รู้อะไร ก็สักแต่ว่ารู้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย jiwcrop, 3 เมษายน 2009.

  1. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    เจตสิกเป็นเครื่องปรุง(อารมณ์)แต่งจิตต้องอาศัยจิต
    แสดงว่าจิตอยู่ได้โดยไม่ต้องให้เจตสิกอาศัยก็ได้สิครับ???
    โดยจิตไม่รับอารมณ์(เจตสิก)เข้ามาปรุงแต่ง???
    คุณสมบัติของจิตและเจตสิก เกิดพร้อมกันและดับพร้อมกัน
    ถ้าไม่มีจิตหรืออีกนัยหนึ่ง ถ้าไม่มีขบวนการความคิดก็จะไม่มี
    เจตสิกหรืออารมณ์ต่างๆ แสดงว่าถ้ามีจิตก็ต้องมีเจตสิกเสมอ
    ถึงแม้จิตจะมีสมาธิเป็นหนึ่งเดียว เพราะเอกัคตาก็เป็น เจตสิกตัวหนึ่ง

    ฉะนั้นถ้าจิตมีสติระลึกรู้อยู่ทีฐานที่ตั้งสติอยู่ตลอดเวลา
    ก็ไม่เข้าสู่กระบวนการคิดสิครับ???
    จิตมีสติระลึกรู้อยู่ที่ฐาน ก็เป็นขบวนการความคิด เพราะสติเป็น
    เจตสิกตัวหนึ่ง
    แสดงว่าจิตมีดวงเดียวใช่มั้ย???
    แต่อาการของจิตมีหลายอาการไม่ใช่หลายดวงใช่มั้ย???
    ถ้าจิตทรงอยู่ชั่วขณะและแตกดับ กรรมจะถ่ายทอดไปสู่ดวงใหม่ได้อย่างไร???<O:p</O:p
    ขณะที่เกิดจิตดวงใหม่ขึ้นมารู้มั้ย??? ถ้ารู้แสดงจิตไม่ได้ดับนิ???

    ในขณะหนึ่งจิตมีดวงเดียวครับ แต่จะแตกดับและเกิดขึ้นใหม่ต่อ
    เนื่องกันใช้เวลารวดเร็วมาก ทำให้อารมณ์ต่างๆของจิตดวงเก่าสืบต่อเนื่องมายังดวงใหม่ด้วย
    <O:pแสดงว่าสติเกิดขึ้นที่จิต เป็นหน้าที่หนึ่งของจิตที่ต้องสร้างสติขึ้นมา
    เพื่อเป็นเครื่องกางกั้นอกุศลจิต ไม่ให้อกุศลเกิดที่จิต
    โดยมีสติเป็นเครื่องกางกั้นใช่มั้ยครับ???
    ไม่ใช่สร้างสติเพื่อมากางกั้นอกุศลจิต แต่มีสติมาเพื่อระลึกรู้
    ดูอารมณ์ ซึ่งมันจะแสดงอาการ เกิดขึ้น,ตั้งอยู่และดับไปให้ดู
    เพราะทุกสิ่งอย่างล้วนอยู่ในกฎแห่งไตรลักษณ์

    แสดงว่าจิตเกิดอกุศลแล้วค่อยระลึกรู้(มีสติ)ใช่มั้ย???
    แล้วทำไมไม่ฝึกฝนให้จิตมีสติระลึกรู้ก่อนที่จะมีอกุศลจิตเกิดขึ้นที่จิตหละ???
    ผมถึงได้บอกว่าที่คุณพูดคือการดูจิตที่ติดความคิดไปแล้วใช่มั้ย???

    ถ้าทำอย่างที่คุณพูด ฝึกสติให้รู้ก่อนแล้วจะรู้อะรัยครับ
    ทุกสิ่งที่เราจะรู้ต้องให้มันเกิดก่อนถึงจะรู้ ไม่เช่นนั้นเราจะไปรู้
    อะรัยเล่าครับ
    คุณอย่าลืมนะครับว่าจิตก็คือขบวนการความคิด

