มาวิเคราะห์คำทำนาย จากภัยธรรมชาติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Falkman, 3 กรกฎาคม 2006.

  1. tat_gun

    tat_gun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +324
    ง่วงนอนจัง ฟังกันพูด ฟังกันเถียงเรื่องพวกนี้อะ ถ้ามันจะเกิดก็ต้องเกิด อีกอย่างความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องธรรมดานะ แล้วก็ถ้าท่านองค์นั้นอยากจะมาท่านก็มาเองอะ อีกอย่างสมัยนี้ก็มีมากแต่ท่านไม่บอกก็มี
     
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ****มหันตภัยในปี 2551....มงคล กริชติทายาวุธ****
    (เรื่องเวลายังไม่แน่นอนอาจจะช้าหรือเร็วขึ้นกว่าที่แจ้งเอาไว้ก็ได้)


    ***ปี 2551 จะมีภยันตรายอะไรเกิดขึ้นบ้าง ***

    - มีคำถามที่สอบถามมาที่ผู้เขียนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง คือ
     
  3. woottipon

    woottipon เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2005
    โพสต์:
    11,713
    ค่าพลัง:
    +83,877
    พระศพพระมหากัสสปะท่านอยู่ในเขตรัฐเชียงตุงครับ ไปหาที่ขอนแก่นคงจะเจอนะครับ
     
  4. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    คัดลอกมา (อ่านด้วยวิจารณญาณ)

    จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในปี 2551 บ้าง

    มีคำถามที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในปี 2551หลั่งไหลเข้ามาหาผู้เขียนค่อนข้างมาก หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เศร้าสลดเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2547 อันเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่น ขยับตัว และซ้อนเกยกันบริเวณเหนือเกาะสุมาตรา ซึ่งอยู่ห่างจากประเทศไทยประมาณ 400 กิโลเมตร มีอัตราการสั่นไหว 9 ริกเตอร์ เป็นเหตุให้ประเทศไทยได้รับความสูญเสีย โดยได้คร่าชีวิตผู้คนที่พักอยู่อาศัย และมาท่องเที่ยวใน 6 จังหวัดริมฝั่งทะเลอันดามัน โดยพบศากศพมากกว่า 5,000 ศพ บาดเจ็บมากกว่า 10,000 คน และยังสูญหายอีกมากกว่า 3,000 คน โดยมีผู้คนของประเทศต่างๆอีกหลายประเทศ ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล เมื่อนับจำนวนซากศพผู้ที่เสียชีวิตในคราวเกิดคลื่นยักษ์สึนามิครั้งนี้ ก็มีจำนวนมากกว่า 220,000 ศพ ทั้งนี้เนื่องจากในปี 2534 ผู้เขียนเคยเขียนเตือนเกี่ยวกับคลื่นยักษ์ซูนามิ ที่จะเกิดขึ้นโดยมีผลกระทบต่อประเทศไทย ( คำที่ถูกต้องในปัจจุบัน เรียกว่า สึนามิ) และได้เขียนบทความอีกครั้งในต้นปี2539 รวมทั้งผู้เขียนได้เคยออกรายการให้สัมภาษณ์คุณสุทธิชัย หยุ่น ที่ itv 2 เสาร์ติดกันในรายการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2006
  5. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left>โปรดศึกษาและสังเกตคำเตือนของคนโบราณที่ให้สังเกตดูลม ฟ้า อากาศ และอาการของสัตว์ต่างๆที่แสดงออกก่อนที่จะเกิดภยันตรายต่างๆ

    ปลาวาฬเกยตื้น</B>
    </TD></TR><TR><TD>[​IMG] หนึ่งในปลาวาฬจำนวน 11 ตัวที่เสียชีวิตหลังจากเกยตื้นบริเวณชายหาดลา ปาซ บีซ ในเม็กซิโก อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบสาเหตุที่แท้จริง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. เอกอิสโร

    เอกอิสโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +3,809
    28 สิงหาคม 2549

    2+8+8+2+5+4+9 = 38

    3+8 = 11

    =11=
     
  7. Mr.tom

    Mr.tom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    269
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,185
    เมื่อคืนผมฝันว่ามีพายุทอร์นาโดมา แล้วผมกำลังหาทางหนี ลูกใหญ่มากๆ ไม่แน่ใจในฝันเป็นสถานที่ไหนในประเทศไทย (อยู่ในหุบเขาเยอะๆ ส่วนตัวผมไม่แน่ใจคิดว่าแถวๆปากช่อง สระบุรี หรือทางภาคเหนือรึเปล่า ) หนีแล้วกำลังตามหาแม่ พอเจอแม่ก็พาแม่หลบเข้าไปในตึก ทันใดนั้น พายุทอร์นาโดลูกนั้นก็แบ่งออกเป็นนับ 10 ๆ ลูก กระจายตัวไปสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่แถบนั้นเป็นอย่างมาก ในฝันอีกไม่นานพายุก็สงบ ผมก็รีบพาแม่หนีออกมากที่พื้นที่นั้นทันที (จ้างรถสามล้อเครื่องหนีออกมา) ออกมาได้อย่างปลอดภัย พอออกมามองกลับไปดูพื้นที่ที่โดนพายุถล่มมีหมอกปกคลุมเต็มไปหมด...
     
  8. 123

    123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2004
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +864
  9. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    พระฯ ช่วยโลก อะไรนั่นไม่มาสักที ชักเป็นห่วงเสียแล้ว นี่ก็เลยเวลาที่คาดไว้ (วันสาทรจีนที่ผ่านมา)สงสัยต้องรออีกหน่อย ละมั้ง
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    ********
    เปลี่ยนยุค
    ********

    ตามเดิม
    พระศรีอาร จะปรากฎ เมื่อพุทธกาลครบ ห้าพันปี

    แต่บัดนี้
    หลังกึ่งพุทธกาล
    โลกุตตระ ได้ปรากฏที่ประเทศไทยแล้ว
    เพียงแต่ ....ไม่มีผู้รู้ ไม่มีผู้ต้อนรับ
    เป็นสิ่งเหนือชะตากำหนด จึงไม่มีใครรู้
    โลกุตตระ เป็นผู้นำพา ให้เกิด พระศรีอาร
    เป็นการมาเพื่อช่วยสานต่อพุทธศาสนาที่หักกลาง
    ยุคพระโคดม จึงสิ้นสุดลง
    และกำลังเปลี่ยนเป็น ยุคพระศรีอาร

    พระศรีอารจะมาเสริม มาเติม มาแต่ง
    ให้พุทธศาสนาคงอยู่ต่อไป

    ศึกษาอ่านในกระทู้ ...
    "ที่พึ่งสุดท้าย สัจจะ---กับ---โลกุตตระ"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กันยายน 2006
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    หากเมื่อถึงคราวเปลี่ยนยุคจริงๆ..เชื่อว่าผู้ที่ศรัทธาและอาสาเป็นนักบวช ก็ยังคงมีสืบเนื่องไปอีกหลายๆร้อยปี (จนครบ พ.ศ. 3000-5000 ปีข้างหน้า)
    ในยุคขาวหรือยุคของพระศรีอารีย์ ซึ่งมาถึงเร็ววันขึ้นกว่ากำหนดเดิม เพราะอาจมีการปรับผังใหม่เกิดขึ้น ปุถุชน วิญญูชนทั่วไปจะมีหน้าที่เป็นผู้สืบทอด ยกยอพระพุทธศาสนาต่อไปอีกหลายๆพันปีข้างหน้า...หากท่านมาแล้วเราอาจยังไม่ได้พบท่าน เพราะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม รีบบำเพ็ญธรรมให้ครบถ้วน สมบูรณ์กันก่อนดีที่สุดครับ อย่าเพิ่งสงสัยใดๆที่ไม่เกี่ยวกับธรรมเลยครับ ข้อมูลทั้งหลายกำลังใกล้จะถึงบทสุดท้ายเพื่อการพิสูจน์แล้วครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2006
  12. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,171
    เพิ่งมีโอกาสเข้ามาอ่านกระทู้นี้ ข้อมูลน่าสนใจมากครับ.....

    .
    .
     
