรียนถามท่านอาจารย์

    พอไปถึงวัดท่านพระอาจารย์มั่น เห็นเสื่อปูรอไว้แล้ว พร้อมทั้งมีขวดน้ำแก้วน้ำตั้งรอรับเสร็จสรรพ ท่านก็ก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง ยังไม่ทันจะเปิดปากเลย ท่านพระอาจารย์มั่นก็กล่าวออกมาดัง ๆ ว่า

    “อ้ายคนเราน่ะนะ ถ้าจะภาวนาให้ดีแล้ว พอนึกง่วงนอน จะนอนแล้ว จะเกิดเสียงดังยังกับฟ้าผ่า !”

    ท่านได้ฟังก็เลยไม่ถามอะไรสักคำ กราบลาแล้วก็กลับไป...!


    ref: http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-chob/lp-chob-hist-12.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • cdpumun.jpg
      cdpumun.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.1 KB
      เปิดดู:
      1,886
  4. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,243
    ช่วยพระอาจารย์มั่นรับแขก(กายทิพย์)

    [​IMG]


    ในการกลับมากราบเยี่ยมท่านพระอาจารย์มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ ครั้งแรกท่านคิดจะกลับไปบ้านเกิดที่จังหวัดเลยโดยเร็ว เพราะได้เหินห่างจากแดนมาตุภูมิมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว อีกประการหนึ่ง หลวงปู่ขาว มิตรสนิทของท่าน ก็กราบลาท่านพระอาจารย์มั่นกลับไปอุบลราชธานีแล้ว แต่ท่านมาคิดว่า ตัวท่านนั้นได้เที่ยววิเวกห่างจากครูบาอาจารย์ไป มิได้เคยอยู่จำพรรษาด้วยท่านเลย ครั้งนี้ท่านพระอาจารย์มั่นก็มีอายุมากแล้ว แต่ได้มีพระเณรอยู่รับการอบรมจากท่านเป็นจำนวนมาก คงจะเป็นภาระอย่างมากแก่ท่าน หลวงปู่จึงคิดจะอยู่รับใช้ตอบแทนพระคุณท่านระยะหนึ่ง ก่อนกลับไปเยี่ยมบ้าน

    และก็ราวท่านพระอาจารย์จะล่วงรู้ความมีน้ำใจของหลวงปู่ (หลวงปู่ว่า แน่นอน ท่านต้องรู้แน่อย่างไม่มีปัญหา !) ท่านก็มอบหน้าที่ให้หลวงปู่หลายประการ เช่น... ให้ท่านช่วยรับแขกบ้าง ให้ช่วยท่านดูแลพระบ้าง

    ฟังดูก็เป็นเรื่องธรรมดา

    ...ช่วยท่านรับแขก ....? ถ้ามีแขก ก็ช่วยรับแขก โอภาปราศรัยแขก อย่าให้รบกวนท่านมากนัก

    ....ให้ช่วยท่านดูแลพระเณร...? แน่นอน ในฐานะที่ท่านเป็นศิษย์รุ่นพี่ใหญ่ ก็ต้องคอยดูแลตักเตือนศิษย์รุ่นน้อง ให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบอันดีงาม มีความขยันหมั่นเพียรในการบำเพ็ญภาวนา อย่าถือเอาความเกียจคร้านเป็นสรณะ...

    ถ้าเป็นภาระหน้าที่ธรรมดา ๆ เช่นนี้ ท่านพระอาจารย์มั่นคงจะไม่มอบหน้าที่ให้หลวงปู่แน่...!

    เพราะ...”ให้ท่านช่วยรับแขก” ... หมายความว่า ในเวลากลางดึก ซึ่งเป็นเวลาที่ปกติมนุษย์ควรจะพักผ่อนกายนั้น ปรากฏว่า ท่านพระอาจารย์มั่นมักจะมีแขกมาเยี่ยมมาขอฟังธรรมกันเสมอ บางคืนมากันมากมายหลายคณะ แขกคณะนี้กลับไป แขกคณะอื่นก็มาต่อ ทำให้ท่านเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง

    ท่านจึงต้องขอให้หลวงปู่ช่วยท่านรับแขกด้วย

    ถูกแล้ว..ไม่ใช่เป็นแขกมนุษย์ แต่เป็นแขกเทพ และความจริง การมอบให้ท่านช่วยรับแขกเทพนี้ ท่านก็มิได้ปริปากบอกเลย ! เพียงแต่..เมื่อหลวงปู่อยู่ในสมาธิ ก็จะมีเทพมากราบขอฟังธรรม เรียนท่านว่า ได้ไปกราบหลวงปู่มั่นแล้ว แต่ท่านเหน็ดเหนื่อย ด้วยคืนนี้รับแขกมามากคณะแล้ว ขอให้มาฟังธรรมจากหลวงปู่แทน

    หลวงปู่เทศน์ แสดงธรรมไปเสร็จแล้ว ตอนเช้า ก็ขอโอกาสกราบเรียนเรื่องให้ท่านพระอาจารย์มั่นฟัง พร้อมทั้งเรียนถามท่านว่า ท่านพระอาจารยั่นได้สั่งให้เทวดามาขอฟังธรรมจากท่านใช่หรือไม่ หรือว่า เทวดาคณะนั้น...คณะนั้นสมอ้างชื่อท่านพระอาจารย์มั่นเอาเอง

    ท่านพระอาจารย์มั่นก็รับว่า ท่านได้บอกเทวดาเช่นนั้นจริง ๆ เพราะท่านเหนื่อยในการรับแขกอย่างยิ่ง ด้วยมากันมากมายหลายคณะ และข้อธรรมที่จะแสดงก็ต้องกำหนดแตกต่างกันไปตามภูมิชั้นจริตนิสัยที่ควรแก่การรับการอบรมอันไม่เหมือนกัน

