รายชื่อผู้ที่ปราถรถนาพุทธภูมิ(ในเว็บนี้)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย thanan, 12 พฤศจิกายน 2004.

  1. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุๆๆๆๆ ผมกราบอนุโมทนาด้วยนะครับ
    แต่ พระโพธิสัตว์มีหน้าที่บำเพ็ญบารมีให้เต็มก่อน
    เมื่อเต็มแล้ว( บารมี 30 ทัศน์ ) ก็จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อนั้นล่ะครับถึงจะ่ช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลายในหมื่นโลกธาุตุแสนโกฏิจักรวาล ได้นะครับ
    ผิดถูกประการใดก็ขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ
     
  2. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ อนุโมทนาด้วยนะครับ
    ที่ว่า " ปลายกัปป์ " น่าสนใจยังงัยครับ
     
  3. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ ผมกราบอนุโมทนากับ " ท่านน้องแซม "ด้วยนะครับ
    เห็นบอกว่าปรารถนา 148 อสงไขยกัปป์
    ยังงัยพี่เอาใจช่วยนะครับ วันนี้ ( 25 กพ. 53 )ถวายสังฆทาน 2 ที่, แล้วร่วมทำบุญบวชเณรภาคฤดูร้อน , ร่วมทำบุญอุปสมบทหมู่ 100,000รูปกับวัดพระธรรมกาย ด้วยบุญนี้จงสำเร้จแก่ท่านน้องแซมด้วยนะ ขอให้ท่านน้องแซมมีจิตใจที่มั่นคงต่อสัพพัญญูตญาณด้วยเทอญ สาธุๆๆๆๆๆๆ
     
  4. มารวิกะ

    มารวิกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +526
    เพราะว่าปลายกัปยังไงล่ะครับ จะหมดกัปแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่ากัปต่อมาจะมีพระพุทธเจ้ามา ตรัสรู้อีกมั้ยยังไงล่ะครับ อาจจะมี รึไม่มีก็ได้ และระยะเวลาระหส่างกัปไม่รู้นานแค่ไหนอีก เลยคิดจะเป็นองค์สุดท้ายของกัปนั้นๆเพื่อที่จะโปรดสัตว์ไปได้ให้มากทีสุด ครับ
     
  5. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ กราบอนุโมทนาด้วยนะครับ
    อืม........แล้วตัวท่านจะกำหนดได้งัยละครับ ว่าตัวท่านจะอยู่ปลายกัปป์ได้ไหมนะครับ เพราะระยะเวลายาวนานมาก เช่น
    ปัญญาธิกะ 20 อสงไขยกับเศษอีก 100,000 มหากัปป์
    สัทธาธิกะ 40 อสงไขยกับเศษอีก 100,000 มหากัปป์
    วิริยาธิกะ 80 อสงไขยกับเศษอีก 100,000 มหากัปป
    อีกอย่างที่ภัทรกัปป์นี้ มีพระพุทธองค์ มาอุบัติขึ้นพร้อมกัน 5 พระองค์ ก็เป็นช่วงเวลาที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญเต็มทั้ง 5 พระองค์ พอดีนะครับ ( ภัทรกัปป์นี้ยาวนานถึง 256 กัปป์ พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ทรงอุบัติ ขึ้นกัปป์ ที่ 9 10 11 12 13 )จริงแล้วถ้ามีพระโพธิสัตว์บำเพ็ญพร้อมกันเยอะๆๆ กัปป์นั้นก็จะมีพระพุทธองค์มาอุบัติเยอะด้วยนะครับ
    ผิดถูกประการใดอภัย ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กุมภาพันธ์ 2010
  6. เวลานาที

    เวลานาที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2010
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +1,349
    ถ้าปรารถนาชาตินี้ก็ไม่ได้เข้านิพพานนะสิครับท่าน ต้องเกิดมาบำเพ็ญอีก ทุกข์ไม่พอหรือไง
     
  7. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    สาธุ สาธุ สาธุ
    อ่านแล้วปลื้มครับ มีคนคิดเหมือนกันเยอะจัง
     