  13. wong3210

    wong3210 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    553
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,392
    ข้อมูลเยอะดีครับ แต่ยังไม่ได้อ่านเพราะตาลายก่อน - - ไว้ว่างๆจะมาอ่านใหม่นะครับ

    ขออนุโมทนาครับ _/i\_
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระศรีอวตาร โดยคุณถ้ำแก้ว

    พระศรีอาริย์ท่านเสด็จอวตารลงมาแล้ว แต่มนุษย์ก็ยังไม่มองหน้า ทั้งยังไม่รู้เหตุผลในการมาของพระศรีอาริย์ เปรียบประดุจนกยางไม่ร้องขอกเพราะปลาไม่ออก คือ เมื่อนกยางตัวใดไม่มีปลาจะจับกิน ก็ชอบแต่จะจับเจ่าเหงาหงอยสงบเงียบอยู่ในพุ่มไม้ฉันใด การเกิดของพระศรีในสมัยกลียุคนี้ ก็ต้องหลบลี้หลีกหนีเร้นเช่นเดียวกับนกยางดุจกัน เพราะมนุษย์ไม่ยอมรับพระ เพราะความไม่รู้อะไร จึงต้องอยู่ถ้ำเฝ้าบำเพ็ญภาวนา

    ปริศนานกยาง

    ๑. นกยางเฮย ทำไมจึงไม่ร้องขอก นกยางว่าปลามันไม่ออก
    ๒. ปลาเฮย ทำไมจึงไม่ออก ปลาว่า หญ้ามันรก
    ๓. หญ้าเฮย ทำไมจึงรก หญ้าว่า วัวมันไม่กิน
    ๔. วัวเฮย ทำไมไม่กินหญ้า วัวว่า เจ้าของเขาไม่ปล่อย
    ๕. เจ้าของวัวเฮย ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว เจ้าของว่าท้องข้าเจ็บมาก
    ๖. ท้องเฮย ทำไมจึงเจ็บ ท้องว่า ข้ากินข้าวไม่สุก
    ๗. ข้าวเฮย ทำไมจึงไม่สุก ข้าวว่า ไฟมันไม่ลุก
    ๘. ไฟเฮย ทำไมจึงไม่ลุก ไฟว่า ฟืนมันเปียก
    ๙. ฟืนเฮย ทำไมจึงเปียก ฟืนว่า ฝนมันตกมาก
    ๑๐. ฝนเฮย ทำไมจึงตกมาก ฝนว่า กบเขียดมันร้องนัก ๑๑. กบเขียดเฮย ทำไมจึงร้องนัก กบว่า งูมันไล่กินพวกข้า
    ๑๒. งูเฮย ทำไมจึงไล่กินกบเขียด งูว่าเพราะกบเขียดเป็นอาหารข้า

    ไขปริศนา

    1.นกยางไม่ร้องขอกนั้น คือพระศรีฯ ไม่ปรากฏตัวเป็นพระบรมจักรธรรมมิกราชให้โลกเห็นทันใจ
    2.ปลาไม่ออกนั้น คือประชากรชาวโลกทั้งหลายไม่รับพระ ไม่ปรารถนาพบพระศรี ฯ อวตารที่จะมาเป็นที่พึ่งอันวิเศษ
    3. หญ้ารกมากคือมนุษย์เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาอวิชชา เต็มไปด้วยบาป
    4.วัวไม่กินหญ้า เพราะประชาชนไร้ซึ่งศีลธรรม จริยาธรรม
    5.เจ้าของวัวไม่ปล่อยวัวนั้น คือผู้นำผู้บริหารบ้านเมือง ผูกมัดพลเมืองของตนอยู่ในกฎหมาย แม้ว่าจะเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ใช่จะมีอิสรภาพและเสรีภาพอย่างแท้จริง ยังอยู่ในพวกตนพวกท่าน
    6.เจ้าของวัวเจ็บท้อง คือรัฐบาลทั่วโลกเต็มไปด้วยความละโมบ โลภกระหายอำนาจ ทรัพย์สินเงินทอง ผลประโยชน์ อย่างไม่รู้จักพอ
    7.กินข้าวไม่สุก คือรัฐบาลทั่วโลกพยายามบีบคั้นพลเมืองในทุกด้านทั้งภาษีอากร ค่าสินไหม ฯลฯ เรียกว่าหักดิบเอา จึงเรียกว่ากินข้าวไม่สุก
    8.ไฟไม่ลุก คือรัฐบาลทั่วโลกใช้อำนาจเป็นธรรม ไม่ใช้ธรรมเป็นอำนาจ บ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยปัญหา เมื่อขาดปัญญาคือความสว่างในการปกครอง ไฟจึงไม่ลุก
    9.ฟืนเปียกนั้น คือผู้ปกครองประเทศชาติ ศาสนา เต็มไปด้วยกิเลสและลาภยศ ชุ่มโชกด้วยความสุขสมบูรณ์ และเปียกปอนไปด้วยสุรานารีพาชีกีฬาบัตร ฟืนเปียก จึงหมายความว่าชีวิตนักการเมืองและนักปกครองเปียกชุ่มด้วยกิเลสตัณหาราคะ ผลประโยชน์
    10.ฝนตกมาก เพราะนักการเมืองนักปกครองจำเป็นต้องใช้นโยบายการบริหารบ้านเมืองกับความสัมพันธนานาชาติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน อาวุธยุทโธปกรณ์ ต้องใช้เงินมาก จึงต้องทำนาบนหลังราษฎร ทุกวิถีทาง ปัญหานี้จึงหมายถึงรัฐบาลทั่วโลกใช้เงินเป็นห่าฝน คือว่า ฝนตกมาก
    11.กบเขียดร้อง คือประชาชนพลเมืองเดือดเป็นแค้น ไม่อยู่ดีมีสุขตามที่นักปกครองนักการเมืองว่าจะมาบริหารให้พลเมืองอยู่ดีกินดี บ้านเมืองประสบปัญหา กบเขียดจึงร้องระเบ็งเซ็งแซ่ทุกหัวระแหง และต่างก็ชะเง้อเพื่อหานายใหม่
    12.งูไล่กินกบเขียด คือ ประชาชาติราษฎรเป็นทาสของรัฐบาลทั่วโลก มีแต่โดนงูไล่บี้ทั้งภาษีอากรและผลประโยชน์ เอวัง ด้วยประการฉะนี้แล

    ถ้ำแก้ว 02/09/2549 (11:44 pm)

    ที่มา http://www.navagaprom.com/#
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2006
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    กัลกยาวตาร
    ( อวตารเป็นมนุษย์เรียกว่าวีรบุรุษขี่ม้าขาว )

    กัลกิยาวตารทางพุทธว่าจะมีพระศรีอารย์จีนเรียกไมไลญี่ปุ่นเรียกไรโรกุทางคริสต์ว่าจะมีเมตสิอาร์ทางอิสลามว่าจะมีมหดีมาโปรดให้โลกเป็นสุขในอนาคตลักษณะเดียวกับกัลกีย์ของพราหมณ์



    พระนารายณ์๑๐ปางสำคัญมีดังนี้

    ปางที่ ๑ วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูเผือกมีเขี้ยวเพชร)
    ปางที่ ๒ กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง
    )
    ปางที่ ๓ มัตสยาอวตาร (อวตารเป็นปลากรายทอง
    )
    ปางที่ ๔ นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์
    )
    ปางที่ ๕ วามนาวตารหรือทวิชาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย
    )
    ปางที่ ๖ มหิงสาวตาร (อวตารเป็นมหิงสาหรือควาย
    )
    ปางที่ ๗ อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางฟ้า
    )
    ปางที่ ๘ รามาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ชื่อพระราม
    )
    ปางที่ ๙ กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ
    )
    ปางที่ ๑๐ กัลกยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์เรียกว่าวีรบุรุษขี่ม้าขาว
    )

    กัลกยาวตารเป็นมหาบุรุษจะบันดาลให้โลกเป็นบรมสุขปางนี้จะมีต่อไปในอนาคต
    ที่สุดแห่งกลียุคนี้