    ท่านจึงมีหน้าที่ช่วยอาจารย์ของท่านรับแขกด้วยประการฉะนี้ ...เพียงแต่ว่าเป็นแขกเทพ ซึ่งต้องสนทนา แสดงธรรมกันด้วยใจล้วน ๆ ทั้งใจของผู้ฟังธรรมและทั้งใจของผู้แสดงธรรม...สัมผัสกันกลมกลืนเป็นอย่างดี และเช่นเดียวกับที่บรรดาเทวดาฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์มั่น แล้วจะโมทนาสาธุกันสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อฟังธรรมขากหลวงปู่ พวกเทพก็จะกล่าวสาธุการกันด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างสุดซึ้งดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วโลกเช่นเดียวกัน

    ว่ากันว่า เวลาฟังธรรมท่านพระอาจารย์ในสนทนากับหลวงปู่เรื่องกายทิพย์ เรื่องแขกภายนอก เรื่องเทวดา ภูตผีทั้งหลายที่มาขอพึ่งบารมี ฟังธรรมและถามปัญหาธรรม ผู้มีโอกาสได้ฟังด้วยจะรู้สึกเพลิดเพลิน ตื่นตาตื่นใจ ไม่อยากให้จบลงเลย ท่านพูดสอดคล้องกัน และเป็นไปในแนวเดียวกันราวกับได้อยู่ด้วยกัน เห็นด้วยกัน ฟังด้วยกันฉะนั้น

    ส่วน...เรื่องการ “ให้ช่วยท่านดูแลพระ” นั้น... ก็หมายความว่า ปกติพระอาจารย์มั่นมีปรจิตวิชาอย่างว่องไว พระเณรองค์ใดคิดไม่ถูกไม่ควร จะต้องถูกท่านทักหรือเทศน์ตักเตือนเสมอ ดังที่เขียนถึงมาแล้วว่า แม้แต่เวลากลางคืน ท่านจะกำหนดจิตดูว่ามีใครเกียจคร้าน ไม่บำเพ็ญความเพียร หรือคิดสร้างบ้านสร้างเรือน นอกลู่นอกทาง อันเป็นการผิดสมณเพศวิสัย บ้างหรือไม่ จนปรากฏเป็นภาพในนิมิตให้หลวงปู่ชอบท่านได้เห็น เป็นภาพพระอาจารย์มั่นไปเคาะกุฏิศิษย์บ่อย ๆ

    ท่านพระอาจารย์มั่นมักจะคุมจิต คอยดู เวลาศิษย์ออกไปบิณฑบาตตอนเช้า หรือมิฉะนั้นก็เวลาที่ท่านกำลังเทศน์อยู่ ใครคิดอะไรผิดปกติ จะต้องถูกท่านทัก หรือดุเอาบ่อย ๆ อย่างไรก็ดี ในระยะหลัง พระเณรมีจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะระหว่างที่ท่านเทศน์นั้น กระแสธรรมของท่านจะหลั่งไหลต่อเนื่องกันอย่างเผ็ดร้อน หากมีอะไรมาทักขัดจังหวะทำให้สะดุดหยุดลง ก็จะไม่ต่อเนื่องกัน ท่านจึงมอบให้หลวงปู่ “ช่วยดูแลพระ จับขโมย ให้ผมด้วย”

    ขโมย ผู้ขโมยคิด อย่างไม่ถูกต้องตามครรลองของพระผู้ควรถือศีล ๒๒๗ ข้อให้บริสุทธิ์

    เป็นที่เลื่องลือกันว่า ปรจิตวิชา หรือการล่วงรู้จิตผู้อื่น หลวงปู่ก็ว่องไวไม่แพ้ท่านพระอาจารย์มั่น อาจารย์ของท่านเหมือนกัน

    พระเณรทั้งหลายจึงยำเกรงท่านมาก และเคารพท่านรองลงมาจากท่านพระอาจารย์มั่นทีเดียว

    ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามท่านว่า ที่หลวงปู่จับพระ จับขโมย ที่ว่า “ขโมยคิด” ไม่ถูกต้องนั้น ท่านกำลังคิดเรื่องอะไร

    หลวงปู่เล่ายิ้ม ๆ ว่า ส่วนมากก็ คิดฮอด ผู้สาว (คิดฮอด - คิดถึง)

    ได้ความว่า บางทีไปบิณฑบาต ไปเห็นผู้สาวอาบน้ำ หรือมาใส่บาตร ทำตาหวานใส่ พระหนุ่มบางองค์ สติไม่ทันจิตก็อาจจะคิดเพลิดเพลินไปได้

    บางทีเป็นการคิดประมาทธรรม ประมาทครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้องและบาปอย่างยิ่ง ก็จำต้องทักท้วงกัน

    เป็นที่เลื่องลือกันว่า ปรจิตวิชา หรือการล่วงรู้จิตผู้อื่น หลวงปู่ก็ว่องไวไม่แพ้ท่านพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์ของท่านเหมือนกัน
    พระเณรทั้งหลายจึงยำเกรงท่านมาก และเคารพท่านรองลงมาจากท่านพระอาจารย์มั่นทีเดียว



    ref: http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-chob/lp-chob-hist-19.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 9.jpg
      9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      150.2 KB
      เปิดดู:
      1,616
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2011
  5. upavana

    upavana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +1,075
    Sadhu..... anumodana.........
     
