มีวัตถุมงคลสายพระป่ากรรมฐานให้บูชาราคาเบาๆ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Somchai 2510, 8 กันยายน 2019.

  1. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 570 ล็อกเก็ตรุ่นเเรกฉากฟ้าขาวจัมโบ้หลวงปู่พวง สุวีโร พระอรหันต์เจ้าวัดป่าปูลู อ.หนองหาน จ.อุดรธานี หลวงปู่พวงท่านเป็นศิษย์หลวงปู่อ่อน ญานสิริ ,หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถั้ากลองเพล เป็นต้น สร้างปี 2535 หลังล็อกเก็ต,มีบรรจุเฝังพระเกศา,จีรวร,พลอยเสก,ข้าวสารหินเสก,เทียนชัย ติดเเผ่นทองตอกโค๊ต เป็นต้น ,,มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ************บูชาที่ 385 บาทฟรีส่งems SAM_8631.JPG SAM_8632.JPG SAM_7605.JPG sam_7828-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2021
  2. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 571 เหรียญหลวงปู่หลุย จันทสาโร พระอรหันต์เจ้าวัดถํ้าผาบิ้ง อ.วังสะพุง จ.เลย หลวงปู่หลุยเป็นศิษย์รุ่นใหญ่หลวงปู่มั่น เหรียญสร้างปี 2530(ทันหลวงปู่ครับท่านละสังขาร 2532) เนื้อทองเเดงรมนํ้าตาล สร้างเนื่องหลวงปู่อายุครบ 86 ปี ,มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ ********บูชาที่ 275 บาทฟรีส่งems
    หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร

    วัดถ้ำผาบิ้ง บ้านนาแก ตำบลผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย

    "พระอริยเจ้าผู้มีปฏิปทามักน้อยสันโดษหาผู้เสมอได้ยาก"


    1.png


    พระเดชพระคุณหลวงปู่หลุย จนทฺสาโร เดิมท่านนับถือศาสนาคริสต์ แต่มีนิสัยวาสนาน้อมมาในทางธรรมตั้งแต่วัยเด็ก


    อายุ ๗ ขวบ ธรรมเกิดเพียงเพราะการมองดูสายน้ำที่ไหลไปไม่มีวันกลับ ท่านคิดๆ พิจารณาเทียบชีวิตของคนที่ล่วงตายไป ไม่มีวันกลับคืนได้อีก จึงภาวนาโดยอาศัยสายน้ำนั้นเป็นอารมณ์

    อายุ ๙ ขวบ จิตตกภวังค์ นิมิตเห็นแสงสว่างคล้ายสีรุ้ง เกิดความชื่นชอบพระกรรมฐานและการออกบวชแบบพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก

    ท่านเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นที่ได้รับการยกย่องว่า "เป็นผู้ทรงธุดงค์ธรรม ว่าด้วยความเป็นผู้มักน้อยสันโดษ หาผู้ใดในยุคปัจจุบันเสมอได้ยาก" นอกจากความเป็นผู้มักน้อยสันโดษแล้ว ท่านยังเป็นผู้มีความเพียรกล้า เป็นผู้ที่มีบุญวาสนา ได้ร่วมสำนักปฏิบัติธรรมและได้อุบายธรรมกับสุดยอดพระบูรพาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานทั้งสองคือ หลวงปู่เสาร์ กนตฺสีโล และ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

    นิสัยของท่านอยู่ง่ายไปเร็ว ชอบท่องเที่ยวไปตามป่าเขา ไม่ติดสถานที่ ชอบอยู่ป่าและถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร และเป็นศิษย์ที่เข้าใจในอัชฌาศัยของท่านพระอาจารย์มั่นเป็นอย่างดี สามารถนิมนต์ท่านพระอาจารย์มั่น อยู่จำพรรษาที่วัดบ้านหนองผือได้ จนกลายเป็นสำนักกรรมฐานที่เลื่องชื่อผลิตพระอริยเจ้าเข้าสู่ตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน

    ท่านได้รับอุบายธรรมอันสำคัญจากสหธรรมิกผู้เป็นพระดั่งเพชรน้ำหนึ่งคือ หลวงปู่ขาว อนาลโย ด้วยอุบายธรรมอันแยบยลที่ได้รับจากเพื่อนนี้เอง หลวงปู่หลุยจึงได้กล่าวว่า "การภาวนาจะเป็นไปได้ด้วยดีนั้น นอกจากจะต้องมีครูบาอาจารย์ที่ดีแล้ว ก็คสรจะต้องมีกัลยาณมิตรที่ดีด้วย"

    ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๗ พรรษา ๔๐ ท่านถึงที่สุดแห่งธรรม ถึงการประหารกิเลสเข้าสู่นิพพานด้วยวิชาม้างกาย ที่ถ้ำกกกอก อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย



    2.png

    ในหลวงทรงนมัสการหลวงปู่หลุย


    ท่านเกิดวันอังคารที่ ๓ ปีฉลู ณ ตำบลกุดป่อง อำเภอเมือง จังหวัดเลย เป็นบุตรของ นายคำผ่อย วรบุตร (ลูกชายเจ้าเมืองแก่นท้าว แขวงไชยบุรี ประเทศลาว) และนางกวย วรบุตร (เจ้าแม่นางกวย ธิดาของผู้มีฐานะเขตเมืองเลย)

    อุปสมบทครั้งแรก เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๖ ณ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด ระหว่างพรรษาแรก ท่านได้พยายามศึกษาพระธรรมวินัย ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์บุญ ปญฺญาวุโธ เกิดความเลื่อมใสจึงขอถวายตัวเป็นศิษย์ และได้ญัตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุตที่วัดศรีสะอาด อำเภอเมือง จังหวัดเลย

    ต่อมาท่านได้พบกับ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่เสาร์ที่วัดพระพุทธบาทบัวบก



    3.png

    รูปเหมือนหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร


    ในพรรษานี้ การภาวนาของท่านจิตรวมแล้วเกิดอาการสะดุ้ง พระอาจารย์บุญสงสัยว่าการญัตติครั้งที่แล้วคงจะไม่ถูกต้อง จึงได้ให้ญัตติเป็นคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตใหม่เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เวลา ๑๓.๐๘ น. โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์บุญ ปญฺญวุโธ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ณ วัดโภธิสม๓รณ์ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี

    หลังจากญัตติแล้ว พระอาจารย์บุญได้นำท่านไปกราบท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย หลังจากนั้นท่านจึงออกวิเวกไปทางจังหวัดเพชรบูรณ์ เลย อุดรธานี นครราชสีมา ร้อยเอ็ด ขอนแก่น สกลนคร หนองบัวลำภู จันทบุรี ปทุมธานี นครนายก สมุทรปราการ ชลบุรี หนองคายและประจวบคีรีขันธ์

    ปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ - ๒๕๑๕ ท่านจำพรรษาที่ถ้ำผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย นานติดต่อกัน ๖ ปี นับเป็นการจำพรรษายาวนานกว่าที่แห่งไหน

    ปีพุทธศักราช ๒๕๒๙ - ๒๕๓๒ ท่านได้จำพรรษา ณ ที่พักสงฆ์ พหลโยธิน กม. ๒๗ ดอนเมือง กรุงเทพฯ และที่พักสงฆ์เย็นสุดใจ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์



    4.png

    อัฐิธาตุของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ที่วัดอโศการาม



    5.png

    อัฐิธาตุของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร


    ท่านนิพพานเข้าสู่บรมธรรมในวันจันทร์ที่ ๒๕ พ.ศ. ๒๕๓๒ เวลา ๐๐.๔๓ น. ณ โรงพยาบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

    สิริรวมอายุ ๘๘ ปี ๑๐ เดือน ๑๔ วัน ๖๔ พรรษา



    6.png

    พระธาตุของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร



    7.png

    เกศาและพระธาตุของหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร

    SAM_8624.JPG SAM_8623.JPG SAM_7609.JPG
     
  3. ผู้ผ่านมา

    ผู้ผ่านมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2006
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +140
    รับครับ
     
  4. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 572 ล็อกเก็ตฉากฟ้าขาวรุ่นเเรกจัมโบ้หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร พระอรหันต์เจ้าวัดป่านาสีดา อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี หลวงปู่จันทร์โสมเป็นศิษย์รุ่นสุดท้ายหลวงปู่มั่น สร้างปี 2535 ด้านหลังบรรจุข้าวสารหินเสก,พลอยเสก,เกศา,จีวรหลวงปู่เเละเทียนชัย มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ ************ บูชาทที่ 375 บาทฟรีส่งems(อนึ่ง.....หลวงปู่จันร์โสมท่านเป็นพระที่มีพลังจิตสูงมากองค์หนึ่ง ผมเคยให้เป่ากะหม่อมให้ ผลปรากฏมึนหัวไปหลายวันเลยครับ)
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร

    1553-90d0-jpg.jpg
    วัดป่าจันทรังสี (วัดป่านาสีดา)
    ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

    ๏ อัตโนประวัติ

    “หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร” มีนามเดิมว่า จันทร์โสม ปราบพลพาล เกิดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พุทธศักราช 2465 ตรงกับวันจันทร์ แรม 3 ค่ำ เดือน 7 ปีจอ ณ ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายกรม และนางอาน ปราบพลพาล ครอบครัวประกอบอาชีพทำนาทำไร่ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 6 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 5 มีชื่อตามลำดับดังนี้

    1. นางบุญชม ใจหาญ
    2. ด.ญ.คำ ปราบพลพาล (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
    3. ด.ญ.อ่ำ ปราบพลพาล (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
    4. ด.ญ.ไอ่ ปราบพลพาล (เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก)
    5. หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร
    6. นายกองแก้ว ปราบพลพาล

    ณ บ้านนาสีดา ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี มีวัดป่าวัดหนึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งกว้าง ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นป่าไม้ตะเคียนหนาทึบ บัดนี้ป่าไม้ได้หายไปแล้วหลังจากสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) ตัดถนนเข้าไป กลายเป็นหมู่บ้านชาวไร่ชาวนา วัดนี้ชื่อ “วัดป่าจันทรังสี” วัดสาขาของวัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ของพระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) อดีตสมภารเจ้าวัด คือ “หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร” พระเถระสายวิปัสสนากรรมฐานศิษย์ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    หลวง ปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร ท่านเป็นมิ่งขวัญร่มโพธิ์ร่มไทรของชาวบ้าน คณะศรัทธาญาติโยม และคณะสงฆ์อรัญวาสี โดยเป็นพระวิปัสสนาจารย์รูปที่ 3 แห่งภาคอีสานตอนเหนือ รองจาก ท่านเจ้าคุณพระธรรมไตรโลกาจารย์ (รักษ์ เรวโต) แห่งวัดศรีเมือง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.หนองคาย และ พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) แห่งวัดอรัญญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
    ๏ ชีวิตในวัยเด็ก

    วัย เด็กคลุกคลีอยู่กับวัด เพราะโยมบิดาเป็นมัคนายกวัดบ้านนาสีดา อายุ 10 ขวบ ก็เข้ารับการศึกษาประชาบาลที่วัดบ้านกลางใหญ่ ต.กลางใหญ่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ระยะแรกที่เรียนหนังสือนั้นต้องไปๆ มาๆ ระหว่างวัดกับบ้าน ผลที่สุดได้ไปอยู่วัดเป็นประจำ จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เมื่ออายุ 14 ปี หลังจากออกจากโรงเรียนแล้วก็ได้กลับมาอยู่บ้าน ด้วยเหตุที่วัดไม่มีพระอยู่ประจำ ต่อเมื่อมีพระเณร โดยเฉพาะพระกรรมฐานเดินธุดงค์มาพัก ก็จะเข้าไปปฏิบัติรับใช้ท่านอยู่ที่วัดเป็นประจำ จนกว่าจะออกเดินทางหาวิเวกไปที่อื่นต่อไป

    พออายุ 15 ปี ได้ไปอยู่กับท่านพระอาจารย์เกตุ ขนฺติโก พระพี่ชายของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ซึ่งบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสระวารี อ.บ้านผือ และได้รับการสอนให้เขียนหนังสือขอม

    เมื่ออายุได้ 16 ปี ใน พ.ศ.2481 ได้ย้ายไปอยู่ที่ถ้ำพระนาผักหอก อ.บ้านผือ กับท่านพระอาจารย์วารี เรี่ยวแรง (ขณะนั้นได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว) ท่านพระอาจารย์วารี มีแต่พระอยู่ไม่มีเณรรับใช้ จึงจำเป็นต้องไปอยู่รับใช้จนตลอด 3 เดือนจึงได้กลับบ้าน กระทั่งปี พ.ศ.2482

    1554-d786-jpg.jpg
    ๏ การอุปสมบท

    จาก นั้นอายุ 17 ปี โยมบิดาเสียชีวิตลงไม่มีใครช่วยทำนาทำไร่ มีแต่โยมมารดา พี่สาว และพี่เขยเท่านั้น หลวงปู่จันทร์โสมจึงจำเป็นต้องอยู่บ้านช่วยพี่สาวและพี่เขยทำนาทำไร่เลี้ยง ครอบครัว เพราะน้องชายก็ยังเป็นเด็กเล็กทำงานอะไรไม่ได้ ในสมัยที่โยมบิดายังมีชีวิตอยู่ การทำนาก็ยังต้องอาศัยการจ้างแรงงานช่วยทำทุกปีกว่าจะแล้วเสร็จ ท่านจึงได้ช่วยครอบครัวทำนาอยู่จนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ และได้พิจารณาถึงความศรัทธาที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา กับระลึกถึงกุศลเจตนาของโยมบิดา จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดอรัญญวาสี ต.ท่าบ่อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2485 เวลา 15.23 นาฬิกา

    โดยมี ท่านเจ้าคุณพระธรรมไตรโลกาจารย์ (รักษ์ เรวโต) วัดศรีเมือง จ.หนองคาย เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระครูวิชัยสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ (ซึ่งหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ท่านมีศักดิ์เป็นพี่ชายโยมมารดาของหลวงปู่จันทร์โสม) ท่านได้รับนามฉายาว่า “กิตฺติกาโร” สังกัดธรรมยุตติกนิกาย


    ๏ ลำดับการจำพรรษา

    หลัง จากพรรษาแรกผ่านพ้น ท่านออกวิเวกไปในสถานที่ต่างๆ อาทิ บ้านน้ำอ้อม อ.วังสะพุง จ.เลย และวัดหนองขาม อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ก่อนที่จะกลับมาเกณฑ์ทหารในปี พ.ศ.2486 ในปีนั้น ท่านได้พำนักจำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี จ.หนองคาย เข้าเรียนนักธรรมชั้นตรี ปรากฏว่าสอบได้ ทางการจึงยกเว้นไม่ต้องไปเป็นทหาร ต่อมาท่านจึงไปพำนักกับท่านพระอาจารย์เกตุ ขนฺติโก ที่วัดป่าช้าบ้านสว่าง

    ปี พ.ศ.2487 กลับมาจำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี เรียนนักธรรมชั้นโท ออกพรรษาสอบได้แล้วก็ออกรุกขมูลมาตามริมแม่น้ำโขง บุกป่าผ่าดงมาจนถึงวัดพระพุทธบาทคอแก้ง (เวินกุ่ม) ก่อนจะกลับไปบ้านนาสีดาในปี พ.ศ.2488

    ปี พ.ศ.2498 จำพรรษาที่วัดศรีชมชื่น (วัดป่านาสีดา) เดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดอรัญญวาสี จ.หนองคาย และได้รับการฝากให้เป็นศิษย์รับใช้หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อยู่ปฏิบัติอาจริยวัตรกับหลวงปู่มั่น เป็นเวลา 2 พรรษา คือ ปี พ.ศ.2490-2491 ก็กราบลาไปเที่ยววิเวกที่บ้านห้วยหวายกับ หลวงปู่อุ่น ชาคโร

    ปี พ.ศ.2492 กลับมาอยู่กับหลวงปู่เทสก์ และช่วยงานถวายเพลิงศพหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จนเสร็จสิ้น ก็เที่ยววิเวกไปกับ หลวงปู่หล้า เขมปัตโต แห่งวัดบรรพตคีรี (วัดภูจ้อก้อ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร และหลวงปู่อรุณ อุตฺตโม แห่งวัดพระบาทนาสิงห์ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ต่อมาได้ติดตามหลวงปู่เทสก์ไปเผยแผ่ธรรมที่ภาคใต้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2495-2499 และกลับมาอยู่วัดศรีชมชื่น ถึงปี พ.ศ.2514 ย้ายออกมาอยู่บริเวณป่าช้าดงบ้านเลา ซึ่งเป็นสถานที่กว้างขวางร่มรื่นเงียบสงบ ก่อสร้างกุฏิ เสนาสนะต่างๆ โดยลำดับ โดยตั้งชื่อสถานที่นี้ว่า “วัดป่านาสีดา” และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2531


    ๏ การเผยแผ่พระธรรมและกรรมฐานที่ภูเก็ต

    หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร ท่านมีศักดิ์เป็นหลานลุงแท้ๆ ของ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จึงได้รับการอบรมบ่มสอนมาตั้งแต่เด็ก แม้บวชเรียนแล้วก็อยู่ในสายตา คอยแนะนำทางที่ถูกให้ประพฤติปฏิบัติไม่เคยทอดทิ้ง จนกระทั่งตัวท่านละสังขารจากไป เหตุการณ์สำคัญในชีวิตก็คือ การไปใช้ชีวิตกับหลวงปู่เทสก์นานถึง 8 ปี ในการเผยแผ่พระธรรมและกรรมฐานที่จังหวัดภูเก็ต สมัยนั้น “พระป่า” ยังไม่แพร่หลาย จึงเกิดปัญหาขัดแย้งจนถึงขับไล่ไสส่งกัน แต่คณะของหลวงปู่เทสก์ก็ต่อสู้แก้ไขจนสถานการณ์ลุล่วงไปด้วยดี

