วันสิ้นยุคเป็นปี 2030,กับข่าวลือต่างๆที่เกิดขึ้นจักรวาลมีข่าวมาแจ้ง

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ดูท่านอยู่นะครับ, 6 มีนาคม 2008.

  1. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : นอกจากมนุษย์แล้ว มีสิ่งมีชีวิตใดในโลกที่มีจิตวิญญาณ และมีความคล้ายหรือแตกต่างกันอย่างไร

    ตอบ : นอกจากมนุษย์แล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เหมือนมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานก็ไม่เหมือนมนุษย์ ถึงแม้ว่าสัตว์เดรัจฉานบางชนิดสามารถจะสร้างความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณกับมนุษย์ก็ตาม แต่ก็ไม่เหมือนมนุษย์ ไม่ได้เป็นแบบเดียวกับมนุษย์

    ถาม : ขบวนการในขณะที่มนุษย์บุคคลแรกกำเนิดขึ้นบนโลกเป็นอย่างไร(มนุษย์คงไม่มีวิวัฒนาการเป็นล้านๆปีใช่หรือไม่

    ตอบ : มนุษย์ที่เกิดขึ้นบนโลก พระเยซูคริสต์ ท่านได้เล่าเป็นนิทาน กึ่งๆนิทานไว้ให้ฟังแล้ว มนุษย์คู่แรกได้มาจากเอาสัตว์เดรัจฉานที่เป็นพันธ์หนึ่ง ชนิดหนึ่งที่มันวิวัฒนาการตัวเองขึ้นมาบนโลกมนุษย์ จนโครงสร้างทางชีววิทยาของมันวิวัฒนาการถึงขีดสุด จิตหยาบของมันที่เริ่มจากความเป็นจิตของเดรัจฉานที่เรียกว่าสัญชาติญาณ ได้วิวัฒนาการถึงขั้นที่เรียกว่า จิตหยาบได้ แล้วก็เลือกเอาที่เป็นต้นพันธ์เพศผู้ เพศเมีย จำนวนหนึ่ง นำเอาไปเพื่อจะไปสร้างกระบวนการบางอย่างเพื่อจะวิวัฒนาการทางชีววิทยา ในโครงสร้างทางชีวภาพบางส่วนให้มันมีความเหมาะสมที่จะสามารถนำเอาจิตวิญญาณซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานจากต่างมิติเข้าไปอยู่ข้างใน เพื่อที่จะให้มาเป็นต้นพันธ์ของความเป็นมนุษย์ ที่มีความเหมาะสมที่จะใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมนั้น ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกได้ เพราะฉะนั้น รูปธรรมในปัจจุบันนี้เรามีบรรพบุรุษผู้สร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมเอาไว้แล้วให้มันวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ
    การวิวัฒนาการ ก็คือ การทำให้จิตหยาบเบื้องต้น มันวิวัฒนาการเป็นจิตที่ละเอียดสูงขึ้นๆ ซึ่งจิตมนุษย์เราในความเป็นสิ่งที่มีชีวิต มันวิวัฒนาการได้ถึงระดับที่ 5 - 6 ปัจจุบันนี้จิตของมนุษย์เราที่อยู่ในโลกที่ทำไปจะทำได้ระดับ 3 - 4 คือ จิตที่รู้วิเคราะห์

    ถาม : สัตว์ที่ว่านี้ คือ ลิงใช่หรืไม่

    ตอบ : อยากให้ฟันธงจริงๆแล้วไม่ใช่ลิงอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน เผ่าพันธ์ที่เป็นต้นพันธ์แต่ไม่ใช่ต้นพันธ์มนุษย์ แต่เป็นต้นพันธ์ที่เขาเอาไปวิวัฒนาการทางพันธุกรรมให้มาเป็นโครงสร้างอย่างมนุษย์เรานี้ สัตว์ชนิดนั้นที่มันวิวัฒนาการสูงสุดที่เป็นเดรัจฉานนั้น มันไม่เหลือแล้วบนโลก ทุกอย่างเมื่อมันถึงจุดสิ้นสุด มันย่อมมีเสื่อสลายแล้วดับไป (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป) ฉะนั้นลิงที่เราเห็นอยู่ไม่ใช่บรรพบุรุษของเราหรอก คือ มีการขนย้ายส่งลงมาโดยใช้พาหนะข้ามจักรวาล โดยเอาสัตว์ชนิดนั้นไปทำนอกโลก แล้วก็เวลามาวิวัฒนาการมาทดลองก็ใช้โลกเราเองเป็นสถานที่ปฏิบัติการด้วย เพราะสมัยก่อนสิ่งมีชิวิตบนโลกเรายังน้อยอยู่ ทำไปก็ไม่มีใครเห็น ผู้กระทำเป็นรูปธรรมสิ่งที่มีชิวิตแบบเดียวกับมนุษย์ ซึ่งเขามีความเป็นมนุษย์มาก่อนเราเป็น แสนปี ซึ่งทุกวันนี้เขาต้องมาคอยดูแล มาช่วยเหลือมนุษย์อย่างพวกเราอยู่ เพราะเป็นลูกหลานของเขา มีความเป็นห่วงเพราะเราบรรลุการรู้แจ้งไม่ได้เลย ไปหาอะไรก็ไม่ทราบที่มันงมงาย ไม่ได้แสวงหาปัญญา
     
  2. มะกะโท

    มะกะโท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2008
    โพสต์:
    533
    ค่าพลัง:
    +373
    เมื่อสรรพสิ่งเท่ากัน เหมือนกัน


    ถามว่า


    ตรงไหนมืด? ตรงไหนสว่าง?
    ตรงไหนมีมวล? ตรงไหนว่างมวล?


    แล้วจักตอบได้หรือ?


    ในเมื่อคราวที่สรรพสิ่งเท่ากันนั้น

    มืดเท่ากับสว่าง มืดจึงไม่มี สว่างจึงไม่มี
    ความว่างมวลเท่ากับความมีมวล ว่างมวลจึงไม่มี มีมวลก็ไม่มี


    เพราะ ณ จุดเริ่มต้นนั้น คือ "เท่ากัน เหมือนกัน" แต่ "ไม่นิจจัง"
     
  3. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480

    เมื่อสรรพสิ่งเท่ากัน เหมือนกัน คำนี้ทำไมถึงเอามาเฉพราะตรงนี้ส่วนคำอื่นมีอะไรบ้างละท่าน
    ไม่ทราบว่า ท่านถามหรือไม่ ถ้าถามก็เป็นคำถามที่ ท่านรู้แค่ท่านเท่านั้น เหมือนกับการอวดรู้ ว่าฉันรู้เรื่องคำเหล่านี้
    ต้องขอโทษด้วยนะครับ ขอเป็นหลักการของคนทั่วไปนะครับ ท่านเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ท่านมาพูดลอยๆ โดยไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจักรู้เรื่องกับท่านหรือเปล่า ถามให้เป็นวิทยาศาสตร์สิท่าน ธรรมมะเขา คุยกันเป็นวิทยาศาสตร์ได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2008
  4. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : พลังงานความรักใช่พลังงานสูงสุด เป็นหนึ่งเดียวในจักรวาลใช่หรือไม่ สามารถอธิบายคุณลักษณะเพิ่มเติมได้อย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานรูปแบบอื่น เช่น พลังงาน 4 อย่างในจักรวาล 7