  6. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,243
    การเททองหล่อพระประธาน ศาลาเทิดพระเกียรติที่ภูทอก

    [​IMG]
    หลวงปู่ไปเป็นประธานในพิธีเททองหล่อพระพุทธชินราชจำลอง
    ซึ่งจะประดิษฐานเป็นพระประธานของศาลาเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ
    พระบรมราชินีนาถ ในวาระมหามงคล เจริญพระชนมายุครบห้ารอบ ณ
    วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๕


    ศาลาเทิดพระเกียรติที่ภูทอกนี้ เป็นศาลาที่พวกเราตั้งใจจะสร้างขึ้น สำหรับจะถวายพระราชกุศล เป็นการเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินินาถ ในวาระที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา ตั้งใจว่าจะให้เป็นการบุณย์ คู่เคียงกับเจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์จวน ที่สร้างเสร็จมาก่อนหน้านั้น
    สำหรับเรื่องเจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์จวนคงจะจำกันได้ว่า
    มีอนุสนธิจากการที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน ในปี ๒๕๒๔ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรารภว่า อัฐิธาตุของท่านพระอาจารย์จวน ควรจะเก็บรักษาไว้ที่ภูทอกแห่งเดียว โดยสร้างเจดีย์ไว้ เพื่อไม่ให้อัฐิของท่านกระจัดกระจายไปที่อื่น ใครที่มีความเคารพก็จะไปกราบได้ที่เดียวกัน
    พวกเราต่างรับกระแสพระราชดำริเทิดไว้เหนือเกล้า ดำเนินการจัดสร้างจนเสร็จเรียบร้อย และโดยที่คิดกันว่า การสร้างเจดีย์นี้ก็เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อพระราชทานแก่วัดเจติยาคิรีวิหาร ภูทอก เป็นการถวายพระราชกุศล ในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเกินกว่าพระบูรพกษัตราธิราชเจ้าพระองค์ใดในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งก็ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดและบรรจุอัฐิบนยอดเจดีย์ เสร็จตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๓ เรียบร้อยแล้ว
    เราก็เลยคิดขึ้นว่า ศาลาของภูทอกซึ่งอยู่ห่างมาอีกฟากหนึ่งของสระน้ำมีสภาพทรุดโทรม สร้างมาแต่สมัยท่านพระอาจารย์จวน ผ่านการต่อเติมมาหลายต่อหลายครั้ง แต่เป็นการต่อเติมชั่วคราว ตัวหลังคาก็ชำรุดเสียหาย ฝนตกทีไรน้ำรั่วอยู่ตลอด ก็เลยปรึกษากัน ควรจะรื้อถอนแล้วสร้างใหม่ให้มีสภาพสง่างามรับกับเจดีย์คู่เคียงกัน
    ขณะเมื่อเริ่มสร้างศาลา ก็ดำริว่าควรมีพระประธานที่ศาลานี้
    เรื่องพระประธานนี้เป็นเรื่องยาว จำต้องขอเล่าความเดิมว่า

    ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผู้เขียนเริ่มรู้จักกราบท่านพระอาจารย์จวนใหม่ ๆ เป็นระยะที่พวกเราเพิ่งรู้จักหัดภาวนา ออกจะสนุกกับการภาวนามาก อยากเห็นพระศักดิ์สิทธิ์ อยากเห็นรังสีของพระพุทธเจ้า...สารพัด อยากดูอย่างไหนก็เห็นหมด ที่จริงเป็นการที่ท่านจะล่อใจให้ใฝ่การภาวนานั่นเอง ลองวิชากันสนุก

