สำนักวัดนาป่าพงคึกฤทธิ์และสาวกพลาด! สร้าง" พุทธวจน " ปลอม

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 7 กรกฎาคม 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204

    สรุป ได้ออกไปสอบถาม ชาวบ้านบอก ทหารจม2นายตายพร้อมกันสองคนที่นี่
    แม่นมาก!


    ทำยังไง พิจารณายังไง กับเรื่อง สาติภิกษุดี หรือเป็นเพียง เค้าลางอดีตวันวาน หรือตายแล้วเกิดใหม่สถิตที่นี่ ซึ่งก็ควรเป็นอย่างนั้น ไม่ควรล่องลอยไปมารับทุกข์รับสุขได้

    ถ้ามีโอกาสจะคุยให้รู้เรื่อง เตรียมเบ็ดไว้เผื่อสักคันเน้อ!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2020
  3. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,427
    ค่าพลัง:
    +3,198
    ยินดีกับท่านด้วยนะคะ
    อันเป็นธรรมดา ได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ต้องโดนลูกหลงไปด้วย เข้าใจค่ะ ว่าธรรมดาของธรรมชาติในสภาวะแบบนี้มันเป็นเช่นนั้นเอง

    เราขออโหสิกรรมให้ท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2020
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    นั่งสมาธิต่อ เผื่อได้ร่วมตกปลา !ราตรีนี้
     
  5. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,367
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,869
    อัปกิจฉาธรรม 10 นี้คืออะไรครับ ?
     
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    กถาวัตถุ 10

    https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=24&siri=67

    เคยลงไว้ในกระทู้"ทั้งชีวิตขอเรื่องเดียว"
    คือ ก่อนทำสมาธิ ตัดทิ้งให้หมด อะไรที่ไม่ใช่ และอะไรที่ใช่ เป็น ประโยคคำย่อ ที่หลายคนเคยอ่านผ่านตาในกระทู้นี้ ครับ

    กว่าจะเสร็จงานฝ่ายบุ๋นแต่ละอย่าง! เหมือนจับ ลิโป้ ไปวางแผนการรบ มึน..ไม่มีเวลา ต้องทำการบ้านมากกว่าคนปกติหลายสิบเท่า!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2020
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    กระดาษทราย (อังกฤษ: Sandpaper) คือกระดาษรูปแบบหนึ่งซึ่งมีสารขัดถูติดหรือเคลือบอยู่บนหน้าของกระดาษ ใช้สำหรับขัดพื้นผิวของวัสดุอื่นเพื่อให้วัสดุนั้นเรียบ หรือขัดให้ชั้นพื้นผิวเก่าหลุดออก หรือบางครั้งอาจทำให้พื้นผิวขรุขระมากขึ้นเพื่อเตรียมการติดด้วยกาว เป็นต้น

    หากเปรียบวัสดุหรืออุปกรณ์ที่จะสามารถทำให้เรียบมันเงาใสกระจ่างดังคนก็มีหลากหลายอย่าง หลายเบอร์ หลายแบบ ในการทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดให้มีความราบเรียบ กลมกลึงกลมกลืนกัน

    เปรียบดั่งกระดาษทรายมีหนาบางแตกต่างกัน คุณลักษณะความสามารถก็แตกต่างกัน ยิ่งมีคมบาดหวาดเสียวยิ่งขัดเข้าลึก ข้อนี้ก็เหมือนบทลงโทษ ในทางวินัยที่ถึงตายของพระพุทธศาสนา

    ไม่มีใครที่จะไม่ถูกขัด ถูกถู ถูกเช็ด ถูกล้าง ถูกเผา ทุกคนต้องพบเจอสักครั้งในชีวิต

    คนหยาบ ก็ต้องเจอ คนหยาบ จะเอากระดาษทรายเรียบ เบอร์อ่อนๆบางๆไปขัด ตาไม้แข็งตะปุ่มตะป่ำให้เรียบ ให้ทันกาลทันใจได้คงเป็นการยาก


    คิดจะเป็นแต่กระดาษทรายอ่อน บอกว่ากระดาษทรายอ่อนนั้นเลิศที่สุด ตนได้ทดลองขัดอะไรได้สักชิ้นสักอันหรือยัง

    ธรรมในศาสนาพุทธ มีทั้งธรรมอ่อนแก่อินทรีธาตุ และธรรมแก่ แก่อินทรีย์

    จะเอาแต่ นอนเป็นเด็กอ่อน ในพระสูตรนอน1 มันจะไปไหนได้ ต่อให้เป็น จิตประภัสสร บารมีครบ มาก็ต้องไปเป็นกระดาษที่ใช้ขัดงานหยาบและต้องมีกระดาษขัดงานอ่อนเหมือนเดิม

    จะเป็นกระดาษอ่อน แค่ขัดตนเองก็ยังขัดไม่ได้ แล้วจะไปขัดใครเขา จะเอา สุขวิปัสโก นั่นท่านก็ขัดแบบฮาร์ดคอร์แทบตาย ทั้งขัดตนเอง และขัดผู้อื่น ซึ่งกว่าจะได้

    กระดาษนิ่มๆลูบๆเละๆ จะเป็นได้แค่ วุ้น เพียงเท่านั้น โดนอะไรก็เละ ก็ละลาย

    เพราะฉนั้นไม่ควรเป็น "วุ้น"

    มรรคผลในพระพุทธศาสนานี้ ทิฐิ"วุ้น" "เอามาทำอะไรไม่ได้

    ทิฐิ"วุ้น"กับ "โลกสวย" มันก็พอๆกัน

    เป็นโลกของพวกบัว3เหล่า ที่มีแต่บัวพ้นน้ำ บัวปริ่มน้ำและบัวใต้น้ำ บัวจมโคลนใต้โคลนไม่มี

    มีแต่พวกกล่าวสอนธรรมเพียงยกหัวข้อขึ้นมาแสดงก็รู้เรื่อง มีแต่พวกยกขึ้นมาแล้วต้องแสดงด้วยอธิบายด้วยก็ถึงรู้เรื่อง มีแต่พวกยกขึ้นมาแล้วต้องแสดงด้วยอธิบายด้วยร่ำเรียนเขียนอ่านแล้วเรียนแล้วเรียนเล่าก็ถึงรู้เรื่อง

    แต่ดันไม่มี พวกที่ไม่รู้เรื่อง


    เกิดมาในโลกจะเอาแต่คนดีๆคนที่ดีถูกใจตนเอง

    ไม่เอาคนไม่ดี ไม่เอาคนชั่ว คนดีด้วยชั่วด้วยก็ไม่เอา จะเอาจะให้มีแต่คนดีตามแบบตามใจตนเอง

    ก็แม้แต้ตนเองก็ยังจะเป็น 1ใน3 อย่างแรกก็ไม่ได้ จะไม่ให้มีอย่างที่4อย่างที่5 นี่มันเป็น สหโลกธาตุไหน เป็นตัว อะมีบ้าหรือแบคทีเรีย แบ่งตัวแบ่งเซลล์เอาได้เพียงเท่านั้น ! ถ้าจะมีคุณภาพและคุณสมบัติเพียงเท่านั้น

    โลกของมนุษย์ ไตรภพนะ ไม่ใช่โลกของ ปรสิต

    เป็นมนุษย์มี ทิฐิ62 แต่อยากเป็น อยากมี ทิฐิแบบ ปรสิตแบคทีเรียซะงั้น!

