หลักการพ้นทุกข์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย dreamlnw002, 26 มีนาคม 2012.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    อันนี้ความคิดความเข้าใจผมนะ ไม่เกี่ยวกับคนอื่น

    ผมอยากจะบอกว่า การศึกษาในโลกปัจจุบัน ที่เรียกว่า อภิธรรมปิฎก

    อันนี้เป็นการ เรียนรู้คำ ผลการอธิบาย ขยาย อรรถ - ธรรม ที่เป็นกลางๆ
    ไม่มีพูดถึง สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

    ซึ่ง เป็นไปในส่วน ขยายความของผลงาน ไม่ใช่ ขยายความในส่วนวิธีฝึก

    หรือเรียกว่า ขยายแต่ผลงาน ไม่ได้ขยายเหตุ (มรรค)



    หากเราจะเรียนวิธี ที่เรียกว่า มรรค ต้องไปอ่านไปศึกษา มหาสติปัฏฐาน 4

    การทำตามมหาสติปัฏฐาน 4
    ก็มีบรรยายไว้ชัดเจนอยู่แล้ว
    เพียงแต่ทำตาม

    แล้วอภิธรรม มันก็จะปรากฎ ทีนี้เมื่อฝึกสติปัฏฐาน 4 ได้อย่างแม่นยำแล้ว
    ย่อมเห็นตามจริง การเห็นตามจริง ก็จะปรากฎขึ้น อภิธรรมก็จะปรากฎขึ้น

    และหากวกกลับไปอ่าน อภิธรรมปิฎก มันจะเข้าใจ อรรถ- ธรรม อย่างลึกซึ้ง

    เมื่อถึงจุดนี้ เราจะสามารถอ่านไป ฝึกไปในตัวได้
    ยิ่งอ่านยิ่งมันส์ เพราะมันฝึกลงมา กับ กายใจได้ตลอด ไม่เลือกกาล

    พอก่อนแล้วกันครับ หาจุดคุยลำบาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 สิงหาคม 2012
  2. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    หลักการพ้นทุกข์ของbigtooง่ายๆไม่สลับซับซ้อน ตรึกให้รู้ว่าทุกข์ภัยในวัฎฎะมันน่ากลัวขนาดไหน ให้กลัวจริงๆจนไม่อยากอยู่ไม่อยากเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร มันก็ไร้สาระทั้งนั้น จิตมันก็จะหาทางออกจากวัฎฎะเอง

    มันก็จะหาขบวนการวิธีต่างๆ อย่างเต็มกำลัง แม้ความตายก็จะไม่กลัว แต่ไม่ได้หมายความว่าในขณะนั้นเราจะหมดความกลัวนะครับ แต่มันไม่กลัวอุปสรรคใดๆ นั่งก็ไม่กลัวตาย ตายเป็นตาย

    และเรื่องอื่นก็จะไม่ค่อยสนใจ มันจะสนใจแต่เรื่องการปฎิบัติธรรมมากถึงมากที่สุด ใจก็จะน้อมศิล5ศิลแปดมาปฎิบัติ ธุดงควัตรอีก ไม่กลัวอด ไม่กลัวจะไม่ได้เสพ มันสำคัญกันตรงที่ว่ากลัววัฎฎะกันจริงหรือเปล่าเท่านั้นครับ ความกล้าเป็นอาหารของความสำเร็จ ความกลัวเป็นอาหารของความล้มเหลว

