สมถะหรือวิปัสสนาก่อน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Prophecy, 20 ตุลาคม 2012.

  1. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    นั่นแหล่ๆ ตรงไปติด มันเหมือนว่างๆ ตรงนี้ พึงรู้ว่า จิตไม่มีโยนิโสมนสิการ
    ก็ให้รู้ซื่อๆไปอย่างนี้ รู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่นก็ได้ ( พินาดีๆ จะเห็นมันสัดส่าย
    ถูกบีบคั้น มีน้ำหนัก )

    แต่พอ ไม่รู้เช่นนี้ ความหิวอารมณ์ ความอยากดี มันก็เข้ามาขี่ บีบใจ
    ให้ออกไปหาอะไรทำ ทั้งๆที่ ปล่อยมันอย่างนั้นนั้นถูกอยู่แล้ว (ว่างๆ ว่างๆ)
    ก็ปล่อยจิตให้อยู่ในสมัยเช่นนั้น ไม่ต้องไปทำอะไร มีสติแลอยู่พอ ....สัมปชัญญะ
    ก็อยู่ครบ( พินาดีๆ )

    เขาปฏิบัติจนต้องไปสู่ การอึ๊ก อึ๊ก ใส่ความคิดต่อไม่ได้ ( รู้ทุกข์ให้พอ )

    แต่เราไปทำสวนกัน เราจะเอาความคิดมาใส่ให้ได้ แล้วมันจะพ้นได้หรือ
    ไฟมันก็ลุกโชนขึ้นมา กลายมาเป็น คนดี จงทำดี จงทำดี ( รู้ทุกข์ไม่พอ ไม่เป็น)

    ตรงนี้ จะทำให้เห็น อุปนิสัยบางประการระหว่าง เจโต หรือ ปัญญา หรือ ศรัทธา

    เอาตรงนี้มาวิจัยอินทรีย์ภายหลังก็ได้ ก็จะได้ ปัญญาเป็นสาสวะไปก่อน
    ไม่เสียหาย
     
  2. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ตรงนี้ล่ะครับจะเป็นบ่อย เห็นมันว่างแล้วมันดิ้นให้ได้
    มันยังมีส่วนที่ค้างอยู่ และส่วนที่รู้ลม
    ทีนี้พาไประลึกที่ จงทำดี จงทำดี ย้อนไปที่พี่เล่ายาวเคยยกกล่าวสมัยแรกๆในการบริกรรม
     
  3. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ดี เชื่อไหมตรงนี้ มีทางยาว กับ ทางสั้น

    ทางสั้น ก็จะเป็นประเภท "จิตไม่เกิดไม่ดับ" จิตกูมี แล้ว ก็ ลูกทุ่งลุยไปอย่าง......

    แต่ถ้า มีสัมมาทิฏฐิ ยกพิจารณา "จิตมีเกิดมีดับ" ตรงนี้จะเข้าใจคำว่า สติอินทรีย์
    เพิ่มขึ้นมา ว่า ไอ้ที่ภาวนาอยู่ตรงนี้ ยังไม่ชื่อว่า มีสติอินทรีย์

    ถ้าเป็นพวก จิตไม่เกิดไม่ดับ นะ ก็จะ งง มะงุม มะงาหรา สติ คืออะไรหนอ รู้แต่
    ว่า จงทำดี จงทำดี พิจารณาได้แค่นี้ ก็พอแล้ว ก็ พอเหมือนกันสำหรับบางคน

    แต่ถ้าเรา สมาทานคำว่า จิตมีเกิดมีดับ ละก้อ ก็จะเป็นผู้ วิจัยสติอินทรีย์ได้

    พอวิจัยสตอินทรีญได้ จะ โอยยยยย.....ที่ผ่านมาคิดว่า มีสมาธิแล้ว ที่ไหนได้ "......"

    แล้วมันจะไปต่อ.....

    ดังนั้น ไอ้ตรงไปต่อตรงนี้ ดูไว้ด้วว่า ตกลงชอบไปทางไหน จงทำดีๆ จิตมีเกิดมีดับ
    ฟังไม่ขึ้น ว่างๆว่างๆ ว่างอะไรของมึง ก็ไม่ว่ากัน ว่ากันไป

    แต่ถ้ามัน เออะ สมาทานจิตมีเกิดมีดับได้ คราวนี้ การภาวนาจะละเอียด ปราณีตขึ้น
    ไปอีก หนทางอาจจะไกล แต่ก็อยู่ที่ "การยิงธนุไว ยิงเร็ว และ ยิงกองใหญ่" หาก
    มีความเป็นนักรบขมังธนู ก็ไม่ไกลหรอก มันจะวื๊ดเข้ามา