    ตอบ : ถ้าพูดถึงเรื่องพลังงานความรักแล้ว ให้มันออกวิทยาศาสตร์ คือ คลื่นความถี่ที่มันสั่นสะเทือนทางด้านบวก ถ้าอะไรก็ตามที่เป็นคลื่นความถี่ด้านบวกเราเรียกว่า คลื่นความรัก ถ้ามันเกิดขึ้นในจิตใจมนุษย์ รู้สึกว่า มันคืออารมณ์รัก แต่ว่า คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าด้านบวก ที่เรียกว่า ความรักนั้น มันจะสั่นสะเทือนสูงสุดได้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่า ความรักที่สั่นสะเทือนเกิดขึ้นนั้นมันมีเหตุมีปัจจัยหรือไม่ หมายความว่า มันมีเงื่อนไขหรือไม่ ที่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนออกมาเป็นความรัก มีเป้าหมายหรือไม่ ถ้าไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีเป้าหมาย ก็จะเป็นแรงสั่นสะเทือนที่เป็นด้านบวกที่เรียกว่า สั่นรุนแรง มันจะสะเทือนไปทั้งจักรวาลเลย คือ ต้องไม่มีเงื่อนไขจูงให้มันเกิดและต้องไม่มีเป้าหมายที่จะทำให้มันเกิด แล้วมันจะเป็นคลื่นความถี่ที่บริสุทธิ์ เหมือนดวงอาทิตย์ที่ให้พลังงานออกมาเรื่อยๆ

    ถาม : จักรวาลกำเนิดขึ้นอย่างไร เริ่มจากความว่างใช่หรือไม่ อย่างไร มีพลังงานอะไรที่สร้างจักรวาลจากความว่าง มีเจตนาอย่างไร ขบวนการเริ่มแรกของความไม่มีไปสู่ความมี ทั้งองค์รวมเป็นอย่างไร

    ตอบ : ความว่าง ความโล่ง ที่มนุษย์พูดถึง มนุษย์ใช้ประสิทธิภาพใช้ระบบสัมผัส ทั้ง 5 - 6 ของมนุษย์เป็นมาตรวัด ที่มนุษย์มองว่ามันไม่มีนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ว่างเปล่า เช่น เอาแก้วเปล่ามาวางไว้ มนุษย์บอกว่านั้นคือ ความว่าง แต่จริงๆมันว่างจริงหรือไม่ในทุกๆที่ ในเอกภพ ไม่มีที่ใดที่ว่าง โดยไม่เหลืออะไรเลย แม้กระทั่งในความว่างที่คนเข้าใจว่า เป็น สุญญตา ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มันก็ยังมี ไม่มีที่ว่างจนไม่มีอะไรเลย ไม่มี มันเป็นความเข้าใจที่งมงายของมนุษย์ ( เช่นที่บอกว่าจักรวาลคือที่ว่างโล่งอันไร้ขอบเขต) มันเป็นความเข้าใจของมนุษย์แบบวิทยาศาสตร์ เพียงแค่มนุษย์ใช้มาตรวัดจากความสามารถของกลไกระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 - 6 คือ การนึกเองคิดเอง หรือจินตนาการ มนุษย์จะใช้ตรงนั้นมาเป็นมาตรวัดไม่ได้ ถ้าใช้ตรงนั้นแสดงว่า มนุษย์กำลังหลงตนเอง คุณเปรียบเทียบอะไรง่ายๆ ก็ได้ ที่บ้านคุณเลี้ยงหมาหรือเปล่า หมามันยังเห็นอะไรในย่านความถี่ที่ตาคุณมองไม่เห็น เช่นในความมืด หมากับแมวมันยังเห็นได้ แต่คุณยังมองไม่เห็น หรือหมายังได้ยินเสียงในคลื่นความถี่บางระดับที่หูคนเองยังไม่ได้ยินเลย เอาแค่นี้ก็พอ ฉะนั้น คุณอย่าไปคิดว่า สิ่งที่คุณมองไม่เห็นว่ามันไม่มี จะไปมองว่าสิ่งตรงนั้นคือ ความว่างไม่ได้ ที่ว่างมันยังมี(จักรวาลเกิดจากที่ว่างโล่ง แล้วจู่ๆมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรจากคำถามตอนแรก) นักวิทยาศาสตร์พูดไว้ว่า จักรวาลเกิดจากการระเบิดใหญ่ ถามว่าเมื่อเกิดจากการระเบิดใหญ่จุดเริ่มต้นของมัน ระเบิดจากการที่ไม่มีอะไรเลยหรือนั่นคือสิ่งที่มนุษย์ถามกันเองในความคิด ต้องมีซิครับ ในที่ว่างโล่งมันต้องมีสรรพสิ่ง มีรูปธรรม คือ พลังงานที่ตามนุษย์เรามองไม่เห็น มีหลายๆย่านความถี่แล้วก็มีคลื่นความถี่ที่สามารถยึดเหนี่ยว หรือเหนี่ยวรั้งพวกมวลที่หยาบๆที่ไม่ใช่เป็นอนุภาคของพลังงานธรรมดา ซึ่งในที่ว่างมันก็มีที่เรานั่งอยู่ มันก็มีฝุ่นละออง มีออกซิเจน มีไนโตรเจน อะไรมากมายที่เรามองไม่เห็น มันล่องลอยอยู่ในนั้น มันก็เกิดขึ้นเองมาโดยธรรมชาติ มันมีของมันอยู่อย่างนั้น เป็นธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าเคยบอกว่า บางอย่างอย่าถามเลย มันเป็นอาจิณไตย อธิบายแล้วคุณก็งง ยิ่งสับสน ยิ่งสงสัย เอาเป็นว่า ในที่ว่างอย่าคิดว่ามันไม่มี มันมี พอนานๆเข้ามันมีการรวมศูนย์เกิดขึ้น หมายความว่า ทุกๆอย่างมันจะพุ่งเข้าหาจุดศูนย์กลาง จะเข้าไปรวมกันที่จุดศูนย์กลางเหมือนกับเป็นการตกตะกอนของน้ำ จุดศูนย์กลางมันอยู่ตรงไหนมันก็จะไปอยู่ตรงนั้น พอมันอยู่ตรงจุดศูนย์กลางแล้ว พวกนั้นคือคลื่นพลังงานด้วย มันก็จะอัดตัวกันอยู่ที่จุดศูนย์กลางอัดกันแน่นเข้าๆๆๆ อัดเข้าสู่ความเป็นศูนย์กลางที่มีทั้งบวกและลบ พอมันถึงระดับหนึ่ง มันอัดกันแน่นไม่ไหว มันไม่มีที่จะอยู่มันก็ต้องแตกตัวออกเพื่อให้มันกระจาย แล้วก็มาอัดรวมตัวกันใหม่ และแตกตัวออกแบบเดิม ทุกวันนี้มันก็ยังเกิดขึ้นอยู่ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ ถ้าเริ่มต้นด้วยการคิดผิดที่ว่า ในที่ว่างมันไม่มีอะไร เราจะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ เราต้องบอกว่าที่ว่างโล่งนั้นมีทุกสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้และดูไม่เห็นมีแน่นอน
    การระเบิดออกได้มันก็คล้ายๆกับการที่จิตจักรวาลแบ่งภาคตัวเองออกมาเป็นจิตวิญญาณเกิดจากการระเบิดย่อย เป็นการระเบิดแค่พื้นผิวนอกของตัวมัน เพื่อเอามวลนั้นออกมา แต่เราไม่เรียกว่า ระเบิด เราพูดให้ฟังเข้าใจง่ายๆ ก็บอกว่าแบ่งภาคตัวเองออกมาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองที่จะต้องเดินทางกลับไปหาความเป็นแก่นแท้ของตัวเองอยู่วันยังค่ำ หมายความว่าต้องกลับไปรวมกับตัวเอง ก็เหมือนกัน แตกแล้วก็ต้องกลับไปที่เดิม ที่นี้แตกตัวออกมาเป็นมนุษย์แล้วมันไม่ยอมกลับ มันก็เลยมีปัญหา ทางนั้นก็ต้องรออยู่อย่างนั้น ขบวนการนี้มันเป็นของมันเช่นนั้น ไม่มีเจตนา ไม่มีใครไปบงการมัน แต่ยกเว้นมนุษย์อย่างเดียวเท่านั้นที่พูดถึงมิติโลกเป็นหลัก ไม่ได้พูดถึงดาวเคราะห์ดวงอื่นที่มีรูปธรรมที่มีชีวิต อธิบายได้ว่า จักรวาลคือที่ว่างโล่ง แต่มีสรรพสิ่งแล้วเกิดจากการระเบิดอย่างแท้จริง เพราะมวลเหล่านั้นและคลื่นความถี่ทางพลังงานเหล่านั้นไปรวมตัวกันที่จุดศูนย์กลาง แล้วอัดกันแน่นเกินกว่าที่มีปริมาตรที่จะรองรับมันไว้ มันก็จะระเบิดออก จุดที่อยู่ศูนย์กลางก็จะแผ่ออกมาภายนอก พอแผ่ถึงที่สุดแล้วก็จะม้วนตัวกลับเข้าไปข้างใน ขณะที่ข้างในก็จะม้วนตัวสวนออกมาภายนอก มันจะเป็นอย่างนี้เสมอ
     