    วันหนึ่งคิดว่า เราได้ยินมาว่า พระพุทธชินราชที่เขาว่ากันว่าเป็นพระพุทธรูปที่งามนัก ตามตำนานกล่าวว่า ผู้ที่หล่อไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา หากเป็นพระอินทร์เสด็จลงมา โดยก่อนหน้านั้นเขาว่าเททองทีไร เบ้าก็แตกทุกที จนสุดท้ายพระอินทร์ลงมาช่วย โดยแปลงกายเป็นผ้าขาวมาช่วยในการหล่อ เมื่อสำเร็จแล้วท่านก็หายไป จนมีตำบลหนึ่งเรียกว่า ตำบลผ้าขาวหาย
    เราจึงสงสัยใคร่รู้ว่า พระอินทร์มาสร้างจริงไหม ถ้าสร้างจริงก็ขอแสดงอะไรให้เราดูบ้าง เพราะสมัยเด็ก เราเคารพพระพุทธชินสีห์ พระพุทธชินราชมาก โดยเฉพาะพระพุทธชินราช ทั้งเคยได้ยินเรื่องราวอย่างที่ว่าดังกล่าว เลยจะลองวิชา ว่าง่าย ๆ ขอลองดู ปรากฏว่า พอหลับตาก็เห็นพระพุทธชินราชลอยมาจริง ๆ เปล่งประกายเป็นแสงรัศมีสีฟ้าอมเขียว งดงามมาก ผู้เขียนก็ยังลังเลสงสัยว่า เอ..เราคิดขึ้นมาเองหรือเปล่า ถึงได้มีภาพพระพุทธชินราชปรากฏขึ้นมา แต่พอนึกถึงพระพุทธชินราชอีกในภายหลัง ก็ไม่เห็นภาพนี้ปรากฏอีก
    พอสบโอกาสได้ไปภูทอก จึงกราบเรียนท่านพระอาจารย์จวนถึงเรื่องทั้งปวง รวมทั้งเรื่องอยากทราบว่าพระอินทร์ลงมาสร้างพระพุทธชินราชหรือไม่ และมีนิมิตพระพุทธชินราชงดงามมาปรากฏ ท่านอาจารย์ว่าพอจะเชื่อตามตำนานปรำปรานั้นได้ไหม
    ท่านพระอาจารย์จวนแทนที่จะตอบว่าจริงหรือไม่ ท่านกลับพูดว่า
    “อ้าว ไม่รู้หรอกหรือ ก็พระอินทร์สร้างน่ะซี”
    ได้ความว่าท่านเคยเกิดเป็นลูกพระอินทร์ ท่านถึงได้ทราบความข้อนี้ ท่านปรารภกับผู้เขียนต่อไปว่า
    “วัดเรานี่ ยังไม่มีพระพุทธชินราชเลยนะ สุรีพันธุ์ควรจะสร้างไว้”
    ผู้เขียนถามท่านว่า
    “จะให้สร้างมาเป็นพระประธานไว้ที่วิหารชั้น ๕ ใช่ไหม”
    ท่านก็บอกว่า
    “ไม่ได้ ที่วิหารชั้น ๕ มีพระประธานอยู่แล้ว ท่านศักดิ์สิทธิ์ด้วย อาตมาได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุพระนางพิมพา และพระธาตุอื่นอีกมากมาย รวมทั้งพระธาตุท่านอาจารย์เสาร์ ท่านอาจารย์มั่นด้วย”
    “อ้าว ! แล้วท่านอาจารย์จะให้เอาไว้ที่ไหน ที่ชั้น ๔ หรือเจ้าคะ”
    ท่านก็บอกว่าไม่ได้อีก เพราะจะอยู่บนเขาลูกเดียวกันไม่ได้ จึงซักถามท่านอีกว่า ถ้าอย่างนั้นจะเอาไปตั้งไว้ที่ไหนดี
    ท่านตอบว่า
    “ถึงเวลาแล้ว จะรู้เอง”
    ระหว่างกำลังสร้างเจดีย์พิพิธภัณฑ์ท่านพระอาจารย์จวน ก็คิดว่าเห็นทีจะได้สร้างพระพุทธชินราชแล้ว เมื่อหลวงปู่เทสก์เรียกผู้เขียนไปบอกว่า ธรรมดาเจดีย์ทั้งหลายควรต้องมีพระพุทธรูปอยู่ในเจดีย์นั้นด้วย ผู้เขียนกราบเรียนท่านว่า โดยที่เจดีย์นี้เป็นเจดีย์ท่านพระอาจารย์จวน คงจะต้องบรรจุอัฐิพระธาตุของท่านบนยอดเจดีย์ พระพุทธรูปที่ท่านว่าจะให้เป็นพระประธานในเจดีย์นั้น คงจะเป็นพระพุทธชินราชที่ท่านอาจารย์จวนสั่งไว้นานแล้วให้สร้าง แต่การประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ คงจะต้องอยู่ที่ชั้นล่างของเจดีย์ แล้วเสริมว่า
    “คงไม่เป็นไรมังคะ ที่พระพุทธรูปจะอยู่ข้างล่าง เพราะท่านพระอาจารย์ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว อัฐิธาตุน่าจะอยู่ข้างบนได้”
    หลวงปู่ก็บอกว่า "ไม่ได้"
    ผู้เขียนสงสัย ถามท่าน
    “ทำไมถึงไม่ได้เจ้าคะ ในเมื่อพระพุทธรูปเป็นเพียง อิฐ ปูน หรือทองเหลือง ส่วนอัฐิธาตุเป็นขององค์ท่านจริง ๆ ไม่ใช่อิฐ ไม่ใช่ปูน”
    ท่านก็อธิบายว่า
    “ไม่ได้ สิ่งใดก็ตามที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ถึงแม้จะสร้างจาก อิฐ ปูน ทองเหลือง หรือเอาเศษไม้มาแกะสลักก็ตาม หากเรานับถือเป็นพระพุทธรูปแล้ว ท่านก็ต้องอยู่สูงกว่าทั้งหมด”
    เป็นอันว่า แม้ในเจดีย์ท่านพระอาจารย์จวนจะมีพระพุทธรูป แต่พระพุทธชินราชคงจะอยู่ในเจดีย์ไม่ได้ จึงหาทางแก้ไข ไปกราบเรียนปรึกษาท่านพระอาจารย์แยง สุขกาโม ท่านเจ้าอาวาสวัดภูทอกว่า เราคงจะต้องหาพระพุทธรูปองค์เล็ก เชิญไปประดิษฐานไว้บนยอดเจดีย์ เวลาเชิญอัฐิธาตุท่านอาจารย์จวนขึ้นไปข้างบน ก็ให้ประดิษฐานไว้ต่ำกว่าพระพุทธรูปนั้น
    เมื่อกลับไปกราบเรียนหลวงปู่เทสก์ตามนี้ ท่านก็พอใจ บอกว่า “ดีแล้ว”
    ท่านยืนยันว่า บรรดาเจดีย์ทั้งหลาย ยอดที่สูงสุดของเจดีย์จะต้องเป็นพระพุทธรูปเสมอ...!
    ทีนี้มาคิดว่า เมื่อเราทำศาลา ก็น่าจะได้มีโอกาสสร้างพระพุทธชินราชได้แล้ว จึงกราบเรียนท่านอาจารย์แยงว่า ถ้ามีใครมาขอบริจาคพระประธานที่ศาลาก็ขออย่ารับ ตัวผู้เขียนจะสร้างเอง ตามที่รับปากกับท่านพระอาจารย์จวนเอาไว้
    ครูบาอาจารย์หลายองค์ทราบข่าวเข้า อย่างเช่น ท่านพระอาจารย์ติ๊ก ท่านท้วงว่า
    “การสร้างพระประธานที่ศาลานี้เป็นกุศลอันมหาศาล คุณจะทำคนเดียวไม่ได้ ต้องแบ่งให้คนอื่นเขามีส่วนแห่งบุญบ้าง ให้ทุกคนได้มีโอกาสร่วมเป็นเจ้าภาพด้วย”
    ที่จริงเราได้บริจาคเงินส่วนใหญ่ในการสร้างศาลาอยู่แล้ว ถ้าแบ่งส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างพระประธาน น่าจะทำได้ ท่านพระอาจารย์ติ๊กก็ไม่ยอม ท่านว่า
    “คุณอย่าหวงบุญไว้คนเดียว คุณต้องแบ่งส่วนบุญให้ทุกคนด้วย”
    เป็นอันว่า มีติลงความเห็นให้ทุกคนมีสิทธิเป็นเจ้าภาพสร้างพระประธาน
    สำหรับงานหล่อพระพุทธชินราชจำลองนี้ ผู้เขียนทราบมาว่า นายช่างที่สร้างได้สวยที่สุดและดีที่สุดคือ “ดร. ทวี บูรณเขต” ทำได้งามเป็นที่ยกย่อง จนได้รับปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิต จึงได้ไปติดต่อว่าจ้างให้ท่านรับเป็นผู้ทำการหล่อพระพุทธชินราช พอตกลงกันได้ ถามว่าจะให้ไปหล่อที่ไหน ที่ภูทอก หรือว่าพิษณุโลก