    ตรงนี้ ให้ฟังไว้ในฐานะ บทของยาพิษ นะ หยอดยา ตามเคย จะเจ จะอุภโต จะอะไร
    ก็ว่ากันไป แล้วแต่ ยาพิษจะออกฤทธิ์เว้ยเฮ้ย ไม่ได้กินเข้าไปก็อย่าสำออยร้อนตัวละกัน
     
  4. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .................................................................:cool:
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    :cool:
    :cool:............................................ทุกข์ควรกำหนดรู้:cool:
     
  6. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ต่อ นะครับ กลุ่มของอริยมรรค คือ สัมมาวาจา...พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ในบรรดาองค์เจ็ด แห่งอริยสัมมาสมาธินั้น สัมมาทิฎฐิเป็นธรรมนำหน้า นำหน้าอย่างไรเล่า คือ เขารู้ว่า มิจฉาวาจา ว่าเป็นมิจฉาวาจา รู้สัมมาวาจา ว่าเป็นสัมมาวาจา ความรู้ของเขานั้นเป็นสัมมาทิฎฐิ............ภิกษุทั้งหลาย มิจฉาวาจา เป็นอย่างไรเล่า มุสาวาทา ปิสุณวาท ผรุสวาท สัมผัปลาป ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ มิจฉาวาจา..........ภิกษุทั้งหลาย สัมาวาจา เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าว แม้สัมมาวาจาว่ามีอยู่ 2ชนิด คือสัมมาวาจาที่ยังเป็นไปด้วย อาสวะ เป้นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก ก็มีอยู่ สัมมาวาจา อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน ก็มีอยู่....ภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจา ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป้นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก นั้นเป็นอย่างไรเล่า นั้นคือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจาก มุสาวาท เจตนางดเว้นจากปิสุณวาท เจตนางดเว้นจากผรุสวาท เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากสัมผัปลาป ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ สัมมาวาจา ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ ที่เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก................ภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจา อันเป้นอริยะ ไม่เป้นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน นั้นเป้นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรมคือการงด(อารติ) การเว้น(วิรัติ) การเว้นขาด(ปฎิวิรติ) และเจตนาเครื่องงดเว้น(เวรมณี) จากวจีทุจริตทั้งสี่ ของผู้มี อริยจิต ของผู้มีอนาสวจิต ของผู้เป็นอริยมรรคสมังคี ผู้เจริญอยู่ซึ่งอริยมรรค ใดแล ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ สัมมาวาจา อันเป้นอริยะ ไม่เป็นไปด้วย อาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบหนทางแห่งนิพพาน................เขานั้นเพียรพยายาม เพื่อละเสียซึ่งมิจฉาวาจา เพื่อทำสัมมาวาจาให้ถึงพร้อม ความเพียรพยายามของเขานั้น เป้น สัมมาวายามะ เขามีสติละเสียซึ่งมิจฉาวาจา มีสติทำสัมมาวาจาให้ถึงพร้อม แล้วแลอยู่ สติของเขานั้นเป็นสัมมาสติ.............ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า ธรรม3อย่างนั้น ย่อมติดตามแวดล้อมซึ่งสัมมาวาจา สามอย่างนั้นได้แก่ สัมมาทิฎฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2012
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    กลุ่มสัมมาสังกัปปะ---พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ในบรรดาองคืเจ็ดแห่งอริยสัมมาสมาธินั้น สัมมาทิฎฐิเป็นธรรมนำหน้า นำหน้าอย่างไร คือ เขารู้มิจฉาสังกัปปะ ว่าเป็นมิจฉาสังกัปปะ รู้ว่า สัมมาสังกัปปะ ว่าเป็นสัมมาสังกัปปะ ความรู้ของเขานั้น เป็นสัมมาทิฎฐิ.............ภิกษุทั้งหลาย มิจฉาสังกัปปะ เป็นอย่างไรเล่า กามสังกัปปะ พยาบาทสังกัปปะ วิหิงสาสังกัปปะ ภิกษุทั้งหลายนี้คือ มิจฉาสังกัปปะ..............ภิกทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะ เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าแม้สัมมาสังกัปปะว่ามีอยู่2ชนิด คือ สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะเป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนักก็มีอยู่ สัมมาสังกัปปะอันเป้นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อ นิพพาน ก็มีอยู่............ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผงเนื่องอยู่กับของหนัก นั้นเป็นอย่างไรเล่า นั้นคือ เนกขัมสังกัปปะ อัพยาบาทสังกัปปะ อวิหิงสาสังกัปปะ ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ สัมมาสังกัปปะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก......ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบหนทางเพื่อ นิพพาน นั้นเป็นอย่างไรเล่า .....ภิกษุธรรมคือความตรึก(ตกก) ความตรอง(วิตกก) ความดำริ(สงกปป)ความคิดแน่วแน่(อปปนา) ความคิดแน่วแน่ถึงที่สุด(พยปปนา) การงอกงามแห่งความคิดถึงที่สุของจิต(เจตโส อภินิโรปนา) และ เจตสิกธรรมปรุงแต่งการพูด(วจีสังขาโร) ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวะจิต ของผู้เป็นอริยมรรคสมังคี ผู้เจริญซึ่งอริยมรรคใดแล ภิกาุทั้งหลาย นี้คือ สัมมาสังกัปปะ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองคืประกอบเพื่อหนทางเพื่อนิพพาน.....................เขานั้นเพียรพยายามเพื่อละเสียซึ่งมิจฉาสังกัปปะ เพื่อทำสัมมาสังกัปปะให้ถึงพร้อม ความเพียรพยายามของเขานั้นเป็น สัมมาวายามะ เขามีสติละเสียซึ่งมิจฉาสังกัปปะ มีสติทำสัมมสังกัปปะให้ถึงพร้อม แล้วแลอยู่ สติ ของเขานั้นเป็น สัมมาสติ..........ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า ธรรมสามอย่างนั้น ย่อมติดตามแวดล้อมซึ่งสัมมาสังกัปปะ สามอย่างนั้นได้แก่ สัมมาทิฎฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ.:cool:
     
