รวมเรื่องกฎแห่งกรรม ของ ท.เลียงพิบูลย์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Jt Odyssey, 27 สิงหาคม 2012.

  1. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    บัดนี้ อาตมาขอให้ญาติโยมทั้งหลาย เทิดทูนพระคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เหนือเกล้า และจงจำพระธรรมคำสอนของพระองค์แนบไว้ในดวงใจ เพราะเป็นหลักธรรมอันสูงค่าประมาณมิได้ สามารถจะปราบมนุษย์ที่มีจิตใจดุร้ายให้สงบลง ธรรมของพระองค์สามารถที่จะทำลายความเดือดร้อนของโลกให้สงบลง เป็นธรรมของพระพุทธองค์ ประเสริฐล้ำเลิศกว่าธรรมทั้งหลาย สามารถจะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นกองทุกข์ไปได้ พุทธศาสนาจึงส่องแสงรัศมีสู่โลกไม่มีล้าหลังทุกยุคทุกสมัยตลอดไป

    วันนั้นหลังจากการเลี้ยงพระเจริญพุทธมนต์ และกรวดน้ำตามประเพณีเสร็จแล้ว ก็มีการเลี้ยงอาหารชาวบ้าน และเพื่อนฝูงที่มาช่วยงาน เป็นที่สนุกสนานรื่นเริงตามภาษาชาวบ้านทั่วไป หลังจากเลี้ยงพระผ่านไปในเย็นวันนั้น พ่อของเด็กชายทะนงเห็นอารมณ์ลูกชาย ผ่องใสสนใจในศีลธรรม เคร่งครัดในศีล ๕ ก็มีความดีใจ เมื่อแขกและชาวบ้านกลับหมดแล้ว ยามเย็นลูกชายก็นั่งสนทนากับพ่อแม่ พูดถึงท่านสมภารได้ให้ข้อคิดหลายข้อเป็นที่พอใจของลูกชาย และยังมีปัญหาอยากจะไปถามท่านที่วัด อยากจะไปเป็นศิษย์ของท่านเพื่อศึกษาธรรม

    เมื่อกำลังสนทนากันอย่างสบายอารมณ์ของพ่อแม่ลูกภายในบ้าน ก็มีคนมาถามหาผู้พ่อเด็ก ทำให้การสนทนาหยุดชะงักลง ผู้พ่อลุกขึ้นมาชะโงกหน้าต่างดู พอเห็นก็จำได้ ร้องเชิญให้ขึ้นมานั่งบนเรือน ภรรยากับลูกชายเห็นแขกมา ก็ลุกจะหลบเข้าในห้องเรือน แต่ผู้พ่อร้องห้ามไว้ให้นั่งอยู่อย่างเดิม เมื่อแขกขึ้นมาทักทายปราศรัยกับเจ้าของบ้านพอสมควรแล้ว ก็นั่งลงอย่างกระสับกระส่ายไม่สู้จะสุขใจนัก ผู้เป็นพ่ออึกๆ อักๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงพูดกับลูกชายอย่างไม่สู้จะเต็มปากว่า

    “พ่ออยากจะบอกลูกว่า พ่อได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับลูกแล้ว คือได้นำตัวนายเทศซึ่งเมื่อชาติก่อนเป็นเพื่อนรักใคร่กันมาก และภายหลังกลายเป็นศัตรูที่ลูกคิดผูกพยาบาท ความจริงพ่อได้สืบสวนแล้ว การฆ่ากันในครั้งนั้น เป็นเพราะเมามายทำให้สติฟั่นเฟือน มิได้มีเจตนาที่จะคิดฆ่ากันถึงตายเลย”

    พอผู้พ่อพูดได้เท่านั้น นายเทศผู้มีอายุก็คลานตรงเข้าไปกราบเท้าเด็กชายทะนง ซึ่งมีอายุเพียง ๘ ขวบ แล้วร้องไห้ พลางพูดว่า

    “ขอให้เพื่อนจงยกโทษให้ข้าเถิดพ่อจุ่น ครั้งนั้นข้าไม่มีเจตนาฆ่าฟันเพื่อนให้ตายเลย ความเมาทำให้ขาดสติ ไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป ที่สุดก็รู้สึกตัวเสียใจเสียดายที่เรารักกันมากมายที่ต้องมาทำลายเพื่อน เพราะฤทธิ์สุราที่ทำลายความรักของเพื่อนทำลายชีวิตของเพื่อน ตั้งแต่นั้นข้าก็หาความสบายใจไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ตลอดมา ฉะนั้นของให้เพื่อนจงอโหสิกรรมให้ด้วยเถิด”พูดแล้วก็ร้องไห้หมอบอยู่ต่อหน้าเด็ก

    เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นไม่ทันรู้ตัว ทั้งแม่และเด็กชายทะนงก็ตกตะลึง ที่เห็นชายแก่ผู้มีอายุมาหมอบกราบเด็กชายอายุ ๘ ขวบ ส่วนเด็กชายทะนงนั่งนิ่งเหมือนถูกมนต์สะกด ฟังนายเทศพูดจบ แล้วก็นิ่งคิดด้วยกิริยาเป็นปกติ มิได้แสดงถึงความขึ้งโกรธหรือยินดียินร้ายใดๆ ครู่หนึ่งพูดออกมาคล้ายผู้ใหญ่ว่า

    “ดีแล้ว เจ้าเทศ ที่เอ็งมารับสารภาพกับข้า ที่เอ็งทำไปนั้นเพราะฤทธิ์สุรา ทำให้เอ็งและข้ามึนเมา ข้าเองเดิมทีก็คิดจะล้างแค้นเอ็งเหมือนกัน แต่บัดนี้ ข้าได้ถือศีล และได้ฟังการอบรมจากท่านสมภาร ทำให้ข้ารู้สึกคิดได้ว่า การจองเวรการพยาบาทนั้นเป็นทุกข์ แล้วก็จองเวรวนเวียนไม่สิ้นสุด ข้าจึงตกลงอโหสิกรรมให้เอ็ง เพื่อจะทำให้ข้ามีจิตใจบริสุทธิ์ไม่มีเวรกรรมใดๆ ที่จะต้องติดตามตัวไปไม่สิ้นสุด”

    ทันใดนั้นนายเทศผู้มีอายุ ก็แสดงความปีติยินดีขึ้นมากราบเด็กชายทะนงด้วยความดีใจ ที่ได้อโหสิกรรมให้ตนแล้ว ในที่นั้นทุกคนก็พากันปลื้มปิติ ที่ศัตรูคู่อาฆาตจองเวรกลับมากลายเป็นมิตรกันอีกครั้งหนึ่ง

    พ่อของเด็กได้ขอร้องให้คนทั้งสองเข้าไปกราบพระพุทธรูปในห้องพระ และกล่าวคำอโหสิกรรมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพระจะได้อำนวยพรให้ความอยู่เย็นเป็นสุข ทั้งสองไม่ขัดข้อง แม่ฝ่ายหนึ่งจะเป็นเด็กชายอายุน้อยและอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นผู้มีอายุมาก แต่ทั้งสองก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ เป็นเรื่องแปลกประหลาดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว

    เรื่องนี้พอจะชี้ให้เห็นได้ว่า ทางพุทธศาสนานั้น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของสัตว์โลก ย่อมจะวนเวียนเกิดดับไม่รู้สิ้นสุด วนเวียนอยู่ในกองทุกข์ตลอดไป พระธรรมของพุทธศาสนาจึงชี้ทางให้ปฏิบัติด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อความหลุดพ้นห้วงทุกข์จากเวียนว่ายตายเกิด ไปสู่ความสุขอันสงบคือนิพพานซึ่งอยู่เหนือวัฏสงสาร พ้นความทุกข์ เป็นอันสิ้นภพสิ้นชาติฯ



    ....................... เอวัง .......................

    Credit ::
    [​IMG]
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  2. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]-->ทานชีวิต
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑



    เมื่อก่อนหน้า พ.ศ. ๒๔๙๕ เล็กน้อย ข้าพเจ้ามีกิจธุระทางถนนเยาวราช ได้เดินผ่านไปแถวเจ็ดชั้น บังเอิญสายตามองไปเห็นคนมุงดูอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าเป็นคนอยากรู้อยากเห็น จึงเดินไปชะโงกดูกับเขาบ้าง ก็ได้ทราบว่า จีนขายเต่าคนหนึ่งกำลังอธิบายเรื่องเต่าเป็นภาษาจีน

    ข้าพเจ้าถามจีนที่ยืนอยู่ก่อนว่า เขาพูดอะไรในเรื่องเต่า เพราะมองเห็นเต่าตัวหนึ่ง นอนหงายอยู่กับพื้นซีเมนต์หน้าร้านค้านั้น ที่ตัวมีอักษรเข้าใจว่าถูกจารึกลงไปด้วยเหล็กแหลม จีนผู้ถูกถามนั้นคงจะพูดไทยไม่ได้มากนัก เพียงแต่ว่า“เต่าพะๆ” ข้าพเจ้าชักสงสัยที่จีนคนนั้นเรียกเต่าพะ จึงแหวกคนเข้าไปดูเต่าที่ตัวหงายท้องอยู่ เต่าตัวนั้น เป็นเต่าขนาดกลาง ที่ท้องจารึกเป็นตัวอักษรอยู่เต็ม ข้าพเจ้าจึงขอจีนเจ้าของเต่า หยิบออกมาแหวกคนให้แสงสว่างส่อง ให้เห็นตัวอักษรชัดเข้า จึงได้เห็นว่าตัวอักษรนั้นบางตัวเลือนลางเต็มที แต่ก็ยังพอจะอ่านมีใจความว่า.....

    “ถ้าผู้ใดพบเต่าตัวนี้อย่าได้ฆ่า โปรดกรุณานำมาให้ที่บ้านเลขที่..... ถนน..... ตำบล..... ถ้าผู้ใดรู้แล้วทำอันตรายกับเต่าตัวนี้ จงประสบภัยวิบัติทั้งปวงด้วย”

    เมื่อข้าพเจ้าทราบความข้อนี้แล้ว จึงได้บอกกับจีนเจ้าของเต่าว่า ควรจะนำเต่าตัวนี้ไปให้เจ้าของเดิม ตำบลบ้านที่จารึกอยู่กับที่ท้องเต่านี้ คงจะได้รับรางวัลค่าป่วยการอย่างแน่นอน และพยายามอธิบายให้ฟัง แต่รู้สึกว่าจีนขายเต่าตัวนั้นไม่ค่อยสนใจ เขาอยากจะขายเต่าตัวนี้ให้พ้นๆ ไปเท่านั้น ซ้ำยังบอกว่าไปไกลและยังไม่รู้ว่าจะพบบ้านหรือไม่ ถ้าหากพบแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะได้รางวัลคุ้มกันหรือเปล่า เมื่อไม่มีใครซื้อจริง เขาก็จะนำไปฆ่ากินเอง เขาว่าได้เต่ามาหลายตัว ทุกตัวขายไปหมดเหลือแต่ตัวนี้ คนซื้อเห็นเป็นเต่าประหลาดมีตัวอักษรอยู่ในตัว ชาวจีนจึงไม่กล้าซื้อไปกิน

    เมื่อข้าพเจ้าชี้แจงให้ คนขายนำไปให้เจ้าของเดิมไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าคิดว่าควรซื้อเสียเองแล้วปล่อยลงน้ำไปดีกว่า เมื่อคิดแล้วก็ตกลงรับซื้อเต่าตัวนั้นไว้เป็นมูลค่า ๓๐ บาท รู้สึกว่าจีนผู้ขายเต่านั้นยินดีมากที่ขายเต่าตัวนั้นไปได้ เมื่อซื้อแล้วนำมาบ้าน คนทางบ้านข้าพเจ้าต่างพากันแปลกใจ นึกว่าข้าพเจ้าคงจะทำการปาณาติบาตกรรมแน่ ข้าพเจ้าจึงได้อธิบายให้ฟัง ก็หายความเข้าใจผิด ต่อไปนี้ก็เป็นปัญหาที่ข้าพเจ้าจะนำไปปล่อยที่ไหนดี จะไปปล่อยที่บ่อในบ้าน ในวัด หรือแม่น้ำซึ่งจะเป็นที่ปลอดภัย เมื่อขบปัญหานี้ไม่ตก จึงคิดว่าควรนำไปให้ท่านเจ้าของเดิมดีกว่า

    ต่อมาอีกวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ได้นำเต่าตัวนั้นตรงไปยังบ้านที่จารึกไว้ การหาบ้านไม่ยากนัก เพราะได้ปรากฏชัดแจ้งอยู่แล้ว ลักษณะบ้านนั้นรู้สึกว่า ท่านเจ้าของบ้านเป็นผู้มีอันจะกินผู้หนึ่งในย่านนั้น เมื่อข้าพเจ้ากดกริ่งหน้าบ้านสักครู่หนึ่ง ก็มีเด็กหญิงรุ่นผู้หนึ่งออกมาเปิดประตูถามว่า มาหาใคร ข้าพเจ้าบอกว่ามาหาเจ้าของบ้าน

    เด็กผู้นั้นพาข้าพเจ้าไปรออยู่ในห้องรับแขก สักครู่หนึ่งท่านเจ้าของบ้านก็เดินเข้ามา ข้าพเจ้ามองแวบเดียวก็รู้ในทันทีว่า ท่านเป็นคนมีสง่าและใจดีสมกับเป็นผู้มีเมตตาสัตว์ ตามลักษณะสังเกตได้ว่า เคยเป็นผู้มีอำนาจวาสนามาแล้ว ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นทำความเคารพทันที ท่านกล่าวว่าขอโทษที่ทำให้ข้าพเจ้านั่งรอช้าไปหน่อย เพราะท่านกำลังให้ปุ๋ยต้นไม้อยู่หลังบ้าน แล้วท่านกล่าวขึ้นอย่างอารมณ์ดีว่า มีอะไรที่จะให้ท่านช่วยเหลือบ้าง

    ข้าพเจ้าถามว่า “ท่านเคยทำบุญปล่อยเต่าบ้างไหมครับ”

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  3. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ท่านตอบทันที ไม่เหมือนคนมีอายุมากบางคนว่า

    “เคยครับเคยเมื่อ ๔ - ๕ ปีมานี้เอง มีจีนนำเอาเต่ามาเที่ยวเดินขาย ผมสงสารเลยซื้อไว้ และได้จารึกหนังสือ แล้วก็ปล่อยไปผมคิดว่าถ้าปล่อยไปธรรมดาแล้วมันคงไปไม่ได้นาน คงมีคนจับมาได้อีก แล้วก็คงไม่พ้นถูกฆ่า เพื่อคุ้มครองให้มันมีชีวิตยืนยาวต่อไป จึงได้จารึกอักษร แล้วนำไปปล่อยที่ท่าน้ำหน้าวัด”



    ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านฟังว่า ได้ไปพบและซื้อจากจีนคนหนึ่งทางเยาวราช เดิมทีก็จะนำไปปล่อยแต่มาคิดได้ว่า ท่านผู้เป็นเจ้าของคงอยากทราบว่า เต่าตัวนั้นยังมีชีวิติอยู่หรือไม่ และถ้ามันรู้ภาษา มันก็คงอยากพบท่านผู้มีคุณของมันเป็นแน่ เมื่อสนทนากันพอสมควรแล้ว ข้าพเจ้าก็กลับออกมานำเต่ามาจากรถ เห็นมันกำลังคลานต้วมเตี้ยมหาทางออกอยู่ เมื่อท่านเจ้าของบ้านได้พบมันแล้ว สังเกตเห็นว่าท่านดีใจมาก ท่านหยิบขึ้นดูสักครู่ ก็เรียกคนใช้นำไปเลี้ยงไว้หลังบ้านก่อน ภายหลังจะนำไปปล่อย

    จากนั้นท่านก็พยายามที่จะนำมูลค่า ที่ข้าพเจ้าได้ซื้อมาจากจีนนั้นมาให้ ข้าพเจ้าจึงเรียนให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าไม่ขอรับมูลค่าใดๆ ทั้งสิ้น ท่านขอบอกขอบใจข้าพเจ้ามาก เมื่อสนทนากันไป ข้าพเจ้ารู้สึกมีความเคารพในความเป็นผู้มีเมตตากรุณามากขึ้น แล้วข้าพเจ้ากราบลาท่าน รับพรด้วยความเคารพ แล้วก็เดินออกจากบ้าน ขณะที่จะก้าวออกประตู ก็พอดีเด็กหญิงซึ่งมาเปิดประตูครั้งแรกวิ่งมาบอกว่า ท่านขอเชิญให้ข้าพเจ้ากลับเข้าบ้านอีกครั้งหนึ่ง

    เมื่อข้าพเจ้าหวนกลับไปถึง ท่านเจ้าของบ้านได้บอกว่า

    “ผมอยากจะให้ของคุณ ไว้เป็นที่ระลึกสักอย่างหนึ่ง” ท่านพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

    “คนอย่างคุณเวลานี้คงหาไม่ได้ง่ายนัก ผมรักคุณมาก รักน้ำใจคุณ แม้เราจะพบกันเวลาชั่วเพียงเล็กน้อย ผมก็อ่านคุณออก เพราะฉะนั้น ผมขอมอบพระองค์นี้ให้คุณไว้บูชาเป็นที่ระลึก” แล้วท่านก็มอบห่อให้ข้าพเจ้าห่อหนึ่ง ข้าพเจ้ากราบท่านด้วยเคารพอย่างจริงใจ

    “คุณนำไปบูชา จะป้องกันภัยต่างๆ ได้ ตลอดจนอัคคีภัยด้วย เป็นของเก่าหาได้ยากแล้วในสมัยนี้”

    เมื่อข้าพเจ้ากลับถึงบ้านแล้ว แก้ห่อออกก็เห็น พระพุทธรูปเก่าแก่องค์หนึ่ง ข้าพเจ้าได้นำไปตั้งไว้บนที่บูชาที่หัวนอน

    ต่อจากนั้นประมาณ ๑ ปี คืนหนึ่งหลังจากข้าพเจ้ากลับมาบ้าน ได้นำรถเข้าโรงเรียบร้อย ก็เข้านอนตามปกติ ประมาณราว ๒ นาฬิกาของวันใหม่ ข้าพเจ้าต้องตกใจลุกขึ้นทันที เพราะมีเสียงมากระซิบที่หู

    “ลุกขึ้น ! ไฟกำลังไหม้โรงรถ ลุกขึ้น ! ไฟกำลังไหม้โรงรถ”

    ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นเปิดไฟดู ก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในห้องสักคนหนึ่ง ประตูหน้าต่างก็ลงกลอนเรียบร้อย เมื่อนึกขึ้นได้ ข้าพเจ้ารีบวิ่งไปที่โรงรถ ก็ได้กลิ่นสายไฟไหม้ คล้ายกับเคี่ยวยางมะตอยราดถนน ข้าพเจ้ารีบเปิดประตูรถเข้าไปทันที เห็นแสงไฟแลบออกมาจากกระโปรงเครื่อง ข้าพเจ้ารีบกระโดดขึ้นไปสตาร์ทเครื่อง เคราะห์ดีเครื่องติด แล้วรีบถอยรถออกไปกลางสนามหญ้าหน้าบ้าน จากนั้นก็เอากระสอบข้าวเก่า ๔ - ๕ ใบ เปิดฝากระโปรงออก ใช้กระสอบข้าวฟาดแล้วคลุมไว้จนดับ กว่าจะเรียบร้อยข้าพเจ้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเทบแย่

    เหตุการณ์นี้ คนในบ้านไม่มีใครทราบเรื่องและตื่นเลย เพราะตั้งแต่เริ่มจนดับ ข้าพเจ้าไม่ได้พูด หรือร้องเรียกใครช่วยสักคำเดียว เหตุการณ์จึงผ่านไป และยังความปลอดภัยแก่ข้าพเจ้าอย่างน่าพิศวง ข้าพเจ้าได้รอดพ้นภัยพิบัติได้ด้วยอะไร ถ้าไม่เกี่ยวกับอานิสงส์แห่งทานชีวิตที่บำเพ็ญ โดยมิได้หวังผลตอบแทนอย่างใดเลย


    Credit : ::
    [​IMG]
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  4. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--> ความบริสุทธิ์
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๕



    เรื่องความบริสุทธิ์ที่ข้าพเจ้าจะได้เสนอท่านต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้ายังอยู่ในวัยรุ่น จะเป็นเพราะเหตุบังเอิญหรือด้วยอำนาจอธิษฐานก็ตาม แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ผู้ที่มีความบริสุทธิ์ไม่เคยทำผิดคิดร้ายใคร เมื่อมีคนเข้าใจผิดคิดมุ่งร้ายจนถึงเข้าที่คับขันเกือบจะเอาตัวไม่รอด แต่อำนาจจิตแห่งความบริสุทธิ์ย่อมจะเป็นหลักสำคัญ เป็นกำลังใจอันหนึ่งเพื่อจะต่อสู้เหตุการณ์ครั้งนั้นเลย

    เมื่อครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าจำได้ว่า งานออกร้านรื่นเริงมีปิดทองหลังพระหรือนมัสการ มีการเล่นพนัน ๒ ประเภท ซึ่งมีตกเบ็ด โยนห่วง ยิงเป้า ไม้หมุน เหล่านี้เป็นต้น หากว่างานใดไม่มีการพนันประเภทนี้ ก็รู้สึกว่างานนั้นหย่อนความสนุกสนานไปมาก

    เวลานั้นอายุของข้าพเจ้าย่างเข้าวัยรุ่น แต่ยังอยู่ในวัยเรียน วันที่เกิดเหตุยังจำได้ดีว่าเป็นวันเสาร์ ได้นัดเพื่อนร่วมเรียนและอายุรุ่นเดียวกันเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง ชวนกันไปเที่ยวงานนมัสการพระพุทธบาทจำลองที่วัดบางหว้า ตำบลบางกอกน้อย ธนบุรี สมัยนั้นโรงเรียนหยุดวันเสาร์ครึ่งวัน วันอาทิตย์หยุดเต็มวัน หลังจากเราเรียนตอนเช้าแล้ว ก็ถึงเวลาที่นักเรียนเข้าห้องประชุมมีอาจารย์ใหญ่เป็นประธานให้โอวาทอบรมสั่งสอนศีลธรรม ที่นักเรียนควรประพฤติเพื่อเป็นพลเมืองดีต่อไป

    ท่านตักเตือนให้นักเรียนขยันเอาใจใส่ในการเรียน เพื่อความรุ่งเรืองของตนในอนาคต จะได้เป็นที่พึ่งของพ่อแม่พี่น้อง ให้มั่นอยู่ในความกตัญญูรู้บุญคุณของบิดามารดา ครูอาจารย์ และผู้ที่ทำคุณให้แก่ตน เว้นสิ่งที่ผิดที่ชั่ว ใครทำสิ่งไม่ดีก็เอามาตักเตือนสั่งสอนว่ากล่าว ชี้ให้เห็นผิดเห็นชอบ ให้เห็นว่าสิ่งใดควรและไม่ควร ใครทำดีและประพฤตตัวดีท่านก็ยกย่องสรรเสริญนำมาเพื่อเป็นตัวอย่างกล่าวชมเชย