  8. นายวีระศักดิ์ ท

    นายวีระศักดิ์ ท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +1,003
    อนุโมทนาสาธุกับ ผู้ปรารถนาพุทธภูมิทุกท่านครับ ไม่ได้เข้ามานานเลย มีคนปรารถนาเพิ่มอีกเยอะเลย ช่วยกันขนสรรพสัตว์เข้าสู่พระนิพพานครับ ขออำนาจคุณพระพุทธเจ้าอันไม่มีประมาณ ช่วยดลบรรดาลให้ผู้ปรารถนาพุทธภูมิทุกท่านได้เป็นพระพุทธเจ้าตามที่ปรารถนาเทิด
     
  9. KM_velazquez

    KM_velazquez เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +693
    ขอปรารถนา พุทธภูมิวิริยะธิกะ ครับ

    อยากช่วยให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ให้มากที่สุด

    ผมไม่รู้ว่าเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนรึป่าว ถ้าชาตินี้เป็นชาติแรกที่ปรารถนาพุทธภูมิ

    ผมก็จะพยายามให้ได้ จะไม่ย่อท้อครับ แม้ว่าจะเกิดอีกซักกี่ชาติก็ตาม
     
  10. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603

    สาธุ ผมกราบอนุโมทนากับท่านด้วยนะครับ
     
  11. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    วันนี้ ๓ มีนาคม ๒๕๕๓
    ได้ร่วมสร้างพระประจำวันเกิด ๗ วันหน้าตัก ๑๒ นิ้ว ๗ องค์ ได้บูรณะพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร( ด้วยกาวตราช้าง ๑ องค์ ) ด้วยบุญนี้จงสำเร็จแก่องค์โพธิสัตว์ทั้งหลายในบอร์ดพุทธภูมิด้วยเทอญ
    ขอให้องค์โพธิสัตว์ทั้งหลายในบอร์ดพุทธภูมิ จงมีจิตใจที่มั่นคงต่อสัพพัญูตญาณด้วยเทอญ.........สาธุๆๆๆๆๆๆ
     
  12. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อิอิ
    ที่ว่า ทุกข์ นะครับ อะไรทุกข์ครับ
    ใจ ท่านเป็นทุกข์รึ ?????
    สังขารณ์ ท่านเป็นทุกข์ นะครับ?????
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 มีนาคม 2010
  13. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325


    พี่ลอตเต้ ที่ชมรมพุทธ มข.ป่าวครับ

    หากใช่ ผมน้องชมรมพี่อ่ะ...
     
  14. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ท่านอาฬารดาบสไม่ได้เป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดมครับ แต่ท่านอาฬารดาบสเป็นพระอาจารย์ของเจ้าชายสิทธัตถะโพธิสัตว์ครับ
    แล้วท่านอาฬารดาบสตอนนี้อยู่พรหมโลกชั้นที่ ๒๐ เป็นชั้นที่ไม่มีรูป( มีแต่ดวงจิต) ไม่สามารถติดต่อท่านได้นะครับ



    ท่านอาฬารดาบสกับท่านอุทกดาบส ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม

    “..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ทรงต้องการให้คนอื่นมีความสุขด้วย ทรงนึกว่าใครหนอที่จะรับพระธรรมเทศนาที่พระองค์บรรลุแล้วได้ ก็ทรงหวนนึกขึ้นมาได้ว่าท่านอาจารย์ทั้งสองคือ ท่านอาฬารดาบส กับ ท่านอุทกดาบส สองท่านเป็นอาจารย์สอนให้พระองค์ได้สมาบัติ ๘ ฉะนั้นในเมื่อท่านสอนให้ลูกศิษย์ได้สมาบัติ ๘ ได้ ตัวท่านก็ต้องได้สมาบัติ ๘ ด้วย การได้สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ จิตละเอียดมาก ถ้ารับพระธรรมเทศนาจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแผล็บเดียวก็เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ คำว่า “ปฏิสัมภิทาญาณ” หมายความว่า
    ๑) ฉลาด ถ้าเขาพูดมาโดยย่อ ก็สามารถอธิบายให้ละเอียด เข้าใจชัดได้
    ๒) ถ้าเขาพูดมายาวๆ ก็สามารถย่อให้สั้นเข้า พอจำได้
    ๓) มีความฉลาดในภาษา มีปัญญารอบรู้ทุกอย่าง มีฤทธิ์ด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าอภิญญา ๖ และวิชชา ๓ มีอะไร ปฏิสัมภิทาญาณก็มีหมด สำหรับปฏิสัมภิทาญาณนี้ต้องทรงสมาบัติ ๘ ก่อน
    องค์สมเด็จพระชินวรทรงคิดว่าจะไปเทศน์ให้ท่านอาจารย์ทั้งสองฟังเพื่อจะได้บรรลุมรรคผล ก่อนที่องค์สมเด็จพระทศพลจะทรงทำอะไรท่านมีพระพุทธญาณเป็นเครื่องรู้ ทรงใช้ทิพย์จักขุญาณดูว่าอาจารย์ทั้งสองเวลานี้อยู่ที่ไหน ก็ทราบได้ว่าเวลานี้ อาจารย์ทั้งสองตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีอายตนะคือไม่มีเครื่องรับ ไม่มีตาจะรับ ไม่มีหูจะรับ มีแต่ตาไม่มีหู ตีใบ้ก็ยังใช้ได้ มีแต่หูไม่มีตา ใช้เสียงก็ยังดี แต่นี่ไม่มีทั้งหูทั้งตา มีแต่จิตลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงปลงอนิจจังว่า “โอหนอ น่าเสียดายอาจารย์ทั้งสอง ฉิบหายจากความดีเสียแล้ว” เพราะว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่มีโอกาสจะสนองคุณท่านอาจารย์ทั้งสอง เนื่องจากไม่มีอายตนะจะรับ ความจริงพราหมณ์เขาก็เก่ง เขามีการสอนกันถึงสมาบัติ ๘
    พรหมที่ว่ามี ๒๐ ชั้น เป็นพรหมที่มีรูป ๑๖ ชั้นและพรหมที่ไม่มีรูปที่เรียกกันว่าอรูปพรหมอีก ๔ ชั้น ความจริงไม่ได้เป็นชั้นที่ต่อสูงขึ้นไปเป็นชั้นที่ ๑๗,๑๘,๑๙,๒๐ หมายถึงไม่ได้อยู่สูงกว่าพรหมที่มีรูปและอรูปพรหมไม่ได้ตั้งปนอยู่กับรูปพรหม แต่อยู่ในช่องกึ่งกลางระหว่างรูปพรหมชั้นที่ ๘ กับรูปพรหมชั้นที่ ๙ จะเห็นเป็นทะเลอากาศขาวเป็นประกายระยิบระยับแพรวพราว มีความกว้างขวางมองหาที่สุดของพื้นที่ไม่ได้ หาวิมานสักหลังก็ไม่มี หารูปกายสักรูปหนึ่งก็ไม่มี สิ่งที่จัดว่าเป็นวัตถุในด้านของความเป็นทิพย์สักหน่อยหนึ่งก็ไม่มี แดนนี้เขาเรียกว่าแดนอรูปพรหม ที่เขาบอกว่าเป็นพรหมแล้วมีรูปร่างเหมือนฟักแฟง แบบนี้ยังไม่รู้จริง ถ้าหากว่ารูปไม่มีแล้วอะไรเป็นพรหม ก็จิตของพรหมแต่ละพรหมที่เห็นเป็นประกายระยิบระยับแพรวพราวอยู่ในบริเวณของอากาศนั้นแต่ไม่มีรูป พรหมทั้งหลายพวกนี้ไม่มีรูปก็เพราะในสมัยที่เป็นมนุษย์เขาไม่ต้องการรูปเขาเกลียดรูป เนื่องจากเวลาหนาวก็ดี ร้อนก็ดี หิวก็ดี กระหายก็ดี ป่วยไข้ไม่สบายก็ดี ปวดอุจจาระปัสสาวะก็ดี ถูกเพื่อนต่อว่าหรือถูกเจ้าหนี้มาทวงหนี้ก็ดี เขาคิดว่าอาการที่ไม่ชอบใจทั้งหมดเป็นเพราะมีร่างกายเป็นสำคัญ ถ้ายังมีร่างกายอยู่เพียงใด ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็จะปรากฏแก่เรา ฉะนั้นจึงได้บำเพ็ญบารมีในด้านอรูปฌานคือ
    ๑) อากาสานัญจายตนะ พิจารณาอากาศเป็นสำคัญว่า อากาศหาที่สุดมิได้
    ๒) แล้วพิจารณา วิญญาณัญจายตนะ ดูวิญญาณว่า วิญญาณนี้ก็หาที่สุดมิได้เหมือนกัน
    ๓) แล้วก็ได้ อากิญจัญญายตนะ ถือว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นสำคัญ มันสลายตัวหมด
    ๔) แล้วก็พิจารณา เนวสัญญานาสัญญายตนะ เลยทำอารมณ์ของตัวเป็นคนที่มีความจำแต่ทำเหมือนว่าจำไม่ได้ คือไม่รับรู้อะไรทั้งหมด
    สำหรับอรูปพรหมทั้งหมด ๔ ชั้นนี้เป็นพรหมที่มีความอาภัพมาก เพราะว่าเวลาพระพุทธเจ้าเทศน์โปรดไม่มีโอกาสจะรับฟัง ไม่เหมือนบรรดารูปพรหมทั้งหลายที่มีโอกาสฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า เมื่อฟังเทศน์แล้วแต่ละคราว บรรดาพรหมที่เป็นพระอริยเจ้าอยู่บ้างก็เป็นพระอรหันต์เข้านิพพานไป บรรดาพรหมที่ทรงฌานโลกีย์ก็เป็นพระอริยเจ้าเสียก็มาก เป็นอันว่าพรหมมี ๒๐ ชั้นก็จริง เป็นรูปพรหมเสีย ๑๖ ชั้น ตั้งอยู่ระดับหนึ่ง สำหรับอรูปพรหม ๔ ชั้นอยู่อีกเขตหนึ่งไม่ได้ปนกัน..”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มีนาคม 2010
  15. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สาธุครับ พระพุทธองค์ทรงเป็นสยัมภูครับ
    ท่านมหาครูทั้ง2นั้น สอนพระโพธิสัตว์แต่ในเรื่องที่เป็นโลกียะ
    ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์กับการพ้นทุกข์เลย
    จนพระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยพระองค์เอง
    จึงพบทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง เป็นการรับรู้ใหม่ทั้งหมดครับ
    พระผู้มีพระภาคจึงเป็นสยัมภู เป็นผู้ตรัสรู้เอง...