    ก็เมื่อจิตมีสติระลึกรู้อยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออกแล้ว
    จะเอาอกุศลเข้าสู๋จิตในตอนไหนครับ???
    ถ้าคุณบอกสติไม่ต้องเพียรเพ่งแล้วสร้างสติได้อย่างไร???
    ถ้าคุณไม่เพ่งคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้มีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นที่จิต???
    ใช่ครับระลึกรู้ลมหายใจ อกุศลจิตเข้าไม่ได้อยู่แล้ว แต่คุณมองเห็นตามความเป็นจริงมั้ยครับ คุณก็จะมองเห็นแต่สิ่งที่คุณเพ่งอย่างเดียว คือลมหายใจ และเมื่อใดที่คุณถอนสมาธิ คุณแน่ใจได้อย่างรัยว่าอารมณ์นั้นจะไม่หวนกลับมาใหม่
    สติไม่ต้องเพ่งหรอกครับ ถ้าเราปล่อยให้อารมณ์ไปตามธรรมชาติอย่าไปแทรกแซง ถ้าเราฝึกรู้จักอารมณ์ที่เกิดว่ามีลักษณะใด สติก็จะทำงานของมันเอง
    สมถกรรมฐานและวิปัสนากรรมฐานแยกออกจากกันไม่ได้?
    ถ้าเป็นผู้ฝึกปฎิบัติใหม่ๆนะใช่ครับ แต่ผู้ที่ปฏิบัติจนชำนาญแล้ว
    เมื่อจะปฎิบัติวิปัสนา เขาไม่จำเป็นต้องทำสมถหรอกครับ และผู้ปฏิบัติสมถอาจเข้าไม่ถึงวิปัสนาก็ได้
    สมถกัมฐานแค่ทำให้จิตสงบ
    วิปัสนากัมฐานทำให้เกิดปัญญา
    <O:p</O:p






    </O:p

     
  2. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    น่ารักกันทั้งคู่ อนุโมทนาในกุศล

    ต่างก็ขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมให้ดีมากขึ้น ย่อมยังประโยชน์ให้เพื่อนๆ
    ขอเพียงลดทิฎฐิในใจ พระธรรมเป็นการเกื้อกูล เพื่อประโยชน์ เพื่ออนุเคราะห์
    จิตที่ส่งออกเข้าไปยึดวัตถุรูปมีอดีตกรรมเป็นอารมณ์ปรากฏ ผู้รู้คือจิตมีเจตสิกปรุงแต่ง เมื่อเข้าถึงจุด ตำแหน่งนี้ ย่อมเสร็จกิเลสอันคือ อวิชชา ตัณหา อุปทาน

    สังขารขันธ์ย่อมปรุงแต่ง ภพทางใจย่อมปรากฏ วิบากย่อมสะสม

    พวกเราต่างก็เดินมาทางอันบริสุทธิ์ ย่อมมีการกระทบกระทั่งทางใจ เพราะความรู้ ความเข้าใจ ย่อมไม่เท่ากัน ควรแล้วที่จะแลกเปลี่ยนธรรมะเป็นการเกื้อกูลกันและกัน

    ให้ความสว่างกันและกัน

    ขอให้ทันจิตที่ส่งออก ทันใจตนเองที่เข้าไปปรุงแต่ง ขอให้ร่มเย็น
    และอ้องก็ขอโทษด้วยเพราะเกรงว่า ท่านทั้งสองต่างก็มีความรู้ ความเข้าใจเป็นอันดี แต่กำลังสะสมภพชนิดหนึ่ง มีรูปลักษณะที่อึดอัด ขัดข้อง

    อ้องจึงขอเข้ามาแทรกในธรรมะที่ประเสริฐแล้วของทั้งสองท่าน
    ผิดพลาดขออภัยในมิตรทางธรรมผู้นี้ด้วย ไม่ได้มีเจตนาแห่งอกุศลครับ
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    *คุณบุญ แล้วการที่ผมยกพระพุทธพจน์มา
    ผมจำเป็นต้องบอกให้รู้ว่าเป็นคำพูดของพระบรมครูมั้ย???