    ในที่ประชุมรู้สึกว่าท่านอาจารย์ใหญ่ได้คอยเอาใจใส่อบรมในความประพฤติของนักเรียน ทั้งในและนอกโรงเรียน คอยสั่งสอนทุกวันเสาร์ในห้องประชุม ยกตัวอย่างนิทานและเหตุการณ์ชีวิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเล่าให้ฟัง เช่น คนที่มีวิชาความรู้ดีแต่ต้องติดโทษที่คุมขัง ทุกข์ทรมานด้วยความประพฤติไม่ดี เป็นต้น

    ท่านเคยกล่าวเสมอว่า ถึงจะมีความรู้ดีมีวิชาแต่ความประพฤติไม่ดี วิชาความรู้ก็ไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองไปสู่ทางดีได้ ถ้ามีทั้งวิชาความรู้ ประพฤติดีมีความกตัญญู ย่อมจะนำไปสู่ความรุ่งเรืองในชีวิต จะเป็นที่ชื่นชมสรรเสริญของคนทั่วไป เพราะการงานทั่วไป ย่อมแสวงหาคนที่มีความรู้ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต พร้อมด้วยศีลธรรมดีงามเป็นที่ไว้วางใจ

    ข้าพเจ้าเคยพบท่านนอกโรงเรียนหลายครั้ง เมื่อทำความเคารพท่าน ท่านจะยิ้มและทักทายด้วยถ้อยคำที่แสดงความรักใคร่กรุณา ท่านชอบเรียกข้าพเจ้าว่า “พลเมืองดี” ท่านมักจะทักว่า “เธอไปไหนมาพลเมืองดี” ทำให้ข้าพเจ้าหยิ่งและผยอง ด้วยอยากจะทำความดีให้สมกับที่ท่านเรียกว่า พลเมืองดี สัณชาตญาณทำให้เรารู้ว่าท่านมีความเมตตาต่อเรามาก จะเห็นได้จากสายตาแสดงถึงความเอ็นดู และท่าทางอันสุภาพของท่าน ข้าพเจ้ายังเคยได้ยินท่านพูดในที่ประชุมว่า

    “ครูอยากให้นักเรียนทุกคนเป็นพลเมืองดี ประพฤติตัวดี ถ้าพวกเธอดีครูก็มีความสุขสบายใจ แต่ถ้าทราบว่าพวกเธอประพฤติตัวไม่ดีครูก็เสียใจไม่มีความสุข นักเรียนทุกคนเป็นเหมือนลูกหลาน หวังว่านักเรียนทุกคนคงจะไม่ทำให้ครูผิดหวังเสียใจและหมดความสุขเป็นแน่”

    รู้สึกว่าคำพูดของท่านคงจะเข้าถึงจิตใจนักเรียนบ้างไม่มากก็น้อย พวกเราจึงเชื่อฟังคำของท่านและพยายามประพฤติตัวดี วันเสาร์นั้นหลังจากที่ท่านให้โอวาทเสร็จ ปิดประชุมแล้วก็สวดมนต์ เมื่อจบแล้วก็สรรเสริญพระบารมี เลิกเรียนครึ่งวัน ข้าพเจ้ามิได้รอช้ารีบชวนเพื่อนกลับบ้าน ผลัดเครื่องแต่งตัวนักเรียนออก สวมกางเกงขาวแพร ใส่เสื้อนอกแพรกระดุม ๕ เม็ด ใส่รองเท้าแตะและหมวกตามความนิยมสมัยนั้น ขึ้นรถรางสายเหลืองไปสุดระยะที่หลักเมือง (เวลานั้นมีรถรางสองสาย คือสายเหลืองมีระยะจากถนนตกถึงหลักเมือง และสายแดงวิ่งรอบเมือง)

    เมื่อเราลงจากรถแล้วก็เดินตัดท้องสนามหลวง ตรงไปข้ามที่ท่าช้าง ไปขึ้นที่ท่ารถไฟสถานีบางกอกน้อย ไม่ช้าเราทั้งสองก็เข้าไปในเขตงานออกร้าน มนัสการปิดทองพระพุทธบาทจำลองบางหว้า รู้สึกว่าผู้คนมาเที่ยวในงานยังไม่มากนัก เห็นจะเป็นเพราะเวลาบ่ายแดดร้อน คงเห็นทหารเรือจำนวนมากเที่ยวเดินเตร่ทั่วๆ ไป เพราะได้หยุดวันเสาร์ครึ่งวันเหมือนกัน ก่อนอื่นเราไม่ลืมที่จะตรงไปไหว้พระปิดทอง ซื้อดอกไม้ธูปเทียนและทองคำเปลว ซึ่งมีผู้แย่งเสนอขายในบริเวณนั้น รู้สึกว่าสมัยนั้นต้องทำบุญไหว้พระเสียก่อนที่จะหาความสนุกสนานกันต่อไป

    เมื่อเรานมัสการจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธบาทพร้อมด้วยดอกไม้ และปิดทองเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินออกจากมณฑลพระพุทธบาท เห็นพวกวณิพกนั่งเรียงรายตามทางออกใกล้มณฑป คอยผู้ที่ไหว้พระเดินผ่านมา บ้างก็เป่าสังข์ บ้างก็ตีระนาด พิณพาทย์ และเครื่องดนตรีเท่าที่หามาได้ ต่างคนต่างบรรเลงเพลงคนละที ช้าบ้างเร็วบ้างตามแต่จะถนัด ฟังแล้วจึงดูไม่เข้ากันเลย ผู้ที่มีใจบุญจะหยอดเศษเงินใส่ลงพานที่ตั้งไว้ตรงหน้าวณิพกพวกนั้น เรียกว่าฉลองหรือสมโภชเมื่อหลังจากทำบุญแล้ว ฉะนั้น จึงไม่ได้ยินการให้ศีลให้พร เห็นจะถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยน

    จากนั้นก็มีพวกแม่ชีซึ่งนั่งพับเพียบเรียงรายกัน ตรงหน้ามีผ้าแดงปูไว้เพื่อที่จะได้รับบริจาคทานจากผู้ใจบุญทั้งหลาย ตลอดทางลงบันไดมีพวกขอทานนั่งเรียงรายสองข้างมีสภาพต่างๆ กัน บ้างก็ตาบอด แขนด้วน ขาด้วน บ้างก็มี ขาลีบ แขนลีบบ้างก็มี รูปร่างอ้วนล่ำสันใส่หมวกปิดถึงลูกตา นั่งทำตัวสั่น มือสั่น พูดเสียงสั่นๆ จนฟังไม่รู้เรื่อง ทั้งน้ำลายยังไหลยืด จับเค้าพูดได้เพียงขอให้ทำบุญทำทาน นอกจากพวกทุพพลภาพแล้ว ก็มีหญิงแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกให้กินนม แล้วยังมีลูกหน้าตามอมแมมตัวดำๆ นอนหัวพาดตัก ที่โตหน่อยนั่งข้างๆ แม่ คอยร้องขออัฐยกกะลาขึ้นชูเมื่อคนเดินผ่านไปมา

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  5. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]-->จากนั้นก็มีพวกเป็นโรคเรื้อน มือกุด จมูกยุบ หูหนา น้ำเหลืองเฟะ คอยยกมือที่ไม่มีนิ้วขึ้นชูร้องขอเมื่อมีคนเดินผ่านด้วยเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ คนพวกนี้เป็นพวกมีกรรมเป็นที่รังเกียจของสังคม คนที่ผ่านไปมาที่เป็นพวกหนุ่มๆ สาวๆ จะรีบสาวเท้าให้ผ่านพ้นไปเร็วๆ แสดงท่าทางขยะแขยงรังเกียจ

    นอกจากนั้นบางคนก็มีหนังหุ้มกระดูก นอนอยู่บนเสื่อเก่าๆ มีผ้าปิดร่างกายเป็นส่วนน้อย ลูกตาลึกลงไป เบ้าแก้มทั้งสองข้างลึกบุ๋มลงไป ทำให้เห็นฟันยื่นออกมาคล้ายซากศพที่ยังมีลมหายใจ เห็นแล้วเป็นที่น่าสังเวชยิ่ง ไม่รู้ว่าทำกรรมอะไรไว้ ข้างตัวมีชามกะละมังเก่าๆ ก้นทะลุวางไว้ เพื่อให้ผู้ใจบุญทั้งหลายบริจาคทาน

    รู้สึกว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครเข้าไปใกล้ แม้แต่เวทนาเมตตาสงสาร ก็เพียงแต่โยนเศษเงินไปให้แต่ห่างๆ สังเกตเห็นเศษเงินตกอยู่ข้างๆ มากกว่าอยู่ในกะละมัง เมื่อมีผู้ผ่านไปแกก็ได้แต่ยกมือข้างเดียวซึ่งมีแต่หนังหุ้มกระดูกเป็นเครื่องหมายว่าขอให้ช่วยทำบุญทำทาน ส่วนเสียงนั้นแม้จะออกจากปากบ้างก็แหบๆ และค่อยจนจับใจความไม่ได้ พวกเด็กและหญิงสาวบางคน เมื่อเดินผ่านก็รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เพราะไม่กล้ามองดูสภาพที่ทุเรศ แสดงกิริยาทั้งรังเกียจและกลัว

    สิ่งที่คล้ายคลึงกับพวกขอทาน เมื่อมีผู้ผ่านมาก็ยกมือขึ้นเหนือหัวและชูภาชนะที่สำหรับใส่เศษเงินขึ้น แล้วรำพึงรำพันถึงความทุกข์ยากลำบากต่างๆ เพื่อให้ผู้ใจบุญมีความเมตตาสงสาร พอมีผู้หยอดเศษเงินลงไปให้ก็ให้ศีลให้พรซ้ำๆ ซากๆ คล้ายคลึงกันแทบทุกคน บัดนี้ เมื่อหวนนึกถึงภาพเหล่านั้นครั้งใดแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า

    ภาพนั้นก็คือนรกในเมืองมนุษย์ที่เราจะหาดูได้จากสถานที่เหล่านี้ สมัยนั้นรู้สึกว่าจะมีคนใจบุญมาก สังเกตดูบางคนมีใจประกอบด้วยจิตใจสงสาร เป็นผู้ชอบประกอบกรรมดี อุตส่าห์แลกเศษเงินเป็นจำนวนมากห่อผ้าแดง ตั้งใจมาแต่บ้านว่าจะมาทำทานแจกเรียงตัวให้ทั่วถึงทั้งสองข้างทาง ท่านพวกนี้ไม่มีการรังเกียจ หรือขยะแขยงต่อสภาพความเป็นอยู่ของพวกเหล่านี้เลย รู้สึกว่าปลงตกให้ความสงสารและเห็นใจมากกว่าสิ่งอื่น

    แต่ก็มีบางคนเดินผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ใยดีต่อเสียงโอดครวญใดๆ บางคนก็แสดงกิริยารังเกียจรีบเดินหนีให้พ้นๆ บางคนไม่ยอมให้ทานแล้วยังบ่นว่าด้วยความรังเกียจและรำคาญ บ้างก็บริจาคทานเท่าที่เศษเงินจะอำนวยให้ ทุกคนจิตใจไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครจะมีใจเป็นกุศลมากน้อย ที่ชั่วก็มี ที่ดีก็มากในหมู่คนทั่วๆ ไป สำหรับข้าพเจ้ากับเพื่อนนั้นเลือกให้ทานแก่คนชรากับคนพิการที่ไม่สามารถเลี้ยงชีพได้จริงๆ เท่าที่ผู้อยู่ในวัยเรียนยังพึ่งผู้ปกครองเงินจำกัด พอจะเจียดบริจาคได้ คิดแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ว่า “เรานี่ก็เป็นผู้มีบุญที่ได้แผ่ส่วนบุญให้พวกนี้ ได้ด้วยการบริจาคทาน อย่างน้อยก็มีสุขใจที่ได้เปรียบเทียบชีวิตเช่นนี้”

    ถ้าหากข้าพเจ้ามีบาปมีกรรมทำไว้แต่ชาติก่อน ก็เห็นจะเป็นฝ่ายผู้รับ และคงจะต้องไปนั่งรวมในฝ่ายผู้ขอเป็นแน่ และคงจะคอยยกมือขึ้นท่วมหัวเมื่อคนเดินผ่านไปมา แล้วก็รำพันรำพึงความทุกข์ยากต่างๆ เพื่อให้ผู้ใจบุญสงสารและเวทนาและเห็นใจ นี่ก็เป็นกฎแห่งกรรมดีและชั่ว ย่อมเกิดมาไม่เหมือนกัน เมื่อผ่านพ้นพวกขอทาน เราก็ไม่ลืมแวะไปนมัสการหลวงพ่อในโบสถ์ ซึ่งชาวบ้านนับถือว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มาก จึงไปนมัสการ รู้สึกว่ากลิ่นธูปควันเทียนฟุ้งไปในโบสถ์ซึ่งไม่สู้ใหญ่โตนัก

    นอกจากพวกที่มาไหว้พระแล้ว บางคนก็ถือโอกาสเสี่ยงใบเซียมซีถามถึงโชควาสนา ได้ยินเสียงพึมพำเขย่ากระบอกติ้วอยู่ไม่ขาดระยะ มีทั้งชาวจีนและชาวไทย ส่วนมากเป็นหญิง แต่เราไม่ได้เอาใจใส่เพราะถือว่าโชคชะตาเราเป็นผู้สร้างเอง พอไหว้พระเสร็จก็ออกไปที่หน้าโบสถ์ เห็นขอทานเรียงรายอยู่แถวนั้นแต่ไม่มากนัก ต่อมาเราก็ไม่ได้เห็นภาพเช่นนั้น เพราะบ้านเมืองเจริญภาพที่อุจาดก็หายไป

    เมื่อเราได้ทำบุญเรียบร้อยแล้ว ก็ผ่านการละเล่นเก็บเงินค่าดูต่างๆ ซึ่งเป็นของธรรมดาของงานวัดทั่วๆ ไป เราเดินไปถึงบริเวณที่มีการเล่นพนัน ตกเบ็ด โยนห่วง ยิงเป้า ไม้หมุน การที่ข้าพเจ้าพูดถึงการเล่นพนันตกเบ็ดในสมัยนั้น บางคนในรุ่นหลังๆ นี้อาจจะไม่รู้ว่าเขาเล่นกันอย่างไร เพราะการพนันประเภทนี้ได้ยกเลิกมานานแล้ว แต่ในสมัยนั้นเป็นที่นิยมของคนส่วนมาก หากงานออกร้านวัดใดวัดหนึ่ง ถ้าไม่มีการพนันประเภทนี้แล้วงานนั้นก็ย่อมจะขาดความสนใจของประชาชนไปมาก

    ในที่นี้ข้าพเจ้าจะพูดวิธีการเล่นตกเบ็ดโดยเฉพาะเท่านั้น เพราะเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเรื่องนี้โดยตรง เครื่องมือที่ประกอบการเล่นตกเบ็ดนั้นก็มี ไหกระเทียม ที่เรียกว่าไหกระเทียม ก็เพราะว่า ไหพวกนี้ใส่กระเทียมดองมาจากเมืองจีน ไหนี้มีมากมายแทบทุกครัวเรือนในเมืองไทยไม่ว่าในกรุงหรือชนบท แต่ในสมัยนี้คงหาดูได้ยาก รูปร่างของไหนั้นสูงประมาณ ๑ ฟุต โตขนาดเท่าบาตรพระ เคลือบสีน้ำตาลไหม้ ปากไหพอจะเอามือล้วงลงไปได้พอดี ตรงกลางไหปล่อง แล้วเรียวขึ้นทางปากไหและเรียวลงทางก้น ก้นไหก็ไม่โตกว่าปากไหเท่าใดนัก พอจะตั้งได้ไม่ล้ม เขาเอามาตบแต่งให้สวยงาม โดยเอากระดาษสีต่างๆ จักเป็นฝอยปิดลงไปโดยไม่เห็นเนื้อเดิมของไห

    ในไหบรรจุตลับขนาดเท่าเหรียญบาท มีฝาแน่นพอจะเปิดปิดได้เรียบร้อย ในตลับบรรจุเบอร์เลขหรือรูปสัตว์หรือรูปผลไม้ แล้วแต่เจ้าของร้านดัดแปลงให้แปลกไป แต่ละชนิดมีเหมือนกัน ๓ ตลับ บนโต๊ะปูผ้าน้ำมันก็จะเขียนเบอร์หรือรูปสัตว์ ผลไม้แบบเดียวกับในตลับ และขีดเส้นเขตเป็นช่องๆ บางแห่งก็เพียงใช้ผ้าขาวขึง และขีดเส้นเขียนเบอร์เลขด้วยน้ำหมึกก็มี เขาเอาไหตั้งไว้กลางโต๊ะระยะหัวท้ายของโต๊ะ ข้างตัวเจ้ามือเอาตลับใส่ลงไปจนครบจำนวนแล้ว เจ้ามือจะยกไหขึ้นเขย่า แล้วให้ผู้แทงๆ เบอร์ตามผ้าใบน้ำมันที่ปูไว้มีเบอร์ตามช่องๆ

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  6. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--> เมื่อมีผู้แทงแล้วก็ให้ผู้แทงใช้ไม้ยาวประมาณศอกโตเท่าตะเกียบ ปิดกระดาษฝอยๆ เขียวๆ แดงๆ ปลายไม้มีเชือกผูกแม่เหล็กรูปเกือกม้า สำหรับหย่อนลงไปเพื่อตกตลับในไห แม่เหล็กก็ไปดูดตลับขึ้นมา และจะต้องให้ตลับติดขึ้นมาเพียงอันเดียวหรือไม่เกินครั้งละสามตลับ ออกครั้งละสามตลับออกครั้งละสามเบอร์ เมื่อเปิดออกถ้าเบอร์ตรงกับที่เราแทงไว้เจ้ามือก็จะให้เป็นบัตรแข็งมีราคาจำนวนเงิน และยี่ห้อชื่อของร้านนั้นเสร็จเรียบร้อย ผู้ที่แทงถูกได้บัตรนี้จะแทงแทนเงินต่อไป หรือจะนำเอาไปขึ้นเป็นสิ่งของในร้านนั้นได้ตามราคาในบัตร แต่ส่วนมากมักไปขอขึ้นเงินสดหลังร้าน เพราะบางครั้งมีผู้มาแทงได้เสียกันมากๆ เหมือนกัน

    การเอาบัตรไปขึ้นเงินสดนั้นผิดกฎหมาย ฉะนั้นจึงต้องแอบไปขึ้นหลังร้าน ถ้าทางการรู้จะริบใบอนุญาตห้ามเล่นต่อไป แต่การใช้แม่เหล็กนั้นออกจะช้าไม่ได้รับความสะดวก เพราะบางครั้งจะติดตลับขึ้นมาเป็นพวงตั้ง ๔ - ๕ ตลับตามกำลังของแม่เหล็กจะยกขึ้นมาได้ เจ้ามือต้องปลดตลับลงไปในไหใหม่ บางครั้งต้องลงมือใหม่ บางครั้งต้องตกกันหลายหน กว่าจะพอดีได้เพียงหนหนึ่งหรือสองถึงสามตลับ รู้สึกว่าช้าและไม่สะดวก ภายหลังเจ้ามือจึงอนุญาตให้ผู้แทงเอามือล้วงไปหยิบขึ้นมาได้ แทนที่จะใช้แม่เหล็กตก


    ฉะนั้น คำว่า “เล่นตกเบ็ด” ก็ไม่มีความหมายอะไร กลายเป็นล้วงตลับขึ้นจากไห เมื่อเราเลือกร้านตกเบ็ดที่เราเห็นว่าไม่ค่อยมีคนมาเล่นมากนัก ซึ่งออกเป็นเบอร์เลข ถ้าเป็นกลางคืนคงจะเบียดกันเข้าไป หรืออาจจะเข้าไม่ถึงเพราะคนแน่นก็ได้ เมื่อเราเลือกแทงเบอร์เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนล้วงเอาตลับขึ้นมาจากไห จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่แน่ เพราะเมื่อข้าพเจ้าล้วงลงไปในไหหยิบตลับขึ้นมา ทุกครั้งเปิดออกก็ตรงกับเบอร์ที่เราแทงเสมอไปอย่างประหลาด ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าล้วงขึ้นมาตามบุญตามกรรม

    คราวนี้พวกที่ต่างคนต่างแทงก็มารุมแทงตามข้าพเจ้าเป็นการใหญ่ เขาเรียกว่า มือเฮง บางคนแทงหนักมือเสียด้วย พอเปิดออกคราวใดต้องฮากันแทบทุกครั้ง เพราะมันตรงกับเบอร์ที่เราแทง เจ้ามือรู้สึกว่าชักหน้าเสียเหงื่อแตก ข้าพเจ้าชอบแทงเบอร์ซ้ำๆ แต่ก็ถูกเกือบทุกครั้ง เล่นไปสักพักหนึ่ง เจ้ามือมองหน้าข้าพเจ้า แล้วทำท่าไม่พอใจ บอกว่าขอหยุดพักชั่วคราว แล้วแกก็ยกไหขึ้นเทตลับออกมาจากไหอย่างพิจารณา แล้วเช็ดด้วยผ้า แต่ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติ

    พวกเรากำลังสนุกสนานต้องมายืนคอยว่าเมื่อใดจะได้ลงมือเล่นต่อไป เมื่อเจ้ามือเทตลับออกมาตรวจนับเรียบร้อยแล้ว ก็เรียกคนในร้านมากระซิบหู ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาพูดอะไรกัน ชายผู้นั้นมามองดูหน้าข้าพเจ้าแล้วก็เดินไป ยังไม่สงสัยว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เมื่อเจ้ามือตรวจดูตลับและนับถี่ถ้วนเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้มือกอบตลับลงใส่ในไหอย่างเดิม แต่แทนที่แกจะเริ่มลงมือเล่นต่อไป แกกลับพูดขึ้นลอยๆ ตั้งใจให้ได้ยินทั่วกันว่า

    “วันนี้โดนนักเลงดีอีกพวกเรา”

    คนในร้านมีทั้งจีนและไทยต่างก็ซุบซิบกันแล้วมองดูข้าพเจ้า รู้สึกว่าบรรยากาศในร้านนั้นไม่สู้จะดี แต่แล้วเจ้ามือก็ยืนขึ้นพูด พูดเป็นภาษาจีนข้าพเจ้าเองไม่ทราบว่าเขาพูดว่าอะไร สักครู่หนึ่งจึงเห็นคนที่นอนหลับอยู่หลังร้านตื่นขึ้นมาทำท่างงๆ ร้านใกล้เคียงก็หยุดพักการเล่นออกมายืนฟังยืนดู สัณชาตญาณทำให้เห็นกิริยาของคนเหล่านั้นเริ่มไม่เป็นมิตรกับข้าพเจ้าเสียแล้ว เขาสงสัยว่าข้าพเจ้าเล่นโกงเป็นแน่ เพราะรู้สึกว่าเขาต่างก็มองหน้าข้าพเจ้าผู้เดียว เขาคงจะหาเหตุผลและหลักฐานในข้อหาเสียก่อนแล้วค่อยลงมือเล่นงานเป็นแน่

    ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ความสนุกสนานเมื่อครู่หายไปหมด เพราะเคยได้ทราบว่าร้านเหล่านี้เคยช่วยกันจับคนขโมยของในร้านได้ แล้วมาช่วยกันซ้อมคนละทีสองที จนคนร้ายสะบักสะบอมมีอาการปางตายก่อนที่ตำรวจจะมาถึง แต่ก็ยังมีร้านบางร้านที่ไม่ยอมร่วมมือด้วย เพราะเห็นว่าทำโทษเกินเหตุ อุตส่าห์ไปตามตำรวจมาก่อนที่คนร้ายนั้นจะฟุบลงคามือคาเท้าพวกเหล่านั้น ฉะนั้นจึงคิดว่าร้านเหล่านั้นที่ชั่วก็มีที่ดีก็มาก มิใช่ชั่วไปหมดทุกร้าน

    บัดนี้ ข้าพเจ้าก็อยู่ในฐานะไม่ผิดอะไรกับขโมยคนนั้น ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรดี ข้าพเจ้ากำลังคิดแก้ปัญหา พยายามสงบสติอารมณ์คอยดู เขาจะพูดกล่าวหาอะไรก่อน จะพูดโต้ตอบขึ้นหรือหนีก็เท่ากับกินปูนแล้วร้อนท้อง ได้แต่นึกอยู่ในใจ เรามีความบริสุทธิ์ไม่ได้มีจิตใจทุจริตคิดโกงใคร เราก็ไม่ต้องกลัว แต่.....แล้วก็เห็นเจ้ามือคนนั้นยืนพูดว่า

    “พี่น้องทั้งหลาย เมื่อคืนนี้พวกเราโดนนักเลงดี พวกเราต้องได้รับความเสียหายไปไม่น้อย บัดนี้เราได้ตัวแล้ว และอยากอธิบายวิธีโกงให้พี่น้องทั้งหลายทราบเสียก่อน คือเขาใช้ขี้ผึ้งสีปากติดไว้ที่นิ้ว เวลาล้วงลงไปในไหก็ไปป้ายไว้ตลับหนึ่ง อันที่ป้ายขี้ผึ้งนั้นเมื่อเปิดออกมาเป็นตัวไหนก็จำไว้ เมื่อเอาใส่ลงไปในไหใหม่ เมื่อเราเขย่าแล้ว เขาก็จะล้วงไปควานหาตลับที่เขาป้ายไว้ เมื่อขึ้นมาเปิดดูก็ต้องถูกทุกครั้งเป็นธรรมดา นี้เป็นเล่ห์เหลี่ยมของคนโกง เราจึงเสียรู้นักเลงดี.....”