    แบบนั้นก็มีด้วยปะการะฉะนี้

    แก้ชาตินี้ไม่ทัน ไปแก้ชาติหน้าให้ได้ล่ะกัน!

    ประเภทเกิดมาแล้วบริสุทธิ์ยันตาย หาที่ติมิได้ แม้แต่ขี้ติดผ้าอ้อมก็ไม่มี เทวดา เทพมารพรหมเหล่าใดก็ไม่มีดอก อรูปพรหม ยังโดนติเลย

    โลกแบบไหนที่มีแต่ สัมมาทิฏฐิ แต่ไม่มี มิจฉาทิฏฐิ

    คนที่คิดแบบนี้ว่าก่อนที่จะเกิด จะเจอ จะมี จะเป็น จะได้ สัมมาทิฏฐิ มันคงจะต้องมี"สัมมะหา"มะเขือเปราะอะไร มาก่อนเป็นแน่แท้ อาการนี้เรียกว่า" ขว้างงูไม่พ้นคอ

    จับงูเหวี่ยงขึ้นชูบนศรีษะแล้วหมุนทำให้งูทุรพล แล้วเขวี้ยงออกไป แต่อนิจจา ไม่ได้วงสวิง งูย้อนกลับมาพันคอเพราะเขวี้ยงไม่พ้นคอ

    จะเอาแต่ธรรมะหรือเอาแต่คนดีๆเข้ามาในชีวิต จะเอาแต่อาหารรสชาติถูกปากตนทุกที่ในโลก มันไม่มีดอก ในชีวิตจริง กับสังขารขันธ์ที่มีอยู่ในตน ในจิตในใจตน กับ มหาภูติรูป4 ให้มีความเสถียร มั่นคง มันก็ไม่มีดอก

    จากศีล ๕ จนไปถึง มหาวัฏร พรหจรรย์ ๔ที่สุดแห่งตบะแห่งพุทธะ

    เบาสุดยังรักษาไม่ได้ อย่าไปหวังที่สุดแห่งพรหมจรรย์นั้นเลย

    ถ้าไม่รู้หนัก รู้เบา ไปไชแผ่นดินให้เหมือนไส้เดือนก่อน จะได้รู้ว่า บางอย่างทันไชได้ บางอย่างมันไชไม่ได้ ถ้าอยากจะไป ก็ละก็เว้นก็เลี่ยงบาลีเลี่ยงเส้นทางเอา มุดเอา ปีนเอา ไต่เอา ถ้าหาทางไปไม่ได้อีก ปัญญาไม่มี ก็หากินอยู่ตรงนั้นแลฯ

    ส่วนทางที่อยากไป ก็ค่อยไปบอกตัวอื่นเอา ว่ามันไปไม่ได้ อย่าไปตรงนั้น มันตัน ทดลองแล้ว!

    พอเขาเชื่อจะได้มีเพื่อนเล่น ถ้าเขาไม่เชื่อก็เหงาต่อไป

    รู้แล้วดังนี้ก็สั่งลาสั่งเสียกันให้ดีๆ

    เป็นอะไรไม่เป็น ไปเป็นไส้เดือนที่ขี้เกียจ








    AkyXFy5CXHVaCxt9xoKPOH47r0xJJ0dId0jClsJTlMSUssDeUYm_PA==.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2020
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ภิกษุทั้งหลาย กถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้
    กถาวัตถุ ๑๐ ประการ อะไรบ้าง คือ
    ๑. อัปปิจฉกถา (เรื่องความมักน้อย)
    ๒. สันตุฏฐิกถา (เรื่องความสันโดษ)
    ๓. ปวิเวกกถา (เรื่องความสงัด)
    ๔. อสังสัคคกถา (เรื่องความไม่คลุกคลี)
    ๕. วีริยารัมภกถา (เรื่องการปรารภความเพียร)
    ๖. สีลกถา (เรื่องศีล)
    ๗. สมาธิกถา (เรื่องสมาธิ)
    ๘. ปัญญากถา (เรื่องปัญญา)
    ๙. วิมุตติกถา (เรื่องวิมุตติ)
    ๑๐. วิมุตติญาณทัสสนกถา (เรื่องความรู้ ความเห็นในวิมุตติ)
    ภิกษุทั้งหลาย กถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้แล
    ภิกษุทั้งหลาย หากเธอทั้งหลายจะพึงยกกถาวัตถุ ๑๐ ประการนี้อย่างใดอย่าง
    หนึ่งขึ้นมากล่าว เธอทั้งหลายก็จะสามารถครอบงำเดชานุภาพของดวงจันทร์และ
    ดวงอาทิตย์ที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากอย่างนี้ด้วยเดชานุภาพของตนได้ ไม่จำเป็น
    ต้องพูดถึงอัญเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายเลย


    จะกล่าวไป ก็คือ กุญแจ เปิดญาณสมาธิ อันมีนัยลึกซึ้ง คือ ให้พิจารณา ๑๐ ประการนี้ ด้วย กาย วาจา ใจ ศีล ที่เพรียบพร้อมแล้ว โดยไม่มีเรื่องอื่นมาปะปน เพราะ ๕ ข้อสุดท้าย เป็นระดับของพระอริยะบุคคลแล้วที่ได้ ฉะนั้นแล้ว ๕ข้อแรก ต้องพยามยาม กระทำตนให้ได้ชัดเจนก่อน แต่ละเรื่องต้องพิจารณาให้เหมือนเรื่องหญ้า ที่ได้แสดงไว้ในเรื่อง" พร่องศีล "


