สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายควรทำไว้ในใจให้มั่นคง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ธัมมะสามี, 4 พฤษภาคม 2013.

  1. eximbizcode

    eximbizcode เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,359
    ค่าพลัง:
    +2,052
    ดนัย สิริเวช


    คุณพี่ฯ ธัมมะสามี ถ้าน้องฯ ยังไม่เข้าพระนิพพาน
    รบกวนคุณพี่ฯ มาโปรด มาช่วย น้องฯ ด้วยนะเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2013
  2. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    บุพพกรรม ๑๒ ประการของพระพุทธเจ้าองค์พระปัจจุบัน​


    ปัญหาข้อที่ ๑ การทำทุกรกิริยา มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้

    .....ในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นพราหมณ์มาณพชื่อว่าโชติปาละ โดยที่เป็นชาติพราหมณ์จึงไม่เลื่อมใสในพระศาสนา เพราะวิบากของกรรมเก่าแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เขาได้ฟังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ จึงได้กล่าวว่า

    ... " การตรัสรู้ของสมณะโล้นจักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้เป็นของที่ได้โดยยากยิ่ง "

    ...เพราะวิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์นั้นจึงได้เสวยทุกข์มีนรกเป็นต้นหลายร้อยชาติ ถัดมาจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นนั่นแหละ เขาทำชาติสงสารให้สิ้นไปด้วยกรรมที่ได้พยากรณ์ไว้นั้นนั่นแล ในตอนสุดท้ายได้อัตภาพเป็นพระเวสสันดร จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในภพดุสิต

    ... จุติจากภพดุสิตนั้นด้วยการอาราธนาของเหล่าเทวดา บังเกิดในสักยตระกูล เพราะญาณแก่กล้าจึงละทิ้งราชสมบัติในสกลชมพูทวีปเสีย แล้วตัดกำพระเกศาให้มีปลายเสมอกัน ด้วยดาบที่ลับไว้อย่างดี ที่ฝั่งแม่น้ำอโนมานที รับบริขาร ๘ อันสำเร็จด้วยฤทธิ์ซึ่งเกิดในกลีบปทุม ในเวลาที่กัปยังตั้งอยู่ซึ่งพระพรหมนำมาให้แล้วบรรพชา

    ... เพราะญาณทัสสนะคือพระโพธิญาณยังไม่แก่กล้าก่อน จึงไม่รู้จักทางและมิใช่ทางแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า เป็นผู้มีสรีระเช่นกับเปรตผู้ไม่มีเนื้อและเลือด เหลือแต่กระดูก หนังและเอ็น ด้วยอำนาจที่บริโภคอาหารมื้อเดียว คำเดียว เป็นผู้เดียว ทางเดียว และนั่งผู้เดียว บำเพ็ญทุกรกิริยามหาปธานความเพียรใหญ่ โดยนัยดังกล่าวไว้ในปธานสูตรนั่นแล ณ อุรุเวลาชนบทถึง ๖ พรรษา

    ...พระโพธิสัตว์นั้นนึกถึงทุกรกิริยานี้ว่า ไม่เป็นทางแห่งการตรัสรู้ จึงกลับเสวยอาหารประณีตในคาม นิคมและราชธานี มีอินทรีย์ผ่องใส มีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ครบบริบูรณ์ เสด็จเข้าไปยังโพธิมณฑลโดยลำดับ ชนะมารทั้ง ๕ ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าผู้บรมครูของโลก



    ..... ก็ในกาลนั้น เราได้เป็นพราหมณ์ชื่อโชติปาละ ได้กล่าวกะองค์สมเด็จพระกัสสปสุคตเจ้าว่า

    ... " การตรัสรู้ของสมณะโล้นจักมีมาแต่ไหน การตรัสรู้เป็นของได้ยากยิ่ง "

    ... เพราะวิบากของกรรมนั้น เราจึงต้องทำทุกรกิริยามากมายอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาถึง ๖ ปี จากนั้น จึงได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ

    ... เราไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุดโดยหนทางนั้น เราถูกกรรมเก่าห้ามไว้ จึงได้แสวงหาพระโพธิญาณโดยทางผิด

    ... บัดนี้ เรามีบุญและบาปสิ้นไปหมดแล้ว เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความโศก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีอาสวะ จักปรินิพพานแล ฯ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  3. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ปัญหาข้อที่ ๒ การกล่าวโทษ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้


    .....ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นมนุษย์ ได้กล่าวตู่พระนันทะมหาเถระ พระสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอดีตเพราะวิบากของอกุศลการกล่าวตู่พระอรหันต์นั้น พระสิทธัตถะโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์ในนรกเป็นต้นหลายพันปี



    ..... ในอัตภาพครั้งสุดท้ายนี้ ในตอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังเป็นพระสันดุสิตโพธิสัตว์ประทับอยู่ในภพดุสิต พวกเดียรถีย์ปรากฏขึ้นก่อน เที่ยวแสดงทิฏฐิ ๖๒ หลอกลวงประชาชนอยู่นั้น เมื่อเหล่าทวยเทพอาราธนา จึงได้จุติจากดุสิตบุรี บังเกิดในสกุลสักยราช แล้วได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าโดยลำดับ

    ... ในคราวนั้น พวกเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ เสมือนหิ่งห้อยในตอนพระอาทิตย์ขึ้น จึงผูกความอาฆาตในพระผู้มีพระภาคเจ้าเที่ยวไปอยู่

    ... สมัยนั้น เศรษฐีในกรุงราชคฤห์ผูกตาข่ายในแม่น้ำคงคาแล้วเล่นน้ำอยู่ เห็นปุ่มไม้จันทน์แดงจึงคิดว่า

    ... " ในเรือนของเรามีไม้จันทน์มากมาย จะให้เอาปุ่มไม้จันทน์แดงนี้เข้าเครื่องกลึง แล้วให้ช่างกลึงกลึงบาตรด้วยปุ่มไม้จันทน์แดงนั้น แล้วแขวนที่ไม้ไผ่ต่อๆ ลำกัน ให้ตีกลองป่าวร้องว่า ผู้ใดมาถือเอาบาตรใบนี้ได้ด้วยฤทธิ์ เราจักเป็นผู้จงรักภักดีต่อผู้นั้น "

    ... ในกาลนั้น พวกเดียรถีย์ปรึกษากันว่า บัดนี้ พวกเราฉิบหายแล้ว บัดนี้ พวกเราฉิบหายแล้ว นิครนถ์นาฏบุตรกล่าวกะบริษัทของตนอย่างนี้ เราจะไปใกล้ๆ ไม้ไผ่ ทำอาการดังว่าจะเหาะขึ้นในอากาศ พวกท่านจงจับบ่าเราแล้วห้ามว่า ท่านอย่ากระทำฤทธิ์เพราะอาศัยบาตรที่ทำด้วยไม้เผาผีเลย เดียรถีย์เหล่านั้นพากันไปอย่างนั้น แล้วได้กระทำเหมือนอย่างนั้น




    ..... ครั้งนั้น พระโมคคัลลานะมหาเถระและพระปิณโฑลภารทวาชะมหาเถระ ยืนอยู่บนยอดภูเขาหินประมาณ ๓ คาวุต กำลังห่มจีวรเพื่อต้องการจะไปรับบิณฑบาต ได้ยินเสียงโกลาหลนั้น

    ... พระโมคคัลลานะมหาเถระได้กล่าวกะพระปิณโฑลภารทวาชะมหาเถระว่า

    ... " ท่านจงเหาะไปเอาบาตรนั้น "

    ... พระปิณโฑลภารทวาชะมหาเถระนั้นกล่าวว่า

    ... " ท่านผู้เจริญ ท่านเท่านั้นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งเลิศของท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย ท่านนั่นแหละจงถือเอา "

    ... แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านถูกพระโมคคัลลานะมหาเถระบังคับว่า

    ... " ท่านนั่นแหละผมสั่งแล้ว จงถือเอาเถิด "

    ... จึงทำภูเขาหินประมาณ ๓ คาวุตที่ตนยืนอยู่ ให้ติดที่พื้นเท้าแล้วให้ปกคลุมนครราชคฤห์เสียทั้งสิ้น เหมือนฝาปิดหม้อข้าวฉะนั้น




    ..... ครั้งนั้น ชนชาวพระนครแลเห็นพระเถระนั้น ดุจด้ายแดงที่ร้อยในภูเขาแก้วผลึก พากันตะโกนว่า

    ... "ท่านภารทวาชะเถระผู้เจริญ ขอท่านจงคุ้มครองพวกกระผมด้วย "

    ... ต่างก็กลัว จึงได้เอากระด้งเป็นต้นกั้นไว้เหนือศีรษะ ทีนั้น พระเถระได้ปล่อยภูเขานั้นลงไว้ในที่ที่ตั้งอยู่แล้วไปด้วยฤทธิ์ถือเอาบาตรนั้นมา




    ..... ครั้งนั้น ชนชาวพระนครได้กระทำความโกลาหลดังขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ในพระเวฬุวนาราม ได้ทรงสดับเสียงนั้น จึงตรัสถามพระอานนท์ว่า

    ... " อานนท์ นั่นเสียงอะไร "

    ... พระอานนท์กราบทูลว่า

    ... " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะพระภารทวาชะเถระถือเอาบาตรมาได้ ชนชาวพระนครจึงยินดีได้กระทำเสียงโห่ร้อง "




    ..... ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อที่จะทรงปลดเปลื้องการกล่าวร้ายผู้อื่นต่อไป จึงทรงให้นำบาตรนั้นมาทุบให้แตก แล้วทำการบดให้ละเอียดสำหรับเป็นยาหยอดตา แล้วทรงให้แจกจ่ายแก่ภิกษุทั้งหลาย ก็แหละครั้นทรงให้แล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า

    ... " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ควรทำการแสดงฤทธิ์ ภิกษุใดทำ ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฏ "

    ... ลำดับนั้น เดียรถีย์ทั้งหลายกล่าวกันว่า

    ... " ข่าวว่าพระสมณโคดมบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลาย สาวกเหล่านั้นย่อมไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทที่บัญญัติไว้นั้น แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต พวกเราจักทำอิทธิปาฏิหาริย์ "

    ... จึงพากันเป็นหมวดหมู่ทำความโกลาหลอยู่ในที่นั้นๆ




    ..... ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับดังนั้น จึงเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงไหว้แล้วประทับนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า

    ... " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกเดียรถีย์ป่าวร้องว่าจักทำอิทธิปาฏิหาริย์ "

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    ... " มหาบพิตร แม้อาตมาภาพก็จักทำ "

    ... พระเจ้าพิมพิสารตรัสถามว่า

    ... " พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลายไว้แล้วมิใช่หรือ พระเจ้าข้า "

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    ... " มหาบพิตร อาตมภาพจักถามเฉพาะพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงตั้งสินไหมสำหรับผู้กินผลมะม่วงเป็นต้นในอุทยานของพระองค์ว่า สินไหมมีประมาณเท่านี้ แม้สำหรับพระองค์ก็ทรงตั้งรวมเข้าด้วยหรือ "

    ... พระเจ้าพิมพิสารทูลว่า

    ... " ไม่มีสินไหมสำหรับข้าพระองค์ พระเจ้าข้า "

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    ... " อย่างนั้น มหาบพิตร สิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้ว ย่อมไม่มีสำหรับอาตมาภาพ "