  5. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : จิตสำนึกมนุษย์หยุดวิกตฤโลกได้จริงหรืเปล่า

    ตอบ : จิตสำนึกมนุษย์หยุดวิกฤตโลกหยุดได้ 100 % เพราะมนุษย์เราเป็นรูปธรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณ และเพื่อเป็นเพื่อนร่วมงานของดาวเคราะห์โลก โดยให้ใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมของมนุษย์เราทำหน้าที่ทางกาย ในการรักษาความสมดุลของดาวเคราะห์โลกเอาไว้ และให้จิตมนุษย์ร่วมกับสติปัญญาที่เกิดจากสมอง ทำหน้าที่ให้เกิดการกระทำในอีกด้านหนึ่ง คือตรงข้าม คือ ด้านมิติคู่ขนาน ซึ่งเป็นมิติของพลังงานไปพร้อมๆกันด้วย เวลาเราคิดอะไรเรารู้สึกอะไร อย่างไรแล้วเราก็มักจะกระทำเช่นนั้นเสมอ ก่อนที่จะกระทำมนุษย์มักจะมีอารมณ์รู้สึกเกิดขึ้นก่อน อารมณ์รู้สึกเหล่านั้นมันเกิดขึ้นจากจิตใจของมนุษย์ เป็นพฤติกรรมภายใน ภาษามนุษย์เรียกว่า อย่างนั้น ฉะนั้นคำว่า จิตสำนึก หมายถึง การสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกและการนึกเพื่อจะก่อให้เกิดการกระทำออกมาในมิติทางกายภาพ มนุษย์ยอมรับหรือไม่ว่า จิตมนุษย์มีพลัง มีพลังจิต ก็คือ กระแสของคลื่นจิตของมนุษย์ที่มันถูกปลดปล่อยออกมา ความคิดของมนุษย์จะแผ่ออกมาภายนอกได้ก็ต้องอาศัยคลื่นความถี่ของจิตของมนุษย์เองเป็นตัวน้อมนำมันออกมา ลำพังคลื่นสมองของมนุษย์จะปลดปล่อยออกจากร่างกายมนุษย์ไม่ได้ เพราะมันเป็นคลื่นไฟฟ้าเคมีที่มันอยู่ในร่างกาย แต่คลื่นจิตมันจะมีคลื่นความถี่ของสมองซึ่งเป็นคลื่นของความคิดของความรู้ติดออกมา เพราะคลื่นความคิดมันเป็นคุณสมบัติของคลื่นของจิต
    จิตสำนึกมนุษย์สามารถหยุดวิกฤตโลกได้ เพราะว่า เรามอง 2 ด้านพร้อมกันในการกระทำใดๆของมนุษย์ ผ่านจิตสำนึก คือเรามองด้านการกระทำที่เรากระทำด้านกายภาพต่อมนุษย์คนอื่น และต่อทุกสรรพสิ่ง และขณะเดียวกันที่มนุษย์ไม่รู้ก็คือ มนุษย์มีอารมณ์รู้สึกที่สามารถแปลระบบของคลื่นไฟฟ้าเคมีในร่างกายออกมาเป็นคลื่นความถี่ ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก ทางภานนอกร่างกายได้ ซึ่งมนุษย์มองไม่เห็น แต่มนุษย์เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม เชื่อเรื่องผลของกรรม
    แต่มนุษย์ไม่รู้ว่ากรรมเกิดได้อย่างไร มันคืออะไร มันข้ามภพชาติที่เราจะต้องตอบสนองมันอย่างไร กรรมเหล่านั้นคือ กรรมทางอารมณ์ทั้งสิ้น อารมณ์ของมนุษย์คือ คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กที่มันเป็นทั้งบวก คือ กรรมดี ทั้งลบ คือ กรรมชั่ว แต่ถ้าหากมันจะเป็นกรรมก็ต่อเมื่อเราสั่นสะเทือนทางด้านลบ คือมีอารมณ์หยาบๆทางด้านลบ และแน่นอนมันจะมีคุณสมบัติทางความคิดชั่วคิดไม่ดีติดออกมากับอารมณ์ ด้านลบที่คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กที่จะไปปรากฏเป็นปรากฏการณ์ในจักรวาลโลกได้ด้วย ที่ถามว่า วิกฤตโลกเกียวข้องกับจิตสำนึกของมนุษย์อย่างไร หน้าที่หลักของมนุษย์เราคือ การมาเกิดบนดาวเคราะห์โลก เพื่อจะใช้แรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวก สร้างความสมดุลในหมู่มนุษย์ชาติ กับทุกสรรพสิ่งในระบบโลกด้วยกัน นั่นคือมิติทางกายภาพ และมีหน้าที่ให้คลื่นความถี่ทางพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก เพื่อจะช่วยเหลือดาวเคราะห์โลกของเราในทางพลังงาน เพื่อจะทำให้โลกของเราหมุนรอบตัวเองอย่างคงที่ได้ อย่างตลอดเวลาและต่อเนื่องตลอดไป ถ้าโลกเราไม่มีมนุษย์อยู่ ดาวเคราะห์โลกก็จะหมุนช้าลงเรื่อยๆเหมือนลูกข่าง ในที่สุดมันก็จะหยุดหมุน และจะทำให้จักรวาลเสียสมดุลและมีปัญหา ในช่วง 10 ปีที่มีปัญหาก็เกิดจากจิตสำนึกของมนุษย์นั้นบกพร่องไม่ได้เกิดจากเหตุอื่นเลย
     
  6. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : ความรู้ต่างๆ ที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศอยู่ในกฏเกณฑ์ของจักรวาลทั้งหมด หรือไม่

    ตอบ: ทุกๆความรู้ ทุกๆศาสตร์ในสากลจักรวาลไม่ว่าจะอยู่ในโลกนี้ หรือที่ไหนก็ตาม มันเป็นศาสตร์ของจักรวาลทั้งสิ้น ทั้งด้านบวกและด้านลบ แต่สิ่งที่มนุษย์เราควรสัมผัสควรจะสนใจให้รู้ จะต้องตอบตนเองให้ได้ว่า ศาสตร์ที่เราไปแสวงหาไปศึกษามัน เป็นด้านบวกหรือลบ และบวกคืออย่างไรและลบคืออย่างไร