    กัลกยาวตาร เป็นกัลกิ บุรุษขี่ม้าขาว ถือดาบมีแสงแปลบปลาบเหมือนดาวหาง เพื่อปราบคนชั่วและสถาปนาธรรมขึ้นใหม่ในโลกนี้ อวตารในปางนี้ทรงเป็นมหาบุรุษขี่ม้าขาวถือดาบในมือขวาทำลายศัตรูของมนุษย์ เพื่อปราบกลียุคที่เต็มไปด้วยเหล่าคนชั่วหรือเหล่าอธรรมทั้งหลายเมื่อปราบอธรรมแล้วก็จะสถาปนาศาสนาขึ้นใหม่มหาบุรุษนี้จะมีนามว่ากัลก, กัลกี, หรือกัลกิน เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อวิษณุยศอวตารนี้เป็นอนาคตาวตาร(อนาคต+อวตาร) คือเป็นการอวตารของพระวิษณุยังไม่เกิดขึ้นและหลังจากอวตารแล้ว กลียุคก็จะสิ้นสุดลงจึงพอจะกล่าวได้ว่ากัลกยาวตารนี้เป็นอวตารที่จะเสด็จลงมาปราบคนชั่ว ที่มีมากมายโดยไม่เจาะจงว่าเป็นใคร จะมีลักษณะคล้ายกับกฤษณาวตารที่คนชั่วมีมากจนไม่อาจจะชี้ชัดได้ว่าเป็นใครซึ่งต่างกับ รามาวตาร(อวตารเป็นพระราม) หรือนรสิงหาวตารที่จะอวตารลงมาเพื่อปราบปรามคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ และอาจกล่าวได้ว่าโลกเราทุกวันนี้ก็คงจะจะใกล้ถึงยุคของกัลกยาวตารเพราะว่าคนชั่วมากมายเหลือเกิน

    ที่มา
    http://www.devalai.com/vishanuhis.htm


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2006
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    การเสด็จมาของพระคริสต์กับสงครามอารมาเกดโดน (19:11 - 20:3)

    [​IMG]

    ภาพที่ยอห์นได้เห็นต่อมาคือ สวรรค์เปิดออก พระคริสต์ผู้ทรงม้าขาว พร้อมด้วยพลโยธาในสวรรค์ได้ลงมายังโลกนี้ นี่เป็นการเสด็จมาครั้งที่ 2 ตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ซึ่งต่างจากการเสด็จมาปรากฎบนฟ้าอากาศรับคริสตจักรขึ้นไป (1 เธสะโลนิกา 4:16-17) วอร์เรน ดับเบิลยู ไวส์บี พูดไว้ดีมากว่า การเสด็จมาครั้งนี้ของพระคริสต์ ไม่ใช่ปรากฎบนฟ้าอากาศรับคนของพระองค์กลับบ้าน แต่เสด็จมายังโลกนี้พร้อมด้วยคนของพระองค์ เพื่อปราบศัตรูและตั้งพระราชอาณาจักรของพระองค์ (He is not coming in the air to take his people home, but to the earth with his people to conquer His enemies and establish His kingdom)

    การเสด็จมาครั้งที่ 2

    1. เสด็จมาจากสวรรค์ในลักษณะ จอมกษัตริย์ และจอมเจ้านาย (วิวรณ์ 19:11,16) เหล่าพลโยธาตามเสด็จมาด้วย (วิวรณ์ 19:14)

    2. ทรงประทับบนพระบัลลังก์ (วิวรณ์ 20:4)

    3. ทรงเป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย ตามการกระทำของมนุษย์ที่ได้กระทำ (20:11-13) ยกเว้น ผู้ที่มีชื่อในหนังสือแห่งชีวิต ของพระเมษโปดก (20:15, 21:27)

    4. เราจะมาในเร็วๆ นี้แน่นอน (วิวรณ์ 22:20) เพื่อปกครองโลกนี้ ตามที่ได้สำแดงนิมิตไว้ (วิวรณ์ 20:4)

    5. ผู้ที่เชื่อวางใจ ได้ดำรงชีวิตนิรันดร์กับพระองค์ (วิวรณ์ 22:4-5)

    จอมกษัตริย์และจอมเจ้านาย
    (King of Kings and Lord of Lords (19:16)

    เป็นพระนามที่บ่งบอกความเป็นเอกและเป็นจอมกษัตริย์ของพระเยซูคริสต์ (1 ทิโมธี 6:14-16) ซึ่งสำเร็จตามคำพยากรณ์ว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ พระองค์เท่านั้นที่มีสิทธิอำนาจในการมาปกครองในโลกนี้ 1000 ปี

    ลำดับเรื่องสงครามในพระธรรมวิวรณ์

    สงครามเพื่อความเป็นประชาธิปไตย (วิวรณ์ 6:4)

    เมื่อพระคริสต์เทียมเท็จเปิดเผยความเป็นเผด็จการออกมา
    เมื่อประชากรโลกที่หล่อหลอมด้วยระบบประชาธิปไตย เรียกร้องสิทธิเสรีภาพและอธิปไตย สงครามจึงเกิดขึ้น คนทั้งปวงรบราฆ่าฟันกัน สันติสุขหายไปจากโลกสงครามเพื่อความอยู่รอด (วิวรณ์ 9:3-19)

    *เมื่อธรรมชาติถูกทำลาย เครื่องประทังชีพไม่ว่าอาหาร น้ำ และปัจจัยสำหรับการดำรงชีพไม่เพียงพอ
    *เมื่ออาวุธยุทโธปกรณ์ถูกพัฒนามีอานุภาพที่ร้ายแรง
    สงครามแย่งชิงทรัพยากรและปัจจัยเพื่อความอยู่รอดจึงเกิดขึ้น มนุษย์ถูกทำลาย1 ใน 3 ส่วนด้วยไฟ ควัน และกำมะถัน ที่พลุ่งออกมาจากปากม้า (อาวุธที่ร้ายแรงอย่างหนึ่ง) งครามล้างเผ่าพันธุ์ (วิวรณ์ 12:17)


    สงครามอารมาเกดโดน (วิวรณ์ 16:12-16, 19:11-21)

    เมื่อซาตานใช้ผีโสโครก 3 ตน ออกไปล่อลวงคนทั้งโลกให้ต่อต้านการเสด็จมาปกครองของพระเยซูคริสต์
    เมื่อพระคริสต์พร้อมด้วยพลโยธาในสวรรค์ได้เสด็จลงมาจากสวรรค์ เพื่อมาทำลายการงานของมารซาตานและครอบครองโลกนี้
    สงครามครั้งยิ่งใหญ่จึงได้เกิดขึ้น พระคริสต์ได้ใช้พระแสงคือพระวจนะของพระองค์ทำลายล้างศัตรูทั้งสิ้น

    สงครามโลกครั้งสุดท้าย (วิวรณ์ 20:7-10)

    * เมื่อซาตานถูกปล่อยที่คุมขังชั่วขณะหนึ่ง มันออกไปล่อลวงคนมากมายทั่วโลกให้มาทำสงครามกับพระคริสต์
    * เมื่อพระเจ้าทรงกลั่นกรองผู้ที่เหมาะสมจะเข้าไปสู่แผ่นดินสวรรค์
    * สงครามครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นในโลกนี้จึงเกิดขึ้น ไฟได้ตกลงจากสวรรค์เผาผลาญผู้ที่ได้ติดตามพญามารและมันเองถูกโยนลงไปในบึงไฟนรกชั่วนิจนิรันดร์

    ที่มา http://www.geocities.com/janejira_jc/Rev/Rev_11.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2006
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระศรีอารย์ในจิตทัศน์ของนอสตราดามุส
    ( คัดลอกมาจาก หนังสือนอสตราดามุส ฉบับเพิ่มเติมเกี่ยวกับศรัทธาใหม่ เขียนโดยศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน )

    " เสียงนุ่มนวลแห่งมิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินจากแผ่นดินทิพย์ แสงเพลิงมนุษย์ ฉายรองรับเสียงประเสริฐนั้น จะเป็นเหตุให้โลกต้องเปื้อนเลือด สมณเพศทั้งหลายที่ไม่ยึดถือศีล (พรหมจรรย์)
    และนำไปสู่การทำลายโบสถ์วิหารที่ไร้ความบริสุทธิ์ "
    (ซ.1 ค.96 )

    นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกน่าอัศจรรย์อย่างมากเลยทีเดียว ที่นอสตราดามุสได้เขียนโคลงทำนายบทนี้ขึ้นเมื่อ 450 ปีก่อน ภายใต้สังฆจักรโรมันคาทอลิก สมมุติว่าท่านได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีประวัติยาวนานถึง 2,000 ปีกว่ามาแล้วในสมัยนั้น ท่านคงจะไม่กล่าวถึงพระศรีอาริยเมตไตรยอย่างแน่นอน ถ้าในจิตทัศน์ของท่านไม่ได้เห็น สัจธรรมบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมีส่วนสัมพันธ์กับศรัทธาใหม่ของโลกโดยตรง คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " นี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากพระนามของพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะคำว่า " เมตไตรย " นี้ แปลว่า " เพื่อน " ในความหมายของภาษาบาลี สันสกฤต บุคคลผู้นี้เป็น Sacred Friend จะเป็นใครก็ตาม แต่การใช้คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " หรือ " เพื่อนผู้ศักดิ์สิทธิ์ " แสดงให้เห็นว่าผู้ที่จะมาโปรดสัตว์ในโลกยุคนี้ จะไม่ใช่เป็นบุคคล

    ธรรมดาอย่างแน่นอน อีกทั้งมาจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ Holy Ground อีกด้วย ก็ยิ่งชี้ชัดว่าน่าจะเป็นองค์พระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งนายจอห์น ฮอค ฟันธงว่าจะเสด็จมาในโลกนี้ประมาณ ระหว่างคริสต์ศักราช 2000 ( พ.ศ.2543 ) หรือกว่านั้นเล็กน้อย ซึ่งใกล้เคียงกับวันเวลาที่พระเยซู หรือพระมาซิ อาร์ พระมะห์ดีร์ ตามความเชื่อของมุสลิม จะเสด็จมาในวันพิพากษาโลกนี้ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อกันอย่างเงียบๆ ว่าอาจจะเป็นพระศาสดาโพธิสัตว์องค์เดียวกันก็ได้
    การเสด็จมาของพระศรีอาริยเมตไตรย ก็คงต้องมาชำระสะสางความเสื่อมของศาสนาอยู่แล้ว ในภาวะที่มีการวิวัฒนาการ บรรดาพระสงฆ์สมณเพศผู้ยึดถือพรหมจรรย์ ก็คงไม่แตกต่างอะไรกับนักบุญทั้งหลายผู้เสียสละในอดีต วันเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นคงต้องผ่านขั้นตอนตามปรกติวิสัย ซึ่งบางครั้งอาจต้องมีความเจ็บปวดอันเกิดจากการต่อต้าน หรือขัดแย้งทางอุดมการณ์และความคิดเกิดขึ้น ซึ่งในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นในอดีต การเสียสละของนักบุญอาจถึงกับต้องเลือดตกยางออก

    " อังคารกับคฑาของจูปิเตอร์ (พฤหัส) เล็งลัคน์
    เกิดสงครามมหาวิบัติภายใต้ราศีกรกฎ
    หลังจากนั้นไม่นาน กษัตริย์ใหม่จะถูกสถาปนา
    เป็นผู้นำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์เป็นเวลายาวนาน "
    ( ซ.6 ค.24 )

    วรรคที่น่าสนใจในโคลงบทนี้ ได้แก่วรรคที่มีคำว่ากษัตริย์ ที่จะนำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์ หลายฝ่ายตีความกันว่า นอสตราดามุสกำลังพูดถึงวันที่โลกชำระบาปแล้ว หลังจากกลียุคอันเกิดจากสงคราม ภัยพิบัติอันเกิดจากธรรมชาติ หรือโรคระบาด โลกจะปรากฎผู้นำใหม่ที่มาในมิติที่อยู่เหนือธรรมชาติ อาจจะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย พระมาซิอา พระมะห์ดี หรือพระยาธรรมิกราช ที่เสด็จมาโปรดสัตว์ตามพุทธทำนาย ตามคำทำนายในพระคัมภีร์ไบเบิล หรือตามพระวัจนะในพระคัมภีร์กุรอ่านก็ได้

    ตามการคำนวนทางโหราศาสตร์ โดยอาศัยหลักของดาราศาสตร์ ดาวอังคารจะเล็งลัคน์กับดาวพฤหัสหลังปี ค.ศ.1999 เป็นครั้งแรกในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ.2002 (พ.ศ.2545) เพราะฉะนั้นเหตุการปาฎิหาริย์ที่จะทำให้ชาวโลกตะลึง น่าจะเกิดขึ้นในกำหนดเวลาดังนี้

    ระหว่างเดือนกันยายน - ตุลาคม ค.ศ.2004 ( พ.ศ.2547 )
    ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ.2006 ( พ.ศ.2549 )
    ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2009 (พ.ศ.2552 )
    ระหว่างเดือนเมษายน- พฤษภาคม ค.ศ.2011 ( พ.ศ.2554 )

    วันเวลาดังกล่าวที่บันทึกไว้ข้างต้นนี้ น่าจะเป็นการคำนวนเวลาของวาระแห่งการสิ้นยุค ของสังคมมนุษย์โลกจากหลักฐานต่างๆ เท่าที่จะเสาะหามาได้

    " บรรยากาศ ท้องฟ้า แผ่นดินโลกจะมืดลง และถูกบดบังจนมืดครึ้ม แม้แต่คนไม่เชื่อศาสนา
    ยังพร่ำเรียกหาพระผู้เป็นเจ้ากับนักบุญ.... "
    ( ซ.9 ค.83 )

    คำทำนายของนอสตราดามุสข้างต้นนี้ คล้องจองกับพุทธทำนายที่บอกว่า ท้องฟ้าจะมืดเจ็ดวันเจ็ดคืน ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนจรจะกลับกรุง ฟูกจะมีหนาม ผีป่าจะเข้าบ้าน ผีบ้านจะเข้าไพร....และในพระคัมภีร์ไบเบิลกับพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน ทำนายว่าพระอาทิตย์จะมืดลง ดวงจันทร์จะหยุดส่องแสง ดวงดาวบนท้องฟ้าจะร่วงหล่น...ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเลยทีเดียว.....

    <!-- / message -->
     
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ไขปริศนารหัสลับคัมภีร์ไบเบิลในเมืองไทย โดยคุณสายทิพย์

    ฉบับที่แล้วได้เขียนถึงความเป็นมาของการค้นพบการถอดรหัสคำทำนายในคัมภีร์ไบเบิลและรายละเอียดของการทำนายเหตุการณ์สำคัญของโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการชาวต่างประเทศได้ค้นคว้าและวิจัยไว้ ซึ่งการค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเมืองไทยเราก็มีนักธุรกิจที่นับถือศาสนาคริสต์ท่านหนึ่งกำลังทำอยู่ ท่านผู้นั้นคือคุณ ไทยรักษ์ ตั้งประกาศิต นักธุรกิจเจ้าของสถานพยาบาลด้วนสมุนไพรธรรมชาติ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่เชื่อมั่นในพระเจ้าตามหลักศาสนาของเขาและเป็นอีกผู้หนึ่งที่รอคอยการกลับมาของ “พระเยซู”

    คุณไทยรักษ์ได้ทดลองค้นหาเหตุการณ์สำคัญในเมืองไทยว่าจะปรากฏในไบเบิลโค๊ดหรือไม่ปรากฏว่าเขาพบหลายๆ เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทยทั้งในอดีตและอนาคต แม้กระทั่งคำทำนายผู้ว่าราชการกรุงเทพในอนาคตคือใคร ก็สามารถทราบได้(ขณะเขียนต้นฉบับเรื่องนี้การเลือกตั้งผู้ว่ายังไม่สิ้นสุด แต่คุณไทยรักษ์ตรวจดูในไบเบิลโค๊ดรู้แล้วว่าใครจะได้ และขอบอกว่าท่านผู้นี้จะได้เป็นผู้ว่าฯถึงสองสมัยด้วย)