    นอกจากนี้ จากการได้อยู่ปรนนิบัติหลวงปู่มั่นอย่างใกล้ชิดถึง 2 ปี จึงได้รับ “ของดี” มาอย่างเต็มๆ ทั้งข้อวัตรปฏิบัติ การสำรวมกาย วาจา ใจ ปฏิปทาและหลักธรรมนานาของพระอาจารย์ใหญ่ ซึบซาบเข้าในสายเลือด สมัยนั้นการเข้าไปขอสมัครเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านการกลั่นกรองเป็นขั้นเป็นตอน พระเณรที่ขาดการสำรวมทำอะไรไม่ถูกต้อง จะโดนดุว่าตรงๆ แรงๆ เป็นการถากถางกิเลส คนจิตไม่แกร่ง ไม่ทน จึงพากันถอย สำหรับหลวงปู่จันทร์โสม ท่านสอบผ่านโดยง่ายดาย เพราะอุปนิสัยเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาแต่เยาว์วัย


    ๏ หลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ภัย

    ท่าน จึงเป็นพระผู้ใหญ่ ที่ชาวบ้านชาวเมืองกราบไหว้ยกย่องนับถือในวัตรปฏิบัติและปฏิปทา รวมทั้งการเทศนาสอนธรรมกรรมฐานแก่ญาติโยม ท่านบริหารวัดตามแนวของหลวงปู่เทสก์ ด้วยการสร้างศรัทธาปสาทะให้ญาติโยมรอบวัดเลื่อมใสก่อน ส่วนการปฏิบัติธรรมได้ยึดตามแนวหลวงปู่มั่น เทศนาหรือบทธรรมของท่าน ส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องหลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ภัยในชีวิตประจำวันของ ผู้คน อาทิ

    “คนทุกคนสามารถสร้างคุณ งามความดีได้ทุกคน แต่ที่เขาไม่อยากทำ เพราะเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง อย่าว่าแต่ฆราวาสเลย พระที่บวชในพุทธศาสนา ถ้าเชื่อจริงๆ จังๆ แล้ว ทำอะไรก็ได้ผล เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง เรียกว่า สงสัยลังเล ก็เลยเดินไม่ถูก ไม่ว่าสมัยใด ทำเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น”

    ใครก็ตามที่ต้องการปฏิบัติให้จิตสงบ ท่านให้คำแนะนำง่ายๆ ว่า

    “ให้ เลือกยึดอนุสติ 10 มาเป็นหลักพิจารณาเพียงหนึ่งอย่าง โดยเลือกให้ถูกกับอุปนิสัยของตนเอง และเลือกข้อที่นำมาปฏิบัติแล้ว เกิดความสลดสังเวช เกิดความเบื่อหน่ายเพื่อที่จะแก้ไขตัวเองได้ ลูกศิษย์ลูกหาที่ได้รับโอสถธรรมจากท่าน สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้มากมาย”

    “เมื่อคนเราเกิดมามีวาสนาไม่เหมือนกัน วาสนาที่ว่าก็เกิดจากบุญกุศลที่เราได้ทำกันมา คนที่ยากจนในชาตินี้ก็เพราะชาติที่แล้วทำบุญมาน้อย ลงทุนน้อย พอเกิดมาชาตินี้ทุนก็เลยน้อยตามมา แต่ถ้าใครยากจนในชาตินี้ก็ต้องลงทุน ตั้งใจทำงานอย่างทุ่มเทให้มากโดยไม่ไปโกงใคร ในวันหนึ่งก็จะรวยได้เอง”

    ใน วัย 80 ปี หลวงปู่จันทร์โสม ผิวพรรณวรรณะท่านยังผ่องใส สุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมกับเป็นพระปฏิบัติ และไม่เคยละเว้นการสอนศีลสอนภาวนาแก่ญาติโยมที่สนใจ โดยจะย้ำถึงอานิสงส์แห่งการภาวนาอยู่เสมอ

    “การ ภาวนา นอกจากให้ผลทางจิตใจแล้ว ความเอ็นดู เมตตาสงสารคนอื่นก็เกิดขึ้น ที่เราโกรธเกลียดพยาบาทก็หายไป เห็นโทษก็สงสารเขา มีธรรมะในใจ ความอิจฉาพยาบาทเบียดเบียนก็ไม่เกิดขึ้น อยู่หมู่คณะใดก็ไม่เกิดขึ้น”

    “ขอ อย่าประมาท อย่าละทิ้งการภาวนา ทำเป็นไม่เป็นก็ช่างเถอะ ขอให้ได้ทำอย่างเดียว นานๆ เข้าก็ติดจิตไปด้วย สะสมวันละนิด งานก็ใหญ่ขึ้น ทำให้จิตใจเราสบายเป็นอานิสงส์ จิตใจสบาย มันก็คลุกคลีทุกสิ่งทุกอย่าง มันเดือดร้อน เราภาวนาก็ทำให้จิตใจเย็น” ฯลฯ

    ผู้อยากพบแสงสว่างทางใจ หมั่นภาวนาตามมรรคาที่ท่านวางไว้โดยพลัน !!

    1556-49b8-jpg.jpg
    ๏ การมรณภาพ

    สัจธรรม แห่งชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครหนีได้พ้น หลวงปู่จันทร์โสม ในวัยชราเริ่มอาการเจ็บป่วยเข้ามาแผ้วพาน วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 ที่ผ่านมา หลวงปู่จันทร์โสม ได้มีอาการปวดท้องเจ็บหน้าอก คณะศิษยานุศิษย์ได้รีบนำตัวส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช

    กระทั่ง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2549 หลวงปู่มีอาการกำเริบหนักขึ้น ปวดท้องแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยสะดวก คณะแพทย์ได้รีบช่วยกันปั๊มหัวใจรักษาอาการอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่สามารถยื้ออาการไว้ได้

    ในที่สุด หลวงปู่จันทร์โสม ได้ละสังขารอย่างสงบด้วยโรคหัวใจล้มเหลว สิริรวมอายุ 84 พรรษา 63 ท่ามกลางความเศร้าสลดของบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ และคณะสงฆ์ เป็นยิ่งนัก SAM_8629.JPG SAM_8630.JPG SAM_7609.JPG






    1555-e736-jpg.jpg

    1561-98c3-jpg.jpg 1560-7d99-jpg.jpg
     
  5. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 573 เหรียญรุ่นสมโภชน์โบสภ์หลวงปู่ลิอ สุขปัญโญ พระอรหันต์เจ้าวัดป่านาทาม อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร หลวงปู่ลือเป็นศษย์หลวงปู่มั่น ยุคกลาง เหรียญสร้างปี 2538 เนื้อทองเเดงรมนํ้าตาล มีพระเกศาเเละผงอังคารธาตุที่เเปรเป็นพระธาตุเเล้วมาบูชาเป็นมงคลครับ ***********บูชาที่ 335 บาฟรีส่งems
    พระสงฆ์ พระผู้มีบัญญาฤทธิ์และบุญญาธิการสูงองค์หนึ่งในดินแดนที่ราบสูง จังหวัดมุกดาหาร โดยอัตโนประวัติโดยสังเขปของพระอริยสงฆ์รูปหนึ่งที่มีความเพรียบพร้อมทุกอย่าง

    พระสุปฏิปันโนผู้มีศีลจารวัตร ยึดถือปฏิบัติเคร่งครัดมาเป็นเวลานานอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ในขณะที่ครองเพศบรรพชิต ซึ่งในทุกวันนี้ยากนักที่จะหาพระผู้มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัด

    "หลวงปู่ลือ ปุญโญ" เกิดที่บ้านไร่ ตำบลบ้านไร่ อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2542 ปีระกา ขึ้น 10 ค่ำ ในตระกูล "ใจทัศน์" ปัจจุบันท่านอายุ 87 ปี 67 พรรษา โยมบิดาชื่อ จันทร์ โยมมารดาชื่อ พัน ท่านสละเพศฆราวาสเข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์เมื่ออายุได้ 18 ปี ได้ร่ำเรียนวิชา สน-มูล-นาม ซึ่งเป็นพื้นฐานของวิชาบาลีไวยากรณ์ในเบื้องต้นจนแตกฉาน พออายุได้ 22 ปี จึงได้เปลี่ยนญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุต โดยมีหลวงพ่อดี วัดศิลามงคล จังหวัดมุกดาหาร สอนกรรมฐานให้ท่านเป็นท่านแรก

    หลวงปู่ลือ ท่านมีจิตใจแน่วแน่ที่ไม่สามารถหลอมให้กลายเป็นอย่างอื่นได้ ด้วยความตั้งมั่นของท่านถึงขนาดนั่งภาวนาหันหน้าลงเหว เพื่อฝึกปฏิบัติขัดเกลาจิตใจให้เป็นสมาธิ เป้าหมายคือความหลุดพ้น เป็นที่ตั้งสถานที่วิเวกทุกแห่งที่อาจารย์สายกรรมฐาน ศิษย์หลวงปู่มั่นทุกท่านธุดงค์ไปปักกลดฝึกภาวนา ท่านก็ได้ธุดงค์ไปมาหมดแล้วทุกแห่ง

    ครั้งหนึ่งได้ทราบข่าวว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เดินธุดงค์มาจำพรรษาที่เกาะแก้ว ใกล้วัดพระธาตุพนม หลวงปู่ลือจึงได้เดินทางไปกราบนมัสการ และขอปวารณาตัวเป็นศิษย์ เพื่อศึกษาแนวธรรมะจากท่าน

    หลวงปู่ลือ ได้ธุดงค์ไปพร้อมกับ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น และเพื่อสหธรรมิกจำนวนมากมาย เช่น หลวงปู่สิม หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ขาว หลวงปู่จาม พระอาจารย์จวน พระอาจารย์ฝั้น อาจารย์ชา หลวงพ่อบุญมา วิเวกไปตามป่าเขาโปรดญาติโยมโดยทั่วแถบภาคอีสานและภาคเหนือ ขณะร่วมธุดงค์เมื่อถึงจุดหมายต่าง ๆ ก็แยกย้ายกันปักกลดฝึกกรรมฐาน พอถึงเวลา 4 โมงเย็นของทุกวันก็จะพร้อมเพรียงกันเพื่อรับฟังโอวาทธรรมจากหลวงปู่มั่น

    ในระหว่างที่ท่านอบรมกรรมฐานท่านมักจะกล่าวยกย่องหลวงปู่ลือเสมอว่าเป็น "พระใจเด็ดใจเพชร" สหธรรมมิกที่ร่วมคณะมาด้วยจึงสมญานามว่า "พระลือโลก…ผีย่าน(ผีกลัว)"

    หลังจากแยกย้ายคณะธุดงค์ หลวงปู่ลือได้ออกธุดงค์ไปตามลำพังเพื่อหาสถานที่วิเวกฝึกกรรมฐานไปจนถึงฝั่งประเทศลาว และแผ่เมตตาแก่ญาติโยมชาวลาว เป็นเวลานาน จึงข้ามมาฝั่งไทย ท่านไปพบทหารกลุ่มหนึ่งกำลังสู้รบกับ ผกค.(ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) ท่านจึงสละชายจีวรมอบแก่ทหารเหล่านั้น เพื่อปกป้องคุ้มครองผองภัยอันตรายทั้งปวง จนทหารกลุ่มนั้นแคล้วคลาดกลับที่ตั้งโดยปลอดภัยทุกคนชาวบ้านดอนตาลดง ผกค. ในยุคนั้นจึงขนานนามทหารกลุ่มนั้นว่า "ทหารผีสิง" เพราะโดยปกติจะไม่มีใครรอดพ้นดงกับระเบิดและฝ่าแนวกระสุนออกมาได้เลย ทำให้ผู้คนทุกสารทิศที่ได้ยินกิตติศัพท์ หลวงปู่ลือ จึงหลั่งไหลกันไปกราบไหว้นมัสการ
    ฟรีlส่งems sam_7839-jpg.jpg sam_8123-jpg.jpg sam_7837-jpg.jpg sam_8596-jpg.jpg sam_8597-jpg.jpg
     
  6. sunmk

    sunmk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    1,040
    ค่าพลัง:
    +805
    จอง570 572 573
     
  7. บุญมงคล

    บุญมงคล “นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    434
    ค่าพลัง:
    +1,753
    โอนเรียบร้อยครับ 1050 บาท 2 รายการ ครับ ได้แก่ รายการที่ 557พระกริ่ง 100 ปีหลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต บูชาที่ 650 บาทฟรีส่งems # และ พระผงของขวัญหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ปี 2517 บูชาที่ 400 บาท
     
  8. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 574 เหรียญหล่อนั่งในซุ้มเรือนเเก้วหลวงปู่ขอบ ฐานสโม พระอรหันต์เจ้าวัดป่าสัมมานุสรณ์ อ.วังสะพุง จ.เลย หลวงปู่ขอบเป็นศิษย์ผุ้ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เหรียญหล่อสร้างปี 36 เนื้อทองเหลือง มีพระเกศา,พระธาตุหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคล ********บูชาที่ 455 บาทฟรีส่งemslสหลวงปู่ชอบ ฐานสโม

    วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย
    อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลยเลย

    "พระอริยเจ้าผู้ทรงอภิญญา"




    2-png.png

    พระเดชพระคุณหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอริยเจ้าผู้ทรงอภิญญาญาณ คือ ผู้ทรงความรู้ยิ่งในพระพุทธศาสนา มีคุณสมบัติพิเศษ ๖ อย่าง . อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ ๒. ทิพโสต หูทิพย์ ๓. เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่น ๔. บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ ๕. ทิพจักขุ ตาทิพย์ ๖. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้นไป

    ท่านมีนิสัยชอบโดดเดี่ยวเที่ยวไปอยู่ในป่า ทำในสิ่งที่บุคคลอื่นทำได้ยาก ไม่ชอบเกี่ยวข้องกับหมู่ชนพระเณร เป็นผู้มีความองอาจเด็ดเดี่ยว อดทนเป็นเลิศ ไม่กลัวความทุกข์ยากลำบาก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย กล้าได้กล้าเสียในการปราบกิเลส ถึงกับท่านพระอาจารย์มั่นออกปากชมท่ามกลางสภาสงฆ์ "ให้ทุกองค์ภาวนาให้ได้เหมือนท่านชอบสิ ท่านองค์นี้ภาวนาไปไกลลิบเลย"

    ท่านสามารถแสดงธรรมและสนทนาธรรมเป็นภาษาต่างๆ ได้หมด เพียงกำหนดจิตดูว่าภาษานั้นเขาใช้พูดกันว่าอย่างไร ท่านสามารถแสดงธรรมโปรดเทวดา พญานาค ตลอดจนภพภูมิต่างๆ ได้

    การธุดงค์ของท่านนับว่าโลดโผนมาก ชอบเดินทางในเวลากลางคืนหรือจวนสว่างในคืนเดือนหงาย เที่ยวไปอบ่างอนาคาริกมุนีผู้ไม่มีอาลัยในโลกทั้งปวง บางคราวมีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่สองตัวกระโดล้อมหน้าล้อมหลังเอาไว้ ท่านเร่งสติสมาธิ แผ่เมตตา กำหนดจิตเข้าข้างใน สมาธิลึกเข้าไปจนถึงฐานของจิต ปล่อยวางสิ่งทั้งปวง เมื่อถอนจิตออกมาปรากฏว่าเสือสองตัวได้หายไปแล้ว

    ครั้งหนึ่งท่านเดินทางไปทางอำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง เข้าไปหมู่บ้านกะเหรี่ยงกลางหุบเขาเพื่อโปรดพี่ชายของท่านในอดีตชาติที่รักกันมาก ท่านระลึกชาติได้ว่า เคยเกิดเป็นชาวกะเหรี่ยงที่ประเทศพม่า มีพี่ชายคนหนึ่ง บัดนี้เขาได้มาเกิดเป็นชาวกะเหรี่ยง ชื่อว่า "เสาร์" อยู่ที่ตำบลป่ายาง บ้านผาแด่น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยจิตเมตตาท่านจึงเดินทางไปโปรดดึงเขาเข้าสู่ทางธรรม และต่อมานายเสาร์ก็ได้บวชเป็นพระติดตามท่านจนตลอดชีวิต



    1-1-png.png

    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม


    ท่านเล่าว่าในบางคราวหลงอยู่ในกลางป่าเป็นเวลาหลายๆ วัน ท่านเป็นที่เคารพรักของเหล่าเทพยดา เดินทางจากประเทศพม่าจะเข้าสู่ไทย หลงป่าเจียนตายเพราะความหิว เทวดาได้นำอาหารทิพย์มาใส่บาตร อาหารนั้นมีรสอร่อยส่งกลิ่นหอม หายเมื่อยหายหิวไปหายหิวไปหลายวัน

    ท่านทำสมาธิทั้งกลางวันกลางคืน บางคราวพายุฝนตกหนักน้ำป่าไหลหลาก ท่านต้องนั่งกอดบาตรเอาไว้จนสว่าง ท่านพบวิมุตติบรรลุธรรมขั้นสูงสุดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๗ พรรษาที่ ๒๐ อายุ ๔๓ ปี ที่ถ้ำบ้านหนองยวน ประเทศพม่า