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  7. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--> พอข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตกใจ โกรธแค้นและแสนละอาย แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ใครจะรู้เห็นกับข้าพเจ้าด้วยเหตุผลที่เขายกขึ้นมาพูดนี้ ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลย เหมือนจะชี้ให้เห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนโกง ผู้อื่นไม่รู้ความจริงคงเข้าใจว่าเป็นคนโกงแน่ นึกสงสารเพื่อนที่ข้าพเจ้าชวนมาด้วยต้องมารับเคราะห์ด้วยกันแท้ๆ หันไปดูเพื่อนเห็นหน้าแดงด้วยความโกรธและอายเหมือนๆ กัน มองดูรอบตัวก็เห็นชายฉกรรจ์ รูปร่างล่ำสันใหญ่โตกว่าข้าพเจ้ามาก มายืนคอยคุมเชิงอยู่ประมาณเกือบสิบคน ทุกคนไม่ได้ใส่เสื้อมองเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัด

    เมื่อจะเทียบกันแล้วเราเสียเปรียบมาก แม้จะสู้เพียงตัวต่อตัว ข้าพเจ้าก็หมดทางชนะทางกำลังเสียแล้ว ข้าพเจ้ารู้ตัวว่ากำลังเข้าที่คับขัน สิ่งแรกที่ข้าพเจ้านึกถึงก่อนคือ อาจารย์ใหญ่ เพราะท่านเมตตาเอ็นดูข้าพเจ้ามาก ท่านเรียกข้าพเจ้าว่า “พลเมืองดี”

    บัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโกง ซึ่งตรงกันข้ามกับพลเมืองดี ข้าพเจ้าใจหายคิดว่าจะมองหน้าอาจารย์ใหญ่ได้อย่างไร แสนจะอับอายขายหน้าที่มีคนเขาชี้หน้าว่าเป็นคนโกง เพราะพึ่งได้รับคำสั่งสอนอบรมมาไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง เสียงของท่านยังแว่วอยู่ในหู ท่านคงเสียใจถ้าทราบว่าศิษย์ของท่านกำลังจะนำความเสื่อมเสียไปให้ ข้าพเจ้าเสียใจจนเผลอตัวนึกว่าอาจารย์มายืนอยู่ตรงหน้า พูดขึ้นในลำคอว่า “อาจารย์ครับ ผมเป็นคนบริสุทธิ์ ผมไม่มีความผิดเลย พวกนั้นกำลังจะทำลายอนาคตและชื่อเสียงของผม”

    กำลังจะสะอื้นเสียใจ ฉุกคิดได้สติรู้ตัวขึ้นมา ก็กัดฟันมานะ ลูกผู้ชายไม่ยอมให้ความอ่อนแอเป็นภัยเข้ามาทำลายความเข้มแข็งในจิตใจได้เป็นอันขาด หาหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นภัยเสียก่อนดีกว่า นึกคิดเท่าใดว่าจะหาทางออกให้ดีเท่าใดนึกไม่ออก ที่สุดก็นึกได้ว่าเมื่อเด็กได้เคยอ่านหนังสือจักรๆ วงศ์ๆ ซึ่งผู้ใหญ่เคยไปเช่ามาอ่านไม่เว้นแต่ละคืน เพราะผู้เฒ่าผู้แก่ชอบฟัง จนข้าพเจ้าจำขึ้นใจว่า พวกนางในเรื่องเมื่อที่อับจนคับขัน ถูกจำจองหรือนำไปฆ่า ถ้ามีความซื่อสัตย์สุจริตบริสุทธิ์อยู่ในตัวแล้ว จะเสี่ยงสัตย์อธิษฐาน แล้วมีปาฏิหาริย์มีผู้วิเศษหรือเทวดามาช่วยให้พ้นภัยไปได้

    เราก็มีความบริสุทธิ์สุจริตเป็นหลักทุนเดิมอยู่แล้ว จะลองอธิษฐานดูเป็นความหวังสุดท้าย ข้าพเจ้าเริ่มใช้จิตสงบนึกกราบไหว้พระทุกทิศแต่ในใจว่า ข้าพเจ้าพึ่งทำบุญให้ทานเมื่อครู่นี้เอง ขอให้บุญกุศลและผลของความบริสุทธิ์สุจริตไม่เคยคิดโกงใคร ด้วยผลแห่งความบริสุทธิ์สุจริตของข้าพเจ้า ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นภัยอันตรายในคราวนี้ด้วย เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานแล้วก็เกิดความมั่นใจขึ้นมาว่า ความบริสุทธิ์ที่เรามีอยู่ในจิตใจจะต้องช่วยเราแน่ เพราะเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เคยพูดเสมอ ยังจำได้ดีว่า “อันความซื่อสัตย์และความบริสุทธิ์นั้น ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ จะดำน้ำลุยไฟก็ไม่เป็นอันตราย”

    เกิดความเชื่อมั่นในใจ ความหวาดกลัวหายไป จิตใจค่อยปกติขึ้น คอยดูว่าพวกนั้นจะทำอย่างไรต่อไป ทันใดนั้นได้ยินเสียงเจ้ามือพูดขึ้นว่า “คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โปรดออกไปเสียก่อน ประเดี๋ยวจะพลอยเจ็บตัวไปด้วย”


    ในหมู่นั้นมีอยู่หลายคนที่อยู่ในวงล้อมกับข้าพเจ้า ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างก็ไม่อยากเจ็บตัวกับข้าพเจ้า จึงแหวกวงล้อมของชายเหล่านั้นออกไป ข้าพเจ้าเห็นหน้าเพื่อนก็สงสารแอบกระซิบว่า“ลื้อรีบออกไปให้พ้นที่นี่เถิดเพื่อน เขาคงไม่สนใจลื้อ เขาตั้งใจเล่นงานอั๊วคนเดียว ปล่อยอั๊วไว้คนเดียวดีกว่า เจ็บคนเดียวดีกว่าเจ็บสองคน รีบออกไปเสีย”

    เพื่อนผู้นั้นพูดด้วยเสียงโกรธว่า “ไม่ไปอั๊วจะอยู่กับลื้อ อั๊วไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว อั๊วไม่ยอมทิ้งลื้อเป็นอันขาด”

    ข้าพเจ้าเห็นใจเพื่อนในยามยาก ตื้นตันใจขึ้นมาทันที ใจคอของเพื่อนเด็ดขาด จึงบอกว่า

    “ถ้าอย่างนั้น ลื้อกับอั๊วมาตายด้วยกัน เตรียมหันหลังเข้าหากัน”

    เวลานั้นคนอื่นๆ ได้ทยอยกันหลีกออกไปหมด และมีชายอายุคราวลุงผู้หนึ่งรู้สึกเห็นอกเห็นใจเรามาก แกออกไปเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่จะออกไปบ่นว่า “อ้ายพวกนี้ชักหาเรื่องรังแกเด็กแล้ว ประเดี๋ยวคงได้เรื่องแน่”

    เสียงพวกเจ้าของร้านตวาดว่า “คนอื่นไม่เกี่ยวข้องไม่ต้องพูดมาก ประเดี๋ยวจะเจ็บตัวไปด้วย”

    ลุงผู้นั้นแกแหวกคนมุงออกไปด้วยความโกรธ ก่อนที่จะลับตัวแกหันมาตะโกนบอกเราว่า

    “ทำใจดีๆ ไว้หลานชาย”

    ทำให้พวกที่ล้อมอยู่นั้นตาเขียว มองตามเสียงของแกด้วยความโกรธ ข้าพเจ้าจะตกอยู่ในอันตรายก็อดขอบใจแกเสียมิได้ แต่แกยังมีจิตใจเป็นธรรม ส่วนข้าพเจ้าเขากลับไม่ยอมให้ออก จึงรู้แน่แล้วว่าเรากำลังอยู่ในที่คับขัน แล้วก็เห็นเจ้ามือยืนขึ้นพูดต่อไปว่า

    “เอาละ ทีนี้เราจะชี้ตัวการให้ดู”

    เสียงคนที่ล้อมและห่างออกไปร้องถามว่า “ไหน คนไหน”

    คนที่ยืนพูดชี้มายังตัวข้าพเจ้าแล้วพูดว่า “นี่ไงล่ะ เห็นไหม ถึงจะมีปีกก็หนีไม่พ้นแน่”

    ข้าพเจ้าโกรธจนตัวสั่น ตะโกนออกไปด้วยความแค้นใจว่า “ไม่จริง ฉันไม่ใช่คนโกง ฉันไม่รู้เรื่อง”

    เสียงเจ้าคนที่ยืนพูดหัวเราะ แล้วพูดต่อไปอย่างใจเย็นและเย้ยอย่างคิดว่าตัวเองเป็นต่อ “คนโกงนั้นไม่มีใครรับว่าตัวโกงหรอก เดี๋ยวคงรู้ดี”

    แล้วทำเป็นหันไปพูดเป็นเชิงหารือกับพวกของตัวเองว่า “เราจะจัดการอย่างไรกับคนโกงดี”

    เสียงพวกนั้นบอกว่า “สั่งสอนตามเคยให้มันรู้จักพวกเราเสียบ้าง”

    ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็รู้ว่า นาทีสำคัญคับขันที่สุดในชีวิตกำลังจะมาถึงแล้ว แม้ว่าเราจะมีเพียงสองคน จะต้องต่อสู้ป้องกันตัวกับคนจำนวนนับสิบ เราจะต้องยอมแลกเพราะไม่มีทางอื่นจะดีกว่านี้ เราจะไม่ยอมให้มันทำเล่นข้างเดียวง่ายๆ เราไม่ยอมแน่

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  8. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    เสียงตะโกนถามมาว่า “มันมีอาวุธหรือเปล่า”

    แล้วมีคนรับร้องต่อไปว่า “เห็นจะไม่มี”

    ทันใดนั้นก็มีเสียงแสดงอำนาจร้องบอกว่า “เราลงมือจัดการได้เลย”

    เสียงนั้นยังไม่ทันขาดลง ก็มีเสียงตวาดซ้อนขึ้นมาว่า “หยุดนะ ! ใครจะแตะต้องตัวคนทั้งสองไม่ได้ ฉันยืนทนฟังแกมานานแล้วจนฉันทนไม่ไหว ฉันรู้ว่าคนทั้งสองบริสุทธิ์”

    คนที่กำลังจะรุมล้อมขยับเข้ามาจับตัวข้าพเจ้า ต่างชะงักและหันไปทางเสียงนั้น ต่างก็หน้าซีดไปตามๆ กัน ชายคนนั้นตวาดอีกว่า “ถอยไปให้พ้น”

    พอพวกนั้นห่างตัวข้าพเจ้าออกไปตามคำตวาดแล้ว ข้าพเจ้ามองเห็นทหารเรือชั้นจ่าโทคนหนึ่งเป็นผู้กล่าวถ้อยคำเหล่านั้น และมีพลทหารเรือประมาณ ๗ - ๘ คน ยืนล้อมอยู่รอบๆ หลังผู้ที่ล้อมข้าพเจ้าอยู่อีกชั้นหนึ่ง พวกทหารเรือเหล่านี้เตรียมตัวจะเล่นงานผู้ที่จะจับตัวข้าพเจ้าทันที

    ข้าพเจ้ามองเห็นพลทหารเรือ ซึ่งก่อนหน้านี้กระจัดกระจายไปตามร้านอื่นๆ กำลังวิ่งกรูรวมกันเข้ามาเป็นจำนวนสิบๆ เข้ามายืนล้อมในร้านที่ข้าพเจ้าอยู่ เพราะคิดว่าคงจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกของตัวเอง ในไม่ช้าบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยทหารเรือ ต่างก็อยากรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็มุงถามกัน เจ้ามือคนที่ประนามข้าพเจ้าและพวกที่กำลังจะจับตัวข้าพเจ้านั้น เห็นได้ชัดว่าต่างตกใจหน้าซีดเผือดไปตามๆ กัน ก่อนหน้านี้พูดเสียงคึกคักวางอำนาจอวดโตอยู่เมื่อครู่นี้ บัดนี้สิ้นเสียงแล้ว พูดเสียงอ่อนๆ ว่า

    “ถ้าคุณเห็นว่าสองคนนี้บริสุทธิ์ ผมก็ไม่ว่าอะไร ผมไม่ทำอะไรอีก”


    ทันใดนั้นพ่อลุงซึ่งเป็นผู้ที่เห็นใจเราเมื่อครู่นี้ ก็แทรกออกมาจากพวกที่มุงดูพูดขึ้นว่า

    “ถ้าพวกเขาจะโกง เขาคงไม่เล่นแทงพวกลื้อทีละสิบสตางค์ และพวกสิบแปดเขาไม่ใช้คนเพียงสองคนอย่างนี้ จำเอาไว้ด้วย บอกเอาไว้แล้วว่าลื้อขืนทำอันตรายคนที่บริสุทธิ์ไม่มีความผิดแล้วประเดี๋ยวร้านพัง กว่าตำรวจจะมาข้าวของฉิบหายหมด”

    ทุกคนเงียบเสียงไม่มีใครโต้ตอบ ทันใดนั้นก็มีเสียงจีนสูงอายุผู้หนึ่งเดินออกมายกมือไหว้จ่าโทผู้นั้น ไหว้แล้วไหว้อีก ปากก็พูดเสียงสั่นๆ ว่า “โต้หลงน่ออานายเถ้า อย่าให้มีเรื่องเลย ผมขอโทษเถิด อย่าให้มีเรื่องเลย”

    ข้าพเจ้าเห็นแกพนมมือยกขึ้นยกลงตลอดเวลาที่พูด จ่าโทผู้นั้นตอบว่า “อั๊วไม่ได้เป็นคนหาเรื่อง พวกลื๊อต่างหากที่หาเรื่องเอง อั๊วเป็นคนชอบความยุติธรรม ถ้าเขาเป็นคนผิดจริงๆ อั๊วจะช่วยลื้อจับให้ แต่นี่เขาเป็นคนบริสุทธิ์ พวกลื้อหาเรื่องเขาก่อนนี่ บ้านเมืองมีขื่อมีแปจะใช้อำนาจอย่างนี้ไม่ได้”

    จีนชราผู้นั้นก้มหัวลงอย่างยอมรับผิด จ่าโทผู้นั้นหันมายิ้มให้กำลังใจกับข้าพเจ้า แสดงความสงสารและเห็นใจว่า “ตกใจมากไหมน้องชาย เราเป็นคนบริสุทธิ์ไม่ต้องกลัว วันนี้ฤกษ์ไม่ดีแล้ว กลับบ้านเสียก่อนดีกว่า ไหนมีบัตรเท่าไหร่ไปขึ้นเงินเลย”

    พลางพูดกับจีนชราผู้นั้นว่า “เอ้า ! จัดแจงคืนเงินตามราคาบัตรนั้นให้เขา เป็นอันหมดเรื่องกันเสียที ต่อไปอย่าทะนงตัวไปเที่ยวข่มเหงคนบริสุทธิ์เช่นนี้อีกนะ! อย่าตั้งศาลเตี้ยเอาเอง จำไว้”

    เราทั้งสองส่งบัตรที่เล่นได้ให้จีนชราผู้นั้น แกเดินงกๆ เงิ่นๆ ด้วยความกลัวจะมีเรื่อง หยิบเงินคืนให้เราทั้งสองคนมือสั่นตามราคาในบัตร ข้าพเจ้าพูดอะไรไม่ถูก รู้สึกว่าเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ข้าพเจ้างงไปหมดคล้ายกับว่ากำลังฝันร้ายแล้วก็ตื่นขึ้น ก่อนที่จะได้พูดอะไรกับจ่าโทผู้นั้นเพราะยังไม่หายตื่นเต้น เพียงแต่พูดว่า “ขอบคุณครับ” เพราะนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร

    จ่าโทผู้มีคุณผู้นั้นพูดขึ้นอีกด้วยความห่วงใยว่า “วันนี้อย่าเที่ยวต่อเลยนะน้องชาย กลับบ้านเถิด บ้านน้องชายอยู่ไหนล่ะ ?”

    ข้าพเจ้าบอกที่อยู่ให้ทราบด้วยเสียงสั่น จ่าโทผู้นั้นพูดขึ้นว่า “โอ ถ้าอยู่ไกล และยังต้องข้ามฟากไปอีก”

    ความจริงสมัยนั้นรู้สึกว่ากรุงเทพฯ กว้างขวางใหญ่โตมากเพราะการคมนาคมไม่สะดวกนัก จะไปไหนก็เสียเวลาเป็นชั่วโมงๆ ไปมาหาสู่กันยากลำบาก ฉะนั้น ตำบลและถนนบางสายจึงมีคนรู้จักไม่ค่อยมากนัก นอกจากตำบลที่ตนอยู่และใกล้เคียง จากนั้นก็เป็นสถานที่สำคัญที่ขึ้นหน้าขึ้นตา

    จ่าโทผู้นั้นมีหน้าตายิ้มแย้มและพูดด้วยอารมณ์ดี เห็นจะเป็นเพราะแกมีความสุขสบายใจเหมือนได้ทำบุญกุศล คล้ายว่าได้ช่วยลูกแกะสองตัวที่เข้าไปอยู่ในฝูงสุนัขป่าที่กระหายเลือดให้รอดปลอดภัยออกมาได้ แกร้องบอกกับพวกทหารเรือที่ยืนสีหน้ายิ้มแย้ม

    “เอ้า ! พวกเราช่วยพาน้องชายสองคนนี้ไปที่ท่าเรือข้ามฟากหน่อยซี”

    ข้าพเจ้ายกมือทำความเคารพ แล้วรีบเดินตามพลทหารเรือสองนายที่ได้แสดงตัวออกมาว่า จะเป็นผู้คุมกันไปส่งเราทั้งสองที่ท่าเรือจ้าง พอถึงท่าเรือก็พอดีกับเรือกำลังจะออกจากท่า ข้าพเจ้าไม่ลืมที่จะขอบคุณและลาทหารเรือผู้ใจดีทั้งสอง ลงเรือจ้างก็แจวออกมุ่งข้ามฟากทันที พอเรือออกห่างจากท่าก็เห็นพลทหารทั้งสองกลับเข้าไปในบริเวณงานนั้นอีก เมื่อเรือจ้างถึงกลางแม่น้ำ ก็ได้ยินเสียงลุงที่แจวเรือผู้นั้นถามขึ้นว่า

    “เมื่อกี้นี้มีอะไรเกิดขึ้นในงานนะ เห็นพวกทหารเรือวิ่งกันกรูทีเดียว คงจะเล่นงานกันอีกกระมัง !”