    คุณไทยรักษ์จบการศึกษาด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยในอเมริกา เขาเป็นคนไทยที่นับถือศาสนาคริสต์อย่างเคร่งครัดคนหนึ่ง มีความรอบรู้อย่างละเอียดถึงคำทำนายต่างๆ และความเป็นมาของพระคัมภีร์ไบเบิล จึงได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเองและได้เปิดเว็บไซต์ขึ้นสำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง และเขาได้เล่าให้ผู้เขียนฟังถึงความสนใจใน “ไบเบิลโค๊ด”เมื่อเริ่มแรกว่า
    [​IMG] “ผมเป็นคริสเตียนตั้งแต่เกิดเลย แต่ในวัยเด็กผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ถึงอ่านคัมภีร์ก็ไม่ค่อยเข้าใจ ตามประสาเด็กก็เที่ยวไปเรื่อยๆ ผมไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เด็กคือไปเรียนที่สิงคโปร์และไปต่อที่อเมริกา จนถึงปี 1995(2538) ช่วงนั้นผมได้รับพลังในการสัมผัสพระเยซู แล้วจากที่เคยอ่านพระคัมภีร์ไม่เคยเข้าใจก็เริ่มแตกฉานในตอนนั้น”
    คุณไทยรักษ์ เล่าต่อว่า...“ช่วงเวลานั้นผมเห็นนิมิตเกี่ยวกับบทวิวรณ์ซึ่งเป็นบทสุดท้ายของพระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงการกลับมาของพระเยซูครั้งสุดท้ายเมื่อถึงเวลาสิ้นสุดของโลก บทวิวรณ์นี้ “จอร์น “สาวกของพระเจ้าเป็นคนเขียน โดยได้รับนิมิตจากพระเจ้ามาเขียนซึ่งไม่สามารถถอดรหัสออกมาได้จะต้องใช้การตีความจึงจะเข้าใจเพราะที่ถอดรหัสได้คือพระคัมภีร์เก่าดั้งเดิม ส่วนพระคัมภีร์ใหม่ยังไม่มีใครพิสูจน์ว่ามันถอดรหัสได้จริง”

    คุณไทยรักษ์เล่าถึงบทวิวรณ์บทนั้นว่า “ในแตรที่ 5 เขาเขียนว่า มีเทวดาองค์หนึ่งมีกุญแจเปิดขุมนรกแล้วทำให้เขม่าควันขึ้นสู่โลก ฟ้ามืดมิด ผมให้คุณทายซิว่าใน 10 ปีที่ผ่านมาเนี่ยมีเหตุการณ์อะไรที่หมายถึงคำว่า ขุมนรกมีควัน และในแตรที่ 6 บอกว่า มีเทวดา 4 องค์อยู่ 4 ขั้วโลกถึงเวลานี้เขาจะเปิดแม่น้ำยูเฟอร์เรส แล้วจะมีทหาร 200 ล้าน’นี่คือคำทำนายเหตุการณ์สงครามอ่าวเปอร์เซีย ขุมนรกที่ผมพูดถึงก็คือบ่อน้ำมัน อ่านแล้วต้องตีความหมายในคำพูดเหล่านี้ให้เข้าใจ เมื่อผมเห็นภาพนิมิตของเหตุการณ์ 2 อันนี้ เห็นอดีตเก่าๆ ฟื้นขึ้นมา ทำให้นึกขึ้นได้แล้วรู้สึกว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในภาวะเหตุการณ์โลกตามบทวิวรณ์ที่เขียนเป็นปริศนาแล้วนะ แต่เหตุการณ์ต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกนั้น ในขณะนั้นยังไม่รู้ และในตอนท้ายของบทวิวรณ์นั้นมีการกล่าวถึง 7 ฟ้าผ่าที่โดยบิดผนึก หมายถึงความลับของเหตุการณ์ในวันสิ้นยุคที่ไม่เปิดเผย ไม่มีใครรู้ว่าคืออะไร”

    จนกระทั่งปี 1997(2540)เขาไปร้านเอเชียบุ๊ค เห็นหนังสือไบเบิลโค๊ดก็เกิดความสนใจว่าเป็นหนังสืออะไรจึงซื้อกลับมา “อ่านดู’ขนลุกเลย’สิ่งที่ผมกำลังรอคอยคืออันนี้นี่เอง ในไบเบิลโค๊ดก็คือความลับทั้งหมดบนประวัติศาสตร์โลกที่ถูกปกปิดไว้ได้มีการถอดรหัสไขความลับให้เปิดเผยออกมาแล้ว ช่วงเวลา 7 ปี ต่อจากนี้จะเกิดภาวะวิกฤตสงครามบนโลก แล้วคุณติดตามกับผมสิ ดูซิว่าอีก 42 เดือนข้างหน้าเนี่ยจะมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมั้ย ตามพระคัมภีร์เขาเขียนวันเวลาบอกเป๊ะๆ เลย และสงครามโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือสงครามก่อการร้ายที่ใช้ขีปนาวุธ ไม่ใช่สงครามมหาอำนาจแบบที่คุณเคยเห็นมาก่อน” คุณไทยรักษ์ได้เล่าถึงขั้นตอนการศึกษารหัสในคัมภีร์ไบเบิลต่อไปอีกว่า’

    “เดือนสิงหาคมปี 2542 ผมสั่งไบเบิลโค๊ดมา ผมก็มาถอดรหัสเกี่ยวกับวันสิ้นโลก ผมต้องมานั่งศึกษาฮิบรูโบราณก่อน โดยผมมีดิกชันนารีภาษาฮิบรูเป็นอังกฤษ ก็มานั่งศึกษาแปลไปแปลมาจนชำนาญรู้ว่าอักษรตัวไหนเป็นตัวไหน สำหรับเรื่องไบเบิลโค๊ดนี้ผมอาจไม่ใช่คนแรกที่คิดค้นเรื่องนี้ในเมืองไทย แต่ผมวิจัยเรื่องนี้เพียงคนเดียวในประเทศไทยตอนนี้และผมมีเว็บไซต์ของผมคือ www.yeshuaisback.net งานวิจัยของผมในอินเตอร์เน็ตจะเป็นเรื่องการกลับมาของพระเยซู มีโปรแกรมไบเบิลโค๊ดเป็นภาษาอังกฤษมีข้อมูลเบ็ดเสร็จเลย

    เกี่ยวกับการกลับมาของพระเยซูนี่จริงๆ แล้วพระเยซูมาเกิดแล้วแต่คนบนโลกยังไม่รู้และยังไม่ยอมรับ ฐานะของพระเยซูที่มาเกิดแล้วนี้ไม่จำกัดด้วยว่าจะอยู่ในศาสนาคริสต์ เพราะคำว่า “เยซู” หรือ “เมลิอาร์” ในภาษาฮิบรูแปลว่า “เมตไตรย”(พระศรีอารย์)ในพระคัมภีร์มีเขียนไว้เลยว่าพระเจ้าจะมาจากทิศตะวันออกและการกลับมาของพระเยซูครั้งที่สองนี้ก็จะกลับมาเกิดกับมนุษย์อีก ซึ่งเกิดอยู่ที่ไหนนั้นตอนนี้ยังไม่ถึงวาระที่จะเปิดเผยแต่ใน ค.ศ.2014 คนจะยอมรับการกลับมาของพระเยซูแน่นอน”

    การวิจัยเรื่องไบเบิลโค๊ดของคุณไทยรักษ์นอกจากจะทำให้ทราบถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ทั้งอดีตและอนาคตของทุกประเทศทั่วโลกเช่นอนาคตของสหรัฐอเมริกา คุณไทยรักษ์บอกว่า “เท่าที่เปิดรหัสดู เศรษฐกิจอเมริกามันต้องจบ ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจนะ บ้านเมืองเขาจะล่มจมไปเลย นี่คืออนาคตกาลของเหตุการณ์ที่จะเกิดครั้งใหญ่ ความล่มจมของอเมริกาจะเกิดใน ค.ศ. 2014 ร้อยเปอร์เซ็นเกิดขึ้นแน่นอน อเมริกานี่มีกรรมในพระคัมภีร์เปรียบเทียบว่าเป็น หญิงแพศยาเย้ายวนชาวโลก ให้หลง โลภ มีกิเลสตัณหา ตอนนี้เขาคุมเศรษฐกิจโลกอยู่ อยากใช้ยี่ห้ออะไรก็แล้วแต่ของอเมริกาทั้งนั้น เมืองจีนขนาดปิดประเทศตอนนี้ยังต้องเปิดหมดเพราะรับอารยะธรรมเข้ามา”

    สำหรับประเทศไทยเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ”ก็มีซุกซ่อนอยู่ในไบเบิลโค๊ดเช่นกัน “เหตุการณ์พฤษภาทมิฬผมหาโดยเอาคำว่ากรุงเทพ” คีร์เข้าไปในโปรแกรมเพื่อหารหัสของ “กรุงเทพฯ” แล้วก็ได้คำว่า “กรุงเทพฯ” ประเทศไทย ปี พ.ศ. บิ๊กสุ และก็มีชื่อ มีเหตุการณ์ซึ่งพอถอดรหัสออกมาแล้วก็จะได้คำที่ผนวกกันเป็นเรื่องราว อันนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งถ้าจะหาเรื่องราวเบื้องหลังลึกๆ ก็สามารถถอดออกมาได้”