    ... พระราชาตรัสถามว่า

    ... " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปาฏิหาริย์จักมีที่ไหน พระเจ้าข้า "

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    ... " ที่โคนต้นคัณฑามพพฤกษ์ ใกล้เมืองสาวัตถี มหาบพิตร "

    ... พระเจ้าพิมพิสารตรัสว่า

    ... " ดีละ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายจักคอยดูปาฏิหาริย์นั้น "




    ..... ลำดับนั้น พวกเดียรถีย์ได้ฟังว่า นัยว่าปาฏิหาริย์จักมีที่โคนต้นคัณฑามพพฤกษ์ จึงให้ตัดต้นมะม่วงรอบๆ พระนคร ชาวพระนครทั้งหลายจึงพากันผูกมัดเตียงซ้อนๆ กัน และหอคอยเป็นต้น ในสถานที่อันเป็นลานใหญ่ ชาวชมพูทวีปเป็นกลุ่มๆ ได้ยืนแผ่ขยายไปตลอด ๑๒ โยชน์(๗๒๐ กิโลเมตร) เฉพาะในทิศตะวันออก แม้ในทิศที่เหลือ ก็ประชุมกันอยู่โดยอาการอันสมควรแก่สถานที่นั้น

    ... ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อกาลเวลาถึงเข้าแล้ว ในวันเพ็ญเดือน ๘ ทรงทำกิจที่ควรทำให้เสร็จแต่เช้าตรู่ แล้วเสด็จไปยังที่นั้นประทับนั่งอยู่แล้ว
    ขณะนั้น นายคนเฝ้าอุทยานชื่อว่าคัณฑะ เห็นมะม่วงสุกดีในรังมดแดง จึงคิดว่า

    ... " ถ้าเราจะถวายมะม่วงนี้แก่พระราชา ก็จะได้ทรัพย์อันเป็นสาระมีกหาปณะเป็นต้น แต่เมื่อน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า สมบัติในโลกนี้และโลกหน้าก็จักเกิดมี "

    ... ครั้นคิดดังนี้แล้วจึงน้อมถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับมะม่วงนั้นแล้ว ดำรัสสั่งพระอานนทเถระว่า

    ... " เธอจงคั้นผลมะม่วงนี้ทำให้เป็นน้ำปานะ "

    ... พระเถระได้กระทำตามพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดื่มน้ำผลมะม่วงแล้ว ประทานเมล็ดมะม่วงแก่นายคนเฝ้าอุทยานแล้วตรัสว่า

    ... " จงเพาะเมล็ดมะม่วงนี้ "

    ... นายอุยยานบาลนั้นจึงคุ้ยทรายแล้วเพาะเมล็ดมะม่วงนั้น พระอานนทเถระเอาคนโทตักน้ำรด ขณะนั้น หน่อมะม่วงก็งอกขึ้นมา เมื่อมหาชนเห็นอยู่นั่นแหละ ก็ปรากฏเต็มไปด้วยกิ่ง ค่าคบ ดอก ผลและใบอ่อน ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นเคี้ยวกินผลมะม่วงที่หล่นลงมา ไม่อาจให้หมดสิ้นได้




    ..... ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนิรมิตรัตนจงกรมบนยอดเขามหาเมรุในจักรวาลนี้ จากจักรวาลทิศตะวันออกจนกระทั่งถึงจักรวาลทิศตะวันตก เมื่อจะทรงยังบริษัทมิใช่น้อยให้บันลือสีหนาท จึงทรงกระทำมหาอิทธิปาฏิหาริย์ โดยนัยดังกล่าวแล้วในอรรถกถาธรรมบท ทรงย่ำยีพวกเดียรถีย์ทำให้พวกเขาถึงประการอันผิดแผกไปต่างๆ

    ... ในเวลาเสร็จปาฏิหาริย์ ได้เสด็จไปยังภพดาวดึงส์ โดยพุทธจริยาที่พระพุทธเจ้าในปางก่อนทรงประพฤติมาแล้ว ทรงจำพรรษาอยู่ในภพดาวดึงส์นั้น ทรงแสดงพระอภิธรรมติดต่อกันตลอดไตรมาส ทรงทำเทวดามิใช่น้อยมีพระมารดาเป็นประธาน ให้บรรลุพระโสดาปัตติมรรค ออกพระพรรษาแล้วเสด็จลงจากเทวโลก อันหมู่เทวดาและพรหมห้อมล้อม เสด็จลงยังประตูเมืองสังกัสสะ ได้ทรงกระทำการอนุเคราะห์ชาวโลกแล้ว

    ... ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีลาภสักการะท่วมท้นท่ามกลางชมพูทวีป ประดุจแม่น้ำใหญ่ ๕ สาย (คือ คงคา อจิรวดี ยมุนา สรภู มหี) ฉะนั้น

    ... ครั้งนั้น พวกเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ เป็นทุกข์ เสียใจ คอตก นั่งก้มหน้าอยู่ ในกาลนั้น อุบาสิกาของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น ชื่อนางจิญจมาณวิกา ถึงความเป็นผู้เลอเลิศด้วยรูปโฉม เห็นพวกเดียรถีย์เหล่านั้นนั่งอยู่อย่างนั้น จึงถามว่า

    ... " ท่านผู้เจริญ เพราะเหตุไร ท่านทั้งหลายจึงนั่งเป็นทุกข์ เสียใจอยู่อย่างนี้ "

    ... พวกเดียรถีย์กล่าวว่า

    ... " น้องหญิง ก็เพราะเหตุไรเล่า เธอจึงได้เป็นผู้มีความขวนขวายน้อย "

    ... นางจิญจมาณวิกาถามว่า

    ... " มีเหตุอะไร ท่านผู้เจริญ "

    ... เดียรถีย์กล่าวว่า

    ... " ดูก่อนน้องหญิง จำเดิมแต่กาลที่พระสมณโคดมเกิดขึ้นมา พวกเราเสื่อมลาภสักการะหมด ชาวพระนครไม่สำคัญอะไรๆ พวกเรา "

    ... นางจิญจมาณวิกาถามว่า

    ... " ในเรื่องนี้ ดิฉันควรจะทำอะไร "

    ... เดียรถีย์ตอบว่า

    ... " เธอควรจะยังโทษมิใช่คุณให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม "

    ... นางจิญจมาณวิกานั้นกล่าวว่า

    ... " ข้อนั้นไม่เป็นการหนักใจสำหรับดิฉัน "

    ... ดังนี้แล้ว เมื่อจะทำความอุตสาหะในการนั้น จึงไปยังพระเชตวันวิหารในเวลาวิกาล แล้วอยู่ในสำนักของพวกเดียรถีย์ ครั้นตอนเช้า ในเวลาที่ชนชาวพระนครถือของหอมเป็นต้นไปเพื่อจะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงออกมา ทำทีเหมือนออกจากพระเชตวันวิหาร ถูกถามว่านอนที่ไหน จึงกล่าวว่า

    ... " ประโยชน์อะไรด้วยที่ที่เรานอนแก่พวกท่าน "

    ... ดังนี้ แล้วก็หลีกไปเสีย



    ..... เมื่อกาลเวลาดำเนินไปโดยลำดับ นางถูกถามแล้วกล่าวว่า

    ... " เรานอนในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดมแล้วออกมา "

    ... พวกปุถุชนผู้เขลาเชื่อดังนั้น บัณฑิตทั้งหลายมีพระโสดาบันเป็นต้นไม่เชื่อ

    ... วันหนึ่ง นางผูกท่อนไม้กลมไว้ที่ท้องแล้วนุ่งผ้าแดงทับไว้ แล้วไปกล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประทับนั่งเพื่อทรงแสดงธรรมแก่บริษัทพร้อมทั้งพระราชาอย่างนี้ว่า

    ... พระสมณะผู้เจริญ ท่านมัวแต่แสดงธรรม ไม่จัดแจงกระเทียมและพริกเป็นต้น เพื่อเราผู้มีครรภ์ทารกที่เกิดเพราะอาศัยท่าน "

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    ... " ดูก่อนน้องหญิง เรื่องนี้มีเราตถาคตกับเธอเท่านั้นที่รู้ "

    ... นางจิญจมาณวิกากล่าวว่า

    ... " อย่างนั้นทีเดียว เรากับท่าน ๒ คนเท่านั้น ย่อมรู้คราวที่เกี่ยวข้องกันด้วยเมถุน คนอื่นย่อมไม่รู้ "




    ..... ขณะนั้น บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะแสดงอาการเร่าร้อน ท้าวสักกะทรงรำพึงอยู่ ทรงรู้เหตุนั้น จึงตรัสสั่งเทวบุตร ๒ องค์ว่า

    ... " บรรดาท่านทั้งสอง องค์หนึ่งนิรมิตเพศเป็นหนู กัดเครื่องผูกท่อนไม้กลมของนางให้ขาด องค์หนึ่งทำมณฑลของลมให้ตั้งขึ้น พัดผ้าที่นางห่มให้เวิกขึ้นเบื้องบน "

    ... เทวบุตรทั้งสองนั้นได้ไปกระทำอย่างนั้นแล้ว ท่อนไม้กลมตกลง ทำลายหลังเท้าของนางแตก

    ... ปุถุชนทั้งหลายผู้ประชุมกันอยู่ในโรงธรรมสภา ทั้งหมดพากันกล่าวว่า

    ... " เฮ้ย! นางโจรร้าย เจ้าได้ทำการกล่าวหาความเห็นปานนี้ แก่พระผู้เป็นเจ้าของโลกทั้ง ๓ ผู้เห็นปานนี้ "

    ... แล้วต่างลุกขึ้นเอากำปั้นประหารคนละที นำออกไปจากที่ประชุม

    ... เมื่อนางล่วงพ้นไปจากทัสสนะคือการเห็นของพระผู้มีพระภาคเจ้า แผ่นดินได้แยกออกเป็นช่องขณะนั้น เปลวไฟจากอเวจีนรกตั้งขึ้น หุ้มห่อนางเหมือนหุ้มด้วยผ้ากัมพลแดง แล้วซัดลงไปในอเวจีมหานรก

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีลาภสักการะอย่างล้นเหลือ.


    ... ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า


    ..... " พระพุทธเจ้าผู้ทรงครอบงำสิ่งทั้งปวง มีสาวกชื่อว่านันทะ เรากล่าวตู่พระสาวกชื่อว่านันทะนั้น จึงได้ท่องเที่ยวไปในนรกสิ้นกาลนาน

    ... เราท่องเที่ยวไปในนรกตลอดกาลนานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้รับการกล่าวตู่มากมาย เพราะกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมาณวิกาได้กล่าวตู่เรา ด้วยคำอันไม่เป็นจริงต่อหน้าหมู่ชน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  4. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ปัญหาข้อที่ ๓ การด่าว่า มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้

    .....ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดในกำเนิดที่ไม่ปรากฏชื่อเสียง เป็นนักเลงชื่อว่ามุนาฬิ เพราะกำลังแรงที่คลุกคลีกับคนชั่ว จึงได้ด่าพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า พระสุรภิปัจเจกพุทธเจ้า ว่า

    ... " ภิกษุนี้ทุศีล มีธรรมอันลามก "

    ... เพราะวจีกรรมอันเป็นอกุศลนั้น พระโพธิสัตว์นั้นไหม้อยู่ในนรกหลายพันปี




    ..... ในอัตภาพครั้งสุดท้ายนี้ ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ด้วยกำลังแห่งความสำเร็จบารมี ๑๐ ได้เป็นผู้ถึงลาภอันเลิศและยศอันเลิศ

    ...พวกเดียรถีย์กลับเกิดความอุตสาหะขึ้นอีก คิดกันว่า

    ... " พวกเราจักยังโทษมิใช่ยศ ให้เกิดแก่พระสมณโคดมได้อย่างไรหนอ "

    ... พากันนั่งเป็นทุกข์เสียใจ




    .....ครั้งนั้น ปริพาชิกาผู้หนึ่งชื่อว่าสุนทรี เข้าไปหาเดียรถีย์เหล่านั้นไหว้แล้วยืนอยู่ เห็นเดียรถีย์ทั้งหลายพากันนิ่งไม่พูดอะไร จึงถามว่า

    ... " ดิฉันมีโทษอะไรหรือ "

    ... พวกเดียรถีย์กล่าวว่า

    ... " พวกเราถูกพระสมณโคดมเบียดเบียนอยู่ ท่านกลับมีความขวนขวายน้อยอยู่ ข้อนี้เป็นโทษของท่าน "

    ... นางสุนทรีกล่าวว่า

    ... " เมื่อเป็นอย่างนั้น ดิฉันจักกระทำอย่างไรในข้อนั้น "

    ... เดียรถีย์ทั้งหลายกล่าวว่า

    ... " ท่านจักอาจหรือที่จะทำโทษมิใช่คุณให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดม "

    ... นางสุนทรีกล่าวว่า

    ... " จักอาจซิ พระผู้เป็นเจ้า "




    ..... ครั้นกล่าวแล้ว จำเดิมแต่นั้นมา ก็กล่าวแก่พวกคนที่ได้พบเห็นว่า ตนนอนในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดมแล้วจึงออกมา ดังนี้โดยนัยดังกล่าวมาแล้วด่าบริภาษอยู่ ฝ่ายพวกเดียรถีย์ก็ด่าบริภาษอยู่ว่า

    ... " ผู้เจริญทั้งหลายจงเห็นกรรมของพระสมณโคดม "



    ... สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

    ...ในชาติอื่นๆ ในครั้งก่อน เราเป็นนักเลงชื่อว่ามุนาฬิ ได้กล่าวตู่พระสุรภิปัจเจกพุทธเจ้าผู้ไม่ประทุษร้าย เพราะวิบากของกรรมนั้น เราจึงท่องเที่ยวไปในนรกสิ้นกาลนาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี

    ... ด้วยเศษกรรมที่เหลือนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับการกล่าวตู่ เพราะเหตุแห่งนางสุนทรี

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  5. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ปัญหาข้อที่ ๔ การกล่าวหา มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้

    .....ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ เป็นผู้ศึกษาเล่าเรียนมาก คนเป็นอันมากสักการบูชา ได้บวชเป็นดาบส มีรากเหง้าและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร สอนมนต์พวกมาณพจำนวนมาก สำเร็จการอยู่ในป่าหิมพานต์ ดาบสรูปหนึ่งได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ได้มายังสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น

    ... พระโพธิสัตว์นั้นพอเห็นพระดาบสนั้นเท่านั้น ถูกความริษยาครอบงำ ได้ด่าว่าพระฤาษีผู้ไม่ประทุษร้ายนั้นว่า

    ... " ฤาษีนี้หลอกลวง บริโภคกาม "

    ... และบอกกะพวกศิษย์ของตนว่า

    ... " ฤาษีนี้เป็นผู้ไม่มีอาจาระเห็นปานนี้ "

    ... ฝ่ายศิษย์เหล่านั้นก็พากันด่า บริภาษอย่างนั้นเหมือนกัน

    ... ด้วยวิบากของอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์นั้นจึงได้เสวยทุกข์ในนรกอยู่พันปี



    ..... ในอัตภาพหลังสุดนี้ ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสมณะโคดมพุทธเจ้า ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภและเลิศด้วยยศ ปรากฏดุจพระจันทร์เพ็ญในอากาศฉะนั้น

    ... แม้ด้วยการด่าว่าถึงอย่างนั้น พวกเดียรถีย์ก็ยังไม่พอใจ ให้นางสุนทรีทำการด่าว่าอีก ให้เรียกพวกนักเลงสุรามาให้ค่าจ้างแล้วสั่งว่า

    ... " พวกท่านจงฆ่านางสุนทรีแล้วปิดด้วยขยะดอกไม้ในที่ใกล้ประตูพระเชตวัน "

    ... พวกนักเลงสุราเหล่านั้นได้กระทำอย่างนั้น




    ..... แต่นั้น พวกเดียรถีย์จึงกราบทูลแก่พระราชาว่า

    ... " ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่พบเห็นนางสุนทรี "

    ... พระราชารับสั่งว่า

    ... " พวกท่านจงค้นดู "

    ... เดียรถีย์เหล่านั้นจึงเอามาจากที่ที่ตนให้โยนไว้แล้วยกขึ้นสู่เตียงน้อยแสดงแก่พระราชา แล้วเที่ยวโฆษณาโทษของพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ในพระนครทั้งสิ้นว่า

    ... " ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายจงเห็นการกระทำของพระสมณโคดมและของพวกสาวก "

    ... แล้ววางนางสุนทรีไว้บนแคร่ในป่าช้า




    ..... พระราชารับสั่งราชบุรุษว่า

    ... " ท่านทั้งหลายจงค้นหาคนฆ่านางสุนทรี "

    ... ครั้งนั้น พวกนักเลงดื่มสุราแล้วทำการทะเลาะกันว่า

    ... " เจ้าฆ่านางสุนทรี เจ้าฆ่า "

    ... ราชบุรุษทั้งหลาย จึงจับพวกนักเลงเหล่านั้นแสดงแก่พระราชา พระราชาตรัสถามว่า

    ... " แน่ะพนาย พวกเจ้าฆ่านางสุนทรีหรือ "

    ... นักเลงเหล่านั้นกราบทูลว่า

    ... " พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ "

    ... พระราชาตรัสถามว่า

    ... " พวกใครสั่ง "

    ... นักเลงทูลว่า

    ... " พวกเดียรถีย์สั่ง พระเจ้าข้า "




    ..... พระราชาจึงให้นำพวกเดียรถีย์มาแล้วให้จองจำพันธนาการแล้วรับสั่งว่า

    ... " แน่ะพนาย พวกเจ้าจงไปป่าวร้องว่า เราทั้งหลายให้ฆ่านางสุนทรีเองแหละ โดยความจะให้เป็นโทษแก่พระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าและสาวกทั้งหลายของพระองค์ไม่ได้เป็นผู้กระทำ "

    ... พวกเดียรถีย์ได้กระทำอย่างนั้นแล้ว ชาวพระนครทั้งสิ้นต่างเป็นผู้หมดความสงสัย

    ... พระราชาทรงให้ฆ่าพวกเดียรถีย์และพวกนักเลงแล้วให้ทิ้งไป แต่นั้น ลาภสักการะเจริญพอกพูนแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า โดยยิ่งกว่าประมาณ


    ... ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า



    ... เราเป็นพราหมณ์เรียนจบแล้ว เป็นผู้อันมหาชนสักการะบูชา ได้สอนมนต์กะมาณพ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่ พระฤาษีผู้กล้า สำเร็จอภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มาในที่นี้นั้น และเราได้เห็นพระฤาษีนั้นมาแล้วได้กล่าวตู่ว่าท่านผู้ไม่ประทุษร้าย

    ... แต่นั้น เราได้บอกกะศิษย์ทั้งหลายว่า

    ... " ฤาษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม "

    ... แม้เมื่อเราบอกอยู่ มาณพทั้งหลายก็พลอยยินดีตาม แต่นั้น มาณพทุกคนเที่ยวภิกขาไปทุกๆ ตระกูล ก็บอกกล่าวแก่มหาชนว่า

    ... " ฤาษีนี้บริโภคกาม "

    ... เพราะวิบากของกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้จึงได้รับการกล่าวตู่ด้วยกันทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทรี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  6. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ปัญหาข้อที่ ๕ กลิ้งศิลาทับ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้


    ..... ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์และน้องชายเป็นลูกพ่อเดียวกัน เมื่อบิดาล่วงลับไปแล้ว พี่น้องทั้งสองนั้นทำการทะเลาะกัน เพราะอาศัยพวกทาส จึงได้คิดร้ายกันและกัน

    ... พระโพธิสัตว์กดทับน้องชายไว้ด้วยความที่ตนเป็นผู้มีกำลัง แล้วกลิ้งหินทับน้องชายจนตาย

    ... เพราะวิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้เสวยทุกข์ในนรกเป็นต้นหลายพันปี




    ..... ในอัตภาพหลังสุดนี้ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาจารย์ พระเทวทัตผู้เป็นพระมาตุลาของพระราหุลกุมาร ในชาติก่อนได้เป็นพ่อค้ากับพระโพธิสัตว์ ในครั้งเป็นพ่อค้าชื่อว่าเสริพาณิช พ่อค้าทั้งสองนั้นไปถึงปัฏฏะนะคาม บ้านอันตั้งอยู่ใกล้ท่าแห่งหนึ่ง จึงตกลงกันว่า

    ... " ท่านจงเดินถนนสายนี้ แม้เราก็จะเดินไปถนนสายหนึ่ง "

    ... แล้วทั้งสอง คนก็เข้าไป

    ... ในถนนสายที่พระเทวทัตเข้าไปได้มีคน ๒ คนเท่านั้น คือภรรยาของเศรษฐีเก่าคนหนึ่ง หลานสาวคนหนึ่ง ถาดทองใบใหญ่ของคนทั้งสองนั้นถูกสนิมจับ เป็นของที่เขาวางปนไว้ในระหว่างภาชนะอื่น

    ... ภรรยาของเศรษฐีเก่านั้นไม่รู้ว่าเป็นภาชนะทอง จึงกล่าวกะท่านเทวทัตนั้นว่า

    ... " ท่านจงเอาถาดใบนี้ไปแล้วจงให้เครื่องประดับแก่เรา "

    ... เทวทัตนั้นจับถาดใบนั้นแล้วเอาเข็มขีดดู รู้ว่าเป็นถาดทอง แล้วคิดว่า

    ... " เราจักให้นิดหน่อยแล้วถือเอา จึงไปเสีย "




    ..... ลำดับนั้น หลานสาวเห็นพระโพธิสัตว์มายังที่ใกล้ประตู จึงกล่าวว่า

    ... " ข้าแต่แม่เจ้า ขอท่านจงให้เครื่องประดับกัจฉะปุฏะ แก่ดิฉัน "

    ... ภรรยาเศรษฐีเท่านั้นจึงให้เรียกพระโพธิสัตว์นั้นมา ให้นั่งลงแล้วจึงให้ภาชนะนั้นแล้วจึงกล่าวว่า

    ... " ท่านจงถือเอาภาชนะนี้แล้วจงให้เครื่องประดับกัจฉปุฏะ แก่หลานสาวของข้าพเจ้า "

    ... พระโพธิสัตว์จับภาชนะนั้น รู้ว่าเป็นภาชนะทอง และรู้ว่านางถูกเทวทัตนั้นลวง จึงเก็บ ๘ กหาปณะไว้ในถุงเพื่อตน และให้สินค้าที่เหลือ ให้เครื่องประดับกัจฉะปุฏะ ที่มือของนางกุมาริกาแล้วก็ไป

