++ร่วมแชร์เรื่องราว++หลวงปู่ครูบาวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ดุจเพชร, 22 พฤศจิกายน 2014.

  1. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    พระรอดของหลวงพ่อ
    <table id="table4" border="0" align="right" width="155"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript" colspan="2"> องค์นี้ท่านคายออกมาพร้อมคำหมากให้กับพระตุดี ท่านตุดีเคยได้มา 4 องค์ นี่เป็นหนึ่งใน 4
    ข้อมูลจากคุณคมกฤช โพสท์ในเวบ palungjit.org วันที่ 05-09-2007
    </td></tr></tbody></table>
    ดิฉันได้กราบนิมนต์หลวงพ่อมาโปรดที่บ้าน ลูกศิษย์ของหลวงพ่อ เมื่อทราบข่าว ต่างก็ทยอยกันมากราบท่านทั้งวัน เนื่องจากมีคนมามากมายเหลือเกิน ดิฉันและสามีจึงได้เข้าไปกราบท่านในตอนเย็น ในขณะที่เข้าไปกราบหลวงพ่อ สามีของดิฉันเห็นพระรอดวางอยู่บนเตียงของหลวงพ่อ
    สามีของดิฉันจึงได้ถามหลวงพ่อว่า "พระรอดองค์นี้ของหลวงพ่อหรือครับ"
    หลวงพ่อบอกว่า "พระรอดองค์นี้เป็นของลูก"
    ดิฉันและสามีรู้สึกมีความปีติมากจนน้ำตาไหล และร้องไห้ต่อหน้าหลวงพ่อ ขณะที่ดิฉันกำลังใช้มือเช็ดน้ำตาก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างมากที่มีวัตถุบางอย่างมาติดอยู่ที่ซอกนิ้วมือ เมื่อดิฉันมองดูจึงเห็นพระรอด มาติดอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางดิฉันจึงถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อ ทำไมมีพระรอดมาอยู่ในมือของลูก"
    หลวงพ่อตอบว่า "ก็ลูกขี้แย"
    ดิฉันจึงเอาพระรอดคืนให้หลวงพ่อ
    แต่หลวงพ่อก็ให้พระรอดคืนมาพร้อมกับบอกว่า "เป็นของลูก"
    หลวงพ่อมาจำวัดอยู่หลายวัน หลายวันนั้นหลวงพ่อปวดเมื่อยขา ดิฉันจึงตามหมอมานวดถวายหลวงพ่อ ก่อนจะกลับวัดหลวงพ่อบอกให้ดิฉันไปเอาของที่หัวเตียงของหลวงพ่อ
    หลวงพ่อบอกว่า "เป็นของลูก"
    ดิฉันจึงไปดูเห็นเป็นชานหมากของหลวงพ่อสองคำ เมื่อดิฉันแกะชานหมากออกดูก็ได้พบพระรอดอยู่ในชานหมากคำละองค์ ด้วยบุญฤทธิ์ของหลวงพ่อแท้ๆ ที่ท่านเมตตาให้พระรอดดิฉันมาบูชา
    (โดย สุวรรณา)
    <hr>
    พระรอดในกล่องนม
    เรื่องพระรอดชานหมากมีเรื่องที่ศิษย์จำนวนมากของหลวงพ่อประสบกันมามากมายเพียงแต่ต่างวาระโอกาสกันเท่านั้น
    เมื่อปี ๒๕๓๕ ครั้งนั้นหลวงพ่อเดินทางไปกราบสังเวชนียสถาน ในขณะที่พวกเรากำลังเดินทางโดยรถโดยสาร ผู้ช่วยทัวร์บริษัทสยามอินทรชัยการท่องเที่ยวซึ่งเป็นผู้นำทัวร์ ได้ถวายนมกล่องแด่หลวงพ่อ ท่านรับไปฉันจนเกือบหมด แล้วจึงคืนกล่องนมให้คุณสุปรีดา
    ตอนแรกคุณสุปรีดาคิดในใจว่า อยากจะเก็บไว้ให้ลูกเมื่อกลับถึงเมืองไทย แต่เมื่อคิดดูอีกทีอีกหลายวันเหลือเกินกว่าจะได้กลับ จึงเปลี่ยนใจขอดื่มเสียเอง
    ขณะกำลังยกกล่องนม เธอได้ยินเสียงดังเหมือนมีของบางอย่างกลิ้งไปมาอยู่ในกล่องด้วยความอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน เธอจึงใช้มีดผ่ากล่องนมจึงได้พบพระรอดองค์เล็กๆ ๑ องค์อยู่ในนั้น
    การเดินทางไปอินเดียเที่ยวนี้ ไม่เพียงแต่คุณสุปรีดาเท่านั้นที่โชคดีได้พระรอด ยังมีอีกหลายคนในคณะที่ได้พระรอด โดยการที่หลวงพ่อยื่นคำหมากที่เคี้ยวออกจากปากส่งให้ศิษย์บางคนที่ยังไม่เคยได้ หรือผู้ที่ยังไม่เชื่อ หากมีวาสนาก็มักจะได้พระรอดเป็นที่อัศจรรย์เสมอ ตลอดการเดินทางในครั้งนั้น
    มีผู้ได้รับพระรอดจากหลวงพ่อคนละองค์เป็นจำนวนถึง ๑๕ คนด้วยกัน
     
  2. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    ชานหมากกลายเป็นพระรอด
    ประมาณปี ๒๕๓๘
    ขณะที่หลวงพ่อเข้ารับการตรวจสุขภาพและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ต้องนอนพักที่ศิริราช เพื่อรอผลการตรวจ
    วันนั้นมีลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งทราบข่าว และได้เข้าไปเยี่ยม
    หลังจากกราบนมัสการหลวงพ่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ทุกคนจะกลับ ต่างก็เห็นหลวงพ่อกำลังหยิบชานหมากแห้งๆ มาไว้ในมือเพื่อที่จะแจก ทุกคนที่ไปกราบท่านในวันนั้นต่างก็ดีใจที่จะได้รับแจกชานหมาก
    ในขณะที่ท่านกำลังส่งให้ถึงมือแต่ละคนนั้น ยังเป็นเพียงชานหมากธรรมดาเท่านั้น พอตกถึงมือแต่ละคนแล้วชานหมากนั้นกลับกลายเป็นพระรอด
    เรื่องนี้เป็นเรื่องอจินไตย ใครอยากทราบว่าเป็นจริงอย่างไรไปขอดูของจริงได้ที่ คุณสุรชัย วีระมโนกุล ซึ่งเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้พระรอดดังกล่าวมาไว้ในครอบครอง
    <hr>
    พระเทวานัมปิยเถระ
    <table id="table3" border="0"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript" colspan="3"> พระธาตุที่หลวงปู่เก็บรักษาไว้
    </td></tr></tbody></table>​
    อาจกล่าวได้ว่า หลวงปู่วงศ์ ท่านเป็น พระเทวานัมปิยะเถระ องค์หนึ่ง...
    ผู้ซึ่งเป็นพระเถระ...อันเป็นที่รักยิ่งของเทวดาทั้งหลาย กล่าวคือเมื่อครั้งที่ท่านได้รับพัดยศพระครูใหม่ๆ ท่านได้แวะที่วัดบ้านปาง ก่อนถึงบันไดทางขึ้น ท่านได้แวะทำธุระส่วนตัวเมื่อเสร็จธุระแล้ว เทวดาได้ขอให้ท่านประทับรอยเท้าไว้บนก้อนหินเพื่อเขาจะได้เอาไว้กราบไหว้สักการบูชาต่อไป
    หินก้อนนี้ ปัจจุบันเจ้าอาวาสวัดบ้านปางได้นำขึ้นไปประดิษฐานข้างบนและได้สร้างมณฑปครอบไว้อย่างสวยงาม
    ในปี ๒๕๓๙ หลังจากที่ได้สร้างมณฑปเสร็จและนำหินก้อนดังกล่าวไปประดิษฐานแล้ว เจ้าอาวาสวัดบ้านปาง ได้บอกกับผู้เขียนว่า จะนิมนต์หลวงปู่มาประทับรอยเท้าบนหินก้อนนี้อีกครั้ง
    หลังจากนั้น ในปี ๒๕๔๐ ผู้เขียนได้ไปที่นั่นอีก ก็พบว่าบนก้อนหินมีทั้งรอยมือรอยเท้าของหลวงปู่ พร้อมกับปิดทองไว้อย่างสวยงามอีกด้วย
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ได้เคยพูดถึงหลวงปู่ เมื่อคราวที่ผู้เขียนได้ไปถวายพระธาตุบรรจุเจดีย์วัดถ้ำผาปล่องว่า...
    "ครูบาวงศ์องค์นี้พระธาตุเยอะนะ"
    ทั้งนี้และทั้งนั้น ผู้เขียนคิดว่าหลวงปู่สิม ท่านคงจะทราบว่า หลวงปู่ ท่านเป็นผู้ที่มีบารมีเกี่ยวกับพระธาตุมาก
    ดังเราจะเห็นได้จากคำบันทึกของผู้ใกล้ชิด ที่ได้ติดตามหลวงปู่ไปแสวงบุญยังต่างประเทศ เช่นจากบันทึกของอาจารย์พรนพ พุกกะพันธุ์ เป็นต้น
    (โดย ศิษย์วัดดอย)
    <hr>
    คาถาอะไรก็สู้ใจไม่ได้
    ในขณะที่รอขึ้นเครื่องบินที่สนามบินเชียงใหม่ ได้กราบขอเมตตาท่านครูบาเจ้า สอนคาถาสั้นๆ เพื่อใช้ในยามฉุกเฉินสักบทหนึ่ง
    ท่านครูบาเจ้าได้สอนคาถาให้สามคำคือ อะ อิ อุ พอพูดจบท่านบอกว่า
    "สามคำยังยาวอยู่ สู้ใจไม่ได้"
    ท่านพูดว่า "ตัวอย่าง พ่อคิดถึงลูก ก็ถึงได้ทันที อีกสองชั่วโมงลูกก็โผล่มาให้เห็นหน้าที่วัด"
    ทั้งๆ ที่บ้านผู้เขียนอยู่ห่างจากวัดถึง ๑๕๐ กิโลเมตร แสดงว่าคาถาใจไวกว่ารถ
    (โดย ปฐม พัวพันธ์สกุล)
     
  3. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]

    สาธุ อะหัง นะมามิ พระชัยยะวงศาภิกขุ พระอาจาริเยนะ อังคาละวิชัยโย บัณฑิตโต ทะสะปาระมีโย ทะสะอุปะปาระมีโย ทะสะปะระมัตถะปาระมีโย กะตัง ปุญญังโน เมนาโถ เมนาถัง สิระสานะมามิ
     
  4. น้องใหม่ 2008

    น้องใหม่ 2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    690
    ค่าพลัง:
    +1,906
    เช้ามากราบครูบาวงค์เจ๊า เข้ามาเมื่อไหร่ปิติเมื่อนั้น เมื่อล