    อรูปพรหม ถือว่าเป็นอาภัพสัตว์
    เนื่องด้วยมีอยู่อายตนะเดียว คือจิตที่เสพอรูปฌานสมาบัติ
    ภาษาพราหมณ์เขาเรียกว่าเข้าไปรวมกับปรมาตมัน
    เป็นจิตสากล จนพวกพราหมณ์คิดว่าคือโมกษะ
    แต่จริงๆแล้วยังเป็นโลกีย์อยู่ ยังไม่พ้นโลกพ้นจักรวาล
    พอสิ้นอายุขัยก็หลุดออกจากปรมาตมันแล้วก็มาเวียนว่ายต่อ

    ...
    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระชินวรจึงได้ทรงระลึกถึงอาจารย์ทั้งสองท่าน คือ อาฬารดาบสและ อุทกดาบส เพราะสองท่านนี้ได้สมาบัติ ๘ และถ้าสามารถจะรับพระธรรมเทศนาได้ก็จะบรรลุมรรคผลได้โดยฉับพลัน และก็เป็นปฏิสัมภิทาญาณ องค์สมเด็จพระพิชิตมารใช้อำนาจพระพุทธญาณ ว่าเวลานี้อาจารย์ทั้งสองอยู่ ที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงทราบว่าอาจารย์ทั้งสองเวลานี้มรณภาพเสียแล้ว หรือตายจากความเป็นคน อาศัยที่ท่านได้อรูปฌาน ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นอรูปพรหม

    อรูปฌานนี้ ถ้าใครได้แล้วใจมันเป็นสุข โดยมากมักจะหลงกันว่าเป็นอรหันต์ได้เข้าถึงนิพพาน อาศัยที่ก่อนจะตายจิตติดอยู่ในอรูปฌาน ตายจึงได้เกิดเป็นอรูปพรหม เป็นพรหมที่ไม่ใช่รูป ขาดอายาตนะ พระพุทธเจ้าไม่สามารถจะสอนได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้ทรงปรารภว่า

    "โอหนอ..อาจารย์ทั้งสองของเรานี้ เป็นผู้ฉิบหายจาก ความดีเสียแล้ว"

    คำว่า ฉิบหาย นี่เป็นปกติของบาลีไม่ใช่คำหยาบ หมายความว่าเป็นผู้ที่ไม่มีโอกาสได้รับธรรมและความดีต่อไป
    ...
     
  16. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325

    ผมขออนุญาติตอบแทนพี่ลอตเต้ นะครับ

    คือผมเคยเป็นน้องที่ชมรมพุทธ มข.