    บทอธิฐานความเพียรใช้ได้ดีทีเดียว เราต้องคิดว่าเราเป็นเนยยบุคคลไว้ก่อน
    บทอธิฐานความเพียร ภิกษุ ท ! เรายังรู้สึกได้อยู่ซึ่งธรรม ๒ อย่าง คือความไม่รู้จักอิ่ม จักพอ (สันโดษ) ในกุศลธรรมทั้งหลาย และ ความเป็นผู้ไม่ถอยกลับ(อัปปฏิวานี)ในการทำ ความเพียร.
    ภิกษุ ท ! เราย่อมตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ (ด้วยการ อธิษฐานจิต) ว่า "จงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้น, เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือดแห้งไป; ประโยชน์ใด อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง ด้วยความเพียร ด้วยความบากบั่น ของบุรุษ, ยังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้ว จักหยุดความเพียรเสีย เป็นไม่มี" ดังนี้
    ภิกษุ ท ! การตรัสรู้เป็นสิ่งที่เราถึงทับแล้วด้วยความไม่ประมาท อนุตตรโยคักเขมธรรม ก็เป็น สิ่งที่เราถึงทับแล้วด้วยความไม่ประมาท.
    ภิกษุ ท ! ถ้าแม้พวกเธอ พึงตั้งไว้ซึ่งความเพียรอันไม่ถอยกลับ (ด้วยการอธิ ฐานจิต)ว่า "จงเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น กระดูกเท่านั้น, เนื้อและเลือดในสรีระจงเหือด แห้งไป; ประโยชน์ใด อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลัง ด้วยความเพียร ด้วยความบาก บั่น ของบุรุษ, ยังไม่บรรลุประโยชน์นั้นแล้วจักหยุดความเพียรเสีย เป็นไม่มี" ดังนี้ แล้วไซร้;
    ภิกษุ ท ! พวกเธอก็จักกระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ซึ่งที่สุดแห่ง พรหมจรรย์ อันไม่มีอะไรอื่นยิ่งกว่า อันเป็นประโยชน์ที่ต้องการของกุลบุตรผู้ออก บวชจากเรือนเป็นผู้ไม่มีเรือนโดยชอบ, ได้ต่อกาลไม่นานในทิฏฐธรรม เข้าถึงแล้ว แลอยู่ เป็นแน่นอน.
     
  3. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    อาวเขาเรียกว่าเห้นเวมนาแต่ไม่เห็นเวทนาในเวทนาหรือเปล่านี้ ไม่มันส์หรอ
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    มันไม่มีจุดสนใจ จับต้นลำบาก
    ต้องยกอักษรอภิธรรมมาด้วย
    เน็ตผมไม่เสถียรเท่าไร
     
  5. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741


    คุณจะทำอะไร ก็ทำไปเถอะ

    คุยกันไม่รู้เรื่อง
     
  6. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ออ เวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ว่าไม่มีอามิส
     
  7. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ^
    เอาไว้ให้ได้จังหวะก่อนละครับ
     
  8. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    อย่างนี้หรือเปล่าพวกเราเลยยังไม่เข้า 7วัน7เดือน7ปี นี้พวกเราจะวนเวียนกันอยู่อย่างนี้
    แล้วเราศึกษาธรรมประเภทไหน

    รู้ดีแต่ไม่เกิดผล ก็เหมือนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ท่านว่าเรียนเข้าไปแต่กิเลสเต็มหัวใจ

    แล้วยังไปว่าท่านอีก หนอ พวกเรามันคนประเภทใหนกันหนอ
     
  9. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    พี่ๆน้องๆ นี่หาบรรยายของพระอาจารย์มานพ อุปสโม ฟังสิ
    ในยูทูปก็มี หาฟังไปเรื่อยๆ เด๋วเข้าใจ
    พระมานพ อุปสโม สติปัฏฐาน ๔ ตอนที่ ๑ Full version

    ตีห้า ใครตื่นขึ้นมาแต่งตัวไปทำงาน
    เปิด FM 94.75 สถานีวิทยุวัดนายโรง
    มีให้ฟังทุกวันจันทร์-ศุกร์
     
  10. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เอ..ก็กรรมของคนไปว่านะครับ

    ใครว่าพระ กรรมก็ของใครของมันอยู่แล้ว^^
     
  11. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    อยู่ที่ศรัทธาน่ะครับ
    ติงนิดจะใช้คำว่าพวกเราคงไม่ตรงนัก กรรมใครกรรมมัน ครับ
     
  12. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    หมายถึงผมกับพี่ปราบ
    แล้วพี่จิตตินนต์คิดว่าศรัทธาตัวเดียวหรือเปล่า
     
  13. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    จะหมายถึงใครก็ไม่เป็นไรครับ ไม่มีร่วมสองแน่นอน ตัวใครตัวมัน
    ส่วนถามผมว่าศรัทธาตัวเดียวหรือเปล่า เริ่มที่ถูกครับ มาจากการสดับ ฟัง
    หากแม้นมีโอกาสเกิดในพุทธศาสนาก็ถือว่ามีโอกาสปฏิบัติต่อเพื่อออกจากทุกข์แล้วครับ
    แล้วมีโอกาสได้สดับ อ่าน ฟัง คำตถาคต ทั้งจากพระไตรปิฏก คำครูอาจารย์
    เท่านี้ก่อนครับ กว้างไปหน่อย
     