    กราบครูบาวงค์เจ๊า เมื่อลูกคิดถึงพ่อที่ไหร่ปิติทุกครา สาธุ
     
  5. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    สาธุๆๆ
     
  6. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    หลวงปู่สอนเขียนภาพพระนางจามเทวี
    <table id="table1" border="0" align="left"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript"> ภาพพระนางจามเทวีที่คุณวันทนา
    เขียนขึ้น
    </td></tr></tbody></table>
    คุณวันทนา พัวพันธ์สกุล เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อปลายปี ๒๕๔๑ เธอได้รับมอบหมายจากทางเทศบาลเมืองลำพูน ให้เป็นผู้วาดภาพเชิงเสมือนจริงของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งหริภุญชัย ขนาดเท่าองค์จริง เนื่องในวโรกาสที่นครศรีหริภุญชัย ก้าวสู่ศตวรรษที่ ๑๔
    เธอจึงเข้ากราบขอความเมตตาจากหลวงปู่เพื่อขอคำแนะนำ เริ่มตั้งแต่เขียนแบบเค้าพระพักตร์ คิ้ว ปาก คาง จมูก แม้กระทั่งสี ผิวพรรณ สัดส่วน ลักษณะสีหน้าท่าทางและความสูง ขณะที่พูดถึงความสูงของพระนางฯ หลวงปู่บอกว่า สูง ๓ ศอกเดี้ยม ซึ่งเท่ากับ ๑๖๙ เซนติเมตร เธออดสงสัยไม่ได้ จึงพลั้งปากถามหลวงปู่ว่า
    "ครูบาเจ้าทราบได้อย่างไรว่าสูง ๑๖๙ เซนติเมตร"
    <table id="table2" border="0" align="right" width="155"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript"> คุณวันทนา พัวพันธ์สกุล ผู้วาดภาพพระนางจามเทวี
    </td></tr></tbody></table>
    หลวงปู่ตอบว่า "เจ้าแม่มาบอกเอง"
    พองานผ่านไปได้ระดับหนึ่ง หลวงปู่ท่านยังได้เมตตาไปตรวจงานถึงที่บ้านด้วยความที่เธอยังไม่หมดความสงสัย เพราะเคยได้ยินได้ฟังมานานแล้วว่าหลวงปู่ในอดีตเคยมีความเกี่ยวข้องกับพระนางจามเทวีอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าถามตรงๆ เมื่อสบโอกาสเธอจึงกราบขอสุมา เรียนถามหลวงปู่ว่า
    "หลวงปู่ครูบาเจ้า คือ ฤาษีวาสุเทพ หรือ สุเทวฤาษีใช่ก่เจ้า"
    หลวงปู่มองหน้าแล้วตอบสั้นๆ ว่า "ฮื่อ"
    เธอจึงหายสงสัยว่าทำไมหลวงปู่จึงมีพระรอดสมัยพระนางจามเทวีอยู่ในคำหมากไว้แจกลูกหลานจนเป็นที่อัศจรรย์นัก
    (โดย คุณธนกร สุริยนต์)
    <hr>
    หลวงปู่ในอดีต
    <table id="table5" border="0" align="left"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ</td> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript"> ภาพ "หลวงปู่ในอดีต"
    ที่หลวงปู่เขียนขึ้น
    </td></tr></tbody></table>
    สมัยก่อน ตั้งแต่เรา ๆ ท่าน ๆ ยังไม่รู้จัก หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา เวลาหลวงปู่จะเข้ากรุงเทพฯ ท่านมักจะแวะที่บ้านอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ท่านหนึ่ง ทั้งขาไป และขากลับ
    มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ได้แวะไปที่บ้านอาจารย์ท่านนั้นอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่อยู่เป็นการส่วนตัว หลวงปู่ได้ปรารภกับอาจารย์ท่านนั้นว่า หลวงปู่จำเขาได้ เพราะว่าเคยเป็นพ่อลูกกันมาหลายชาติแล้ว และเขาก็ได้ติดตามหลวงปู่มาโดยตลอด
    ในขณะที่หลวงปู่พูด ก็ได้หยิบกระดาษมาวาดรูปบุคคลสำคัญท่านหนึ่งในอดีต ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์ของกษัตริย์ไทย
    ท่านวาดเสร็จ ก็ยื่นให้อาจารย์ท่านนั้นดูแล้วถามว่า
    หลวงปู่ถามว่า “รู้จักไหม ว่าใคร”
    อาจารย์ท่านนั้น “ไม่ทราบครับ ครูบา”
    หลวงปู่ตอบว่า “หลวงปู่ในอดีต”
    อาจารย์ท่านนั้น ถามว่า “ใครครับ ครูบา”
    หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า “วังหน้า วิชัยชาญ”
     
  7. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    ปู่กับอดีตชาติ
    หลวงปู่เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า วัดพระธาตุดอยกวางคำ มีความเกี่ยวพันกับอดีตชาติของท่านมาก หลวงปู่จึงเรียกดอยกวางคำแห่งนี้ว่า สุสานเก่าของท่าน ผู้เขียนเคยสนทนากับชาวบ้านที่อยู่รอบดอยกวางคำ ซึ่งเป็นกะเหรี่ยงทั้งหมด ทำให้ทราบว่า วัดพระธาตุดอยกวางคำ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดดอยกวางคำ มีความสำคัญต่อหลวงปู่ไม่น้อย โดยจะเห็นได้จาก ในช่วงที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่จะแวะมาพักที่วัดพระธาตุดอยกวางคำเสมอเมื่อมีโอกาส เช่น เวลารับกิจนิมนต์ข้างนอกที่เป็นทางผ่าน หลวงปู่มักจะแวะมาฉันเพล หรือไม่ก็แวะมาพักผ่อนหลังจากเสร็จกิจนิมนต์แล้ว จึงจะกลับวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
    ผู้เขียนเคยขออนุญาตสร้างพิพิธภัณฑ์บรรจุเนื้อกวางคำ หลังจากที่หลวงปู่ได้เล่าให้ทราบความเป็นมาของพระธาตุดอยกวางคำจากปากของหลวงปู่เอง และหลวงปู่ก็ได้อนุญาตด้วยดี ทั้งนี้โดยมี รองศาสตราจารย์ ณรงค์ อาจฤทธิ์ เป็นเจ้าภาพสร้างถวาย โดยหลวงปู่เป็นผู้แนะนำในการออกแบบ รวมทั้งกำหนดสถานที่ที่จะสร้าง ซึ่งในขณะนี้ก็ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
    <table id="table7" border="0" align="right" width="155"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript"> ข้อความที่หลวงปู่ให้บันทึกไว้บนเนื้อกวางคำที่เป็นหิน
    </td></tr></tbody></table>
    จากการที่ได้สร้างพิพิธภัณฑ์บรรจุเนื้อกวางคำ ทำให้ผู้เขียนทราบว่า หลวงปู่มีความเกี่ยวพันกับวัดพระธาตุดอยกวางคำนี้อย่างไร โดยจะเห็นได้จาก ข้อความที่หลวงปู่ให้บันทึกไว้บนเนื้อกวางคำที่เป็นหินดังนี้ (โปรดดูภาพประกอบ)
    “เนื้อพญากวางคำ ที่มาฟังเทศน์มหาเถรเจ้า หมอพรานมายิงกวางคำตาย เมื่อฟังเทศน์จบ ได้เกิดเป็นเทพบุตรกวางอยู่ชั้นดาวดึงส์ ปราสาทสูง 12 โยชน์ กว้าง 12 โยชน์ เทวดามาเป็นบริวารหลายพันองค์
    พรานบ่กล่ากินเนื้อกวาง จึงกองไว้จนกลายเป็นเนื้อหิน ที่เอาบรรจุไว้ที่นี้ทั้งหมด เพื่อเป็นอนุสรณ์ ให้ลูกหลานได้กราบไหว้บูชาภายหน้าต่อไป
    เทวบุตรกวางตัวนี้ได้จุติลงมาเกิดเป็นครูบาเจ้าชัยยะวงศาปัจจุบันนี้ก็บ่แน้แลนาย”
    เรื่องประวัติพระพุทธบาทดอยกวางคำ
    จากหนังสือธรรมปกิณกะ เล่ม 1
    ขอเอาเรื่องของครูบาบางเรื่องมาเขียนไว้ เผื่อลูกศิษย์ใหม่ๆบางคนอาจจะไม่เคยทราบ บางคนทราบเรื่องแล้วก็จะได้ระลึกถึงท่าน ....
    ในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันธะ มีพระมหาเถระเจ้าองค์หนึ่ง ธุดงค์ไปตามป่าเขา และไปสถิตอยู่บนยอดดอย (ปัจจุบันนี้เรียกว่าขุนห้วยโป่งแดง) พระมหาเถระเจ้าก็บำเพ็ญเมตตาภาวนาอยู่ในระยะใกล้รุ่ง ท่านก็สวดมาติกาและอภิธรรม ณ ที่นั้น
    ในขณะที่ท่านกำลังสวดอยู่ มีพรานเนื้อกลุ่มหนึ่งไปล่าเนื้อในป่า ก็ไปพบ พญากวาง เมื่อพญากวางตัวนั้น เห็นพรานเนื้อหมู่นั้น ก็กลัวพวกพรานทั้งหลาย จะทำร้ายต่อบริวาร ก็โดดหลอกล่อ ออกไปให้ห่างจากฝูง
    วิ่งขึ้นไปบนจอมเขา พอไปถึงบริเวณที่ใกล้พระมหาเถระสวด พญากวางก็ได้ยินเสียงพระมหาเถระเจ้า ก็ดักนิ่งฟังอยู่ มันเข้าใจว่าคำนี้เป็นคำของพระพุทธเจ้า มันก็ฟังอยู่ถูกใจมาก
    ส่วนพวกพรานเนื้อติดตามเข้ามาไม่ใกล้ไม่ไกลกวางตัวนั้นเท่าไร ก็เห็นกวางตัวนั้น แต่ว่าเขาไม่เห็นพระมหาเถระเจ้า หมอพรานก็ยกธนูยิงกวางตัวนั้น ลูกธนูก็ถูกใส่กวาง ส่วนพญากวางก็ไม่รู้ว่าถูกยิงเพระว่ากำลังฟังเทศน์เพลินอยู่
    เมื่อพระมหาเถระสวดจบ พญากวางก็ลืมตาขึ้นนึกว่า สาธุยินดีซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้า เมื่อรู้ตัวก็เป็นเทวบุตรอยู่ชั้นฟ้าดาวดึงษา อยู่ปราสาทวิมานทองคำสูง 12 โยชน์ กว้าง 12 โยชน์ อยู่เสวยบุญเป็นเทวบุตร ตายจากชั้นฟ้า ก็ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ พยายามสร้างบารมีอยู่จนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภายหน้า
    ในขณะที่หมอพรานยิงกวางตาย พระมหาเถระเจ้าก็เดินไปดูกวางตัวนั้น และทักว่า
    "หมอพรานทั้งหลาย ยิงกวางตัวนี้ทำไม กวางนี้ไม่ใช่กวางธรรมดาสามัญ เป็นพญากวาง กำลังฟังเทศน์อยู่ เจ้าก็มายิงมันตาย เดี๋ยวนี้พญากวางก็ไปเกิดเป็นเทวบุตร อยู่บนชั้นฟ้าดาวดึงษาโน้นแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายนี้ ทำไมไม่มีความเมตตา มายิงกวางตัวนี้ตายไป"
    ส่วนพวกกรานทั้งหลายก็นมัสการกราบไหว้พระมหาเถระเจ้า และขอให้พระมหาเถระเจ้ายกโทษแก่พวกเขาทั้งหลาย เพราะความไม่รู้
    โดยบอกว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายก็เป็นหมอพราน ต้องล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่อย่างนี้แหละ"
    พระมหาเถระเจ้าก็เทศน์เรื่องบาปเรื่องกรรมทั้งหลายให้หมอพรานฟัง แล้วก็ให้หมอพรานทั้งหลายรับศีล 5พวกพรานทั้งหลายก็กลัวบาป กลัวโทษ กลัวกรรม และตั้งใจจะทิ้งธนูเสียหมดทุกคน พร้อมทั้งขอรับศีล 5 กับพระมหาเถระเจ้า แล้วก็ขออนุญาตพระมหาเถระเจ้าว่า
    "ข้าพเจ้าได้ยิงกวางตายเสียแล้ว ข้าพเจ้าขออนุญาตเอาชิ้นเนื้อกวางไปกิน แต่ว่าต่อไปจะไม่ทำอีก"
    <table id="table6" border="0" align="left"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT: 10pt/19px Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2)" class="pic_descript" colspan="2">มณฑปที่สร้างครอบชิ้นเนื้อกวางคำที่กลายเป็นหิน</td></tr></tbody></table>
    พระมหาเถระเจ้าก็ว่า "ตามใจเถอะ"
    หมอพรานทั้งหลายก็ปาดเนื้อกวางตัวนั้นออกเป็นชิ้นๆ แล้วก็ปันให้แก่พรรคพวกเดียวกัน คนละชิ้น ส่วนเขากวางและกระดูกกวาง พระมหาเถระเจ้าก็ขอเอาไปบรรจุไว้ในอุโมงค์หลุมลึก 4 ศอก ที่ข้างวัดนั้น
    ต่อมาวัดนั้นก็เรียกว่า วัดพระธาตุดอยกวางคำ จนถึงปัจจุบัน
    ส่วนชิ้นเนื้อพญากวางที่หมอพรานหาบไป ต่างคนต่างคิดว่าเราจะทำอย่างไร กวางนี้เขาฟังเทศน์เราจะกินเนื้อเขาก็ไม่ดี เราเอามาบรรจุรวมไว้เป็นจุดเป็นกองเสีย ในเนินดอยที่นี่ดีกว่า
    ดังนั้นพวกหมอพรานต่างคนต่างเอาชิ้นเนื้อกองไว้ ชิ้นเนื้อนั้นก็เป็นหินมาจนถึงทุกวันนี้
    บริเวณบนจอมเขานั้น หมอพรานก็ขอพระมหาเถระเจ้าให้ประทับรอยพระบาทไว้ พระมหาเถระเจ้าก็เหยียบรอยพระบาทไว้ให้พวกพรานทั้งหลายได้ไหว้และสักการบูชาต่อไปจนถึงในยุคปัจจุบันนี้
    ใน พ.ศ. 2521 อาตมา (พระชัยยะวงศา) ได้แนะนำพวกกระเหรี่ยงให้ขึ้นไปที่จอมเขานั้น ก็เห็นรอยพระบาทมหาเถระเจ้า และได้ชวนกันสร้างตึกครอบพระบาทไว้เพื่อเป็นที่กราบไหว้ และสักการบูชา
    พ.ศ. 2522 พวกกระเหรี่ยงบ้านหัวขัว และโป่งแดง พร้อมใจกันนิมนต์อาตมา เป็นประธานก่อสร้างพระเจดีย์ไว้จอมดอยที่นั้นซึ่งเป็นที่ฝังหัวกวาง
     