    ถ้าคุณฝึกฝนจนสามารถให้จิตรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งจุดลมกระทบได้ตลอดเวลาจนชำนาญแล้ว
    ก็สามารถมาใช้กับชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ถูกอารมณ์ครอบงำได้ <O:p</O:p

    เมื่อกระทบอารมณ์ รู้ โดยไม่จำเป็นต้องไปคิดปรุงแต่งต่อไป<O:p</O:p
    ปล่อยวางอารมณ์นั้นออกไปได้ทันที<O:p</O:p
    ถ้ายังไม่ชำนาญย่อมเผลอสติให้อารมณ์แทรกเข้ามาได้

    การที่ปล่อยให้จิตไปตามธรรมชาติที่ชอบรับรู้อารมณ์(คิดนึก)นั้น<O:p</O:p
    เป็นการปล่อยไปตามยถากรรมโดยไม่ควบคุมจิตจะดีหรือ???<O:p</O:p

    เมื่อคุณเกิดอารมณ์โกรธ คุณชกหน้าคนที่ทำให้คุณโกรธเลย<O:p</O:p
    หรือว่ามีการยับยั้งชั่งใจก่อน(ระลึกรู้)แสดงออกไป???<O:p</O:p
    เราสามารถวางเฉยโดยไม่แสดงออกไปได้มั้ย???<O:p</O:p

    จิตคือธาตุรู้ เพราะมีอวิชชาครอบงำจึงชอบออกไปรับรู้อารมณ์(คิดปรุงแต่ง)ใช่มั้ย???<O:p</O:p
    ต่อเมื่อฝึกฝนอบรมจิตด้วยมหาสติปัฏฐานแล้ว<O:p</O:p
    จิตย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง
    ว่าการออกไปรับอารมณ์หรือนึกคิดปรุงแต่งนั้นเป็นทุกข์แต่ฝ่ายเดียวใช่มั้ย???<O:p</O:p

    ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านเหล่านั้นรู้วิธีการหยุดนึกคิดปรุงแต่งแล้ว<O:p</O:p
    ต่างกันแต่ความรวดเร็วในการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นช้าเร็วตามลำดับ<O:p</O:p

    คุณรู้ได้อย่างไรว่าท่านเหล่านั้นยังต้องนึกคิดปรุงแต่งอยู่???<O:p</O:p
    ในเมื่อบุคคลที่จะข้ามโคตรได้นั้นต้องรู้อุบายในการละเหตุแห่งทุกข์แล้วใช่มั้ย???<O:p</O:p
    เพราะคิดปรุงแต่งจึงทุกข์ หยุดคิดปรุงแต่งก็หยุดทุกข์ใช่มั้ย???

    ;aa24
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    *คุณสมบัติของจิตคือธาตุรู้
    เจตสิกเกิดขึ้นที่ไหน???<O:p</O:p

    ถ้าจิตและเจตสิกเกิดพร้อมกันและดับพร้อมกัน
    ตอนเจตสิกเกิดเราทำไมถึงรู้หละครับ??? แล้วตอนเจตสิกดับไปเราก็รู้ใช่มั้ย???

    ถ้าจิต รู้ โดยไม่รับอารมณ์มาปรุงแต่งจะเกิดเป็นเจตสิกเหรอ???<O:p</O:p
    เจตสิก(กิเลส)เป็นของมีคู่โลกมานานแล้ว<O:p</O:p
    ถ้าเราไม่รับกิเลสเหล่านั้นเข้ามาในจิต จะเป็นกิเลสของเรามั้ย???

    คุณกำลังเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับสัมมาสมาธิอยู่ครับ<O:p</O:p
    ในสัมมาสมาธินั้น จิตจะเป็นสมาธิได้นั้น<O:p</O:p
    จิตจะต้องสลัดอารมณ์ออกไปจากจิต<O:p</O:p
    จิตจึงจะตั้งมั่นโดยลำพังตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยอารมณ์จ้า

    ส่วนคำว่า “เอกัคตา”นั้นอรรถกถาจารย์แต่งเดิมขึ้นในภายหลัง<O:p</O:p
    เพราะเข้าใจเอาเองว่ามีจิตต้องมีอารมณ์<O:p</O:p
    ซึ่งขัดกับพระพุทธพจน์อย่างสิ้นเชิง ปฐมพระพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า<O:p</O:p
    “จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหา”<O:p</O:p

    พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์จะสอนให้ชำระจิตไปเพื่ออะไร???