  14. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    อาวนึกว่าจิตตินนกล่าวเรื่องเดียวกัน งั้นก็แค่นี้นะ ตัวใครตัวมันแล้วกัน มาคนเดียวไปคน
    ตัวใครตัวมัน ไม่มีเราเขา
     
  15. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ถ้าจะให้เกิดสติปัฏฐานข้อใดข้อหนึ่งขึ้นมาได้
    ก็ต้องทำอานาปานสติให้มาก เดี๋ยว สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์เอง

    สำัคัญที่สติ อานาปาสติ ก็คือสำคัญที่สติ
    สติปัฏฐาน 4 ก็คือสำคัญที่สติ
    ให้มีสติ ขณะทำอานาปานสติ แล้วเจริญให้มาก
    สติปัฏฐานข้อใดข้อหนึ่งจะเกิดขึ้นมาเองนั่นแหละ
    เจริญให้มากคืออะไร คือให้มีสติตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง

    สติเจตสิก เป็นกุศล เกิดร่วมกันกุศลจิตเท่านั้น
    เมื่อมีสติเจตสิกอย่างต่อเนื่อง กศุลจิตก็ตั้งอยู่อย่างต่อเนื่อง
    อกุศลก็ไม่เกิด เมื่อตั้งกุศลจิตในอานาปานสติ
    และเมื่อเจริญอานาปานสติให้มาก สติปัฏฐาน 4 ก็จะบริบูรณ์ที่นั่น นั่นแหละ
     
  16. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เมื่อเจริญอานาปานสติ โดยมีสติอย่างต่อเนื่อง
    สติเจตสิกเป็นกุศล ก็เป็นการทำกุศลให้ถึงพร้อม

    เมื่อสติเจตสิก เกิดกับกุศลจิตเท่านั้น อกุศลจิตไม่มี
    ก็ไม่เกิดการทำบาปทั้งปวง

    เมื่อมีสติกับอานาปานสติจิตก็สงบเป็นสมาธิ
    ก็เป็นการทำจิตใจของตนให้ขาวรอบผ่องใส

    ดังนั้น
    "อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ ทำให้มากแล้ว
    ย่อมทำสติปัฎฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ "
     
  17. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย

    อย่างนี้เรียกว่ากรรมใครกรรมมันอย่างเดียวเสียที่ไหน สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าโปรดคณะสงฆ์สำเร็จมรรผลครั้งละมากๆ เหตุเพราะอะไร เพราะมีกรรมร่วมกันมา

    ที่จริงก็ไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูกด้วย ต้องดูด้วยเขาสนทนากันเรื่องอะไร
     
  18. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,670
    ท่านเตชพโลยกมาได้น่าฟัง สรุปตามผมเข้าใจ ก็อานาปาณสติกับสติปัฐฐานสี เป็นุธรรมอย่างเดียวกัน

    แต่ติดที่ทำอานาปาณสติอาจเข้าไปติดตรงการเพ้งจนติดในความสงบ ทำให้ขาดการพิจารณา เป้นการเจริญอานาปาณสติที่ไม่ถูกต้อง สว่นการเจริญสติปัฐฐานอาศัยหลักไตยลักษณ์ในการพิจารณา หากสติไม่พร้อมก็ไม่อาจเห็นตามได้ ผิดถูกยังไงก็ขออภัยให้คนปฎิบัติมาน้อยรู้น้อยอย่างผมด้วย และช้วยชีแนะด้วย
    อนุโมทนา
     
  19. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    หัวข้อธรรมที่คุณดูงานยกมาผมเห็นว่า
    การทำให้จิตมีความสงบนั้นไม่ได้เป็นข้อเสียหายอะไร
    จิตไม่ได้สงบอยู่ตลอดเวลาหรอก
    เมื่อจิตถอนจากความสงบ ก็พาจิตพิจารณาภายหลังก็ได้
    ผมมองว่าไม่เสียหายอะไร
     
  20. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ส่วนการพิจารณาไตรลักษณ์นั้นเป็นด้านปัญญา
    พิจารณาตอนไหนก็ได้ครับ เป็นผลดี
    ถึงจะยังไม่เป็นปัญญาแท้จริง ก็เป็นการฝึกซ้อมปัญญาครับ

    เมื่อสติพร้อมสมาธิพร้อม ก็เกิดเป็นปัญญาเองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...