  8. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]
     
  9. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]
    <center>

    หลวงปู่ชัยยะ วงศาพัฒนา (๑)
    </center>
    (พระครูพัฒนากิจจานุรักษ์)
    วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน
    คัดลอกมาจาก http://www.konmeungbua.com/saha/chaiwangsa.html
    <center> <center> <center> [​IMG]

    </center></center></center>
    ชาติภูมิ
    นามเดิม วงศ์ หรือ ชัยวงศ์ นามสกุล ต๊ะแหนม เกิดที่ ตำบลหันก้อ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เกิดเมื่อ วันอังคาร เดือน ๗ (เหนือ) แรม ๒ ค่ำ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๔๕๖ เวลา ๒๔.๑๕ นาฬิกา โยมบิดาชื่อ น้อย จันต๊ะ (ถึงแก่กรรม เมื่ออายุ ๔๔ ปี) โยมมารดาชื่อ บัวแก้ว (ถึงแก่กรรม เมื่ออายุ ๗๘ ปี) จำนวนพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๘ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๓ มีน้องต่างบิดาอีก ๑ คน รวมเป็น ๙ คน ดังนี้
    ๑. เด็กหญิงคำเอื้อย ปัจจุบัน ถึงแก่กรรม
    ๒. เด็กชายก่องคำ ปัจจุบัน ถึงแก่กรรม
    ๓. เด็กชายวงศ์ ปัจจุบัน หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา
    ๔. เด็กชายคำตั๋ว ปัจจุบัน นายคำตั๋ว
    ๕. เด็กหญิงบัวผัน ปัจจุบัน ถึงแก่กรรม
    ๖. เด็กหญิงบัวใย ปัจจุบัน ถึงแก่กรรม
    ๗. เด็กหญิงเฮือนมูล ปัจจุบัน ถึงแก่กรรม
    ๘. เด็กชายอินปั๋น ปัจจุบัน ถึงแก่กรรม
    ๙. เด็กชายหมอก ปัจจุบัน นายหมอก (เคยอุปสมบทกับหลวงปู่)

    ชีวิตในวัยเด็ก
    หลวงปู่เกิดในตระกูลชาวไร่ชาวนาที่ยากจน พ่อแม่ของท่านมีสมบัติติดตัวมาแค่นา ๓-๔ ไร่ ควาย ๒-๓ ตัว ทำนาได้ข้าวปีละ ๒๐-๓๐ หาบ ไม่พอกินเพราะต้องแบ่งไว้ทำพันธุ์ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเอาไว้ใส่บาตรทำบุญบูชาพระ ส่วนที่เหลือจึงจะเก็บไว้กินเอง ต้องอาศัยขุยไผ่ขุยหลวกมาตำเอาเม็ดมาหุงแทนข้าวและอาศัยของในป่า รวมทั้งมันและกลอยเพื่อประทั้งชีวิต บางครั้งต้องอดมื้อกินมื้อก็มี แม่ต้องไปขอญาติพี่น้องๆ เขาก็ไม่มีจะกินเหมือนกัน แม่ต้องกลับมามือเปล่าพร้อมน้ำตาบนใบหน้า มาถึงเรือน ลูกๆ ก็ร้องไห้เพราะหิวข้าว แม้ว่าครอบครัวของท่านต้องดิ้นรนต่อสู้กับความอดทนอยาก แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งเรื่องการทำบุญให้ทาน ข้าวที่แบ่งไว้ทำบุญ แม่จะแบ่งให้ลูกทุกคนๆ ละปั้นไปใส่บาตร บูชาพระพุทธทุกวันพระ
    ชีวิตของ หลวงปู่ในสมัยเด็กมีความลำบากยากแค้นมาตลอด หลวงปู่มีนิสัยชอบพึ่งตนเองสิ่งใดที่ทำได้โดยไม่เกินกำลังแล้วจะทำเองทุกอย่าง ท่านเป็นนักพัฒนา นักก่อสร้าง และสนใจในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เล็กๆ ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่ออายุประมาณ ๓ ปี ท่านชอบเอาดินมาปั้นแต่งเป็นบ้าน ปั้นวัว ปั้นควาย อายุ ๔-๕ ปี ชอบปั้นพระพุทธรูป เอาข้าวเปลือกมาตบแต่งทำพระเนตรแล้วก็กราบไหว้เอง
    อายุ ๕-๖ ปี พอที่จะช่วยโยมพ่อโยมแม่ทำงานได้ ในขณะนั้นโยมพ่อโยมแม่ไปทำนาซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้าน ระหว่างที่ข้าวออกรวง หลวงปู่ต้องไปไล่นกไม่ให้มากินข้าวที่ทำไว้ เวลาไปต้องไปแต่เช้า กว่าจะกลับก็มืดค่ำ ข้าวบางวันก็ได้กินบางวันก็ไม่ได้กิน เที่ยวเสาะหาอาหารตามป่าเขากินพอประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆ
    อายุ ๗-๑๒ ปี ท่านได้ไปหาบดินซึ่งเป็นขี้ค้างคาวในถ้ำกับโยมพ่อ นำมาทำเป็นดินปืนสำหรับทำบ้องไฟ (ทางเหนือเรียกดินไฟ) วิธีทำโดยการนำดินเหล่านี้ผสมกับขี้เถ้าแล้วเคี่ยวให้เข้ากัน เงินที่ได้เอามาซื้อแลกข้าวซึ่งในขณะนั้นราคาประมาณถังละ ๘๐ สตางค์ นับว่ามีราคาแพงมาก สมัยนั้น ๗ -๘ วัน ได้กินข้าวเท่ากำมือหนึ่งก็ดีมากแล้ว
    มีอยู่ครั้งหนึ่งโยมพ่อพาลูกๆ ออกไปทำไร่ โยมแม่ได้นำอาหารกลางวันมาส่งให้ซึ่งประกอบด้วยขนุนที่ยังดิบอยู่นำมาต้มให้สุก พริกตำห่อด้วยใบตองห่อใหญ่และข้าวห่อเล็กๆ ห่อหนึ่ง โยมพ่อเรียกลูกๆ ทุกคนมานั่งรวมกันแล้วแบ่งปันอาหารให้กิน หลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้วโยมพ่อจึงอบรมสั่งสอนลูกๆ ว่า
    "ตอนนี้พ่อแม่อด ลูกทุกคนก็อด แต่ลูกๆ ทุกคนอย่าท้อแท้ใจ ค่อยทำบุญ ไปเรื่อยๆ บุญมี ภายหน้าก็จะสบาย"
    แล้วท่านชี้มือมาที่ หลวงปู่ และกล่าวว่า
    "ลูกเอ๋ยเราทุกข์ขนาดนี้เชียวหนอ ข้าวจะกินก็ไม่มี ต้องกินไปอย่างนี้ ค่อยอดค่อยกลั้นไปบุญมีก็ไม่ถึงกับอดตายหรอก ทรมานมานานแล้วถึงวันนี้ก็ยังไม่ตาย มันจะตายก็ตายไม่ตายก็แล้วไป ให้ลูกอดทนไปนะ ภายหน้าถ้าพ่อยังไม่ตายเสียก่อนก็ดีตายไปแล้วก็ดี บางทีลูกจะได้ 'นั่งขดถวาย หงายองค์ตีน (บวช)' กินข้าวดีๆ อร่อยๆ พ่อนี่จะอยู่ทันเห็นหรือไม่ทันก็ยังไม่รู้"
    หลังจากโยมพ่อได้อบรมสั่งสอนลูกๆ ได้สักพักหนึ่งต่างก็แยกทางกันไปทำงาน