    ... พ่อค้านั้นหวนกลับมาถามอีก ภรรยาเศรษฐีนั้นกล่าวว่า

    ... " นี่แน่ะพ่อ ท่านไม่เอา บุตรของเราให้สิ่งนี้ๆ แล้วถือเอาถาดใบนั้นไปเสียแล้ว "

    ... พ่อค้านั้นพอได้ฟังดังนั้น มีหทัยเหมือนจะแตกออก จึงวิ่งติดตามไป พระโพธิสัตว์ขึ้นเรือแล่นไปแล้ว พ่อค้านั้นกล่าวว่า

    ... " หยุด! อย่าหนี อย่าหนี "

    ... แล้วได้ทำความปรารถนาด้วยจิตประกอบด้วยความอาฆาตผูกเวรว่า

    ... " เราพึงสามารถทำให้มันฉิบหายในภพที่เกิดแล้ว "




    ...... ด้วยอำนาจความผูกเวรนั้น พ่อค้านั้นเบียดเบียนกันและกันหลายแสนชาติ ในอัตภาพนี้ บังเกิดในสักยตระกูล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ แล้วประทับอยู่ในกรุงราชคฤห์โดยลำดับ

    ... ได้ไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมกับเจ้าอนุรุทธะเป็นต้นแล้วบวช เป็นผู้ได้อภิญญา๕ สมาบัติ๘ แล้ว ทูลขอพรพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

    ... " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์ทั้งปวงจงสมาทานธุดงค์ ๑๓ มีเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรเป็นต้น ภิกษุสงฆ์ทั้งสิ้นจงเป็นภาระของข้าพระองค์ "

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาต พระเทวทัตผูกเวร จึงเสื่อมจากฌาน ต้องการจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคเจ้า



    ..... วันหนึ่ง ยืนอยู่เบื้องบน พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับยืนอยู่ที่เชิงเขาคิชฌกูฏ กลิ้งก้อนหินใหญ่ลงมา ด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก้อนหินสองก้อนผุดขึ้นมารับก้อนหินที่กลิ้งตกลงมา สะเก็ดหินที่แตกเพราะหินเหล่านั้นกระทบกัน ปลิวมากระทบหลังพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า


    ... ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า



    ...เมื่อชาติก่อน เราฆ่าน้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ เราใส่ลงในซอกหิน และบดขยี้ด้วยหิน เพราะวิบากของกรรมนั้น พระเทวทัตจึงกลิ้งหิน ก้อนหินบดขยี้นิ้วหัวแม่เท้าของเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  7. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ปัญหาข้อที่ ๖ การเสวยเวทนาจากสะเก็ดหิน มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้


    .....ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่ง ในเวลาเป็นเด็ก กำลังเล่นอยู่ที่ถนนใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในถนนคิดว่า

    ... " สมณะโล้นนี้จะไปไหน "

    ... จึงถือเอาสะเก็ดหินขว้างไปที่หลังเท้าของท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า หนังหลังเท้าแตกเป็นแผลมีโลหิตไหลออก

    ... เพราะกรรมอันลามกนั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้เสวยทุกข์อย่างมหันต์ในนรกหลายพันปี แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้เกิดการห้อพระโลหิตขึ้น เพราะสะเก็ดหินกระทบที่นิ้วพระบาท ด้วยอำนาจกรรมเก่า


    ... ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า



    ... ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าบิณฑบาตในหนทาง จึงขว้างสะเก็ดหินใส่

    ... เพราะวิบากของกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงจ้างนายขมังธนูมาเพื่อฆ่าเราตถาคต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  8. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ปัญหาข้อที่ ๗ การปล่อยช้างนาฬาคิรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้



    ....ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นคนเลี้ยงช้าง ขึ้นช้างเที่ยวไปอยู่ เห%
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  9. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ปัญหาข้อที่ ๘ การถูกผ่าตัดด้วยศาสตรา มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ​


    ..... ได้ยินว่า ในอดีตกาลพระโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชาในปัจจันตประเทศ พระโพธิสัตว์นั้นเป็นนักเลงด้วยอำนาจการคลุกคลีกับคนชั่วและด้วยอำนาจการอยู่ในปัจจันตประเทศ เป็นคนหยาบช้า

    ... อยู่มาวันหนึ่ง ถือมีดเดินเท้าเปล่า เที่ยวไปในเมือง ได้เอามีดฆ่าฟันคนผู้ไม่มีความผิด

    ... ด้วยวิบากของกรรมอันลามกนั้น พระโพธิสัตว์นั้นไหม้ในนรกหลายพันปี เสวยทุกข์ในทุคติมีสัตว์เดียรัจฉานเป็นต้น ด้วยวิบากที่เหลือ




    ..... ในอัตภาพหลังสุดแม้ได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าผู้โลกนาถ นิ้วก็ได้เกิดห้อพระโลหิตขึ้น เพราะก้อนหินที่พระเทวทัตกลิ้งใส่กระทบเอา โดยนัยดังกล่าวในหนหลัง

    ... หมอชีวกผ่าเอาโลหิตที่ห้อออกด้วยจิตเมตตา การทำพระโลหิตให้ห้อขึ้นของพระเทวทัตผู้มีจิตเป็นข้าศึก ได้เป็นอนันตริยกรรม การผ่าเอาโลหิตที่ห้อออกของหมอชีวกผู้มีจิตเมตตา ได้เป็นบุญอย่างเดียว


    ... ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า



    ... เราเป็นคนเดินเท้า ฆ่าคนทั้งหลายด้วยมีด ด้วยวิบากของกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อยู่ในนรกอย่างรุนแรง

    ... ด้วยเศษของกรรมนั้น มาบัดนี้เขาจึงตัดหนังที่เท้าของเราเสียสิ้น เพราะยังไม่หมดกรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  10. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ปัญหาข้อที่ ๙ การปวดศีรษะ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้


    .....ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นชาวประมง ในหมู่บ้านชาวประมง วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์นั้นกับพวกชาวประมง ไปยังที่ที่ฆ่าปลา เห็นปลาทั้งหลายตาย ได้ทำโสมนัสให้เกิดขึ้นในข้อที่ปลาตายนั้น แม้บุรุษชาวประมงที่ไปด้วยกันก็ทำความโสมนัสให้เกิดขึ้นอย่างนั้นเหมือนกัน

    ... ด้วยอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์ในอบายทั้ง ๔




    ..... ในอัตภาพหลังสุดนี้ ได้บังเกิดในตระกูลศากยราช พร้อมกับบุรุษเหล่านั้น แม้จะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าโดยลำดับแล้ว ก็ยังได้เสวยความเจ็บป่วยที่ศีรษะด้วยตนเอง และเจ้าศากยะเหล่านั้นถึงความพินาศกันหมดในสงครามของเจ้าวิฑูฑภะ


    ... ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า



    ... เราเป็นลูกชาวประมงในหมู่บ้านชาวประมง เห็นปลาทั้งหลายถูกฆ่า ได้ยังความโสมนัสดีใจให้เกิดขึ้น

    ... เพราะวิบากของกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะได้มีแก่เราแล้ว ในคราวที่เจ้าวิฑูฑภะฆ่าเจ้าศากยะแล้ว





    ปัญหาข้อที่ ๑๐ การกินข้าวแดง มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้


    ..... ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่ง เพราะอำนาจชาติและเพราะความเป็นอันธพาล เห็นสาวกทั้งหลายของ องค์สมเด็จพระปุสสะสัพพัญญูพุทธเจ้า ฉันข้าวน้ำอันอร่อยและโภชนะแห่งข้าวสาลีเป็นต้น จึงด่าว่า

    ... " เฮ้ย! พวกสมณะโล้น พวกท่านจงกินข้าวแดงเถอะ อย่ากินโภชนะแห่งข้าวสาลีเลย "

    ... เพราะวิบากแห่งอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงเสวยทุกข์อยู่ในอบายทั้ง ๔ หลายพันปี




    ..... ในอัตภาพหลังสุดนี้ ถึงความเป็นพระพุทธเจ้าโดยลำดับ เมื่อทรงกระทำความอนุเคราะห์ชาวโลก เสด็จเที่ยวไปในคาม นิคมและราชธานีทั้งหลาย

    ... สมัยหนึ่ง เสด็จถึงโคนไม้สะเดาอันสมบูรณ์ด้วยกิ่งและค่าคบ ณ ที่ใกล้เวรัญชคาม เวรัญชพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อไม่อาจเอาชนะพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โดยเหตุหลายประการ ได้เป็นพระโสดาบันแล้วกราบทูลว่า

    ... " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การเสด็จเข้าจำพรรษาในที่นี้แหละย่อมควร "

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับคำนิมนต์โดยดุษณีภาพ




    ..... ครั้นจำเดิมแต่วันรุ่งขึ้นไป มารผู้มีบาปได้กระทำการดลใจชาวบ้านเวรัญชคามทั้งสิ้น ไม่ได้มีแม้แต่คนเดียวผู้จะถวายภิกษาสักทัพพีหนึ่งแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จเข้าไปบิณฑบาต เพราะเนื่องด้วยมารดลใจ

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีบาตรเปล่า อันภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมเสด็จกลับมา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเสด็จกลับมาอย่างนั้น พวกพ่อค้าม้าที่อยู่ในที่นั้นนั่นแหละ ได้ถวายทานในวันนั้น จำเดิมแต่วันนั้นไป ได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุ ๕๐๐ เป็นบริวาร แล้วทำการแบ่งจากอาหารของม้า ๕๐๐ ตัว เอามาซ้อมเป็นข้าวแดง แล้วใส่ลงในบาตรของภิกษุทั้งหลาย

    ... เทวดาในพันจักรวาลแห่งจักรวาลทั้งสิ้นพากันใส่ทิพโอชะ เหมือนในวันที่นางสุชาดาหุงข้าวปายาส พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยแล้ว พระองค์เสวยข้าวแดงตลอดไตรมาส ด้วยประการอย่างนี้

    ... เมื่อล่วงไป ๓ เดือน การดลใจของมารก็หายไปในวันปวารณา เวรัญชพราหมณ์ระลึกขึ้นได้ถึงความสลดใจอย่างใหญ่หลวง จึงถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ถวายบังคมแล้วขอให้ทรงอดโทษ


    ... ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า



    ... เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

    ... " พวกท่านจงเคี้ยวจงกินแต่ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย "

    ... ด้วยวิบากของกรรมนั้น เราจึงได้เคี้ยวกินข้าวแดงตลอดไตรมาส เพราะว่า ในคราวนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้วจึงได้อยู่ในบ้านเวรัญชา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2013
  11. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ปัญหาข้อที่ ๑๑ ความเจ็บปวดสาหัสที่กลางหลัง มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้


    ..... ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลคหบดี สมบูรณ์ด้วยกำลัง แต่เป็นคนค่อนข้างเตี้ย

    ... สมัยนั้น นักต่อสู้ด้วยการต่อสู้ด้วยมวยปล้ำคนหนึ่ง เมื่อการต่อสู้ด้วยมวยปล้ำกำลังดำเนินไปอยู่ในคามนิคมและราชธานีทั้งหลาย ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ได้ทำพวกบุรุษล้มลง ได้รับชัยชนะ มาถึงเมืองอันเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์เข้าโดยลำดับ ได้ทำพวกคนในเมืองแม้นั้นให้ล้มลงแล้ว เริ่มจะไป