    ข้าพเจ้าตอบว่า “เปล่าหรอกลุง ทหารเรือเขารักษาความยุติธรรม ไม่ยอมให้มีการรังแกกันเกิดขึ้นในวันนั้น”

    เสียงลุงแจวเรือจ้างแกหัวเราะหึๆ ในลำคอ พลางพูดว่า “อย่างนั้นหรอกหรือ นึกว่าเล่นงานกันเข้าอีกแล้วล่ะ”

    เวลานั้นข้าพเจ้าไม่สนใจอะไรนอกจากจะนึกตำหนิตัวเอง ที่ลืมถามถึงชื่อจ่าโททหารเรือผู้นั้นซึ่งมีคุณไว้ในความทรงจำ เรือกำลังจะเข้าจอดที่ท่าแล้วจึงนึกขึ้นได้ เราทั้งสองพูดถึงบุญคุณผู้ที่ช่วยเราในนาทีสุดท้ายให้พ้นภัย ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็ไม่ได้แตะต้องการพนันตกเบ็ดอีกต่อไปเลย จนกระทั่งทางการยกเลิกไม่อนุญาตให้เล่นเด็ดขาดต่อมา

    หากท่านผู้นั้นและเพื่อนๆ ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อท่านได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ขอให้ทราบว่าเด็กวัยรุ่นในเวลานั้น บัดนี้ย่างเข้าวัยชราแล้วกำลังนึกถึงชีวิตในอดีต ยังจดจำได้ดีและยังนึกถึงบุญคุณที่ท่านเหล่านี้ได้ช่วยเหลือในเหตุการณ์วันนั้นเสมอ หากหนังสือเล่มนี้จะมีที่ดีที่เป็นกุศลอยู่บ้าง ข้าพเจ้าขออธิษฐานอุทิศส่วนกุศลบุญนั้น แก่ทุกๆ ท่านที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุในครั้งนั้น แม้แต่ผู้มุ่งร้าย อันนี้ทั่วถึงกันเถิด เพราะข้าพเจ้ามิสามารถที่จะตอบแทนบุญคุณในทางอื่นได้

    เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำโบราณเสมอว่า “ความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ย่อมตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ จะเอาไปดำน้ำลุยไฟก็ไม่เป็นอันตราย” คนไม่เห็นความบริสุทธิ์ พระท่านย่อมรู้ ชีวิตคือความฝัน เราทำดีฝันดี เราทำชั่วฝันร้าย



    ................... เอวัง ...................


    Credit ::

    [​IMG]
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2012
  9. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]-->อดีตชาติ
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒



    ที่สมาคมแห่งหนึ่ง หลังจากประชุมกันตามธรรมดาทุกวันพฤหัสบดีก่อนเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยังมีเวลาหันมาถกกันถึงเรื่องกฎของความจริงเรื่องกรรมในยุคปัจจุบัน ก็มีผู้สนใจและเชื่อกันมาก แต่หลายท่านยังข้องใจในเรื่อง “กรรมอดีตชาติ” หรือกรรมเก่าชาติก่อนติดตามมาสนองในชาตินี้

    เพราะบางท่านในชาติปัจจุบันก็ประพฤติตัวดี ไม่น่าจะรับเคราะห์กรรมหนักเลย จึงมีข้อสงสัยว่าจะพูดอย่างกำปั้นทุบดิน เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นหาสาเหตุไม่ได้ ก็มักจะเหมาให้เป็นกรรมของอดีตชาติ จึงย่อมมีทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า “กรรมในอดีตชาติจริง” แต่อีกฝ่ายยังสงสัยเชื่อไม่สนิทนัก บางท่านก็ไม่เชื่อเลย จึงมีการถกกันขึ้นในหมู่ผู้ที่ได้เคยอ่านหนังสือในชุด “กฎแห่งกรรม”

    เมื่อเพื่อนที่เป็นฝ่ายเชื่อเรื่องกรรมในอดีตชาติมีจริง ทั้งเป็นเลขานุการณ์ของสมาคมนั้น มาเล่าให้ฟังแล้ว ผู้เขียนกับเพื่อนว่าเป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน ย่อมจะมีความเห็นแตกต่างกัน การที่ถกกันเพื่อหาความจริงและเหตุผลในเรื่องนี้ ก็เป็นนิมิตที่ดีเพราะเป็นทางที่จะนำไปพิจารณาเห็นแจ่มแจ้งในอนาคต วันหนึ่งข้างหน้าก็คงจะคลี่คลายข้อสงสัยให้ชัดแจ้งอย่างกับขาวกับดำ เมื่อนั้นคงจะปัดข้อสงสัยต่างๆ หมดไปเอง

    แต่ก็เหมือนกับอภินิหาร เผอิญต่อมาผู้เขียนก็ได้เขียนจดหมาย พร้อมทั้งบันทึกข้อความเกี่ยวแก่กรรมในอดีตชาติ ซึ่งมีหลักฐานเหตุการณ์พอจะเชื่อได้ไม่มีข้อสงสัย หากท่านได้อ่านและพิจารณาดูให้ถ้วนถี่ ก็คงจะคลี่คลายความสงสัยลงได้บ้าง เพราะเรื่องได้เกิดขึ้นแล้ว และได้ผ่านไปไม่นานวัน ยังมีผู้รู้เห็นเป็นพยานมีหลักฐานอีกมาก นับว่าเหตุบังเอิญหรืออภินิหาร ผู้เขียนได้รับเรื่องนี้มาได้ทันเวลาหลังจากได้ทราบว่า มีคนส่วนมากที่ถกกันถึงกรรมในอดีตชาติมีจริงหรือไม่

    ในบันทึกที่ท่านเจ้าของเรื่องส่งมาได้เล่าว่า ข้าพเจ้า (หมายถึงผู้บันทึก) มีเพื่อนนายทหาร ผู้นิยมการล่าสัตว์เป็นกีฬา ที่ทำให้สนุกสนานเพลิดเพลิน ตื่นเต้นผจญภัยตามอารมณ์ชอบเป็นชีวิตจิตใจ ข้าพเจ้าอยากจะห้ามปราม ชี้ให้เห็นบาปบุญคุณโทษในเรื่องกรรม แต่คิดว่าน้ำหนักคำพูดคำเตือนและเหตุผลยังไม่พอยังเบา เพื่อนก็คงไม่เชื่อแน่ จึงหาโอกาสให้เพื่อนได้พบพระอาจารย์ที่มีคุณธรรมสูง เพื่อจะได้อบรมสั่งสอน ให้เกิดเห็นผิดชอบเกิดบุญบาป มีศีลธรรมมีความประพฤติปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของศีลต่อไป สมกับเป็นผู้ถือพุทธศาสนาเป็นหลักปฏิบัติ

    หากมนุษย์เราไม่เข้าข้างตัว ได้พิจารณาถึงผลตามหลักธรรมชาติแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่าคงจะรู้ว่าสัตว์ทุกชนิดที่เกิดมาในโลก นับแต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่สูงสุดตลอดจนสัตว์เลื้อยคลาน ต่างมีสัญชาตญาณประจำอยู่ด้วยกันทุกรูปนามสิ่งนั้นคือ “ความกลัว” เราจะเห็นได้ว่าสัตว์ที่เราเลี้ยงอยู่ในบ้าน เพียงเราจะหยิบไม้ขึ้นมาทำท่าจะตีเท่านั้น จะเป็นแมวหรือหมาซึ่งมีความไวต่อความรู้สึก ก็จะทำให้มันตกใจวิ่งเผ่นหนีตามสัญชาตญาณแห่งความกลัว ยิ่งสัตว์ป่ามีความตื่นกลัวอยู่แล้ว เพราะมันเคยพบแต่มนุษย์คอยล่าทำลายมัน

    ผิดกับพระภิกษุบางรูปท่านได้แผ่เมตตาธรรมให้มันจึงทำให้มันเข้าหาพระ เพราะสัญชาตญาณรู้ว่าไม่มีภัยอันตรายใดๆ เมื่ออยู่ใกล้พระนี่ก็เห็นได้ว่า สัตว์ทุกชนิดย่อมมีความหวาดกลัวภัยเป็นเจ้าเรือนอยู่แล้ว แต่มันก็สามารถรู้ว่าใครมีเมตตาธรรมแก่มัน หากเรานักล่าสัตว์จะพิจารณาดู ก็จะเคยเห็นแก่ตารู้แก่ใจว่า ขณะที่บุกเข้ายิงสัตว์ป่า เสียงปืนทำให้มันแตกฝูงวิ่งหนีกระเจิง เพราะความหวาดกลัว ตัวลูกพลัดกับตัวแม่ ตัวผู้ผลัดตัวเมีย วิ่งหนีตาลีตาลานจนสุดชีวิต ขอเพียงให้ชีวิตได้รอดตายเท่านั้น และบางตัวถูกยิงจนตายก็ตายไป ที่ไม่ตายก็วิ่งหนีต่อไป บางตัวยังไม่ตายเพียงแต่ถูกยิงบาดเจ็บ จะวิ่งโซซัดโซเซไปหาที่หลบภัยในพุ่มไม้ที่ลับตา ออกมาหากินไม่ได้ แข้งขาถูกลูกปืนบาดเจ็บพิการ ได้รับความลำบากทนทุกข์ทรมานจนกว่าจะหายหรือตายไป

    หากเราอยากเป็นนักล่าสัตว์ป่า ก็ควรจะพิจารณาดูตัวเองก่อน แล้วตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เราทำเช่นนี้ผิดหรือถูก เราสร้างบุญหรือก่อบาป เมื่อคิดยังไม่ตกก็ย้อนไปคิดว่า เอาความรู้สึกทางจิตใจของเราไปสวมวิญญาณของสัตว์ที่เราตามล่านั้น สมมุติว่าสัตว์นั้นกลับเป็นคนตามล่าเรา หาความสนุกสนานตามอารมณ์เหมือนเราหยิกเนื้อคนอื่นข้างเดียว เขาเจ็บเราไม่เจ็บลองให้เขาหยิกเนื้อเราดูบ้าง แล้วเราจะมีความรู้สึกอย่างไร อย่าลืมว่าเราก็ถือศาสนาพุทธ แต่เราอยู่ในขอบเขตของศีลธรรมหรือเปล่า เราได้ปฏิบัติอะไรผิดศีลธรรมข้อใดบ้าง อย่าปล่อยอารมณ์สร้างกรรมไม่มีขอบเขต อย่างหลงใหลสร้างบาปว่าเป็นกีฬาของมนุษย์

    ให้ความเป็นธรรมอย่ารังแกเบียดเบียนสัตว์ มันก็อาศัยอยู่ในป่าที่มีขอบเขตก็มีความสุขแก่ตัว บุกทำลายมันจนจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว ถ้าเราได้เอาหลักศีลธรรมมาคิดพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนแล้ว เราก็จะเกิดความสมเพชเวทนาสงสาร คงยิงไม่ลงปล่อยให้มีชีวิตอยู่ตามป่าตามดงตามธรรมชาติ อย่าไปรบกวนเบียดเบียน ให้มันอยู่ด้วยความสงบในป่าต่อไป เราก็สบายใจเมื่อมีอายุก็ไม่ต้องกลัวว่ากรรมจะตามสนอง เพราะไม่ได้สร้างกรรมไว้วัยหนุ่ม

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  10. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]-->ได้บันทึกไว้ว่า คืนนั้นเป็นต้นเดือนวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๒ ข้าพเจ้าพร้อมด้วยนายทหารอดีตเป็นนักนิยมไพรชอบล่าสัตว์ ถือว่าเป็นกีฬาของลูกผู้ชาย อีกท่านหนึ่งเป็นนายทหารแม่นปืน ได้รับเหรียญทองและเหรียญเงินเท่าที่รู้ไม่ต่ำกว่า ๖ อัน เราต่างก็ถกกันถึงเรื่องการล่าสัตว์ หรือคนฆ่าสัตว์ว่าเป็นคนสร้างบาปสร้างกรรมหรือไม่ ตกลงคืนนั้นเราจึงพากันขึ้นรถพร้อมทั้งคนขับออกจากที่พัก คืนนั้นเป็นคืนแรม ๑ ค่ำ ดวงจันทร์ยังไม่รู้สึกเว้าแหว่ง กำลังทอแสงสว่างเต็มดวง เพราะเป็นเดือน ๕ ข้างไทย แม้อากาศจะอบอ้าวบ้างในเวลากลางวัน แต่เวลากลางคืนก็เย็นพอสบาย

    เมื่อเดือนหงายแจ่มกระจ่างสว่างทั่วท้องฟ้า พื้นแผ่นดินมีภูเขาและดงไม้เป็นทิวทัศน์ใต้แสงเดือนเต็มดวง ย่อมเป็นอาหารทางตาและทางจิตใจสำหรับผู้มีความรู้สึกเป็นปกติ สำหรับนักล่าสัตว์ก็ยิ่งนึกไกลออกไปถึงกลางดงกลางป่า นึกถึงพวกสัตว์หรืออย่างน้อยก็นึกถึงพวกกระต่ายป่าออกมาเล่นแสงจันทร์ จะได้ซ้อมมืออย่างเพลิดเพลินสนุกสนานตามอารมณ์ แล้วแต่ความรู้สึกนึกคิดแต่ละบุคคล ส่วนพวกที่เป็นโสด เวลาเช่นนี้ก็มักจะฝันถึงความรักอันแสนหวานกับคนรักภายใต้แสงเดือน อันมีแต่ความสดชื่น เวลาและสิ่งแวดล้อมทั้งภูเขาลำเนาไม้ภายใต้แสงสว่าง ย่อมจะฝันถึงความสุขด้วยกัน ไม่ว่าหญิงชายทุกรุ่นทุกวัย ผู้สูงอายุก็มักจะคิดถึงความหลังที่สดชื่นครั้งหนึ่งในชีวิตใต้แสงเดือน

    การที่ข้าพเจ้าพร้อมทั้งคนขับและเพื่อนๆ มุ่งหน้าออกจากที่พักเมืองชลบุรี มิได้มุ่งหมายเข้าไปในกลางดงกลางป่า เพื่อล่ากระต่ายที่ออกมาเล่นแสงเดือน เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่ชอบสร้างบาป เบียดเบียนสัตว์ หรือมุ่งหน้าจะไปเที่ยวบ้านสาวคนรักเพราะแสงเดือนทำให้เกิดอารมณ์สดชื่น เราขับรถออกจากค่ายที่พักมุ่งหน้าไปทางสิงห์บุรีทันที มุ่งหวังจะพาเพื่อนทั้งสองตรงไปนมัสการท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) เจ้าอาวาสสำนักวิปัสสนา วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี

    คืนนั้นนับว่าพวกเราโชคดี เพราะได้พบท่านพระครูอยู่ตามลำพัง ปกติธรรมดาแล้วน้อยนักจะได้มีโอกาสเช่นนี้ เพราะท่านมีแขกมาหาเสมอเป็นประจำ หาเวลาว่างยาก เมื่อเราพากันเข้าไปกราบนมัสการแล้ว ก็ได้มีโอกาสสนทนาที่ชั้นล่างกุฏิของหอประชุม พระประสิทธิ์ได้บริการน้ำร้อนน้ำชาตามเคยทุกครั้งที่ข้าพเจ้ามาถึง
    พวกเราได้สนทนากับท่านตามควรแล้ว ก็เริ่มถามเรื่อง “ผลของกรรม” ท่านพระครูก็ได้กรุณาอธิบายและยกตัวอย่างมีเหตุผลและตัวอย่างที่มีมาแล้ว ทำให้บางคนนึกถึงเมื่อครั้งวัยรุ่นคะนองมือ ดูภูมิใจเมื่อได้ลองฝีมือทางยิงปืน อ่อนทางศีลธรรม แก่ในการสร้างบาปสร้างกรรม

    ในเวลานั้นเราไม่เคยคิดถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษ ดูเหมือนจะไม่เคยคิดถึงเรื่องศีลธรรม เมื่อเพื่อนชักชวนไปไหนก็ไปตามอารมณ์ เห็นว่าสนุกดี ความเวทนาสงสารไม่เคยคิดอยู่ในความรู้สึก แม้เจ้าสัตว์เคราะห์ร้ายเมื่อถูกลูกปืนยังไม่ตายลงทันที มันยังตะเกียกตะกายวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน วิ่งหนีจนสุดกำลังเพื่อเอาชีวิตรอด เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เรากลับเห็นเป็นของสนุกสนานจิตใจชื่นบาน

    มาถึงปัจจุบันนี้ เมื่อได้ฟังหลักธรรมพูดถึงกรรมของท่านพระครูแล้ว ก็ทำให้คิดถึงเวลานั้นก็เศร้าสลดใจ เราไม่นึกว่าจะเป็นคนเหี้ยมโหดดุร้ายเบียดเบียนสัตว์ถึงเพียงนี้ เพราะเราลืมตัว เมื่อเพื่อนนักแม่นปืนได้ถามท่านพระครูว่า “การฆ่าสัตว์เป็นกีฬาที่มนุษย์นิยมไพรชอบล่านั้น จะมีบาปหรือไม่เพราะบางลัทธิเขาบอกว่า การฆ่าสัตว์ให้ตายเพื่อนำมาปรุงอาหารนั้น เขาถือว่าได้อนุเคราะห์ช่วยให้สัตว์ไปเกิดเป็นคน”

    ท่านพระครูท่านก็ตอบว่า “ทางพุทธศาสนานั้นผิดศีลข้อแรก เพราะพวกสัตว์อยู่ในป่าหากินตามสภาพของเขา เราก็ควรอยู่ส่วนเรา แต่นี่เรากลับแบกปืนเข้าป่าไปเที่ยวรุกรานรังควานเขา เบียดเบียนฆ่าสัตว์ให้ตาย แล้วเราก็คิดปลอบตัวเอง เรารู้ได้อย่างไรว่าสัตว์ที่เราฆ่าจะต้องเกิดมาเป็นคน เข้าใจไปคนเดียวเพราะสัตว์มันพูดไม่ได้ มนุษย์พูดได้จึงพูดข้างเดียวตามใจชอบ เช่นเมื่อหลายปี บริเวณรอบๆ วัดเกิดน้ำท่วมในป่าละเมาะ พวกกระต่ายป่าต่างก็แตกตื่นหนีน้ำหาที่พึ่งเพื่อให้ชีวิตรอดตาย ที่สุดพวกกระต่ายเหล่านั้นก็หนีน้ำมาพึ่งอาศัยในวัด เพราะเป็นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง

    แม้จะรู้ว่าอยู่ใกล้มนุษย์ใจโหดย่อมเป็นภัยอันตราย แต่พวกกระต่ายก็ไม่มีทางเลือกจะหนีไปหลบซ่อนในที่ปลอดภัยกว่านี้ ก็ต้องตัดสินใจเข้าหาวัดเป็นที่พึ่ง แม้จะรู้ว่าเมื่อพบมนุษย์ใจชั่วเข้าจะต้องตาย แต่ก็ต้องเสี่ยงเพราะดีกว่าจมน้ำตาย ถ้ามนุษย์เราได้ใช้ความคิดกันสักหน่อย ก็จะเห็นใจสัตว์ มีความสงสารเวทนาและแผ่เมตตาธรรมให้สัตว์เหล่านั้น เพราะที่อยู่อาศัยก็ไม่มีต้องตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอดมาพึ่งวัด

    กระต่ายบางตัวก็หลบหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในโบสถ์ อาตมาพิจารณาดูแล้วก็สงสาร คิดว่าสัตว์ที่กลัวตายเหมือนกับมนุษย์หนีร้อนมาพึ่งเย็น จึงได้บอกประกาศให้ญาติโยมแถวใกล้ๆ วัดนั้นว่า

    ขออย่าได้ทำอันตรายกระต่ายเลย เพราะเท่าที่เขาเสี่ยงภัยเข้ามาอยู่ใกล้คนนี้ ก็กลัวมากอยู่แล้ว ตามปกติกระต่ายก็ตื่นกลัวมนุษย์อยู่แล้ว อย่าได้ไปทำลายเขาเลย เรามาช่วยกันป้องกันให้เขารอดพ้นภัยอันตรายจากน้ำท่วม ก็เป็นกุศลที่เราช่วยชีวิตสัตว์ให้พ้นทุกข์ เพราะเขาไม่มีทางหนีไปไหนอีกแล้ว

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  11. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--> ต่อมาชาวบ้านอยู่ข้างวัดคนหนึ่งไม่สนใจไยดีกับคำขอร้อง ได้ถือโอกาสแอบไปล่าเอาไปกินเป็นอาหาร อาตมารู้ก็เศร้าใจ เพราะคิดว่าใครที่ทำกระต่ายพวกที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นนั้น ต้องรับกรรมหนักกว่าธรรมดามาก ผิดกับพวกที่ไปเที่ยวบุกยิงในป่า เพราะพวกกระต่ายยังมีทางหลบหนีได้ แต่บัดนี้ไม่มีทางหลบหนีไปไหนได้เพราะจนตรอก และในเวลาต่อมาคนที่กินกระต่ายที่อาศัยวัดหนีภัยน้ำท่วม อยู่ได้ไม่นานก็มีอาการป่วยผิดปกติ แล้วก็ตายลงอย่างทรมาน เพราะกรรมสนอง นี่ก็เห็นจะเป็นเพราะสร้างกรรมหนักไม่เชื่อฟังอาตมา สิ่งที่หนีไม่พ้นก็คือต้องได้ใช้หนี้กรรม

    เพื่อนผู้เป็นนักล่าได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจเพราะได้ยิงสัตว์มามาก ไม่เคยสนใจคิดถึงเรื่องบุญบาปมาก่อน หาความสนุกสนานตามอารมณ์ของคนหนุ่ม จึงถามท่านพระครูว่า

    “ท่านอาจารย์ครับขอรับคือว่าผมเคยยิงสัตว์ป่ามาก่อน แต่ไม่เคยคิดถึงกรรมเวรที่จะติดตามสนอง บัดนี้รู้สึกว่าการที่ทำไปเพราะความคะนองของตน เมื่ออยู่ในวัยขาดศีลธรรม เมื่อมารู้สึกผิดชอบนี้แล้ว มีทางใดบ้างที่จะลบล้างบาปที่เราได้ทำมาแล้วเมื่อครั้งอดีต”

    ท่านพระครูได้ฟังก็บอกว่า “บุญกับบาปลบล้างกันไม่ได้ บุญก็อยู่ส่วนบุญเปรียบเหมือนน้ำกับน้ำมัน เท่าที่เรารู้สึกตัวว่าทำบาปสร้างกรรมชั่ว เมื่อคิดได้รู้บุญบาปก็เป็นนิมิตที่ดี ต่อไปก็จะกลับใจสร้างแต่กรรมดี เป็นผู้ที่ควรยกย่องนับถือ ดีกว่าบุคคลบางคนที่เห็นผิดเป็นชอบ เมื่อรู้สึกตัวว่าทำผิด แต่ก็ไม่ละเว้นการทำบาปทำกรรมมาแล้วก็ทำมันต่อไป แทนที่จะสำนึกตัวได้จะกลับตัวกลับใจสร้างกุศลสร้างกรรมดีทดแทนที่หลงผิดมาก่อน ถ้ากลับชั่วเป็นดีได้พระท่านยกย่องสรรเสริญ หากเราสร้างกรรมดีสร้างบุญกุศลให้มาก แม้บุญกุศลจะไม่สามารถลบล้างกรรมได้ก็ดี หากกรรมชั่วกรรมบาปมีน้อยก็ยังติดตามไม่ทัน เพราะกุศลบารมีมากกว่ามาก

