สติต้องเจริญ ต้องทำให้มาก ต้องทำให้เกิดขึ้นที่จิต สติเกิดขึ้นเองไม่ได้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมะสวนัง, 29 พฤศจิกายน 2009.

  1. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    พี่ปราบเอาไปปปปปปปปป...ลูกทุ่ง..m 100...ไม่มีน้ำแข็ง 2 ขวดแล้วตามเชียร์เบียร์ ช้าง สิงห์ ไฮเนเก้นน์ 40 ดีกรีภูมใจไทยทำ
     
  2. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    แสดงทัศนะซิ มาเทียวว่าใครหรือ หางเครื่อง


    :boo:
     
  3. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    การจะกล่าวว่าสัมมาสติ เกิดเพราะสัมมาสมาธิ
    หรือจะกล่าวว่ามีสัมมาสมาธิและค่อยเจริญสติปัฏฐานสี่
    คงไม่ถูก

    คุณธรรมะสวนังก็กล่าวเอง ว่าการเจริญสติปัฏฐานสี่ เป็นการเจริญอริยมรรคองค์แปด
    ทำไมการเจริญสติปัฏฐานสี่ ถึงครอบคลุมอริยมรรคองค์แปดทั้งหมด
    เพราะทุกขณะที่เจริญสติปัฏฐานสี่
    ทุกขณะนั้น ย่อมเป็นการเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา ไปในตัว
    ปัญญา (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ)
    สมาธิ (สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาวายามะ)
    ศีล (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)

    *

    อาหารของวิชชาและวิมุตติ
    ๑. วิชชาและวิมุตติมีอาหาร อาหารของวิชชา-วิมุตติ คือ โพชฌงค์ ๗
    ๒. โพชฌงค์ ๗ มีอาหาร ......................…… คือ สติปัฏฐาน ๔
    ๓. สติปัฏฐาน ๔ มีอาหาร ..................…… คือ สุจริต ๓
    ๔. สุจริต ๓ มีอาหาร..............................…… คือ อินทรียสังวร
    ๕. อินทรียสังวรมีอาหาร..............……………. คือ สติสัมปชัญญะ
    ๖. สติสัมปชัญญะมีอาหาร.....................……. คือ โยนิโสมนสิการ
    ๗. โยนิโสมนสิการมีอาหาร....................….…. คือ ศรัทธา
    ๘. ศรัทธามีอาหาร.........................… คือ การสดับ(เล่าเรียน)สัทธรรม
    ๙. การสดับสัทธรรมมีอาหาร ...............…… คือ การเสวนาสัปบุรุษ

    Ekk's D-BOOK: อาหารของอวิชชา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2010
  4. วจีทุจริต

    วจีทุจริต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +263
    "สติ"คุมกายแน่แท้.............ศีล หอม แม่เอย
    "สติ"หนึ่งคุมใจจอม............แน่ไว้ สมาธิ
    "สติ"ตั้งต่นชอบพร้อม..........ขจัดโง่ หลงเงา
    ศีลป่นสมาธิปี้ .................แน่แล้ว ขาด"สติ"



    ไม่มีศีล ก็เพราะ ..............ขาด"สติ" ขาดเจตนาควบคุม รักษากาย วาจา
    ไม่มีสมาธิ ก็เพราะ............ขาด"สติ" ควบคุมอารมณ์ ความจำ ความคิด รักษาใจ
    ไม่มีปัญญา ก็เพราะ...........ขาดศีล ขาดสมาธิ
    ไม่มี"สติ" ก็เพราะ ...........ขาดการ จงใจ ตั้งใจ เจตนา ควบคุม รักษา กาย วาจา ใจ จงใจ ตั้งใจชอบ




    ไม่บังคับ ไม่ควบคุม ไม่จงใจ ไม่มีเจตนางดเว้น ไฉนเลยจะมี ศีล มีสมาธิ มีปัญญา เพราะ"สติ"ไม่มี
    ไม่เจตนางดเว้น ไม่จงใจ ตั้งใจ จดจ่อ ควบคุม บังคับ รักษา ผลจะเกิดได้อย่างไร ท่านชี้ ทางเดิน ไว้แล้ว ดูสว่างสดใส มี"สติ"