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระวจนะ---กลุ่มสัมมากัมมันตะ--พระวจนะ" ภิกษุทั้งหลาย ในบรรดาองค์เจ้ดแห่งอริยสัมมาสมาธินั้น สัมมาทิฎฐิ เป็นธรรมนำหน้า นำหน้าอย่างไร คือเขารู้ มิจฉากัมมันตะ ว่าเป็นมิจฉากัมมันตะ รู้สัมมากัมมันตะว่าเป็นสัมมากัมมันตะ ความรู้ของเขานั้นเป็น สัมมาทิฎฐิ............................ภิกษุทั้งหลาย มิจฉากัมมันตะเป็นอย่างไรเล่า ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร ภิกษุทั้งหลาย นี่คือ มิจฉากัมมันะ..............ภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะ เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า แม้สัมมากัมมันตะว่า มีอยู่ สองชนิด คือ สัมมากัมมันตะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ มีผลเนื่องอยู่กับของหนัก ก้มีอยู่ สัมมากัมมันตะ อันเป็นอริยะไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลกเป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน ก็มีอยู่...................ภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญมีผลเนื่องอยู่กับของหนักนั้นเป็นอย่างไรเล่า นั้นคือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากปาณาติบาต เจตนางดเว้นเป็นเครื่องเว้นจากอทินนาทาน เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากกเมสุมิจฉาจาร ภิกษุทั้งหลาย นี้คือ สัมมากัมมันตะ ที่ยังเป็นไปด้วยอาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญมีผลเนื่องอยู่กับของหนัก.................ภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะ อันเป็นอริยะไม่เป็นไปด้วยอาสวะ นำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อ นิพพาน นั้นเป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรมคือการงดเว้น การเว้นขาดและเจตนาเครื่องงดเว้น จากกายทุจริตทั้งสาม---ของผู้มีอริยจิต ของผู้มีอนาสวะจิต ของผู้เป็นอริยมรรคสมังคีผู้เจริญอยู่ ซึ่งอริยมรรค ใดแล ภิกษุทั้งหลาย นี้คือสัมมากัมมันตะ อันเป็นอริยะ ไม่เป็นไปด้วยอาสวะนำขึ้นสู่ระดับเหนือโลก เป็นองค์ประกอบแห่งหนทางเพื่อนิพพาน..............เขานั้น เพียรพยายามเพื่อละเสียซึ่งมิจฉากัมมันตะ เพื่อทำสัมมากัมมันตะให้ถึงพร้อม ความเพียรพยายามของเขานั้น เป็นสัมมาวายามะ เขามีสติละเสียซึ่งมิจฉากัมมันตะ มีสติทำสัมมากัมมันตะให้ถึงพร้อม แล้วแลอยู่ สติของเขานั้น เป็นสัมมาสติ..............ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่าธรรมสามอย่างนั้น ย่อมติดตามแวดล้อมสัมมากัมมันตะ สามอย่างนั้นได้แก่สัมมาทิฎบิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ.:cool:
     