    เป็นผู้มีความขยันและอดทน
    ในสมัยที่ท่านยังเล็กๆ อายุ ๓-๔ ขวบ ท่านมีโรคประจำตัวคือโรคลมสันนิบาต ลมเปี่ยวลมกัง ต้องนั่งทุกข์อยู่เป็นวันเป็นคืน เดินไปไกลก็ไม่ได้ วิ่งก็ไม่ได้เพราะลมเปี่ยว ตะคริวกินขากินน่อง เดินเร็วๆ ก็ไม่ได้ ต้องค่อยไปค่อยยั้ง เวลาอยู่บ้านต้องคอยเลี้ยงน้อง ตักน้ำติดไฟไว้คอยพ่อแม่ที่เข้าไปในป่าหาอาหาร
    ในช่วงที่ท่านมีอายุได้ ๕-๑๐ ขวบ ท่านต้องเป็นหลักในบรรดาพี่น้องทั้งหมดที่ต้องช่วยงานพ่อแม่มากที่สุด เวลาพ่อแม่ไปไร่ไปนาก็ไปด้วย เวลาพ่อแม่ไปหากลอบขุดมัน หาลูกไม้ในป่า ท่านก็ไปช่วยขุดช่วยหาบกลับบ้าน บางครั้งพ่อแม่หลงทางเพราะไปหากลอยตามเนินดอยเนินเขา กว่าจะหากลอยได้เต็มหาบก็ดึก ขากลับพ่อแม่จำทางไม่ได้ ท่านก็ช่วยพาพ่อแม่กลับบ้านจนได้
    ครั้นถึงหน้าฝน พ่อแม่ออกไปทำนา ท่านก็ติดตามไปช่วยทุกอย่าง พ่อปั้นคันนาท่านก็ช่วยพ่อ พ่อไถนาท่านก็คอยจูงควายให้พ่อ เวลาแม่ปลูกข้าวก็ช่วยแม่ปลูกจนเสร็จ
    เสร็จจากหน้าทำนา ท่านก็จะเผาไม้ในไร่เอาขี้เถ้า ไปขุดดินในถ้ำมาผสมทำดินปืนไปขาย ได้เงินซื้อข้าวและเกลือ บางครั้งก็ไปอยู่กับลุงน้อยเดชะรับจ้างเลี้ยงควาย บางปีก็ได้ค่าแรงเป็นข้าว ๒-๓ หาบ บางปีก็เพียงแต่ขอกินข้าวกับลุงพอตุนท้องตุนไส้ไปวันๆ
    พอถึงเวลาข้าวออกรวง นกเขาจะลงกินข้าวในนา ท่านก็จะขอพ่อแม่ไปเฝ้าข้าวในนาตั้งแต่ เช้ามืด กว่าจะกลับก็ตะวันลับฟ้าไปแล้ว
     
  10. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    เป็นผู้มีความกตัญญู
    หลวงปู่มีความกตัญญูมาตั้งแต่เด็ก ท่านช่วยพ่อแม่ทำงานต่างๆ ทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ตั้งแต่อายุได้ประมาณ ๕ ขวบ ท่านก็ช่วยพ่อแม่เฝ้านาเลี้ยงน้อง ตลอดจนช่วยงานทุกอย่างของพ่อแม่ เมื่อเวลาที่พ่อแม่หาอาหารไม่ได้ ท่านก็จะไปรับจ้างชาวบ้าน แถบบ้านก้อ ทำความสะอาด หรือช่วยเฝ้าไร่นา เพื่อแลกกับข้าวปลาอาหารมาให้พ่อแม่และน้องๆ กิน
    ในบางครั้ง อาหารที่ได้มา หรือที่พ่อแม่จัดหาให้ ไม่เพียงพอกับคนในครอบครัว ด้วยความที่ท่านมีนิสัยเสียสละ และไม่ต้องการให้พ่อแม่ต้องเจียดอาหารของท่านทั้งสอง ซึ่งมีน้อยอยู่แล้ว ออกมาให้ท่านอีก ท่านจึงได้บอกว่า"กินมาแล้ว" เพื่อให้พ่อแม่สบายใจ แต่พอลับตาผู้อื่น หรือเมื่อผู้อื่นในบ้านหลับกันหมดแล้ว ท่านก็จะหลบไปดื่มน้ำ หรือบางครั้งจะหลบไปหาใบไม้ที่พอจะกินได้มาเคี้ยวกิน เพื่อประทังความหิวที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้เขียนได้รับฟังมาจากน้องของท่านว่า
    "หลวงพ่อเติบโตขึ้นมาโดยพ่อแม่เลี้ยงข้าวท่านไม่ถึง ๑๐ ถัง แต่ท่านในสมัยเป็นเด็ก กลับหาเลี้ยงพ่อแม่ มากกว่าที่พ่อแม่หาเลี้ยงท่าน"

    ชอบลองใจ
    ปกติท่านมักจะหาเวลาว่างไปทำบุญ ช่วยเหลือการงานที่วัดก้อจอก ซึ่งอยู่ใกล้บ้านเสมอ ครั้งหนึ่ง ท่านได้ชวนผู้เฒ่าคนหนึ่ง ซึ่งโดยปกติไม่ชอบไปวัดทำบุญ แต่ชอบยิงนกตกปลาเป็นประจำ และมักจะมีข้ออ้างเสมอ เมื่อถูกชวนไปวัด คราวนี้แกก็ปฏิเสธเช่นเคย โดยอ้างว่า เท้าเจ็บไปไหนไม่ได้ ท่านอยากจะลองดูซิว่าเท้าแกเจ็บจริงหรือไม่ เมื่อท่านเดินออกไปได้สักระยะหนึ่ง ก็ทำเสียงอีเก้งร้อง เมื่อร้องครั้งแรก ผู้เฒ่าคนนั้นก็ยกหัวขึ้นมาดู (ขณะนั้นนอนทำเป็นป่วยอยู่) หันซ้ายหันขวามองตามเสียงอีเก้งร้อง
    เมื่อแกได้ยินเสียงร้องครั้งที่สอง ก็ลุกนั่งมีอาการอยากจะออกไปยิงอีเก้ง พอได้ยินเสียงร้องครั้งที่สาม ผู้เฒ่าทนไม่ไหวลุกขึ้นไปหยิบเอาปืนจะออกไปยิงอีเก้งตัวนี้เสียทันทีทันใด จนท่านเห็นแล้วต้องรีบวิ่งหนี เพราะกลัวจะโดนลูกหลง

    มีนิสัยกล้าหาญ
    เมื่อท่านอายุได้ประมาณ ๑๐ ขวบ ท่านต้องออกไปเฝ้านาข้าว เพื่อคอยไล่นกที่จะมากินข้าวในนา ท่านต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี ๔ ยังไม่สว่าง นกยังไม่ตื่นออกหากิน การที่ท่านต้องออกไปไร่นาแต่เพียงลำพังคนเดียวเป็นประจำ ทำให้ลุงตาลซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของท่าน อดสงสัยไม่ได้ จนต้องเข้ามาถามท่าน
    ลุงตาล : มึงนี้เป็นผีเสือหรือไร แจ้งมา กูก็เห็นมึงที่นี่ มึงไม่ได้นอนบ้านหรือ
    ด.ช.วงศ์ : เมื่อนกหนูนอนแล้ว ข้าจึงกลับไปบ้าน เช้ามืดไก่ขันหัวที ยังบ่แจ้ง นกยังบ่ลงบ่ตื่น ข้าก็มาคนเดียว
    ลุงตาล : ไม่กลัวเสือ ไม่กลัวผีป่าหรือ?
    ด.ช.วงศ์ : ผีเสือมันก็รู้จักเรา มันไม่ทำอะไรเรา เราเทียวไปเทียวมา มันคงรู้ และเอ็นดูเรา บางวันตอนเช้าเราเห็นคนเดินไปข้างหน้าเราก็เดินตามก็ไม่ทัน จนถึงไร่มันก็หายไปเราก็เข้าใจว่ามันไปส่งเรา เราก็ไม่กลัว บางเช้าก็ได้ยินเสียงเสือร้องไปก่อนหน้า
    ลุงตาล : ไม่กลัวเสือหรือ ?
    ด.ช.วงศ์ : เราไม่กลัว มันเป็นสัตว์เราเป็นคน มันไม่รังแกเรา มันคงสงสารเรา ที่เป็นทุกข์ยาก มันคงจะมาอยู่เป็นเพื่อน เราจะไปจะมาก็ขอเทวดา ที่รักษาป่า ช่วยรักษาเรา เราจึงไม่กลัว
    ลุงตาล : มึงเก่งมาก กูจักทำตามมึง
    ด.ช.วงศ์ : เราไม่ได้ทำอะไรมัน มันก็ไม่ทำอะไรเรา มันไม่รังแกเรา เราคิดว่าคนที่ใจบาปไปเสาะหาเนื้อในป่า กินกวางกินเก้งกินปลา เสือก็ยังไม่กัดใครตายในป่าสักคน เวลาเราจะลงเรือน เราก็ขอให้บุญช่วยเรา
    ลุงตาล : มึงยังเด็ก อายุไม่ถึง ๑๐ ขวบ มืด ๆ ดึก ๆ ก็ไม่กลัวป่า ไม่กลัวเถื่อน ไม่กลัวผีป่า ผีพง ไม่กลัวช้าง กูยอมมึงแล้ว
     
  11. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    มีปัญญาพิจารณาเห็นทุกข์
    ขณะที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในป่าคนเดียวตามลำพัง ท่านได้เปรียบเทียบชีวิตท่านกับสัตว์ป่า ทั้งหลายว่า
    "นกทั้งหลายต่างก็หากินไปไม่มีที่หยุดต่างก็เลี้ยงตัวเองไปตามประสามันก็ยังทนทานไปได้ ตัวเราค่อยอดค่อนทนไปก็ดีเหมือนกัน สัตว์ทั้งหลายก็ทุกข์ยากอย่างเรา เราก็ทุกข์ยากอย่างเรา สัตว์ในโลกก็ทุกข์เหมือนกันทุกอย่าง เราไม่ควรจะเหนื่อยคร้าน ค่อยอดค่อยทนตามพ่อแม่นำพาไป"
    เป็นผู้มีพรหมวิหารสี่
    หลวงปู่มีความเมตตากรุณาและพรหมวิหารสี่มาแต่เยาว์วัยอย่างหาที่เปรียบมิได้ เพื่อนของ หลวงปู่ตั้งแต่สมัยนั้นเล่าว่า เมื่อสมัยที่ท่านเป็นเด็กระหว่างทางไปหาของหรืออาหารป่า ทุกครั้งที่เห็นสัตว์ถูกกับดักของนายพราน ท่านจะปล่อยสัตว์เหล่านั้นให้มีอิสรภาพเสมอ แล้วจะหาสิ่งของมาทดแทนให้กับนายพราน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับชีวิตของมัน
    ครั้งหนึ่งท่านเห็นตัวตุ่นถูกกับดักนายพรานติดอยู่ในโพรงไม้ไผ่ ด้วยความสงสารท่านจึงปล่อยตัวตุ่นนั้นไป แล้วหยิบหัวมันที่หามาได้จากในป่า ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่และน้อง ๆ กิน ใส่เข้าไปในโพรงไม้นั้นแทน เพื่อเป็นการชดใช้แลกเปลี่ยนกับชีวิตของตัวตุ่นนั้น
    ต่อมามีอยู่วันหนึ่ง ท่านไปพบปลาดุกติดเบ็ดของชาวบ้านที่นำมาปักไว้ที่ห้วย ท่านเห็นมันดิ้นทุรนทุรายแล้วเกิดความสงสาร เวทนาปลาดุกตัวนั้นมาก จึงปลดมันออกจากเบ็ด แล้วเอาหัวผักกาดที่ท่านทำงานแลกมา ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่และน้อง ๆ กิน มาเกี่ยวไว้แทนเป็นการแลกเปลี่ยนชีวิตปลาดุกนั้น หลวงปู่ได้เมตตาบอกถึงเหตุผลที่กระทำเช่นนั้นว่า ในเวลานั้นท่านมีความเวทนาสงสาร สัตว์เหล่านั้นจึงได้ช่วยชีวิตของมันไว้ ท่านมักจะสั่งสอนลูกศิษย์อยู่เสมอว่า "ชีวิตของใคร ๆ ก็รักทั้งนั้น เราทุกคนควรจะเมตตาตนเอง และเมตตาผู้อื่นอยู่เสมอโลกนี้จะได้มีความสุข"
    ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่ไม่ชอบการผิดศีลมาตั้งแต่สมัยเด็ก เมื่อท่านเห็นว่าคนอื่นจะผิดศีล ข้อปาณาติบาต (การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต) ก็รู้สึกสงสารทั้งผู้ทำปาณาติบาตและผู้ถูกปาณาติบาต ซึ่งท่านไม่อยากเห็นพวกเขามีเวรมีกรรมกันต่อไป แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ไม่ต้องการให้ตัวเองต้องผิดศีลโดยไปลักขโมยของผู้อื่น ซึ่งในเวลานั้นท่านไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ท่านจึงต้องหาสิ่งของมาตอบแทนให้กับเขา แต่ในบางครั้งก็ไม่มีสิ่งของมาแลกกับชีวิตของสัตว์เหล่านั้นเหมือนกัน แต่ท่านก็สามารถจะช่วยมันได้โดยปล่อยมันให้เป็นอิสระ แล้วท่านจะนั่งรอนายพราน จนกว่าเขาจะมา และก็ขอเอาตัวเอง ชดใช้แทน ซึ่งท่านได้เล่าว่า บางคนก็ไม่ถือสาเอาความ แต่บางคนก็ให้ไปทำงานหรือทำความสะอาด ทดแทนกับที่ท่านไปปล่อยสัตว์ที่เขาดักไว้ แต่ไม่เคยมีใครทำร้ายทุบตีท่าน อาจจะมีบ้างก็เพียงแต่ว่ากล่าวตักเตือน
    ในปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน หลวงปู่ชอบปล่อยสัตว์ ปล่อยปลามาก มีอยู่หลายแห่งที่ท่านไปโปรดญาติโยม แล้วญาติโยมซื้อสัตว์มาให้ท่านปล่อย สัตว์พวกนี้ดีใจมากเมื่อปล่อยให้มันเป็นอิสรภาพ ขณะที่ท่านปล่อยสัตว์โดยเฉพาะสัตว์น้ำ เช่น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ เหมือนหนึ่งว่ามันไม่อยากจากท่านไป เมื่อท่านให้ศีลให้พรจะดำผลุบดำโผล่อยู่ที่หน้าท่านเป็นเวลานาน บางตัวก็ขึ้นมานอนสงบนิ่งเพื่อรับพรจากท่าน บางตัวขึ้นมาเคล้าเคลียที่เท้าของท่านที่จุ่มลงในน้ำ แสดงถึงความรักและความเมตตาจิตที่ได้รับจากท่าน และสมัยเมื่อท่านจำพรรษาอยู่ป่าแม่ระได้ ๔ ปี ช้างจะมาล้อมฟังเสียงสวดมนต์ทุกเช้า เมื่อฟังจบแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปหากิน เมื่อ หลวงปู่ตีระฆัง ช้างก็จะมาขอกินข้าว หลังจากได้กินข้าวแล้ว ก่อนจากไปช้างที่เป็นหัวหน้าจะครางฮือๆ เพื่อแสดงความเคารพและขอบคุณ แม้แต่เสือก็ยังมีความเกรงใจ คือถ้าเสือเดินมาในระยะไกลๆ มันจะร้องมาเรื่อย เมื่อเดินเข้ามาใกล้ที่ หลวงปู่พักอยู่มันจะไม่ร้อง จะร้องอีกต่อเมื่อออกห่างไปไกล
    ท่านได้พูดกับผู้เขียนว่า "แม้ว่าบางครั้งจะต้องทำงานหนักเพื่อใช้ชีวิตของสัตว์ที่ท่านได้ปล่อยไป แต่ท่านก็รู้สึกยินดีและปิติใจเป็นอันมากที่ได้ทำในสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ "
     