    นอกจากเรื่องพฤษภาทมิฬเมื่อถามถึงข่าวลือเรื่องคำพยากรณ์ที่ว่าน้ำท่วมใหญ่ในอนาคตและประเทศไทยจะจมทั้งหมดนั้นจริงหรือไม่ คุณไทยรักษ์บอกว่า “ผมเปิดรหัสท่วมแน่ 90% ใน ค.ศ.2005 (2548) ท่วมหนักเลยและสาเหตุไม่ใช่มาจากประเทศไทย แต่เป็นผลจากที่อื่นมากระทบเมืองไทย และเพชรบูรณ์จะเป็นเมืองใหม่ของกรุงเทพฯ”

    ส่วนการหารหัสของตัวเองในไบเบิลโค๊ดก็ทำได้เพราะทุกคนบนโลกจะมีรหัสในไบเบิลโค๊ดอยู่แล้ว ซึ่งในนั้นก็จะบอกความเป็นตัวคุณ อาชีพ ชื่อภรรยาหรือสามีรวมทั้งชื่อลูกของคุณ ความชอบหรือความสามารถพิเศษที่คุณมีทั้งหมดหรือแม้แต่ข้อมูลบางอย่างในอดีตชาติถ้าคุณต้องการหาก็จะพบ คำทำนายโดยไบเบิลโค๊ดเกี่ยวกับเมืองไทยจะเป็นจริงหรือไม่คงต้องรอพิสูจน์ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งคุณไทยรักษ์ก็ได้พูดเป็นปริศนาต่อไปอีกว่า

    “ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้วที่คุณมาสัมภาษณ์ผมก็ถูกกำหนดมาแล้วทั้งนั้น ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีการบังเอิญ แม้เมื่อถึงเวลาทุกอย่างจะมาเองแต่มนุษย์ก็สามารถเลือกได้แต่ต้องอยู่ในขอบข่ายของมนุษยชาติ และมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกไม่ว่าจะเวียนว่ายตายเกิดยังไงสุดท้ายก็ต้อง “นิพพาน “หรือคืนกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ไม่ว่าศาสนาไหนก็แล้วแต่ก็ต้องดำเนินไปถึงจุดๆ นั้น เพราะทุกศาสนาก็มีที่มาจากที่เดียวกัน ดังนั้นหลักคำสอนของทุกๆ ศาสนาจึงมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”

    ที่มา http://www.yingthai-mag.com/detail.asp?ytcolumnid=363&ytissueid=597&ytcolcatid=2&ytauthorid=46
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระอชิตะโพธิสัตว์(อดีตชาติของพระศรีอาริย์)

    พระอชิตะ คือ พระราชโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรู ประสูติแต่พระนางกาญจนาเทวี ซึ่งเป็นพระมารดา เป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้พาบริวาร ๑,๐๐๐ คน ออกบวชเป็นภิกษุ

    คราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์ครั้งที่สอง
    พระอชิตะเมื่อบวชใหม่ ๆ ได้เป็นผู้รับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน)
    ของ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งมีความพิสดารอย่างย่อว่า

    พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงเสียพระทัย ที่ตั้งใจจะถวาย
    ให้แด่พระพุทธองค์ แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงรับ เพราะเพื่อ
    อนุเคราะห์แก่สงฆ์ในอนาคต เพื่อให้ชนทั้งหลายซึ่งเกิด
    ภายหลังให้เกิดจิตคิดการกระทำเคารพสงฆ์ให้จงมาก และ
    ทรงอนุเคราะห์แก่พระนางเอง เพราะทานที่ให้แด่สงฆ์โดย
    มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขย่อมมีพลานิสงส์มากกว่า

    พระนางมหาปชาบดีโคตมีไม่ทรงทราบดำริของพระพุทธองค์ จึงเข้าไปหาพระอานนท์ ให้พระอานนท์ทูลถามว่า สาเหตุใดจึงไม่ทรงรับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน) นั้น

    กาลต่อมา พระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
    มีสาเหตุใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่รับทรงรับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน) นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงปาฏิบุคลิกทักษิณาทาน
    โดยพิสดาร แล้วตรัสเทศนาทักษิณาวิภังคสูตร จำแนกประเภท
    แห่งปาฏิบุคลิกทาน แลสังฆทาน โดยพิสดาร แก่พระอานนท์.

    เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีได้ทรงทราบในเทศนา
    ทักษิณาวิภังคสูตรในภายหลังแล้ว จึงทรงถือซึ่งภูษาทั้งคู่เข้าไป
    หาพระสารีบุตรท่านก็ไม่ได้รับ เข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะ
    ท่านก็ไม่ได้รับ แม้ในที่สุดแห่งพระอสีติมหาสาวกก็ไม่พระรูป
    ใดรับไว้เลย จนกระทั่งองค์สุดท้ายซึ่งเป็นพระนวกะชื่อพระอชิตะ
    ท่านจึงรับไว้.

    ในเวลานั้นพระนางปชาบดีโคตมีก็ทรงน้อยพระทัยว่า
    พระนางตั้งใจในการทำผ้าทั้งคู่นี้ด้วยว่า จะถวายแด่พระผู้มีพระภาค
    แต่ก็ไม่ทรงรับ แม้นพระอสีติมหาสาวกรูปใดรูปหนึ่งก็ไม่ทรงรับ
    แต่มาบัดนี้ พระภิกษุหนุ่มซึ่งเป็นพระนวกะมารับซึ่งผ้าของพระนาง

    พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระนางเสียพระทัย จึงทรง
    พระดำริว่า จะทำให้พระนางบังเกิดโสมนัสในวัตถุทานนี้ จึงมี
    พระพุทธดำรัสเรียกพระอานนท์ว่า

    ท่านจงไปนำบาตรของตถาคตมา แล้วทรงพุทธาธิษฐานว่า พระอัครสาวกและสาวกทั้งปวงอย่าได้ถือบาตรนี้ได้เลย ให้
    พระอชิตภิกษุหนุ่มนี้จงถือซึ่งบาตรของตถาคตได้ แล้วทรงโยน
    บาตรนั้นขึ้นไปบนอากาศ แลบาตรนั้นก็ลอยขึ้นไปในกลีบเมฆ
    อันตธานไปมิได้ปรากฏ

    พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระอสีติสาวกทั้งหลาย ก็อาสานำบาตรนั้นกลับคืนมา แต่ก็หาไม่พบ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสสั่งพระอชิตภิกษุว่า ท่านจงไปนำบาตรของตถาคตมา
    ในลำดับนั้น พระอชิตะได้มีดำริว่า เป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก พระอสีติมหาสาวกนี้ ล้วนเป็นพระอรหันต์มีฤทธาอานุภาพมาก แต่มิอาจนำบาตรมาถวายแด่พระพุทธองค์ได้ แลอาตมานี้ไซร้มีจิตอันกิเลสครอบงำอยู่ แลเหตุไฉน พระบรมครูจึงตรัสสั่งอาตมาให้แสวงหาซึ่งบาตรนั้น จะต้องมีเหตุอันใดอันหนึ่งเป็นมั่นคง จึงรับอาสาที่จะนำบาตรนั้นคืนมา

    พระอชิตะได้ไปยืนในที่สุดบริษัท มองขึ้นไปบนอากาศแล้วกระทำสัตยาธิษฐานว่า อาตมาบรรพชาในพระพุทธศาสนา ไม่ได้หวังซึ่งลาภยศทั้งหลาย แต่อาตมาบวชประพฤติพรหมจรรย์เพื่อประโยชน์ที่จะตรัสรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง อันอาจสามารถรื้อสัตวโลกให้พ้นจากสงสารทั้งสิ้น หากว่าศีลของอาตมามิขาดทำลายและด่างพร้อยบริสุทธิ์อยู่เป็นอันดี ขอให้บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าจงมาสถิตในมือของอาตมาด้วยเทอญ

    พระอชิตะทรงตั้งสัตยาธิษฐานแล้ว จึงเหยียดมือออกไป
    ขณะนั้น บาตรก็ปรากฏตกลงจากอากาศ ประดิษฐานอยู่ที่มือ
    ของพระอชิตะ พระอัครมหาสาวกและพระอสีติมหาสาวก ได้มีดำริว่าบาตรนี้ควรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ควรแก่มหาสาวกทั้งหลาย แลภิกษุรูปนี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเป็นแน่.