    รู้จักกับพี่เค้ามานาน พี่เค้าจะเป็นแบบนี้แหละครับ

    ท่านก็พิจารณาเอาว่าเชื่อถือได้ไหม

    บางอย่าง(ส่วนมาก)จะไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ โดยเฉพาะข้อมูลที่มักเกินจริง

    ไม่หน่อยอ่ะ มากด้วย

    แต่อย่างไรก็ตาม

    พี่เค้าก็น่ารักและเป็นคนดีมากมากครับ

    เป้นคนดี คนซื่อ ที่น่ารักของชมรมเราเสมอ

    จากน้องต้อม PT

    จำกันได้ป่าวอ่ะ พี่ล็อต



     
  17. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ อนุโทนากับพี่ล๊อตเต้ด้วยนะครับ
    ครับ ผมเข้าใจนะครับ
    ไม่ได้ว่าพี่เขาด้วยนะครับ
    ผมแค่เอาข้อมูลมาเพิ่มให้อ่านกัน สนุกๆๆๆสนานเฉยๆๆ นะครับ
    แลกเปลี่ยนกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มีนาคม 2010
  18. มารวิกะ

    มารวิกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +526
    ตัวผมทุกข์ขนาดไหน ยังไม่เท่ากับทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายครับ สัตว์ทั้งหลายมีทุกข์มากกว่าเยอะ ถึงยอมทนทุกข์เพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตราบใดที่สรรพสัตว์
    ยังไม่เจอสุขที่แท้จริง ยังอยู่ในวัฏสงสาร ตราบนั้นจะยังมี พระโพธิสัตว์เกิดขึ้นมาอยู่ตลอดไป ครับ
     
  19. NikuSeed

    NikuSeed เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +724
    อะ คุณ "มารวิกะ" มองเรื่องทุกข์แง่เดียวกับผมเลย...
    ทุกข์ของเราถึงจะมากแค่ไหน แต่ทุกข์ของสัตว์อื่นๆในสากลโลกมีรวมแล้วมากว่ากันเยอะเลย
     
  20. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    อ่านแล้วปลื้มครับ ที่มีคนปรารถนาพุทธภูมิกันมากขนาดนี้ คงมีหลายท่านที่สมปรารถนา กระผมจะได้อาศัยท่านผู้กล้าทั้งหลายเป็นดั่งท่าเพื่อสั่งสมสร้างบารมีต่อไปในภพชาติเบื้องหน้า

    ต้องขออภัยหลายๆท่านที่อาจทำเหมือนสั่งสอน แต่เคยได้ยินได้ฟังมาว่าผู้ที่บำเพ็ญบารมีได้ตลอดสายกับผู้ที่ลาพุทธภูมิไปก่อน สิ่งที่ทำให้แตกต่างมีแค่เรื่องเดียวคือ "แง่คิด" ถ้าคิดแบบ "ยาว" ว่ากว่าจะได้พุทธภูมิมันยาวนานเหลือเกิน แบบนี้ยากจะไปถึงส่วนใหญ่จะลาไปก่อน แต่ถ้าคิดแบบ "ใกล้" คือคิดว่าวันนี้ได้สร้างบุญสร้างบารมีอีกนิดก็ใกล้พุทธภูมิไปอีกหน่อยแล้ว มองแต่ความสำเร็จ ไม่มองอุปสรรค เหมือนอย่างท่านสุเมธดาบสเมื่อได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้า ท่านคิดว่าอีก 4 อสงไขยกับแสนกัปป์เป็นประหนึ่งวันรุ่งขึ้นเท่านั้น
    ท่านว่าอย่าไปคิดไกล ให้คิดไปแบบวันต่อวัน บวชก็บวชวันต่อวัน รักษาศีลก็รักษาวันต่อวัน พึงพอใจในบุญบารมีแต่ละวันที่ได้สร้างขึ้น ให้ดำรงในเส้นทางพุทธภูมิแบบมีความสุขทุกวัน แป๊บเดียวก็หมดไปชาติหนึ่งแล้ว แบบนี้ไม่ท้อครับ ถ้าคิดว่าไกลมันท้อครับ คือได้ยินได้ฟังมาในทำนองนี้และก็ประมวลให้ทุกท่านที่มีอุดมการณ์แบบเดียวกันได้รับฟังครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...