    ในระยะที่ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นนั่น ท่านได้รับความไว้วางใจและมอบหมาย ให้ช่วยดูแลพระเณรที่คิดอะไรนอกลู่นอกทาง ไม่ถูกต้องตามครรลองของผู้ทรงศีลธรรมท่านก็จะตักเตือน เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นว่าท่านมีความรู้ภายในว่องไวไม่แพ้หลวงปู่มั่น พระเณรทั้งหลายจึงเกรงกลัวท่านมาก และท่านก็ยังสามารถระลึกชติ รู้อดีตชาติของท่านเองว่าเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เช่น เคยเกิดเป็นพระภิกษุรักษาศีลอยู่กับพระอนุรุทธะ เคยเป็นสามเณรน้อยลูกศิษย์พระมาหกัสสปะ เคยเกิดเป็นท้าวมหาพรหมในพรหมโลก และเป็นสัตว์หลายชนิดอีกด้วย หลวงปู่ชอบท่านบำเพ็ญภาวนาอยู่ตามป่าตามเขา ส่วนมากทางภาคเหนือหลายพื้นที่รวมถึงประเทศพม่าด้วย




    3-png.png

    ในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
    ทรงนมัสการหลวงปู่ชอบ


    ท่านเกิดเมื่อวันพุธที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีฉลู ณ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เป็นบุตรของนายมอ และนางพิลา แก้วสุวรรณ

    บวชสามเณรเมื่ออายุ ๑๙ ปี ณ วัดบ้านนาแก ตำบลบ้านนากลาง อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นสามเณรอยู่ถึง ๔ ปีกว่า และได้อุปสมบทเมื่ออายุ ๒๓ ปี วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ ณ วัดศรีธรรมาราม อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร โดยมี พระครูวิจิตรวิโสธนาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แดง เป็นพระกรรมวาจาจารย์



    4-png.png

    รูปเหมือนหลวงปู่ชอบ


    ท่านได้พบพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ณ เสนาสนะป่าบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม หลวงปู่มั่นได้ให่โอวาทสั้นๆ ว่า "ท่านเคยภาวนามาอย่างไรก็ให้ทำต่อไปเช่นนั้น อย่าได้หยุด ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้นั้นมันอยู่ที่ใจเรานี่แหละ ถ้าอยากรู้อยากเห็นธรรมเหล่านั้น ก็ให้ค้นหาเอาที่ใจของท่านเอง"

    ปีพุทธศักราช ๒๔๘๙ ขณะท่องเที่ยวธุดงค์อยู่ทางภาคเหนือ สหธรรมิกคือหลวงปู่ขาว อนาลโย ชวนท่านกลับมาอีสาน ท่านจึงได้มาจำพรรษาที่ป่าช้าหินโง้น ปัจจุบันคือ วัดป่าโคกมน

    ปีพุทธศักราช ๒๕๐๑ มีชาวบ้านถวายที่สร้างวัดกว่าร้อยไร่ ท่านจึงได้รับสร้างเป็นวัดขึ้นมา ปัจจุบันคือ วัดป่าสัมมานุสรณ์ ท่านได้อยู่จำพรรษาที่นี่เรื่อยมาจวบจนวาระสุดท้ายของท่าน



    5-png.png

    อัฐิและพระธาตุของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม


    ปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ อายุ ๗๐ ปี ท่านป่วยเป็นอัมพาต

    ท่านละสังขารเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ณ วัดป่าสัมมานุุสรณ์ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๘ สิริรวมอายุได้ ๙๓ ปี ๑๑ เดือน ๒๗ วัน ๗๐ พรรษา SAM_8647.JPG SAM_8648.JPG SAM_8649.JPG SAM_8010.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2021
  9. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 575 พระผงสมเด็จจัมโบ้ขุนเเผนรุ่น 1 หลวงปู่ท่อน ญาณธโร พระอรหันต์เจ้าวัดศรีอภัยวัน อ.เมือง จ.เลย หลวงปู่ท่อนเป็นศิษย์รุ่นใหญ่หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถํ้าผาปู่ องค์พระสร้างปี 2546 สร้างเนื่ององค์หลวงปู่อายุครบ 76 ปี รุ่นนี้หลวงปู่ปลุกเสกอฐิษฐานจิตตลอดไตรมาส 3 เดือน รุ่นนี้มีโรยผงเกศาพระสุปฏิปันโนสายหลวงปู่มั่น 99 หลวงพ่อ เเละมีผสมผงพระกรุบางขุนพรหม มีตอกโคีตหมึกหลังองค์พระ มาพร้อมกล่องเดิม มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ >>>>>>(หายากครับผมมีองค์เดียวครับผม)***********บูชาที่ 750 บาทฟรีส่งems sam_7739-jpg.jpg sam_7740-jpg.jpg sam_7741-jpg.jpg sam_7742-jpg.jpg sam_7743-jpg.jpg sam_7744-jpg.jpg sam_7609-jpg.jpg sam_7745-jpg.jpg
    -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-09a-jpg-jpg.jpg -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-10a-jpg-jpg.jpg
    -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-12a-jpg-jpg.jpg -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-13a-jpg-jpg.jpg
    -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-14a-jpg-jpg.jpg -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-15a-jpg-jpg.jpg
    -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-16a-jpg-jpg.jpg -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-17a-jpg-jpg.jpg
    -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-18a-jpg-jpg.jpg
    -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-19a-jpg-jpg.jpg

    -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-20a-jpg-jpg.jpg

    -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-21a-jpg-jpg.jpg

    -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-22a-jpg-jpg.jpg

    -97-e0-b9-88-e0-b8-ad-e0-b8-99-e0-b8-8d-e0-b8-b2-e0-b8-93-e0-b8-98-e0-b9-82-e0-b8-a3-24a-jpg-jpg.jpg
     
  10. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,251
    ค่าพลัง:
    +6,463
    ขอจองครับ
     
  11. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 576 รูปเหมือนกริ่งรุ่นกายทิพย์หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย พระอรหันต์เจ้าวัดถํ้าพญาช้างเผือก อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ หลวงปู่วิไลย์เป็นศิษย์หลวงปู่ชาว อนาลโย วัดถํ้ากลองเพล รูปเหมือนสร้างปี 2555 เนื้อนวะ สร้างเนื่องปีพุทธชยัตตี เเละที่ระลึกสร้างองค์พระใหญ่บนยอดเขา มาพร้อมกล่องเดิม มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ **********บูชาที่ 335 บาทฟรีส่งems
    ประวัติหลวงปู่วิไลย์ เขมิโย ท่านเป็นคนมีถิ่นฐานอยู่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันแยกออกเป็นอำเภอประทาย พ่ออยู่บ้านหนองค่าย แม่อยู่บ้านทุ่งมน ตำบลดูเหมือนจะเป็นตลาดไซอะไรจำไม่ได้ตะวันออกอำเภอประทายใกล้ๆ บ้านตลาดไซแถวนั้นนั่นแหละ อาตมาเกิดอยู่บ้านแม่นั้นแหละ ครอบครัวได้ถูกย้ายไปย้ายมา เหมือนพระกรรมฐานนี้แหละ พ่อตายจากไปตั้งแต่อาตมาอายุประมาณ ๓-๔ ขวบ สมัยก่อนนุ่งผ้าบ้างไม่นุ่งผ้าบ้าง จำได้ว่าพ่อตายด้วยโรคเพชร หมอแผนปัจจุบันเขาก็จะว่าโรคบาดทะยักอะไรทำนองนั้นแหละ พี่ชายไม่มีใครจำได้ ส่วนอาตมาหัวดีหน่อยก็เลยจำได้ เดี๋ยวนี้หัวดีก็เลยล้านไปเลย พอพ่อตายแล้ว ญาติพี่น้องก็ไปรับไม่อยู่บ้านหนองขามเตี้ย ซึ่งใกล้ๆหมู่บ้านดงบัง บ้านห้วยค้อ บ้านหญ้าคา บ้านห้วยยาง บ้านสาครก บ้านเก่างิ้ว บ้านหญ้าปล้อง เข้าสี่แยกโคกสี(เกล็ดลิ้น) แต่ก่อนขึ้นตำบลด่านช้าง ปัจจุบันแยกเป็นตำบลห้วยยาง ได้มาเติบใหญ่อยู่ที่บ้านขามเตี้ย

    ต่อมาแม่ก็แต่งงานใหม่กับพ่อใหม่ที่อยู่บ้านดงบัง ตะวันตกหมู่บ้านขามเตี้ยประมาณ ๒-๓ กิโล ก็เลยได้ย้ายไปอยู่กับพ่อใหม่ที่บ้านดงบัง หมู่ที่ ๑๑ เหลือเท่าไหร่จำไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่บ้าน อยู่วัด ตำบลห้วยยาง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นที่อยู่ปัจจุบัน พ่อกับแม่ของอาตมามีผลผลิตถึง ๑๒ คนเลยทีเดียว พี่ชาย ๔ คน อาตมาเป็นคนที่ ๕ คนที่ ๖ น้องสาวมีชีวิตอยู่บ้านดงบัง คนที่ ๗ ๘ ๙ เป็นผู้ชาย คนที่ ๑๐ เป็นผู้หญิงตายตั้งแต่เด็ก คนที่ ๑๑ ชาย ๑๒ ชายรวมเป็นชาย ๑๐ คนหญิง ๒ คนหญิงเหลือ ๑ คนคนที่ ๒ ตายแต่เด็กๆ พ่อเก่ากับแม่ได้ผลผลิตแก้วคนแม่กับพ่อใหม่ได้หญิง ๑ คน ชาย ๒ คน

    ชีวิตความเป็นอยู่ต้องพูดถึงถ้าไม่พูดก็ไม่รู้เพราะไม่ใช่ปะละหารเขาว่า แต่บางหันก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ ทั้งเป็นกำพร้าทั้งเป็นกัมพลอย มันไม่ใช่ “เป็นกำพร้าพ่อแม่ยังเบิด เป็นกัมพลอยลูกเมียมีพร้อม” บรรดาลูก ๑๒ คน อาตมารู้สึกว่าอาตมามีความทุกข์มากกว่าทุกคน ลำบากกว่าทุกคน จนเป็นเยื่อใยมาถึงทุกวันนี้แหละ อาตมาไม่เคยลืมมันเลย คิดถึงความทุกข์ที่พ่อแม่พาอยู่พากินหายากพาลำบากลำบน อาตมาเหมือนเอามากินกับข้าวทุกคำเลยทีเดียว สมน้ำหน้าตัวเอง อยากเกิดมาทำไม ขอให้ทุกข์ยิ่งๆ กว่านี้ด้วยเถอะ

    อาตมาออกบวชเป็นพระได้อยู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ เอาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไว้เบิ่งเกศเกศามาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๑ ซึ่งพ้นจากการเป็นทหารเกณฑ์มาแล้ว ๒ ปี เมื่ออายุ ๒๕ ปีเต็ม เขาว่าอายุอะไรนะ อายุย่างเข้าเบญจเพศ ว่าตามเขา เพราะบวชมาปีที่ ๑ ก็พรรษาอยู่ที่บ้าน เพราะออกพรรษาคิดอยากจะออกแสวงหาครูบาอาจารย์ ก็คิดดำริในใจว่าครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกว่าครูบาอาจารย์ที่อยู่ปัจจุบันจะมีไหมหนอ

    ในคืนคืนหนึ่งก็เลยฝัน ฝันว่าเราเป็นพระได้ไปเที่ยวๆ ไปๆ เดินทางไปทางทิศเหนือเขาเรียกว่าทิศอุดรเดินไปๆ ไปเจอวัดๆ หนึ่ง ในบริเวณวัดมองเข้าไปเห็นเป็นธาตุที่เขาใส่กระดูกอยู่ตามกำแพงวัด เราเดินเข้าประตูทางทิศเหนือไปเจอกุฏิหลังหนึ่งดูเป็นเชิงกุฏิคอนกรีตไม่ยกพื้น เพราะเข้าไปในกุฏิมองเห็นผ้าขาวนั่งอยู่ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นข้างบนเหมือนเราส่องไฟฉายขึ้นข้างบนสว่างเป็นช่อขึ้น ตาผ้าขาวเราเรียกว่าพ่อขาว พ่อขาวก็บอกว่าเสี่ยงทายดูวาสนา แต่เราไม่รู้ว่าวาสนาของใครที่เรามองเห็นนั้นสว่างไสวดี แล้วพวกเขาก็บอกว่าจะเสี่ยงดูวาสนาให้เรา แต่ปรากฏว่ามีแสงสว่างเหมือนกันแต่ไม่มากเหมือนอันก่อน แล้วก็รู้สึกตัวตื่นนอนขึ้น

    พ่ออยู่ต่อมาก็เดินทางขึ้นไปทางจังหวัดอุดรธานีนั่นแหละ เดินทางไปเรื่อยๆ ออกจากบ้านบัวใหญ่ไปพักเมืองพล บ้านแฮด บ้านไผ่ ถึงอุดรธานีประมาณเดือนอ้าย เดือนธันวาคม ปี พ.ศ.๒๕๐๑ ไปถึงวัดถ้ำกลองเพล แต่ก่อนขึ้นจังหวัดอุดรธานีเดี๋ยวนี้แยกเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งหลวงปู่ขาว อนาลโยอยู่ที่นั่น ซึ่งท่านก็พึ่งมาอยู่ใหม่ในปีนั้นเอง พุทธศักราช ๒๕๐๑ อาตมาก็บวชในปีนั้นเอง ตอนนั้นอายุหลวงปู่ขาวประมาณ ๖๐ กว่าๆ ไปถึงวัดถ้ำกลองเพลในหน้าหนาวชาวนาเก็บข้าวเสร็จใหม่ๆ ให้ท่านผู้อ่านคิดถึงคำฝันกับตอนมาถึงวัดถ้ำกลองเพลดูจะเป็นยังไง

    เพราะอาตมามาถึงวัดถ้ำกลองเพลแล้วก็เข้ามอบตัวกราบไหว้หลวงปู่ขาว อนาลโยด้วยความเคารพได้มอบกายถวายชีวิตในหลวงปู่ เป็นลูกศิษย์ลูกหาเป็นลูกเป็นเต้าของหลวงปู่ ฝึกหัดข้อวัตรปฏิบัติอุปัฏฐากด้วยหมู่ด้วยคณะเป็นเวลาหลายปี วิสัยหลวงปู่ขาว ท่านชอบสงบมาก ตอนเราเข้าไปอยู่ใหม่ๆ เวลานั่งฉันเป็นแถว ท่านนั่งอยู่ เวลาเราจะถามหรือพูดกันต้องกระซิบเบาๆ ไม่ให้มีเสียงต้องมีสติระวังตัวอยู่ทุกเมื่อ เวลาเราทำผิดเนื่องจาก “ฮื้อ” คำเดียวเท่านั้นแหละเหมือนเตือนให้เรามีสติ

    เราเคารพท่านมาก เรารักท่านมาก เราถือเหมือนพ่อของเราจริงๆ ท่านให้ความเมตตาให้ความสงสารให้ทุกสิ่งทุกอย่างในความรู้ในธรรมคำสอน จนท่านพูดว่า “ถ้ามรรคผลที่เราทำมาเอาให้ได้ เราก็จะเอาให้เจ้าทุกคนแหละ” เราถือท่านเสมือนพ่อ เราสงสัยดูอะไรในธรรมข้อไหนลึกตื้นอย่างไร ท่านยินดีตอบยินดีแนะนำตลอด ให้ความรู้ให้ความเห็น ให้อุบาย ให้การแก้ไข จิตใจของเราคิดอย่างไรปรุงแต่งอย่างไร แล้วนำไปเล่าให้ท่านฟัง เราไม่ต้องอายขายหน้ามันเลย มันคิดเข้าบ้านเรื่องของกิเลส ตัณหา ต้องทำแบบนั้น ต้องคิดแบบนั้น ต้องปฏิบัติแบบนั้น เราไม่ต้องอาย บางทีเรายกปัญหาขึ้นมาพูด แต่พูดไม่ให้มันถูก เรียกว่าพูดเป็นอุบาย เหมือนเราต้องการไข่มดแดง เราเอาไม้ไปแหย่แหย่ทั้งนั้นแหละ ไข่มดแดงก็จะร่วงลงมาให้เราได้กินเลย ฉันนั้นก็เหมือนกัน บางทีเราหวังจะแกล้งถามท่านให้ติด ท่านก็ไม่ติด ถามท่านหมดมรรคผลสวรรค์นิพพาน หลวงปู่ขาวเป็นคนโบราณหนังสือไม่ได้เรียน ท่านเขียนหนังสือไม่ได้ แต่อ่านออกท่านอ่านสวดได้หมด เราสู้ท่านไม่ได้ทุกอย่างเลย เรายอมท่านอย่างราบคาบเลย

    อาตมาอยู่กับหลวงปู่ตั้งแต่ปี ๒๕๐๑ ถึงปี ๒๕๑๒ อาตมาจึงออกจากท่านไป เป็นเวลาที่อยู่กับท่าน ๑๑ ปี คำพูดที่ท่านพูดเป็นคำดุ (ด่า) (อีตาอันนี้) มีคำเท่านี้ที่ว่าเรา คำอื่นไม่มี ท่านมีธรรมคือเมตตามากจึงรู้สึกเย็นอยู่ตลอดเวลา บางครั้งไปวิเวกจิตใจเดือดร้อน พอกลับมาหันหน้าเข้าหาวัดถ้ำกลองเพลเท่านั้น รู้สึกจิตใจเย็นวาบเลย ที่อยู่กับท่าน ได้ยินได้ฟัง ได้รู้จักครูบาอาจารย์หมู่พวกคณะมากมาย ทั้งท่านมรณภาพไปแล้วก็มาก ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มาก ก็เป็นอานิสงส์อีกอย่างหนึ่ง ดีกว่าที่เราไม่ได้อยู่กับครูบาอาจารย์เลย

