มาวิเคราะห์คำทำนาย จากภัยธรรมชาติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Falkman, 3 กรกฎาคม 2006.

  1. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    เมื่อเรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแล้ว หรือ ดูจากสถานะการณ์ปัจจุบัน ภัยธรรมชาติหรืออะไรก็ตาม เรามาหาวิธีป้องกัน หรือ เตรียมตัวเพื่อรับสถานการณ์ หรือ เตรียมตัวอย่างไรว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นจริง เราจะมีความพร้อมเพียงพอไหม

    ใช่ ทุกคนหนีความตายไม่พ้น แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แล้วเราเป็นหนึ่งในนั้น แน่นอนการเตรียมจิตให้พร้อมก็ช่วยได้ แต่กายนั้นก็สำคัญ เรายังต้องอาศัยกายนี้อยู่

    มาหาวิธีป้องกัน หรือ เตรียมตัวพร้อมสำหรับเหตุการที่คิดว่าน่าจะเกิดขึ้นดีกว่าไหม
     
  2. yutneno

    yutneno สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +14
    ยังไม่ครบ 5000 ปี ตามพุทธทำนายเลยอ่ะครับ เรื่องวิกฤติ ต่าง ๆ อาจจะเกิดขึ้นก็ได้ แต่มันไม่น่าจะทำลายล้างได้มากมายขนาดนี้ เรื่องที่คุณกล่าวมามันก็สอดคล้องกับพุทธทำนาย แต่อีกนานอ่ะ หลัง5000ปี อีกนานๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    ไม่ใช้หรือจะเกิดกลียุคอย่างใหญ่หลวงผู้คนจะฆ่ากันคนดีจะหนีเข้าป่าคนบ้าจะวิ่งเข้าเมือง ใบใม้ไปหญ้าจะกลายเป็นอาวุธนำมาประหัตประหารกัน เมือพ้นจากวิกฤตินี้ผู้คนที่หนีเข้าป่าจะมีความรักมีศีลประจำใจเมื่อนั้นอายุของคนจะยืนนานขึ้น แล้วอีกอย่างอายุขัยของพระศรีอาริย์ เป็นอายุของเทวดาสวรรค์ชั้น 4 เชียวน่ะ กว่าจะถึงกัปนั้นของท่าน เราตายแล้วหลายชาติไม่รู้จะได้เจออ๊ะป่าวอ่ะ
     
  3. จอกแหน

    จอกแหน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    272
    ค่าพลัง:
    +873
    ปีจอต่อกุลจะมีผู้คนล้มตายมากมาย นี้เป็นคำเตือนจากเบื้องบนครับให้พวกเราชาวพุทธถือศีล ความเพียร ทำความดี ให้มากไว้
     
  4. tidpanya

    tidpanya Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +51
    เตรียมตัวไว้ ด้วยความไม่ประมาท ดีกว่าไม่เตรียมครับ...ในทุกๆเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องอนาคตของโลก เรื่องชีวิตเฉพาะหน้าในทุกๆวันนี้ ทำให้ดีที่สุดและเตรียมตัวตาย(เดินทาง)ก่อนตายครับ
    ด้วยความปรารถนาดี
    ทิด
     
  5. Nukool

    Nukool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2005
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,073
    กลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถงนะมันเป็นทุกข์เปล่าประโยชน์ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
     
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    *** A MessageTo Human On Earth***

    จากการที่มนุษย์ รักกันไม่ได้ - รักกันไม่พอ
    พลังงาน"ความรัก"ที่มอบให้กับโลกจึง "ไม่เพียงพอ"
    ธรรมชาติจึงแสดง "มายา" ให้เห็นว่ามนุษย์โลกประพฤตฺผิดธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา
    จึงต้องเกิด บททดสอบจิตสำนึก เพื่อให้มนุษย์ปลดปล่อยพลังงานความรักที่แท้จริง ในด้านการแสดงออกต่อกันในยามมีภัย ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ทั่วโลก