    เมื่อเราสร้างกุศลเป็นบารมีมากขึ้นเราก็แผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร สร้างบุญกุศลครั้งใดก็อุทิศทุกครั้งไป หากกรรมชั่วเรามีน้อยไม่มากก็จะจางไป เพราะส่วนกุศลที่เราอุทิศเพื่อชดใช้หนี้กรรมไปในตัวแล้ว แต่เมื่อเราสร้างกรรมดีมากขึ้น กรรมชั่วถึงไม่จางก็ค่อยห่างออกไปยังตามไม่ทัน หากหยุดสร้างกุศล และหันมาสร้างกรรมชั่วสร้างบาปต่อไป กรรมชั่วก็จะเข้าใกล้ชิดติดตามมาทันสนองเร็วขึ้น หากยิ่งเป็นกรรมหนักแล้วก็ยากที่จะหลบหนีพ้นไปได้ แม้จะได้พยายามสร้างกรรมดีเพียงใด แต่กรรมบาปนั้นหนักเกินกว่ากรรมดีที่กำลังปฏิบัติในชาตินี้ ก็ต้องได้รับกรรมหนักชาติที่ตามมาสนองไปก่อนกว่าจะหมดเวร ส่วนกรรมดีก็คงจะสนองภายหลังหรือชาติหน้าเมื่อใช้หนี้กุศลกรรมหมดแล้ว”

    เช่นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี ๒๕๐๔ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ได้รับเคราะห์กรรมในเวลานั้น เป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีจิตใจเป็นกุศลได้ร่วมงานทำบุญช่วยเหลือกิจการของวัดกับอาตมามาหลายปี และได้สนใจศึกษาทางวิปัสสนากรรมฐานกับอาตมา บุคคลผู้นี้มีนามว่า ชลอ เกิดสุวรรณ เพราะในอดีตเคยรับราชการเป็นทหารเสนารักษ์ เป็นคนใจดีมีความเมตตาเผื่อแผ่ช่วยชาวบ้าน เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็มิได้รังเกียจเป็นที่รักใคร่ ชาวบ้านพากันเรียกว่า “หมอชลอ” ท่านผู้นี้เดิมอยู่บ้านศาลาลอย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    ต่อมาได้แต่งงานอยู่กินกับนางสาวทองใบ ซึ่งมีหลักฐานบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านข้างวัด หมอชลอได้มาวัดศึกษานั่งสมาธิบริกรรมเป็นประจำ จนสามารถทำจิตให้สงบเป็นสมาธิเข้าขั้นใช้ได้ วันหนึ่งหมอชลอได้เล่าให้อาตมาฟังว่า เมื่อขณะที่หมอชลอนั่งทำสมาธิ ก็เกิดนิมิตปรากฎเป็นภาพในอดีตชาติให้เห็นอย่างชัดเจน เหมือนชีวิตเพิ่งผ่านไปไม่นานนัก ภาพนั้นแสดงให้เห็นชีวิตชาติก่อน เมื่อครั้งหมอชลอมีอายุ ๑๖ – ๑๗ ขวบ และมีพี่ชายอยู่ผู้หนึ่ง ส่วนบิดามารดาเป็นชาวรามัญ มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดราชบุรี อาชีพขายโอ่ง โดยนำโอ่งบรรทุกเรือขึ้นล่องไปขายตามลำน้ำ

    ครั้งนั้นมีเพื่อนของพี่ชายได้มาชักชวนให้หมอชลอเข้าพวกไปปล้นในหมู่บ้าน “ม่องร่าย“ ใกล้น้ำตกเอราวัณ เขตจังหวัดกาญจนบุรี ชีวิตของคนรุ่น เมื่อถูกชักจูงไปทางชั่วก็เห็นเป็นของสนุกตื่นเต้น ขาดสติยับยั้ง จึงตกลงร่วมไปปล้นกับเขา ถึงเวลานัดก็ไปกับพี่ชายพร้อมด้วยอาวุธปืน เมื่อถึงบ้านหลังหนึ่งปลายหมู่บ้าน อยู่โดดเดี่ยวก็จู่โจมเข้าไปไม่ทันให้เจ้าของบ้านรู้ตัว เมื่อชายเจ้าของบ้านตกใจ เห็นการบุกเข้ามาในบ้านก็นึกรู้ว่าเป็นพวกปล้นไม่ทันจะต่อสู้ พี่ชายหมอชลอก็เอาปืนยิงชายเจ้าทรัพย์ล้มฟุบลง

    เพื่อนของพี่ชายทำหน้าที่ออกคำสั่งให้หมอชลอฆ่าหญิงเมียเจ้าของบ้าน ซึ่งกำลังนอนอยู่บนกระดานไฟเพิ่งจะออกลูกใหม่ๆ เพราะหญิงคนนั้นตกใจ ร้องเรียกให้คนมาช่วยจนเสียงหลง หมอชลอก็ได้ฆ่าผู้หญิงคนนั้นตาย และโยนเด็กที่คลอดใหม่ๆ ลงไปในกองไฟทั้งเบาะ เผาทั้งเป็น ซึ่งหมอชลอทำได้อย่างใจแข็ง ดุร้าย ขาดความเมตตา กล้าต่อการทำบาป ไม่คิดสงสารสังเวช จิตใจเหี้ยมโหดไม่สะทกสะท้านตื่นเต้น (การฆ่าทั้งแม่และลูก)

    กลับเห็นเป็นของธรรมดา ได้ทำตามคำสั่งของหัวหน้าซึ่งเป็นเพื่อนของพี่ชาย ด้วยความเต็มใจองอาจ และทั้งอยากแสดงถึงความกล้าให้เห็นว่าเป็นคนเก่งตามนิสัยคนหนุ่ม ที่ไม่รู้บุญบาป ส่วนเพื่อนของพี่ชาย ก็เก็บทรัพย์สินเงินทองเท่าที่ค้นได้เสร็จ แล้วก็จุดไฟเผาบ้านให้ไหม้หมดทั้งหลัง แล้วต่างก็พากันรีบหลบหนีเพราะเกรงพวกชาวบ้านจะพากันมาช่วย เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ช่วยกันปิดเรื่องไม่ให้พ่อแม่รู้

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  12. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]-->ครั้นต่อมา หมอชลอกับพ่อแม่ก็ล่องเรือ นำโอ่งบรรทุกไปขายตามที่เคยปฏิบัติมาแล้ว หมอชลอกำลังถ่อเรือขายโอ่ง แล้วก็หน้ามืดตกน้ำลงไปถึงแก่ความตาย นี่เป็นกรรมในอดีตชาติ ซึ่งได้เกิดนิมิตขึ้นมาให้เห็นในขณะนั่งกรรมฐาน หมอชลอได้เล่าให้อาตมาฟังอย่างถี่ถ้วน

    อาตมาพิเคราะห์ดูแล้วก็รู้ว่าอดีตกรรมนั้นมาก และคงตามสนองในอนาคต แม้ในชาติปัจจุบันนี้จะปฏิบัติธรรมเพียงไรก็หนีกรรมในอดีตชาติไม่พ้น อาตมาก็ให้ลืมเรื่องที่นิมิตเสีย อย่านำมาคิดเป็นอารมณ์ ลืมภาพที่ได้เห็นนั้นเสียแล้วทำจิตใจให้ปกติ เสร็จแล้วนั่งทำสมาธิปฏิบัติกรรมฐานใหญ่ อย่านึกถึงภาพในอดีตอีกต่อไป

    แม้หมอชลอจะได้พยายามนั่งใหม่ แต่ภาพนิมิตก็เกิดซ้ำๆ กันหลายครั้ง เมื่อหมอชลอเล่าและถาม อาตมาก็ได้แต่ปลอบโยนให้พยายามลืมเสีย อย่าได้นึกถึงอีก แล้วพยายามทำบุญกรวดน้ำให้พวกเจ้ากรรมนายเวร ข้อสำคัญให้พยายามสร้างบุญ แผ่อุทิศส่วนกุศลให้มากขึ้น

    เรื่องนี้อาตมาได้บันทึกไว้เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ข้างหน้าว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นกับหมอชลอ แต่คงจะยังไม่ทันทำอะไร เพราะบังเอิญนายเจริญ เกิดสุวรรณ ซึ่งเป็นพี่ชายของหมอมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอยุธยาได้เดินทางมาหา และได้ชักชวนให้หมอชลอร่วมทุนไปค้าไม้ไผ่ที่เมืองกาญจนบุรี เวลานั้นไม้ไผ่กำลังเป็นสินค้าที่ขายส่งออกต่างประเทศมาก ผู้ค้าไม้ไผ่มีกำไรดีมีผู้ร่ำรวยไปตามกัน เพราะลงทุนน้อยได้กำไรมาก หมอชลอมองเห็นทางที่จะรวยเหมือนผู้อื่นอยากเป็นเศรษฐีอย่างมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วไป มองเห็นแต่ทางได้เงินอยู่ข้างหน้าอย่างตื่นเต้นสนใจมาก

    หมอชลอได้มาหาอาตมาเพื่อปรึกษาขอความเห็นในเรื่องจะไปค้าไม้ไผ่ เพื่อสะดวกไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลังที่ต้องขึ้นๆ ลงๆ เป็นภาระทำให้เสียเวลาทำมาหากิน อาตมาถามถึงตำบลที่จะไปตั้งครอบครัว หมอชลอบอกว่า พี่ชายจะให้ไปอยู่ตำบลม่องร่าย เมืองกาญจนบุรี เมื่ออาตมาได้ยินก็เศร้าไม่สบายใจได้พิจารณาเห็นว่า หากจะยับยั้งขัดขวางห้ามหมอชลอคงจะไม่สำเร็จเพราะจิตใจของหมอชลอตื่นเต้น มองเห็นความเป็นเศรษฐีอยู่ข้างหน้า หายใจเป็นไม้ไผ่อยู่แล้วเหมือนน้ำกำลังไหลเชี่ยวจัด ไม่มีอะไรจะขัดขวางยับยั้งไว้ได้ แม้จะเกรงใจอาตมาอยู่บ้าง แต่ก็ยากที่จะสำเร็จได้ เห็นจะเป็นอกุศลกรรมจึงเกิดโลภ

    อาตมาจะเตือนถึงเรื่องอดีตชาติที่เห็นทางนิมิตก็ไม่ได้ เพราะอาตมาสอนให้ลืมเรื่องอดีตชาติที่เคยมองเห็นในนิมิต อย่าได้นึกถึงต่อไป ขอให้เพียงสร้างบุญกุศลให้มากๆ เท่านั้น เมื่อพิจารณาดูแล้ว จึงเพียงแต่แนะนำว่า การไปครั้งแรกยังไม่ควรนำครอบครัวไป เพราะเรายังไม่รู้ไม่เห็นความเป็นอยู่ทางโน้นจะเป็นอย่างไร ควรจะไปคนเดียวก่อน เมื่อได้ไปเห็นและได้ประโยชน์เพียงพอแล้วก็หาที่ทางไว้ก่อน เพื่ออพยพไปก็จะไม่เกิดยุ่งยาก หากไปเห็นการค้าไม้ไผ่ไม่เกิดผลดีตามที่เข้าใจ ก็จะกลับมาอยู่อำเภอพรหมอย่างเดิม ก็จะได้ไม่ต้องลำบาก หมอชลอก็ตกลงตามที่อาตมาให้ความเห็น

    จากนั้นหมอชลอก็ได้เดินทางพร้อมกับพี่ชายไปทำการค้าไม้ไผ่ ที่เมืองกาญจนบุรี อาตมาก็อดที่จะเป็นห่วงหมอชลอไม่ได้ คอยฟังข่าวอยู่เสมอว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่มีข่าวอะไรคืบหน้า หลังจากหมอชลอออกจากบ้านที่อำเภอพรหมบุรี เวลาผ่านไปได้หนึ่งปี หมอชลอก็กลับมาเยี่ยมบ้านครอบครัวและได้มาเยี่ยมที่วัด อาตมาได้ถามถึงกิจการค้าไม้ไผ่ หมอชลอได้เล่าถึงเรื่องการค้าไม้ไผ่ได้ผลประโยชน์กำไรดีมาก เพียงปีเดียวก็เห็นหน้าเห็นหลัง ได้จับจองที่ดินอยู่ในป่าลึก ได้ปลูกกระต๊อบอยู่กับพี่ชายในพื้นที่จับจองบ้านม่องร่าย ตำบลท่ากระดาน แถวถิ่นน้ำตกเอราวัณ กิ่งอำเภอศรีสวัสดิ์ เขตกาญจนบุรี

    มาคราวนี้ตั้งใจจะรับครอบครัวไปอยู่รวมกันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะต้องนำไม้ไผ่ล่องแพไปตามลำน้ำแคว ไปขายส่งที่เมืองกาญจนบุรี ทั้งปลูกบ้านไว้สำหรับครอบครัวแล้ว กว้างขวางสบาย อาตมารับฟังด้วยความสงบ และพูดให้กำลังใจว่า หากไปหากินได้รับความเจริญก้าวหน้า อาตมาก็ยินดีด้วย แต่ใจนั้นรู้สึกสังหรณ์ชอบกล ก็ได้แต่เตือนให้ระวังเคราะห์กรรม อย่าทิ้งทางพระหนักจะเป็นเบา และได้ชี้เหตุผลตามกฎแห่งกรรมให้ฟัง แต่รู้สึกหมอชลอเปลี่ยนแปลงไปมาก ได้พูดว่าเมื่อถึงคราวแล้วอยู่ไหนก็ต้องตาย ทุกคนหนีไม่พ้นความตาย แต่ก็ดีใจที่สร้างกุศลไว้มากแล้ว อาตมารู้ว่าไม่สามารถยับยั้งกลับมาสู่ปกติเดิมได้ เห็นจะเป็นเพราะกรรมเวรนำไป

    เมื่อได้สนทนาพอสมควรแล้ว หมอชลอได้อำลาจากไป และได้อพยพครอบครัวพร้อมด้วยหลาน ๒ คน คือ นางอุไร และนางเชวง เชื้อศรีแก้ว ซึ่งขอติดตามไปประกอบอาชีพที่เมืองกาญจนบุรีด้วย ทั้งหมอชลอกำลังตื่นเต้น มองเห็นความมั่งมีล่วงหน้าในอนาคต อาตมาก็ได้แต่เตือนว่าอย่าทิ้งทางพระเท่านั้น

    เวลาได้ผ่านไปประมาณ ๔ ปี ก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น อาตมาสนใจในครอบครัวนี้มาก เพราะเหตุการณ์ในอดีตชาติเมื่อเวลาทำสมาธินั่งวิปัสสนานั้น เป็นกรรมที่หนักมากยังมองไม่เห็นทางที่จะแบ่งเบาลงไปได้ นอกจากปฏิบัติทางธรรมแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อขออโหสิกรรมคงเบาลงได้บ้าง แต่ทราบว่าที่ไปอยู่เมืองกาญจน์นั้น หมอชลอไม่มีเวลานั่งกรรมฐานทำบุญสร้างกุศล มัวแต่คิดถึงการงานหาเงิน อาตมาก็เศร้าใจเพียงแต่คอยฟังข่าว

    จากนั้นต่อมาอาตมาก็ได้รับข่าวร้ายแรงเกิดขึ้นแก่ครอบครัวนี้ เป็นเรื่องที่เศร้าสลดใจมาก ข่าวนี้จากญาติภรรยาของหมอชลอซึ่งไปมาหาสู่มาเล่าให้อาตมาฟัง และกรรมหนักในอดีตชาติของหมอชลอตามทันมาสนองแล้ว

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  13. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--> เรื่องมีว่า วันนั้นหมอชลอได้เดินทางมีธุระเข้าไปในเมืองกาญจนบุรีพร้อมด้วยบุตรและภรรยา ทางบ้านเหลือแต่พี่ชายคนเดียวเมื่อกลับมาถึงบ้านก็ได้ทราบข่าวว่าทางบ้านถูกปล้น ส่วนพี่ชายก็ถูกพวกปล้นยิงสิ้นใจตายคาบันไดบ้าน แล้วพวกปล้นก็กวาดทรัพย์สินเงินทองไปหมด เมื่อหมอชลอพร้อมด้วยบุตรภรรยาทราบข่าวกลับมาถึงบ้าน เห็นเหตุการณ์ร้ายแรงก็ตกใจสิ้นสติแทบจะเป็นลม หมอชลอรีบเดินทางไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ให้ทราบ และให้มาชันสูตรศพพี่ชายตามกบิลเมือง แต่เจ้าหน้าที่มาล่าช้าปล่อยให้ศพขึ้นอืดแล้ว

    ต่อมามีชายลึกลับมาบอกหมอชลอแกมขู่ ให้รีบอพยพครอบครัวออกจากตำบลนี้ ไปอยู่เสียให้ไกลโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นก็จะต้องตายอย่างพี่ชาย หมอชลอไม่ชอบให้คนมาขู่ มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย ธรรมดาคนเราส่วนมากไม่ชอบให้ใครมาขู่ยิ่งเอาอำนาจมืดความชั่วเข้ามาข่มขู่แล้ว แม้จะรู้ว่าสู้ไม่ได้ ความโกรธ ความแค้น ความเจ็บใจ ความพยาบาท ทำให้ขาดสติเกิดความประมาท ไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ยิ่งพี่ชายถูกข่มเหงฆ่าฟันกันซึ่งๆ หน้าแล้ว ก็คิดว่าต้องมายิงกันพักหนึ่งจนกว่าจะรู้ว่าใครจะเป็นศพไป

    ฉะนั้น ความโกรธแค้นเจ็บใจเป็นพลัง ทำให้หมอชลอไม่ยอมหนีไม่กลัวคำขู่ ทั้งไม่ยอมไปจากถิ่นที่ได้ทำประโยชน์เป็นเงินทองขึ้นมาแล้ว ทั้งคอยระวังตัวไม่ประมาท ซ้อมยิงปืนให้แม่นยำอยู่เสมอ ทั้งปืนสั้นและปืนยาวและตลอดเวลาอยู่ในบ้านปืนไม่ยอมห่างตัว ขึ้นลำกล้องอยู่เสมอเมื่อฉุกเฉินฉวยใช้ยิงได้ทันที เตรียมพร้อมเพื่อต่อสู้เต็มที่อย่างลูกผู้ชาย เมื่อเข้าที่คับขันก็ได้สตินึกถึงคำเตือนของท่านพระครูขึ้นมาได้ จึงสั่งหลานไว้ว่าหากตนได้ประสบชะตากรรม สิ้นบุญไปแล้ว ก็ขอให้ช่วยกันดูแลบ้านช่องต่อไปด้วย

    หลังจากพี่ชายถูกยิงตาย เมื่อผู้ร้ายเข้าปล้นผ่านไปเพียง ๑๕ วัน วันนั้นเป็นเวลากลางวัน เสียงเรือหางยาวมาจอดอยู่ที่ท่าน้ำ แล้วตะโกนเรียกชื่อหมอชลอที่ท่าน้ำ ทางฝ่ายนางทองใบภรรยาหมอชลอได้ลงจากเรือนไปที่ท่าน้ำ ที่เรือหางยาวจอดอยู่ เห็นคนในเรือประมาณ ๑๕ คน แต่งเครื่องแบบสีกากีมีปืนพร้อมคล้ายตำรวจ ร้องตะโกนถามนางทองใบว่า หมอชลออยู่ไหม มีเรื่องจะขอพบด่วนให้ลงมาที่ท่าน้ำ นางทองใบรีบขึ้นบนเรือนบอกหมอว่า เจ้าหน้าที่ขอพบด่วน หมอชลอนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่มาสอบสวนเรื่องที่พี่ชายถูกพวกปล้นฆ่าตายเกิดความประมาท เดินลงกระไดไปที่ท่าน้ำ


    ส่วนภรรยาก็ยืนมองอยู่บนตลิ่งสูงชัน เพียงเห็นเขายืนพูดกัน แต่ก็ไม่ได้ยินว่าเขาพูดกันเรื่องอะไรเพราะอยู่ไกล ครู่หนึ่งก็เห็นหมอชลอหันหลังก้าวเดินกลับขึ้นบ้าน ทันใดนั้นคนหนึ่งที่อยู่ในเรือใกล้หมอชลอ ก็ยกปืนขึ้นจ่อยิงท้ายทอย หมอชลอไม่ทันรู้ตัวจึงไม่ได้ระวัง พอสิ้นเสียงปืนก็ล้มกลิ้งตกน้ำขาดใจตายทันที ภรรยาเห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นก็ตกใจสิ้นสติเป็นลม ส่วนพวกคนร้ายที่ปลอมเป็นตำรวจนั้น หลังจากยิงหมอชลอตกน้ำแล้ว เมื่อแน่ใจว่าตายแล้วก็เร่งเครื่องเรือหางยาวหลบหนีไป เหตุเกิดขึ้น เมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๔

    ส่วนนางทองใบภรรยาหมอพอฟื้นได้สติก็ร้องไห้โฮคล้ายคนบ้า วิ่งไปที่ท่าน้ำลงไปประคองสามีที่รัก เมื่อรู้ว่าสามีสุดที่รักหมดลมไปก่อนแล้ว ไม่มีโอกาสได้สั่งเสียบุตรภรรยา ก็กอดศพผัวรักร่ำไห้สะอึกสะอื้น แทบจะขาดใจตายตามสามี ครั้นจะอุ้มศพสามีขึ้นจากน้ำก็อุ้มไม่ไหว พวกคนงานก็ยังอยู่ในป่า เหลือแต่ลูกก็ยังช่วยเหลืออะไรไม่ได้ จำเป็นต้องหาเชือกมาผูกศพไว้กับเสาสะพานท่าน้ำ เพราะเกรงว่าเมื่อน้ำขึ้นศพจะลอยไปไกล หรือจมห่างออกออกไปจากท่าน้ำจะลำบาก รีบไปแจ้งความให้ทางบ้านเมืองรีบมาชันสูตรศพตามระเบียบ

    นางทองใบนั้นครั้นสามีที่รักได้สิ้นบุญไปแล้ว ทั้งต้องสูญเสียพี่ชายของสามี ทั้งตัวก็เป็นหญิง ทำอะไรไม่ถูกมีแต่ความหวาดกลัวและเศร้าโศกเสียใจอย่างหนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งใจหาย เพราะสามีต้องมาตายลงสดๆ ร้อนๆ ตัวก็มีแต่ความว้าเหว่ยังไม่เคยประสบกรรมหนักเช่นนี้มาก่อนในชีวิต จึงไม่สามารถจะอยู่ในดงป่าตามลำพังหลานๆ ต่อไปได้ จึงตัดสินใจนำศพสามีพร้อมด้วยพี่ชายจัดการเผาอย่างตามมีตามเกิด ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วในเขตที่กลางลานบ้าน มีเจ้าหน้าที่มารับรู้ ในการเผาครั้งนี้ด้วย

    เมื่อเสร็จแล้วก็จัดแจงเก็บกระดูกห่อผ้าขาวไว้ แล้วมิได้รออยู่ช้ารีบเก็บข้าวของเท่าที่มีอยู่ พอจะนำติดตัวไปได้ ก็พาลูกๆ ลงแพแล้วก็รีบล่องแพไปตามลำน้ำแควเพื่อกลับภูมิลำเนาเดิม แต่เคราะห์กรรมมิได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น ได้ติดตามสนองครอบครัวของหมอชลอต่อไป