    เมื่อใด เหตุถึงพร้อม นั้นคือ ผลที่เกิดที่ประจักษ์ "สติ" ศีล สมาธิ ปัญญา อัตโนมัติ ในส่วนผล ไฉนเลยไม่ทำเหตุให้ถึงพร้อม
    การกระทำทาง กาย วาจา ใจ บังคับ ควบคุม รักษา ได้ ด้วยเจตนา ความจงใจ จดจ่อ ตั้งใจชอบ มี"สติ"




    กาย วาจา ตน"ใจ"ตนนี้ เจตนา งดเว้น ควบคุม บังคับ ฝึกฝน เจตนา จงใจ รักษา ไม่ได้ ตนไม่ใช่ที่พึ่งแห่งตนนี้ไม่ใช่ "ถนนหนทางเดินแปดเลน"
    "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ"











    ปล.กล่าวจากทิฐิส่วนตัวที่ ขาด "สติ" ไม่ใช่ "ธรรมะ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2010
  5. วจีทุจริต

    วจีทุจริต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +263
    เอาธรรมะหลวงตามาฝาก

    อ่าน .... สติปัฏฐาน ๔ โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน <<ได้ที่นี่

    รับฟัง ... สติปัฏฐาน ๔ โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน <<ได้ที่นี่








    " ......ท่านนักบวชและนักปฏิบัติธรรมโปรดฟังให้ถึงใจ หยั่งความเพียรให้ถึงใจ ธรรมทั้งนี้จะปรากฏเป็นสมบัติอันล้ำค่าของท่านผู้สนใจ โดยไม่มีอะไรจะสามารถมาแยกทางกันได้ ความเพียรเพื่อชัยชนะอันมีเกียรติดังพระองค์ท่าน และเป็นชัยชนะซึ่งไม่มีอะไรเสมอในโลก คือความเพียรเพื่อชนะตนตามพระบาลีว่า อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย ความชนะตนเองนั่นแลประเสริฐสุด

    ......การแสดงธรรมก็เห็นสมควรแก่เวลา ดังนั้น ในอวสานแห่งธรรมนี้ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยจงตามคุ้มครอง จงรักษาให้ทุกท่านมีความสุขกายสบายใจ และเจริญงอกงามด้วยศีล สมาธิ ปัญญา สามารถผ่านอุปสรรคถึงแดนแห่งความเกษมสำราญกล่าวคือ พระนิพพานโดยทั่วหน้ากันเทอญฯ "









    www.Luangta.com or www.Luangta.or.th

















    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2010
  6. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    สติ สมาธิ นั้นมีอยู่แล้ว พราหมณ์ก็มีอยู่
    ขาดแต่ "ผู้ตรัสรู้แจ้งในนิพพาน" มาบอก


    แค่แจ้งบอกก็พอแล้ว
    ถ้าบอกแล้วยังไม่รู้เรื่อง
    แสดงว่ายังไม่ถึง "เวลา"
    ปล่อยเขาไปตามธรรมชาติเถิด
    ไม่ต้องไปดัดแปลงธรรมชาติเขา


    องคุลีมารฝึกอะไร?
    พระพุทธเจ้ารอ "เวลาอันควร"
    เมื่อนั้นท่านแค่แจ้งบอกว่า
    "เราหยุดแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด"
    ท่านมิได้สอนการฝึกสติให้องคุลีมารเลย
    แต่เพราะ "การแจ้งบอก" นั้นเอง
    ทำให้เกิดสติและบรรลุธรรมในที่สุด


    ผู้เจริญพรหมจรรย์อยู่ได้ชื่อว่าพราหมณ์
    ผู้เจริญศีล, สมาธิ, สติอยู่ ได้ชื่อว่าพราหมณ์เช่นกัน
    หาใช่ "อเสขบุคคล" ไม่ แล้วจะมาประกาศตนเป็นอรหันต์ได้อย่างไรกัน?


    นอกจาก "อรหันต์ลูกศิษย์แต่งตั้งเอง"
    ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่แห่งลัทธิอาจาริยวาท...
     