    นายช่างทวีตอบว่า ที่ไหนก็ได้ แต่หากเลือกเอาภูทอก คงจะเพิ่มค่าใช้จ่ายอีกประมาณห้าหมื่นบาท สำหรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมทั้งการขนย้ายเข้าของ
    เวลานั้นพวกเราค่อนข้างอยากประหยัดเงิน เพราะเงินที่นำมาสร้างศาลาเริ่มจะบานปลายออกไปจากเดิมที่กะไว้มาก คิดว่าน่าจะนิมนต์ท่านอาจารย์แยงกับท่านอาจารย์ติ๊กไปที่พิษณุโลกไปหล่อพระที่นั่น พอเสร็จค่อยยกมาภูทอก เมื่อไปเรียนความคิดนี้ให้ท่านอาจารย์ติ๊กทราบ ท่านท้วงอีกว่า ไม่ได้ งานนี้เป็นงานใหญ่ เพราะจะถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จริง ๆ แล้วถวายทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพราะเราได้ตั้งใจกันว่า ที่ยอดเศียรพระ จะให้ทำแบบไขเปิดบรรจุพระธาตุได้ โดยผู้เขียนเตรียมถวายพระบรมสารีริกธาตุจำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ แด่ทั้งสองพระองค์ให้ทรงบรรจุบำเพ็ญพระบารมีคู่เคียวกัน
    ท่านอาจารย์จึงว่า เป็นงานบุณย์อันมหาศาลอย่างยิ่ง สมควรที่จะจัดทำพิธีหล่อที่ภูทอก ก็ตกลงใจจัดพิธีที่ภูทอก โดยคิดว่าทำเป็นเรื่องเล็ก ๆ ไม่มีพิธีใหญ่โตอะไรมากมาย โดยผู้เขียนเสนอให้จัดสถานที่ที่ปากทางขึ้นเขาภูทอก ที่มีลานเล็ก ๆ เนื้อที่ว่างอยู่
    วันหนึ่งท่านอาจารย์ติ๊ก ซึ่งขณะนั้นท่านจำพรรษาที่วัดห้วยลาด ที่แถวภูเรือ ส่งข่าวไปยังผู้เขียน ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาภาวนาที่วัดหินหมากเป้ง ให้ไปพบท่านด่วน พอเจอหน้าท่าน ท่านก็พูดว่า งานนี้เป็นงานเล็กไม่ได้ เพราะจะเป็นที่ซึ่งต่อไปท่านผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หากจะอธิษฐานขอพรอะไร ก็จะมาอธิษฐานขอพรที่นี่ ฉะนั้นพิธีหล่อต้องจัดเป็นพิธีใหญ่ โดยเฉพาะคนที่มาร่วมงานในงานพิธีจะต้องใส่ชุดขาว
    ท่านพระอาจารย์ติ๊กยังได้วาดผังบริเวณสถานที่ประกอบพิธีซึ่งไม่ใช่ที่ที่ผู้เขียนเคยคิดไว้แต่เดิม คือที่ปากทางขึ้นเขา แต่สถานที่ในแผนผังที่ว่านี้ อยู่ที่ข้างเจดีย์ด้านที่ออกไปทางป่า ซึ่งบริเวณนั้นเราปลูกต้นไม้ ทำสวนหย่อมไว้อย่างมากมาย จะต้องขยับขยายออกไป แล้วปักธงบอกเขตบริเวณพิธีมณฑลอย่างกว้างขวางเป็นรูปสี่เหลี่ยมใหญ่ ท่านก็เขียนแผนผังงานส่งให้ดู
    ผู้เขียนฟังแล้วชักตกใจ ใจแวบไปถึงค่าใช่จ่ายที่เบ่งบานปลายออกไปอีก วิตกว่าจะหาเงินที่ไหนเป็นค่าใช้จ่าย ท่านอาจารย์ติ๊กก็ว่า “ไม่เป็นไร”
    อนึ่งระหว่างการทำศาลาภูทอก หลวงปู่เทสก์ได้มีเมตตามาช่วยดูแลให้ทั้งหมด เพราะผู้เขียนได้สัญญากับท่านว่าจะไม่จัดกฐิน ท่านเกรงเงินจะไม่พอ จึงช่วยดูแลจัดหาช่างในราคาที่พอเหมาะพอควรมาให้
    ท่านสั่งให้ผู้เขียนไปนิมนต์หลวงปู่ชอบ มาเป็นประธานในพิธีหล่อพระ หลวงปู่เป็นพระที่เทวดารัก หากนิมนต์ท่านเป็นประธาน คงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในงานต้องมีท่านเบื้องบนลงมากันเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น พระอินทร์ พระพรหม ยม ยักษ์ นาค ครุฑ เพื่อมาร่วมอนุโมทนาบุญนี้ พระพุทธรูปที่หล่อนี้ก็จะเป้นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นหลักของบ้านเมือง
    ผู้เขียนรับแผนการจัดงานมาแล้วก็ลาท่านกลับ ก่อนกลับท่านบอกให้แวะวัดโคกมน นิมนต์หลวงปู่เสียเลย เพราะวันที่กำหนดเททอง คือวันที่ ๒๓ ตุลาคม เป็นช่วงอยู่ในฤดูกรานกฐิน เกรงว่าหลวงปู่จะรับนิมนต์ไปแห่งอื่นเสียก่อน
    เล่ามาถึงตอนนี้ก็จะต่อเนื่องกับเรื่องที่เล่าไว้ก่อนคือ เรื่อง นิมนต์ทางจิต คือ พอรถผ่านโคกมน ซึ่งตอนนั้นผู้เขียนนั่งมากับคุณอุดม ลัมะกานนท์ แต่ก็ไม่ได้เข้าวัดโคกมน เพราะกลัวจะกลับถึงวัดหินหมากเป้งไม่ทัน ๖ โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาปิดประตูใหญ่ของวัด และคุณอุดมสงสัยว่า ถ้าไม่แวะ และจะหาโอกาสเวลาไหนไปนิมนต์หลวงปู่ เวลากำลังกระชั้นชิดเข้ามาแล้ว ผู้เขียนก็ได้พูดเล่น ๆ ไปว่า นิมนต์ทางจิตก็แล้วกัน พอสองวันต่อมา ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่หลวงปู่ชอบมาเยือนวัดหินหมากเป้ง ดังได้เล่าไว้แล้ว
    ต่อมาผู้เขียนเดินทางไปภูทอก เพื่อจะพบท่านอาจารย์แยง สุขกาโม เจ้าอาวาส เพื่อจะเรียนเรื่องทั้งหมดให้ท่านทราบ พอไปถึงก็พบเพื่อนรุ่นน้องชื่อคุณนิด ซึ่งเธอได้วิ่งเข้ามาหา มีเรื่องเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า เธอได้ภาวนาเกิดนิมิตเห็นงานพิธีเททองหล่อพระ ภายในมี เทพ พรหม ใส่ชุดขาวมาร่วมงานเต็มไปหมด
    ผู้เขียนขอให้เธอพาไปดูสถานที่ประกอบพิธีตามที่เห็นในนิมิต ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ สิ่งที่เธอเล่าตรงกับที่ท่านอาจารย์ติ๊กบอกทั้ง ๒ อย่าง ทั้ง ๆ ที่ผู้เขียนไม่ได้คุยอะไรให้เธอฟัง คือท่านอาจารย์สั่งกำชับให้พวกเราใส่ชุดขาวในพิธี แปลว่าทาง “ข้างบน” ก็สวมชุดขาวมาร่วมพิธีเช่นกัน และที่น่าแปลกมากก็คือ สถานที่ประกอบพิธีที่ปรากฏในนิมิตของเธอ ก็ตรงกับที่ท่านอาจารย์ติ๊กเขียนไว้ในแผนผังแห่งเดียวกัน
    เราเริ่มเตรียมปักสถานที่เตรียมการตามที่ท่านอาจารย์สั่งบอกมา ให้พวกเราที่จะมาร่วมงานแต่งชุดขาวหมด พอใกล้ถึงวันที่จะเททอง คนก็มาถามผู้เขียนว่า เรียนหลวงปู่ชอบแล้วหรือ ตอบเขาไปว่า เรียนท่านด้วยจิต ตอนท่านมาหินหมากเป้งก็ได้เรียนท่านซ้ำอีกที บางคนคาดว่าท่านคงจะไม่มา