    ... คราวนั้น พระโพธิสัตว์คิดว่า ผู้นี้ได้รับชัยชนะในที่เป็นที่อยู่ของเราแล้วก็จะไป จึงมายังบริเวณพระนครในที่นั้น ปรบมือแล้วกล่าวว่า

    ... " ท่านจงมา จงต่อสู้กับเราแล้วค่อยไป "

    ... นักมวยปล้ำนั้นหัวเราะแล้วคิดว่า

    ... " พวกบุรุษใหญ่โตเรายังทำให้ล้มได้ บุรุษผู้นี้เป็นคนเตี้ย มีธาตุเป็นคนเตี้ย ย่อมไม่เพียงพอแม้แก่มือข้างเดียว "

    ... จึงปรบมือแล้วเดินมา

    ... คนทั้งสองนั้นจับมือกันและกัน พระโพธิสัตว์ยกนักมวยปล้ำคนนั้นขึ้นแล้วหมุนในอากาศ เมื่อจะให้ตกลงบนภาคพื้น ได้ทำลายกระดูกไหล่แล้วให้ล้มลง ชาวพระนครทั้งสิ้นทำการโห่ร้อง ปรบมือบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยผ้าและอาภรณ์เป็นต้น

    ... พระโพธิสัตว์ให้นักต่อสู้ด้วยมวยปล้ำนั้นตรงๆ กระทำกระดูกไหล่ให้ตรงแล้วกล่าวว่า

    ... " ท่านจงไป ตั้งแต่นี้ไปท่านจงอย่ากระทำกรรมเห็นปานนี้ "

    ... แล้วส่งไป

    ... ด้วยวิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์ที่ร่างกายและศีรษะเป็นต้น ในภพที่เกิดแล้วๆ




    ..... ในอัตภาพหลังสุด แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้เสวยทุกข์มีการเสียดแทงที่หลัง เพราะฉะนั้น เมื่อความทุกข์ที่เบื้องพระปฤษฎางค์เกิดขึ้นในกาลบางคราว พระองค์จึงตรัสกะพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะว่า

    ... " จำเดิมแต่นี้ไป พวกเธอจงแสดงธรรม "

    ... แล้วพระองค์ทรงลาดสุคตจีวรแล้วบรรทม

    ... ขึ้นชื่อว่ากรรมเก่า แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจพ้นไปได้


    ... สมจริงดังที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ว่า



    ... เมื่อการปล้ำกันดำเนินไปอยู่ เราได้เบียดเบียนบุตรนักมวยปล้ำให้ลำบาก

    ... ด้วยวิบากของกรรมนั้น ความทุกข์เพราะอาการเสียดแทงที่เบื้องพระปฤษฎางค์จึงได้มีแก่เรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2013
  12. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ปัญหาข้อที่ ๑๒ การลงโลหิต มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้


    ..... ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลคหบดี เลี้ยงชีพด้วยเวชกรรม พระโพธิสัตว์นั้นเมื่อจะเยียวยาบุตรของเศรษฐีคนหนึ่งผู้ถูกโรคครอบงำ จึงปรุงยาแล้วเยียวยา อาศัยความประมาทในการให้ไทยธรรมของบุตรเศรษฐีนั้น จึงให้โอสถอีกขนานหนึ่ง ได้กระทำการถ่ายโดยการสำรอกออก เศรษฐีได้ให้ทรัพย์เป็นอันมาก

    ... ด้วยวิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงได้ถูกอาพาธด้วยโรคลงโลหิตครอบงำในภพที่เกิดแล้วๆ




    ..... ในอัตภาพหลังสุดแม้นี้ ในกาลใกล้ปรินิพพาน จึงได้มีการถ่ายด้วยการลงพระโลหิต ในขณะที่เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะกัมมารบุตรปรุงถวาย พร้อมกับพระกระยาหารอันมีทิพโอชะที่เทวดาในจักรวาลทั้งสิ้นใส่ลงไว้ กำลังช้างแสนโกฏิเชือก ได้ถึงความสิ้นไป

    ...ในวันเพ็ญเดือน ๖ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินไปเพื่อต้องการปรินิพพานในเมืองกุสินารา ประทับนั่งในที่หลายแห่ง ทรงกระหายน้ำ ทรงดื่มน้ำ ทรงถึงเมืองกุสินาราด้วยความลำบากอย่างมหันต์ แล้วเสด็จปรินิพพานในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง แม้พระผู้เป็นเจ้าของไตรโลกเห็นปานนี้ กรรมเก่าก็ไม่ละเว้น


    ... ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า


    ... เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาบุตรของเศรษฐี

    ... ด้วยวิบากของกรรมนั้น โรคปักขันทิกาพาธจึงมีแก่เรา


    ... พระชินเจ้าทรงบรรลุอภิญญาพละทั้งปวง ทรงพยากรณ์ต่อหน้าภิกษุสงฆ์ ณ อโนดาตสระใหญ่ ด้วยประการฉะนี้แล



    อปทานฝ่ายอกุศล ชื่อว่าเป็นอันจบบริบูรณ์



    ..... พระผู้มีพระภาคเจ้าคือพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระมหากรุณาพระองค์นั้น ทรงเพียบพร้อมด้วยภาคยธรรม เป็นพระมหาสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีมาดีแล้ว

    ... ทรงประกอบด้วยคุณมีอาทิอย่างนี้ว่า

    ... พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีภาคบุญ คือ โชค

    ... ผู้หักรานกิเลสน้อยใหญ่ทั้งปวง

    ... ผู้ประกอบด้วยภาคธรรมทั้งหลาย ผู้ทรงด้วยภาคธรรมทั้งหลาย

    ... ผู้ทรงจำแนกธรรม

    ... ผู้คบแล้ว ผู้คายการไปในภพทั้งหลายแล้ว

    ... เพราะเหตุนั้น จึงทรงพระนามว่า ภควา

    ... ทรงเป็นเทพยิ่งกว่าเทพ

    ... เป็นท้าวสักกะยิ่งกว่าท้าวสักกะ

    ... ทรงเป็นพรหมยิ่งกว่าพรหม

    ... ทรงเป็นพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าพระพุทธเจ้า

    ... เมื่อจะทรงยกย่องคือทำให้ปรากฏซึ่งพุทธจริยา คือเหตุแห่งพระพุทธเจ้าของพระองค์ จึงได้ภาษิตคือตรัสธรรมบรรยายคือพระสูตรธรรมเทศนา ชื่อว่าพุทธาปทานิยะ คือ ชื่อว่าประกาศเหตุแห่งพระพุทธเจ้าแล


    พรรณนาพุทธาปทาน
    ในวิสุทธชนวิลาสินี อรรถกถาอปทาน
    จบบริบูรณ์เท่านี้
    ข้อมูลจากพระอรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค



    คาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙


    ..... บุคคลพึงรีบทำความดี พึงห้ามจิตจากบาป

    ... เพราะเมื่อทำบุญช้าไป ใจย่อมยินดีในบาป

    ... หากบุรุษพึงทำบาปไซร้ ไม่พึงทำบาปนั้นบ่อยๆ

    ... ไม่พึงทำความพอใจในบาปนั้น เพราะการสั่งสมบาปนำทุกข์มาให้

    ... หากว่าบุรุษพึงทำบุญไซร้ พึงทำบุญนั้นบ่อยๆ

    ... พึงทำความพอใจในบุญนั้น เพราะการสั่งสมบุญนำสุขมาให้

    ... แม้คนลามกย่อมเห็นความเจริญตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล

    ... แต่เมื่อใดบาปย่อมให้ผล คนลามกจึงเห็นบาปเมื่อนั้น

    ... แม้คนเจริญก็ย่อมเห็นบาป ตราบเท่าที่ความเจริญยังไม่ให้ผล

    ... แต่เมื่อใดกรรมดีย่อมให้ผล เขาจึงเห็นความเจริญเมื่อนั้น

    ... บุคคลอย่าพึงดูหมิ่นบาปว่า บาปมีประมาณน้อยจักไม่มาถึง

    ... แม้หม้อน้ำย่อมเต็มได้ด้วยหยาดน้ำที่ตกทีละหยาดๆ ฉันใด

    ... คนพาลสั่งสมบาปแม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มด้วยบาป ฉันนั้น

    ... บุคคลอย่าพึงดูหมิ่นบุญว่า บุญมีประมาณน้อยจักไม่มาถึง

    ... แม้หม้อน้ำย่อมเต็มได้ด้วยหยาดน้ำที่ตกทีละหยาดๆ

    ... นักปราชญ์สั่งสมบุญแม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มด้วยบุญ

    ... ภิกษุพึงเว้นบาปดุจพ่อค้ามีพวกน้อย มีทรัพย์มาก เว้นทางที่ควรกลัว

    ... ดุจบุรุษผู้ใคร่ต่อชีวิตเว้นยาพิษ ฉะนั้น

    ... ถ้าที่ฝ่ามือไม่พึงมีแผลไซร้บุคคลพึงนำยาพิษไปด้วยฝ่ามือได้ เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมซาบฝ่ามือที่ไม่มีแผล

    ... บาปย่อมไม่มีแก่คนไม่ทำ

    ... ผู้ใดย่อมประทุษร้ายต่อคนผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้เป็นบุรุษหมดจด ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน

    ... บาปย่อมกลับถึงผู้นั้นแหละ ผู้เป็นพาลดุจธุลีละเอียดที่บุคคลซัดทวนลมไป ฉะนั้น

    ... คนบางพวกย่อมเข้าถึงครรภ์

    ... บางพวกมีกรรมอันลามก ย่อมเข้าถึงนรก

    ... ผู้ที่มีคติดีย่อมไปสู่สวรรค์

    ... ผู้ที่ไม่มีอาสวะย่อมปรินิพพาน

    ... อากาศ ท่ามกลางสมุทร ช่องภูเขาอันเป็นที่เข้าไป ส่วนแห่งแผ่นดินที่บุคคลสถิตย์อยู่แล้ว

    ... พึงพ้นจากกรรมอันลามกได้ ไม่มีเลย

    ... อากาศ ท่ามกลางสมุทร ช่องภูเขาอันเป็นที่เข้าไป ส่วนแห่งแผ่นดิน ที่บุคคลสถิตย์อยู่แล้ว

    ... จะพึงรอดพ้นจากมัจจุ คือ ความตายได้ ไม่มีเลย ฯ.



    พระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก ธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2013
  13. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    พระสุตตันตปิฎก
    เล่ม ๒๔
    ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
    ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
    พุทธวรรคที่ ๑


    พุทธาปทานที่ ๑ ว่าด้วยเหตุให้สำเร็จเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า



    ..... พระอานนท์เวเทหมุนี มีอินทรีย์สำรวมแล้ว ได้ทูลถามสมเด็จพระตถาคตผู้ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันว่า

    ... " ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระเจ้าข้า ด้วยเหตุดังฤา ด้วยบุญกุศลดังฤา องค์สมเด็จพระทศพล จึงได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าผู้เป็นจอมปราชญ์ พระเจ้าข้า "

    ... ในกาลนั้นพระผู้มีพระภาคผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ เป็นพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐ ได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะว่า

    ... " ชนเหล่าใด สร้างสมกุศลสมภารในพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ยังไม่ได้โมกขธรรมในศาสนาของสมเด็จพระชินพุทธเจ้า

    ... ชนเหล่านั้นเป็นนักปราชญ์โดยมุข คือ การตรัสรู้นั้นแล แม้มีอัธยาศัย มีกำลังมาก มีปัญญาแก่กล้า ย่อมได้บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูด้วยเหตุแห่งปัญญา

    ... แม้เราเป็นผู้พระธรรมราชา ผู้สมบูรณ์ด้วยบารมี ๓๐ ทัศ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆนับไม่ถ้วน

    ... นมัสการพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ด้วยนิ้วทั้ง ๑๐ แล้วกราบไหว้สัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดทั้งหลายด้วยเศียรเกล้า




    ..... รัตนะทั้งที่มีในอากาศและอยู่ที่พื้นดิน ในพุทธเขต มีประมาณเท่าใด เราจักนำรัตนะทั้งหมดนั้นมาด้วยใจ ณ พื้นที่เป็นรูปิยะนั้น

    ... เราได้นิรมิตปราสาทหลายชั้น อันสำเร็จด้วยรัตนะ สูงตระหง่านเทียมฟ้า มีเสาอันวิจิตร ได้สัดส่วน จัดไว้ดี ควรค่ามาก มีคันทวยทำด้วยทองคำ ประดับด้วยนกกระเรียนและฉัตร

    ... พื้นชั้นแรกเป็นแก้วไพฑูรย์ งามปราศจากมลทิน ไม่มีฝ้า เกลื่อนกลาดด้วยดอกบัวหลวง มีพื้นทองคำอย่างดี

    ... พื้นบางชั้นมีสีดังแก้วประพาฬ เป็นกิ่งน่ารื่นเริง บางชั้นแดงงาม บางชั้นเปล่งรัศมี ดังสีแมลงค่อมทอง

    ... บางชั้นสว่างทั่วทิศในปราสาทนั้น มีศาลาสี่หน้ามุข มีประตูหน้าต่างจัดไว้เรียบร้อย มีชุกชีและหลุมตาข่ายสี่แห่ง มีพวงมาลัยหอมน่ารื่นรมย์ใจห้อยอยู่

    ... ยอดปราสาทนั้นประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีสีเขียว เหลือง แดง ขาว ดำล้วน ประกอบด้วยยอดเรือนชั้นเยี่ยม มีสระประทุมชูดอกบานสะพรั่ง งามด้วยฝูงเนื้อและนก

    ... บางชั้นดาดาษด้วยดาวนักษัตร ประดับด้วยรูปดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ปกคลุมด้วยพวงดอกไม้ทอง ดาดาษด้วยตาข่ายทองน่ารื่นรมย์ ห้อยย้อยด้วยกระดิ่งทอง เปล่งเสียงด้วยกำลังลม

    ... ปราสาทนั้นวิจิตรด้วยธงสีต่างๆ คือ ธงสีชมพู สีแดง สีเหลือง สีเขียว และสีทอง ปักไว้เป็นระเบียบ

    ... แผ่นกระดานต่างๆ มากหลายร้อย ทำด้วยเงิน ทำด้วยแก้วมณี ทับทิม ทำด้วยแก้วมรกต วิจิตรด้วยที่นอนต่างๆ ลาดด้วยผ้าเมืองกาสีละเอียดอ่อน

    ... เราปูลาดเครื่องลาดต่างๆ ด้วยผ้ากัมพล ผ้าทุกุลพัสตร์ ผ้าเมืองจีน ผ้าเมืองแขก และผ้าห่มเหลืองทุกแห่ง ด้วยใจ

    ... ที่พื้นนั้นๆ ประดับด้วยยอดแก้ว คนหลายร้อยยืนถือประทีปแก้วมณีอันส่งแสงเรืองอยู่ เสาระเนียด

    ... เสาซุ้มประตู ทำด้วยทองชมพูนุท ไม้แก่นและเงินบ้าง มีที่ต่อหลายแห่ง จัดไว้เรียบดี วิจิตรด้วยบานประตูและกลอน ย่อมยังปราสาทให้งาม

    ... สองข้างปราสาทนั้น มีกระถางน้ำเต็มเปี่ยมหลายกระถาง ปลูกบัวหลวงและอุบลไว้เต็ม

    ... เรานิรมิตพระพุทธเจ้าในอดีต ผู้เป็นนายกของโลกทุกพระองค์ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก ด้วยวรรณะและรูปตามปกติ

    ... พระพุทธเจ้าทุกพระองค์พร้อมด้วยพระสาวกเข้าไปทางประตูนั้น หมู่พระอริยะเจ้านั่งบนตั่งอันทำด้วยทองคำล้วนๆ

    ... พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยมในโลก มีอยู่ ณ บัดนี้ก็ดี เป็นอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ทุกพระองค์ได้ขึ้นปราสาทของเรา

    ... พระสยัมภูปัจเจกพุทธเจ้าหลายร้อย ผู้ไม่พ่ายแพ้ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ได้ขึ้นปราสาทของเราทั้งหมด

    ... ต้นกัลปพฤกษ์ทั้งเป็นของทิพย์และของมนุษย์มีมาก เรานำเอาผ้าทุกอย่างจากต้นกัลปพฤกษ์นั้น มาทำไตรจีวรถวายให้ท่านเหล่านั้นครอง ของเคี้ยว ของฉัน ของลิ้ม น้ำและข้าวมีสมบูรณ์

    ... เราใส่อาหารเต็มบาตรอันงามทำด้วยมณีแล้วถวายพระอริยะเจ้าทั้งผองครองผ้าทิพย์ ครองจีวรเนื้อเกลี้ยงอิ่มหนำสำราญด้วยน้ำตาลกรวด น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อยรสหวานฉ่ำและด้วยข้าวปายาส

    ... หมู่พระอริยะเจ้าเหล่านี้เข้าห้องแก้วสำเร็จสีหไสยาบนที่นอนอันควรค่ามาก ดังไกรสรีนอนในถ้ำที่อยู่ รู้สึกตัวลุกขึ้นนั่งคู้บัลลังก์บนที่นอน เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความยินดีในฌาน อันเป็นโคจรของพุทธเจ้าทุกพระองค์

    ... บางพวกแสดงธรรม บางพวกเข้าฌานด้วยฤทธิ์ บางพวกเข้าอัปปนาฌาน และบางพวกอบรมอภิญญาวสี บางพวกแผลงฤทธิ์ คนเดียวเป็นได้หลายร้อยหลายพัน

    ... แม้พระพุทธเจ้าก็ถามปัญหาอันเป็นอารมณ์ คือ วิสัยของพระสัพพัญญูกะพระพุทธเจ้า ท่านเหล่านั้น ย่อมตรัสรู้เหตุอันละเอียดลึกซึ้งด้วยพระปัญญา

    ... พระสาวกทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสถามพระสาวก ท่านเหล่านั้นถามกันและกัน และพยากรณ์กันและกัน

    ... พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกต่างเป็นศิษย์ ท่านเหล่านั้นรื่นรมย์อยู่ด้วยความยินดีอย่างนี้ อภิรมย์อยู่ในปราสาทของเรา

    ... ฉัตรและฉัตรซ้อน มีรัศมีดังไม้ไผ่แก้วตั้งไว้ ทุกๆ องค์ทรงไว้ซึ่งฉัตรอันห้อยย้อยด้วยตาข่ายทอง ขจิตด้วยตาข่ายเงิน วงรอบด้วยตาข่ายมุกดา

    ... บนเศียรมีเพดานผ้า แวววาวด้วยดาวทอง งดงามดาดาษด้วยพวงมาลัยทุกๆ องค์ ทรงไว้รอบๆ ฉัตรดาดาษด้วยพวงมาลัย งามด้วยพวงดอกไม้หอม เกลื่อนด้วยพวงผ้า ประดับด้วยพวงแก้วเกลื่อนกลาดด้วยดอกไม้ งดงามยิ่งนัก รมด้วยของหอมน่าพอใจ ทำด้วยของหอมยาวห้านิ้ว มุงด้วยเครื่องมุงทอง

    ... ในสี่ทิศแห่งปราสาท มีสระอันดาดาษด้วยปทุมและอุบล หอมตลบด้วยเกสรดอกปทุม ปรากฏดังสีทองคำ

    ... โดยรอบปราสาท มีต้นไม้ทุกชนิด ดอกบานสะพรั่ง และดอกไม้หล่นลงเอง เรี่ยรายอยู่ยังปราสาท

    ... ใกล้ๆ ปราสาทนั้นมีฝูงนกยูงรำแพนหาง ฝูงหงส์ทิพย์ส่งเสียง ฝูงนกการวิกขับขาน หมู่นกร้องอยู่โดยรอบปราสาท เสียงกลองเภรีทุกอย่างจงเป็นไป เสียงพิณทุกชนิดจงดีด เสียงสังคีตทุกอย่างจงขับขาน โดยรอบปราสาท

    ... ขอบัลลังก์ทองใหญ่สมบูรณ์ด้วยรัศมี ไม่มีช่องประดับด้วยแก้ว จงตั้งอยู่ ในกำหนดพุทธเขตและในหมื่นจักรวาล

    ... ขอต้นไม้ประจำทวีปจงรุ่งเรือง เป็นไม้สว่างไสวเช่นเดียวกัน สืบต่อกันไปตั้งหมื่นต้น

    ... หญิงเต้นรำ หญิงขับร้อง จงเต้นรำขับร้อง หมู่นางอัปสรผู้มีอวัยวะต่างๆ กัน จงฟ้อนอยู่โดยรอบปราสาท

    ... เราให้ชักธงทุกชนิดมีห้าสีงามวิจิตรขึ้นอยู่บนยอดไม้

    ... ยอดภูเขา และบนยอดสิเนรุ หมู่ชน ฝูงนาค คนธรรพ์ และเทวดาทุกท่านนั้น จงมาประนมหัตถ์นมัสการเรา แวดล้อมปราสาทอยู่




    ..... กุศลกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นกิริยาที่เราพึงทำด้วยกาย วาจา และใจ กุศลกรรมนั้นเราทำแล้วไปในไตรทศ สัตว์เหล่าใดมีสัญญา และสัตว์เหล่าใดไม่มีสัญญามีอยู่

    ... ขอสัตว์ทั้งหมดนั้นจงเป็นผู้มีส่วนแห่งผลบุญ ที่เราทำแล้ว

    ... สัตว์เหล่าใดทราบบุญที่เราทำแล้ว เราขออุทิศผลบุญแก่สัตว์เหล่านั้น

    ... บรรดาสัตว์เหล่าใดไม่รู้ ขอทวยเทพจงไปบอกแก่สัตว์เหล่านั้นด้วยเถิด

    ... ปวงสัตว์ในโลก ผู้อาศัยอาหารเป็นอยู่ทุกจำพวก ขอจงได้อาหารอันพึงใจ ด้วยใจของเรา




    ..... เรามีใจเลื่อมใสในทานที่เราให้แล้วด้วยใจอันผ่องใส

    ... เราบูชาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์แล้ว บูชาแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย

    ... เพราะกุศลกรรมที่เราทำดีแล้วนั้น และเพราะความปรารถนาแห่งใจ

    ... เราละกายมนุษย์แล้ว ได้ไปยังดาวดึงส์พิภพ

    ... เราย่อมรู้ทั่วความเป็นเทวดาและมนุษย์ในสองภพ ย่อมไม่รู้จักคติอื่น

    ... นี้เป็นผลแห่งความปรารถนาด้วยใจ

    ... เราเป็นใหญ่กว่าเทวดา เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยรูปลักษณะ ไม่มีใครเสมอเราด้วยปัญญา