    วันหนึ่งเราเดินเพลินๆ ก็คิดขึ้นมาว่าครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูงองค์นั้นไปอยู่วัดป่าบ้านนั้น รูปนี้ไปอยู่ภูนั้น รูปนั้นไปอยู่ถ้ำนั้นที่ภูนั้น ที่อยู่ภูนั้นหรือถ้ำนั้นมีศักดิ์ศรีกว่าสมฐานะกว่า มันบอกว่าฐานะศักดิ์ศรีของลูกศิษย์พระกรรมฐานจะต้องอยู่ภูหรืออยู่ถ้ำ อาตมาก็เลยอยู่ภูมาหลายภู อยู่ถ้ำมาหลายถ้ำ ปัจจุบันก็เลยมาตกค้างอยู่วัดถ้ำพญาช้างเผือก บ้านปากช่อง ตำบลห้วยยาง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘ จนถึงขณะนี้ หัวคิดอันนี้มันคิดขึ้นมาเองไม่มีใครแนะนำพร่ำสอน

    อาตมาได้ออกจากวัดถ้ำกลองเพลตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ พรรษา ๑๒ ก็ได้เที่ยววิเวกไปในที่ต่างๆ หลายแห่งหลายหนหลายภูหลายเขา ไม่อาจจะนำมาเขียนลงในที่นี้ได้ ปีพุทธศักราช ๒๕๑๒ มาจำพรรษาอยู่เขตอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ๕-๖ ปี ไปอยู่ภูเก้า เขตอำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรธานี ๕ ปี ไปอยู่วัดพระพุทธบาทภูพานคำ วัดพระใหญ่ เขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ๓ ปี อยู่จังหวัดเพชรบูรณ์ ๒ ครั้ง ครั้งละ ๑ พรรษา พรรษาสุดท้ายก็เลยมาอยู่ถ้ำพญาช้างเผือกนี่แหละในวันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๘

    ประวัติวัดถ้ำพญาช้างเผือก
    อาตมามาองค์เดียว ถ้าจะพูดเล่นๆ ก็ว่า พระเอก พระเอโก พระรูปเดียว อาตมามาอยู่เป็นพระเอกอยู่ในถ้ำนี้ถึง ๓ ตอนมาอยู่ใหม่ๆอยู่ในถ้ำ มีร้านอยู่ข้างในพอนอนได้สูงแค่เอว ปูด้วยไม้ไผ่ฟากที่สับเป็นแผ่นปูพื้นเก่าๆขึ้นราดำตึ๊ดตื๋อ ทั้งฝุ่นตั้งขี้เยี่ยวค้างคาวกลางวันจะไปที่พักต้องส่องไฟพักอยู่ ๒-๓ นาทีก็ค่อยๆ สว่างออกๆ ดีไหม อยู่ ๑๔ วัน ๑๔ คืน เสื่อจะปูนอนก็ไม่มี หมอนจะหนุนก็ไม่มี เอาผ้าอาบน้ำและผ้าอื่นๆ ปูนอน เอาห่อผ้าครองห่อผ้าไตรเป็นหมอน ของใช้อื่นไม่ต้องพูดถึง ๑๔ วัน ๑๔ คืน หาคนๆ หนึ่งมาเยี่ยมมาหามาถามว่าหลวงพ่อมาจากไหนอยู่ที่ไหนไปยังไงมายังไงไม่มีเลย ช่างดีจริงๆ เวลาออกบิณฑบาต ข้าวพอมีแต่กับไม่ค่อยมี จึงค่อยอดๆ อยากๆ วันไหนบังเอิญได้ปลาร้าบองเท่าหัวแม่มือ ให้โยมปิ้งไฟ เอามาฉันกับข้าวรู้สึกเอร็ดอร่อยมีรสชาติ มีชีวิตชีวาเสียเหลือเกิน ในชีวิตนี้ในชาตินี้จัดว่าเป็นอาหารทิพย์ได้เลย เพราะว่าความหิวของธาตุขันธ์

    ข้างถ้ำเป็นหน้าผามีต้นมะละกอขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง สูงประมาณยื่นมือถึง มีลูกๆ หนึ่งสุกเหลืองกลมๆ เท่าสองกำปั้น ไปยืนมองใจก็คิดว่าน่าจะหวานน่าจะอร่อย เหมือนเสือหิว จะเอามากินเองไม่ได้ผิดอาบัติของพระ ได้แต่มองอยู่เฉยๆสมน้ำหน้าตัวเองตามปกติมะละกอลูกกลมๆ ก้านไม่มีใบไม่มีถึงเราจะเอามากินมันก็ไม่หวานหรอก เราคิดว่ามันจะหวานเพราะความหิวของเรา พออยู่มาได้ ๑๔ วัน ๑๔ คืน ก็ตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะไปดี ใจหนึ่งก็ว่าอยู่อย่างนั้นแหละสบายดี เยือกเย็นใจสบายใจ อีกใจหนึ่งก็บอกว่าจะอยู่อย่างไรอาหารการฉันก็เป็นอย่างนี้ ชาวบ้านญาติโยมก็เป็นอย่างนี้ ใจมันก็เกิดเถียงกัน ใจเย็นใจสบายก็บอกว่าอาหารญาติโยมช่างเขาเถอะ ใจหนึ่งก็ถามว่าเราจะทำอย่างไร ใจหนึ่งก็บอกว่าเราต้องพึ่งตัวเอง ใจหนึ่งมันก็ซักไซ้ว่าพึ่งตัวเองอย่างไร ใจหนึ่งมันก็มองไปถึงญาติโยมบ้านอื่นบ้านไกลบ้านที่เราเคยอยู่อาศัยที่ผ่านมาทุกที่ทุกแห่ง

    อาตมาเคยสร้างวัดมาหลายแห่ง ปฏิสังขรณ์ก่อสร้างตามวัดที่เคยอยู่มาเป็นอันมาก ด้วยเดชะผลการกระทำนั้นให้ผลตลอดมา อาทิ หมู่บ้านต่างๆ เช่น บ้านหนองพลอง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น บ้านสร้างเสี้ยน อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู บ้านกุดดู่ อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู ตลาดเขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ตลาดเช้าอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น และอื่นๆ ทั่วไป ที่มีความเคารพนับถือ ได้ข่าวว่าอาตมาไปอยู่ที่ใด เขาจะตามไปดูไปสืบไปหาว่าอยู่อย่างไรกิน อย่างไรสุขทุกข์อย่างไร เขาจะห่วงใยอยู่ตลอด อาตมาก็ชื่นใจปลื้มใจมีกำลังใจ และขอบคุณในน้ำใจอันดีอันประเสริฐไว้ ณ ที่นี้ด้วย

    อาตมามองเห็นผลดังที่กล่าวมานี้แหละ จึงได้บอกใจตัวเองตกลงใจตัวเองว่าพึ่งตัวเอง ก็หมายความว่าเราจะต้องบอกแก่ญาติโยมของเรา จะได้มาช่วยมาช่วย ก็เป็นไปตามความคาดหมายทุกประการตลอดถึงทุกวันนี้ ส่วนความคิดที่มันบอกว่าอยู่ที่นี่สบายดีแล้ว หมายถึงใจมีความสุขสงบ ทุกข์กายแต่สุขใจมีกำไรในชีวิต สุขกายทุกข์ใจขาดทุนชีวิต เข้าทำนองคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก อาตมาอยู่ในลักษณะพึ่งตัวเองเราสร้างอะไร เราจะทำอะไรขึ้นก็จะคิดว่าเราจะสร้างได้ไหมหนอ เราพร้อมหรือยัง เราจะเดือดร้อนไหม ไม่คิดอาศัยคนอื่น โดยไม่คิดว่าญาติโยมเขาจะมาช่วยเท่าไรแค่ไหนอย่างไร อย่างดีก็บอกเพราะเขาได้รู้ เขาจะช่วยมากน้อยแล้วแต่กำลัง ช่วยก็ช่วยไม่ช่วยก็แล้วไป ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเดือดร้อนทั้งสองฝ่ายนี่คืออานิสงส์พึ่งตนเอง

    อาตมาเราเป็นคนขี้เกรงใจ ไม่ถามก็จะไม่บอก ไม่ขออะไรแล้วแต่จะได้แล้วแต่จะให้ ให้ก็เอาไม่ให้ก็ไม่เอา มีก็กินไม่มีก็ไม่เป็นไร มันคิดสมมุติว่าเรายื่นซองผ้าป่าหรือกฐินให้เขาคนหนึ่งต่อหน้าเรา ถ้าเขาไม่รักก็ไม่งาม รับไปแล้วเขาไม่มีเงินไปเขาก็ทุกข์ใจ บางทีมีเงินที่จะใช้เฉพาะกิจ จะใส่ซองมันก็ขาด ก็ขาดอย่างนี้ก็ทุกข์ใจ เวลาไม่มีจริงๆ มันก็ยิ่งทุกข์ใหญ่ไปอีก อาตมาเกรงใจตรงนี้สมัยหนึ่งอาตมาไปอยู่บนภูเก้า ปัจจัยบาทเดียวก็ไม่มีคิดว่าถ้าเราเป็นไข้ปวดหัวจะเอาอะไรไปซื้อยาทันใจมากิน เวลามันไม่มีถึงจะจับขาขึ้นเขย่า มันไม่มีอะไรจะตกออกเลย ก็เลยปลงเอาแต่บุญแต่กรรม ใครทำก็ทำ ใครไม่ทำก็แล้วแต่ เราก็ไม่เดือดร้อน เขาก็ไม่เดือดร้อน

    อาตมาเกิดมาเป็นคนอาภัพวาสนา เกิดวันจันทร์ พุทธศักราช ๒๔๗๖ ปีระกาไก่ เดือนอ้าย อัฐมาดูตัวเองเหมือนไก่เถื่อน ไก่เถื่อนก็คือไก่ป่า ไก่ไม่มีเจ้าของ ไม่มีคนเลี้ยงดูอุปถัมภ์ค้ำชู มันเหมือนไก่ตื่นเช้ากระโดดลงจากที่นอนก็คุ้ยเขี่ยหาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตลอดทั้งวันจนขาจะขาด ค่ำมืดแล้วก็เข้านอน อาตมาก็มีความเป็นอยู่เช่นเดียวกันการกระทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของชีวิตคนมองเผินๆ ดูเหมือนว่าเป็นคนขยันแต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ทำด้วยความทุกข์ยาก ทำด้วยความจำเป็น ทำด้วยการบรรเทาทุกข์เท่านั้น

    บางครั้งก็มีผู้มาถามอยู่หลายครั้งหลายคนว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของใคร เราไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไรดี ตอบได้แต่คำว่าอาตมาแต่ก่อนเคยอยู่กับหลวงปู่ขาว เราไม่อาจจะตอบว่าเป็นลูกศิษย์เพราะคิดว่า คำว่าศิษย์มันหมายความว่าอย่างไร เพราะเราเคารพนับถือท่านมาก ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมายจนหาที่ตำหนิไม่ได้ ท่านขาวสะอาดจริงๆ ไม่ใช่ขาวแต่ชื่อ ท่านขาวกระทั่ง กาย วาจา ใจ อยู่กับคำว่า “เกลี้ยงทางใน ใส่ทั้งกระดูก เกลี้ยงทำข้าวปลูกทั้งข้าวปัดลาน ไม่ใช่เกลี้ยงแต่นอกทาง ในเป็นหมากเดื่อบี๋ เบิ่งแล้วแมงมีซ้อนอยู่ใน”

    ถ้าเราจะตอบว่าเราเป็นศิษย์ของท่าน เราทำได้อย่างท่านไหม ตรงนี้แหละเป็นสิ่งน่าละอายใจเป็นอย่างยิ่ง อาตมาไม่กล้าพูดว่าเป็นศิษย์อาจารย์มาเคยรู้เคยเห็น บางท่านบางคนบอกว่าฉันเป็นลูกศิษย์คนนั้นคนนี้ ลูกคนนั้นหลานคนนั้นมันเป็นศิษย์ ลูกหลานสมมติหรือเป็นจริงๆ เขานี่แหละควรคิดคำว่าลูกศิษย์ตถาคต พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใครก็ตาม เป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างมากๆ เลยทีเดียวอย่าให้เป็นผีแลกหน้าพร้าแลกคม มันจริงจะสมกับคำว่า “คนก็ให้เป็นคนแท้ๆ อย่าเป็นคนตั้งแต่ชื่อ คนให้ฮวดก้นหม้อเหนียวตุ้ยจริงแม่นคน” เอาไว้แค่นี้ก่อน

    จะย้อนกล่าวถึงการตั้งชื่อถ้ำ ถ้ามีชาวบ้านในเขตนั้นเขาเรียกว่าถ้ำเถ้า เวลาเราเดินไปในพื้นที่ถ้ำ ดินจะปุยขึ้นมาเหมือนเราเหยียบลงไปในขี้เถ้าไฟ สันนิษฐานว่าสมัยก่อนนายพรานไพรคงเคยมาพักอาศัยก่อไฟหุงข้าวทำกิน ย่างเนื้อหลายครั้งหลายหน ก็เลยมีขี้เถ้าเพิ่มมากขึ้น อาตมาตรวจตราดูหิน มองไปมองมาเห็นสภาพหินย้อย แต่ก่อนตรงนั้นจะเป็นช่องเป็นรู เวลาฝนตกน้ำจะไหลออกมาจากรูนั้นจนเป็นคราบหินปูนจับกันเป็นก้อน จนกลายเป็นเหมือนรูปช้างเผือกทั้งตัวอย่างเด่นชัด เป็นรูปหัวช้าง มีตา มีหู มีขาหน้าขาหลัง เป็นรูปสัตว์ช้างทั้งหมด ปัจจุบันอาตมาเอาพระประธานตั้งไว้ใต้ท้องช้างเวลาขึ้นไปบนถ้ำพระที่หนึ่ง มองเห็นพระประธานบอลคอกพระประธานนั้นและเป็นรูปช้างเผือกอาตมามองไปเห็นก่อนใครใครทั้งหมดก็คิดจะตั้งชื่อเท่าเสียใหม่ถ้าจะให้ชื่อเอราวัณก็จะไปทับถ้ำเอราวัณ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ถ้าจะตั้งชื่อถ้ำช้างเผือกเฉยๆ ก็ไม่ใหญ่ไม่สมศักดิ์ศรี ก็เลยเอาพยานำหน้าก็เลยได้ชื่อว่าวัดถ้ำพญาช้างเผือกตั้งแต่วันนั้นมาจนบัดนี้แลฯ

    ครั้งแรกอาตมามาอยู่ในถ้ำมีรูปเดียวอยู่ ๓ ปีเต็ม ทั้งแล้งทั้งฝน ฉันจังหันเสร็จก็ทำงานตลอดวัน อาตมาฉันคนเดียวเป็นวัตร ปรับพื้นที่ภายในพื้นขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ หารถน้ำมาขนดินขนหินอยู่คนเดียวตลอด ๓ ปี จึงดูพออยู่ได้ ในเวลาทำอยู่นั้นมีก้อนหินก้อนหนึ่งใหญ่ประมาณเท่าช้าง ๓ ตัว มันปิดบังแสงสว่างที่ส่องเข้ามาทางปากถ้ำ ทำให้มืดต้องพยายามจะเอาหินก้อนนั้นออก บังเอิญหินก้อนนั้นเป็นหินก้อนที่หล่นลงมาจากแถวนั้น เราคนเดียวก็กดเข้าไปได้ก้อนหินให้เป็นโพรงที่ตรงกลางก้อนหินพอก่อไฟได้ ปิดไฟแล้วก็ไปเที่ยวหาแบกฟืนไม้แห้งขนาดใหญ่พอแบบไหวมาใส่ เขาอยู่อย่างนั้นทั้งกลางวันกลางคืนอยู่สองสามวันทางจิตใจก็ลำบากหนักใจว่า ทำอย่างไรหนอฉันจะออกให้คิดแล้วลองเอาค้อน ๘ ปอนด์ไปทุบไปตีก้อนหิน ก้อนหินเมื่อถูกไฟเผามันก็ร้อน เราก็เอาค้อนไปตีด้วยความไม่มั่นใจเพราะมันก้อนใหญ่ที่อยู่อย่างนั้นแหละเหมือนกลับไปจั๊กจี้ช้าง ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ เหมือนกับมีอภินิหารหรือมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาช่วย ถ้าคนธรรมดาก็จะว่ามีเทวดามาช่วย อาตมาไม่ใช่คนธรรมดาอาตมาเป็นพระ แล้วก็มองไม่เห็นเทวดาด้วย ก้อนหินก้อนใหญ่นั้นแตกแบ่งออกกึ่งกลางก้อนเลยน่าอัศจรรย์จริงๆ น่าอัศจรรย์ใจ เข้าสารในโอเงยคอตอดไก่ รู้สึกดีใจอยู่คนเดียว แล้วก็มาขุดโพรงเผาก้อนที่แตกออกอีกเผาอีก เอาค้อนปอนด์ตีอีกแตกอีกอัศจรรย์อีก ทำไปเรื่อยๆ จนก้อนหินก้อนนั้นหมดไม่มีเหลือ ขนใส่รถน้ำนำมาทำเขื่อน กั้นดินบ้าง กั้นเขื่อนกั้นถนนบ้าง แสงสว่างก็ส่องได้ตลอดถ้ำ

    ถ้าเราเปรียบเทียบกับธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ก็คงจะอยู่ในหมวดการทำความเพียรที่ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นเข้ากับคำว่า ฝนทั่งให้เป็นเข็ม จริงไหมท่าน อาตมาชอบเป็นคนจัญไรตีนจัญไรมือ ก่อปูนเองฉาบปูนเอง จะไปจ้างเขาค่าจ้างก็ไม่มี มีก็เล็กๆ น้อยๆ พอเป็นค่าอุปการะเท่านั้น ใจมันบอกว่าช่างมันเอาอะไรทำ เอามือทำ เรามีมือไหม มันเลยเกิดมาเป็นคนจัญไรไม่ได้อยู่เป็นสุข บางครั้งทำงาน ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่มก็มี อัปรีย์มาก พอครบ ๓ ปีก็พอดูได้พออยู่ได้ ก็เลยหยุดทำความเพียรอย่างตั้งใจจริงๆ ปูนซีเมนต์เหลือค้างอยู่ ๑ ถุง ถ้าทำงานก็ประมาณ ๒-๓ วันก็หมด ไม่ทำ หยุดแต่วันนั้นเป็นเวลา ๒ ปีเต็ม พอมีกำลังจิตกำลังใจแล้วก็กลับมาทำงานต่อไป ดูปูนถุงนั้นเหมือนก้อนหินมันแข็งก็ไม่ทิ้ง เอามาบดให้ละเอียดเหมือนเดิม ใช้ผสมกับปูนใหม่ใช้ได้เหมือนเดิม เริ่มสร้างภายนอกถ้ำ มีศาลา โรงครัว ที่พัก กุฏิ ห้องน้ำ เสริมมาเรื่อยๆ ภายในถ้ำขณะนี้จะทำให้เป็นอุโบสถ (โบสถ์) เพื่อเป็นที่ทำสังฆกรรมในพระพุทธศาสนาต่อไปเท่านานแสนนาน

    8d-e0-b8-b2-e0-b8-8a-e0-b9-89-e0-b8-b2-e0-b8-87-e0-b9-80-e0-b8-9c-e0-b8-b7-e0-b8-ad-e0-b8-81-jpg.jpg
    หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย วัดถ้ำพญาช้างเผือก
    บ้านปากช่อง ต.ห้วยยาง อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ
    หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย ท่านเริ่มอาพาธด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเมืองกลางปี พ.ศ.๒๕๕๖ จึงได้ทำการรักษาโดยให้คีโม ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น แต่อาการอาพาธของท่านค่อย ๆ ทรุดลงจนธาตุขันธ์เกินจะแบกภาระไว้ได้ หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย ท่านจึงละสังขารเข้าอนุปาทิเสสนิพพานเมื่อเวลา ๑๒.๐๔ น. ตรงกับวันอังคารที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๐ ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น

    สิริอายุรวม ๘๓ ปี ๒ เดือน ๑๒ วัน ๕๘ พรรษา

    sam_6870-jpg.jpg sam_8266-jpg.jpg sam_8267-jpg.jpg sam_8269-jpg.jpg sam_8271-jpg.jpg
     
  12. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการี่ 577 เหรียญเจิญพรบนหลวงปู่เคน เขมาสโย พระอรหันต์เจ้าวัดป่าหนองหว้า อ.สว่างเเดนดิน จ.สกลนคร เหรียญสร้างปี 2557 เนื้อทองเเดงรมมันปู มีตอกโค๊ตยันต์ นะ หน้าเหรียญ ******เหรียญใหม่ไม่เคยใช้มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป้นมงคลด้วยครับ>>>>>>บูชาที่ 200 บาฟรีส่งems
    *******ประวัติโดยย่อพอสังเขปหลวงปู่เคน เขมาสโย
    วัดป่าบ้านหนองหว้า อ.สว่างแดนดิน สกลนคร
    ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่เคน เขมาสโย ท่านมีชาติกำเนิดในสกุล “นิ่งแนน” ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๑ ตรงกับ วันจันทร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๓ ณ บ้านนาเตียง ต.ตาลเนิ้ง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร เป็นบุตรของคุณพ่อไพ คุณแม่บับ ท่านเกิดได้ไม่นานแม่ก็เสียชีวิต น้าสาวเลยเอาท่านไปเลี้ยงเป็นลูก แล้วเปลี่ยนนามสกุลเป็น “ฤกษ์งาม”

    ในสมัยเด็ก ๆ องค์ท่าน มีจิตใจในทางเมตตา ใฝ่ใจใคร่รู้ในทางธรรมมาก และมีจิตเมตตา สงสารในสัตว์เล็ก สัตว์น้อย และมีชีวิตที่ไม่โลดโผนมากนัก ผิดกับวัยรุ่นวัยหนุ่ม ที่คะนองตามแบบหนุ่มบ้านนอกลูกทุ่งโดยทั่วไป ด้วยใจที่ใฝ่ในทางธรรม จึงออกปากขอโยมพ่อ โยมแม่ ขอออกบวช ก็เป็นที่น่ายินดีกับทุกคนที่ได้รับฟังเวลานั้น ช่วงนั้นเป็นเดือน ๑๑ เป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าว พอตอนเย็น ท่านกับเพื่อน ๆ ที่พร้อมจะบวชด้วยกันทั้ง ๔ คน ก็มาฝึกขานนาคกับหลวงปู่หอม ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ที่วัดป่าสามัคคีบำเพ็ญผล บ้านนาเตียง
    ท่านอุปสมบทเมื่ออายุ ๒๓ ปี ณ สิมกลางน้ำ วัดป่าบ้านหนองดินดำ(ภายหลังเปลี่ยนเป็น วัดป่าคามวาสี) ต.ตาลโกน อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตรงกับวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล โดยมีพระอธิการพุฒ ยโส (ภายหลังได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูพุทธิวาคม) เป็นอุปัชฌาย์ หลวงปู่นนท์ โกวิโท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่หอม เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    พระอาจารย์เคน ได้รับฉายาว่า "เขมาสโย" แปลว่า "ผู้ยินดีอาศัยในธรรม" ในการบวชครั้งนั้นได้มีการเข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทพร้อมกัน ๔ นาค คือ
    ๑.นาคเคน ฤกษ์งาม หรือท่านพระอาจารย์เคน เขมาสโย
    ๒.นาคประสาร รำไพ หรือท่านพระอาจารย์ประสาร ปัญญาพโล
    ๓.นาคสมัย โสภาจาร หรือท่านพระอาจารย์สมัย ทีฆายุโก
    ๔.นาคชาลี โคตรสมบูรณ์ บวชเป็นสามเณร เพราะอายุยังไม่ถึง ต่อมาได้ลาสิกขาบท
    หลังจากท่านบวชแล้วก็ติดตามหลวงปู่นนท์ โกวิโท เที่ยวไปธุดงค์ที่ จ.นครพนม ได้ไปศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่บุญมา มหายโส ที่วัดอรัญญิกาวาส อ.เมือง จ.นครพนม อยู่พักหนึ่ง
    ภายหลังหลวงพ่อวัน อุตตโม แห่งวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อ.ส่องดาว จ.สกลนคร ได้ฝากให้ท่านไปอยู่จำพรรษากับหลวงปู่คำ ยสกุลปุตโต เพื่อให้ท่านสอนวิปัสสนากรรมฐานในเบื้องต้นให้ ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่คำ มีอายุ ๖๐ ปี ที่วัดศรีจำปาชนบท บ้านพังโคน อ.พังโคน จ.สกลนคร เป็นพรรษแรก คือปี พ.ศ.๒๔๙๔ หลวงปู่คำ ให้อาตมาฝึกนั่งสมาธิเจริญคำภาวนาว่า “พุทโธ” ด้วยการให้พิจารณาการหายใจเข้าหายใจออกอย่างสม่ำเสมอ และให้มีสติกำหนดรู้อยู่ในการหายใจ ฝึกอยู่ได้หนึ่งพรรษาจิตยังหยาบอยู่ จึงต้องตั้งสติอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ
    จากนั้นจึงไปศึกษาธรรมอยู่กับท่านพระอาจารย์จันทร์ ไปอยู่บ้านนาเหมือง จ.สกลนคร ท่านพระอาจารย์จันทร์ ได้สอนการอ่านตัวธรรมที่จารอยู่ในใบลานต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการฝึกจิตเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนจิตใจสงบดีขึ้นเป็นลำดับ ทำให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่านเหมือนเมื่อก่อน จึงทำให้หูตาสว่างไสวไปอีกขั้นหนึ่ง คือมองอะไรก็เป็นธรรมดา จิตใจไม่ว้าวุ่นเป็นสมาธิดี ท่านพระอาจารย์เคนอยู่อบรมธรรมกับพระอาจารย์จันทร์อยู่ ๓ พรรษา คือปี พ.ศ.๒๔๙๕ ถึงปี พ.ศ.๒๔๙๗ จากนั้นก็ไปจำพรรษาที่วัดโนนแสนคำ บ้านทุ่งคำ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ณ ที่นี้ ก็เป็นสัปปายะดี คือเป็นสถานที่ดี มีความสงบสงัด เป็นที่ถูกใจ เหมาะแก่การภาวนาปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ท่านอยู่จำพรรษาที่นี่ ๑ พรรษ คือปี พ.ศ.๒๔๙๘
    จากนั้นจึงมาอยู่ศึกษาธรรมกับหลวงปู่หอม ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ที่วัดป่าสามัคคีบำเพ็ญผล บ้านนาเตียง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ๔ พรรษา คือ ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ถึงปี พ.ศ.๒๕๐๒ จากนั้นท่านทราบข่าวว่าหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นลูกศิษย์รูปหนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นพระที่มีปฏิปทาที่น่าเลื่อมใส จึงได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาอบรมธรรมอยู่กับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี อีก ๑ พรรษา คือปี พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงปู่อ่อน ได้อบรมสั่งสอนในเรื่องทางการฝึกจิต ความเจริญทางจิตใจนั้น เราจะปล่อยไปเองตามธรรมชาติไม่ได้ เพราะใจจะไหลลงต่ำ ไม่ดีงาม เราต้องรู้จักควบคุมบังคับ ฝืนไม่ให้อาหารในทางเสื่อม ไม่อย่างนั้นจิตใจจะไม่เจริญก้าวหน้า ท่านสอนให้ยึดคำบริกรรม “พุทโธ” เป็นหลัก เพราะไม่มีคำบริกรรมอย่างใดจะดีเท่าการสรรเสริญพระพุทธเจ้า
    หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ อบรมเรื่องการอยู่ป่าเป็นวัตร เมื่อไปอยู่ป่าแล้ว อย่าไปยึดป่า อย่ามีอุปาทานในป่า เรามีนี่เพื่อทำปัญญาให้เกิด ถ้ายังไม่มีปัญญา ก็จะเห็นว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น เป็นปฏิปักษ์กับเรา เป็นข้าศึกกับเรา ถ้าปัญญาดีแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น ไม่ใช่ข้าศึก แต่เป็นสภาวะที่ให้ความรู้ความเห็นแก่เราอย่างแจ้งชัด เมื่อสามารถกลับความเห็นอย่างนี้ แสดงว่าปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อท่านพระอาจารย์เคน รับการอบรมจากหลวงปู่อ่อนแล้ว ก็ได้กราบลา แล้วธุดงค์ไปที่ดงหม้อทอง แล้วไปอยู่ตามเขาตามถ้ำต่าง ๆ ที่ อ.บ้านผือ
    สมัยนั้นยังมีป่าไม้ให้ร่มเย็น สมัยที่องค์ท่านออกเดินธุดงค์ ไม่ต้องกล่าวถึงความสะดวกสบายในการเดินทาง เรียกว่า มีแต่ป่ากับป่า ท่านเล่าว่าสิงสาราสัตว์ อย่างเสือ กวาง เก้ง แม้ช้างป่า มากมายจริง ๆ แต่ก็ไม่ทำให้องค์ท่านท้อในการเดินทางเข้าหาพ่อแม่ครูอาจารย์ การไปอยู่ ณ ที่ใด ก็ได้พิจารณายึดเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่ท่านได้แนะนำให้ไปปฏิบัติตามครรลองของพระพุทธศาสนา การบิณฑบาตในสมัยนั้นก็ได้แต่ข้าวเหนียว ไม่มีกับข้าว อดบ้างอิ่มบ้างก็อดทนอดกลั้น แม้จะพบความยากลำบาก ก็ไม่กังวลกับสิ่งใดใด
    ท่านพระอาจารย์เคน เขมาสโย ได้ธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว ขึ้นไปธุดงค์อยู่รุกขมูลตามร่มไม้ เพิงหิน โถงถ้ำที่ภูเขาควาย ประเทศลาว ที่ภูเขาควายนี้เป็นที่มีอาถรรพณ์ และศักดิ์สิทธิ์ เต็มไปด้วยภูตผีวิญญาณร้าย พระธุดงค์มากมายเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เป็นจำนวนมาก ท่านเล่าว่า ที่ภูเขาควายนี้เป็นภูเขาที่สูงมากของฝั่งลาว สูงกว่าดอยสุเทพเสียอีก เป็นภูเขาที่น่ากลัวจริง ๆ เพราะเป็นป่าทึบดงดิบหนา มีสัตว์ป่ามากมาย เช่นช้าง เสือ หมี งู และสัตว์มีพิษอื่น ๆ อยู่มาก ที่สำคัญอากาศบนยอดเขาภูเขาควายหนาวเย็นมาก ถ้ามองรอบตัวจะไม่เห็นอะไรเลย เพราะป่ามันทึบมาก
    เวลาขึ้นเขาไปต้องค่อย ๆ มีสติเหยียบก้อนหินขึ้นไปทีละก้อนอย่างเชื่องช้า เพราะหินบางก้อนลื่นมาก เขาก็สูงชันมาก กลัวจะพลาดตกลงไป ทั้งบนบ่าก็แบกกลด แบกบาตรอัฐบริขารหนักมาก ท่านนึกถึงตนเองสมัยนั้นก็น่าสงสารตนเองยิ่งนัก แต่เราเป็นพระที่ขึ้นชื่อว่าเสียสละในทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยปลงได้ เพราะถือว่าครูบาอาจารย์ก็เคยลำบากมาก่อนแล้ว ท่านจึงได้ดีมีอรรถมีธรรม ครูบาอาจารย์ที่เคยมาเยือนที่ภูเขาควายแห่งนี้ในสมัยก่อน ได้แก่ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่เครื่อง ธัมมธโร หลวงปู่ขาว อนาลโย และพระอาจารย์ของท่านคือ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ท่านพระอาจารย์วัน อุตตโม ก็เคยมาเยือนที่ภูเขาควายเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แล้วทั้งนั้น
    เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขา ท่านพระอาจารย์เคน ได้เห็นตาผ้าขาว กำลังกวาดใบไม้อยู่บนพลาญหิน จึงรู้สึกดีใจว่าบนยอดภูเขาควายนี้ ก็มีผู้มาบำเพ็ญสมณธรรมเช่นกัน ท่านจึงรีบเดินตรงเข้าไปหาหวังพูดคุยเจรจาด้วย เพราะไม่ได้พูดคุยกับใครมานานแล้ว แต่พอไปถึงที่นั้นกลับไม่พบใคร มีแต่ความว่างเปล่า หรือจะเป็นเทพเทวดาอารักษ์รักษาป่าก็เกินจะคาดเดาได้ คืนนั้นท่านพระอาจารย์เคน พักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำที่ท่านไปอยู่ก็มีโครงกระดูก ไม่ทราบเป็นของพระธุดงค์หรือของโยมชาวบ้านที่มาล่าสัตว์ คงจะมาพักแล้วโดนงูกันตายก็เป็นได้ เพราะมีสิ่งของบางอย่างวางทิ้งไว้เช่นกาน้ำ การมาอยู่ที่ภูเขาควายก็ได้ความสงบสงัด ความวิเวกดี ได้ความก้าวหน้าในสมาธิตามลำดับ ท่านได้เที่ยวไปที่ต่าง ๆ ในเขตฝั่งลาวอยู่ถึง ๒ พรรษา คือปี พ.ศ.๒๕๐๔ ถึงปี พ.ศ.๒๕๐๕
    ในช่วงนั้นเกิดความไม่สงบของบ้านเมืองในประเทศลาว ชาวบ้านจึงให้ความเห็นให้ท่านเดินทางกลับมาฝั่งไทยจะดีกว่า ท่านธุดงค์ข้ามมาทางบึงกาฬ-ปากคาด-โซ่พิสัย เรื่อยมาทางคำตะกล้า-บ้านม่วง ผ่านวานรนิวาส จนมาถึงสว่างแดนดิน ท่านพระอาจารย์เคน เขมสโย ได้มาวิเวกมาบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่บ้านหนองหว้าครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๕ บริเวณด้านหลังกุฏิไม้(หลังเก่า)ขององค์ท่าน ท่านว่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เคยมาปักกลดอยู่ที่นี่ เมื่อก่อนแถบนี้เป็นป่ารกชัฏ แล้วก็ยังมีเสืออยู่ แต่ปัจจุบันก็เป็นอย่างที่เห็น กลายเป็นไร่นาของชาวบ้านหมดแล้ว สมัยที่ท่านพระอาจารย์เคน มาวิเวกอยู่ที่นี่ครั้งแรก มีชายรูปร่างสูงใหญ่ เป็นคนโบราณ ตัวดำทมึน เดินเข้ามาหา บอกว่าตามมาดูแลรักษา มิให้เกิดอันตรายใดใดทั้งสิ้น ขอให้ปฏิบัติธรรมไปด้วยความสบายใจ เขาบอกว่าเขาตามมาจากฝั่งลาว จะมาขออยู่ด้วยตลอดไป ท่านพระอาจารย์เคน ก็ไม่ได้ว่าอะไร
    จากนั้นท่านพระอาจารย์เคน ได้เข้าไปศึกษาอบรมธรรมอยู่กับท่านพระอาจารย์วัน อุตตโม ที่ถ้ำพวง ภูผาเหล็ก อ.ส่องดาว จ.สกลนคร ท่านพระอาจารย์วัน เป็นพระที่มีเมตตาธรรมมาก เป็นพระปฏิบัติดีเคร่งครัดพระธรรมวินัยรูปหนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่านพระอาจารย์วัน นับเป็นอาจารย์ใหญ่ของท่านพระอาจารย์เคน ที่ท่านมีแต่ให้มาตลอด ข้อธรรมที่ไม่รู้ ท่านก็สอนให้รู้โดยไม่ปิดบังแต่อย่างใด ท่านสอนให้พิจารณษสังขารร่างกายนั้นเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ อย่าไปยึดติดในสิ่งที่อยู่นอกกาย เช่น เนื้อหนังมังสาที่สวยงาม ล้วนแต่เป็นอนิจจังเป็นของไม่เที่ยงแท้ทั้งนั้น
    ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๐๖ ท่านได้มากลับมาอยู่กับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี มีโยมอุบาสกคนหนึ่งชื่อ “จันทร์เรียน” ได้มาฝึกขานนาคด้วย มีท่านพระอาจารย์เคน และท่านพระอาจารย์สมัย ทีฆายุโก ช่วยกันสอนการออกเสียงอักขระ การขานนาคให้กับท่านจันทร์เรียน ท่านพระอาจารย์เคน จึงถือได้ว่าเป็นพระอาจารย์ และเมื่อครั้งท่านอาจารย์จันทร์เรียน อุปสมบทที่วัดโพธิสมภรณ์ ท่านพระอาจารย์เคน ก็ได้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ของท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร แห่งวัดถ้ำสหาย อีกด้วย
    จากนั้นท่านพระอาจารย์เคน ได้กลับไปวิเวกอยู่ที่ป่าช้า บ้านหนองหว้าอีกครั้งนึง แล้วจึงได้อยู่โปรดญาติโยม จนได้สร้างเป็นวัดป่าหนองหว้า ได้อยู่จำพรรษาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
    ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๔๖ หลวงปู่เคน เขมาสโย ท่านไปจำพรรษาที่วัดถ้ำสหายกับหลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร เนื่องจากหลวงปู่เคนท่านอาพาธ หลวงพ่อจันทร์เรียนเลยอาราธนานิมนต์ท่านไปอยู่ด้วย ท่านเล่าว่าสมัยอยู่วัดป่านิโครธาราม ญาติโยมเอาหลวงพ่อจันทร์เรียนไปฝากท่านให้สอนขานนาคเนื่องจากหลวงปู่อ่อน ญาณสิริไม่อยู่ เพราะหลวงปู่อ่อนไปทำธุระที่กรุงเทพ ฯ ที่แรกท่านว่าจะไม่รับ รอหลวงปู่อ่อนกลับมาค่อยเอามาฝากหลวงปู่อ่อนใหม่ ญาติโยมไม่ยอม จำเป็นท่านเลยรับไว้ และก็สอนขานนาคให้ หลวงพ่อจันทร์เรียน นึกถึงบุญคุณครูบาอาจารย์สมัยหลวงปู่เคน ท่านเคยสอนนาค และอยู่อบรมธรรมด้วยกันมาเสมอ
    หลวงปู่เคน เขมาสโย มีเพื่อนสหธรรมิกที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เป็นเด็ก คือ
    ๑.หลวงปู่ประสาร ปัญญาพโล วัดคามวาสี บ้านหนองดินดำ ต.ตาลโกน อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    ท่านมรณภาพแล้ว เมื่อวันพุธที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑
    ๒.หลวงปู่สมัย ทีฆายุโก วัดป่าโนนแสงทอง ต.แวง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    ท่านมรณภาพแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
    ๓.หลวงปู่เกิ่ง วิทิโต วัดป่าสามัคคีบำเพ็ญผล บ้านนาเตียง ต.ตาลเนิ้ง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    ท่านมรณภาพแล้ว วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
    หลวงปู่เคน เขมาสโย ท่านเป็นพระที่มีเมตตาธรรมสูง อารมณ์ดี เยือกเย็นเสมอ พร้อมให้การสังเคราะห์ต่อศรัทธาญาติโยม ท่านมีอัธยาศัยเป็นพระที่ไม่ค่อยเก่งในการปฏิสัณฐานกับศรัทธาญาติโยมมากนัก เรียกว่าไม่ค่อยพูด นอกเสียจากว่านาน ๆ ครั้งองค์ท่านก็มีเมตตาสอนให้ข้อคิดคติธรรมบ้าง ในลักษณะคำสอนสั้น ๆ แต่ก็ถึงใจกับลูกศิษย์ลูกหา เมื่อได้น้อมใจที่พยายามเข้าใจในธรรมที่องค์ท่านเมตตาสอน ทั้งผิวพรรณขององค์ท่านก็สดใส ขาวผ่อง สมกับความเป็นพระอริยเจ้าผู้มีคุณธรรมขั้นสูง หลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร ศิษย์ผู้มีความผูกพันกับหลวงปู่เคน เคยกล่าวไว้ว่า "พระผู้เฒ่าไม่ต้องห่วงแล้ว ท่านสบายแล้ว”
    หลวงปู่เคน เขมาสโย ท่านได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จยุพราชสว่างแดนดิน เนื่องจากลื่นหกล้มที่กุฏิ ในช่วงก่อนวันคล้ายวันเกิดในวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ซึ่งทำให้สะโพกท่านหัก ภายหลังจึงได้นำตัวท่านส่งไปโรงพยาบาลสกลนคร และได้ละสังขารเข้าอนุปาทีเสสนิพพานลงด้วยสาเหตุไตวาย เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เวลา ๐๘.๔๕ นาฬิกา ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา สิริรวมอายุ ๘๖ ปี ๗ วัน พรรษา ๖๓
    _n-jpg-_nc_cat-102-_nc_sid-2d5d41-_nc_ohc-laes_fxmx4ax80hvwd-_nc_ht-scontent-fkkc2-1-jpg-jpg-jpg.jpg
    sam_3035-jpg-jpg-jpg.jpg
    >>>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ ******บูชาที่ 200 บาทฟรีส่ง sam_7510-jpg.jpg sam_7511-jpg.jpg sam_7512-jpg.jpg
    SAM_7793.JPG
    ไฟล์ที่แนบมา:
     