    พอถึงวันที่ ๒๒ ตุลาคม วันก่อนหน้าพิธีเททอง มีการชุนุมสวดมนต์สลับการเทศน์ธรรมะโดยท่านพระอาจารย์ติ๊กตลอดคืนที่ลานเจดีย์ พอรุ่งเช้า ปรากฏว่าหลวงปู่ท่านเมตตามาจริง ๆพระที่ตามมาปรนนิบัติท่านเล่าว่า พอตื่นเช้าขึ้นมา ท่านก็บอกว่า “ไป..ไปหาสุรีพันธุ์กัน” ทราบว่าท่านมาแวะพักกลางทางก่อนแล้วจึงเลยมาภูทอก ต่อมาก็เริ่มพิธี มีพระผู้ใหญ่มากันหลายองค์ อาทิ ท่านพระอาจารย์ท่อน
    หลังจากเสร็จงานไม่นาน คุณธรรมสถิตย์ บุตรชายนายช่างทวี บูรณเขต ที่ได้มาร่วมงานวันนั้น ส่งข่าวมาว่า เธอถ่ายรูปวันพิธีไว้ด้วย ปรากฏว่ามีภาพถ่ายรูปหนึ่งค่อนข้างแปลกประหลาดมาก บอกว่า ตั้งแต่ผมไปดูงานเททองแทนคุณพ่อ ถ่ายรูปงานที่ไหน ก็ยังไม่เคยพบเหมือนรูปนี้ คือเป็นลำแสงสีขาว พุ่งมาหาตรงจุดที่หลวงปู่ท่านนั่งอยู่
    วันนั้นมีพวกตาดี ๆ บางคนบอกว่า เห็นเทวดามาเต็มหมด บางคนเห็นพระอินทร์คุกเข่าช่วยเททอง บางคนเห็นราชรถของเหล่าเทพ ผู้เขียนไม่เห็นอะไร แต่รู้สึกมีพลังตอบรับความศักดิ์สิทธิ์ได้
    ส่วนภาพที่ว่าเห็นลำแสงเป็นกรวยยาวสีขาวจากข้างบนพุ่งมาลงตัวหลวงปู่นั้น ถ่ายขณะที่หลวงปู่กำลังนั่งในเต็นท์ มือถือสายสิญจน์ปลายสายต่อไปยังจุดที่ทำการเททองหล่อพระ
    ภายหลังไปเรียนถามหลวงปู่ ท่านบอกว่าวันนั้นมีเทพมาช่วยกันมาก พวกเขาส่งพลังจิต ที่ถ่ายรูปเห็นเป็นลำแสงดิ่งมายังมือของท่านที่ถือสายสิญจน์อยู่ เพื่อจะต่อไปที่การเททอง นับว่าอัศจรรย์ที่หลวงปู่มาเป็นประธานการเททอง และได้มีผู้ที่เรามองไม่เห็นท่านด้วยตาเนื้อ มาร่วมในพิธีและอนุโมทนาเป็นจำนวนมาก
    ความจริงภาพที่เราถ่ายได้ที่ภูทอกจะปรากฏภาพแปลก ๆ หลายหน
    อย่างเมื่อครั้งงานกฐิน วันที่ ๒๓ ตุลาคม ปี ๒๕๓๔ ซึ่งหลวงปู่เทสก์ขอให้ทำเป็นครั้งสุดท้าย รูปชุดที่กล่าวถึงนี้ถ่ายคืนก่อนทอดกฐิน ๑ วัน คือวันที่ ๒๒
    พอหลังจากงานกฐินครั้งนั้น เรามีโอกาสกลับไปภูทอกอีก ท่านอาจารย์แยงเอารูปมาให้ดู “ดูรูปชุดนี้ทั้งหมด เป็นรูปที่แปลก”
    ได้ความว่า ผู้ถ่ายภาพนี้เป็นพระบวชที่ภูทอก คืนนั้นเป็นคืนที่ท่านเตรียมตัวจะสึกจากพระ คือสึกหลังจากที่รับกฐินแล้ว ก็มีพวกญาติพี่น้องที่บ้านมากัน แล้ววานให้ถ่ายรูป โดยไปยืนถ่ายรูปที่ข้างสระน้ำ ถ่ายให้เห็นเจดีย์ที่อยู่ข้างหลัง พอล้างฟิล์มอัดภาพออกมา เห็นรูปแล้วนึกว่ารูปเสียทั้งหมด เลยจัดแจงจะโยนทิ้ง เหลือมาให้เราเห็น ๕ – ๖ รูป
    ที่น่าแปลกคือ แต่ละรูปตรงเจดีย์ซึ่งอยู่ในความมืด มีแสงประหลาดรวมอยู่ บางรูปเป็นแสงสีเขียวที่มุมรูป มีเจดีย์ลอยอยู่ บางรูปเห็นเงาเจดีย์ในน้ำแล้วมีแสงรูปเหมือนงูปรากฏอยู่บนอากาศ เงาในน้ำก็มีรูปงูอีก บางตอนก็เห็นลักษณะเหมือนกระดูกงูล้อมรอบเจดีย์หลายตัว จึงนำภาพเหล่านี้ไปถวายให้หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ดูที่วัดหินหมากเป้ง
    แล้วเรียนถามความวินิจฉัยจากท่าน
    ท่านกลับถามว่า คุณคิดอย่างไร
    กราบเรียนท่านว่า ทุกภาพเป็นภาพถ่ายเจดีย์ท่านอาจารย์จวนตอนกลางคืน ถ่ายโดยมีสระน้ำเป็นฉากหน้า หลายภาพจึงเห็นภาพเจดีย์เป็นเงาสะท้อนในน้ำ มีแสงหรือรังสีแปลก ๆ โดยรอบเจดีย์ บางภาพมีแสงสว่างตรงที่ท่านอาจารย์องค์หนึ่งกำลังแสดงธรรม ทั้ง ๆ ที่ไม่มีไฟเลย บางภาพปรากฏแสงสว่างเรืองรอบเจดีย์ทั้งที่มิได้ตามไฟ ส่วนด้านล่างเจดีย์มืด แต่กลับมีแสงประหลาดสว่างตอนด้านล่างเจดีย์ซึ่งมืดตลอด สำหรับภาพที่สะท้อนเห็นเงาในน้ำนั้น สะท้อนเงาเฉพาะเจดีย์ งูหรือพญานาคไม่ได้เป็นเงาสะท้อน
    ท่านมองหน้าผู้เขียน เป็นเชิงถาม
    เรียนข้อสงสัยว่า ถ้าเป็นเงาสะท้อนในน้ำ ภาพ “งูหรือพญานาค” จะต้องเป็นภาพ กลับหัวลง แต่ทุกภาพไม่ใช่เลย นอกจากนั้น จำนวนก็ไม่เท่ากัน
    “นี่เจ้าค่ะ ข้างบนมีอยู่ ๗ – ๘ ตัว ข้างล่าง ซึ่งคงไม่ใช่เงามี ๕ ตัว อีกภาพหนึ่ง ข้างบนมี ๘ หรือ ๙ ตัว แต่ข้างล่าง มี ๗ ตัว”
    ได้ฟังผู้เขียนกราบเรียนมาถึงตอนนี้ หลวงปู่เทสก์ท่านก็ท้วงทันที
    “อย่าไปเรียกเขาเป็น 'ตัว' ซี พวกนาคเขาเป็นเทวดาพวกหนึ่งเหมือนกัน ต้องเรียกว่า 'องค์' !”
    “หมายความว่า เป็นรูปพวกเทวดา – นาค ใช่ไหมเจ้าคะ”
    ท่านรับว่า “ใช่”
    เมื่อเรียนถามว่า ภาพเกิดขึ้นได้อย่างไรเจ้าคะ
    ท่านก็ยิ้มอย่างเมตตาและอธิบายว่า
    “คณะมี่มาทำบุญถวายกฐิน เป็นกลุ่มศรัทธาที่มีบุญมาก ทั้งบุญเก่า... ปุพเพกตปุญฺญตา และบุญใหม่... ปจฺจุปนปุญฺญตา บุญที่จะทำ ก็เป็นบุญใหญ่ เพื่อสร้างศาลาถวายพระราชกุศล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงเป็นประดุจองค์อัครศาสนูปการะ ทรงเคารพเลื่อมใสศรัทธา และถวายพระราชอุปการะครูบาอาจารย์มาเป็นอย่างดีตลอด วัดที่รับกฐิน ก็เป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเทพห้อมล้อม เป็นบุญที่สมบูรณ์ครบองค์ ๓...ทั้งผู้ถวาย—ของที่จะถวาย - และผู้รับของที่จะถวาย เทพยดาอารักษ์ นาค ครุฑ จึงมาอนุโมทนามากมาย”
    การพูดถึงพญานาค จึงอดไม่ได้ที่จะต้องเล่าเกี่ยวพันถึงหลวงปู่ ครูบาอาจารย์หลายองค์ เช่น หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ.... ภาพต่าง ๆ ที่รวบรวมนำมาลงพิมพ์ในครั้งนี้ จึงเป็นคล้ายกับนำกรุมาเปิดให้ดู เป็นการเทียบเคียงกัน รวมทั้งภาพวันพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ขาว อนาลโย ณ วัดถ้ำกลองเพล ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๗ ด้วย ซึ่งในคืนวันถวายเพลิงจริง ได้เห็นภาพที่ดูคล้ายงู หรือพญานาคมาร่วมในงานอย่างมาก บางภาพเห็นถนัดกระทั่งคลายหัวพญานาคกำลังชูคอแผ่แม่เบี้ยพังพานอยู่