    พระนางประชาบดีโคตมีได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็
    มีความปิติโสมนัสเป็นกำลังด้วยวัตถุทานที่ถวายให้แก่พระอชิตะ
    แล้วกราบทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จคืนพระราชนิเวศน์สถานเมื่อพระอชิตะได้รับผ้าคู่นั้นมาแล้ว เห็นว่า ไม่ควรแก่ท่านจึงนำผ้าผืนหนึ่งไปปูบนเพดานบนพระคันธกุฎี แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า อีกผืนหนึ่งแบ่งเป็น ๔ ท่อน ผูกเป็นม่านห้อยลงในที่สี่มุมแห่งเพดานนั้น แล้วอธิษฐานว่า ขอให้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต.

    พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า ท่าน อชิตภิกษุรูปนี้เป็นพระโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระเมตไตรยพุทธเจ้า ในอนาคต

    (๑) ในอนาคตวงศ์ (๒) เล่าว่า ในภัททกัลปนี้ ชาติสุดท้ายคือ
    ชาติที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระเมตไตรยพุทธเจ้า
    เมื่อยังมิได้ทรงผนวชก็ทรงพระนามว่า อชิตะ
    #๑. ปฐม. แปล. -/๓๑๕-๓๒๘ ๒. อนาคตวํส. -/๔๓-๕๖


    ที่มา http://larndham.net/cgibin/kratoo.pl/006733.htm
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระเมตไตรยพุทธเจ้า
    (ชาติสุดท้ายของพระศรีอาริย์)

    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้าเสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานคร วสนฺโต เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพรรษาอยู่ในบุพพาราม อันพระวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิฯ

    ครั้งนั้น พระองค์ทรงปรารภซึ่งพระอชิตเถระ ผู้หน่อบรมพุทธางกูรอริยเมตไตรยเจ้าให้เป็นเหตุ พระโลกเชษฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนา สำแดงซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ องค์ อันจะมาตรัสเป็น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลฯ ครั้งนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ พระองค์ ที่จะลงมาตรัสในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไป

    เป็นใจความว่า เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว ฝูงสัตว์ก็มีอายุถอยลง คงอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มีสัตถันตะระกัปป์ มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้าก็กลับกลายเป็นหอก ดาบ แหลน หลาว อาวุธน้อยใหญ่ ไล่ทิ่มแทงกัน ถึงซึ่งความฉิบหายเป็นอันมาก ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา ก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกห้วย หุบเขา เมื่อพ้น ๗ วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่เร้นซ่อนอยู่นั้น เห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่ซ่อนเร้น ครั้นเห็นซึ่งกันและกัน ก็มีความสงสารรักใคร่เป็นอันมาก เข้าสวมสอดกอดรัดร้องไห้กันไปมา บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้นตั้งอยู่ในเมตตาพรหมวิหาร แล้วก็อุตสาหะรักษาศีล ๕ จำเริญกรรมฐานภาวนาว่า อยํ อตฺตภาโว อันว่าร่างกายของอาตมานี้ อนิจฺจํ หาจริงมิได้ ทุกฺขํ เป็นกองแห่งทุกข์ฝ่ายเดียว อนตฺตา หาสัญญา สำคัญมั่นหมายมิได้ ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสารฯ

    …..เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย ปลงสัญญาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนืองๆ อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป ที่มีอายุ ๑๐ ปีเป็นอายุขัยนั้น ค่อยทวีขึ้นไปถึง ๒๐ ปีเป็นอายุขัย ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้นทุกชั้น จนอายุได้ ร้อย พัน หมื่น แสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้ว ก็มีความประมาท มิได้ปลงใจลงในกอง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา อายุก็ถอยน้อยลงมาทุกทีจนถึง ๘ หมื่นปี ฝนก็ตกเป็นฤดูคือ ๕ วันตก ๑๐ วันตก ในชมพูทวีปทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอเป็นอันดีฯ

    ครั้งนั้น กรุงพาราณสีเปลี่ยนนาม ชื่อว่า เกตุมมะดี โดยยาวได้ ๑๖ โยชน์ โดยกว้างได้ ๑ โยชน์ มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดทั้ง ๔ ประตูเมือง มีแก้ว ๗ ประการ ประกอบเป็นกำแพงแก้ว ๗ ชั้นโดยรอบพระนคร ครั้งนั้น มหานฬกาลเทวบุตร ก็จุติลงมาเกิดเป็นสมเด็จบรมจักรพรรตราธิราช ทรงพระนามว่า พระยาสังขจักร เสวยศิริราชสมบัติในเกตุมมะดีมหานคร ในท่ามกลางเมืองนั้นมีปรางค์ปราสาททองอันแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นมาแต่มหาคงคา ลอยมายังนภาดลอากาศเวหา มาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปรางค์ปราสาทนี้ แต่กาลก่อนเป็นปรางค์ปราสาทแห่งสมเด็จพระเจ้ามหาปะนาท ครั้นสิ้นบุญพระเจ้ามหาปะนาทแล้ว ปรางค์ปราสาทนั้นก็จมลงไปในคงคา เมื่อสมเด็จบรมจักรจอมทวีปผู้ทรงพระนามว่า พระยาสังขจักร ได้เสวยราชสมบัติในเกตุมมะดีนั้น ปรางค์ปราสาทก็ผุดขึ้นมาแต่มหาคงคาด้วยอานุภาพแห่งบรมจักร ประดับไปด้วยหมู่พระสนมแสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น ๔ พัน พระองค์มีพระราชโอรสประมาณพันพระองค์ พระราชโอรสผู้ใหญ่นั้น ทรงพระนามว่า อชิตราชกุมาร เจ้าอชิตราชกุมารนั้น เป็นปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดาผู้เป็นพระยาบรมสังขจักร อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ

    จักรแก้ว ๑
    นางแก้ว ๑
    แก้วมณีโชติ ๑
    ช้างแก้ว ๑
    ม้าแก้ว ๑
    คฤหบดีแก้ว ๑
    ปรินายกแก้ว ๑

    อันว่าสมบัติบรมจักรนั้นย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ยิ่งนัก เหลือที่จะพรรณนาในกาลนั้นฯ

    ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้ มีนามปรากฏว่า สุตพราหมณ์ นางพราหมณีผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพราหมณวดีฯ ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า รับอาราธนานิมนต์แห่งฝูงเทพยดาทั้งหลาย ก็จุติลงมาจากสวรรค์เทวโลก ลงมาถือเอาปฏิสนธิในครรภ์แห่งนางพราหมณวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิตพราหมณ์ผู้ใหญ่ ในวันบัณณสี อุโบสถ เพ็ญเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาปัจจุสสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย ๑๒ ประการ เทพยดาพากันกระทำสักการบูชาดังห่าฝนตกลงในกลางอากาศ แล้วก็มีปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ผุดขึ้นมา เพื่อจะให้เป็นที่สำราญ แห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้า

    ปราสาท ๑ ชื่อว่า ศิริวัฒนะ
    ปราสาท ๑ ชื่อว่า สิทธัตถะ
    ปราสาท ๑ ชื่อว่า จันทกะ

    ปรางค์ปราสาททั้ง ๓ นี้เป็นที่จำเริญพระศิริสวัสดิมงคล ควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวงพระจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด เดียรดาษไปด้วยนางนาฏพระสนมประมาณ ๗ แสน ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย บรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า พระจันทมุขี เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้ง ๗ แสน มีพระราชโอรสองค์ ๑ ทรงพระนามว่า พราหมณ์วัฒนกุมาร เมื่อพระมหาบุรุษผู้ประเสริฐ ทรงพระสำราญแรมอยู่ในปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้ฯ จนพระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปี แล้วจึงเสด็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีศิริหาเสมอมิได้ เสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตรเห็นจตุรนิมิตทั้ง ๔ ประการนี้ เป็นเทวทูตยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น ก็มีพระทัยน้อมไปในบรรพชา พิจารณาเห็นเพศสมณะนั้นเป็นอารมณ์ ในขณะนั้นอันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญยับยั้งอยู่นั้น ก็ลอยไปในอากาศเวหา พร้อมทั้งพระราชโอรส และหมู่นิกรอนงค์นางกัลยาทั้งหลายก็ไปกับปรางค์ปราสาทนั้น