    ;aa24<O:p</O:p
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    การที่จิตระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งจุดลมกระทบเข้า-ออก อาศัยการนึกน้อม ไม่ใช่คิด

    การที่ระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจคุณต้องคิดด้วยเหรอ???<O:p</O:p

    ถ้าคุณไม่คิด คุณก็ไม่หายใจใช่มั้ยครับ???<O:p</O:p
    การจะมีลมหายใจต้องคิดด้วยหรือ???<O:p</O:p

    สติเป็นสิ่งหนึ่งที่จิตต้องสร้างขึ้นเอง <O:p</O:p
    โดยต้องอาศัยสิ่งอื่นช่วยในตอนแรก<O:p</O:p
    เมื่อฝึกฝนจนชำนาญแล้วก็กลายเป็นหน้าที่ของจิต <O:p</O:p
    จะว่าเป็นเจตสิกเสียทีเดียวก็ไม่ใช่

    ;aa24<O:p</O:p



     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    ในขณะที่จิตเกิดดับใช้เวลาเร็วมาก รู้ได้ยังไง???<O:p</O:p

    เพราะรู้ใช่มั้ย???จึงบอกได้ว่าว่าเร็วมาก???<O:p</O:p
    ถ้าไม่รู้จะบอกได้มั้ยว่าเร็วมาก???<O:p</O:p

    คำว่า “เกิด” หมายถึงสิ่งนั้นไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้นใช่มั้ย???<O:p</O:p
    คำว่า “ดับ”หมายถึงสิ่งที่เคยมีอยู่ก่อนดับไปใช่มั้ย???<O:p</O:p

    เป็นไปไม่wด้ใช่มั้ยว่าจะถ่ายทอดอารมณ์กันได้???<O:p</O:p
    ในเมื่อสิ่งหนึ่งดับไปก่อนที่ อีกสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นมา<O:p</O:p
    มันส่งต่อกันได้ในตอนไหนครับ???

    ;aa24
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    จะมีสติระลึกรู้ไปทำไม??? <O:p</O:p
    ในเมิ่อรู้แล้วไม่สามารถปล่อยวาง สิ่งที่รู้ออกไป<O:p</O:p
    ยังต้องยึดเข้ามาดูมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป<O:p</O:p

    แบบนี้สู้ไม่ต้องสร้างสติขึ้นมาเสียดีกว่า<O:p</O:p
    เพราะมีสติระลึกรู้แล้วแต่ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นไม่เป็น???<O:p</O:p

    พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ล้วนแล้วแต่สั่งสอนให้พุทธบุตร
    ข้ามพ้นกฏแห่งพระไตรล้กษณ์ทั้งนั้นจ้า

    ;aa24<O:p</O:p


     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณก็แปลกคนนะ เมื่อมีสติรู้อยู่เห็นอยู่แล้ว<O:p</O:p
    ยังต้องรอเกิดเหตุก่อนหรือจึงค่อยรู้???<O:p</O:p

    เมื่อมีคนคิดจะทำร้ายเรา ต้องรอให้เกิดขึ้นก่อนหรือครับถึงจะรู้???<O:p</O:p
    เช่นเดียวกับอารมณ์คือกิเลส เราต้องรอให้เกิดขึ้นก่อนหรือครับ???<O:p</O:p

    เมื่อมีสติรู้อยู่เห็นอยู่ว่าจิตกระทบอารมณ์แล้ว จิตมีอาการหวั่นไหวเกิดขึ้น<O:p</O:p
    เราหยุดได้นิครับ โดยไม่ต้องรอให้มันเกิดใช่มั้ย???<O:p</O:p

    เช่นเราคิดอยากจะทำร้ายใคร เราต้องรอให้เกิดก่อนค่อยหยุดหรือครับ???<O:p</O:p

    คุณอย่าลืมนะครับว่าจิตคือธาตุรู้ รู้โดยไม่ต้องคิดปรุงแต่งก็ได้จ้า<O:p</O:p
    คุณเองเคยรู้ขึ้นมาเองโดยไม่ต้องคิดมั้ย???

    ;aa24<O:p</O:p


     
  9. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ขอบพระคุณครับคุณอ้องที่เข้ามาเตือน ทำให้ผมรีบรู้สึกถึงอัตตาตัวเองว่า เลยเถิดเกินลิมิตไปหรือเปล่า ไม่มีอะรัยหรอกครับถือเป็นการเล่าการปฏิบัติของตัวเองให้กัลยาณมิตรฟัง ผิดบ้างถูกบ้างเพื่อนตำหนิมาแก้ได้ก็แก้ครับ ไม่ยึดติดหรอกครับสิ่งไหนเป็นประโยชน์เอาทั้งนั้นละครับ
    คุณอ้องครับ คาถาชินบัณชรผมสวดบ่อยครับ ผมรู้สึกถึงพลังและความมหัศจรรย์ ที่แฝงอยู่ในบทสวดด้วยครับ ผมเคยอ่านกระทู้ของคุณอ้องในลานธรรมด้วยละครับ บางกระทู้ชื่อก็งั้นๆแต่มีคนเข้าไปให้ความเห็นเป็นร้อย คุณอ้องไม่ลองตั้งกระทู้แนวนั้นอีกละครับ
    เจริญในธรรมครับ[​IMG]
     