  12. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    มีปัญญาพิจารณาเห็นทุกข์
    ขณะที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในป่าคนเดียวตามลำพัง ท่านได้เปรียบเทียบชีวิตท่านกับสัตว์ป่า ทั้งหลายว่า
    "นกทั้งหลายต่างก็หากินไปไม่มีที่หยุดต่างก็เลี้ยงตัวเองไปตามประสามันก็ยังทนทานไปได้ ตัวเราค่อยอดค่อนทนไปก็ดีเหมือนกัน สัตว์ทั้งหลายก็ทุกข์ยากอย่างเรา เราก็ทุกข์ยากอย่างเรา สัตว์ในโลกก็ทุกข์เหมือนกันทุกอย่าง เราไม่ควรจะเหนื่อยคร้าน ค่อยอดค่อยทนตามพ่อแม่นำพาไป"
    เป็นผู้มีพรหมวิหารสี่
    หลวงปู่มีความเมตตากรุณาและพรหมวิหารสี่มาแต่เยาว์วัยอย่างหาที่เปรียบมิได้ เพื่อนของ หลวงปู่ตั้งแต่สมัยนั้นเล่าว่า เมื่อสมัยที่ท่านเป็นเด็กระหว่างทางไปหาของหรืออาหารป่า ทุกครั้งที่เห็นสัตว์ถูกกับดักของนายพราน ท่านจะปล่อยสัตว์เหล่านั้นให้มีอิสรภาพเสมอ แล้วจะหาสิ่งของมาทดแทนให้กับนายพราน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับชีวิตของมัน
    ครั้งหนึ่งท่านเห็นตัวตุ่นถูกกับดักนายพรานติดอยู่ในโพรงไม้ไผ่ ด้วยความสงสารท่านจึงปล่อยตัวตุ่นนั้นไป แล้วหยิบหัวมันที่หามาได้จากในป่า ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่และน้อง ๆ กิน ใส่เข้าไปในโพรงไม้นั้นแทน เพื่อเป็นการชดใช้แลกเปลี่ยนกับชีวิตของตัวตุ่นนั้น
    ต่อมามีอยู่วันหนึ่ง ท่านไปพบปลาดุกติดเบ็ดของชาวบ้านที่นำมาปักไว้ที่ห้วย ท่านเห็นมันดิ้นทุรนทุรายแล้วเกิดความสงสาร เวทนาปลาดุกตัวนั้นมาก จึงปลดมันออกจากเบ็ด แล้วเอาหัวผักกาดที่ท่านทำงานแลกมา ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่และน้อง ๆ กิน มาเกี่ยวไว้แทนเป็นการแลกเปลี่ยนชีวิตปลาดุกนั้น หลวงปู่ได้เมตตาบอกถึงเหตุผลที่กระทำเช่นนั้นว่า ในเวลานั้นท่านมีความเวทนาสงสาร สัตว์เหล่านั้นจึงได้ช่วยชีวิตของมันไว้ ท่านมักจะสั่งสอนลูกศิษย์อยู่เสมอว่า "ชีวิตของใคร ๆ ก็รักทั้งนั้น เราทุกคนควรจะเมตตาตนเอง และเมตตาผู้อื่นอยู่เสมอโลกนี้จะได้มีความสุข"
    ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่ไม่ชอบการผิดศีลมาตั้งแต่สมัยเด็ก เมื่อท่านเห็นว่าคนอื่นจะผิดศีล ข้อปาณาติบาต (การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต) ก็รู้สึกสงสารทั้งผู้ทำปาณาติบาตและผู้ถูกปาณาติบาต ซึ่งท่านไม่อยากเห็นพวกเขามีเวรมีกรรมกันต่อไป แต่ในขณะเดียวกันท่านก็ไม่ต้องการให้ตัวเองต้องผิดศีลโดยไปลักขโมยของผู้อื่น ซึ่งในเวลานั้นท่านไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ท่านจึงต้องหาสิ่งของมาตอบแทนให้กับเขา แต่ในบางครั้งก็ไม่มีสิ่งของมาแลกกับชีวิตของสัตว์เหล่านั้นเหมือนกัน แต่ท่านก็สามารถจะช่วยมันได้โดยปล่อยมันให้เป็นอิสระ แล้วท่านจะนั่งรอนายพราน จนกว่าเขาจะมา และก็ขอเอาตัวเอง ชดใช้แทน ซึ่งท่านได้เล่าว่า บางคนก็ไม่ถือสาเอาความ แต่บางคนก็ให้ไปทำงานหรือทำความสะอาด ทดแทนกับที่ท่านไปปล่อยสัตว์ที่เขาดักไว้ แต่ไม่เคยมีใครทำร้ายทุบตีท่าน อาจจะมีบ้างก็เพียงแต่ว่ากล่าวตักเตือน
    ในปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน หลวงปู่ชอบปล่อยสัตว์ ปล่อยปลามาก มีอยู่หลายแห่งที่ท่านไปโปรดญาติโยม แล้วญาติโยมซื้อสัตว์มาให้ท่านปล่อย สัตว์พวกนี้ดีใจมากเมื่อปล่อยให้มันเป็นอิสรภาพ ขณะที่ท่านปล่อยสัตว์โดยเฉพาะสัตว์น้ำ เช่น ปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ เหมือนหนึ่งว่ามันไม่อยากจากท่านไป เมื่อท่านให้ศีลให้พรจะดำผลุบดำโผล่อยู่ที่หน้าท่านเป็นเวลานาน บางตัวก็ขึ้นมานอนสงบนิ่งเพื่อรับพรจากท่าน บางตัวขึ้นมาเคล้าเคลียที่เท้าของท่านที่จุ่มลงในน้ำ แสดงถึงความรักและความเมตตาจิตที่ได้รับจากท่าน และสมัยเมื่อท่านจำพรรษาอยู่ป่าแม่ระได้ ๔ ปี ช้างจะมาล้อมฟังเสียงสวดมนต์ทุกเช้า เมื่อฟังจบแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปหากิน เมื่อ หลวงปู่ตีระฆัง ช้างก็จะมาขอกินข้าว หลังจากได้กินข้าวแล้ว ก่อนจากไปช้างที่เป็นหัวหน้าจะครางฮือๆ เพื่อแสดงความเคารพและขอบคุณ แม้แต่เสือก็ยังมีความเกรงใจ คือถ้าเสือเดินมาในระยะไกลๆ มันจะร้องมาเรื่อย เมื่อเดินเข้ามาใกล้ที่ หลวงปู่พักอยู่มันจะไม่ร้อง จะร้องอีกต่อเมื่อออกห่างไปไกล
    ท่านได้พูดกับผู้เขียนว่า "แม้ว่าบางครั้งจะต้องทำงานหนักเพื่อใช้ชีวิตของสัตว์ที่ท่านได้ปล่อยไป แต่ท่านก็รู้สึกยินดีและปิติใจเป็นอันมากที่ได้ทำในสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ "
     
  13. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]
     