    ครั้งนั้นเปรียบประดุจดังว่า พระยาสุวรรณราชหงส์ทองอันบินไปในอากาศเวหา ฝ่ายฝูงเทพยดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชา เหาะตามกันมากระทำสักการบูชาในอากาศเวหา แน่นเนื่องกันมาเป็นอเนกอสงไขย ทั้งท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย ๘ หมื่น ๔ พัน พระนครก็ดี และชาวนิคมประจันตประเทศชนบททั้งหลายก็ดี ก็ชวนกันมากระทำสักการบูชาด้วยดอกไม้และของหอม มีประการต่างๆเต็มเดียรดาษกลาดเกลื่อนไปทั้งชมพูทวีป เหล่าพวกอสูรทั้งหลาย ก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษาปรางค์ปราสาทฯ ฝ่ายพระยานาคราชนั้น กระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี พระยาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้ว อันเป็นเครื่องประดับตน พระยาคนธรรพ์ทั้งหลายนั้น กระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ ฟ้อนรำ มีประการต่างๆ ฯ

    ปางเมื่อองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้าเสด็จออกบรรพชานั้น ฝูงเทพยดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ และ มนุษย์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ทั้งหลาย กระทำสักการบูชา ทั้งพระยาบรมจักรพรรตราธิราชเจ้าผู้ประเสริฐ ก็พร้อมด้วยแสนสาวสนมในทั้งปวง และโยธาหาญ หมู่จตุรงค์องค์พยุหะเสนาอเนกนับมิได้ เสด็จไปที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์

    ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายทั้งปวง มีความปรารถนาจะทรงบรรพชาแล้วก็ลอยไปในอากาศ กับด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักร และอานุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ์ คือไม้กากะทิงแล้ว ปรางค์ปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑลไม้มหาโพธินั้น ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัสตร์ กับเครื่องบริขารทั้ง ๘ น้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ แล้วพระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศเกล้าให้ขาด แล้วก็โยนขึ้นไปในอากาศเวหา ถือเครื่องบริขารทั้ง ๘ ประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว ส่วนว่าบริวารทั้งหลายทั้งปวงนั้น ก็ชวนกันบรรพชา บวชตามสมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก ฝ่ายพระมหาบุรุษราช องค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้น กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระศรีมหาโพธิสิ้นประมาณ ๗ วัน ในเมื่อเวลาเย็นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิ ขึ้นทรงนั่งเหนือรัตนอปราชิตบัลลังค์พระที่นั่งแก้ว แล้วทรงพระคำนึงระลึกถึงบุพพชาติของพระองค์ด้วย บุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงเห็นโดยลำดับกัน ประจักษ์แจ้งในปฐมยามฯ ครั้นล่วงเข้ามัชฌิมยามทรงเห็นซึ่ง จุติ-ปฏิสนธิ แห่งสัตว์ทั้งหลาย ด้วยทิพย์จักษุญาณฯ ครั้นล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้น พระองค์พิจารณาซึ่งปัจจัยการ อันประกอบไปด้วยองค์ ๒ ประการ ตามกระแสพระปฏิจจสมุปบาทธรรม ด้วยสามารถอนุโลม ตรัสรู้ตลอดกัน ในลำดับนั้นก็ได้สำเร็จแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า อรหังสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอาทิ ปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ แล้วพระองค์ก็ยังมนุษย์ทั้งหลายประมาณแสนโกฏิ ให้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรสคือพระสัทธรรม

    เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่ รู้ตาย เป็นธรรมาภิสมัย ให้บังเกิดแก่ฝูงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ตรัสรู้มรรคและผลหาประมาณมิได้ฯ - และองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้าผู้ทรงพระภาคมีประเภทเป็นอันงามนั้น

    - พระองค์มีพระวรกายสูงได้ ๘๘ ศอก
    - พระองค์ใหญ่กว้างได้ ๒๕ ศอก
    - ตั้งแต่พระบาทถึงพระชานุมณฑลมีประมาณ ๒๒ ศอก
    - ตั้งแต่พระชานุมณฑลขึ้นไปถึงพระนาภีประมาณ ๒๒ ศอก
    - ตั้งแต่พระนาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญทั้ง ๒ ประมาณ ๒๒ ศอก
    - ตั้งแต่พระรากขวัญขึ้นไปถึงพระเศียรเกล้า ที่สุดยอดพระอุณหิส เปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ ๒๒ ศอก เสมอกันทั้ง ๔ ส่วน
    - พระรากขวัญทั้ง ๒ แต่ละอันนั้นยาวได้ ๕ ศอก
    - อันว่าพระหัตถ์ทั้ง ๒ ซ้าย-ขวานั้น ยาวได้ ๔๐ ศอก ( เข้าใจว่าความยาวจากหัวไหล่ถึงปลายนิ้วมือแต่ละข้าง ยาวได้ ๔๐ ศอก…..พีรจักร )
    - ในระหว่างภายในแห่งพระพาหาทั้ง ๒ ซ้าย-ขวา นั้นมีประมาณ ๒๕ ศอก
    - พระอังคุลีแต่ละอันยาวได้ ๕ ศอก
    - ฝ่าพระหัตถ์แต่ละข้างกว้างได้ ๕ ศอก
    - พระศอโดยกลมรอบมีประมาณ ๕ ศอก โดยยาวก็ ๕ ศอก
    - พระโอษฐ์เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง ๑๐ ศอกเสมอกัน เป็นอันดี
    - พระชิวหาอยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว ๑๐ ศอก
    - พระนาสิกสูงยาวลงมาได้ ๗ ศอก
    - ดวงพระเนตรทั้ง ๒ โดยกว้างได้ ๗ ศอก
    - แววพระเนตรทั้ง ๒ ที่ดำ กลม เป็นปริมณฑลอยู่นั้น มีประมาณ ๕ ศอก
    - พระขนงแต่ละข้าง ยาวได้ ๕ ศอก
    - ในระหว่างพระขนงทั้ง ๒ กว้างได้ ๔ ศอก
    - พระกรรณทั้ง ๒ แต่ละข้าง ยาวได้ ๗ ศอก
    - ดวงพระพักตร์นั้นเป็นปริมณฑล กลมดังดวงพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญ มีประมาณกลมได้ ๒๕ ศอก
    - พระอุณหิสที่เวียนเป็นทักขิณาวัฏรอบพระเศียร เป็นเปลวพระพุทธรัศมีขึ้นไปนั้น โดยกลมรอบได้ ๒๕ ศอกฯ

    …..ลำดับนี้ จะพรรณนาไม้พระศรีรัตนมหาโพธิต่อไป อันว่า ต้นไม้กากะทิง ที่เป็นไม้ศรีมหาโพธินั้น

    - มีปริมณฑลไปได้ ๑๒๐ ศอก
    - มีกิ่งทั้ง ๕ โดยรอบครอบนั้นก็ได้ ๑๒๐ ศอก
    - แต่ต้นขึ้นไปปลายสุดกิ่งนั้นได้ ๒๔๐ ศอก โดยสูง โดยสะกัดเป็นปริมณฑลเหมือนกัน
    - มีใบสดเขียวอยู่เป็นนิจจกาล
    - ทรงดอกและเกสรหอมฟุ้งขจรมิรู้ขาด เปรียบประดุจดอกปาริชาติ ในดาวดึงสาสวรรค์ก็เหมือนกันฯ

    ที่มา http://webboard.mthai.com/7/2006-03-29/216180.html

    หมายเหตุ

    พระศรีอาริยเมตไตรย จะลงมาบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าอีก ล้านปีเศษข้างหน้า หลังจากยุคพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม(องค์ปัจจุบัน) ล่วงพ้นไปได้ 5,000 ปี อยู่แถวประเทศพม่าในปัจจุบัน (จากคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กันยายน 2006

แชร์หน้านี้

Loading...