    ถาม : ขอคำอธิบายคำว่า จิตจักรวาลดวงใหญ่

    ตอบ : จิตจักรวาลดวงใหญ่ ถ้าพูดภาษามนุษย์ก็คือ ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ เป็นดวงอาทิตย์ที่เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของผู้สร้างกระบวนการต่างๆ ให้เกิดขึ้นในมหจักรวาลอันกว้างใหญ่ที่เราเรียกว่า เอกภพ เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง ของการเปลื่ยนแปลง ของการดำรงอยู่และเป็นจุดสุดท้ายของขบวนการนั้นๆด้วยว่าหมายความว่าเป็นจุดรวมศูนย์ของทุกสรรพสิ่ง
    ยกตัวอย่าง ง่ายๆ ศาสดาทุกพระองค์ที่เป็นบรมศาสดาที่แท้จริง เช่น พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ที่มนุษย์รู้จัก ก็ล้วนมาจากที่เดียวกัน มาจากดวงอาทิตย์ดวงนี้ แล้วมีกราแบ่งภาคตัวเองออกมา มาทำหน้าที่อะไรต่างๆทำหน้าที่ให้สิ้นสุดแล้วต้องหาทางกลับที่เดิม จะกลับไปรวมกันอยู่ที่เดิมเป็นหนึ่งเดียวกันที่นั้น เมื่อเริ่มจากตรงนั้นก็ต้องกลับไปสู่ที่เดิมตรงนั้นเหมือนเดิม จิตจักรวาลดวงอื่นๆก็แตกมาจากจิตจักรวาลดวงใหญ่เหมือนกัน เพื่อช่วยเหลือในการทำหน้าที่ในการสร้างกระบวนการภายมนระบบ แต่จิตจักรวาลดวงใหญ่อยู่ภายนอกระบบ เป็นเริ่มต้นและเป็นผู้สิ้นสุด เพราะฉะนั้น จิตจักรวาลทุกรูปธรรมที่ยังดำรงอยู่ในสนามพลังงานจักรวาลสากลนั้นอยู่ในภาวะที่เราเรียกว่า นิพพาน เท่านั้น ไม่ใช่ปรินิพพาน คำว่า ปรินิพพาน หมายความว่า จะไม่มีโอกาสจะต้องมาเกิดตามหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำอีก โอกาสในการเกิดของรูปธรรมทางพลังงานมันไม่ได้หมายความถึงรูปธรรมจิตวิญญาณที่ต้องกลับมาเกิดแน่ๆเพราะมีพันธกรรม มีพันธสัญญายังเหลืออยู่ แต่จิตจักรวาลนั้นไม่มี แต่เป็นผู้ทำหน้าที่ เป็นผู้ช่วยเหลือเป็นเครื่องไม้เครื่องมือหรือเป็นตัวแทนของจิตจักรวาลดวงใหญ่ในการจะรักษาทั้งระบบ ให้สมดุลเอาไว้อย่างต่อเนื่อง

    ถาม : ก็แสดงว่า จิตจักรวาลดวงใหญ่กับจิตจักรวาลทั่วไป มีส่วนแตกต่างกันในส่วนของบทบาท แต่คุณสมบัติเหมือนกัน(จิตจักรวาลทั่วไปก็มีสิทธิกลับมาสู่รูปธรรมมนุษย์ได้)

    ตอบ : ใช่ บทบาทหน้าที่ต่างกันแต่คุณสมบัติเหมือนกัน จิตจักรวาลดวงใหญ่ และจิตจักรวาลทั่วๆไปที่เป็นครูของผม ล้วนถึงกันหมด เพียงแต่ไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน ในสถานที่ดำรงอยู่เท่านั้น บทบาทหน้าที่จิตจักรวาลดวงใหญ่มีคุณสมบัติอยู่อย่างเดียว คือ ความรักเท่านั้น จิตจักรวาลทั่วๆไปมีโอกาสที่จะกลับไปรวมกับจิตจักรวาลดวงใหญ่ แต่ต้องกลับมาเป็นมนุษย์ก่อนถึงจะสามารถปรินิพพานได้ ต้องใช้จิตมนุษย์นี้แหล่ะ ถึงบอกว่า จิตมนุษย์มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ดวงอาทิตย์ที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ที่เราเห็น ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่มีดวงเดียว ขอย้ำมีดวงเดียว เดี๋ยวมันจะมีมนุษย์ไปแตบงว่า มีหลายๆดวง ที่เรามองเห็นไม่ใช่ เพราะดาวฤกษ์ทุกดวงก็เป็นดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ในเอกภพมีนับไม่ถ้วน แค่กาแลกซียังมี 150,000 ล้าน กาแลกซี แค่กาแลกซีในทางช้างเผือกยังมีดาวฤกษ์ที่เป็นดวงอาทิตย์นับแสนล้านดวงนับไม่ถ้วน ส่วนพระอรหันต์ที่บรรลุมรรคผลจะกลับไปสู่จุดของจิตจักรวาล คือ ยังไม่ถึงจิตจักรวาลดวงใหญ่หรือปรินิพพาน มีแต่บรมศาสดาหรือพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะกลับไปสู่จุดเดิมที่มาได้

    ถาม : ถ้าเราตั้งเป้าหมายว่า เราจะนิพพานหรือปรินิพพาน ?

    ตอบ : ถ้าคุณตั้งเป้าหมายคุณจะไม่ถึงเลย ในจักรวาลนี้ขบวนการต่างๆมันจะไปถึงจุดสุดท้ายเอง เพราะมันต้องเป็นเช่นนั้น มนุษย์วางวัตถุประสงค์ไว้ว่า สุดท้ายสูงสุดของฉัน คือ นิพพาน หรือ ปรินิพพานได้ แต่ต้องเริ่มต้นทำเดียวนี้ ตามที่พระองค์สอนไว้ ถือศิล ปฏิบัติธรรมต้องรู้ด้วยว่าทำเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ถ้าคุณตั้งเป้าหมายไว้ว่า คุณจะไปนิพพานและปรินิพพานคุณต้องเดินให้ถึงนิพพานเสียก่อน เมื่อนิพพานแล้วกลับไปเป็นจิตจักรวาลดังเดิมแล้วคุณมีประสบการณ์แล้ว โอกาสต่อไปที่คุณจะไปให้ถึงปรินิพพาน คุณก็เดินทางกลับมายังโลกใหม่ได้ คุณใช้เวลาเพียงยกระดับตัวคุณเองให้เข้าถึงแก่นแท้ของตัวคุณ ต้องใช้เวลาหลายภพชาติเหมือนกัน
     