  7. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ก็เพราะว่า...หากศิลท่านไม่บริสุทธิ จิตท่านมิมีทางจะรวมเป็นสมาธิที่ถูกต้องปรือเป็นสัมมาสมาธิได้เลย
    ดังนั้นคนที่มีศิลบริสุทธิ์ ก็คือ คนที่มีสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้น...จะเห็นชอบหรือคิดชอบ ก็เห็นชอบหรือคิดชอบใน" องค์ศิล" นี้แหละครับ
    ทีนี้ใครก็ตามหากมีสัมมาทิฏฐิเกิดแล้ว มรรคอีก7 องค์ ก็จะถูกดึงดูดเข้ามาเองตามกฏธรรมชาติของเขา ซึ่งทีเราเรียกว่า "มรรคสมังคี"...คนมีความคิดดี จะประกอบอาชีพชอบ จะมีสมาธิชอบ จะมีความเพียรดีชอบ....ฯลฯ
    อ่านแล้ว เหมือนจะเกินภูมิคนเขียนไปหน่อย...อย่าสนใจตรงนั้นเลยครับ ท่านเต้าเจี้ยว..ทิ้งตำราซะ แล้วลงมือทำจริงๆ ก็จะสื่อออกมาได้เองครับ:cool:
     
  8. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ผู้ดำเนินในมรรคแปดย่อมไม่เพียรจมในการฝึกสมาธิและสติ


    เขาย่อมรู้วิธีที่จะไม่หลงวนไปอยู่ในภาวะแห่งการเจริญสมาธิ, สติ
    อันเป็นภาวะหรือภพแห่งพรหมนั้น เช่นนี้ จึงกระทำ "พรหมจรรย์ให้สิ้น" เสีย
    ด้วยการลัดตัดตรงทำนิพพานให้แจ้ง ไม่หลงวนอยู่ เพลินอยู่ในสมาธิแลสตินั้น
    แต่จบกิจ จบพรหมจรรย์ บรรลุธรรมฉับพลัน มีหรือไม่มีพรหมจรรย์หาใช่สำคัญไม่


    ไม่มี ก็เหมือนมี มีก็เหมือนไม่มี...
     
  9. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ผมมิกล้าว่าเทียบ..ท่านเต้าเจี้ยวหรอกครับ..:':)':)'(
     
  10. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    เด็กแว้นท์ไม่ได้เรื่อง ไม่เคยฝึกอะไรเลย
    วันหนึ่ง "รถมอไซค์" คว่ำ เจ็บมากเกือบตาย
    โอ้ย ความตายจะมาถึงเราหรือเปล่าหนอ...



    คิดว่า "มรณานุสติ" จะไม่เกิดขึ้นได้หรือ?
    มรณานุสตินี้ ต้องฝึกด้วยหรือ? ไม่ฝึก แต่มีเอง ไม่ได้หรือ?
     
  11. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ทำไมเขาจึงว่า "ศิษย์โง่ไปเรียนเซน"?



    เมื่อบรรลุเซนจะระลึกได้ว่า "โธ่เอ้ย แค่นี้เอง หลงโง่ "เพียรจม" อยู่ได้ตั้งนาน"
    ฉันมันโง่ไปเพียรจม ไปทำอะไรมากมายหนักหนา ที่ไหนได้ สัจธรรมอยู่ตรงนี้เอง



    แม่จ๋า หนูหาปากกาไม่เจอ หาทั้งวันปวดหัว เอนตัวลงนอน
    อ้าว ปากกาทิ่มเอว ที่ไหนได้ อยู่ในกระเป๋าเสื้อตัวเองนี่เอง
    โง่ดักดานอยู่ได้ จนจะแก่ตายเข้าโลงอยู่แล้ว...
     
  12. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    ทุกอย่างต้องเคยฝึกมา ไม่มีอะไร ที่ได้มาลอย ๆ และไม่มีอะไรให้รอคอย
    ให้เพียร รู้ในปัจจุบัน
     
  13. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    ทุกอย่างมีเอง เกิดเอง ดับเองอยู่แล้ว


    แล้วอะไรละที่ได้มา แล้วอะไรละที่เสียไป?
    ยังจะได้อะไรมาอีกหรือ? ยังจะเสียอะไรไปอีกหรือ?
     
  14. เต้าเจี้ยว

    เต้าเจี้ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +1,697
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สับสน! [​IMG]
    มาอนุโมทนากับ ท่านธรรมสวณังครับ...สิ่งที่ละเอียดเข้าใจยาก คนหยาบๆ มีรึจะเข้าใจ สาธุ


    จากข้อความด้านบน คุณสับสนกล่าวว่าธรรมของคุณธรรมะสวนังละเอียดเข้าใจยาก คนหยาบๆมีรึจะเข้าใจ หรือว่าคุณเข้าใจ?