  14. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    กินอาหารมังสวิรัติ
    เมื่อท่านอายุได้ ๑๒ ปี ท่านได้พบเหตุการณ์สำคัญที่ทำไม่อยากจะกินเนื้อสัตว์นั้นเลยนับแต่นั้นมา กล่าวคือ มีครั้งหนึ่งท่านได้เห็นพญากวางใหญ่ถูกนายพรานยิง แทนที่พญากวางตัวนั้นจะร้องเป็นเสียงสัตว์ มันกลับร้องโอย โอย ๆ ๆ ๆ เหมือนเสียงคนร้อง แล้วสิ้นใจตายในที่สุด และเมื่อท่านไปอยู่กับครูบาชัยลังก๋าซึ่งไม่ฉันเนื้อสัตว์ หลวงปู่จึงงดเว้นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ตั้งแต่นั้นมา อีกประการหนึ่ง
    อาจเป็นด้วยบุญบารมีที่ท่านได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติ ประกอบกับได้เห็นความทุกข์ยากของสัตว์ต่าง ๆ ที่ถูกทำร้าย จึงทำให้ท่านเกิดความสลดใจอยู่เสมอ ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานถึงคุณพระศรีรัตนตรัยตั้งแต่นั้นมาว่า
    "จะไม่ขอเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์และจะไม่ขอกินเนื้อสัตว์อีกต่อไป"
    ท่านเมตตาสอนว่า
    "สรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมรักและหวงแหนชีวิตของมันเอง เราทุกคนไม่ควรจะเบียดเบียนมัน มันจะได้อยู่อย่างเป็นสุข"
    และท่านยังพูดเสมอว่า
    "ท่านต้องการให้ศีลของท่านบริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ "
    สัตว์ทุกตัวมันก็รักชีวิตของมันเหมือนกัน เมื่อเราฆ่ามันตายเพื่อกินเนื้อมัน จิตของมันไปที่สำนักพญายม ก็จะฟ้องร้องว่าคนนั้นฆ่ามันตาย คนนี้กินเนื้อของมัน ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่า คนกินก็เป็นจำเลยด้วย ก็ย่อมต้องได้รับโทษ แต่จะออกมาในรูปของการเจ็บไข้ได้ป่วย และความไม่สบายต่าง ๆ ซึ่งเจ้าตัวไม่รู้สึก เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา
    บรรพชาเป็นสามเณร
    <table id="table3" border="0" align="left"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript"> [​IMG]
    </td></tr> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript">
    ครูบาชัยลังก๋า
    </td></tr></tbody></table>
    เมื่อ หลวงปู่อายุได้ ๑๒ ปี ด้วยผลบุญที่ท่านได้บำเพ็ญมาตั้งแต่ปางก่อนในอดีตชาติ และได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระสงฆ์ครูบาอาจารย์ในชาตินี้ จึงดลบันดาลให้ท่านมีความ เบื่อหน่ายต่อชีวิตทางโลก อันเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา แห่งนี้ ท่านจึงได้รบเร้าขอให้พ่อแม่พาท่านไปบวช เพื่อท่านจะได้บำเพ็ญธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อบิดามารดาได้ฟัง ก็เกิดความปิติยินดีเป็นยิ่งนัก โยมพ่อจึงนำท่านไปฝากไว้ที่วัดกับหลวงอา และในปีนี้เองโยมพ่อก็เสียชีวิตลง หลังจาก หลวงปู่มาอยู่วัดได้เพียง ๑ เดือน โยมพ่อของท่านจึงไม่มีโอกาสเห็นท่าน "นั่งขดถวายหงายองค์ตีนกินข้าว" จริงตามที่เคยพูดไว้ หลวงปู่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ ๘ เดือน เมื่อท่านอายุย่าง ๑๓ ปี (พ.ศ. ๒๔๖๘) จึงได้บวชเป็นสามเณรกับครูบาชัยลังก๋า (ซึ่งเป็นพระธุดงค์กรรมฐานรุ่นพี่ของครูบาศรีชัย) ครูบาชัยลังก๋าได้ตั้งชื่อให้ท่านใหม่หลังจากเป็นสามเณรแล้วว่า "สามเณรชัย ลังก๋า" เช่นเดียวกับชื่อของครูบาชัยลังก๋า
     
  15. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    มีความเคารพเชื่อฟัง
    ท่านเป็นผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียรและเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ตลอดจนผู้สูงอายุ จึงทำให้ครูบาอาจารย์และผู้เฒ่าผู้แก่รักใคร่เอ็นดูมาก จนเป็นเหตุทำให้เพื่อนเณรบางคนพากันอิจฉาริษยา หาว่าท่านประจบครูบาอาจารย์ และถูกกลั่นแกล้งรังแกอยู่เสมอ ระหว่างศึกษาเล่าเรียนภาษาล้านนา ท่านมักจะโดนครูที่สอนตีเป็นประจำ อ่านหนังสือแทบทุกตัวอักขระไม่ว่าเล็กๆ น้อยๆ เช่นอ่านไม่ออกก็โดนทุบโดนตีเหมือนอย่างวัว อย่างควาย บางครั้งโดนตีด้วยแซ่จนเป็นรอยเต็มไปหมด ไม่ว่าจะที่ต่ำที่สูง บางทีก็โดนสันขวานทุบตีที่หัว เช่น อ่านหนังสือว่า กะ ขะ ก๊ะ เมื่ออ่านผิดก็โดนตี ๑ ครั้ง
    ท่านเล่าให้ฟังว่า ตาสองข้างลายพร่าไปหมด มีอาการเหมือนคนมึนงง ต้องถูกตีถอนพิษอีก ๑ ครั้งจึงจะหาย
    ถ้าสังเกตให้ดีแล้ว ศีรษะของ หลวงปู่จะไม่สวยเนื่องจากมีร่องรอยการถูกตีนี่เอง หลวงปู่คิดอยู่ในใจเสมอว่าครูพวกนี้ขาดความเมตตา ถ้าท่านได้มีโอกาสเป็นครูเขาแล้วจะค่อยๆ สอน จะไม่ทุบไม่ตีใคร
    เมื่อใดที่ท่านอยู่ห่างจากครูบาอาจารย์เป็นต้องถูกรังแกเสมอ ทำให้การอยู่ปรนนิบัติติดตามครูบาอาจารย์เป็นไปอย่างไม่มีความสุข เมื่อยามหลับนอนบางครั้งก็โดนเอาทรายมากรอกปากบ้าง เอาไฟเผามือเผาเท้าบ้าง (ไฟเย็น) ไปฟ้องก็ไม่ได้ ถูกรุมตี ไปทางครูครูตี มาหาเพื่อนเพื่อนตี เวลาฉันเข้าก็ฉันไม่ได้มากเพราะถูกรังแก ระหว่างฉันอยู่ถูกพระเณรองค์โน้นบ้างองค์นี้บ้างหยิบเอาข้าวเอากับในสำรับไปกิน ท่านถูกกลั่นแกล้งทุกอย่างแต่ก็ด้วยขันติบารมีอย่างยิ่งของท่าน จึงสามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้ตลอดมา
    ครั้งหนึ่งในขณะที่ท่านกำลังฉันข้าวอยู่ พวกที่เป็นศัตรูกับท่านได้นำเอากระโถนของครูบาก๋า ซึ่งท่านถ่มน้ำมูกน้ำลายเอาไว้มาวางรวมในสำรับกับข้าวที่ท่านฉัน แล้วหัวเราะด้วยความภูมิใจ หลวงปู่ท่านฉันโดยไม่รู้สึกรังเกียจและคิดจะให้พวกเหล่านี้เห็นถึงความจงรักภักดีที่ท่านมีต่อครูบาอาจารย์ ท่านได้นำอาหารบ้างข้าวบ้างจิ้มลงไปในกระโถน แล้วหยิบขึ้นมาฉันอย่างปกติ ผู้ที่แกล้งท่านต่างอาเจียนไปตามๆ กันด้วยความรังเกียจ และโดยปกติแล้ว หลวงปู่มักจะดื่มน้ำล้างกระโถนของครูบาก๋าเป็นประจำ โดยการเทน้ำมูกน้ำลายทิ้งเสียก่อนครั้งหนึ่ง จากนั้นเอาน้ำเปล่าเทผสมลงไปกับน้ำมูกน้ำลายที่ยังติดคราบกระโถนอยู่ ก่อนดื่มท่านอธิษฐานจิตขอให้เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดยิ่งๆ ขึ้นไป
    ด้วยความเคารพกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ และต้องการที่จะปฏิบัติธรรมกรรมฐานเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ท่านจึงได้ใช้ขันติและให้อภัยแก่พระเณรเหล่านั้น ที่ไม่รู้สัจธรรมในเรื่องกฎแห่งกรรม ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้กล่าวไว้ว่า"ทำความดี ได้ดี ทำความชั่ว ผลแห่งความชั่ว ย่อมตอบสนองผู้นั้น"
     
  16. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    พบชายชราลึกลับ
    เพื่อนพระสงฆ์ที่เคยอยู่ร่วมกันกับท่านในสมัยเป็นเณรได้เล่าว่า "หลวงพ่อวงศ์เป็นผู้มีขันติและอภัยทานสูงส่งจริงๆ " ครั้งหนึ่งท่านเคยถูกเณรองค์อื่น (ซึ่งไม่ควรจะถือว่าเป็นพระหรือเณร) เอาน้ำรักทาไว้บนที่นอนของท่าน ในสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้า และเทียนก็หาได้ยาก ท่านจึงมองไม่เห็น เมื่อท่านนอนลงไป น้ำรักก็ได้กัดผิวหนังของท่านจนแสบจนคัน ท่านจึงได้เกาจนเป็นแผลไปทั้งตัว ไม่นานแผลเหล่านั้นก็ได้เน่าเปื่อยขึ้นมา จนทำให้ท่านได้รับทุกขเวทนามาก แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนดีมีธรรมะเมตตา ให้อโหสิกรรมกับผู้อื่น ท่านจึงใช้ขันติข่มความเจ็บปวดเหล่านั้นโดยไม่ปริปากหรือกล่าวโทษผู้ใด
    ทุกครั้งที่ครูบาอาจารย์ถาม ท่านก็ไม่ยอมที่จะกล่าวโทษใครเลย เพียงเรียนไปว่า ขออภัยให้กับพวกคนเหล่านั้นเท่านั้น และขอยึดเอาคำของครูบาอาจารย์มาปฏิบัติ เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมกันต่อไปในอนาคต และเพื่อความหลุดพ้นจากวัฎสงสารแห่งนี้เข้าสู่นิพพาน ดังที่ครูบาอาจารย์ได้อบรมสั่งสอนมาด้วยความยากลำบาก ในการที่จะให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นคนดีและเป็นพระสงฆ์เนื้อนาบุญของ พุทธบริษัทต่อไป
    <table id="table2" border="0" align="right"> <tbody> <tr> <td style="TEXT-ALIGN: center; LINE-HEIGHT: 19px; TEXT-INDENT: 0px; MARGIN: 0pt 10pt 10pt 10px; FONT-FAMILY: Tahoma; COLOR: rgb(2,66,2); FONT-SIZE: 10pt" class="pic_descript"> [​IMG]
    </td></tr></tbody></table>
    ด้วยผลบุญที่ท่านได้สั่งสมมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน จึงดลบันดาลให้มีชายชราชาวขมุ นำยามาให้ท่านกินให้ท่านทา เป็นเวลา ๓ คืน เมื่อท่านหายดีแล้ว ชายชราผู้นั้นก็ได้กลับมาหาท่าน และได้พูดกับท่านว่า
    "เป็นผลบุญของเณรน้อยที่ได้สร้างสมมาแต่อดีตถึงปัจจุบันไว้ดีมากและมีความกตัญญูเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ครูบาอาจารย์ดีมากจึงทำให้แผลหายเร็ว ขอให้เณรน้อยจงหมั่นทำความดีปฏิบัติธรรมและเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ต่อไป อย่าได้ท้อถอยไม่ว่าจะมีมารมาขัดขวางอย่างไรก็ดี ขอเณรน้อยใช้ความดีชนะความไม่ดีทั้งหลายต่อไปในภายภาคหน้า สามเณรน้อยจะได้เป็นพระสงฆ์เนื้อนาบุญของพุทธบริษัทต่อไป"
    เมื่อชายชราผู้นั้นกล่าวจบแล้ว จึงได้เดินลงจากกุฏิที่ท่านพักอยู่ สามเณรชัยลังก๋านึกได้ ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่ของชายชราผู้มีพระคุณ จึงวิ่งตามลงมา แต่เดินหาเท่าไรก็ไม่พบชายชราผู้นั้น ท่านจึงได้สอบถามผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่พบเห็นชายชราเช่นนี้มาก่อนเลย นอกจากเห็นท่านนอนอยู่องค์เดียวในกุฏิ จากคำพูดของคนเหล่านี้ ทำให้ท่านประหลาดใจมาก เพราะท่านได้พูดคุยกับชายชราผู้นั้นถึง ๓ คืน ทุกครั้งที่ชายชราผู้นี้มาทายา และทำยาให้ท่านกินเหตุการณ์นี้ ทำให้ท่านคิดว่าชายชราผู้นั้น ถ้าไม่เป็นเทพแปลงกายมา ก็อาจจะเป็นผู้ทรงศีลที่บำเพ็ญอยู่ในป่าจนได้อภิญญา
    เรื่องการกลั่นแกล้งจากพระเณรต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อท่านได้มีโอกาสกราบเรียนให้ครูบาก๋าทราบ ครูบาก็เมตตาสั่งสอนว่า
    "เณรน้อยให้อดทนไว้ที่ถูกกลั่นแกล้งเช่นนี่ ก็เพราะเป็นเวรกรรมที่เคยทำไว้ในอดีต ถ้าผูกเวรกันแล้วก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์ไปได้ กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมตามสนอง เณรน้อยควรรู้จักการให้อภัยเสียแต่บัดนี้ ต่อไปภายหน้าเณรน้อยก็จะสบาย"
    ครูบาชัยลังก๋ามักลูบหัวของท่านด้วยความรักเอ็นดู และสั่งสอนให้ด้วยความเมตตาอยู่เสมอว่า
    "มันเป็นกรรมเก่าของเณรน้อย ตุ๊ลุงขอให้เณรน้อยใช้ขันติและความเพียรต่อไป เพื่อโลกุตตรธรรมอันยิ่งใหญ่ในภายหน้า เมื่อถึงเวลานั้นแล้วทุกคนที่เคยล่วงเกินเณรน้อย เขาจะรู้กรรมที่ได้ล่วงเกินเณรน้อยมา"
     