  7. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ดวงอาทิตย์ คือ สิ่งที่สูงสุดในจักรวาล จิตจักรวาลจึงนำมาเป็นตัวอย่างให้มนุษย์มีสติทางวิญญาณ
    นักวิทยาศาสตร์โลกยังไม่รู้เลยว่า ยังมีดวงอาทิตย์ดวงใหญ่อยู่นอกเอกภพ ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่อยู่นอกมหจักรวาล เพราะเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้และคอยดูแลอยู่ นั่นหมายความว่า มหจักรวาลทั้งเอกภพประกอบด้วย 150,000 ล้านกาแลกซี ก็ต้องโคจรรอบๆจิตจักรวาลดวงใหญ่ทั้งหมดมีมหจักรวาลเดียว โดยมีจิตจักรวาลดวงใหญ่เป็นจุดศูนย์กลาง ทุกอย่างจะต้องหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อสร้างความสมดุลของระบบ ส่วนใหญ่จะหมุนทวนเข็มนาฬิกา แต่จะมีดาวเคราะห์บางดวงเท่านั้นที่หมุนตามเข็มนาฬิกา เพราะมันเป็นศาสตร์ของการใช้พลังอำนาจในการเหนี่ยวรั้วซึ่งกันและกันให้เกิดความสมดุลเอาไว้ เนื่องจากจิตจักรวาลดวงใหญ่มีความรักก็เหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้ คุณจะหมุนซ้ายหรือขวาก็ได้ แต่ความเป็นจริงแล้วมันหมุนทวนเข็มนาฬิกา ผลรวมของการโคจรของกาแลกซีทั้งระบบในเอกภพ มันจะต้องทำให้เอกภพทั้งระบบโคจรในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา รอบจิตจักรวาลดวงใหญ่นั้นเองผลรวมของ 150,000 ล้านกาแลกซี จะต้องหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา บางอันก็หมุนทวนเข็ม บางอันก็หมุนตามเข็ม และในระบบกาแลกซีตัวเองก็ยังมีระบบสุริยะจักรวาลย่อยอีก ซึ่งมันจะมีดาวเคราะห์แต่ละดวงหมุนทวนก็มี หมุนตามเข็มก็มี ก็หมุนทำให้เกิดแรงเข้าสู่จุดศูนย์กลางทั้งสิ้น ผลรวมของการหมุนของมหจักรวาล ที่เรียกว่า เอกภพทั้งหมด มันเลยทำให้เกิดการเหวี่ยงตัวของทั้งระบบในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา รอบจิตจักรวาลดวงใหญ่

    ถาม : วิธีที่อาจารย์ปริญญา ตันสกุล สื่อกับจิตจักรวาลเป็นวิธีที่สูงสุดหรือยัง

    ตอบ : ถ้าสำหรับความเป็นมนุษย์แล้ว เส้นทางสายนี้คือ เส้นทางที่จะนำมนุษย์ไปสู่การเป็นนักรบแห่งแสงสว่าง เส้นทางเดียวเท่านั้น

    ถาม : ถ้าระหว่างเดินทางไปนี้ ถ้าไปเจอพลังงานลบ หรือพวกซาตานเข้าละครับ

    ตอบ : คุณก็อย่าทำตัวเป็นเป้า คือ รับรู้แต่ไม่รับเอา ถ้าพูดในภาษาของมนุษย์ก็คือ การเกิดอารมณ์ที่เป็นกิเลส 3-4 อย่าง คือ รักเพื่อต้องการสิ่งตอบแทน โลภ โกรธ ลุ่มหลง สงสัย หรือที่พระพุทธองค์ เรียกว่า โมหะ นั่น คือ การรับเอา เพราะว่า มันมีเหตุทำให้เรา เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น แสดงว่าเราเป็นเป้า ถ้าตัวเราไม่เป็นเป้าแสดงว่าจิตเรา จะต้องไม่สั่นไหวไปตามสิ่งใดๆทั้งสิ้น ถ้าเราไม่สั่นไหวเป้ามันก็จะไม่เกิด คำว่าเกิดเป้า เพราะว่า คุณปาลูกดอกไปที่เป้า คุณเจออะไรมาเป็นสิ่งเร้ามาสัมผัสที่ตัวคุณ คุณไม่สั่นไหวไปตามมัน นั่นแสดงว่า คุณไม่ได้เป็นเป้าให้มัน คุณต้องทำจิตหยาบของคุณให้ใสบริสุทธิ์ มีคุณสมบัติเสมือนหนึ่งเป็นจิตวิญญาณของคุณให้ได้ แล้วยังไม่พอ คุณต้องทำจิตของคุณให้ปลอดไปจากโลภ โกรธ หลง ด้วยมีแต่ความรักอย่างเดียว และเป็นรักที่ถูกต้อง รักแบบไม่ตั้งเป้าหมายด้วย
    อีกอย่างทำตัวให้ไม่เป็นเป้าเพียงแค่คุณรับรู้ว่าคุณเจอสิ่งที่ไม่ดีงาม แล้วคุณเกิดความกลัวแต่คุณไม่สงสัย แต่คุณกลัวมันคุณก็กำลังสร้างเป้าของตัวคุณเอง เพื่อรองรับสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความกลัวในลักษณะของความห่วงใย หวั่นไหว ไม่ว่าจะเพื่อตัวเราหรือใครก็ตาม มนุษย์ทุกคนทั้งโลกเป็นหนึ่งเดียวกัน คุณหวังดีกับเพื่อนมนุษย์คนอื่น กลัวคนอื่นต้องตาย คุณเลยช่วยเหลือเขา ตรงนั้นคุณก็สร้างเป้าของคุณเรียบร้อยแล้วคุณต้องทำตัวให้เหมือนดวงอาทิตย์ที่ให้แต่ความร้อนและแสงสว่างอย่างเดียว
     
  8. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    หมายความว่าถ้าจะกลับไปสู่จิตจักรวาลดวงใหญ่ ต้องเป็นพระพุทธเจ้าสถานเดียวใช่หรือเปล่า ส่วนการปรารถนาเป็นพระอรหันต์ก็จะได้เป็นเพียงจิตจักรวาลทั่วไป แล้วถ้าเป็นจิตจักรวาลทั่วไป (หมายถึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์) จะไม่อยากกลับมาเกิดอีกได้หรือไม่ (เพราะพระที่ท่านสำเร็จอรหันต์ ท่านบอกว่าจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว)
     
  9. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ตอบว่า ได้ครับ เมื่อเรากลับคืนไปรวมกับ จิตจักรวาล ได้แล้ว เราสามารถที่จะเลือกอยากกลับมาเกิดใหม่ได้ และเลือกจะไม่กลับมาเกิดใหม่ก็ได้ครับ
    แต่พระพุทธองค์ท่าน ปรินิพพานไปแล้ว คือท่านไม่กลับมาอีกแล้วครับ เพราะมาแล้ว กลับได้ยากมากครับ ขนาดท่านอย่างน้อยๆ 500 ชาติโน่นแน่ะ ท่านรู้แล้วว่ามันยากท่านเลยไม่กลับมาอีกแล้วครับ
     
  10. sarantip

    sarantip Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2008
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +88
    เห็นด้วยกับคุณ mead ค่ะเพราะที่ได้อ่านมาทางด้านวิทยาศาสตร์
    หลักการสอนก็คล้ายกับหลักของศาสนาพุทธใครถนัดด้านไหนก็
    ตามสบายค่ะ
     
  11. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    ถาม มนุษย์ต่างดาวมีจริงแน่หรือ ถ้ามีนะ เขาใช้วิธีการแบบใดสื่อสารกับมนุษย์(*) (*) (*) (*)
     
  12. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    มีนั้นมีแน่นอนครับ เอาแค่ง่ายๆ นะครับ ถ้าคุณรู้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่ต้องทำให้โลกมันหมุนและทำให้โลกนี้คงอยู่ต่อไป แล้วดาวดวงอื่นก็ต้องมีสิ่งมีชีวิตเพื่อทำให้ดาวดวงนั้นยังคงอยู่ครับ รายละเอียดของมนุษย์ต่างดาว อาจารย์เขียนไว้ในหนังสือหมดแล้วครับ แถมมีภาษามนุษย์ต่างดาว บางดวงดาวไว้ให้ใช้ด้วยครับ การสื่อสารกับมนุษย์ส่วนมากใช้สื่อสารทางจิตครับ