  13. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 578
    ล็อกเก็ตรุ่นเเรกฉากฟ้าขาวจัมโบ้หลวงปู่พวง สุวีโร พระอรหันต์เจ้าวัดป่าปูลู อ.หนองหาน จ.อุดรธานี หลวงปู่พวงท่านเป็นศิษย์หลวงปู่อ่อน ญานสิริ ,หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถั้ากลองเพล เป็นต้น สร้างปี 2535 หลังล็อกเก็ต,มีบรรจุเฝังพระเกศา,จีรวร,พลอยเสก,ข้าวสารหินเสก,เทียนชัย ติดเเผ่นทองตอกโค๊ต องค์นี้มีฝังเเร่เหล็กไหลหินทั่งด้วยครับ เป็นต้น ,,มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ***********บูชาที่ 375 บาทฟรีส่งemsสส
    ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่พวง สุวีโร (พระครูวีรธรรมานุยุต) วัดป่าปูลูสันติวัฒนา ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี

    8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2-3-712x1024.jpg
    หลวงปู่พวง สุวีโร (พระครูวีรธรรมานุยุต) วัดป่าปูลูสันติวัฒนา
    หลวงปู่พวง สุวีโร มีนามเดิมว่า พวง สีทะเบียน เกิดวันจันทร์ ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๑ ตรงกับวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปี มะโรง ณ บ้านปูลู ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี

    บิดา-มารดา ชื่อ นายจุ่น สีทะเบียน และนางมา ขันตีพันธุวงศ์ มีพี่น้องทั้งหมด ๑๔ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๘

    เรื่องราวในชีวิต เมื่อท่านอายุได้ ๑๖ ปี ได้ทำงานประมงบ้าง ทำงานต้มสุราบ้าง ไม่นานก็ได้ยินข่าวว่ามารดาป่วยหนักจึงลางานไปเยี่ยมมารดา ก่อนมารดาของท่านจะสิ้นลม ได้สั่งท่านว่า

    “บวชให้แม่นะ ถ้าลูกไม่บวชให้ แม่จะตายตาไม่หลับ”

    ท่านก็รับปาก แล้วมารดาก็สิ้นใจ ด้วยจิตศรัทธาอยากจะบวชอยู่แล้ว ในช่วงที่รอเวลาเหมาะที่จะบวชอยู่นั้น ท่านได้แสวงหาฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์อยู่เรื่อย ๆ เช่น ไปฟังธรรมะพระอาจารย์สิงห์ สหธัมโม , พระอาจารย์พร สุมโน , พระอาจารย์สีลา เทวมิตโต

    %B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2.jpg
    พระครูวีรธรรมานุยุต (หลวงปู่พวง สุวีโร) วัดป่าปูลูสันติวัฒนา
    เมื่อ ถึง พ.ศ.๒๔๙๐ ท่านได้นุ่งขาวห่มขาวอยู่กับพระอาจารย์สีลา เทวมิตโต อยู่ถึง ๒ ปี จึงได้บรรพชา เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓

    ในช่วงระยะนั้นท่านยังได้ฟังธรรมของหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่มาแวะเวียนธุดงค์อยู่แถวนั้นด้วย ท่านเล่าว่า ท่านเองได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย วันหนึ่งนั่งสมาธิเห็นโยมแม่ที่ตายแล้ว ได้เป็นอยู่อย่างอัตคัด ไม่มีผ้านุ่งผ้าห่ม ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย จึงอธิษฐานกับพระประธานว่า

    “ช่วงเช้าไปบิณฑบาต ขอให้มีคนมาถวายผ้า”

    ครั้นไปบิณฑบาตก็มีคนมาถวายผ้าขาวจริงๆ ท่านจึงนำผ้าขาวไปย้อมด้วยหินสีแดง แล้วนำไปซักตาก พอแห้งก็นำมาย้อมแล้วซักตากอีกรอบ จากนั้นก็นำไปพับถวายหลวงปู่ขาว กราบเรียนท่านว่า

    “ขอโอกาสพ่อแม่ครูจารย์ บังสกุลแหน่ อุทิศให้แม่”

    หลวงปู่ขาว จึงชักผ้าบังสุกุลให้ คืนนั้นหลวงปู่พวง นั่งภาวนาเห็นโยมแม่ มีผ้านุ่งผ้าห่มผืนใหม่ แล้วยังมีผ้าอีกหลายผืนห้อยเต็มไปหมด

    จากนั้นหลวงปู่พวงจึงคิดว่าทำอย่างไร โยมแม่จึงมีที่อยู่ที่อาศัย หลายวันต่อมา มีโยมนิมนต์หลวงปู่ขาว กับพระที่วัดไปสวดมนต์ที่บ้าน หลวงปู่พวง จึงได้มีโอกาสตามไปด้วย ญาติโยมได้ถวายปัจจัย หลวงปู่ขาว จึงบอกกับพระสงฆ์ว่า อัฐบริขารเราก็มีอยู่พร้อมแล้ว ให้นำปัจจัยนี้ไปสร้างกุฏิ และถาน(ส้วม) ตามที่ท่านพวง อธิษฐานไว้ ครั้นเมื่อสร้างเสร็จ หลวงปู่พวง จึงได้น้อมถวายกุฏิ และถาน(ส้วม) แก่หลวงปู่ขาว อนาลโย

    จากนั้นตกกลางคืน หลวงปู่พวงได้นั่งสมาธิ มองหาแม่ ออกตามหาทั้งคืนก็ไม่เห็น ผ่านไป ๔ วัน จึงไปกราบเรียนหลวงปู่ขาว

    “ขอโอกาสพ่อแม่ครูจารย์ หาแม่บ่เห็น”

    หลวงปู่ขาว บอกให้ “ขึ้นสูงๆ”

    หลวงปู่พวง จึงนั่งสมาธิหาตามยอดไม้ก็ไม่เห็น หรือจะเป็นที่สวรรค์กันแน่ ท่านจึงรวบรวมพลังจิตทั้งหมดขึ้นไปดู จึงเห็นวิมานของโยมแม่บนสวรรค์ เห็นร่างกายที่เป็นทิพย์ของโยมแม่ จึงสบายใจขึ้นว่า โยมแม่พ้นทุกข์แล้ว ก็เพราะด้วยบารมีธรรมของของพระผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ หากเราได้ถวายทานแก่พระภิกษุ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว อานิสงส์ย่อมส่งผลไปถึงญาติของเราแม้นอยู่ปรโลก ก็สามารถให้พ้นทุกข์ พ้นโทษภัยได้ อย่างองค์หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านจึงถือว่าเป็นเนื้อนาบุญเอกของโลก

    ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อาพาธหนัก พำนัก ณ สำนักป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร คณะศิษย์ได้อาราธนา ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ขึ้นแคร่เพื่อหามท่านไปละสังขารที่ตัวเมืองสกลนคร สามเณรพวงได้ช่วยหามหลวงปู่มั่นไปจนถึงวัดป่ากลางโนนภู่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร และติดตามคณะนำหลวงปู่มั่นไปถึงวัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร และหลวงปู่มั่นก็มรณภาพ ณ ที่นั้น

    สามเณรพวงจึงได้อยู่ช่วยงานถวายเพลิงศพหลวงปู่มั่นจนแล้วเสร็จและ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ เวลา ๑๕.๔๐ น. ณ อุทกุกเขปสีมากลางน้ำหนองแวง อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร โดยมีพระครูพุฒิวราคม (พุฒ ยโส) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    %B9%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A7%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%A3-3.jpg
    แถวยืนจากซ้าย :
    หลวงปู่พวง สุวีโร, หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ
    และหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
    แถวนั่งจากซ้าย :
    หลวงปู่คำพอง ติสฺโส, หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป,
    หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ และหลวงปู่ท่อน ญาณธโร
    หลังจากอุปสมบทแล้วท่านได้ออกปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ได้ออกธุดงค์กรรมฐานไปในเขตหลายจังหวัด ทั้งในภาคอีสานและภาคเหนือ และได้รับการอบรมกรรมฐานจากครูบาอาจารย์หลายรูป อาทิเช่น หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ , หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ , หลวงปู่จันทร์ เขมปัตโต , หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร เป็นต้น และได้มาก่อตั้งวัดป่าปูลูสันติวัฒนา ที่บ้านปูลู ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี

    8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2-2-712x1024.jpg
    หลวงปู่พวง สุวีโร วัดป่าปูลูสันติวัฒนา อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
    %B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2-768x1024.jpg
    หลวงปู่พวง สุวีโร วัดป่าปูลูสันติวัฒนา อ.หนองหาน จ.อุดรธานี
    หลวงปู่พวง สุวีโร มีสหธรรมมิกที่เคยร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกัน หลายรูป อาทิเช่น หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ , หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร , หลวงปู่ท่อน ญาณธโร , หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม เป็นต้น

    หลวงปู่พวง สุวีโร ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัยรูปหนึ่ง และดำเนินปฏิปทาสืบทอดมาจากองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาธรรม คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กระจายไปทั่วทั้ง ๘ ทิศ ด้วยน้ำเสียงและสำนวนการเทศนาที่ไพเราะน่าฟังของท่านเป็นเหตูให้มีผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาและองค์ท่านเป็นจำนวนมาก

    หลวงปู่พวง สุวีโร ท่านได้ถึงแก่มรณภาพในขณะกำลังนั่งภาวนา เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๖ เวลา ๐๙.๕๐ น. ด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กรุงเทพฯ

    B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A7%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%A3.jpg
    หีบศพของท่าน หลวงปู่พวง สุวีโร
    B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2-1024x1024.jpg
    เกศา ของท่าน หลวงปู่พวง สุวีโร วัดป่าปูลูสันติวัฒน
    sam_8631-jpg.jpg เปิดดูไฟล์ 5714706 sam_7605-jpg.jpg sam_7828-jpg-jpg.jpg SAM_8650.JPG


     
  14. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 579 เหรียญหล่อศุภนิมิตรุ่นมอบตึกสงฆ์อาพาธ+พระผงรูปเหมือนพิมพ์ใบโพธิ์หลังลายเซนต์รุ่นเเรกหลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร พระอรหันต์เจ้าวัดป่าสุนทราราม อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร หลวงปู่สิงห์ทองเป็นศิษย์หลวงปู่ดี ฉันโน วัดถํ้าภูพระ เหรียญสร้างปี 2539 เนื้อกะไหล่ทอง สร้างเนื่องเป็นที่ระลึกมอบตึกสงฆ์อาพาธมาพร้อมกล่องเดิม,ส่วนพระผงเเช่นํ้ามนต์ สร้างปี 2546 ,มาพร้อมกล่องเดิม มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ **************บูชาที่ 345 บาทฟรีส่งems #ประวัติย่อๆหลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร
    5655442_o-jpg-_nc_cat-100-_nc_sid-ca434c-_nc_ohc-rnkn7pit41kax8-x7qu-_nc_ht-scontent-fkkc2-1-jpg.jpg
    paragraphparagraphparagraph__11_128-jpg.jpg