    กายพร้อม ใจพร้อม ฐานการตรัสรู้ธรรมแน่น สภาวะย่อมเปิดทันที หลังจากนั้น ก็เข้าสู่ เสขะภูมิอันผ่องใส ไล่ไป จนถึง16 ขั้นทวีคูณ ตามลำดับ

    สุดท้ายต้องไปเคลียร์ตนเองให้ดี ว่า "ตนเป็น พุทธเวไนย หรือเปล่า? ถ้าเป็น ต้องคอย แต่ก็สามารถสั่งสมเอาในนวังคสัตถุสาสตร์๙ ซึ่งเป็น ธรรมสมบัติที่ถูกถ่ายทอดเอาไว้ได้

    ๕ เรื่องแรก คิดพิจารณาปฎิบัติได้ แต่๕เรื่องท้าย จะมาพร้อมกันในทีเดียว อุปมาเรียกว่า " เมื่อเดินเข้าไปในทางนี้ เดินเข้าไปอย่างนอบน้อม ตามประคองรักษาจิต ดั่งในพระโพธิสัตว์ในเตลปัตถชาดก ตามรักษา อายตนะ ๑๒ แล้วพิจารณา ใน๕เรื่องแรก จะผ่านประตูเข้าไปได้ เรื่อยๆและก็จะโดนตะครุบจับ เรียกว่า มหาสมบัติ ๕ประการถล่มทับ ยิ่งกว่าหนูตกถังข้าวสาร
    การพิจารณา ถึงธรรมที่ได้บรรลุ ในข้อต่างไป ที่ได้แสดงไว้ ก็เหมือนผักผลไม้ บางทีกินได้รู้รสแต่ไม่รู้จักชื่อ ฉะนั้นแล้ว เมื่อได้ชิมรสเปรี้ยวหวานมันเค็ม ก็ให้ศึกษาพิจารณาหาชื่อ ถามถึงนามของผลพันธุ์นั้นดังนี้
    สามัญผล ทำดี ทำถูก ทำเป็น ต้องได้ แตกต่างนี้เรียกว่า สภาวะ อยากได้ไว ก็ต้องถอนปรารถนา เปลี่ยนการตั้งค่า ในพุทธบริษัท จะเอาสาวกภูมิ พระปัจเจก พระพุทธเจ้า ยิ่งสูงยิ่งหนาว ถ้าไม่กลัวหนาว ก็ทนรอหน่อย เพราะแช่ช่องฟิต อยู่ใต้ชั้นน้ำแข็งลึก ท่านใดปรารถนาเร็ว ก็ไปจ่อปากปล่องภูเขาไฟ

    "กำลังใจ"
     
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    อัตถะ 2 (อรรถ, ความหมาย - meaning)
    พระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัส ว่าโดยการแปลความหมาย มี 2 ประเภท คือ
    1. เนยยัตถะ ([พระสูตร]ซึ่งมีความหมายที่จะต้องไขความ, พุทธพจน์ที่ตรัสตามสมมติ อันจะต้องเข้าใจความจริงแท้ที่ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง เช่นที่ตรัสเรื่องบุคคล ตัวตน เรา-เขา ว่า บุคคล 4 ประเภท, ตนเป็นที่พึ่งของตน เป็นต้น) - with indirect meaning; with meaning to be defined, elucidated or interpreted)
    2. นีตัตถะ ([พระสูตร]ซึ่งมีความหมายที่แสดงชัดโดยตรงแล้ว, พุทธพจน์ที่ตรัสโดยปรมัตถ์ ซึ่งมีความหมายตรงไปตรงมาตามสภาวะ เช่นที่ตรัสว่า รูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น - with direct or manifest meaning; with defined or elucidated meaning)
    ผู้ใดแสดงพระสูตรที่เป็นเนยยัตถะ ว่าเป็นนีตัตถะ หรือแสดงพระสูตรที่เป็นนีตัตถะ ว่าเป็นเนยยัตถะ ผู้นั้นชื่อว่ากล่าวตู่พระตถาคต


    ในกรณีนี้สภาพธรรมที่ปรากฎ คือรู้ชัดรู้มากรู้จริง ก็เป็นระดับ ปฎิสัมภิทา ๑๖ ขึ้นไป ปัญหาและสภาพธรรมเนื้อความแห่งธรรมจะถูกไข อย่างชัดเจนที่สุด ของ สภาพธรรมและสภาวะธรรมที่มีอยู่ จะไม่เป็น เนยยัตถะ ที่ซ่อนนัยความหมายอีกต่อไป นี้พึงรู้ไว้เฉพาะเหล่าปฎิสัมภิทา เหล่าอื่นที่ไม่ได้ไม่เป็นไม่มีทางรู้ แต่ถ้านำมาอธิบาย จักรู้ตามได้ แต่ก็จะรู้ตามที่บอก แต่ตราบใดที่ไม่ได้เห็นและสัมผัสเอง จะไม่มีทางรู้รสรู้ธรรมได้

    (1/6/63) บันทึก ครั้งแรกที่อธิบาย พระสูตรนี้ไว้ให้ทราบพอสังเขป ผู้ไม่ได้ไม่เป็นไม่มีต้องพึงระวังในการพิจารณา

    ส่วนเนื้อความแห่งธรรม มิติที่ตรง คำจำกัดความก็คือ อย่าโยกย้ายเปลี่ยนแปลง พระสูตรพระธรรมคำสั่งสอนอะไรๆ ที่เราตถาคตได้แสดงไว้แล้วนี้ เพราะจะเกิดการให้เข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะการร่ำเรียนธรรมไปตามลำดับนั้นยากนัก จะต้องรวบรวมสั่งสมให้มากๆ แล้วจึงประมวลสงเคราะห์ธรรม อสังคโหฯ

    แม้แต่เราก็ไม่มีปัญญาดอก เพราะรู้ จึงต้องตอบแทนพระเดชพระคุณพระพุทธพระธรรมท่าน ด้วยการศึกษา ปฎิบัติให้มากยิ่งขึ้นไปอีก

    ภาพลวงตาเหมือนพยับแดดที่บดบังอยู่ก็จักหายไป

    นี่อาจเป็นผลในการ ปฎิบัติธรรม โดยพระสูตรปริยัติและการปฎิบัติไตร่ตรองพิจารณาธรรมในวันนี้