  17. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    [​IMG]

    "สรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมรักและหวงแหนชีวิตของมันเอง เราทุกคนไม่ควรจะเบียดเบียนมัน มันจะได้อยู่อย่างเป็นสุข"
     
  18. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    บุญฤทธิ์แห่งเมตตาธรรมของหลวงปู่

    จาก
    “อัปปมาโณ สังโฆ” ในหนังสือพระชัยวงศานุสสติ
    <table border="1" width="100%"> <tbody> <tr> <td bgcolor="#f2f0e1"> ประสบการณ์ดังต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์เฉพาะกลุ่มบุคคลจำนวน ๔๐๐ คน ซึ่งเป็นผู้โดยสารของสายการบินแอร์อินเดีย ที่เดินทางจากอินเดียมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ได้ประสบมาด้วยตัวเอง ทั้งนี้ผู้อ่านในยุคโลกาภิวัตน์ไม่จำเป็นจะต้องเห็นด้วยเสมอไป
    </td></tr></tbody></table>
    ดร. พรนพ พุกกะพันธ์

    เครื่องบินได้เริ่มออกเดินทางเมื่อเวลา ประมาณ 20.15 น. แอร์โฮสเตสได้นำเครื่องดื่มมาบริการท่ามกลางอากาศที่เย็นฉ่ำ พอเครื่องบินบินไปได้ประมาณ 45 นาที กัปตันก็ให้ปลดเข็มขัดรัดตัวออก เพราะบินสูงได้ระดับแล้ว มีการเริ่มแจกอาหารเย็นแก่ผู้โดยสาร สำหรับคณะของเราไม่ต้องเลือกว่าใครจะรับประทานอาหารประเภทปลา หรือไก่ เพราะผมสั่งไว้ให้เรียบร้อยแล้วว่าเป็นอาหารมังสวิรัติ สำหรับพระภิกษุสงฆ์ถวายน้ำผลไม้ ชอกโกแลต แล้วตามด้วยน้ำชาหรือกาแฟ
    ในระหว่างที่รับประทานอาหาร บางคนก็รับประทานเสร็จแล้ว บางคนก็ยังไม่เสร็จ บางคนเดินไปเข้าห้องน้ำที่กลางลำบ้าง ท้ายลำเครื่องบินบ้าง ผมสังเกตว่า เครื่องบินมีอาการโคลงผิดปกติ เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา สัญญาณดังขึ้น พร้อมทั้งอักษรภาษาอังกฤษปรากฏขึ้นว่า “FASTEN SEAT-BELT” หมายความว่า “โปรดรัดเข็มขัด” ผมได้ตะโกนบอกคณะของผมว่า กลับมานั่งที่ครับ...รัดเข็มขัดด้วย แต่มีน้อยคนนักที่เชื่อผม บางคนเดินเซไปเซมา
    ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่ผมนั่งดูรายการทีวีอยู่เมื่อคืนวานนี้ เขาประกาศว่า จะมีพายุโซนร้อนพัดผ่านอินเดียเข้าสู่บังคลาเทศ พายุโซนร้อนจะรุนแรงแค่ไหนไม่เคยพบ แต่ผมเคยเจอหางลมได้ฝุ่นที่สนามบินประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งแต่ตอนเที่ยงจนถึง 18.00 น. ลมอะไรแรงถึงปานนั้น สังกะสีปลิวว่อนไปหมด ฝนตกหนักจนมองเห็นทัศนวิสัยไม่เกิน 100 เมตร เสียงลมโหยหวนหวีดหวิวน่ากลัว ไฟฟ้าดับทั้งสนามบิน วันนี้ผมกำลังเจอของจริงบนเครื่องบินที่ลอยอยู่บนอากาศด้วยความสูงคงไม่น้อยกว่า 30,000 ฟิต
    ผมรู้สึกว่าเครื่องบินของผมถูกโยนลอยขึ้นเหมือนของเล่น ผู้โดยสารหวีดร้องด้วยความตกใจ คุณป้าคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ผม เธอลอยขึ้นไปจรดหลังคาเครื่องบิน เพราะยังไม่ได้คาดเข็มขัด ผมพยายามดึงมือเธอไว้จนหล่นมาบนเก้าอี้ ชั้นเก็บสิ่งของสัมภาระของผู้โดยสารเหนือศีรษะถูกแรงกระแทกอย่างแรง เปิดออกเองเกือบหมดทุกตู้ สัมภาระหล่นออกมาโดยไม่มีใครสนใจ ต่างพยายามยึดเกาะสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเองมากที่สุด
    แล้วเครื่องบินก็ถูกเหวี่ยงกลับมาอย่างแรงอีกครั้ง ผู้โดยสารก็หวีดร้องด้วยความตกใจ
    ทันใดนั้นเครื่องบินทั้งลำก็ไฟดับ ผมมองเห็นประกายไฟปรากฏขึ้นเหนือช่องเก็บของและช่องหน้าต่าง เสียงดังโครมใหญ่ เครื่องบินของเราคงถูกฟ้าฝ่า ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ดัง
    ผมเริ่มรู้นึกเสมือนหนึ่งผมนั่งรถเหาะที่สวนสนุกดีสนีย์แลนด์ ที่ แอล.เอ. ตอนช่วงขาลง มันเสียวเข้าไปในท้องเหมือนเราตกจากที่สูง วาบหวิวแทบจะอาเจียน เครื่องบินของเรากำลังตก
    ตั้งสมาธิจิต หลับตานึกถึงหลวงปู่ครูบาเจ้า ที่ท่านนั่งเหนือผมขึ้นไปสองแถว ผมได้แต่นั่งภาวนาว่า หลวงปู่ครับ......ผมขอเกาะชายจีวรไปกับหลวงปู่ด้วย ในตอนนั้น ผมไม่ยึดติดอะไรทั้งสิ้น ผมเห็นแต่เพียงหลวงปู่.... องค์เดียวเท่านั้น แล้วก็สบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พร้อมทั้งนั่งชัดเข่าใช้มือกอดเข่าทั้งสองแน่น ศีรษะชนกับเบาะด้านหน้า เตรียมตัวพร้อมที่จะถึงผิวน้ำ...คงจะเย็นเฉียบทีเดียว
    เครื่องบินเสียภาวะการทรงตัวอยู่นานทีเดียว มีเสียงดังปึงใหญ่ ไฟฟ้าบนเครื่องสว่างขึ้น สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของผมก็คือ พวกเราหลายคนสวดมนต์กันดังลั่นไปหมด บางคนมีพระเครื่องอมอยู่ในปาก แต่ละคนหน้าซีดไม่มีสีเลือด ผมมองไปที่หลวงปู่ เห็นท่านนิ่งเงียบสงบ และหันมาดูพวกเราทุกคนโดยท่านไม่พูดอะไรเลย
    แขกคนหนึ่งถึงกับเสียสติ ตะโกนให้เครื่องบินจอด เขาจะลงแล้ว “Stop….stop. I want to go out!” และมีผู้โดยสารหลายคนแขนหักเพราะกำลังอยู่ในห้องน้ำ กัปตันต้องประกาศหาว่า ผู้โดยสารท่านใดเป็นแพทย์... ขอความช่วยเหลือด่วนด้วย
    สภาพบนเครื่องบินเลวร้ายที่สุด สัมภาระหล่นมากองที่พื้นเต็มไปหมด น้ำร้อน-น้ำเย็น กาแฟ เครื่องดื่มในห้องบริการผู้โดยสารหกเต็มทางเดิน เศษอาหารจากผู้โดยสารที่ยังเก็บไม่หมด หกรดใส่ศีรษะผู้โดยสารเหม็นคละคลุ้งกันไปทั้งลำ ไม่มีใครพูดกับใคร คงตั้งสติ ดีใจที่รอดพ้นความตายมาได้อย่างเฉียดฉิว
    พอมาถึงสนามบินดอนเมือง เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินได้เข้ามากถามว่า ใครเป็นหัวหน้าทัวร์ คณะผมเขาชี้มาที่ผม เจ้าหน้าที่ถามผมว่า...เกิดอะไรขึ้น เพราะเครื่องบินของเราสัญญาณขาดหายไปจากจอเรดาร์ ผมตอบว่า...ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ผมรู้ตัวว่า...ผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
     