  9. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    สิ่งที่เป็นมิฉาในอดีต และ สิ่งที่เป็นสัมมาในอดีตไม่ควรใส่ใจ มันเป็น อจิตไตยที่พระตถาคตส่งกล่าว แต่ท่านกล่าวคือ อกาลิโก เพราะจิตสามารถเข้าไปละอุปทานได้ จนถอดถอนได้
    ทุกเวยไนยสัตว์ ไม่จำเป็นต้อง "ตั้งใจ" สะสมบารมี คนเราเข้าใจคำว่า ทำดีให้ถึงพร้อมผิดพลาดกันเยอะ
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ปังหา ของ อาจิกตีนงค์ อยู่ที่ จิต "ฮันนี่บุญญเกีรยติ"

    จิตอาภัสรา หงส์สกุล ของลื้อ ลื้อ ไปดำริว่า ต้องสร้างขึ้น ต้องทำให้มันสะอาด

    จริงๆ มันเป็น "สภาพธรรม" อย่างหนึ่ง มีก่อนที่จะเกิด อาการของจิต ที่นิยาม
    ด้วยสภาพธรรม ต่างๆ ดังนี้

    ธรรม คือ
    ความตรึก(ตกก)
    ความตรอง(วิตกก)
    ความดำริ(สงกปป)
    ความคิดแน่วแน่(อปปนา)
    ความคิดแน่วแน่ถึงที่สุด(พยปปนา)
    การงอกงามแห่งความคิดถึงที่สุดของจิต(เจตโส อภินิโรปนา)
    เจตสิกธรรมปรุงแต่งการพูด(วจีสังขาโร) ของผู้มีอริยจิต
    เจตสิกธรรมปรุงแต่งการพูด(วจีสังขาโร) ของผู้มีอนาสวะจิต
    เจตสิกธรรมปรุงแต่งการพูด(วจีสังขาโร) ของผู้เป็นอริยมรรคสมังคี
    เจตสิกธรรมปรุงแต่งการพูด(วจีสังขาโร) ผู้เจริญซึ่งอริยมรรคใดแล....

    เนี่ยะ ธรรมเหล่านี้ เขาให้พินาเป็น อาการของจิต ไม่ได้มุ่งบอกว่าให้ไป
    ทำมันขึ้นมา มันจะได้ไปเห็น ฮันนี่บุญญเกีรยติ กับเขาบ้าง แล้ว "......."

    ถ้ายังไม่ "......" ก็ต้อง คบเพื่อนผมไว้ให้มากๆ "ขันติ" "ขันติ"

    *******

    เห็งแล้วยังต้อง พินากันเนืองๆ ทำให้มากๆ อีกนะ ไม่ใช่ ฮานาก้า คาราด้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2012
  11. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    สะสมบารมี ไม่ใช่ต้องทำให้มากๆ มากๆๆๆ
    แต่เป็นการทำให้ลดๆ ลด ลด ลดไป จนมันจางๆๆๆ
    พวกยิ่งทำยิ่งโลภ เหมือนขับรถไปแล้วโดนปา กระจก ตายอย่างเดียว
     
  12. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ผิดแล้วธิดาน้อย หากไปยำรวมมิตรทุบรากผักชี กับศัพท์อภิธรรม
    ที่ว่า สสังขาริก, อสังขาริก เราจะเห็นผิดไปเลยกับคำว่า ตั้งใจ หรืออธิษฐานบารมี

    จะกลายเป็นมะตะบะมันไก่ไหหลำ ตีค่าผู้อื่นผิดเอาได้

    หากไปหาอ่านในอปทานหรือชาดก ก็ล้วนมีการสั่งสมอบรมอินทรีย์มาดีแล้วด้วยกันทั้งนั้น

    สั่งสม นั่นหมายถึงเมื่อเกิดมาได้พบพุทธศาสนาศรัทธาในธรรมคำสอน
    อย่าไปพะวงเรื่องอินทรีย์บารมี ตัดพ้อต่อตนเองว่าเรายังไม่พร้อม หรือยังพร่อง
    เพราะจิตนี้จะรุดไปข้างหน้า แสวงหาภพใหม่ให้เจริญรอย
    และจะขุดคุ้ยในข้างหลัง แสวงหาเหตุที่ผ่านมา