    " มั่นใจ" ว่าเป็นผู้กล่าวให้ปรากฎเป็นคนแรก ในโลกธาตุเลยทีเดียว ในกาลนี้ แสดงว่า สามัญผล ปรากฎตามกาล ปัญญาในการเข้าใจและเข้าถึงจึงมากขึ้น นอกจากปัจจัตตังแล้ว ก็แจ้งให้กุลบุตรผู้อื่นที่ว่าง่ายสอนง่ายไม่บ้าน้ำลาย ได้เข้าใจรับรู้ตาม เพื่อความเจริญในพระสัทธรรม อันจักเป็นพลวปัจจัยในสัมปรายภพต่อไปของเขา เรามีแต่เฝ้ายินดี
     
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    หากเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ย่อมทราบทรงรู้แจ้งโลก

    ย่อมเสมอกัน คำว่า "เนยยัตถะ" จะไม่มี

    ที่เพิ่มให้ ก็เป็นไปเพื่อเหล่าพุทธปัจเจก ซึ่งก็แน่นอนเพราะเป็นพุทธปาทานของพระองค์ท่านไม่เสมอไม่คบไม่พิจารณา จริตธรรมเที่ยงตรง! ไม่ปรารถนาแวะทางไหน ใครขวางไม่ได้ เพราะมารก็เฝ้าคิดร้ายทำลายพระองค์ จึงขอสงวนไว้ตรงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้แต่ไม่ใช่ฐานะ
    (ขาดพระทศพลญาน๑๐)
    และเหล่าพุทธบริษัทรองลงมา

    "รักพระพุทธเจ้า รักพระธรรม แลพระสงฆ์สาวกแก้ว"

    hBc0LJf7Wt8xUrcUEqCcMEkGkeQTi0fp9FOeIwmevCACYp9p01qVqA==.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2020
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ฝากไว้ให้เป็นข้อคิด ว่า

    ไม่มีพระสูตรพระธรรมคำสั่งสอนใดดอก แม้แต่องค์พระสัทธรรมเจ้าท่าน

    ที่จะลอยมาแล้วมากู่ร้องประกาศตนว่า

    "อันตัวข้าคือพระสูตรนี้ อันตัวข้าคือคำนี้ อันตัวข้าคือประโยคนี้ อันตัวข้า มีความหมายดังนี้ อธิบายรายละเอียดครบ ร่ายยาวไป ข้าเป็นอย่างนี้ ข้าแสดงไว้อย่างนี้ เข้าใจไหม ว่าข้าคือ ศีล ปัญญา ข้าคือสมาธิ เห็นไหมว่าว่าระบุแบบนี้ เจ้าต้องฟังข้า ทำตามที่ข้าบอก ใช่อย่างนั้นแหละ นั่นแหละๆ เฮ้ย ตรงนี้ไม่ใช่ ตรงนีัเจ้าเข้าใจความหมายผิด ต้องแก้อย่างนี้เว้ย เออ อย่างนั้นแหละ จงทำตามข้าไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะดีเอง เฮ้ย อย่าทำแบบนั้น อย่าคิดแบบนั้น ฯลฯ

    ไปหาวิธีการทำความเข้าใจเอง

    พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ทรงชี้ทางเพียงเท่านั้น
    พระทศพลญาน๑๐ บัดนี้ไม่มีเพื่อกาลต่อเบื้องหน้าพระพักตร์แล้ว

    ปัจจัตตัง ฯเวฯ

    เรื่องของ วิมุตติธรรม เป็นเรื่องส่วนบุคคล

    ให้ใครมาวิมุตติแทนไม่ได้

    มาสอนให้วิมุตติแต่ไม่รู้จักวิมุตติ มันก็มิจฉาวิมุตติ สมาธิที่ไร้กำลังที่ไม่ปรากฎวิมุตติ ย่อมไม่ประเสริฐ เพราะไม่รู้แจ้ง ไม่อาจประกาศพระศาสนาได้ แสดงธรรมใด ควรประกอบด้วยวิมุตติหรือทางแห่งวิมุตติเพื่อไปสู่วิมุตติ

    ข้อนั้นย่อมเจือ วิมุตติญานทัสสนะนิรุตติย่อมแสดงเจือออกมาด้วย

    ไม่อย่างนั้น จะหลงโลกหลงธรรม เราเข้าใจแต่เราก็ไม่มีวิมุตติ เราจักกล่าวสอนอันใดเขาได้ เรียนลัดมัดจำ แปลไทยเป็นไทย แต่เขายังไม่เข้าใจ

    เขาจะฟังอยู่หรือ นั่นก็พอๆกับไวยากรณ์ของพระพุทธศาสนานี้ ในพระสัทธรรมทัังหลายที่มีแก่ ศาสนาอื่นลัทธิอื่น คุรุกููรูอื่น เขาจะไม่สามารถเข้าใจและแก้ปัญหาธรรมได้ เพราะไม่ใช่ฐานะ

    เพราะฉนั้นจึงทรง สอนแก่นธรรม ว่าไม่ได้มี ศีล สมาธิ เป็นอานิสงส์ แต่มี เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบ
    เป็นแก่นเป็นที่สุด ศีลสมาธิปัญญาที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ไม่ได้ ที่ไหนๆก็มี ถ้ามั่นใจว่าเป็นพุทธภูมิหรือพุทธบริษัทในพระพุทธศาสนานี้ เมื่อจะกล่าวถึงสมาธิ จะกล่าวถึงศีล ถึงปัญญา ก็ต้องกล่าวแสดงชี้ทางไปสู่ วิมุตติธรรม คำใด วาจาใดไม่ไปในทางวิมุตติธรรม ไม่ใช่คำสั่งสอน ไม่ใช่สมาธิ ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ศีล ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่มาในเจริญพระวัสสานี้ ีีีีีีีีีี

    พึงพิจารณา




    "
     
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ถ้ารู้ว่าตายแล้วเกิดใหม่แล้วจะบริสุทธิคุณกว่านี้ได้ เพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่เหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายได้ ก็อยากจะรีบตาย

    ไม่รู้ แม้มาหาที่ตายแล้ว ก็ยังรอ!