    ประวัติและปฏิปทา
    พระครูสุนทรศีลขันธ์
    (หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร)
    วัดป่าสุนทราราม (วัดบ้านกุดแห่)
    ตำบลกุดแห่ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
    >>>>>๏ ชาติภูมิ
    “พระครูสุนทรศีลขันธ์” หรือ “หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร” มีนามเดิมว่า สิงห์ทอง ประมูลอรรถ เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๖๘ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๔ ปีฉลู จุลศักราช ๑๒๘๗ ณ บ้านกลางใหญ่ ต.กลางใหญ่ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายบ่อง และนางอูบ ประมูลอรรถ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๓ คน ท่านเป็นบุตรคนโต มีรายชื่อตามลำดับดังนี้
    (๑) หลวงปู่สิงห์ทอง ปภากโร
    (๒) นางรั้ว ประมูลอรรถ
    (๓) นางทองดำ ประมูลอรรถ (แม่ชีทองดำ)
    ก่อนที่ท่านจะมาปฏิสนธิในครรภ์โยมมารดานั้น ในคืนหนึ่งโยมมารดานิมิตฝันว่า มีชายแก่คนหนึ่งเอางาช้างยาวใหญ่สีขาวบริสุทธิ์มามอบให้ แล้วสั่งกำชับว่า “งาช้างนี้เป็นมงคล ขอให้รักษาไว้ให้ดีเพื่อเป็นมรดกของเจ้า ห้ามไม่ให้ผู้ใดใครคนหนึ่งเอาไปเป็นกรรมสิทธิ์อย่างเด็ดขาด” ไม่นานนักโยมมารดาของท่านก็ได้ตั้งครรภ์ และได้พยายามถนอมรักษาครรภ์เป็นอย่างดี จนครบทศมาส ๑๐ เดือนแล้วคลอดออกมา เมื่อถึงเวลาคลอดตามปกติของผู้มีบุญญาบารมี แต่โบราณว่าไว้จะผิดธรรมชาติ นั่นคือเวลาคลอดท่านเอาก้นหรือขาออกมาก่อน เป็นที่ลำบากของโยมมารดาอย่างยิ่ง เมื่อคลอดออกมาได้โยมมารดาเจ็บปวดอย่างหนักแทบขาดใจถึงกลับสลบไป ผู้เฒ่าผู้แก่ต้องเอาผ้าถุงมาพัดโบกให้จนฟื้นเป็นปกติ หมอตำแยได้ตัดสายรกสายสะดือ ล้างเช็ดตัวให้สะอาด เอาไปวางนอนในกระด้ง หลังจากนั้นโยมบิดา-โยมมารดาก็เลี้ยงดูด้วยความรักตลอดมา โดยมี “โยมป้าตาล” เป็นผู้อุปการะดูแลเปรียบเสมือนโยมมารดาอีกคนหนึ่ง เมื่อท่านอายุได้ ๒ ขวบโยมป้าตาลก็ตายจากไป โยมบิดา-โยมมารดาจึงได้เลี้ยงดูจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่
    ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ โยมบิดา-โยมมารดาได้อพยพย้ายครอบครัวมาอยู่บ้านกุดแห่ ต.กุดเชียงหมี อ.เลิงนกทา จ.อุบลราชธานี (จ.ยโสธร ในปัจจุบัน) เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ดี
    >>>>>>๏ การบรรพชาและอุปสมบท
    ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เมื่ออายุ ๑๙ ปี ท่านได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสำราญนิเวศ (พระอารามหลวง) ต.บุ่ง อ.อำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี (อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ ในปัจจุบัน) โดยมี พระครูทัศนวิสุทธิ์ (พระมหาดุสิต เทวีโร) เป็นพระอุปัชฌาย์
    หลังจากบรรพชาแล้ว ได้มาจำพรรษาอยู่กับ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน ณ วัดป่าสุนทราราม ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เป็นเวลา ๑ ปี แล้วก็ได้ลาสิกขามาประกอบอาชีพเลี้ยงดูโยมบิดา-โยมมารดา และน้องสาวทั้งสอง เพราะโยมบิดาป่วยด้วยโรคเรื้อรัง โรคหืด ครั้นเมื่อน้องสาวทั้งสองของท่านมีครอบครัว ท่านได้มอบสมบัติให้น้องๆ ไปทั้งหมด แล้วท่านก็ออกไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุตามคำสั่งของพระอาจารย์ดี ฉนฺโน
    นิมิตก่อนที่หลวงปู่สิงห์ทองท่านจะตัดสินใจออกบวช มีความดังนี้ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ คืนหนึ่งท่านได้ฝันไปว่า มีผู้เฒ่าผมขาวทั่วหัวถือฆ้อนกระบองเพชรมีหนาม ไล่ตามหมายจะเอาชีวิตท่าน ท่านก็วิ่งหนีตั้งแต่บ้านของท่านจนถึงนานายแปลง ห้วยหินลับ วิ่งไล่กันขึ้นไปบนเถียงนา ท่านก็กระโดดจากเถียงนาหนีไปหลบซ่อนที่กองฟาง ผู้เฒ่าคนนั้นหาไม่เจอจึงไปถามนายเผย คูณศรี เพื่อนของท่านว่า “แกเห็นเซียงสิงห์ทองวิ่งมาทางนี้ไหม” นายเผยตอบว่า “ไม่เห็น” ผู้เฒ่าคนนั้นจึงเดินไปอีกทาง ส่วนท่านพอผู้เฒ่าไปแล้วก็วิ่งหนีกลับบ้านด้วยความกลัว จนสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกลัวอยู่ เหนื่อยจนหายใจหอบ
    เมื่อตั้งสติได้ ท่านก็ได้สวดมนต์ไหว้พระ ระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เมตตาพรหมวิหาร ๔ แล้วตั้งใจนั่งสมาธิ ตั้งแต่เวลาประมาณตีสองจนถึงเช้า พอสายท่านได้ไปกราบนมัสการเพื่อขอรดน้ำมนต์กับพระอาจารย์ดี ฉนฺโน ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น จากนั้นจึงได้พิจารณาถึงความตาย ว่าสัตว์ทั้งหลายหนีไม่พ้น ดังเพื่อนๆ หลายคนที่ได้ตายลงไป จึงมีความคิดที่จะออกบวช
    และในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านได้ฝันว่าตัวเองถึงแก่ความตาย ร่างถูกบรรจุลงโลงถูกหามจะนำไปเผาที่วัดป่าสุนทราราม มีผู้ชาย ๔-๕ คนหามไป ไม่มีพระมาสวดมาติกาบังสกุลเลย หามเวียนรอบกองฟอนครบสามรอบ ก็ยกโลงศพวางบนกองฟอนใกล้ต้นมะตูม วิญญาณของท่านออกจากร่างไปอยู่บนกิ่งต้นมะตูม แล้วมองดูร่างของท่านซึ่งกำลังถูกเผาไหม้ ท่านร้องตะโกนบอกว่า “สูเอากูมาเผา แต่กูไม่ร้อนดอก” แต่ไม่มีใครพูดตอบ ชายเหล่านั้นก็กลับบ้านไป ปล่อยให้ท่านอยู่เพียงคนเดียว ท่านจึงลงมาดูศพของท่านที่ถูกเผาจนหมด ไฟก็ดับมอดลง ในกองฟอนเหลือแต่เถ้ากับกระดูก จึงคิดตรองว่าจะทำอย่างไรดี ทันใดนั้นก็คิดว่าเราจะเอากระดูกมาปั้นเป็นรูปพระ จึงหาเอาครกกับสากมาบดตำให้ละเอียด เอาน้ำสะอาดมาผสม แล้วปั้นเป็นรูปพระ เมื่อปั้นเสร็จไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน คงต้องทิ้งลงกองฟอนอีกเป็นแน่ แต่แล้วท่านก็สะดุ้งตื่นจากฝัน เมื่อตั้งสติได้จึงแปลความฝันว่า เราคงตายจากเพศคฤหัสถ์แน่ คงได้อุปสมบทเร็ววันนี้เป็นแน่แท้
    ครั้นมีอายุ ๒๖ ปี ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ณ อุโบสถวัดป่าสุนทราราม โดยมี พระครูภัทรคุณาธาร เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็อยู่ศึกษากับพระอาจารย์ดี ฉนฺโน และเป็นพระอุปัฏฐากรับใช้ตลอดมา
    พระครูวิมลสีลาภรณ์ (หลวงปู่เนย สมจิตฺโต) วัดป่าโนนแสนคำ ต.เจริญศิลป์ อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ เขตวิสุงคามสีมาวัดป่าสุนทราราม (วัดบ้านกุดแห่) จ.ยโสธร เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยมีพระครูภัทรคุณาธาร (บุญ โกสโล ป.ธ.๔) วัดพรหมวิหาร ต.สวาท อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูสุนทรศีลขันธ์ (พระอาจารย์สิงห์ทอง ปภากโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์อุ้ย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่เนยท่านได้เข้ารับฟังธรรมจากพระอาจารย์ดี ฉนฺโน เจ้าอาวาสวัดป่าสุนทราราม (วัดบ้านกุดแห่) ในขณะนั้น อยู่เป็นสม่ำเสมอและบ่อยๆ

    268_1242818991-jpg_376-jpg.jpg
    พระอาจารย์ดี ฉนฺโน ผู้เป็นพระอาจารย์

    paragraph__144-jpg.jpg
    พระครูวิมลสีลาภรณ์ (หลวงปู่เนย สมจิตฺโต ผู้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่สิงห์ทอง ................ >>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วยครับ ( อนึ่ง.....หลวงปู่สิงห์ทองผมสำหรับตัวผมเองนับถือเป็นพระอาจารย์ผมรูปหนึ่ง ที่ผมเคารพมากม๊ากครับ ผมไปถวายนวดรับใช้เเละสรงนํ้าบ่อยมาก มีฤิทธิ์รู้วาระจิตด้วยครับ ย่นระทางได้ ) เปิดดูไฟล์ 5714725 เปิดดูไฟล์ 5714726 SAM_8651.JPG SAM_8652.JPG SAM_8653.JPG SAM_8655.JPG SAM_8657.JPG SAM_8658.JPG sam_2209-jpg.jpg
     
  15. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 580
    พระกริ่งจัมโบ้พระพุทธเจ้ารุ่นเเรกหลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม พระอรหันต์เจ้าวัดศรีวิชัย อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม หลวงปู่คำพันธ์เป็นศิษย์หลวงปู่วัง ฐิตสาโร,หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม พระกริ่งสร้างปี 2553 เนื้อทองผสม มาพร้อมกล่องเดิม มีตอกโค๊ต ศว ใต้องค์พระ ก้นทองเหลือง พระใหม่ไม่เคยใช้ >>>>>มีเกศาหลวงปู่มาบูชา *************บูชาที่ 805 บาทฟรีส่งems >>>>>>>>>>ประวัติย่อๆหลวงปุ่คำพันธ์
    1. a-jpg-jpg.jpg
      ประวัติพระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จนฺทูปโม)

      พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม)
      เจ้าอาวาสวัดศรีวิชัย บ้านศรีเวินชัย ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนมเจ้าคณะอำเภอศรีสงคราม บ้านแพง นาหว้า นาทม (ธ)
      โยมบิดาชื่อ พ่ออ้วน โยมมารดาชื่อ แม่ทุมมา เป็นลูกคนที่ ๖ ในจำนวน ๗ คน ซึ่งมีรายชื่อดังนี้
      ๑. นางคำมีสีแพง (เสียชีวิตแล้ว)
      ๒. นางบัวสีนนทจันทร์ (เสียชีวิตแล้ว)
      ๓. นางจันทีเหมื้อนงูเหลือม (เสียชีวิตแล้ว)
      ๔. นายจูมศรีปทุมมากร (เสียชีวิตแล้ว)
      ๕. นายทองดีปทุมมากร(ยังมีชีวิตอยู่)
      ๖.พระคำพันธ์จนฺทูปโม (ปทุมมากร)
      ๗. เด็กชายสุวรรณปทุมมากร (เสียชีวิตแล้ว)
      ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่ง เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีวิชัย บ้านศรีเวินชัย ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอศรีสงคราม-บ้านแพง-นาหว้า-นาทม (ธรรมยุต) เป็นพระอุปัชฌาย์
      สถานะเดิม ชื่อ คำพันธ์ นามสกุล ปทุมมากร
      เกิด วัน ๓ ฯ ๒ ปี มะโรง วันที่ ๑๓ เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๑ บิดา นายอ้วน มารดา นางทุมา บ้านหมู่ที่ ๑๓ เลขที่ ๖๔ ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม บรรพชา วัน ๕ ฯ ๑๒๑๒๗ ปี มะเมีย วันที่ ๔ เดือน มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๕ วัด ศรีเทพประดิษฐาราม ตำบล ในเมือง อำเภอ เมือง จังหวัด นครพนม
      พระอุปัชฌาย์ พระสารภาณมุนี วัด ศรีเทพประดิษฐาราม ตำบล ในเมือง อำเภอ เมือง จังหวัด นครพนม
      อุปสมบทวัน ๒ ฯ๑๒๑๒ ๗ ปี ชวด วันที่ ๒๘ เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๑ วัด ศรีเทพประดิษฐาราม ตำบล ในเมือง อำเภอ เมือง จังหวัด นครพนม พระอุปัชฌาย์ พระสารภาณมุนี วัด ศรีเทพประดิษฐาราม ตำบล ในเมือง อำเภอ เมือง จังหวัด นครพนม
      วิทยฐานะพ.ศ. ๒๔๙๒ สอบได้ น.ธ. เอก สำนักเรียนวัด โพธิ์ชัย ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัด นครพนม
      การศึกษาพิเศษสอบได้ ครูพิเศษมูล
      การปกครองพ.ศ. ๒๕๑๔ เป็น เจ้าอาวาสวัดศรีวิชัย บ้านศรีเวินชัย ตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัด นครพนม
      พ.ศ. ๒๕๐๖ เป็น เจ้าคณะอำเภอศรีสงคราม-บ้านแพง-นาหว้า-นาทม (ธ)
      พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็น พระอุปัชฌาย์
      พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอศรีสงคราม-บ้านแพง-นาหว้า-นาทม (ธ) จังหวัดนครพนม
      งานสาธารณูปการ พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นประธานดำเนินการ ก่อสร้างอุโบสถ วัดศรีวิชัย บ้านศรีเวินชัยตำบลสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
      พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็น ผู้นำชาวบ้านในการก่อสร้าง ทำนบห้วยอา ประชาน้อมเกล้า ฯ สมณศักดิ์ พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูวินัยธร
      พ.ศ. ๒๕๑๑ ได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูสัญญาบัตร ที่ พระครูอดุลธรรมภาณ จอ.ชท.
      พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูสัญญาบัตร ที่ ราชทินนามเดิม จอ.ชอ.
      พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูสัญญาบัตร ที่ ราชทินนามเดิม จอ.ชพ.
      พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ (ยก) ที่ พระจันโทปมาจารย์
    2. หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป และ พระจันโทปมาจารย์ (หลวงปู่คำพันธ์ จันทูปโม)

      a-jpg.jpg
      ศิษย์พี่ศิษย์น้องเคารพกันมาก อนึ่ง......หลวงปู่คำพันธ์ องค์นี้บริสุทธิ์มาก เยี่ยวหรือปัสสาวะออกมายังเป็นพระธาตุครับ
      sam_7637-jpg.jpg sam_7638-jpg.jpg sam_7640-jpg.jpg sam_7643-jpg.jpg sam_7644-jpg.jpg

     
  16. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 581
    เหรียญเสมารุ่นสุดท้ายรูปพระอาจารย์(หลวงปู่ผาง)เเละลูกศิษย์หลวงปู่ประไพ อัคคธัมโม พระอรหันต์เจ้าวัดป่าประไพศรีวนาราม อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม หลวงปู่ประไพเป็นศิษย์หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร ,หลวงปู่ผาง วัดป่าอุดมคงคาคีรีเขต เหรียญสร้างปี 2555 เนื้อตะกั่วสร้างเนื่องหลวงปู่อายุครบ 87 ปี มาพร้อมพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคล ************บูชาที่ 235 บาทฟรีส่งems
    untitled-1-54-jpg-jpg.jpg