    รายละเอียดจะมีอีกเยอะครับ ค่อยๆอ่าน ค่อยๆ ติดตามไปนะครับ รับรองรู้หมดทั้งเอกภพเลยทีเดียว คำว่า โลกุตรธรรม คงไม่ยากแล้วใช่ใหมครับ
    ขอบคุณนะครับที่ สนใจและถามเข้ามา ขอให้ถามในเนื้อหาที่เขียนไปนะครับ สงสัยส่วนไหนก็ถามมาได้ครับ เช่น การสั่นสะเทือน พลังงานด้านบวก ด้านลบ ตัวอย่างนะครับ ทุกอย่างนี้มีในหนังสือ แต่ที่ผมเอามาลงไว้นี้เป็นส่วนย่อยและบางเรื่องก็ไม่มีในหนังสือครับ
     
  13. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,240
    ค่าพลัง:
    +1,790
    ถาม ภาษามนุษย์ต่างดาว ต้องมีการแปลภาษาไม๊
    การสื่อสารทางจิต เป็นรูปแบบคลื่น หรือ เป็นความเข้าใจทางอารมณ์กัน


    ขอโทษนะ หนังสืออาจารย์นะซื้อทุกเล่ม อ่านมานานละ อ่านหมดด้วย แล้วก็แจกให้คนอื่นไปอ่านต่อหมดละ ดีกว่าเก็บเอาไว้คนเดียว

    แต่ว่าตอนนี้อยากจะเข้าใจมากขึ้น ละเอียดขึ้น เป็นขั้นเป็นตอน:p :p :p :p
     
  14. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    แล้วท่านเคยเจออาจารย์หรือยังครับ คำถามเหล่านี้ อาจารย์เปิดให้ถามได้ครับ ก่อนการสื่อ ครั้งต่อไปที่ ศูนย์ประชุมแห่งชาติ ไปสอบถามได้ครับ แต่ถ้าผมจำไม่ผิด วิธีการสื่ออาจารย์จะมีบอกไว้ อ่านไปเรื่อยๆ อาจจะเจอครับ แต่ถ้าไม่ทันใจก็ไปถามอาจารย์ได้ครับ หรือลองหาเบอร์โทรอาจารย์แล้วโทรสอบถามได้นะครับ โทรไปที่ชมรมก็ได้ครับที่อยู่เบอร์โทร มีอยู่ในหนังสือแล้วครับ

    คำถามเหล่านี้ในชมรมไม่มีใครสอบถามเพราะไม่รู้จะถามไปทำไมและ อีกอย่างมันไม่มีเวลามาฝึกนั้นฝึกนี่อีกแล้ว แค่ใช้เวลาที่เหลือ ทำจิตให้เข้าสู่สุญญตาก็จะไม่มีเวลาแล้วครับ และถ้ารอดพ้นจากการชำระได้
    การสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ
     
  15. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ทำจิตให้เข้าสู่สุญญตาทำอย่างไรครับ
     
  16. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    เดี่ยวมีคำตอบครับ ช่วงนี้ยังไปไม่ถึง ไปทีละก้าวครับ อย่ากระโดดข้ามขั้นเดี๋ยวจะไม่เข้าใจ อธิบายเป็นวิทยาสาตร์แน่นอนครับ ใจเย็นๆครับ
    สมาชิกท่านอื่นผ่านเข้ามาตอบไปก่อนก็ได้นะครับ
     
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    มาช่วยคุณดูท่านอยู่ฯ ตอบบ้าง..

    การทำจิตให้เข้าสู่สภาวะสุญญตาต้องเริ่มจากสร้างความเข้าใจก่อนครับว่า..
    สภาวะสุญญตาคืออย่างไร?.จิตเดิมแท้ จิตต้นกำเนิด มีสภาวะเช่นใดแล้วฝึกฝนทำจิตให้ทรงอารมณ์นั้นไว้ให้ยาวนานที่สุด โดยมีจุดยึดเหนี่ยวและระลึกถึงคุณพระศาสดาที่เรานับถือ ให้อารมณ์นั้นมีความเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วทั้งสากลจักรวาล ว่างไปจากอารมณรู้สึกของมนุษย์ อารมณ์ที่ใกล้เคียงที่สุดของสภาวะนี้คือ ความรักอันละเอียดอ่อนบริสุทธิ์ ซึ่งอาจเรียกได้ว่า อารมณ์ของนิพพานดิบเนื่องจากเรายังมีร่างกายเนื้อหนัง..จะให้สมบูรณ์ที่สุดก็ต่อเมื่อเราได้ ดีดหลุดพ้นออกไปจากแรงดึงดูดของโลกใบนี้ได้แล้วเท่านั้นครับ

    จิตสุญญตา คืออะไร?
    จิตที่มีอนุภาคของคลื่นความถี่ทุกระดับ
    ถึงแม้จะมีอยู่ก็เหมือนไม่มี...
    เพราะ
    ไม่มีการสั่นสะเทือน ของอนุภาคนั้น
    จนเกิดเป็น "คลื่นความถี่ของจิต"ขึ้น
    (การไม่มีอารมณ์ใดๆเกิดขึ้น)

    คลื่นความถี่ของจิต ก็คือ
    กรรม - พฤติกรรม - อาการของจิต



    1.จิตที่ว่างไปจาก "มายา"
    ไม่ปรุงแต่งให้เกิด "กิเลสตัณหา"

    2.จิตที่ว่างไปจาก "อดีต"
    ไม่บันทึกจดจำ (ไม่เกิดรหัสที่เกี่ยวกรรมต่อกัน)

    3.จิตที่ว่างไปจาก"อนาคต"
    ไม่คาดหมาย (สถานการณ์) ไปในทางบวก หรือลบ จนเสียสมดุล
    ไม่คาดหวัง ในผลสำเร็จ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเองและผู้อื่น
    ไม่ตั้งเป้าหมาย เช่น -ทำบุญเบี้องล่าง เอาไปสร้างเบี้องบน
    -ทำดีกับใคร แล้งหวังผลตอบแทนนั้น

    4.จิตที่ว่างไปจากการมี "ตัวตน"
    -ไม่มีตัวฉัน ไม่มีของฉัน
    -ไม่มีตัวเธอ ไม่มีของเธอ
    -ไม่มีใคร ไม่มีของใคร
    (ไม่มีผู้สร้างเงื่อนไข-ไม่มีผู้รับเงื่อนไข ,ต่อให้มี ก็เหมือนไม่มี)

    5.จิตที่ว่างไปจาก "พันธะกรรม"
    -ไม่มีเจ้ากรรมและนายเวร
    -ไม่มีรหัสบุพรกรรม
    -ไม่มีอนุภาคประจุลบที่สร้างใหม่
    (รูปธรรมทางพลังงาน ที่สั่นสะเทือนด้วยความโกรธแค้น เป็นประจุ -
    ที่ติดตามรอโอกาสที่จะเอาคืนที่ต้องได้รับการแก้ไขใหม่
    จนกว่าผลกรรมนั้นได้รับอิสระ และไร้คุณสมบัติไป)

    6. จิตที่ว่างไปจาก"กิเลสตัณหา"
    -ไม่มี"ความอยาก"
    -ไม่มี"ความไม่อยาก"
    -ไม่มีลังเล ระหว่าง"ความอยาก "กับ"ไม่อยาก"