    เกิดแบบที่ๆน่าเชื่อถือ เกิดแบบบัวพ้นน้ำ เพราะไม่เปื้อนโลก

    แต่กึ่งพุทธกาลแบบนี้ ดันมา

    เกิดในโคลนในตมแบบเรา หมองหม่นเน่าคละคลุ้งด้วยซากศพและหมู่หนอนชอนไชกัดกิน

    เพราะความไม่เสมอ เท่าเทียมกัน เพราะกาล แม้มีน้อยเพราะกรรม ด้วยไม่ใช่สหชาติ ในตอนนี้ แต่เราก็ถือว่ามาก

    1ในล้าน 1ใน10ล้าน 1ใน100 พันหมื่นแสนล้าน

    ได้คนเดียวก็เอา ! ได้มากกว่านั้นก็ดี ! ตอนนี้มากกว่า 1 แต่ไม่รู้เท่าไหร่ ก็น่าลุ้นน่ายินดีด้วยให้เพลิดเพลินใจอยู่ ผู้ที่จะตามมาในภายหลังอีก จงรีบมา ถ้าได้แล้ว ก็มาช่วยกัน! ได้มากก็ช่วยนำทางที จะช่วยพยุง จะช่วยเข็น เป็นรถเป็นตั่งรองรับให้

    อดทนรอ..ยังพออัตภาพให้เป็นไปได้อยู่

    RnFiXHk7ctxJUBi4SnNKX8shUmUHINUZsgxOD4tla67x7vwPmGPgCw==.jpg
     
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ธรรมที่เนิ่นช้ายาวนานที่ได้กล่าวถึง

    นั้นพุ่งความหมายไปที่" สเตตัส " อยากเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ถึงกระนั้นในความเป็นจริง ก็ยังสู้ท่าน จิตคหบดี ท่าน ธรรมมิกอุบาสก ท่านขุชุตตราฯลฯ เสขะปฎิสัมภิิิทา และท่านอื่นที่ได้มีโอกาสร่วมแสดงธรรมตามคุณสมบัติ ๕ในห้วงพุทธกาล มิได้

    เมื่อยาวนาน มาทำอะไร? ในรอบกึ่งพุทธกาลนี้
    ก็เริ่มสงสัย ธรรมอันบริสุทธิ์สูงส่งปานนั้น ผู้อยู่มาก่อนดังว่า แค่2500โลกมนุษย์ผ่าน จะไม่มาบอก มาเกริ่นแนะนำเลยหรือ? เอาแบบตรงไป ไม่เอาแบบงงไป เพราะก็ไม่ใช่คนฉลาดปราดเปรื่องนัก

    จะให้มัวรอแต่เข้าใจเอง มันจะทันกินเหรอ หรือว่าไปพนันอะไรกันไว้ ว่าห้ามมาบอก ห้ามมายุ่ง ห้ามมาเกี่ยว หรือมีใครปรามไว้

    เอาตามความเป็นจริง ก็อยากให้ทุกๆเรื่องมันง่าย จะได้เกื้อกูลต่อโลกต่อสัตว์โลกกัน ก็เพราะภัยในวัฎสังสาร มันมาก ปากเหยี่ยวปากกาก็มาก จระเข้แลเสือก็มีอยู่ เห็นทีจะรอดยาก ก็อยากจะช่วยพยุงกันไปตามวาระ

    เข้าใจง่ายขึ้น สะดวกขึ้น หรือกลัวจะไปเกิดเป็นใหญ่กว่า หรือพ้นจากอำนาจไป เที่ยวแต่มาขัดแข้งขัดขา ปกปิดคว่ำของที่หงายไว้ 2500ปีก่อนแล้วดังนี้

    มันช้านะรู้หรือเปล่า ! จะมาก็มา สิ! มีคนเขารอเยอะแยะมากมาย ที่ใช้ว่าจุตินี่ เขาบอกว่าคือการตาย แต่ถ้ารู้ว่าตายในที่นี้มันเกิดทันที ก็เลยต้องใช้ว่า เปลี่ยนสภาพ แทน มันก็จุติอยู่ดี เพราะไม่เห็นรอยต่อ มันสนิทกัน ยิ่งเจอโอปาติกะโตทันที นี่มึนเลย พึ่งจะร่วง!

    ฉะนั้น เลี่ยงใช้คำว่าอุบัติขึ้น ขอถวายไว้ที่ต้นกัปป์และพระพุทธ พระธรรมแต่ต้น แต่การบรรลุ นี้ อยากสื่อว่า จุติ คือ เกิดใหม่ในพระศาสนา ไอ้มืดน่ะตาย พี่แสงเข้ามาแทน ฉะนั้น ก็อยากให้ ปรากฎจุติธรรมนี้ คือบรรลุธรรม ขึ้นอีกมากๆ มากช่วยกันที


    ไปตั้งค่าสเตตัสอะไรไว้ บางทีตั้งแล้วมีโหมดห้ามแก้แล้วแก้ไขไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้ด้วยนั่นน่ะคือปัญหาใหญ่เลย!

    กลับตัวไม่ได้ ทางเข้ามาหาย ทางตรงไปไม่หลงแน่ แต่จะต้องเดินหน้าไป ย้อนกลับไปไม่ได้ แม้แต่คืบเดียว ไฟต์บังคับ ที่ตัวช่วยไม่มี นี่ล่ะ! น่ากลัว

    แค่พุทธเวไนยสาวกก็หลอน ยาวนานมากแล้ว

    ถ้ามีนานมีเงื่อนไขมากกว่านั้นอีก เหวอไป

    วิโมกข์ นี่ก็เหวอ! จะเอาปัญญาแบบพระสารีบุตรมหาเถระเจ้า ยังคุณสมบัติธรรม ยิ่งเหวอ!

    เนิ่นนานอย่างเดียวเข้าใจยากอีก ก็ต้องพึ่งพระบรมมหาศาสดาทีี่ทรงสถิตในพระธรรมและวินัยนี่คอยสั่งสอน หากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงทำนิมิตไว้ ก็ขอทรงมาโปรดปวงข้าด้วยเถิด หากพระมหาเถระเจ้ารูปใดได้กระทำนิมิตไว้ ก็ขอจงมาโปรดข้าพเจ้าด้วยเถิดสาธุ


    และ เป็น ธรรม ที่ เนิ่นนาน!

    ที่แสดงไว้ มีนัยอธิบายแบบนี้!