    โดยคุณธรรมะสวนังกล่าวว่า
    การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง
    ขั้นตอนเริ่มแรกของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ก็คือ
    ต้องเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติสมาธิ(นั่งสมาธิ) เจริญฌาน ๔ (สัมมาสมาธิ)
    ให้จิตมีสติระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ(สติปัฏฐาน๔ = สัมมาสติ) ไม่แส่ส่ายออกไปหาอารมณ์
    โดยอาศัยความเพียรประคองจิตให้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ(สัมมาวายามะ)จนจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ
    เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ(จิตตั้งมั่นชอบ) ไม่แส่ส่ายออกไปหาอารมณ์แล้ว
    ก็ย่อมได้ศึกษารู้จักอารมณ์ตามความเป็นจริง
    เกิดญาณรู้ตามความเป็นจริง (ปัญญา) คือ รู้อริยสัจ ๔ (สัมมาทิฐิ)
    และเกิดพลังปัญญาปล่อยวางความยึดถืออารมณ์ต่างๆออกไปจากจิตได้ตามลำดับ (สัมมาสังกัปปะ)
    อนึ่ง ในการเจริญฌาน ๔ (สัมมาสมาธิ) นั้น จิตจะบรรลุปฐมฌานได้
    ต้องสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ=ศีล)ด้วย


    ....คุณธรรมะสวนังเริ่มด้วยสัมมาสมาธิ มาที่สัมมาสติและกลับมาที่ความเพียร จึงจะเกิดฝ่ายปัญญารู้ตามความจริง(สัมมาทิฏฐิ)ปล่อยวางความยึดถือ(สัมมาสังกัปปะ) ส่วนฝ่ายศีลต้องเป็นองค์ประกอบของสมาธิ
    ....ส่วนคุณสับสน เหมือนจะเริ่มด้วยศีล จึงจะรวมเป็นสัมมาสมาธิ แล้วกลายเป็นคนมีศีลเพราะมีสัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้น โดยวกกลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิเป็นจุดเริ่ม องค์อีก7 จึงจะตามมาสมังคี คล้ายคุณสับสนจะเริ่มด้วยศีลก่อน แต่กลับวกมาเป็นปัญญานำ(สัมมาทิฏฐิ) องค์อีก7 จึงตามมา ดูซ้ำซ้อนหลายชั้น

    พิจารณาดูจะคล้ายกันตรงสัมมาสมาธิโดยอนุโลมเอาว่าจะเกิดสัมมาสมาธิเพราะศีล แต่ก็ทำให้สงสัยว่าจะเอาศีลขึ้นก่อนหรือสมาธิขึ้นก่อน ที่สำคัญคล้ายสุดท้ายคุณสับสนกลับยกให้สัมมาทิฏฐิเป็นจุดเริ่มแทน ชื่อคุณเหมาะกับคุณแล้ว

    เราก็คิดว่าคุณจะคิดเหมือนคุณธรรมะสวนังเสียอีก

    เราเคยได้ยินว่า อริยมรรคมีองค์แปด สัมมาทิฏฐิเปรียบดังแสงอรุณ(หมายถึงการเกิดแสงสว่างทำให้เห็นอะไรกระจ่างแจ้ง) เปรียบดังหางเสือเรือ (หมายถึงเรือที่มีหางเสือก็จะเดินทางได้เร็วสะดวกไม่หลงทิศหลงทาง) บุคคลที่มีสัมมาทิฏฐินำนั้นจะเห็นอะไรชัดเจน ปฏิบัติได้เร็วเพราะเห็นชอบในธรรม องค์อื่นๆ ก็พลอยมีคุณภาพไปหมด

    เราชอบที่คุณสับสนนำเสนอนะ
    การเจริญสติปัฏฐานสี่ เท่ากับเป็นการเจริญอริยมรรคองค์แปด แม้นจะถือสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน แต่เราก็ไม่ทราบหรอก ว่าใครจะมีองค์ไหนนำตามจริตเขา หรือจะผลัดกันนำกันตาม จนเสมอสมังคี เกิดปัญญาญาณที่ไม่แปรผันอีก
    (สัมมาทิฏฐิกับสัมมาสังกัปปะฝ่ายสังขาร ยังไม่ใช่ญาณปัญญาที่เหนือสังขาร)