    การล่องแพนั้น เป็นการเสี่ยงอันตรายมาก หากไม่ชำนาญร่องน้ำแล้วอาจชนหินเกาะแก่งใต้น้ำ ทำให้แพแตกได้ แพที่นางทองใบภรรยาของหมอชลอล่องมาก็เช่นกัน คนถ่อแพคงไม่ชำนาญจึงเกิดไปกระทบโขดหินใต้น้ำจนแพแตก พวกเด็กๆ ต้องลอยคออยู่ในน้ำ แต่เคราะห์ดีที่ได้มีชาวบ้านช่วยกันไว้ทัน จึงไม่มีใครเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เพราะพาเข้าฝั่งได้

    เคราะห์กรรมมิได้หยุดยั้งได้ติดตามซ้ำเติมบุตรภรรยาหมอชลอ กว่าจะกลับมาถึงภูมิลำเนาเดิมที่บ้านบางสำโรง อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ก็ได้รับความลำบากยากแค้นแสนสาหัส เลือดตาแทบกระเด็นเป็นเรื่องเศร้าสลดใจเท่าที่เคยได้ยินมา

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
  14. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    เมื่อมาถึงบ้านบางสำโรงแล้ว พวกญาติพี่น้องก็พากันมาเยี่ยมแสดงความเสียใจในการตายของหมอชลอ และความทุกข์ยากลำบากของนางทองใบและลูกๆ ในการเดินทางต้องผจญชีวิต แม่ๆ ลูกๆ พวกพี่น้องได้พร้อมใจกันกำหนดวันจัดการทำบุญกระดูกเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้หมอชลอกับพี่ชาย เจ้าภาพได้มานิมนต์ให้อาตมาไปร่วมในงานนี้ แต่บังเอิญรับนิมนต์ที่อื่นไว้ก่อนจึงไม่ได้ไปในวันงาน แต่อาตมาก็ได้ไปเทศน์ก่อนงานสองวัน เพื่อให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบถึงกรรมในอดีตชาตินั้นมีจริง สามารถจะกลับมาสนองในชาตินี้ได้ ไม่มีปัญหาข้อความใดๆ สงสัยอีก

    หลังจากวันที่อาตมาไปเทศน์ก่อนวันงานนั้น ได้มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงผู้ที่คุ้นเคยได้พากันไปเยี่ยม และซักถามถึงสาเหตุการตายของหมอชลอ ทำให้นางทองใบระลึกถึงสามีคู่ชีวิตต้องมาตายอย่างน่าอเนจอนาถใจ ก็เริ่มเสียใจร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่าชีวิตจะจากร่างตามสามีไป

    ผู้ที่ได้ยินได้ฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหมอชลอจนที่สุดก็ต้องตายอย่างน่าสงสาร ที่ประสบโชคร้ายเช่นนี้ต่างก็พลอยเศร้าโศกสลดใจไปด้วย และต่างก็เห็นใจนางทองใบที่รักสามีอย่างสุดซึ้ง เล่าไปร้องไห้ไปท่ามกลางหมู่ญาติพี่น้องมิตรสหายผู้คุ้นเคย ซึ่งบางคนก็ไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาได้ก็พลอยร้องไห้ไปด้วย ความเศร้าเสียใจหนักจนทำให้นางทองใบสลบแน่นิ่งไป
    หมู่ญาติต้องช่วยกันแก้ไขให้รู้ตัวขึ้นมาแล้ว นางทองใบก็มิได้สร่างความเศร้าโศก ยิ่งนึกยิ่งเสียใจร้องไห้รำพันถึงความดีของหมอชลอผู้สามีมิได้หยุด มิได้ระงับความทุกข์ไว้เพราะขาดสติได้ปล่อยตามอารมณ์ และในที่สุดก็เป็นลมสิ้นสติไปอีกเพราะเสียใจมากเกินไป แน่นิ่งไปในท่ามกลางล้อมรอบด้วยญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ต่างพากันตกตะลึงช่วยกันแก้ไขอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยอะไรได้ เพราะนางทองใบได้สิ้นใจลงเพราะหัวใจวายเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ต้องทิ้งให้หลานผจญชีวิตอยู่ในโลกต่อไป

    หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ข่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมิได้นิ่งนอนใจ ท่านผู้กำกับ พันตำรวจเอกยงยุทธ เกษรมาลา ได้นำกำลังตำรวจหลายหน่วย ติดตามเพื่อจับกุมพวกโจรผู้ร้ายที่ทำการอุกอาจ เที่ยวปล้นทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวบ้านผลกรรมตามสนอง ตำรวจได้ล้อมไว้ เสือไม่ยอมมอบตัว และได้ยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่

    ที่สุด เสือสวัสดิ์ อุดม และเสือปี ปิยะพันธ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าโจรและรองหัวหน้าโจรเป็นผู้เข้าปล้นและฆ่าพี่ชายหมอชลอ และต่อมาก็ยิงหมอชลออย่างใจเย็น ก็ถูกกระสุนปืนของตำรวจตายตามกรรมที่ได้ก่อไว้ ส่วนสมุนโจรก็ยอมเข้ามอบตัวและถูกจับรวม ๓๘ คน เมื่อเจ้าหน้าที่ไต่สวนแล้วก็ฟ้องลงโทษทางโรงศาลต่อไป

    นี่อาตมาก็คิดว่าเป็นตัวอย่างที่มีผู้สร้างบาปอย่างอนันตกรรมไว้ในอดีตชาติแล้ว ซึ่งได้ตามมาสนองในชาตินี้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายพิจารณาดูว่า ทุกคนเกิดมาใช้หนี้กรรมไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วย่อมตามสนองเราอยู่เสมอ ไม่มีใครหนีพ้นกรรมไปได้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายใช้สติปัญญาพิจารณาดูเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้

    เมื่อท่านพระครูเล่าเรื่องนี้จบลงแล้ว พวกเราก็สนทนากับท่านอยู่พักหนึ่ง เห็นเวลาจะเที่ยงคืนแล้วเดือนกำลังแจ่มฟ้า เรามองตากันแล้วพยักหน้า ต่างก็ก้มลงกราบนมัสการลาท่านอาจารย์พระครูภาวนาวิสุทธิ์ เพื่อท่านจะได้พักผ่อนจำวัด เพราะรู้สึกว่าท่านจะมีแขกมาสนทนากับท่านตลอดเวลา

    เมื่อเราขึ้นรถออกจากวัดอัมพวัน แล้วมุ่งกลับจังหวัดลพบุรี ขากลับนี้แสงจันทร์สว่างกระจายออกไปทั่ว เพราะเป็นเวลาเพียงแรมหนึ่งค่ำ แต่พวกเราก็นั่งเงียบมิได้ปริปากพูดอะไรเพราะทุกคนก็ใช้หัวคิด จะพูดออกมาแต่ละคำก็มักจะพูดถึงเรื่องกรรมในอดีตชาติ นอกจากเสียงเครื่องยนต์ของรถ ซึ่งกำลังผ่านทุ่งนาป่าดงริมเขาลำเนาไพร ซึ่งมีดวงจันทร์ส่องกระจ่างอยู่กลางเวหาเพราะเวลากำลังจะย่างเข้าวันใหม่ ที่สุดเราก็กลับถึงที่พักในค่ายทหาร สิ่งที่เราได้ความรู้ในคืนนั้นก็คือ “เรื่องอดีตชาติ” ไม่มีข้อสงสัยอะไรเหลือไว้เป็นปัญหาอีกแล้ว หากจะมีเฉพาะบุคคลที่มีระดับจิตแตกต่างกันเท่านั้น

    ผู้เขียนเรียบเรียงเรื่องนี้ขึ้นจากท่านผู้บันทึก ซึ่งเป็นนายทหารผู้หนึ่ง ได้กรุณาส่งมาให้ หากท่านผู้อ่านสงสัยเรื่องอดีตชาติที่ได้บรรยายมานี้ ยังมีสิ่งใดไม่แจ่มแจ้ง ก็ได้กรุณาถามไปทางท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ ที่วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรีท่านคงจะได้ข้อความแจ่มแจ้งกว่านี้ ท่านอาจให้ความรู้ลึกซึ้งกว่าที่ได้บรรยายมา และขอกราบนมัสการขอบคุณท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ที่ได้กรุณาให้ลงชื่อจริงได้ทุกท่าน และตำบลที่อยู่อย่างแจ่มแจ้ง เพื่อคลี่คลายที่บางท่านจะนึกสงสัยว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง และคงหมดหน้าที่ผู้เขียนจะต้องคอยตอบคำถาม และนับว่าเรื่องนี้คงจะเกิดประโยชน์ขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย

    ขอให้ความดีของเรื่องทั้งหมด อุทิศให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่ได้ล่วงลับไปแล้วทุกท่าน และผู้เรียบเรียงจะลืมเสียมิได้ก็คือขอขอบคุณ พันเอกวสันต์ พานิช และ พันตรีเที่ยง คนานุวัตร ผู้ได้ให้ความกรุณาบันทึกเรื่องจากท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ ที่เกิดแล้วส่งมา เพื่อจะได้เกิดประโยชน์ส่วนรวมต่อไป


    Credit ::

    [​IMG]
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2012
  15. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    เกือบจะสาย
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓



    เมื่อปี พ.ศ ๒๕๑๔ ก่อนสิ้นปี มีหญิงสาวผู้หนึ่งอายุผ่านยี่สิบไปไม่นานได้มาหาข้าพเจ้า บอกว่ามีความเลื่อมใสศรัทธาในพระธรรมคำสอนของพุทธศาสนา อยากจะสละทางโลกเข้าบวชเป็นชี เพื่อศึกษาธรรมและจะไม่ยอมหันกลับเข้ามาทางโลกอีก แต่มีอสังหาริมทรัพย์ซึ่งยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์เพราะผ่อนยังไม่ครบกำหนดสัญญา อยากจะให้ผู้อื่นรับช่วงต่อไป เพื่อจะถอนเงินจำนวนนี้มาใช้จ่ายในเวลาที่ศึกษาธรรมและสร้างเรือนพักเพื่อบำเพ็ญพรหมจรรย์ตลอดไป ขอร้องให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือในเรื่องนี้

    ข้าพเจ้าพิจารณาดู เห็นว่าสุภาพสตรีผู้นี้มีอาชีพหน้าที่การงานพอที่จะรุ่งเรืองต่อไป แต่เมื่อมีอายุยังน้อยเกิดเลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าก็โมทนาด้วย ทั้งเห็นว่าการช่วยเหลือแบบนี้ไม่หนักหนาอะไร คิดว่าพอจะช่วยได้ แต่ก็ไม่ไดัรับปากว่าแน่นอน แต่จะพยายามช่วยเพราะทุกสิ่งอย่านึกว่าจะเป็นไปตามความนึกคิด ไม่มีอะไรแน่นอน เธอได้บอกเลขหมายโทรศัพท์เพื่อการติดต่อและที่ทำงาน ชื่อเสียงและที่อยู่

    ก่อนสุภาพสตรีผู้นั้นจะลาจากไปก็หันมาบอกขัาพเจ้า หากไม่มีผู้ใดรับช่วงอิฉันก็จะสละเงินจำนวนนี้โดยปล่อยให้เขารับรู้เพราะดิฉันได้ยื่นใบลาขอลาออกจากงานในสิ้นเดือนนี้แล้ว และต้นเดือนหน้าก็ตกลงใจสละทางโลกเข้าหาธรรมไปอยู่วัดแล้ว เงินทองก็ยังมีอยู่บัาง เงินที่ผ่อนยังไม่ครบนึกว่าปล่อยไปตามเรื่อง ข้าพเจ้าได้ฟังก็สงสารและเห็นความศรัทธาที่แรงกล้าสำหรับสุภาพสตรีที่อายุยังน้อย ทั้งจะยอมเสียสละเงินจำนวนหมื่นๆ เช่นนี้ต้องมีจิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าแข็งแน่วแน่

    หลังจากสุภาพสตรีผู้นั้นลากลับไปแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดดูว่ามีเพื่อนฝูงที่สามารถจะช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ ก็รีบหมุนเลขโทรศัพท์ไปหาเพื่อนผู้หนึ่งอธิบายถึงความศรัทธาของสุภาพสตรีสาวผู้มีความเลื่อมใสในทางธรรม ตั้งสัตย์ว่าจะรักษาพรหมจรรย์ตลอด และสละตำแหน่งหน้าที่การงาน และอธิบายถึงการช่วยเหลือและพร้อมทั้งที่อยู่ สำนักงาน และโทรศัพท์ เพื่อนฟังข้าพเจ้าอธิบายจนเข้าใจแล้วก็พูดว่า

    “ตกลงปล่อยเป็นหน้าที่ของผมๆ จะจัดการช่วยเหลือ เพราะการช่วยผู้ศรัทธาเพื่อรักษาศีลปฏิบัติด้วยจิตใจหนักแน่นแน่วแน่เช่นนี้ ผมยินดี”

    ต่อจากนั้นมายังไม่ทันสิ้นเดือน เพื่อนก็จัดการเรียบร้อย ข้าพเจ้าก็ปีติยินดีด้วยเพราะเหตุการณ์เป็นที่เรียบร้อยง่ายๆ เช่นนี้ เธอก็ได้เงินก้อนเพื่อใช้จ่ายต่อไป บัดนี้ก็ได้เข้าวัดรักษาศีลแล้ว ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าประมาณสิบกว่าปี สำนักชีแห่งหนึ่งรู้สึกว่าเป็นสำนักปฏิบัติมีระเบียบวินัยดี มิให้ชีในสำนักออกเพ่นพ่านนำฎีกาวัดไหนต่อวัดไหน ต่างจังหวัดก็มีมาเที่ยวเดินเรี่ยไรชาวบ้าน อย่างที่เราท่านเคยเห็นมาแล้ว

    ในสำนักชีมีแม่ชีสูงอายุผู้หนึ่งมีความเคร่ง ทราบแต่ว่าอดีตเป็นผู้มีอันจะกิน แต่ก็ไม่มีใครรู้รายละเอียดของแม่ชีผู้ที่ได้เข้ามาศึกษาธรรมจนเวลาล่วงเลยมาหลายปี เหตุการณ์ประหลาดก็เผยขึ้น โดยมีหญิงผู้หนึ่งเป็นผู้เล่าประวัติชีวิตของตนเอง ได้โยงถึงแม่ชีผู้เป็นตัวอย่างควรแก่การจะได้รู้ ดังคำบอกเล่าของสุภาพสตรี ได้เล่าชีวิตแต่หลังว่า

    อิฉันมีชีวิตพอมีอันจะกิน อยู่สุขสบายอย่างอยู่ดีกินดี ความจริงอิฉันไม่ใช่เป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดดุร้ายอะไรนัก แต่เป็นคนเจ้าอารมณ์ แม้จะผิดหรือถูก ก็ไม่อยากให้ใครมาว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอน แม้แต่มารดาบังเกิดเกล้ามาจ้ำจี้สั่งสอนก็ไม่ชอบ ตัวเองเวลานั้นเอาแต่ใจ ไม่ได้คิดหาเหตุผลความหวังดีหวังร้าย อิฉันมักชอบคนยกยอยกย่องว่าดี ไม่ชอบให้ใครมาติเตียนเพราะถือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้ดูรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ถูก

    แม้แต่มารดาบังเกิดเกล้าจะมาว่ากล่าวสั่งสอนเหมือนกับอิฉันเป็นเด็กอมมือก็ไม่ชอบ เพราะถือตัวว่าโตพอที่จะช่วยตัวเองได้แล้ว แม่ได้พยายามสั่งสอนด้วยกล่าวคำอ่อนหวาน มิได้ดุด่าหรือว่าอย่างใด แต่ดิฉันก็ไม่ชอบอยู่ดี เพราะขึ้นต้นว่าสั่งสอนแม้จะพูดดีอย่างใด ดิฉันก็ไม่ชอบ ครั้งหนึ่งอิฉันทำผิดและอิฉันรู้ตัวดีแต่อิฉันก็ไม่ยอมรับว่าตัวผิด และความผิดครั้งนั้นเป็นความผิดครั้งยิ่งใหญ่ก็คือ

    มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งดิฉันคิดว่าเราจะร่วมชีวิตกันในอนาตด้วยความรักทำให้ตาบอด ดังคำโบราณได้กล่าวไว้คงไม่ผิด ดิฉันได้ปรนเปรอคนรักซึ่งยังไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนกันดีพอ คุณแม่ตอนนั้นอดรนทนไม่ไหว ได้ตักเตือนถึงชีวิตลูกผู้หญิงไม่ควรที่จะทำอย่างนั้น ผู้ชายส่วนมากมีนิสัยไม่ค่อยดี ที่ดีก็มีแต่ไม่มาก ฉะนั้นควรจะเรียนรู้นิสัยใจคอความประพฤติเสียก่อนที่จะหลวมตัวลงไป เวลานั้นดิฉันไม่เคยนำเอาคำตักเตือนของท่านมาคิดพิจารณาเลย หากเอามาคิดพิจารณาดูแล้วคงไม่ทุกข์ลำบากทางใจเช่นนี้
     
  16. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    อิฉันกลับเห็นว่า ท่านนั้นขวางหูขวางตา คนแก่ขี้บ่นจู้จี้ อยากจะให้ท่านไปเสียให้พ้น วันนั้นอิฉันอารมณ์เสีย โต้ตอบท่านไปว่า “หนูเบื่อเหลือเกิน คุณแม่สอนหนูมาตั้งแต่เล็กจนโตป่านนี้ ไม่รู้จะสอนไปถึงไหนกัน เขาว่าคนแก่ขี้บ่นจู้จี้ ไม่รู้สิ้นไมู่รู้จบ เมื่อไหร่จะหยุดสั่งสอนกันเสียที จะได้มีความสบายใจขึ้นบ้าง”

    เสียงคุณแม่พูดอย่างไม่ถือสา พูดค่อยๆ ว่า

    “ลูกจงฟังแม่ให้ดีนะ แม่ก็มีลูกคนเดียวทั้งยังเป็นผู้หญิงและกำพร้าพ่อ ทั้งยังมีทรัพย์สินพอจะเลี้ยงตัวได้ตลอดไป ฉะนั้น แม่จึงเป็นห่วง เห็นสิ่งใดที่ลูกทำไปไม่ดีแม่จึงห้าม ถ้าลูกคิดดูให้ดีก็จะเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ห้ามลูกนั้นด้วยความรักและหวังดีไม่เคยหวังร้าย แม่รักลูกเทียบเท่าชีวิต ไม่เคยหวังร้ายต่อลูก คนอื่นจะรักลูกมากเท่าไหร่ ก็ไม่เท่าความรักของแม่ที่มีต่อลูก”

    เมื่อได้ยินแต่ดิฉันไม่ได้ฟัง เกิดอารมณ์เสียขึ้นมาทันที หมดความเกรงกลัว พูดเสียงดังว่า “พอทีแม่ หนูไม่อยากฟังแล้ว ถ้าหนูหนีได้ หนูจะหนีไปให้พ้นเสียงของแม่ หนูเบื่อฟังเต็มทีแล้วไมู่รู้จะบ่นไม่รู้จะสอนกันไปถึงไหน แม่ควรจะรู้ว่าหนูโตแล้ว พอจะพึ่งตัวเองได้แล้ว พอทีเถิด หนูไม่อยากฟัง”

    คุณแม่ได้ยินอิฉันพูดเสียงดังเช่นนั้นก็หน้าสลดลง คงจะคิดน้อยใจว่าอิฉันนี้หัวดื้อ จึงพูดเสียงสั่นๆ ค่อยๆ คล้ายสะอื้นอยู่ในอกว่า

    “ลูกคงไม่รู้ว่าความรักและความหวังดีในหัวอกแม่มีมากเพียงใด วันหนึ่งลูกก็คงจะรู้สึกตัว เวลานั้นมันก็จะสายเกินแก้เสียแล้ว แม่คิดว่าได้พยายามทำหน้าที่ของแม่ดีที่สุดแล้ว แต่ลูกต่างหากที่ไม่ได้ทำหน้าที่ลูกดีพอที่จะรับความหวังดีของแม่ จิตใจของลูกนึกรังเกียจที่แม่คอยเป็นก้างขวางคออยู่ตลอดเวลา ลูกได้พยายามทำอะไรกระทบกระแทกว่าใส่หน้า แดกดัน แม่รู้ลูกไล่แม่ทางอ้อม แม่ก็คิดเหมือนกัน แม่อดทนอยู่เพราะเป็นห่วงลูก หากแม่ไม่ห่วงลูกของแม่แล้ว แม่ก็จะเข้าวัดศึกษาธรรม ทำจิตใจให้สงบเพื่อเป็นกุศลบารมีต่อไป”

    อิฉันได้ยินเช่นนั้นก็ได้โอกาสจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าแม่เข้าวัดได้ หนูจะขออนุโมทนาสาธุด้วย บ้านนี้คงจะได้อยู่สงบเพราะไม่ได้ยินเสียงบ่นเสียงจู้จี้” อิฉันพูดอะไรไปตามอารมณ์ ไม่ได้คิดไม่ได้นึกว่าจะกระทบกระเทือนแม่ผู้บังเกิดเกล้าอย่างใด เวลานั้นอิฉันรับว่าเป็นคนใจร้ายอยากจะให้แม่ออกจากบ้านไปเสียให้พ้นเท่านั้น แต่ต่อมาไม่นาน คุณแม่ก็ทนอารมณ์อิฉันไม่ไหว จัดการไปอยู่วัดแล้วไม่นานก็บวชชีจำศีลภาวนา

    ความรักทำให้ตาบอด ความเป็นอิสระของดิฉันที่ไม่มีคุณแม่มากีดขวาง ทำอะไรได้ตามชอบใจ ดิฉันปรนเปรอชายที่ดิฉันคิดว่าดี ชีวิตอิฉันยังอ่อนต่อโลกมาก ที่สุดอิฉันก็ต้องอุ้มท้องและคลอดลูกออกมาภายหลังเป็นผู้หญิง สามีที่ไม่ได้ตบแต่งก็คลายความรักเอาแต่เที่ยวเตร่ใช้เงินทองของอิฉันอย่างสบาย ที่สุดเธอก็แอบชอบผู้หญิงอื่น อิฉันไมู่รู้ แล้วก็ขอเงินอ้างว่าจะไปลงทุนโน่นลงทุนนี่ ดิฉันก็เชื่อจัดการให้ไป ที่สุดก็ไปแต่งงานกับหญิงอื่น เห็นจะเป็นเพราะเบื่ออารมณ์ของอิฉันที่เข้ากันไม่ได้ แต่ก็ปอกลอกอิฉันไปไม่น้อย ทำให้อิฉันต้องเศร้ามากในชีวิตที่ผิดหวังในคู่ครอง