    ดันไปขอห้ามระลึกชาติไว้อีก ถ้าไม่ได้ออกบวชสละโลกจริงๆในครั้งสุดท้าย เวรกรรม ! ถอนได้ไหมเนี่ย! ราชปาล ทำพิษ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2020
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    มาเป็นแผง ย่อยไม่ทันอีกแล้ว จำไม่ได้อีก ตายๆสมอง สถานที่ลงตัว การปฎิบัติลงตัว
     
  15. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014

    แม้แต่ พระโพธิสัตว์เที่ยงแท้ ก็ยัง ขอลาพระพุทธภูมิ ได้
    เรื่องการระลึกชาติ ก็คงไม่ยากเกินแรง
    แต่อย่าลืมเอา ดอกไม่ ธูปเทียนเพร ขอขมาลาโทษด้วย
    ขึ้นชื่อว่า โลกมนุษย์ ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้
    ทุกอย่างทำได้หมด ถ้ามีความตั่งใจแน่วแน่

    แต่ถ้าเป็นเรา เราจะไม่แนะนำให้ทำอย่างนั้น
    เพราะจะทำให้เรารู่ คู่ ของเรา มาเกิดเป็นใคร
    แล้วเราจะไปทำเค้า บ้านแตกสาแรกขาด
    มีแต่จะสร้างเวรกรรมใหม่ๆ เรื่อยไปเท่านั้น

    อภิญญาร้อยแปด ใน โลกมนุษย์นี้
    ไม่มีค่าเท่ากับ ปล่อยวางอดีตได้
    การปล่อยวางเพียงครั้งหนึ่ง
    อาจจะส่งผลให้ได้เป็น
    พระอเสขะบุคคล ก็ได้
     
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    Screenshot_20200602-102933.png

    Screenshot_20200602-102955.png
    Screenshot_20200602-103012.png
    Screenshot_20200602-103021.png

    คิดถึงเหล่าสาวก สาวิกาของสำนักนี้แล้ว ก็รู้สึกเป็นห่วงและเวทนาในใจเสมอๆ ซึ่งตอนนี้ก็รู้ก็เชื่อว่า เมื่อกระทู้นี้ออกไปสู่สาธารณะชน ผู้คนจักได้รู้และเรียนตามบุญวาสนาที่มี
    ถ้าไปทางนั้นก่อนแล้วถลำลึกออกมาไม่ได้ อันนั้น หมดทางจะช่วย
    ถ้าไปทางนั้นก่อนแล้วออกมาได้ แต่หมดศรัทธาในพระศาสนา อันนี้ก็จนปัญญาที่จะไปตามบีบบังคับใครสอนใคร
    ถ้าไปทางนั้นก่อนแล้วมีโอกาสได้พบได้เรียนได้ศึกษาพระสัทธรรม อันนี้ยินดีที่จะช่วยแสดงธรรมแห่งพุทธพจน์โดยแท้จริง ตามกาลที่แสดงไว้แล้วนี้

    "ตอนแรกก็นึกว่า "ปฎิสัมภิทา ปรากฎในสำนักนี้แน่ๆ เพราะใช้คำว่ารู้ พุทธวจน ตรัสรู้ธรรม ขนาดที่สร้างพระไตรปิฏกร้อยเรียงตัดต่อขยายความขึ้นเอาเองได้ ต้องใช้แน่ๆ เราจักไปช่วยสำนักนี้

    ดีใจจนลืมตัว แต่ฉุกคิด งั้นไหน ขอฟัง ธรรมที่ประกอบ วิมุตติ และ วิมุตติญานทัสสนะก่อน

    พอได้ฟัง.....เฮ้ย! นี่ มัน มิจฉาวิมุตติ ! สำคัญผิดว่าตนได้บรรลุธรรม ต้อง มิตฉัตตะ10 เรียบร้อยแล้ว

    กรรม ของสัตว์โลก แล้วงานนี้

    พอเช็คเข้าไปอีก...เฮ้ย! นี่ตัดบทสวดมนต์ออกเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นคำแต่งใหม่ไปอีก อึ้ง...

    นี่..บทธรรม โดยสภาวะสกานิรุตติ ของเรานี่ย่อยยับเสียแล้ว มีภัยเสียแล้ว พระไตรปิฏกพระธรรมคัมภีร์ธรรมแม่บท ย่อยยับเสียแล้ว

    สัทธรรมปฏิรูปเกิดแล้ว ...


    จึงได้เปิดวอร์รูม ..ห้องดับจิต..จิตชั่วจิตเลวจิตหลง
    ตั้งแต่นั้นมา..ด้วยฐานะธรรม เสขะปฎิสัมภิทา ระดับ 1/16ในฐานะ ฆราวาส ผู้ยังไม่ยินดีในการตัดกิเลสทั้งหมด และตัดกิเลสยังไม่ได้ทั้งหมด ยังไม่สิ้นอาสวะ

    กล่าวธรรมโดยชี้แจงไปตามลำดับ
    ตามมีตามกรรมตามเกิด มาดังนี้แลฯ


    ใครได้ประโยชน์ก็ ขออนุโมทนาบุญนั้นด้วย

    เพราะในประเทศนี้ โลกนี้ แสดงเพียงผู้เดียว ในรอบ2500ปีนี้ ถ้าได้ ธรรมจักษุ ญานจักษุ ทิพยจักษุ แล้วจะเห็นเอง และจะได้เอง ว่าเห็นอะไร? นิรุตติญาน วิมุตติญานทัสสนะจะแสดงออกมาอย่างไร ก็แล้วแต่บุญวาสนาของท่านแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2020
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    สบายดี เราชื่นชมการกล่าว ธรรมสากัจฉา อันมีเหตุและผลไตร่ตรองตามกันได้ โดยไม่มีเล่ห์ รู้ก็ตอบ ไม่รู้ไม่ตอบ ไม่ถามกวนวกวนโอ้อวด

    เรายินดีที่ได้ พิจารณาอ่านพยัญชนะของท่าน !

    "เมื่อเห็นภัยของสัตว์โลก ภัยของตนไม่สน จึงอยากช่วยแบ่งเบา ทุกขังมันเป็นแบบนี้"

    บางครั้งก็ทำการเกินกำลังตน !

    อยากได้ ปาฎิหารย์ ๓ หรือท่านผู้มี ปาฎิหารย์ มาโปรด๓ นั้นมาโปรด จริงๆ

    แนวหน้า.ก็ยังมีหน้าที่..รอ.ตลอด โลกมนุษย์ยาวนาน แต่ภพอื่น แค่ชั่วอึดใจ เหตุไฉนจึงทรง"ปางลีลา" รอท่านจนใจแทบขาด

    รอ...โหดเกิ้น ขันอาสาอะไรมา..