    7.จิตที่ว่างไปจาก "การเกิดดับทั้งปวง"
    -ไม่มีการเกี่ยวกรรม
    -ปฏิบัติบำเพ็ญ "สมถะ"
    -ทำ"โมฆะกรรม"(การอโหสิกรรม การให้ความรัก) สร้างคลื่นสั่นสะเทือน
    ที่เป็นบวก จะช่วยลดพลังงานอำนาจด้านลบ (เพราะ+ทำให้ - เป็นกลางได้)
    -ไม่มีวัฏฏะสงสาร (ดับการเกิดดับหมดสิ้น)

    8.จิตที่ว่างไปจาก"องค์ความรู้ใดๆ"
    -มีวิชาความรู้ใดๆ ก็เหมือนไม่มี (เพราะรู้จริง-รู้แจ้งทั้งหมดแล้ว)
    -ไม่อวดรู้ (ทำให้ผู้อื่นอิจฉา)
    -ไม่อวดอุตริ (ป้องกันตนเองไม่ให้ไปรับพลังด้านลบเข้ามา)

    9.จิตที่ว่างไปจาก "ความรัก -ความเมตตา"
    -มีความรักก็เหมือนไม่มี (อุเบกขา =มีความสำรวม +มีความสงบ)
    ไม่มีเงื่อนไขใด มาทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปตามการรับรู้นั้น
    แต่จะสั่นสะเทือนด้วยตัวเราเอง เพราะเป็นธรรมชาติ เป็นคุณสมบัติอยู่แล้ว


    เอามาจากการฟังบรรยายครั้งก่อนๆครับ ทำความเข้าใจได้ง่ายๆดี:-
    แล้ววันที่ 6 เมษา ก็ไปฟังที่ศูนย์สิริกิตต์กันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2008
  18. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
  19. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถาม : มนุษย์ทั่วไปสามารถสื่อกับจิตจักรวาลได้หรือไม่

    ตอบ : ได้ คุณต้องสร้างเครื่องส่งของคุณก่อน (ปรับฐานตัวเอง หรือรวมกาย จิต จิตวิญญาณของตนเองให้ได้) คุณต้องใช้จิต
    ของคุณจูนที่ตัวคุณเอง ง่ายกว่าไปจูนคนอื่น
    ปรัชญาทั้งหลายที่จิตจักรวาลสื่อเป็นอภิปรัชญา เพื่อต้องการให้คุณหาให้พบว่า วิธีการที่จะปรับจูนตัวคุณเองให้สื่อกับจิตจักรวาลได้ เหมือนอย่างที่เราทำอยู่นี้มันต้องทำอย่างไร แต่มนุษย์ไม่เข้าใจก็แสวงหากันสะเปะสะปะ พอไปติดพิธีกรรม พอไปเห็นพิธีกรรมเข้า เห็นฤทธิ์เข้าก็ไปหลงติดตรงนั้น เพราะจิตคุณยังไม่บริสุทธิ์ คุณจะไปแสวงหาสิ่งนั้นได้คุณต้องทำจิตให้บริสุทธิ์ด้วย คือการทำจิตให้บริสุทธิ์ทำอย่างไรมี 3 อย่างเท่านั้นเองครับ
    1. ปลดกิเลสจากจิตของตัวเองให้หมด (ขณะตอบเกิดไฟดับวูบวาบ) มาไกล ไม่ค่อยเกิดบ่อยนัก คลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก คลื่นความถี่ ช่วยดูสิว่า ข้างนอกมีพายุหรือเปล่า มีเมฆครื้มดำมากไหม ฝนตก พายุแม่เหล็กรุนแรง ถ้าเครื่องบินผ่านล่ะโชคร้าย

    ถาม : หมายความว่า มีสนามแม่เหล็ก พลังสนามแม่เหล็กลงมาหรือ

    ตอบ : พายุแม่เหล็ก

    ถาม : หมายความว่าเขาเกิดอยู่ข้างบน

    ตอบ : ส่งพุ่งลงมายังโลกเราส่งลงมายังโลกอาศัยจังหวะที่เราสื่อพอดี คลื่นมาด้วยความรู้มาด้วยฉวยโอกาสพอดีเลยละฝนตกลงตรงนี้เลย 3 ระลอก เมื่อกี้นี้แวบ 3 ที(ขณะนั้นเกิดไฟฟ้าดับ 3 ครั้งและมีฝนตกลงมา) ที่นี้ถ้าภาษาจักรวาล พูดให้ตรงกับมนุษย์เขาเรียกว่า ฟ้าผ่า ผ่าเอาพลังงานบวกลงมาไม่เป็นไรครับ
    การชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ มีอยู่ 3 อย่าง อย่างแรก มนุษย์จะต้องปลดเปลื้องหรือ ละวางกิเลสออกจากจิตของตนให้หมดสิ้น ให้หมดสิ้นนะครับ ต้องหมดนะครับ อย่างที่สอง มนุษย์เราจะต้องละวางการติดยึดตัวตนให้หมดสิ้น โดยสิ้นเชิง ละวางตัวตนให้หมดสิ้นที่ท่านพุทธทาสท่านสอนข้อ 2 คือ ตัวกู ของกูให้ละวาง อย่างที่สาม เมื่อหมดสิ้นแล้วนะครับ อย่างที่สาม คือ ทำจิตตนเองให้พ้นไปจากการมีดีมีชั่ว พ้นไปจากการมีดีมีชั่ว เพราะ มนุษย์เราเวลาทำอะไรในโลกเราเนี้ยะ มันมีการสอนอยู่อย่างหนึ่ง คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเราละวางตรงนี้ได้ ทำดีเพราะเรารู้ว่ามันดี ไม่ทำชั่วเพราะเรารู้ว่ามันชั่ว นั่นคือ การพ้นไปจากความมีดีมีชั่ว ไม่ใช่ทำนี่เพราะหวังให้มันสรรเสริญกู นี่แสดงว่าทำดีเพราะมีดีอยู่ใช่ไหม เขาทำชั่วกับเรา ไอ้นี่มันชั่ว แล้วเราไปสั่นไหว จิตใจเราไปโกรธเขา ไปตอบโต้ ต่อสู้ ต่อต้านเค้า นั่นแสดงว่าเรายังมีชั่วอยู่ มีชั่ว คือ เห็นว่าเขาทำชั่วกับเรา ให้เรารู้ อ้อมันทำชั่วไม่เป็นไร ชั่วก็เป็นของมันไป เราก็เฉยๆของเรา อยู่อย่างนั้น เราไม่ไปข้องแวะกับมันซะ นั่นก็แสดงว่าเราก็ไม่มีชั่ว เราไม่มีชั่วอยู่ในตัวเรา อยู่ในจิตของเรา เขาทำชั่วอ้อเรารู้ว่าเขาชั่วเราก็ไม่ต้องไปชั่วตาม การแก้แค้นที่ดีที่สุดก็คือการไม่ทำชั่วซะเอง การแก้แค้นที่ดีที่สุดก็คือ การไม่ทำชั่วซะเอง
     
  20. ดูท่านอยู่นะครับ

    ดูท่านอยู่นะครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,666
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ถามต่อจากคำถามบน : ข้อที่1 กับข้อที่ 3 เราจะใช้คำว่า ที่ว่าจะดับให้หมดกิเลสทุกอย่างเนี่ยะ โดยใช้คำว่า อุเบกขาจะได้ไหม การปล่อยวาง การวางเฉย