    เมื่อลูกของอิฉันเติบโต อิฉันได้ทะนุถนอมและรักแกปานดวงใจ สงสารและรักแกมากเท่าใดก็ยิ่งชังพ่อใจร้ายของแกมากเท่านั้นที่ทอดทิ้งมิได้หันหน้ามาหาลูกบ้างเลย

    ต่อมาลูกดิฉันได้เกิดป่วยไข้ขึ้นมา อาการไข้ซึ่งความร้อนสูง อิฉันตกใจหาหมอมาดูแลรักษา คอยระวังอย่างใกล้ชิดไม่ยอมห่าง แม้แต่คนใช้ก็ไม่ไว้ใจ เห็นลูกซึ่งนอนไม่ใด้สติ ไม่ร้องอิฉันต้องร้องไห้เพราาะความสงสารแก อิฉันรักแกจนเพ้อกลัวแกจะจากไป อิฉันเพ้อร้องไห้พูดกับแกทั้งที่แกไม่มีสติและยังไม่เดียงสาว่า

    “ลูกอย่าหนีแม่ไป หากแม่ไม่มีลูกแล้วแม่จะอยู่ไม่ได้ ชีวิตของแม่เห็นจะต้องตามลูกไป”

    เมื่อหมอมาตรวจ ดิฉันต้องถามหมอทั้งน้ำตาว่า “คุณหมอขา ลูกดิฉันจะเป็นอันตรายไหมคะ คุณหมอต้องช่วยสุดกำลังนะคะ”

    หมอบอกว่า “ผมจะพยามจนสุดความสามารถ แต่เห็นจะต้องนำส่งโรงพยาบาลใกล้หมอหน่อยคงจะไม่เป็นอันตราย ทำใจดีๆ ไว้เถิดครับคุณนาย”

    อิฉันพูดกับหมอทั้งน้ำตาว่า “โถ คุณหมอขา อิฉันขาดแกไม่ได้หรอกค่ะ แกเป็นดวงใจของอิฉัน ลูกแม่อายุเพียงสามขวบกว่าเท่านั้น กำลังน่ารักน่าชัง ช่างพูดเสียงแจ๋วๆ” อิฉันปล่อยโฮออกมาต่อหน้าหมอหมดความอายด้วยความรักลูก เพราะยิ่งนึกจะอดกลั้นอย่างใดก็ไม่ไหว นึกถึงลูกป่วยแล้วอิฉันสงสารแกใจจะขาด อิฉันทนไม่ไหวจริงๆ ถ้าหากแกมีอันเป็นไป ต้องจากไปแล้ว ดิฉันจะทนมีชีวิตต่อไปไม่ได้

    ที่สุดลูกอิฉันก็เข้าอยู่โรงพยาบาล เมื่อลูกป่วย ดิฉันไม่เป็นอันกินอันนอน ทำอะไรไม่ถูก สติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวด้วยความรักลูก อิฉันต้องไปเฝ้าอยู่กับแกตลอดเวลา เมื่อแกได้สติพอจะพูดได้ ก็ได้ยินคำแรกที่แกพูดว่า “แม่จ๋า” ใจอิฉันพองขึ้นมาทันที รีบวิ่งไปกุมมือแกไว้แล้วพูดว่า “ลูกจ๋า แม่ อยู่นี่” เสียงเด็กไม่เดียงสาลืมตามองดูรอบห้องพลางถามว่า “แม่จ๋า หนูอยู่ไหนจ๊ะแม่” อิฉันบอกแกว่า “หนูไม่สบายจ้ะ อย่าพูดมากนะจ๊ะ นอนๆ นะลูกนะ” ครู่เดียวแกก็หลับไป อิฉันดีใจที่แกได้ฟื้นจากไข้แล้ว อิฉันเพิ่งจะรู้ว่าความรักของแม่มีต่อลูกนั้นลึกซึ้งเพียงใด เพราะได้กับตัวอิฉันซึ่งมีต่อลูก

    เมื่อลูกหายป่วยอิฉันต้องนึกถึงความรักของแม่ที่มีต่ออิฉัน น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ปากก็รำพันว่า “แม่จ๋า ลูกผิดไปแล้ว ลูกตีค่าความรักของแม่ ที่มีต่อลูกต่ำไป” แล้วก็หวนกลับนึกถึงเมื่ออิฉันเล็กๆ จำความได้เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย แม่จะต้องมาคอยพะเน้าพะนออยู่เคียงข้างตลอดเวลา คอยเอาอกเอาใจจะกินอะไรต้องการอะไร แม่หามาให้ทุกอย่าง เมื่อไข้หนักแม่ต้องอดหลับอดนอนคอยดูแล คอยป้อนอาหารปลอบโยนด้วยคำหวานซึ่งอิฉันยังจำได้ว่า “หนูกินยานะจ๊ะ ทูลหัวของแม่ ถ้าลูกหายป่วยแม่จะพาหนูไปเที่ยว หนูต้องการของเล่นอะไรแม่จะหาให้ ชื่นใจของแม่ กินยานะจ๊ะ”
     
  17. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    เมื่อเวลาป้อนข้าวแม่ก็ต้องอ้อนวอนขอร้องให้กินพูดอย่างอ่อนหวาน “หนูกินข้าวนะจ๊ะ ลูกจะได้หายป่วยเร็วๆ จะได้แข็งแรง” พลางก็เอาช้อนตักข้าวอ่อนๆ หรือน้ำข้าวใส่เกลือเค็มๆ ป้อนใส่ปาก แต่เวลานั้นอิฉันยังเล็ก ยังไม่เดียงสาในกิริยาความหมายของแม่ ซึ่งมีความห่วงใยมีความรักลูกเพียงใด แม้อิฉันจะเติบโตขึ้นจนมีบุตรแล้วก็ยังไม่รู้ซึ้งถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูก แต่บัดนี้ อิฉันนึกถึงและซาบซึ้งใจในชีวิตรักของแม่ที่มีต่อลูกแล้ว

    อิฉันคิดได้รู้สึกซึ้งถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูก เมื่อตอนที่ลูกอิฉันป่วยในคราวนี้ ดิฉันได้ทุ่มเทความรักความอาลัยให้กับแกยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง คุณแม่ของดิฉันคงรักอิฉันเช่นเดียวกับอิฉันรักลูก ยิ่งนึกถึงอกของแม่ อิฉันไม่สามารถจะอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ ต้องร้องไห้สะอืกสะอื้นหลายครั้งหลายหนนึ กถึงแล้วก็ร้องไห้ รู้สึกเสียใจที่ตัวเองได้ทำกับแม่บังเกิดเกล้าดังที่แล้วๆ มาอย่างไม่น่าให้อภัย ขาดความเคารพ ขาดความกตัญญูกตเวที

    เมื่อนึกก็เห็นความผิดของตน หลายครั้งที่อิฉันต้องสะอื้นและรำพันขึ้นมาว่า “แม่จ๋า แม่ที่รักลูกยิ่งชีวิต แต่ลูกกลับสนองคุณแม่ด้วยการเสือกไสไล่ส่ง แม่ต้องจากบ้านไปอยู่วัด แม่ต้องระทมทุกข์เพราะลูกไม่รู้บุญคุณของแม่ แม่คอยตักเตือนสั่งสอนลูก เมื่อลูกเห็นผิดเป็นชอบ ลูกเป็นคนอวดดี ต่อไปนี้ลูกจะขอเคารพบูชาพระคุณของแม่อยู่เหนือหัว ถ้าลูกไม่มีประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว คิดว่าลูกยังตาบอด ไม่เห็นความรักอันลึกซึ้งฝังอยู่ในจิตใจของแม่มีต่อลูกมากเพียงใด บัดนี้ลูกรู้สึกตัวแล้ว” อิฉันสะอึกสะอื้นร้องไห้หาแม่เหมือนทารก หากเรื่องเช่นนี้ไม่โดนกับตัวใครยากจะเข้าใจลึกซึ้งได้

    เมื่อลูกอิฉันหายดีกลับบ้านแล้ว ก็มีความร้อนใจมิได้อยู่ช้า ได้จัดการหาของที่แม่เคยชอบเคยกิน เคยใช้อย่างดี รีบเดินทางไปที่วัดสำนักชีอยากเห็นหน้าแม่ใจจะขาดแล้ว ดิฉันได้ตรงไปหาคุณแม่ ซึ่งได้บวชเป็นชีอยู่ในวัดนั้น เมื่อได้พบคุณแม่อยู่ในร่างแม่ชีผู้ทรงศีล นั่งอยู่ในสำนักที่พัก อิฉันได้ตรงเข้าไปก้มลงกราบเท้าคุณแม่ พลางพูดเสียงสั่นๆ ว่า

    “คุณแม่ขา ลูกรู้ตัวว่าลูกชั่ว ทำผิดมาก บัดนี้หนูได้รู้สึกตัวแล้ว”

    คุณแม่ในร่างแม่ชีผู้ทรงศีล เมื่อเห็นอิฉันเข้ากราบเท้าท่าน ก็ตกใจและคงสงสัยเพราะอิฉันไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน แล้วพูดออกมาว่า “ลูกรักของแม่ ลูกมีเรื่องเดือดร้อนอะไรมากนักหรือต้องร้องไห้ มาหาแม่เช่นนี้เหมือนคนทุกข์หนัก”

    เสียงของคุณแม่ยังนิ่มนวล อ่อนหวาน แสดงถึงยังมีความรักและเมตตาปรานีอิฉันเหมือนเช่นเดิม มิได้โกรธหรือรังเกียจที่อิฉันทอดทิ้งไม่ดูแลท่านมานาน ยิ่งทำให้ฉันนึกถึงพระคุณของท่านยิ่งขึ้น เมื่ออิฉันค่อยคลายความเศร้าโศกเสียใจที่เคยได้ปฏิบัติไม่ดีต่อคุณแม่มาแล้ว อิฉันจึงขอสมาลาโทษท่านที่ได้ทำกับท่านตลอดมาด้วยอารมณ์ ตลอดจนท่านต้องมาอยู่วัด และบัดนี้อิฉันได้รู้ถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูกแล้ว และอิฉันจะไม่ยอมเห็นผิดต่อไปอีก

    คุณแม่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แล้วพูดว่า “แม่ย่อมให้อภัยให้ลูกเสมอ”

    ดิฉันจะขอรับคุณแม่ถลับไปอยู่บ้านและจะปฏิบัติท่านให้มีความสุขความสบายเท่าที่อิฉันสามารถจะทำได้ แต่คุณแม่ท่านยกมือขึ้นลูบศีรษะอิฉันอย่างเอ็นดู และพูดขึ้นอย่างเมตตาปรานีต่อลูกว่า

    “ลูกรักของแม่ ตามที่ลูกรู้สึกว่าทำผิดกลับใจใหม่ ก็นับว่าเป็นกุศลของลูกแล้ว แม่มีความยินดีด้วย ตามที่ลูกจะขอรับแม่ไปอยู่บ้านเพื่อปฏิบัติแม่ให้มีความสุข ด้วยความกตัญญูกตเวทีของลูกนั้น แม่ก็ดีใจ ขอบอกว่าแม่ดีใจจริงๆ ที่รู้ว่าลูกกลับเนื้อกลับตัวได้ เรื่องในอดีตที่ผ่านไปแล้ว ลูกอย่าเอามาคิดเลยทำอะไรแก้ไขไม่ได้ เวลานั้นใจลูกยังเด็กอยู่ บัดนี้ลูกเป็นผู้ใหญ่พอตัวแล้ว จงก้มหน้าเลี้ยงลูกให้การศึกษาอบรมศีลธรรมให้แกเติบไปเบื้องหน้าจะได้เป็นพลเมืองดีของชาติ ปฏิบัติตนมีศีลธรรม ปฏิบัติดีในพระพุทธศาสนา สำหรับแม่เวลานี้ปฏิบัติตนอยู่ในศีลสมาธิปัญญา มีความสุขอยู่ด้วยความสงบเหมาะกับชีวิตบั้นปลายของแม่แล้ว ขอลูกอย่าได้ห่วงแม่เลย ความสงบทางจิตใจซึ่งอยู่ในขอบเขตของศีลธรรมเป็นความสุข ความสงบ สบายใจ ของแม่ในปัจจุบันนี้แล้ว”

    แม้อิฉันพยายามอ้อนวอนเท่าใด คุณแม่ก็คงไม่ยอมกลับมาอยู่บ้านอีก ฉะนั้น อิฉันจึงต้องตามใจและต่อมาถือโอกาสพาลูกไปเยี่ยมคุณยายของแกเดือนละหลายครั้ง หาของที่คุณแม่ชอบไปฝากท่าน แม้คุณแม่จะขอร้องอย่าซื้อหามาเลยสิ้นเปลืองเงินทองเปล่าๆ ดิฉันก็ไม่ยอม เพราะนึกว่าชีวิตเรามีแม่บังเกิดกล้าได้คนเดียวเท่านั้น ส่วนลูกสาวอิฉันแกรักและเคารพคุณยายของแกมาก นี่แหละค่ะชีวิตของอิฉัน เมื่อรู้สึกตัวผิดและกลับใจก่อนที่จะสายเกินไป

    เวลานี้อิฉันได้ปฏิบัติท่านทุกสิ่งที่สามารถจะทำได้ แม้ท่านจะปฎิบัติธรรมอยู่ทั่วไปก็ดี คิดว่าคนจำนวนมากที่ยังไม่รู้ว่าความรักของแม่ที่มีต่อลูกลึกซึ้งเพียงใด ตอนมีลูกของตนเองเมื่อใด และรักลูกปานชีวิตได้เจ็บป่วยหนักแทบจะเอาชีวิตไม่รอด เมื่อนั้นเราผู้เป็นแม่ก็รู้จักจิตใจว่า ความรักของแม่นั้นมีต่อลูกเพียงใดเราก็จะต้องคิดถึงตัวเราเมื่อเป็นลูก แม่จะรักเราเพียงใดก็จะรู้สึกซึ้งได้ในเวลานั้น การที่อิฉันได้นำเรื่องส่วนตัวในความรู้สึกมาเล่าให้ฟังนี้คิดว่าคงจะเกิดประโยชน์ และคงจะมีมากท่านผู้เป็นแม่ที่มีความรักลูกจะต้องหวนไปนึกถึงแม่ ความรักเป็นห่วงไม่ผิดอะไรกับเรารักลูกห่วงลูกเช่นกัน

    หากว่าจะมีความดีในเรื่องนี้ ดิฉันขออุทิศให้สัตว์โลกที่กำลังหลงทั้งหลาย จงได้รับกุศลอันนี้เพื่อส่งเสริมความรู้สึกให้ยกระดับสูงขึ้นมองเห็นแสงสว่างของชีวิตในทางดีต่อไป
    [​IMG]
     
  18. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ความฝันของลุงยุ้ย
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒



    โลกมนุษย์ที่เราอยู่ทุกวันนี้ ย่อมมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นได้เสมอ หากเรามีความสนใจได้พยายามติดตามค้นคว้า ก็จะเห็นได้ว่าเรื่องมหัศจรรย์ย่อมจะมีจริง แม้จะหาเหตุผลและหลักฐานที่จะพิสูจน์ไม่ได้ก็ดี แต่ก็มีผู้รู้เห็นที่จะเชื่อได้ว่า เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริง มิได้เดาหรือสร้างมโนภาพขึ้นเอง เรื่องที่จะเขียนนี้ผู้ส่งเรื่องให้ข้าพเจ้าเขียนนั้นเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ เมื่อได้พิจารณาแล้วก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่มีสาระเรื่องหนึ่ง ควรจะเผยแพร่ให้ผู้สนใจในเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ได้รู้แปลกๆ ที่เกิดขึ้นภายใน

    ชีวิตทั่วไปภายใต้ดวงอาทิตย์ ข้าพเจ้าจึงอยากสนับสนุนให้มีผู้รู้ในใจมากขึ้น ก็จะเป็นกุศลท่านเจ้าของเรื่องผู้ล่วงลับไปแล้ว ยังช่วยให้เรามีโอกาสที่จะศึกษาหาความรู้ใช้ความคิดและพยายามหาเหตุผล การเขียนขึ้นนี้ ก็เพื่อจะให้อนุชนรุ่นหลังค้นคว้าหาความจริงต่อไป คิดว่าคงจะได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าเชื่ออะไรอย่างงมงายและอยากให้ท่านเชื่อตามไปด้วย หากท่านผู้ใดอ่านแล้วไม่เชื่อเพราะไม่มีเหตุผล ข้าพเจ้าก็พอใจและยินดีที่ท่านเป็นคนมีเหตุผล

    โชคดีที่ข้าพเจ้าได้มีชีวิตอยู่ใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาให้สิทธิเสรีเป็นประชาธิปไตย มิได้บีบบังคับให้เชื่อถืออย่างงมงาย แต่พระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนากลับสนับสนุนไม่ให้เชื่ออย่างหลงไหล ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาหาเหตุผลให้แน่ใจเสียก่อนจึงค่อยเชื่อ เหตุนี้ก็เพราะพุทธศาสนาได้สอนหลักธรรมชาติเป็นสัจธรรม ทุกข้อทุกตอนที่สามารถจะพิสูจน์ได้ด้วยใช้สติปัญญาเพราะมีเหตุผล จะนำผู้ที่ปฏิบัติเกิดผลตามคำสอนของสมเด็จองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถ้าผู้มีปัญญาได้ใช้เหตุผลพิจารณา ถึงแก่นแท้ของหลักธรรมดูแล้วจะเห็นได้ว่าไม่มีข้อสงสัยใดๆ แฝงอยู่ จะมองเห็นทะลุปรุโปร่งใสสะอาด เหลือแต่เพียงมนุษย์ปุถุชนจะมีความอดทนศรัทธาพอที่จะปฏิบัติได้หรือไม่เท่านั้น ถ้าปฏิบัติได้เมื่อใดจะเห็นผลเกิดความสุขขึ้นนั้น

    ศาสนาพุทธเป็นลักษณะสายกลางในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ตามธรรมชาติของสังคมในโลกทั่วไป พระพุทธศาสนามีกรรมเป็นหลัก ทุกอย่างหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรม ใครทำดีทำชั่ว ก็ได้แก่ตัวผู้นั้น ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต้องปฏิบัติ ถ้าใช้เพียงอ้อนวอนอย่างเดียวขอให้บันดาลสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยไม่ต้องปฏิบัติ แต่ขอให้สมดังใจปรารถนาเช่นนี้ ไม่มีในพระพุทธศาสนา เพราะหนักไปในทางพิธีกรรมหรือบวงสรวงอ้อนวอน พระพุทธศาสนามีจุดใหญ่มุ่งหมายจะสอนให้มนุษย์เราปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ไม่มีความมุ่งหมายจะให้มนุษย์หลงงมงาย ฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงมีผู้เชื่อถือยู่ ๓ แบบ

    คือ ผู้เชื่ออย่างฝังชีวิตใจไม่เปลี่ยนแปลง ก็คือ ผู้ที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่าย แต่เชื่อด้วยใช้สติปัญญา ได้พิจารณาพิสูจน์เห็นความจริงแจ้งชัดเจนอย่างขาวสะอาด ไม่มีข้อสงสัยเหลืออยู่เลยแล้วจึงเชื่อภายหลัง
    เช่น ชาวต่างชาติที่เข้ามาศึกษาพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นต้น เพราะท่านเหล่านี้ล้วนแต่ชั้นปัญญาชนมีความรู้และมีการศึกษาสูง ชอบค้นคว้าหาความจริง

    อีกแบบหนึ่ง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และก็ไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณาพิสูจน์ติดตามให้สิ้นสุดถึงแก่น ปล่อยความรู้ไว้ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ตลอดไปไม่มีอะไรจะดีขึ้น อาศัยแต่ชื่อว่าเป็นผู้มีศาสนาเท่านั้น คล้ายจะเห็นว่าศาสนาไม่เป็นเรื่องสำคัญ แบบนี้ทำผิดง่าย ทำบาปง่าย เพราะไม่มีหลักธรรมแน่นอนจะปฏิบัติ ใจรวนเรและสามารถจะเปลี่ยนศาสนาได้ง่ายเพื่อเงิน เพื่อรักหรือความพอใจ เป็นแบบที่เห็นแก่ตัวไม่กลัวกรรม แต่บางท่านเกิดประสบการณ์ในชีวิตทำให้มองเห็นกรรมจึงนึกถึงบุญบาปชั่วดี หรือมีผู้ชักนำไปในทางถูกก็สามารถปฏิบัติเข้าถึงหลักธรรมชั้นสูงได้ก็มีไม่น้อย

    อีกแบบหนึ่ง ก็คือ เชื่ออย่างงมงายไม่พิสูจน์ ไม่สนใจในเหตุผล แบบนี้ออกจะมีมากไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ศาสนาใด มักนิยมชื่นชมหลงใหลในเรื่องการบวงสรวงบูชาอ้อนวอน และชอบปาฏิหาริย์ จิตใจไม่หนักแน่น มีอะไรก็ไม่ค่อยเชื่อตัวเอง ตัดสินใจไม่ถูก มักชอบไปพึ่งพวกหมอดูเชื่อในโชคชะตา ขาดความเข้มแข็งที่จะเป็นผู้นำในครอบครัว

    แบบนี้แม้จะมีปริมาณมากมายก็ไม่เกิดประโยชน์ กลับถ่วงความเจริญเพราะจิตใจผู้งมงายนั้นย่อมไม่ทำให้สังคมดีขึ้น กลับทรุดโทรมอบรมสั่งสอนลูกก็ไม่ค่อยจะได้ผลเพราะความอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง หากมีพระอาจารย์ที่มีความรู้คุณธรรมสูง ชักนำไปสู่ทางถูกก็สามารถหลุดพ้นจากทางผิดงมงายเข้าสู่ทางถูก เข้าถึงหลักธรรมชั้นสูงได้ก็มีมาก สำหรับพุทธศาสนามีหลักปฏิบัติเพื่อให้อยู่ในขอบเขตศีลธรรม ยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น เจริญทางจิตใจไม่เบียดเบียนผู้อื่น อยู่ในศีลธรรม แผ่เมตตา ที่สุดก็ปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น

    เรื่องชีวิตมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ย่อมมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นตามกรรมที่ได้สร้างไว้เป็นสมบัติก่อนจะดับจากโลกนี้มีตัวอย่างมากมายที่จะนำมาศึกษาหาความจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ดังเรื่องจะเล่าต่อไปนี้