    ป่านนี้ คงนั่งขำอยู่แน่แท้ ! ถึงเวลา คงโดนตำหนิเพียบ นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น ขอทรงประทานอภัยแหงๆ
     
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    ๗. กปิลราชจริยา



    อรรถกถากปิลราชจริยาที่ ๗ พึงทราบวินิจฉัยในกปิลราชจริยาที่ ๗ ดังต่อไปนี้.
    บทว่า ยทา อหํ กปิ อาสึ ความว่า ในกาลเมื่อเราเกิดในกำเนิดวานร อาศัยความเจริญได้เป็นพระยาวานรมีกำลังดุจช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง มีร่างกายใหญ่ประมาณเท่าลูกม้า.
    บทว่า นทีกูเล ทรีสเย ความว่า เราอยู่ที่ซอกเขาแห่งหนึ่งใกล้ฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง.
    ได้ยินว่า ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์มิได้ดูแลฝูง เที่ยวไปผู้เดียว.
    ก็ ณ ท่ามกลางแม่น้ำนั้นมีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง สมบูรณ์ด้วยผลไม้มีขนุนและมะม่วงเป็นต้นหลายๆ อย่าง.
    พระโพธิสัตว์เพราะสมบูรณ์ด้วยกำลังเร็ว กระโดดจากฝั่งนี้ของแม่น้ำไปถึงแผ่นหินแผ่นหนึ่งซึ่งมีอยู่ในท่ามกลางเกาะและแม่น้ำ. กระโดดจากแผ่นหินนั้นไปถึงเกาะนั้น. พระยาวานรเคี้ยวกินผลาผลหลายๆ อย่าง ณ เกาะนั้น ตอนเย็นก็กลับโดยวิธีนั้นนั่นเองอยู่ในที่อยู่ของตน รุ่งขึ้นก็ทำอย่างนั้นอีก สำเร็จการอยู่โดยทำนองนี้.
    ในกาลนั้นมีจระเข้ตัวหนึ่งพร้อมด้วยนางจระเข้อาศัยอยู่ใกล้แม่น้ำนั้น. นางจระเข้เมียของจระเข้นั้นเห็นพระโพธิสัตว์ไปๆ มาๆ อยู่เกิดแพ้ท้องอยากกินเนื้อหัวใจของพระโพธิสัตว์ จึงบอกกะจระเข้ผู้เป็นผัวว่า นายจ๋า ฉันแพ้ท้องอยากกินเนื้อหัวใจลิงนั้น. จระเข้กล่าวว่า ได้ซิเธอ. แล้วก็ไปด้วยหวังว่า จักจับพระยาลิงนั้นซึ่งกลับจากเกาะในตอนเย็น จึงอยู่บนหลังแผ่นหิน.
    พระโพธิสัตว์เที่ยวหาอาหารตลอดวัน ในตอนเย็นได้ยืนบนเกาะนั่นเอง มองดูแผ่นหินคิดว่า หินแผ่นนี้ บัดนี้ปรากฏว่าสูงกว่าเดิม จะมีเหตุอะไรหนอ เพราะพระมหาสัตว์สังเกตปริมาณของน้ำและปริมาณของแผ่นหินไว้เป็นอย่างดี.
    ด้วยเหตุนั้น พระโพธิสัตว์จึงดำริว่า วันนี้น้ำของแม่น้ำนี้ก็ยังไม่ลด. แต่ทำไมแผ่นหินนี้จึงปรากฏใหญ่มาก คงจะเป็นเจ้าจระเข้นอนหมายจะจับเรา ณ ที่นั้นเป็นแน่.
    พระยาวานรคิดว่า เราจักทดลองจระเข้นั้นก่อน จึงยืนอยู่อย่างนั้น ทำเป็นพูดกับแผ่นหิน พูดว่า เฮ้ยเจ้าหิน ก็ไม่ได้รับคำตอบ พูดว่า เฮ้ยเจ้าหินอยู่ ๓ ครั้ง หินก็ไม่ให้คำตอบ.
    พระโพธิสัตว์จึงพูดอีกว่า เฮ้ยเจ้าหิน ทำไมวันนี้ไม่ให้คำตอบแก่เราเล่า.
    จระเข้คิดว่า หินนี้ในวันอื่นๆ คงให้คำตอบแก่พระยาวานรเป็นแน่. แต่วันนี้หินไม่ให้คำตอบเพราะเราครอบไว้. เอาเถิด เราจะให้คำตอบแก่พระยาวานร จึงพูดว่า ว่าอย่างไรพระยาวานร.
    ถามว่า เจ้าเป็นใคร. ตอบว่า เราเป็นจระเข้.
    ถามว่า เจ้ามานอนที่นี้เพื่ออะไร. ตอบว่า ต้องการหัวใจท่าน.
    พระโพธิสัตว์คิดว่า เราไม่มีทางไปทางอื่น ทางไปของเราถูกปิดเสียแล้ว.
    ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
    เราถูกจระเข้เบียดเบียนไปไม่ได้ เรายืน
    อยู่ ณ โอกาสใด โดดจากฝั่งนี้ไปยังฝั่งโน้น.
    จระเข้มันเป็นสัตว์ดุร้าย แสดงความน่ากลัว
    อยู่ ณ โอกาสนั้น.
    ในบทเหล่านั้น บทว่า ปีฬิโต สุ ํสุมาเรน ท่านทำความที่กล่าวด้วยกึ่งคาถาเท่านั้นให้ปรากฏด้วยคาถาว่า ยมฺโหกาเส ดังนี้.
    บทว่า ยมฺโหกาเส คือ ยืนอยู่ท้องที่อันได้แก่หลังแผ่นหินซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางแม่น้ำใด.
    บทว่า โอรา คือ ฝั่งใน ได้แก่เกาะ.
    บทว่า ปารํ คือ ฝั่งนอกแห่งแม่น้ำอันเป็นที่อยู่ของเราในครั้งนั้น.
    บทว่า ปตามหํ คือ เรากระโดดไปถึง.
    บทว่า ตตฺถจฺฉิ ความว่า จระเข้เป็นสัตว์ดุร้าย เป็นฆาตกร เป็นศัตรู แสดงความหยาบคายร้ายกาจเห็นแล้วน่ากลัว มันอยู่บนหลังแผ่นหินนั้น.
    ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ดำริว่า เราไม่มีทางอื่นจะไป. วันนี้เราจะลวงจระเข้ เราจะเปลื้องจระเข้จากบาปใหญ่ด้วยอาการอย่างนี้, และเราก็จะได้ชีวิตด้วย.
    พระมหาสัตว์จึงกล่าวกะจระเข้ว่า จระเข้สหาย เราจักโดดไปบนตัวท่าน. จระเข้กล่าวว่า พระยาวานร ท่านอย่ามัวชักช้าเชิญมาข้างนี้ซิ.