    นี่เป็นความเห็นเรา เจริญในธรรมค่ะ
    อย่างคุณไม่สามารถทราบหรอก
    ว่าเราศึกษาก่อนลงมือ หรือลงมือทำแล้วจึงมาศึกษาปริยัติ
    เพราะเราไม่ชอบวกวน พูดเหมือนรู้เรื่องแต่ไม่รู้ว่าจะรู้ดีหรือไม่
    เราชอบอะไรที่มีทางออก มีกุญแจ และมีแสงสว่างเป็นจุดหมาย

    :boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2010
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ท่านเต้าเจี้ยว..ในทางปฏิบัติคนมีศิล อยู่แล้ว... นั้นคือคนที่กำลังปฏิบัติ มรรคมีองค์8 สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เกิดแก่เขาแล้วอาจไม่รู้ตำรา จะสลับกันอย่างไร ก็ใช่ เพราะสติกับสมาธิจะเกิดพร้อมกันเสมอ..อ่อนเข้มต่างกันไป (และนี่ก็คือกำลังฝึกสติปัฏฐาน4 อยู่เหมือนกันโดยไม่รู้ตัวครับ)

    ภาคปฏิบัติ จิตอยู่แต่กับกายหรือจิต ไม่ส่งออก ไม่คิดชั่วอยู่ภายในกาย สัมมาสมาธิ หรือสัมมาสติ ...ก็เกิดแล้วในตัวเขา จะเข้มข้นหรือเบาบางก็อยู่ที่สติกำลังเกิดของผู้นั้นครับ หากนำมาจดจ่ออยู่แต่ภายในกายฐานใดฐานหนึ่ง ก็เท่ากับปฏิบัติสติปัฏฐาน4 อยู่แล้วครับโดยอาจไม่รู้ตามตำรา..และก็ทับซ้อนกับการปฏิบัติมรรคมีองค์8 ไปด้วยในตัวเพราะศิลเขาบริสุทธิ์ครับสัมมาทิฏฐิเกิดด้วย ?

    ผมเพิ่งจะเรียบเรียงได้จากที่ ท่านขันธ์พูดถึงการปฏิบัติแบบสัมมาทิฏฐิ จะทิ้งสมมุติทุกอย่างจะดูแต่จิตหรือตัวเองอย่างเดียว(สติปัฏฐาน4) ตรงกับ พระอาจารย์ จรัญ ฯลวัดสังฆทานท่านเทศน์ ทางวิทยุเรื่อง ปฏิบัติแบบมรรคมีองค์8 ...ผมจึงเข้าใจตามที่ท่าน ธรรมสวณัง โพสต์ว่าหากนำจิตมาตั้งที่ฐานใดฐานหนึ่ง(ในทางปฏิบัติจะเกิดเสมอ จิตไม่แส่ส่าย)ก็คือการปฏิบัติมรรคมีองค์8 ไปในตัวด้วยเช่นกันแบบไม่รู้ตัวและมีสติปัฏฐาน4 อยู่ด้วย แต่ท่านธรรมสวณังสื่อออกมาแบบ"รู้ตัว"ว่ามี...ผู้ที่เป็นหนอนตำราจึงยากจะเข้าใจครับ ทำครั้งเดียวโพชงค์37..อะไรนั่นก็จะเกิดมาพร้อมเพรียง กันในภาคลงมือทำนี้ หากจิตเป็นสมาธิสักครั้งหนึ่งครับ หากคุณเต้าเจี้ยวลองลงมือทำดูนะครับหรือทำแล้วยังไม่เกิดก็ต้องตรวจดู"ศิล"ครับ

    สรุปคือ คนที่ฝึกสัมมาสติ สัมมาสสมาธิ มรรคมีองค์8 แล้วสติปัฏฐาน4 จะสลับกันอย่างไร ในทางปฏิบัติ ก็จะเกิดขึ้นพร้อมกันได้เลยครับเพราะเขามีความคิดชอบ"ในองค์ศิล" อยู่แล้ว ซึ่งหนอนหนังสือจะไม่เข้าใจเด็ดขาด เพราะ"เข็มขัดสั้น" ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2010
  16. วิมลเกียรติ์

    วิมลเกียรติ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    588
    ค่าพลัง:
    +2,123
    อยากได้สมาธิ จึงฝึกสมาธิ
    อยากได้ฌาน จึงฝึกฌาน
    อยากได้สติ จึงฝึกสติ