    ลุงยุ้ยผู้มีอายุเป็นที่รู้จักของชาวบ้านและชาววัดในหมู่บ้านอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรีธรรมดาชาวบ้านในชนบทตามตำบล เมื่อเอ่ยชื่อแล้วย่อมรู้จักคุ้นเคยกันเป็นส่วนมาก เพราะขอบเขตไม่กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนในเมืองหลวง ฉะนั้น มีเรื่องอะไรก็เป็นที่รู้จักกันทั้งตำบล วัดเป็นที่ประชุมที่ดีของชาวบ้าน เป็นที่พบปะสังสรรค์กันในวันโกนวันพระ เมื่อมีอายุแล้วต่างก็หาโอกาสเข้าวัดรักษาศีลถืออุโบสถ เพื่อเป็นบุญกุศลบารมีในชาติหน้าต่อไป
     
  19. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ในหมู่บ้านที่ลุงยุ้ยแกอยู่ใกล้วัดอัมพวัน ตามปกติลุงยุ้ยแกใกล้ชิดท่านพระครูปลัดจรัญ ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน ลุงยุ้ยชอบพอกับท่านพระครูมานาน ก่อนเมื่อครั้งท่านยังจำพรรษาอยู่ที่วัดพรหมบุรี ภายหลังต่อมาท่านจึงได้มาจำพรรษาอยู่วัดอัมพวัน

    เหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นเมื่อต้น พ.ศ. ๒๕๑๐ คืนหนึ่งลุงยุ้ยนอนหลับแล้วฝันว่า ได้ไปที่ศาลาวัดอัมพวัน ได้เห็นชาย ๔ คน สองคนเดินหน้า อีกสองคนเดินตามหลังห่างๆ ต่างมีรูปร่างล่ำสันใหญ่โต ผิวเนื้อดำแดง ตาโต หน้าตาน่ากลัว ไม่ใส่เสื้อโพกหัวด้วยผ้าแดง นุ่งแดง เดินขึ้นศาลาเข้ามาหาลุงยุ้ย ฉุดกระชากคุมตัวไว้ ลุงยุ้ยตกใจเพราะไม่รู้เรื่องอะไร จึงถามขึ้นปากคอสั่นยกมือไหว้ทั่วคนด้วยความกลัวว่า “นี่มันเรื่องอะไร จะเอาผมไปไหนกัน ผมมีความผิดอะไรจึงต้องมาคุมตัวอย่างนี้”

    พวกคุมตัวพูดว่า “ถึงเวลาแล้ว นายเขาได้สั่งให้มาเอาตัวไปเดี๋ยวนี้ เพราะหมดเวลาที่จะอยู่ในเมืองมนุษย์ต่อไป อย่าให้ใช้กำลัง ไปเสียดีๆ”


    ลุงยุ้ยตกใจมาก นึกว่าตัวเองจะต้องตายเพราะหมดอายุแน่แล้ว แต่ด้วยความรักความเป็นห่วงลูกเมีย ที่จะต้องจากไป ก็เสียใจเกือบจะหมดสติ ได้พยายามอ้อนวอนผู้คุม หรือยมทูตอย่างน่าสงสาร ขอให้ประวิงเวลาไว้ก่อนจะได้ไปสั่งลูกสั่งเมีย แต่ชายผู้เป็นยมทูตไม่ยอมฟังเสียงอ้อนวอน โอดครวญอันน่าสงสารของลุงยุ้ย จึงได้คุมตัวไปโดยมียมทูตเดินหน้าสองคนและเดินหลังสอง ลุงยุ้ยก็จำต้องไปด้วยความทุกข์ระทมและเสียใจจนสุดขีด

    เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ก็นำตัวเข้าไปหาผู้มีตำแหน่งสูงในที่นั้น พร้อมกับรายงานว่า ได้นำวิญญาณของลุงยุ้ยมาแล้ว ลุงยุ้ยก็ได้พยายามพูดจาอ้อนวอนอย่างน่าสงสารกับหัวหน้ายมทูต นั้นว่า “ขอความกรุณาให้ผมได้มีโอกาสกลับไปพบกับลูกเมีย เพราะเขาไม่รู้เรื่อง ประเดี๋ยวเขาจะเป็นห่วง” หัวหน้าได้ฟังแล้วก็สั่งให้ตรวจบัญชีดูว่า ลุงยุ้ยได้เคยทำความดีอะไรไว้บ้าง ยมทูตผู้เปิดบัญชีดูแล้วก็รายงานว่า ลุงยุ้ยผู้นี้ยังมีจิตใจเป็นกุศล เข้าวัดอยู่ใกล้พระได้ทำบุญบริจาคทาน มีกรรมดีอยู่บ้าง

    หัวหน้าได้พิจารณาแล้วบอกว่าเพื่อเห็นแก่กรรมดี จึงได้อนุญาตให้ยืดเวลามีชีวิตออกไปอีก ๓ เดือน เวลาของโลกมนุษย์ ลุงยุ้ยค่อยมีความสบายใจขึ้น คิดว่ายังมีโอกาสกลับไปหาลูกเมียทันใดนั้นก็ได้ยินยมทูตรายงานให้หัวหน้าฟังต่อไป

    “ต่อไปนี้อีก ๔๐ วัน ถึงกำหนดของนายชั้น บ้านอยู่ตำบลหัวป่า หมู่ที่ ๒ อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จะหมดอายุ ถัดจากนั้นไปอีก ๓๐ วัน กำหนดหมดอายุของนายปลั่ง บ้านอยู่บางขาม อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี”

    เมื่อลุงยุ้ยได้ฟังก็ได้จดจำไว้แม่นยำ ยมทูตยังเห็นลุงยุ้ยยืนฟังอยู่ก็บอกว่า เมื่อได้ต่ออายุเพิ่มอีก ๓ เดือนแล้ว ทำไมยังไม่กลับบ้าน จะอยู่ทำไมอีก ลุงยุ้ยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ ความรู้สึกหมดไป จึงไม่ได้ทราบว่าใครคนไหนจะเป็นเหยื่อของยมทูตต่อไป เมื่อรู้สึกตัวได้กลับมาถึงบ้านด้วยการตื่นจากหลับ แล้วรู้สึกตกใจกลัวจนเหงื่อกาฬแตก รีบปลุกภรรยา เสียงเอะอะกลางดึกของลุงยุ้ยทำให้บุตรสาวและภรรยาตกใจตื่นขึ้น ต่างก็ถามถึงเรื่องราว ลุงยุ้ยก็เล่าความฝันที่ได้พบในยมโลกให้ทราบอย่างละเอียดลออ แต่พอภรรยาได้ฟังกลับหัวเราะแล้วพูดว่า

    “นี่ปลุกฉันขึ้นมากลางดึกให้มาฟังเรื่องเหลวไหลอย่างนี้หรือ อย่าไปเอาเรื่องเหลวไหลมาคิดเป็นเรื่องจริงจังอะไรเลย เมืองผีเมืองสาง หรือวิญญาณไม่มีจริงหรอกน่า อย่าไปคิดให้เป็นบ้าไปเลย ท้องไม่ดีก็หายาธาตุกิน แล้วนอนหลับเสียเถิด”

    ลุงยุ้ยได้ยินภรรยาพูดเช่นนั้นก็นึกในใจว่า ถ้าเราจะไปเล่าให้คนอื่นเขาฟังใครเขาจะไปเชื่อเรา แม้แต่ลูกเมียผู้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมก็ยังไม่เชื่อ แล้วหัวเราะเยาะเสียด้วยจะให้คนอื่นเขาเชื่อได้อย่างไร และทำให้ลุงยุ้ยไม่กล้าไปเล่าให้ใครฟัง เมื่อมาถูกลูกเมียหาว่าเป็นคนงมงาย เหมือนคนบ้าเพ้อเจ้อเอาเรื่องฝันเหลวไหลมาเป็นเรื่องจริงจัง กลับทำให้ตนเองชักจะสงสัยไม่แน่ใจว่าเรื่องที่ฝันนี้จะเป็นความจริง ซ้ำนึกตำหนิตัวเองที่กลัวไม่เข้าเรื่อง

    เมื่ออยู่ต่อมาก็ได้สืบรู้ว่า นายชั้น บ้านที่อยู่หัวป่า หมู่ที่ ๒ อำเภอพรหมบุรี มีตัวจริง และได้ตายลงอย่างที่รู้มาตามกำหนดเวลาในความฝันแล้ว ก็ทำให้ลุงยุ้ยสะดุ้งตกใจกลัว เกิดไม่สบายใจตลอดเวลา คิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลเสียแล้ว ต่อมาก็สืบทราบว่าที่บ้านขาม อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี มีคนชื่อ ปลั่ง เป็นความจริง แต่แล้วลุงยุ้ยก็ต้องตกใจแทบหมดสติ ประสาทหวั่นไหวเพราะความกลัว เมื่อได้ทราบข่าวว่าคนชื่อปลั่งได้ตายลงตามกำหนดเลา

    ลุงยุ้ยมีแต่ความกลัว นึกแน่ใจว่า คราวนี้ก็ถึงตัวเองก็คงจะสิ้นอายุแน่ หนีไม่พ้น เพราะวันคืนกำลังจะผ่านไป ถึงกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาต ให้มาอยู่ในเมืองมนุษย์จวนจะครบสามเดือน เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน และสัตว์โลกทั้งหลายย่อมกลัวตาย ลุงยุ้ยก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ย่อมหนีไม่พ้นความกลัว ระยะหลังนี้ลุงยุ้ยรู้ตัวว่า ความตายใกล้เข้ามามากแล้ว จึงทำบุญสวดมนต์ภาวนาตลอดมา ยังไม่อยากตาย กลัวการจากของรัก กลัวความดับ

    ฉะนั้น พอรู้ตัวว่าความฝันนั้นเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ความหวาดกลัวทำให้กำลังใจหมดลง กำลังที่เข้มแข็งอ่อนเปียกลง การป่วยเจ็บเข้ามาแทน ลุงยุ้ยป่วยลงไม่นานก็มีอาการทรุดหนัก ทั้งบุตรสาวและภรรยาก็ต้องวิ่งเต้นหาหมอมารักษาพยาบาล แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ข้าวปลาอาหารเบื่อกินไม่ลง เมื่อป่วยหนักแต่ยังได้สติดีเป็นพักๆ จึงสั่งให้ภรรยาไปนิมนต์ท่านพระครูปลัดจรัญ ที่วัดอัมพวันผู้ที่ลุงยุ้ยเคารพนับถือมาก่อน เพราะคิดว่าไหนๆ ก็จะจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อก่อนจะจากก็จะขอให้ฟังรสพระธรรมเป็นที่พึ่งอันสุดท้ายเพื่อทำจิตให้สงบ เพื่อกำจัดความหวาดกลัวก่อนตายจะได้สติ

    เมื่อภรรยากลับมา บอกว่าท่านพระครูปลัดไม่อยู่ มีคนเขานิมนต์ไปและยังไม่มีเวลาเพราะท่านติดงานมาก ลุงยุ้ยก็เศร้า มีความกระวนกระวายใจ เวลาจะจากโลกนี้ไปก็ใกล้เข้ามา ต่อมาท่านพระครูปลัดจรัญ ฐิตธมฺโม ก็มาเยี่ยม ท่านพระครูเห็นลุงยุ้ยป่วยอาการมาก ก็ถามว่า

    “โยมป่วยเป็นอะไร อาตมาได้ทราบว่าให้โยมผู้หญิงไปนิมนต์อาตมา บังเอิญ ๒ - ๓ วันนี้อาตมามีงานยุ่งมาก รับนิมนต์ก็หลายแห่ง เพิ่งจะได้มีเวลาปลีกตัวมาเยี่ยมโยมวันนี้แหละ”

    ลุงยุ้ยนอนป่วยอยู่ เมื่อเห็นท่านพระครูมาเยี่ยมทักทายปราศรัยก็เกิดมีอาการแช่มชื่นขึ้น ยกมือขึ้นนมัสการท่านพระครูแล้วพูดว่า “ผมป่วยไม่กี่วันอาการทรุดลง หมอก็รักษาไม่ทุเลาขึ้น มีอาการหนักลงทุกวัน ผมรู้ตัวว่าไม่ช้าผมก็ต้องจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อได้พบท่านพระครู ผมรู้สึกเกิดกำลังใจขึ้นมา”
     
  20. Jt Odyssey

    Jt Odyssey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,684
    ค่าพลัง:
    +12,591
    ท่านพระครูให้สติว่า “โยมจงทำใจให้สงบ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในโลกไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครหนีความตายพ้นได้ เกิดแล้วก็อยู่ได้ตามกำหนดอันสมควรตามกรรมที่สร้างไว้ ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว เราก็ต้องรับไว้เป็นมรดกแล้วก็ดับไป เกิดๆ ดับๆ เช่นนี้ไม่สิ้นสุด ความตายนั้นไม่แน่นอนว่าเมื่อใด ที่ไหน อายุเท่าใด แล้วแต่กรรมจะลิขิต คนดีมีศีลธรรมย่อมจะตายตามอายุขัย บุญกุศลสนองสามารถจะต่ออายุให้ยืนยาวไปได้ คนใจชั่วสร้างกรรมทำบาป ย่อมจะตายก่อนกำหนดอายุขัย เพราะความชั่วทอนชีวิตของตัวเองให้สั้นลง

    ฉะนั้น เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ควรจะสร้างความดีไว้เพื่อบารมีในภพหน้าต่อไป ถ้าถึงเวลาเจ็บป่วย รู้ตัวดับจากโลกนี้ไปก็ขอให้พิจารณาถึงสังขารด้วยสติปัญญา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ทุกคนก็ต้องพบเหมือนกันหมดจะเสียใจเสียดายชีวิตก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าใช้ปัญญาก็จะเห็นได้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นจากใจของเราเอง ถ้าเรามีอำนาจใจสูงก็สามารถทำลายกิเลสโลภ รัก โกรธ หลง ได้ เราก็หมดทุกข์จะเป็นบารมีติดตามเราไปในโลกหน้า

    โยมก็สร้างบุญกุศลประกอบแต่กรรมดี ขอให้ตั้งสติแผ่กุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเพื่อขออโหสิกรรม กรวดน้ำไปให้ กรรมเก่าเราไม่รู้ว่าเราเคยสร้างอะไรไว้บ้าง ผลบุญที่เราสร้างไว้ในชาตินี้คงจะสนอง ขอให้โยมทำใจให้สงบนิ่ง ตัดความรู้สึกให้หมดสิ้น ไม่ว่าบุญหรือบาป ชั่วหรือดีไม่ต้องคิด หากเรามีบุญบารมีพอ จิตเราก็จะสดใสสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อหมดความรู้สึกใดๆ จิตก็ว่างเปล่า เมื่อดับจากโลกนี้ไป อย่างน้อยก็หลุดพ้นจากอบายภูมิ มีนรก อสุรกาย เดรัจฉาน เป็นต้น”


    ลุงยุ้ยเมื่อได้ฟังท่านพระครูให้สติ ก็เกิดความปีติเกิดกำลังใจมีความเข้มแข็งขึ้นมา พยุงกายลุกขึ้นได้ แล้วมานั่งกราบท่านพระครู พูดว่า “ผมคอยท่านมานานแล้วหลายเวลา เมื่อได้พบท่านวันนี้ผมมีความสบายใจขึ้นทางความรู้สึก ผมรู้แล้วคนเรากำลังอยู่ที่ใจ จะมีทุกข์หรือมีสุข จะกล้าหรือจะกลัวก็อยู่ที่ใจ ฉะนั้น ผมทำให้ใจเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อ ไม่กลัวตาย ผมจะปฏิบัติตามคำของท่านพระครูเมื่อถึงเวลาก็พร้อมที่จะตาย ขอเวลาให้ผมได้กินข้าวกินปลาเสียก่อน ให้มีกำลังเพิ่มขึ้น เพราะกินไม่ลงมาหลายวันแล้ว”

    ท่านพระครูเห็นหน้าตาของลุงยุ้ยผ่องใสขึ้นก็ดีใจ พูดขึ้นว่า “ตามสบายเถิดโยม อาตมาคอยได้”

    ลุงยุ้ยสั่งลูกและภรรยาหาข้าวมา แล้วก็ลงมือกินอย่างอร่อยคล้ายคนจะหายป่วยหายไข้ ลูกเมียก็พากันดีใจ คิดว่าคราวนี้ลุงยุ้ยคงหายป่วยแน่ เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วก็พูดกับท่านพระครูเหมือนคนปกติว่า

    “ก่อนที่ผมจะจากโลกนี้ไป ผมมีเรื่องจะฝากท่านพระครูไว้เรื่องหนึ่ง จะฝากคนอื่นหรือลูกเมียก็ไม่ได้ผล เห็นแต่ท่านพระครูองค์เดียวที่ผมนับถือพอที่จะเป็นที่พึ่งจะฝากเรื่องนี้ได้ เพื่อจะเกิดประโยชน์เป็นบุญกุศลแก่ผู้อื่นต่อไป ฉะนั้น ผมจึงคอยท่านพระครูอยู่ด้วยใจกังวล วันนี้ผมได้พบท่านพระครูแล้วผมดีใจมาก เพราะผมจะได้หมดภาระ หมดห่วงตามที่ตั้งใจไว้”

    ท่านพระครูยิ้ม พูดให้กำลังใจว่า “อาตมายินดี ถ้าอาตมาช่วยได้แล้วไม่ขัดข้อง โปรดเล่าต่อไปเถิดโยม อาตมาคอยฟังและจดจำบันทึกไว้”

    จากนั้นลุงยุ้ยก็เล่าเรื่องที่เกิดจากความฝันให้ฟัง เช่นเดียวกับเล่าให้ภรรยาและบุตรสาวฟังมาแล้ว และต่อท้ายว่า “ผมได้เฝ้าสืบสวนนายชั้นกับนายปลั่งดูก็ทราบว่ามีตัวจริง และได้ตายไปตามกำหนดเวลาในบัญชีของพวกยมทูตแล้ว ผมก็ไม่มีข้อสงสัยอะไรที่เวลานั้นจะไม่มาถึงผมเช่นเดียวกัน ถ้าผมจากโลกนี้ไปแล้ว ขอให้ท่านพระครูจงนำเรื่องของผมเล่าให้ประชาชนฟังด้วย เพื่อจะเกิดประโยชน์ส่วนรวมต่อไป”

    ท่านพระครูปลัดจรัญ ได้นิ่งฟังด้วยความสนใจและสงสารลุงยุ้ย เมื่อลุงยุ้ยเล่าจบ ท่านพระครูจึงพูดอย่างไตร่ตรองข้อความที่ลุงยุ้ยเล่าให้ฟังแล้วก็พูดขึ้นช้าๆ และหนักแน่นว่า

    “อาตมาขอขอบใจที่โยมได้เล่าเรื่องมหัศจรรย์ให้อาตมาฟัง และเจาะจงคอยจะเล่าเรื่องนี้ให้อาตมาทราบ เพื่อเผยแพร่บอกให้ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้เรื่องนี้ต่อๆ กันไป อาตมาเชื่อแน่ว่า เรื่องที่โยมเล่ามานี้เป็นความจริง ดีใจที่โยมกลับมีจิตใจเข้มแข็ง เกิดพิจารณาตามหลักธรรม อาตมาขอรับรองกับโยมว่าจะพยายามนำเรื่องนี้บอกๆ กันไปเป็นธรรมทาน เพื่อโยมจะเกิดเป็นกุศลเกิดบารมี เพื่อช่วยโยมให้เกิดความสุขที่ได้นำเรื่องนี้มาถวายเล่าให้อาตมาฟัง อาตมาก็คิดว่าเรื่องนี้คงจะเกิดประโยชน์แก่ญาติโยมทั้งหลายในเรื่องกรรม”

    ต่อจากนั้น ท่านพระครูก็ให้ลุงยุ้ยรับศีล ๕ และแสดงธรรมให้ฟังพอสมควร แล้วท่านจึงได้ลากลับวัด หลังจากท่านพระครูออกจากบ้าน อาการป่วยของลุงยุ้ยก็กลับหนักลง นอนหมดสติลงทันที

    แต่แล้วในตอนวันรุ่งขึ้น ข่าวสลดใจที่ท่านพระครูได้ทราบก็คือ ลุงยุ้ยได้สิ้นจากโลกนี้ไปด้วยความสงบเมื่อตอนดึกในคืนวันนั้นเอง เพราะวันนั้นเป็นวันกำหนดพอดีสามเดือนนับจากคืนที่ลุงยุ้ยได้ฝัน ท่านพระครูจึงได้นำเรื่องนี้มาเผยแพร่เพื่อให้ตรงตามประสงค์ของลุงยุ้ย ผู้ได้จากโลกนี้ไปแล้วตรงกับความฝันประหลาด

    ข้าพเจ้าผู้เรียบเรียงเรื่องนี้จากหนังสือบันทึกของพันเอกวสันต์ พานิช เมื่อเขียนเสร็จแล้วข้าพเจ้าก็ทำจิตใจให้สงบแล้วก็แผ่ส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของลุงยุ้ย หากท่านผู้ใดอ่านแล้วทำจิตให้สงบ แล้วช่วยกันระลึกถึงบุญกุศลที่เราสร้างไว้ ไม่ว่าจะเป็นอดีตชาติ หรือในปัจจุบันนี้ก็ดี แล้วช่วยกันแผ่กุศล และเมตตาธรรมให้แก่วิญญาณของลุงยุ้ย คิดว่าคงจะเป็นกุศลยิ่งใหญ่ที่สามารถช่วยให้วิญญาณของลุงยุ้ยเข้าสู่สุคติได้ และเราก็คงจะประสบความดีและความฝันดี เป็นสิริมงคลแก่ตัวเราเองตลอดไป เพราะจะพ้นจากฝันร้าย

    หากท่านจะมีปัญหาเรื่องเช่นนี้ แม้รู้ตัวว่าจะมีอายุอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไปได้ไม่นาน ท่านจะทำอย่างไรหากเรื่องนี้ยังไม่สามารถจะแก้ปัญหาทางใจได้ ก็ขอให้ท่านกลับไปอ่าน อำนาจจิต ในเรื่องที่ ๔๔ ในชุด “กฎแห่งกรรม” หรือ ใครจะอยู่ค้ำฟ้า ในเรื่องที่ ๕๔ บางทีอาจเกิดประโยชน์ได้บ้าง

    บัดนี้ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตจากพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (พระครูปลัดจรัญ) และครอบครัวของลุงยุ้ย ด้วยความกรุณาของพันเอกวสันต์ พานิช ผู้บันทึก และได้กรุณาติดต่อตามที่ข้าพเจ้าผู้เขียนขอร้อง เพื่อขออนุญาตใช้นามจริงของท่านผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้

    ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการขอบพระคุณ ที่ท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (พระครูปลัดจรัญ) ได้กรุณาอนุญาตให้ใช้นามจริงได้ ขอขอบคุณครอบครัวของลุงยุ้ย และขอขอบคุณพันเอกวสันต์ พานิช ผู้บันทึก ได้กรุณาติดต่อในเรื่องนี้จนเกิดประโยชน์ต่อไป



    ........................... เอวัง ...........................
    credit
    ::

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...