  10. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    คุณธรรมฯครับผมว่ากระทู้นี้เราพอกันแค่นี้ดีกว่าครับ
    ถ้ามีความเห็นประโยคไหนที่คุณธรรมรู้สึกไม่พอใจ
    ผมต้องกราบขออภัยคุณธรรมฯด้วยนะครับ ส่วนความ
    คิดเห็นของคุณ อันไหนมีประโยชน์ผมจะนำไปใช้นะครับ
    เจริญในธรรมครับ

    [​IMG]
     
  11. Mcafee.x

    Mcafee.x เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +118
    อนุโมทนาทั้ง2ท่านครับ ที่อ่านมาพวกท่านถูกทั้งคู่ พวกท่านคิดยากไปครับ ศาสนาพุทธเราง่ายๆครับ 84000พระธรรมขันธ์สำหรับ คนเรา84000นิสัย ชอบอันไหนก็เอามาทำตามเราทำไม่ได้คนอื่นอาจทำได้ เราได้คนอื่นอาจไม่ได้ ขึ้นอยู่กับจริตของใครของมัน เมื่อแนะแล้วเขาไม่ชอบก็อุเบกขา อย่าให้มันเป็นไฟมาเผาเรา ปัจจัตตังนะครับเราเอาตัวเราให้รอดก่อน
    อย่าถือว่าเป็นคำแนะนำหรืออะไรเลยนะครับ ให้ถือว่าเป็นลมพัดผ่านละกันครับ

    เจริญธรรม อนุโมทนาครับ
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คุณบุญฯครับ ก่อนอื่นต้องบอกให้เข้าใจต่อกันด้วยดีว่า
    การถกธรรมนั้น ผมไม่ได้เอาแพ้ชนะเป็นที่ตั้ง

    ฉะนั้นแม้จะมีคำพูดที่คุณคิดว่าผมไม่พอใจ
    ขอบอกว่าไม่มีอะไรติดใจหรอกครับ

    เพียงแต่ว่าผมหวังอย่ายิ่งว่าคุณบุญควรยืนอยู่บนหลักเหตุผลตามความเป็นจริง
    ซึ่งพระบรมครูตรัสไว้ชอบแล้ว โดยเอาหลักกาลามสูตรเป็นที่ตั้ง
    สิ่งที่เราได้ถกกันนั้น ผมเองเป็นคนชอบเหตุผลตามความเป็นจริง
    โดยเฉพาะเรื่อง “จิต” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของพุทธศาสนา

    มีพุทธพจน์รองรับไว้ชัดเจนดังนี้
    ละชั่ว(อกุศล) ทำดี(กุศล) ทำจิตใจให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย

    คุณลองพิจารณาดีๆด้วยใจเป็นธรรมแล้วจะรู้เห็นได้ว่า
    อกุศลจิตเราสามารถละได้ โดยยังกุศลจิตให้เกิดแทนได้
    แต่ก็ยังมีสิ่งที่เหนือกว่าอกุศลและกุศลอยู่ คือจิตผู้รู้ที่บริสุทธิ์
    จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ณ ตรงนี้จึงจะเป็น รู้ก็สักว่ารู้ เห็นก็สักว่าเห็น

    ปัญหาอยู่ที่ว่า การสร้างกุศลจิต และการละอกุศลจิต
    เราต้องสร้างสติ ให้เกิดขึ้นที่จิตอย่างต่อเนื่องเนืองๆ
    ถ้าไม่รู้จักจิต จะสร้างสติขึ้นที่จิตได้อย่างไร

    การจะดูจิต ให้ได้ผลนั้น ต้องรู้จักจิตก่อน
    การจะรู้จักจิตมีวิธีเดียวเท่านั้น คือ การปฏิบัติสัมมาสมาธิ

    ;aa24
     

แชร์หน้านี้

Loading...