    สมาธิและสติที่อยากได้อย่างนี้
    เริ่มต้นที่ตัณหาแล้ว ย่อมมิใช่
    สัมมาสติและสัมมาสมาธิไม่


    อยากได้ก็ต้องฝึก เรียกว่า "มิจฉาสมาธิ"
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ธรรมทั้งปวงเริ่มต้นที่กิเลสเป็นสิ่งหนุ่น

    เลือกเอาเองว่า จะใช้กิเลส คือความอยาก ไปทาง ดี หรือ ทางชั่ว

    กิเลสเปรียบเหมือนไฟ มีคุณก็อนันต์ มีโทษ ก็มหันต์
    ใครใช้ไฟเป็นก็เป็นคุณ ใครใช้ไม่เป็นก็เป็นโทษ


    ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นรากเหง้า
    มีมนสิการเป็นแดนเกิด
    มีผัสสะเป็นเครื่องกำเหนิด
    รวมลงในเวทนา
    มีสมาธิเป็นหัวหน้า
    มีสติเป็นใหญ่
    มีปัญญาเป็นเยี่ยม
    มีวิมุติเป็นแก่นสาร
    มีนิพพานเป็นที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2010
  18. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    ครับถูกต้องแล้ว.......... ผมก็ปฏิบัติมาในแนวนี้ครับ ทำให้กิเลสลดน้อยลง
    จิตใจเปลี่ยนไปจากเดิม รู้เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ใครบอก
    การถือศีลไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเรา เพราะศีลอยู่ในใจเราเสียแล้ว
    แม้แต่คิดให้ผิดศีลก็ไม่กล้า จิตใจมันไม่เอา ตอนนี้ก็ปฏิบัติไปเรื่อยๆ
    และต้องใช้โยนิโสมนสิการ พิจารณาอยู่เสมอ เพื่อให้การปฏิบัติถูกต้อง
    แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มี ใครได้ ใครเป็น อะไรเลย ทุกอย่างเป็นอนัตตา..

    อนุโมทนากับท่านโป ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2010
  19. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    อย่าประมาทนะ คุณโลกุตระ

    คนที่ภาวนาแบบนี้ได้ ไม่จำเป็นหลอกว่า ศีลจะบริสุทธิเสมอไป ยังพลาดได้
    ไม่เป็นท่าเลยหละ

    แต่คนที่ภาวนาแบบนี้ได้ แล้ว มั่นอกมั่นใจว่า ศีลบริสุทธิ การผิดศีลไม่เอา
    นี่ แปลว่า อธิษฐานค่อนข้างทำมาดีเท่านั้น

    เพราะถ้าศีลดีนะ เราไม่มีอะไรมาภาวนาหลอก ดังนั้น ไม่ควรปรารภว่า
    ศีลดี เร็วเกินไป เว้นแต่ จะมีฐานะอยู่จบพรหมจรรย์
     
  20. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    ต้องขออภัยครับ ที่ระบุไม่ชัดเรื่องศีล หมายถึงศีล 5 ของฆราวาสครับ
    (ไม่ใช่ศีลของผู้ถือพรหมจรรย์) ผมรู้สึกตามที่ผมระบุจริงๆครับ
    ทั้ง 5 ข้อแม้แต่คิดก็ไม่กล้าทำครับ...(ในความรู้สึกลึกๆ ผมตอนนี้
    ศีล 5 เป็นเรื่องธรรมดา ของชาวพุทธที่ปฏิบัติถูกต้อง)

    แต่คำเตือนของท่านผมน้อมรับครับ เพราะทุกอย่างเหมือนที่ท่านว่า
    คือถ้ายังไม่ถึงฝั่ง อะไรก็เกิดขึ้นได้หมด ...เผอิญว่าความรู้สึกพาไป
    ผมได้ไปเขียนเรื่องศีลลึกเกินไป เหมือนโอ้อวดตน(พลาดไปแล้ว)
    ช่วงนี้เป็นอย่างนี้ อนาคตข้างหน้าเราก็คาดหวังว่าจะดี
    เพราะเหตุตอนนี้ดี ผลน่าจะดี เป็นตรรกะของปุถุชนเท่านั้น

    ขอบคุณที่ท่านเล่าปังชี้แนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...