    ... โภชนะต่างๆ อย่างประเสริฐ และรัตนะมากมาย ผ้าต่างชนิด ย่อมจากฟ้ามาหาเราพลัน




    ... เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า อาหารทิพย์ย่อมมาหาเราเอง

    ... เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า รัตนะทุกอย่างย่อมมาหาเรา

    ... เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดินภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า ของหอมทุกชนิดย่อมมาหาเราเอง

    ... เราชี้มือไปในที่ใด คือที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า ยวดยานทุกอย่างย่อมมาหาเรา

    ... เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขาบนอากาศ ในน้ำและในป่า ดอกไม้ทุกชนิดย่อมมาหาเรา

    ... เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า เครื่องประดับย่อมมาหาเรา

    ... เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศในน้ำและในป่า ปวงนางกัญญาย่อมมาหาเรา

    ... เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวดย่อมมาหาเรา

    ... เราชี้มือไปในที่ใด คือ ที่แผ่นดิน ภูเขา บนอากาศ ในน้ำและในป่า ของเคี้ยวทุกอย่างย่อมมาหาเรา



    ..... เราได้ให้ทานอันประเสริฐนั้น ในคนไม่มีทรัพย์ คนเดินทางไกล ยาจก และคนเดินทางเปลี่ยว

    ... เพื่อต้องการบรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณอันประเสริฐ

    ... เรายังภูเขาหินให้บันลืออยู่ ยังเขาอันแน่นหนาให้กระหึ่มอยู่ ยังมนุษยโลก พร้อมทั้งเทวโลกให้ร่าเริงอยู่




    ..... เราตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสยัมภูพุทธเจ้าในโลก

    ... ทิศ ๑๐ มีอยู่ในโลก ที่สุดไม่มีแก่บุคคลผู้ไปอยู่ ก็ในทิศาภาคนั้น พุทธเขตนับไม่ได้

    ... รัศมีของเราปรากฏเปล่งออกเป็นคู่ๆ ข่ายรัศมีมีอยู่ในระหว่างนี้

    ... เราเป็นผู้มีแสงสว่างมาก ปวงชนในโลกธาตุประมาณเท่านี้จงเห็นเรา จงมีใจยินดีทั้งหมดเทียว

    ... จงประพฤติตามเราทั้งหมด เราตีกลองอมฤต มีเสียงบันลือไพเราะสละสลวย ปวงชนในระหว่างนี้ จงได้ยินเสียงอันไพเราะของเรา

    ... เมื่อฝนคือธรรมเทศนาตกลง ปวงชนจงเป็นผู้ไม่มีอาสวะ

    ... บรรดาชนเหล่านั้น สัตว์ผู้เกิดสุดท้ายภายหลัง จงเป็นพระโสดาบัน




    ... เราให้ทานที่ควรให้แล้ว

    ... บำเพ็ญศีลโดยไม่เหลือ

    ... ถึงที่สุดเนกขัมมบารมีแล้ว

    ... พึงได้บรรลุพระสัมโพธิญาณอันอุดม

    ... เราเรียนถามบัณฑิตแล้ว

    ... ทำความเพียรอย่างสูงสุด

    ... ถึงที่สุดขันติบารมีแล้ว

    ... พึงได้บรรลุพระโพธิญาณอันอุดม

    ... เรากระทำอธิษฐานจิตมั่นคงแล้ว

    ... บำเพ็ญสัจจะบารมีถึงที่สุด

    ... บำเพ็ญเมตตาบารมีแล้ว

    ... พึงได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณอันอุดม

    ... เราเป็นผู้มีใจเสมอในอารมณ์ทั้งปวง คือ ในลาภ ความเสื่อมลาภ สุข ทุกข์ สรรเสริญ และนินทา

    ... พึงได้บรรลุพระโพธิญาณอันอุดม





    ..... ท่านทั้งหลาย จงเห็นความเกียจคร้านโดยความเป็นภัย

    ... และเห็นความเพียรโดยความเกษมแล้ว

    ... จงปรารภความเพียรเถิด

    ... นี้เป็นอนุศาสนีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


    ... ท่านทั้งหลายเห็นความวิวาทโดยเป็นภัย

    ... และเห็นความไม่วิวาทโดยเกษมแล้ว

    ... จงสมัครสมานกัน กล่าววาจาอ่อนหวานแก่กัน

    ... นี้เป็นอนุศาสนีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


    ... ท่านทั้งหลาย จงเห็นความประมาทโดยความเป็นภัย

    ... และเห็นความไม่ประมาทโดยเกษมแล้ว

    ... จงอบรมมรรคมีองค์ ๘

    ... นี้เป็นอนุศาสนีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย




    ..... พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายมาประชุมกันอยู่มาก ทุกประการ

    ... ท่านทั้งหลายจงกราบไหว้นมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้

    ... พระพุทธเจ้า และธรรมของพระพุทธเจ้า ใครๆ ไม่อาจคิดได้

    ... เมื่อบุคคลเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า และพระธรรมอันใครๆ ไม่อาจคิดได้

    ... ย่อมมีผลอันใครๆคิดไม่ได้ "


    ... ทราบว่า เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์พุทธเจ้าจะทรงให้ท่านพระอานนท์รู้พระพุทธจิตของพระองค์ จึงได้ตรัสธรรมบรรยายชื่อพุทธาปนิยะ ด้วยประการฉะนี้




    พุทธาปทาน(ฝ่ายกุศล)จบบริบูรณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2013
  14. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓
    ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

    ๗. ลักขณสูตร

    ... ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

    ... สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี

    ... ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า

    ... " ดูกรภิกษุทั้งหลาย "

    .. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว

    ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า

    ... " ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระมหาบุรุษผู้สมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการเหล่านี้ ย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น
    ไม่เป็นอย่างอื่น คือ

    ... ถ้าครองเรือน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้วเป็นที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม โดยเสมอ มิต้องใช้ศัสตรา มิต้องใช้อาชญา มิได้มีเสนียด ครอบครองแผ่นดิน มีสาครเป็นขอบเขต มิได้มีเสาเขื่อน มิได้มีนิมิต ไม่มีเสี้ยนหนาม สำเร็จ แพร่หลาย มีความเกษม สำราญ

    ... ถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคา คือ กิเลสอันเปิดแล้วในโลก

    ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการนั้น เป็นไฉน

    ... ๑. มีพระบาทประดิษฐานเป็นอันดี

    ... ๒. ณ พื้นภายใต้ฝ่าพระบาท ๒ ของพระมหาบุรุษ มีจักรเกิดขึ้น มีซี่กำข้างละพัน มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

    ... ๓. มีส้นพระบาทยาว

    ... ๔. มีพระองคุลีนิ้วมือนิ้วเท้า เรียวยาว งามสมส่วน

    ... ๕. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม

    ... ๖. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย

    ... ๗. มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ

    … ๘. มีพระชงฆ์รีเรียวดุจแข้งเนื้อทราย

    … ๙. เสด็จยืนอยู่มิได้น้อมลง เอาฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองลูบคลำได้ถึงพระชาณุหัวเข่าทั้งสอง

    … ๑๐. มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก

    ... ๑๑. มีพระฉวีวรรณดุจวรรณะแห่งทองคำ คือ ผิวเนื้อสีเหลือง

    ... ๑๒. มีพระฉวีละเอียด เพราะพระฉวีละเอียด ธุลีละอองจึงมิติดอยู่ในพระกายได้

    ... ๑๓. มีพระโลมชาติเส้นหนึ่งๆ เกิดในขุมละเส้นๆ

    … ๑๔. มีพระโลมชาติมีปลายขึ้นช้อยขึ้นข้างบน มีสีเขียว มีสีเหมือนดอกอัญชัญ ขดเป็นกุณฑลทักษิณาวัฏ

    ... ๑๕. มีพระกายตรงเหมือนกายพรหม

    ... ๑๖. มีพระมังสะเต็มในที่ ๗ สถาน

    ... ๑๗. มีกึ่งพระกายท่อนบนเหมือนกึ่งกายท่อนหน้าของสีหะ

    … ๑๘. มีระหว่างพระอังสะเต็ม

    ... ๑๙. มีปริมณฑลดุจไม้นิโครธ วาของพระองค์เท่ากับพระกายของพระองค์ พระกายของพระองค์ก็เท่ากับวาของพระองค์

    ... ๒๐. มีลำพระศอกลมเท่ากัน

    … ๒๑. มีปลายเส้นประสาทสำหรับนำรสอาหารอันดี

    … ๒๒. มีพระหนุดุจคางราชสีห์

    … ๒๓. มีพระทนต์ ๔๐ ซี่

    … ๒๔. มีพระทนต์เรียบเสมอกัน

    … ๒๕. มีพระทนต์ไม่ห่าง

    … ๒๖. มีพระทาฐะ(เขี้ยวแก้ว)ขาวงาม

    … ๒๗. มีพระชิวหาใหญ่

    … ๒๘. มีพระสุรเสียงดุจเสียงแห่งพรหม ตรัสมีสำเนียงดังนกกรวิก

    … ๒๙. มีพระเนตรดำสนิทเหมือนนิลที่เจียระไนดีแล้ว

    ... ๓๐. มีดวงพระเนตรดุจตาแห่งโค

    … ๓๑. มีพระอุณาโลมบังเกิด ณ ระหว่างพระขนง มีสีขาวอ่อน ควรเปรียบด้วยนุ่น

    … ๓๒. มีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์



    ….. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อน กำเนิดก่อน

    ... เป็นผู้มีสมาทานมั่นในกุศลธรรม มีสมาทานไม่ถอยหลังในกายสุจริต ในวจีสุจริต ในมโนสุจริต (กุศลกรรมบถ ๑๐)

    … ในการบำเพ็ญทาน ในการสมาทานศีล ในการรักษาอุโบสถศีล

    … ในการปฏิบัติดีในมารดา ในการปฏิบัติดีในบิดา ในการปฏิบัติดีในสมณะ ในการปฏิบัติดีในพรหม

    ... ในความเป็นผู้เคารพต่อผู้ใหญ่ในสกุลและในธรรมเป็นอธิกุศลอื่นๆ

    ... ตถาคตย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์



    ..… ครั้นจุติจากโลกสวรรค์นั้นแล้ว มาถึงความเป็นมนุษย์อย่างนี้ ย่อมได้เฉพาะซึ่งมหาปุริสลักษณะนี้ คือ

    … มีพระบาทตั้งอยู่เฉพาะเป็นอันดี คือทรงเหยียบพระบาทเสมอกันบนพื้น ทรงยกพระบาทขึ้นก็เสมอกัน ทรงจดภาคพื้นด้วยฝ่าพระบาททุกส่วนเสมอกัน "




    ..... พระมหาบุรุษสมบูรณ์ด้วยลักษณะนั้น ถ้าอยู่ครองเรือนจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์

    ... เมื่อเป็นพระราชาจะได้อะไร เมื่อเป็นพระราชาจะได้ผลข้อนี้ คือ

    ... ไม่มีใครๆ ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นข้าศึกศัตรูจะพึงข่มได้




    ..... ถ้าพระมหาบุรุษนั้นออกจากเรือนทรงผนวชเป็นบรรพชิต จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก

    ... เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้อะไร เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้ผลข้อนี้ คือ