    พระมหาสัตว์ได้กล่าวว่า เรากำลังมา. แต่ท่านจงอ้าปากของท่านไว้ แล้วจับเราตอนที่เรามาหาท่าน. ก็เมื่อจระเข้อ้าปากตาทั้งสองข้างก็หลับ. จระเข้นั้นมิได้กำหนดเหตุการณ์นั้นจึงอ้าปาก. ตาของจระเข้ก็หลับ. จระเข้อ้าปากนอนไม่ลืมตาเลย.
    พระมหาสัตว์รู้ความเป็นจริงของจระเข้นั้น จึงกระโดดจากเกาะไปเหยียบหัวจระเข้ แล้วกระโดดจากนั้นไปยืนบนฝั่งโน้นดุจสายฟ้าแลบ.
    ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
    จระเข้นั้นกล่าวกะเราว่าจงมา. แม้เราก็
    กล่าวกะจระเข้ว่าเราจะมา. เราโดดลงเหยียบ
    หัวจระเข้นั้น แล้วโดดไปยืนอยู่ที่ฝั่งโน้น.
    ในบทเหล่านั้น บทว่า อสํสิ คือ ได้กล่าวแล้ว.
    บทว่า อหมฺเปมิ คือ แม้เราก็กล่าวกะจระเข้นั้นว่า เราจะมา.
    อนึ่ง เกาะนั้นน่ารื่นรมย์ ประดับด้วยแนวต้นไม้ผลมีมะม่วง หว้า ขนุนเป็นต้น และเหมาะที่จะเป็นที่อยู่.
    แม้พระมหาสัตว์รักษาคำสัจ เพราะได้ให้ปฏิญญาไว้ว่าเราจะมา ก็ได้กระทำอย่างนั้นว่า เราจักมาแน่นอน.
    ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
    เรามิได้ทำตามคำของจระเข้ที่กล่าวหลอกลวงนั้น หามิได้.
    เพราะรักษาคำสัจนี้ ได้สละชีวิตของตนทำแล้ว ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
    ผู้เสมอด้วยคำสัจของเราไม่มี. นี้เป็นสัจจบารมีของเรา.
    จระเข้เห็นความอัศจรรย์ดังนั้นคิดว่า พระยาวานรนี้ทำอัศจรรย์ยิ่งนัก จึงกล่าวว่า พระยาวานรผู้เจริญ บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ อย่างในโลกนี้ย่อมครอบงำศัตรูได้. ธรรมทั้งหมดนั้นคงมีอยู่ในตัวของท่าน.
    ท่านพระยาวานร ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้
    คือสัจจะ ธรรม ธิติ จาคะ มีอยู่แก่ผู้ใด เหมือน
    อย่างท่าน ผู้นั้นย่อมล่วงพ้นศัตรูได้.
    ในบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส บุคคลไรๆ.
    บทว่า เอเต คือ ท่านแสดงถึงข้อที่ควรกล่าวไว้ในบัดนี้.
    บทว่า จตฺโร ธมฺมา คือ คุณธรรม ๔ ประการ.
    บทว่า สจฺจํ คือ วจีสัจจะ.
    ที่ท่านกล่าวว่า เราจักมาสำนักของเรา แล้วไม่โกหกมาจนได้ นี้เป็นวจีสัจจะของท่าน.
    บทว่า ธมฺโม คือ วิจารณปัญญาได้แก่ปัญญาไตร่ตรอง ปัญญาที่เป็นไปว่า เมื่อเราทำอย่างนี้จักเป็นอย่างนี้ ชื่อว่าวิจารณปัญญาของท่าน.
    บทว่า ธิติ ได้แก่ ความเพียรที่ไม่ขาด แม้ความเพียรนี้ก็มีแก่ท่าน.
    บทว่า จาโค คือ การบริจาคตน ท่านสละตนมาหาเรา เราไม่สามารถจะจับท่านได้ นี้เป็นความผิดของเราเอง.
    บทว่า ทิฏฺฐํ คือ ศัตรู.
    บทว่า โส อติวตฺตติ ความว่า ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้มีอยู่แก่บุคคลใดเหมือนอย่างมีแก่ท่าน ผู้นั้นย่อมก้าวล่วง คือครอบงำศัตรูของตนเหมือนท่านพ้นเราในวันนี้.
    จระเข้สรรเสริญพระโพธิสัตว์อย่างนี้แล้วได้ไปที่อยู่ของตน.
    จระเข้ในครั้งนั้นได้เป็นเทวทัตในครั้งนี้.
    เมียจระเข้ คือนางจิญจมาณวิกา.
    ส่วนพระยาวานร คือพระโลกนาถ.
    แม้ในจริยานี้ พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือของพระโพธิสัตว์นั้นโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
    อนึ่งพึงประกาศคุณานุภาพมีอาทิอย่างนี้ คือ
    การรู้ว่าจระเข้นอนบนแผ่นหินด้วยสังเกตประมาณของน้ำและของหิน ด้วยกำหนดเอาว่า บัดนี้ ปรากฏหินสูงเกินไป.
    การตัดสินเนื้อความนั้นโดยอ้างว่าเคยพูดกับหิน.
    การเปลื้องจระเข้ให้พ้นจากบาปใหญ่ เพราะรีบทำด้วยการเหยียบหัวจระเข้แล้วไปยืนอยู่ที่ฝั่งโน้นทันที.
    การรักษาชีวิตของตน และการตามรักษาสัจจวาจา. จบอรรถกถากปิลราชจริยาที่ ๗


    ไอ้เข้เยอะ!
     
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
    Screenshot_20200602-194154.png

    คาถาภาษิตใด ภาษิตหนึ่ง จากพระโอษฐ์แก้ว ที่เป็นบทธรรมก็ดี คาถาจากบทธรรมที่ปรากฎตามกาลก็ดี ที่ได้ยินได้ฟังมาในธรรมสภาก็ดี คาถาเทวธรรมก็ดี คาถาที่ได้เคยได้เรียนมาก็ดี
    คาถาของเทวดาเทวราชทั้งหลายก็ดี คาถาประจำตำแหน่งก็ดี ก็เพื่อยังพระศาสนาให้ถึงเบื้องปลายพระวัสสา
     
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,791
    ค่าพลัง:
    +3,204
     

แชร์หน้านี้

Loading...