    ที่มา: http://www.dharma-gateway.com/monk-hist-index-page.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. minbu

    minbu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +228
    รูปหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์

    ขออนุญาตนำเรื่องบารมีของหลวงปู่ชอบที่ผมได้ประสบมาเล่าสู่กันฟังครับ
    ผมและเพื่อนที่ทำงานอีก
    3 คน ได้ไปกราบท่านที่ รพ. แพทย์ปัญญา รามคำแหง ซ. 4 เวลานั้น ท่านมาพักรักษาอาการอาพาธ หลวงปู่มีเมตตามากๆครับ แต่ท่านไม่ได้พูดอะไร ก่อนลากลับ ท่านยกมือชี้มาทางผม และยิ้มๆ แต่ไม่เข้าใจครับ ว่าท่านหมายความอย่างไร หลังจากนั้น พระอุปัฏฐากของหลวงปู่ ได้แจกรูปของหลวงปู่ เป็นกระดาษอารต์มัน ขนาดราว รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว กับทุกๆคน
    กลับมาที่ทำงาน ทุกคนได้ตรวจนับ รูปของแต่ล่ะคน ก็ได้คนล่ะ
    8 ใบ ยกเว้นผมที่ได้เพียง 7 ใบ นับกี่ครั้ง ก็เป็น 7 แอบใจเสีย และเสียใจ อยู่ลึกๆครับ
    จึงเข้าไปในห้อง อธิษฐานคนเดียว ถึงหลวงปู่โดยเอารูปพนมใส่มือ บอกกล่าวหลวงปู่ว่า ผมได้รูปมาเพียง
    7 ใบ คนอื่นๆได้ 8 ขอหลวงปู่ชอบ ให้ผมได้ประจักษ์ในคุณของหลวงปู่ด้วย ผมขอรูปเพิ่มให้เท่าๆกัน กับพวกเพื่อนๆ น่ะครับ... เมื่อเอานับใหม่ พบว่ามี 8 เพิ่มมา 1 ใบ เพื่อนๆที่รับรู้ก็แปลกใจ
    กลับไปถึงบ้าน ไปเล่าเหตุการณ์และเอารูปทั้งหมดที่ได้ไปให้ พ่อแม่ ดูและนับกัน
    หลังจากอาบน้ำเสร็จ เอาใหม่ คือ ใจ ยังมีสภาพ กึ่งๆ ไม่เชื่อสนิทใจแม้เป็นเรื่องของตนเอง
    จึงนำรูปทั้ง
    8 มาแงะๆดูที่มุม และนับใหม่ หลายๆครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดกัน เหมือนไพ่ที่เปียก ปรากฎว่าคงมีเท่าเดิม แล้วรวบรูป ทั้ง 8 ขึ้นอธิษฐานซ้ำ ว่า อำนาจคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ขอบารมีของหลวงปู่ชอบผู้ทรงอภิญญา ขอขมาหลวงปู่อีกครั้งครับ เหตุการณ์เมื่อกลางวันนั้น ผมยังไม่คลายสงสัย ขอหลวงปู่โปรดเมตตามอบรูปให้ผมเพิ่มอีกสักใบเป็น 9 ด้วยเถิดครับ
    เมื่อนับคราวนี้ เป็น
    .. 9 รูป ครับ ขนลุก ตื้นตัน ในบารมีหลวงปู่ คราวนี้ ไปปลุกพ่อแม่ เพื่อรับรู้เหตุการณ์อีกครั้งครับ
    หลวงปู่ เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาเป็นเนื้อนาบุญของโลก
    ผมขอกราบบูชาระลึกถึงคุณของท่านครับ
     