    ตอบ : นั่นแหล่ะครับ ถ้าทำถึงขั้นที่3 ได้แล้วครับ คือ 1 ก็หมดแล้ว 3 ก็ไม่มี เราเรียกว่า ภาวะนั่นคือ ภาวะที่จิตเป็นอุเบกขา ภาวะที่จิตเป็นอุเบกขา ครับ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ไม่มีดี ไม่มีการสำนึกหรือสำเหนียกรู้ว่าไหนดีไหนชั่ว ยังมีอยู่ รู้ว่าดี คืออย่างไร รู้ว่าชั่วคือ อย่างไร ความเป็นอุเบกขา หมายถึงอย่างนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า ปล่อยวางทุกอย่างไม่มีเหลืออะไรเลย เป็น ZERO แบบมนุษย์คิด คิดผิดใช่ใหม

    ถาม : นีต้องอาศัยฐานจากการมีสติเป็นพื้นฐานใช่ไหมครับ

    ตอบ : ทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากความมีสตินั่นคือ ปฐม ชั้นปฐมต้องเรียนเรื่องความมีสติ ที่เขียนไว้เล่มที่ 7 เอาไว้เรื่องมหาสตินั่นนะเป็นระดับมัธยมแล้ว นั่นต้องอ่านไปเรื่อยๆ ก็จะยกระดับให้จิตเราไปเรื่อยๆ ท่านก็สื่อมาให้เรื่อยๆ

    ถาม : สตินี่มีอะไรบ้างครับ

    ตอบ : ความมีสติ ก็คือ ความรู้เท่ากับอารมณ์ของตนเอง เพราะอารมณ์ของมนุษย์ มันสำคัญอย่างไรเพราะว่าสั่งปุ๊ปมันให้พลังงานออกมาแก่โลกทันที แต่โลกได้เอาหรือไม่เอา โลกต้องการหรือไม่ต้องการ มันก็อยู่ที่ว่า คุณสั่นสะเทือนด้านไหน ด้านบวกหรือ ด้านลบ ทุกอย่างมันมี 2 ด้านคู่กันเสมอ

    ถาม : สตินี่มีระดับของสติไหม ขั้นของสติแยกกันเยอะไหม

    ตอบ : มี ขั้นของสติเขาวัดกันด้วยฌาณ ระดับขั้นของปัญญา ที่เกิดขึ้นจากสติ เขาวัดกันด้วยฌาณ

    ถาม : แล้วระดับญาณกับฌาณ ต่างกันอย่างไร

    ตอบ : วาดรูปบวกศูนย์ ลบศูนย์นี่คือ อุเบกขา (+0 - 0 ) บวกศูนย์นี่คือ 0 ยัง เคยได้ยินไหม 0 ยังแปลว่ามี +0 คือศูนย์ยัง -0 คือ ศูนย์ไม่ยัง มันจะคู่กันเสมอ ทุกอย่างจะเป็นคู่กันทั้ง 2 ด้าน ก่อนจะมี 1 ต้องมี 0 ทุกอย่างต้องคู่กันเสมอ +6 กับ -6 ที่เรียกว่า ศูนย์ยังหรือศูนย์มี คือ +6 และ -6 หรือศุนย์บวก ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า สุญญตา คือ มีภาวะของ +6 กับ -6 ในศาสตร์ของจักรวาลรูปทรงเลขาคณิตที่เป็น เหลี่ยม สูงสุดคือ รูปทรง 12 เหลี่ยม 12 เหลี่ยม คือ กลม ยิ่งกลมมากเท่าไรก็ยิ่งใกล้กลมมากเท่านั้น เพราะรูปทรงเลขาคณิตในจักรวาล รูปทรงที่มีเหลี่ยมสูงสุดก็ คือ 12 ซึ่งก็คือ จิตจักรวาลดวงใหญ่ แต่จิตจักรวาลทั้งหลายเป็นรูปทรง 11 เหลี่ยม ซึ่งแต่ละเหลี่ยมบ่งบอกถึงความเฉลียวฉลาดทางสติปัญญา ความเฉลียวฉลาดทางสติปัญญาในมิติคู่ขนาน หมายถึง พลังอำนาจเฉพราะตัว พลังอำนาจเพื่อสร้างขบวนการต่างๆ เป็นการสร้างใหม่ (เกิดขึ้น) กระบวนการดำรงอยู่ (ตั้งอยู่) กระบวนการเพื่อการเปลื่ยนแปลง(ดับไป ) เป็นภาษามนุษย์เรียกว่า สติปัญญา คำว่า ญาณของมนุษย์ ถ้ามนุษย์ทำตัวเข้าหาตรงนี้ได้ การจะไปเพิ่มขึ้นทางบวกหรือทางลบมันจะเป็นสภาวะที่เราสามารถจะควบคุมได้ กราฟนี้แสดงให้เห็นว่า สุญญตา คือ ความว่าง ที่เรียกว่า อุเบกขา ไม่ใช่ความว่างในลักษณะที่ไม่มีสิ่งใดอยู่ในจิตใจเหล่านั้น ด้านบวก เรารู้ว่า คือ ดี ด้านลบเรารู้ว่า คือ ไม่ดี แต่ถามว่าเราจะทำด้านดีหรือไม่ดี เราต้องเป็นตัวของเรา อย่างนี้เรียกว่า ศูนย์ยัง ศูนย์ +6-6 = 0 แต่มันได้มาจาก +6-6 ที่สมดุลทันที รู้ดีรู้ชั่วจาก 0 ถึง 12 และจาก 0 ถึง -12 ในทางกลับกันถ้า - มาก ก็แสดงว่าไม่ดีมาก - น้อยก็ไม่ดีน้อย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นมนุษย์ต้องทำตัวให้ขึ้น ไม่ใช่ทำตัวให้ลง จิตสำนึกของมนุษย์ที่มีสมดุลจะต้องทำตัวให้ได้อุเบกขา ต้องรับรู้ ทั้ง + และ - ไม่รับเอา รู้ว่าอันนี้ชั่วไม่รับเอา เรากำลังพูดถึงธรรมมะชั้นสูงและจักรวาลชั้นสูง การที่สอนให้มนุษย์มีจิตสั่นสะเทือนทางด้าน + หมายความว่าการสร้างญาณให้ถึง +12 แค่ญาณทางปัญญาจะสูงขึ้นต้องเพิ่มขึ้นจากระดับของฌาณด้วย ฌาณ เกิดจากพลังอำนาจของจิตของเราที่เราปลดเปลื้อง 3 อย่างนั้น ให้เหลือน้อยมากเท่าไรมันก็จะสูงมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น ฌาณกับญาณจะตองแปลตามกัน ฌาณสูงญาณก็สูง ฌาณต่ำญาณก็ต่ำ ถ้ารักษาสติของตัวเองให้ได้ ที่จะสามารถสร้างฌาณให้กับจิตของตัวเองได้ ฌาณ คือ พลังอำนาจของจิต จิตมี 189 ดวง ถ้าสามารถทำให้ทุกดวงสั่นสะเทือนไปในเรื่องเดียวกันได้พร้อมๆกันมากเท่าไร นั่น คือ ระดับของฌาณ พลังอำนาจที่เกิดขึ้นคือ ระดับของฌาณ จิต189ดวงกระจายทั่งร่างกาย รวมทั้งที่สมองด้วยทุกๆที่เส้นประสาทกระจายไปถึงที่นั่นจะเป็นที่ตั้งของจิต จิตเป็นพลังงานไม่ใช่ประสาท จิต คือตัวรู้ สมองเป็นเครื่องมือของจิต คือ ตัวคิด จิตต้องร่วมงานกับสมองเสมอ ต่อให้มีพลังอำนาจในการใช้ปัญญาญาณได้ จิตก็ต้องอาศัยสมองช่วยเหลือเสมอ จิตหยาบต้องอาศัยสมองเสมอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...