  19. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    <table id="table1" border="0" align="left"> <tbody> <tr> <td class="pic_descript">[​IMG]</td></tr> <tr> <td class="pic_descript">
    </td></tr></tbody></table> ในขณะที่นั่งรอกระเป๋าสัมภาระ คุณสุจิตรา พานทอง ได้เรียกผมเข้าไปนั่งคุยด้วย ท่านได้บอกผมว่า
    “ในขณะที่เครื่องบินมีปัญหา พี่ได้เข้าสมาธิ....เห็นมีพระองค์หนึ่ง มือท่านใหญ่มากไปช้อนเครื่องบินไว้ พี่ไม่เห็นหน้าท่านเพราะฝนตกหนัก แต่ที่พี่เห็นเป็นพระ เพราะจีวรของท่านปลิวไสวอยู่ในสายลม...”
    ผมก็นึกขำอยู่ในใจ พระองค์ไหนจะไปช้อนเครื่องยิน 747 ไว้ ลำใหญ่ออกจะตาย ผู้โดยสารตั้ง 400 ชีวิต จะไปยกไหวได้อย่างไร ผมก็ได้แต่รับฟังไว้และตั้งใจไว้ว่า ถ้ามีโอกาสว่างเมื่อใด จะไปคุยกับท่านที่สถานปฏิบัติธรรม วัดพระธาตุวาโย เพราะท่านพักอาศัยปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น และมีลูกศิษย์ลูกหาไม่น้อย
    ต่อจากนั้น ผมก็ขอปลีกตัวไปช่วยจัดสัมภาระให้แก่คณะทุกคน เพื่อความสะดวก เพราะหลายท่านก็ไม่สามารถมายืนเลือกกระเป๋าของตัวเองได้ อาจเนื่องมาด้วยความตกใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา สำหรับคณะของหลวงปู่ ท่านมีศิษย์มารับไปพักที่สำนักสงฆ์กิจห้วยต้ม หลังตลาดรังสิต ผมก้มกราบแทบเท้าของท่านด้วยความสำนึกในพระคุณอย่างสูง พรุ่งนี้ท่านจะเดินทางกลับลำพูนโดยเครื่องบิน ผมคงไม่มีโอกาสได้ไปส่งท่าน
    อีก 7 วันต่อมา ผมได้มีโอกาสได้รับใช้หลวงปู่อีก ท่านได้เดินทางเป็นประธานในการหล่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่ รวม 5 องค์ ซึ่งมูลนิธิพระชัยยะวงศาพัฒนาได้เป็นผู้ดำเนินการชักชวนบรรดาศิษย์สร้างถวายเป็นพุทธบูชา ถวายแก่หลวงปู่ ณ โรงหล่อพุทธปฏิมา อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ผมได้เข้าไปกราบท่านอย่างใกล้ชิด และได้เห็นที่ข้อมือข้างขวาของท่านผูกด้ายสายสิญจน์เต็มไปหมด สอบถามได้ความว่า ศิษย์ในทางภาคเหนือได้จัดพิธีบายศรีสู่ขวัญให้แก่ท่าน
    ภายหลังจากเสร็จพิธีสงฆ์แล้ว ก็มีการถวายภัตตาหารเพล บรรดาญาติโยมทั้งหลายก็ไปร่วมรับประทานอาหารมังสวิรัติที่ทางโรงหล่อจัดให้ ส่วนผมขอเป็นศิษย์วัด กะว่าเมื่อหลวงปู่ฉันเสร็จ ผมก็จะขอทานอาหารที่หลวงปู่ฉันเหลือในถาด หลวงปู่ท่านนั่งอยู่องค์เดียว ผมก็ไปปรนนิบัติ โดยเป็นผู้คอยประเคนอาหารคาว-หวาน และพัดวีให้ท่าน (เนื่องจากอากาศค่อนข้างร้อน) ในระหว่างที่ท่านฉัน ท่านถามผมว่า.....
    “คืนนั้น กลัวไหม ?" (ท่านถามหมายถึงคืนที่เครื่องบินจะตก)
    ผมตอบท่านไปว่า .....
    “ผมไม่กลัว เพราะผมตั้งใจเกาะจีวรไปกับหลวงปู่”
    ท่านหัวเราะชอบใจ แล้วกล่าวกับผมต่อไปว่า
    “วันนั้น เจ้าของบางคนเขามาทวงของเขาคืน บางคนเต็มใจให้ แต่บางคนเขาเสียดาย (ท่านหมายถึง พระธาตุเขี้ยวแก้ว 4 องค์ และพระธาตุอีก 3 องค์ ที่ปรากฏในดอกบัวที่วัดสาวัตถี) จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงขึ้น เครื่องบินจะต้องตกลงไปในทะเล ตรงมหาสมุทรอินเดีย ศพจะหาไม่พบ เพราะทะเลช่วงนั้นลึกมาก เหมือนกับเครื่องบินเกาหลี ที่โนจรวดของรัสเซียยิงตกที่น่านน้ำเกาหลี คนไทยจะนับถือพระพุทธศาสนากันน้อยลง เพราะขนาดหลวงปู่ยังนำลูกศิษย์ไปตายตั้งครึ่งร้อย หลวงปู่จึงช่วยชีวิตลูกศิษย์ไว้ให้รอดพ้นจากการถูกฟ้าผ่าตกทะเล แล้วต้องตายกันทั้งลำ.....”
    หลวงปู่ท่านบอกผม
    ทำไมจึงเหมือนกับที่คุณสุจิตรา พานทองพูดกับผม เมื่อวันเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยวันแรกที่สนามบินดอนเมือง?
    อีก 1 เดือนต่อมา หลังจากที่หลวงปู่ได้ลงมากรุงเทพฯ เพื่อเป็นประธานในการหล่อพระพุทธรูป จำนวน 5 องค์ ที่โรงหล่อพุทธปฏิมา อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมเรียบร้อยแล้ว พี่แน่งน้อยพร้อมด้วยคณะได้นัดกันที่จะขึ้นไปกราบนมัสการหลวงปู่อีกครั้งหนึ่ง และได้นำเจดีย์แก้วคริสตัล เพื่อไปถวายหลวงปู่สำหรับบรรจุพระธาตุเขี้ยวแก้วและพระบรมสารีริกธาตุ ที่เสด็จมาในดอกบัว ที่ประเทศอินเดีย ในปี 2535
    หลวงปู่ครูบาเจ้ายังคงพักอยู่ที่กุฏิพรหมจักโก บรรดาศิษย์จำนวนกว่า 10 คน ได้ขอร่วมเข้าไปถวายเจดีย์แก้วในครั้งนี้ด้วย ผมเองได้เข้าไปเป็นคนสุดท้าย จึงนั่งอยู่ห่างหลวงปู่มาก การไปประเทศอินเดียครั้งที่ผ่านมา ผู้ที่นำกล้องถ่ายรูปไป ได้นำภาพถ่ายที่มีรูปแปลก ๆ มาให้ชมกัน ผมก็อยากที่จะได้รูปถ่ายแปลก ๆ มาอวดเขาบ้าง ในเมื่อผมเข้าไปไม่ถึงหลวงปู่ ได้แต่คอยเกาะหลังคนข้างหน้า เพื่อจะได้อานิสงส์ในการถวายเจดีย์แก้วในครั้งนี้ด้วย เมื่อทุกคนถวายเสร็จ ผมจึงนำกล้อง Olympus ขนาดเล็กของผมขึ้นมา พร้อมทั้งอธิษฐานจิตว่า
     
  20. ดุจเพชร

    ดุจเพชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2014
    โพสต์:
    269
    ค่าพลัง:
    +1,455
    “หลวงปู่ครับ..!! ใครๆ เขาถ่ายรูปแปลก ๆ มาดูกันได้ ผมขอรูปนี้ของหลวงปู่ ให้มีภาพแปลก ๆ แก่ผมบ้างครับ...”
    <table id="table2" border="0" align="right"> <tbody> <tr> <td class="pic_descript">[​IMG]</td></tr></tbody></table> ผมจำได้ว่า เวลาขณะนั้นประมาณ 20.30 น. ผมต้องใช้แฟลชช่วย แล้วรูปถ่ายที่ออกมาได้นั้น ดังที่ท่านเห็นนี้ [​IMG]
    หลวงปู่ครูบาเจ้าท่านบอกว่า เป็นรัศมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จมาเป็นสักขีพยานในการถวายเจดีย์แก้วครั้งนี้
    เรื่องที่ผมได้เขียนเรียบเรียงขึ้นมาครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้ท่านเชื่อ แต่ให้ท่านลองตั้งจิตพิจารณาดูด้วยตนเอง เพราะผมไม่กล้าที่จะเขียนเรื่องนี้ เมื่อหลวงปู่ครูบาเจ้าท่านมีชีวิตอยู่ เพราเท่ากับเป็นการแสดงว่าท่านได้อวดอุตริมนุสธรรม เป็นการไม่สมควรในพุทธศาสนา บรรดาศิษย์พระอาจารย์อื่นอาจจะกล่าวโจมตีท่านได้ แต่เมื่อท่านได้ละสังขารไปแล้ว บรรดาศิษย์จะได้รู้ว่า พระอาจารย์ของเรา ไม่ใช่ธรรมดา ผมได้นำรูปที่ผมได้ถ่าย นำรูปที่บรรดาศิษย์ของท่านถ่ายได้ มาลงไว้ให้ท่านเห็นและพิสูจน์
    นอกเหนือจากนี้ ผมขอนำรายชื่อบรรดาศิษย์ที่ได้เดินทางไปอินเดีย ร่วมชะตาชีวิต ในเครื่องบินลำเดียวกัน 21 คน เผื่อท่านรู้จัก จะได้สอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นความจริงประการใด

    รายชื่อผู้เดินทางไปอินเดีย​
    ร่วมกับคณะของหลวงปู่ครูบาเจ้า​
    เมื่อวันที่ 7 – 19 พฤษภาคม 2535​

    1. พระครูอนุภาสวุฒิคุณ เจ้าคณะตำบลหนองไทร วัดน้ำรอบ อ.พุนพิน สุราษฎร์ธานี
    2. พระครูธรรมธรบงกช วัดโพธิ์เรียง บ้านช่างหล่อ บางกอกน้อย กทม.
    3. พระอธิการนพดล สิริวุฒโฑ วัดพระพุทธบาทตะเมาะ อ.ดอยเต่า เชียงใหม่
    4. คุณแม่ชีจิตสมา อัจฉริยวิศรุต วัดอินทรวรวิหาร ถนนเทิดไท ตลาดพลู กทม.
    5. คุณแน่งน้อย ธีระชาติ
    6. คุณโอภาส สุทธิวโรตมะกุล
    7. พลเรือตรี (หญิง) สมบูรณ์สุข อินทิวร
    8. คุณอำนวยพร กัญญาทิพย์
    9. คุณปรีดา ศักดิ์สุภา
    10. คุณอุษา บุญประกอบ
    11. คุณเทพินทร์ กาญจนจิตรา
    12. คุณชุติมา ดวงรัตน์
    13. คุณเรียม ทรัพย์สาคร
    14. คุณรัตนาภรณ์ วีระเดชะ
    15. นาวาเอก แพทย์หญิง จงพัฒนา รุมาคม
    16. คุณสุภา ตันเจริญ
    17. นาวาอากาศโท นภาศักดิ์ กุลสุจริต
    18. คุณสัญชัย-คุณอาภา รัตนมยูร
    19. คุณศรีสมร อุดมศิลป์
    20. คุณนิภา ส่วนบุญเจริญ
    21. คุณพงษ์ศักดิ์ อรรคอุดม
    <hr> คุณนิภา ส่วนบุญเจริญ
    “ดิฉันคิดว่าถ้าเครื่องบินตกวูบเป็นครั้งที่ ๓ ไม่รอดแน่…ในช่วงเวลาวิกฤตนั้นมีคนบอกว่า หลวงพ่อไม่ได้นั่งแบบนั่งสมาธิอย่างที่เราคิด แต่หลวงพ่อนั่งแบมือทั้งสองข้าง เหมือนจะรองรับอะไรสักอย่าง”
    <hr> คุณสุจิตรา พานทอง
    “ชั่วแว๊บเดียว จิตก็ไปจับที่หลวงปู่ ทันใดนั้นดิฉันก็เห็นมือของหลวงปู่รองรับเครื่องบินเอาไว้ เป็นมือใหญ่เท่าบ้าน เห็นชั่วพริบตาเดียว เครื่องบินที่กำลังตกก็หยุดกะทันหัน…เมื่อเครื่องบินลงที่ดอนเมือง นักบินและแอร์โฮสเตสต่างก็มากราบหลวงปู่ทั้งชุด”
    <hr> คุณโอภาส สุทธิวโรตมะกุล
    “ข้าพเจ้าได้ประคองหลวงพ่อเพื่อมารอขึ้นเครื่อง ขณะที่ประคองหลวงพ่ออยู่นั้นท่านได้ถามข้าพเจ้าว่า "โอภาส กล้าสร้างปรมัตถบารมีไหม" ข้าพเจ้าจึงเรียนถามท่านว่า "หลวงพ่อพูดเล่นกับลูกหรือเปล่าครับ?"…ในระหว่างที่เครื่องบินวูบจะตกนั้น คนในเครื่องบินร้องกันเสียงดังจนฟังไม่ได้ศัพท์ ข้าพเจ้าเห็นเหตุการณ์จึงรู้ว่าคนเราเวลาจะตายมีอาการอย่างไร ดังนั้น ทาน ศีล ภาวนา นี้ควรมีไว้และปฏิบัติเสมอ”
     

แชร์หน้านี้

Loading...