    เปิดดูไฟล์ 5583514
    untitled-1-54-jpg-jpg.jpg

    sam_7760-jpg-jpg.jpg sam_7761-jpg-jpg.jpg sam_7762-jpg-jpg.jpg
    ท่านเป็นศิษย์สายธรรมพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งวัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร นอกจากนี้ ท่านยังเป็นลูกศิษย์เอกหลวงปู่ผาง คุตตจิตโต พระเกจิชื่อดังแห่งวัดอุดมคงคาคีรีเขต อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
    ชาติภูมิ นามเดิมมีชื่อว่า นายประไพ ไชยพันธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 3 พ.ค.2468 ณ บ้านขามเตี้ยน้อย อ.ท่าอุเทน (ปัจจุบัน อ.โพนสวรรค์) มีบิดา-มารดาชื่อนายไสย ไชยพันธุ์ อดีตกำนัน ต.นาขมิ้นและนางสั้น แผ่นพรหม มีพี่น้อง 7 คน ซึ่งท่านเป็นบุตรคนที่ 2 จบชั้นประถมปีที่ 2 จากโรงเรียนในหมู่บ้าน มีอาชีพทำนาทำสวน
    หลวงปู่ประไพเข้าสู่ร่มกาวสาวภัสตร์ เมื่อปีพ.ศ.2492 ในวัย 24 ปี ก่อนจะญัตติเป็นพระธรรมยุต เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2495 ท่านเดินธุดงค์ที่ จ.ขอนแก่น นาน 3 ปี ก่อนฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ผาง และออกเดินธุดงค์ไปเรื่อย กระทั่งสังขารย่างเข้าสู่วัยชรา จึงมาจำพรรษาที่วัดศรีประไพวนารามบ้านเกิด

    ท่านเป็นพระป่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยจริยาวัตรที่งดงาม เป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธาแก่สาธุชนทั่วไป จนมีลูกศิษย์ลูกหาที่แวะเวียนไปกราบไหว้ไม่เว้นวัน ช่วงที่ท่านอาพาธท่านงดรับกิจนิมนต์ ขณะที่ท่านอาพาธอยู่ที่วัดที่จำพรรษานานกว่า 2 ปี ท่านไม่เคยเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแต่อย่างใด กระทั่งละสังขารเข้าอนุปาทิเสสนิพพานอย่างสงบที่กุฏิ สิริอายุ 92 ปี 64 พรรษา (*****ปัจจุบันสรีระสังขารหลวงปู่ยังไม่ฌาปนกิจ องค์หลวงปู่ไดสั่งลูกศิษย์ให้เก็บร่างบรรจุไว้ในโลงเเก้ว ใต้ห้องใต้ดินพิพิธภัณฑ์ ของหลวงปู่) sam_7760-jpg-jpg.jpg sam_7761-jpg-jpg.jpg sam_7762-jpg-jpg.jpg sam_8221-jpg.jpg

     
  17. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 582 พระกริ่ง 86 ปีหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ พระอรหันต์เจ้าวัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย พระกริ่งสร้างปี 2541 เนื้อสำริด สร้างเนื่องจากฉลองพระเจดีย์หลวงปู่เหรียญ มีตอกโค๊ต 2 โค๊ต โค๊ตยันต์เเละโค๊ตตัวเลข ๑ ใต้องค์พระ ก้นอุดทองเเดง*********มาพร้อมกล่องเดิม บูชาที่ 425 บาฟรีส่งems ประวัติโดยย่อพอสังเขป
    ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
    นามเดิม เหรียญ ใจขาน เกิดวันที่ 8 มกราคม 2455 ตรงกับวันพุธ ขึ้น 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีชวด ณ บ้านหม้อ ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย บิดาชื่อ ผา มารดาชื่อ พิมพา

    ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
    จิตมีธรรมปรารถนาออกบวช

    เมื่อย่างเข้าอายุ 20 ปี เห็นจะด้วยบุญบารมีแต่ปางก่อน รู้สึกว่าชีวิตปุถุชนไม่มีแก่นสาร จึงลาบิดามารดาเข้าเรียนครองบวชอยู่สิบห้าวันก็ได้บวชที่อุโบสถวัดบ้านหงษ์ทอง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย มี ท่านพระครูวาปีดิฐวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์พรหม เป็นพระกรรมวาจารย์ บวชแล้วได้กลับมาอยู่ วัดโพธิ์ชัย บ้านหม้อ บวชเมื่อ เดือนมกราคม 2475 อาจารย์วัดโพธิ์ชัย สอนให้ภาวนา อนุสสติ 10 ด้วยวิธีท่องเอา แล้วบริกรรมในใจว่า พุทธานุสสติ สังฆานุสสติ ไปจนถึง อปสมานุสสติ จบแล้วตั้งต้นใหม่เรื่อยไป จิตสงบเบิกบานดี บริกรรมทุกอิริยาบถเป็นอารมณ์ติดต่อกันไป
    ในระหว่างนั้นโยมบิดาได้นำหนังสือเกี่ยวกับการเจริญสมถะและวิปัสสนาของ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม มาให้อ่าน ท่านอธิบายเรื่อง สติปัฏฐาน4 โดยเฉพาะเรื่องกายานุปัสสนา ให้พิจารณาร่างกายเพ่งดูแยกออกเป็นส่วนๆ เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตลอดจนอาการ 32 แล้วให้ถามตัวเองว่า ตัวตน อยู่ที่ไหน แท้จริงก็ไม่มี เมื่อไฟเผาแลัว ย่อมเหลือแต่เถ้ากระดูก
    กำหนดเอากระดูกใส่ครกบดให้ละเอียดแล้วซัดไปตามลมพัดหายก็ไม่เหลืออะไร ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นของตนสักอย่างเดียว มีแต่เกิดแล้วดับไปดังปรากฏ
    แล้วใครเป็นผู้รู้ว่าร่างกายเป็นอย่างนั้น ก็จิตนี้เป็นผู้รู้ เมื่อสติกลับมา รู้จิต จิตก็รวมลงเป็นหนึ่ง แสดงว่า จิตปล่อยวางร่างกายได้ตามสภาพ จึงประคองจิตให้สงบอยู่ต่อไปนานเท่าที่จะอยู่นานได้ ในขณะนั้นจะมีความรู้สึกว่า กายก็เบา จิตก็เบา คิดจะไปอยู่ป่า พอดำริจะไปอยู่ป่าเท่านั้น มาร คือ กิเลส ก็แสดงอาการขัดขวาง เกิดความรู้สึกนึกคิดเป็นสองทาง ใจหนึ่งอยากสึกออกไปครองเรือน ใจหนึ่งอยากออกปฏิบัติเจริญสมถะวิปัสสนาตามที่ตั้งใจไว้ วันแล้ววันเล่ายังตัดสินใจไม่ได้ จึงลองอดข้าวหนึ่งวัน พอตกค่ำเวลาประมาณสามทุ่ม ก็ห่มผ้าสังฆาฎิแล้วทำวัตร อธิษฐานจิตว่า บัดนี้ข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิภาวนาเพื่อพิจารณาตัดสินใจลงทางใด ทางหนึ่งให้ได้ ถ้าตัดสินใจไม่ได้จะไม่ลุกออกจากที่นั่งนี้เลย ภายหลังได้ตัดสินใจประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป ได้พบพระอารย์กู่ ธมฺมทินฺโน บ้านเดิมท่านอยู่อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ท่านเที่ยวธุดงค์ไปทางหนองคาย พักอยู่ที่วัดเดียวกัน ได้รับคำอธิบายในอุบายภาวนาเพิ่มเติมจนเข้าใจดี ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 ได้พบกับ ท่านอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม อยู่วัดสิริสาลวัน ได้พาบวชเป็นพระธรรมยุตที่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี
    พ.ศ. 2476 จำพรรษาวัดป่าสาระวารี บ้านค้อ อำเภอผือ อุดรธานี
    เป็นที่ซึ่งพระอาจารย์มั่นเคยจำพรรษา ได้ตั้งใจทำความเพียรสงบใจมาก แต่วิปัสสนายังไม่แกกล้า ได้แต่สมถะ ออกพรรษาแล้วจึงธุดงค์ไปจังหวัดเลย พักวิเวกอยู่ถ้ำผาปู่ และ ถ้ำผาบิ้ง ได้ความสงบสงัดมาก
    พ.ศ. 2477 พรรษาสอง จำพรรษาวัดอรัญญวาสี อำเภอท่าบ่อ หนองคาย
    มีพระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน เป็นหัวหน้า ตั้งใจไม่นอนกลางวัน ค่ำลงทำความเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิ ถึงตีสอง แล้วลุกขึ้นทำความเพียรจนสว่าง พอถึงเดือนหกเดินทางกลับมาจำพรรษาที่ วัดป่าบ้านค้อ ตามเิด
    พ.ศ. 2478 พรรษาสาม จำพรรษาที่วัดป่าสาระวารี
    พ.ศ. 2479-2480 พรรษาสี่และห้า จำพรรษาที่วัดอรัญญบรรพต
    ทำภาวนาจิตสงบแล้วพิจารณาขันธ์ห้าเป็นอารมณ์ เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาตามสภาพความเป็นจริง แล้วปล่อยวาง จิตสงบพร้อมกับความรู้เป็นอย่างดี คล้ายหมดกิเเลส แต่ต่อมามีเรื่องต่างๆ มากระทบ ก็รู้สึกจิดผิดปกติ หวั่นไหวไป ตามอารมณ์นั้นๆ อยู่บ้าง แต่ไม่รุนแรง ก็แสดงว่ากิเลสยังไม่หมดสิ้น พยายามแก้ก็ไม่ตก นึกในใจว่าใครหนอจะช่วยแก้จิตให้ได้ จึงนึกไปถึงกิตติศัพท์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต จึงชวนภิกษุรูปหนึ่งลงเรือจากหลวงพระบางขึ้นไปทางอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เดินทางไปหาท่าน
    พ.ศ. 2481 ได้พบท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    ที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ โดยความเมตตาของหลวงตาเกต ซึ่งเป็นสัทธิ วิหาริก ของท่าน ได้พาไปพบที่ป่าละเมาะใกล้ๆ โรงเรียนแม่โจ้ อำเภอสันทราย ได้เห็นด้วยความอัศจรรย์ใจเพราะตรงกับในนิมิตทุกประการ ท่านได้แนะนำว่านักภาวนา พากันติดสุขจากสมาธิจึงไม่พิจารณาค้นคว้าหาความจริงของชีวิตกัน
    ท่านซักรูปเปรียญให้ฟังว่า ธรรมดาเขาทำนาทำสวน เขาไม่ได้ทำใส่บนอากาศแลย เขาทำใส่บนพี้นดินจึงได้ผล ฉันใด โยคาวจรผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายควร พิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ จนเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในนามรูป ด้วยอำนาจแห่งปัญญานั้นแหละจึงจะเป็นทางหลุดพ้นได้ ไม่ควรติดอยู่ในความสงบโดยส่วนเดียว
    เมื่อท่านให้โอวาทแล้วจึงพิจารณาดูตังเองว่าได้เจริญเพียงสมถะไม่ได้เจริญ วิปัสสนาเพียงรู้แจ้งในธรรมที่ควรรู้ คือ อริยสัจสึ่ จึงเจริญวิปัสสนาเรื่อยมา ตั้งแต่พรรษาที่ 6 อยู่ในเขตภาคเหนือจนถึงพรรษาที่ 16 แล้วเดินทางกลับธุดงค์ ผ่านหลวงพระบาง ประเทศลาว เข้าเวียงจันทน์ มายังหนองคาย
    พรรษาที่ 19 ถึง 26 จำพรรษาเผยแพร่ธรรมะปฏิบัติอยู่ภาคใต้ แล้วจึงย้ายไปอยู่วัดอรัญญบรรพต ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 เรื่อยมา
    >>>>>>ธรรมโอวาท
    1. นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นโทษ หมู่สัตว์นี้มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นโทษทั่งนักบวช ทั้งคฤหัสถ์ ถ้าใครสะสมกิเลอให้แน่นหนาทั้งในใจ ใจก็ให้ทุกข์ ให้โทษกับผู้นั้น ไม่ใช่ให้ทุกข์แก่นักบวชฝ่ายเดียว
    2. อันสตินี้ สัมปชัญญะนี้ ก็สมมติเป็นโชเฟอร์กำพวงมาลีย มีสติคอยระมัดระวัง กาย วาจา จิต อยู่เสมอๆ คอยระวังเรื่องต่างๆ ระมัดระวังไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเที่ยวประกาศ ห้ามใครมาติชมเรา ที่ว่าระวังนั้น คือ เมื่อมีเรื่องมากระทบให้รู้ทัน ในทันที เราจะห้ามจิตไม่ให้หวั่นไหวไปไม่ได้ แต่ให้ระวัง ต้องควบคุมจิตด้วยสติให้ถี่ๆ กระชับสติสัมปชัญญะให้มันถี่เข้ามา จะได้ไม่หวั่นไหวกับคำพูดเสียดแสงใจต่างๆ
    3. ถ้าจิตสงบมีกำลังพักผ่อนเต็มที่แล้ว มันก็จะอยากรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่ควรรู้ ต้องกำหนดหาเรื่องที่ควรจะรู้ สิ่งใดที่เรายังไม่รู้ก็ต้องกำหนดพิจารณา เช่น กำหนดพิจารณาทุกข์ เมื่อเห็นทุกข์ก็เบื่อในทุกข์ของขันธ์5 อันไม่เที่ยงแปรปรวน อาการหวั่นไหวกันไปมานั่นแหละ เรียกว่า ทุกขลักษณะ เมื่อจิตรู้อย่างนี้ ก็จะได้ไม่หวั่นไหว ไม่ยึดเอาของไม่เที่ยงมาเป็นทุกข์ หลวงปู่เหรียญได้อาพาธด้วยโรคไต และต่อมลูกหมากโต เส้นเลือดในสมองและหัวใจตีบ ความดันโลหิตและโรคชรา ต้องเข้ารักษาอาการที่ รพ.เอกอุดร จ.อุดรธานี และโรงพยาบาลวิชัยยุทธอย่างต่อเนื่องมานานถึง 2 ปี ก่อนเข้าเป็นคนไข้ในพระราชินูปถัมภ์ และย้ายไปรักษาที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ ตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย.48 จนกระทั่งเวลา 11.50 น.วันที่ 5 มิ.ย.48 หลวงปู่ได้ละสังขารด้วยอาการที่สงบ รวมสิริอายุ ได้ 93 ปี 73 พรรษา >>>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาด้วยครับ ******มาพร้อมกล่องเดิม sam_7272-jpg-jpg.jpg sam_7113-jpg-jpg.jpg sam_7116-jpg-jpg.jpg sam_7117-jpg-jpg.jpg sam_7118-jpg-jpg.jpg SAM_8128.JPG sam_1808-jpg-jpg.jpg
     
  18. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 583
    เหรียญกลม+รูปล็อกเก็ตปี 2538หลวงปู่ทูล ขิปุปปญโญ พระอรหันต์เจ้าวัดป่าบ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี หลวงปูู่ทูลเป็นศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถํ้ากลองเพล เหรียญสร้างปี 2550 เนื้อทองเเดงรมดำ สร้างเนื่องฉลองพระมหาเจดีย์ เฉลิมพระบารมีนวมินทร์ วัดป่าบ้านค้อ ****** ประวัติย่อๆเเละเเละการปฏิบัตธรรมจนบรรลุธรรมชั้นสูงในพรรษาที่ 8 ของหลวงปู่ทูล(ได้เป็นพระอรหันต์) หลวงปู่ทูลได้เข้าสู่พระอุโบสถ ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี มี พระธรรมเจดีย์ (จูม) พนฺธุโล เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้ตั้งฉายาให้ว่า ขิปฺปปญฺโญ มี พระธรรมบัณฑิต (องค์ปัจจุบัน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านเจ้าคุณจันโทปมาจารย์เป็นพระอนุศาสนาจารย์ อุปสมบทวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ เมื่ออายุย่างเข้า ๒๗ ปี เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเขมวนาราม บ้านโนนสมบูรณ์ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
    >อนึ่ง.......หลวงปู่ละสังขาร
    หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ มรณภาพ เมื่อวันอังคารที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ณ วัดป่าบ้านค้อ รวมสิริอายุ ๗๓ ปี ๔๘ พรรษา และได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ณ วัดป่าบ้านค้อ
    อัฐิธาตุของหลวงพ่อทูลได้แปรสภาพเป็นพระธาตุ เป็นเครื่องประกาศคุณธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นพระอริยบุคคลอีกท่านหนึ่งที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมดังความมุ่งมั่นตามที่ท่านได้ตั้งสัจจ>>>>>>>มีพระเกศาหลวงปู่มาบูชาเป็นมงคลด้วย************บูชาที่ 285 บาฟรีส่งems
    sam_7776-jpg-jpg.jpg sam_6199-jpg-jpg.jpg sam_6200-jpg-jpg.jpg sam_1827-jpg-jpg.jpg
    sam_7653-jpg.jpg sam_7654-jpg.jpg


    ************บูชาที่ 285 บาทฟรีส่งems sam_7776-jpg-jpg.jpg sam_6199-jpg-jpg.jpg sam_6200-jpg-jpg.jpg sam_1827-jpg-jpg.jpg
    sam_7653-jpg.jpg sam_7654-jpg.jpg

     
  19. Somchai 2510

    Somchai 2510 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2019
    โพสต์:
    1,740
    ค่าพลัง:
    +125
    รายการที่ 584 เหรียญชนะมารพระหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พระอรหันตฺ์เจ้าวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี หลวงตามหาบัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นยุคกลาง เนื้อทองเเดงผิวปรอท มีตอกโค๊ตดอกบัวหน้าเหรียญ เหรียญยังสวยมาก มาพร้อมพระเกศาเเละพระธาตุมาบูชาเป็นมงคล ********บูชาที่ 485 บาทฟรีส่งems sam_2767-jpg-jpg-jpg-jpg.jpg
    sam_7657-jpg.jpg SAM_8661.JPG SAM_8660.JPG
     
  20. ผู้ผ่านมา

    ผู้ผ่านมา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2006
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +140
    รับครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...