    ก็ควรจะทำให้ถึงที่สุดในปัจจุบัน เท่าที่จะทำได้ คำสอนจึงให้ยืนอยู่กับปัจจุบันนั่นคือ สติปัฏฐาน
    เหตุและผลอยู่ตรงนี้ อินทรีย์จะเด่นขึ้นมาเลยโดยความวิเวก

    ไม่ใช่เข้าใจไปว่า คำสอนใดที่เป็นไปเพื่อการสั่งสม นั่นไม่ใช่ธรรม
    หากเข้าใจผิดไปอย่างนี้ ทาน ศีล ภาวนา คือ กุศลจิต
    การเชื่อในกฏแห่งกรรมละอาย เกรงกลัวในภพชาติ เป็นต้น
    แล้วจะเป็นฐานรองรับในการตัดภาพชาติได้อย่างไร หากไม่มีการสละออก
    ที่จะต้องย้อนมาที่ภายใน มีใจรับรู้

    เพราะสิ่งที่สละออก จะเป็นสิ่งที่ได้มา
    สิ่งที่แสวงหา ย่อมจะเป็นสิ่งที่สูญเสียไป
    บางคนเขาทำอะไรอย่างไร เราก็ไม่รู้เลยว่าเขาตั้งจิตไว้อย่างไร
    ตรงนี้จึงเป็นปรัศนีเฉพาะคนๆนั้น ที่จะรู้เอง

    คำสอนล้วนมีเหตุ ว่าสอนกับใคร ในสถานการณ์ใด
    สอนฆราวาสผู้ครองเรือน หรือสอนพระภิกษุสาวก ตรงนี้ต้องแยกแยะให้ออก

    หากว่าธรรม ที่เป็นไปเพื่อการสั่งสม ไม่ใช่ธรรม
    แล้วเหตุใดอย่างเช่น ในตอนท้ายของ "ทุติยาปุตตกสูตร" จึงเป็นเช่นนั้น

    ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรสั่งสม นั่นก็คือ อกุศลกรรม หรือการสั่งสมทุกข์ หลงไปในอายตนะ นั่นเอง
    แม้แต่การจะเป็นผู้ทรงพหูสูตร ย่อมเป็นผู้สั่งสมสุตะมาดี ย่อมแทงตลอดได้ด้วยปัญญา​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ตุลาคม 2012
  13. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .........เจริญให้มากทำให้มาก..คงไม่ใช่สะสม เอ๊ะ!! ยังไง?:cool:
     
  14. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ค่อยว่ากันครับ สดับความว่างเป็นขณะๆก่อน
     
  15. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    สะสม ของเรา คือ การสะสาง ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ทำไปงั้นทำใจให้ง่ายๆ เข้าไว้
     
  16. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ตรงนี้ล่ะ คือ วจีกรรม อันเป็นสัทธรรมปฏิรูป ไม่เกรงกลัวหรือ ท่านผู้ทรงภูมิ

    ทำให้ผู้น้อยเข้าใจผิด
     
  17. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ความกังวลว่ามาเคยทำมาผิด เคยทำมาูถูก เคยทำมามาก เคยทำมาน้อย
    สิ่งนี้เป็นปลิโพธิ ของทุกเวยไนยสัตว์ พอเราปลดปล่อยตรงนี้ จิตไม่หนัก
    จิตทุกดวงทำได้ มันก็จะเป็นการสะสาง ลงเรื่อย ไม่ใช่สะสมเพื่อเป็นไปของผู้จะเป็นนักปฏิบัติกิเลส
     
  18. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    ปลิโพธ คือ ความกังวล คือ ห่วง

    แต่ การสั่งสมบุญกุศล ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับปลิโพธเลยนี่

    อย่างเช่นที่เค้าทำทาน นั่นเค้าก็สะสางกิเลสคือความตะหนี่
     
  19. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    อธิบายยากแฮะ ก็บอกแล้วว่า ขึ้นอยู่กับการเห็น การเข้าใจ จริงๆ มันก็ตรงตัวที่สุดแล้ว
    ชัดเจนแล้วนะพี่หม้อ สะสม กับ สะสาง ที่เคยทำมาเดี่ยวก็เอามาคิดอีก นั้นแระ ปลิโพธิ
     
  20. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    273
    ค่าพลัง:
    +1,123
    หากอธิบายไม่ได้ ไม่รอบครอบในธรรมอันลึกซึ้ง

    ซึ่งตนก็ยังมีกิเลส ก็อย่าไปฝืนเลย

    เพราะความก๋ากั่น สั่งสมทิฏฐิ เป็นเหตุให้มานะน้อยๆอย่างกระผมเข้าใจผิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...