    ... ไม่มีเหล่าข้าศึกศัตรูภายในหรือภายนอก คือ ราคะ โทสะ โมหะ หรือสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม ใครๆ ในโลกจะพึงข่มได้

    ... พระผู้มีพระภาคตรัสเนื้อความนี้ไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2013
  15. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อนกำเนิดก่อน

    ... ได้เป็นผู้นำความสุขมาให้แก่ชนเป็นอันมาก

    ... บรรเทาภัยคือความหวาดกลัวและความหวาดเสียว

    ... จัดความรักษาปกครองป้องกันโดยธรรม และบำเพ็ญทานพร้อมด้วยวัตถุอันเป็นบริวาร

    ... ตถาคตย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์




    ..... ครั้นจุติจากโลกสวรรค์นั้นแล้ว มาถึงความเป็นอย่างนี้ ย่อมได้เฉพาะซึ่งมหาปุริสลักษณะนี้ คือ

    ... ในฝ่าพระบาททั้ง ๒ มีจักรเกิดเป็นอันมาก มีซี่กำพันหนึ่ง มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง มีระหว่างอันกุศลกรรมแบ่งเป็นอันดี



    ..... พระมหาบุรุษสมบูรณ์ด้วยลักษณะนั้น ถ้าอยู่ครองเรือน จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์

    ... เมื่อเป็นพระราชาจะได้อะไร เมื่อเป็นพระราชาจะได้ผลข้อนี้ คือ

    ... มีบริวารมาก คือ มีบริวารเป็นพราหมณ์ เป็นคฤหบดี เป็นชาวนิคม เป็นชาวชนบท เป็นโหราจารย์ เป็นมหาอำมาตย์ เป็นกองทหาร เป็นนายประตู เป็นอำมาตย์ เป็นบริษัท เป็นเจ้า เป็นเศรษฐี เป็นราชกุมาร



    ..... ถ้าพระมหาบุรุษนั้นออกจากเรือนทรงผนวชเป็นบรรพชิต จะเป็นสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก

    ... เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้อะไร เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้ผลข้อนี้ คือ

    ... มีบริวารมาก คือ มีบริวารเป็นภิกษุ เป็นภิกษุณี เป็นอุบาสก เป็นอุบาสิกา เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นอสูร เป็นนาค เป็นคนธรรพ์

    ... พระผู้มีพระภาคตรัสเนื้อความนี้ไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2013
  16. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อน กำเนิดก่อน

    ... ละปาณาติบาตแล้ว เว้นขาดจากปาณาติบาตแล้ว วางทัณฑะ วางศาตราแล้ว

    ... มีความละอาย มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่

    ... ตถาคตย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์



    ..... ครั้นจุติจากโลกสวรรค์นั้นแล้ว มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ย่อมได้เฉพาะซึ่งมหาปุริสลักษณะ ๓ ประการ คือ

    ... ๑. ส้นพระบาทยาว

    ... ๒. มีนิ้วพระหัตถ์และนิ้วพระบาทยาว

    ... ๓. มีพระกายตรงดังว่ากายแห่งพระพรหม



    ..... พระมหาบุรุษนั้นสมบูรณ์ด้วยลักษณะทั้งหลายนั้น ถ้าอยู่ครองเรือน จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์

    ... เมื่อเป็นพระราชาจะได้อะไร เมื่อเป็นพระราชาได้ผลข้อนี้ คือ

    ... มีพระชนมายุยืนดำรงอยู่นาน ทรงอภิบาลพระชนมายุยืนยาว ไม่มีใครๆ ที่เป็นมนุษย์ซึ่งเป็นข้าศึกศัตรูสามารถปลงพระชนม์ชีพในระหว่างได้



    ..... ถ้าพระมหาบุรุษนั้นออกจากเรือนทรงผนวชเป็นบรรพชิต จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก

    ... เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้อะไร เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้ผลข้อนี้ คือ

    ... มีพระชนมายุยืนดำรงอยู่นาน ทรงอภิบาลพระชนมายุยืนยาว ไม่มีข้าศึกศัตรูจะเป็นสมณะพราหมณ์ เทวดา พรหม มาร ใครๆ ในโลก สามารถปลงพระชนม์ชีพในระหว่างได้

    ... พระผู้มีพระภาคตรัสเนื้อความนี้ไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2013
  17. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อนกำเนิดก่อน

    ... เป็นผู้ให้ของที่ควรเคี้ยวและของที่ควรบริโภคอันประณีตและมีรสอร่อย และให้น้ำที่ควรซด ควรดื่ม

    ... ตถาคตย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์



    ..... ครั้นจุติจากโลกสวรรค์นั้นแล้ว มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ย่อมได้เฉพาะซึ่งมหาปุริสลักษณะนี้ คือ

    ... มีมังสะอูมในที่ ๗ สถาน คือ

    ... ที่หลังพระหัตถ์ทั้ง ๒

    ... ที่หลังพระบาททั้ง ๒

    ... ที่บนพระอังสาทั้ง ๒

    ... ที่ลำพระศอ



    ..... พระมหาบุรุษสมบูรณ์ด้วยลักษณะนั้น ถ้าอยู่ครองเรือน จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์

    ... เมื่อเป็นพระราชาจะได้อะไร เมื่อเป็นพระราชาจะได้รับผลข้อนี้ คือ

    ... ย่อมเป็นผู้ได้ของที่ควรเคี้ยวและของที่ควรบริโภคอันประณีตและมีรสอร่อย และได้น้ำที่ควรซด ควรดื่ม



    ..... ถ้าพระมหาบุรุษนั้น ออกจากเรือนทรงผนวชเป็นบรรพชิต จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก

    ... เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้อะไร เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้รับผลข้อนี้คือ

    ... ทรงได้ของที่ควรเคี้ยว และของที่ควรบริโภคอันประณีต และมีรสอร่อย และทรงได้น้ำที่ควรซด ควรดื่ม

    ... พระผู้มีพระภาคตรัสเนื้อความนี้ไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2013
  18. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อนกำเนิดก่อน

    ... เป็นผู้สงเคราะห์ประชาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ คือ

    ... ๑. ทาน การให้

    ... ๒. ปิยวาจา การกล่าวคำเป็นที่รัก

    ... ๓.อัตถจริยา การประพฤติให้เป็นประโยชน์แก่ชนทั้งหลาย

    ... ๔. สมานัตตตา ความเป็นผู้มีตนเสมอ

    ... ตถาคตย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์



    ..... ครั้นจุติจากโลกสวรรค์นั้นแล้วมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ย่อมได้เฉพาะซึ่งมหาปุริสลักษณะ ทั้ง ๒ นี้ คือ

    ... ๑. ฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีพื้นอ่อนนุ่ม

    ... ๒. มีพระหัตถ์และพระบาทมีลายดังว่าร่างตาข่าย



    ... พระมหาบุรุษสมบูรณ์ด้วยลักษณะทั้ง ๒ นั้น ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์

    ... เมื่อเป็นพระราชาจะได้อะไร เมื่อเป็นพระราชาจะได้รับผลข้อนี้ คือ

    ... มีบริวารชนอันพระองค์ทรงสงเคราะห์แล้วเป็นอย่างดี บริวารชนที่พระองค์ทรงสงเคราะห์เป็นอย่างดีนั้น เป็นพราหมณ์ เป็นคฤหบดี เป็นชาวนิคม เป็นชาวชนบท เป็นโหราจารย์ เป็นมหาอำมาตย์ เป็นกองทหาร เป็นนายประตู เป็นอำมาตย์ เป็นบริษัท เป็นเจ้า เป็นเศรษฐี เป็นราชกุมาร



    ..... ถ้าพระมหาบุรุษนั้นออกจากเรือนทรงผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก

    ... เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้อะไร เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้รับผลข้อนี้ คือ

    ... มีบริวารชนอันพระองค์ทรงสงเคราะห์แล้วเป็นอย่างดี บริวารชนที่พระองค์ทรงสงเคราะห์เป็นอย่างดีนั้น เป็นภิกษุ เป็นภิกษุณี เป็นอุบาสก เป็นอุบาสิกา เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นอสูร เป็นนาค เป็นคนธรรพ์

    ... พระผู้มีพระภาคตรัสเนื้อความนี้ไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2013
  19. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อนกำเนิดก่อน

    ... เป็นผู้กล่าววาจาประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรม แนะนำประชาชนเป็นอันมาก

    ... เป็นผู้นำประโยชน์และความสุขมาให้แก่สัตว์ทั้งหลาย

    ... เป็นผู้บูชาธรรมเป็นปรกติ

    ... ตถาคตย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์



    ..... จุติจากโลกสวรรค์นั้นแล้ว มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ย่อมได้เฉพาะซึ่งมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการนี้ คือ

    ... ๑. มีพระบาทดุจสังข์คว่ำ

    ... ๒. มีพระโลมชาติล้วนมีปลายช้อนขึ้นข้างบนทุกๆ เส้น



    ..... พระมหาบุรุษสมบูรณ์ด้วยลักษณะทั้ง ๒ นั้น ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์

    ... เมื่อเป็นพระราชาจะได้อะไร เมื่อเป็นพระราชาจะได้รับผลข้อนี้ คือ

    ... เป็นผู้เลิศประเสริฐ เป็นประธานสูงสุด ดีกว่าหมู่ชนที่บริโภคกาม



    ..... ถ้าพระมหาบุรุษออกจากเรือนผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก

    ... เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้อะไร เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าได้รับผลข้อนี้ คือ

    ... เป็นผู้เลิศประเสริฐ เป็นประธานสูงสุด ดีกว่าสรรพสัตว์

    ... พระผู้มีพระภาคตรัสเนื้อความนี้ไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2013
  20. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อนกำเนิดก่อน

    ... เป็นผู้ตั้งใจสอนศิลปะ วิชชา จรณะข้อที่ควรประพฤติ หรือกรรม(ปัญญาเป็นเครื่องรู้ว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน) ด้วยมนสิการตั้งใจว่า

    ... ทำไฉน ชนทั้งหลายนี้พึงรู้เร็ว พึงสำเร็จเร็ว ไม่พึงลำบากนาน

    ... ตถาคตย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์



    ... ครั้นจุติจากโลกสวรรค์นั้นแล้ว มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ย่อมได้เฉพาะซึ่งมหาปุริสลักษณะนี้ คือ

    ... มีพระชงฆ์เรียวดังแข้งแห่งเนื้อทราย



    ..... พระมหาบุรุษสมบูรณ์ด้วยลักษณะนั้น ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์

    ... เมื่อเป็นพระราชาจะได้อะไร เมื่อเป็นพระราชาจะได้รับผลข้อนี้ คือ

    ... จะทรงได้เฉพาะซึ่งหัตถาทิวาหนะ อันคู่ควรแก่พระราชา ซึ่งเป็นองค์แห่งเสนาของพระราชาและเครื่องราชูปโภคอันสมควรแก่พระราชาโดยพลัน



    ..... ถ้าพระมหาบุรุษนั้นออกจากเรือนผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก

    ... เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้อะไร เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าจะได้รับผลข้อนี้ คือ

    ... จะทรงได้เฉพาะซึ่งจีวราทิปัจจัยอันสมควรแก่สมณะ และจตุบริษัทอันเป็นองค์ของสมณะ และทรงได้บริขารเป็นสมณูปโภคอันสมควรแก่สมณะโดยพลัน

    ... พระผู้มีพระภาคตรัสเนื้อความนี้ไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...