  8. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,243
    สุดยอดมากๆครับ ขอบคุณที่นำเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ เกี่ยวกับหลวงปู่มาแชร์กันครับ
     
  9. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,322
    ขออนุโมทนาบุญ ของ หลวงปู่ ชอบ...
    ธรรมใดที่ท่าน ได้ ด้วยเทิด...สาธุ สาธุ สาธุ
    และ ขอให้ข้าพเจ้า ได้ พบกับ พระธรรม ที่หลวงปู่ ชอบ ได้ด้วยเทิด สาธุ สาธุ สาธุ

    พระเครื่องของท่านใครได้ไป เทพ เทวดา ปู่พญานาค ที่เคยตามดูแลปู่ จะตามดูแล
    รักษา พระเครื่องของหลวงปู่ด้วยเช่นกันจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2011
  10. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,243
  11. kennek

    kennek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,163
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,243
  12. Norragate

    Norragate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    19,518
    ค่าพลัง:
    +37,735
    กราบหลวงปู่ชอบและครูบาอาจารย์สายกรรมฐานทุกๆรูปครับบบบ
     
  13. mrchainarong

    mrchainarong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,179
    ค่าพลัง:
    +2,006
    เคยอ่านหนังสือประวัติ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ขาว เล่มหนาๆ
    อ่านสนุกมาก จะหาซื้อยังหาไม่ได้เลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...