    ภัยที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเพียง "บทเรียนแห่งความกลัวตาย"
    -กลัวตัวเองต้องตาย
    -กลัวคนที่รักต้องตาย
    -กลัวประเทศบอบช้ำ
    -กลัวโลกต้องบอบช้ำ

    เพื่อให้มนุษย์รู้จักคำว่า "รัก" ที่แท้จริง และสั่นสะเทือนออกมา
    -มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน (ระบบใหญ่ ระบบย่อย อยู่ในระบบเดียวกัน)
    -มีความสมานฉันท์-พึงพอใจ-เชื่อมโยงกัน
    -มีคลื่นความถี่ตรงกัน (เป็นความรัก)
    -สั่นสะเทือนถึงกัน
    -มีทิศทางเป้าหมายเดียวกัน (เคลื่อนไหลไปด้วยกัน)
    -ค้ำจุนซึ่งกันและกัน
    -ทุกรูปธรรมมีความสำคัญเท่าเทียมกัน
    -ไร้เครื่องพรางต่อกัน (ไม่ปิดบังกัน)

    และหนทางรอดเดียวของมนุษย์ทุกคนคือต้องกลับบ้าน
    หรือ "นิพพาน" ให้ได้ในที่สุด...
    จงมี "ปณิธานแห่งนิพพาน" อย่างแท้จริง

    ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาลโดยอาจารย์ ปริญญา ตันสกุล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2006
  7. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
    เรียน ท่านวีระชัย (เวบสโนว์ที่เคารพ)และทุกท่านกระผมมีโครงการวิธีป้องกันภัยพิบัติโลกผมแปลให้แล้วรอให้ทุกท่านบำเพ็ญบารมีช่วยเหลือคนด้วยโดยส่งเมลไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยงเช่น อินโด มาเล ฟิลิปปิน อินเดีย และตะวันออกกลาง หรือจีนฯลฯ โดยเข้าเวบกูเกิ้ล พิมพ์คำว่า ministry of environment in china,indonesisa ฯลฯจนครบประเทศกลุ่มเสี่ยงครับ โมทนาสาธุกับคุณวีระชัยและทุกท่านด้วยครับขอให้สำเร็จโพธิญาณและสาวกโดยเร็ว สาธุ



    To Primeminister

    The project to present the methoad prevent the disaster of world.


    Global cooling often has been linked with major volcanic eruptions. The year 1816 often has been referred to as "the year without a summer". It was a time of significant weather-related disruptions in New England and in Western Europe with killing summer frosts in the United States and Canada. These strange phenomena were attributed to a major eruption of the Tambora volcano in 1815 in ndonesia. The volcano threw sulfur dioxide gas into the stratosphere, and the aerosol layer that formed led to brilliant sunsets seen around the world for several years.



    The opinion to present the project about method of Eartquake.
    1.Should construct the canal all village to prevent people died from eartquake because the canal is not vibration that can make the people can make the life .
    2.Should construct the boat of river on the all canal for prevent people died from eartquake because the people can live in the boat all day more than roller jack.
    3. Make the under ground room all home and distribute the surviver signal for all people all home.

    The method of prevent to the storm of Hurricane should install the radar of sattellite (x-ray the below clould) mix the system sonar (toach the storm) and mix the g-matte computer(can khow the locate the storm) that can predict the hurricane.

    The method of prevent to the volcano explode should install the radar of sattellite (x-ray the below volcano) mix the system sonar (toach the lava) and mix the g-matte computer(can khow the locate the lava ) that can predict the volcano explode.

    The method of prevent to Tsunamis , the flood and global warming ice pole need constuct the super pipe all province for trow on minor dam ,trow on the canal for trow the river go to the sea immediatly and construct the dam all province for prevent the flood and Tsunamis because reduce the power of water from Tsunami the flood and global warming ice pole Should construct the building all province for immigrat of people from Tsunami because The building is strong can prevent from storm and make the under ground room all home and distribute the surviver suit for all people all home.
    Please inform all the above information to all country.
    Thank you so much
    With regards
    Mr.
     
  8. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
    เรียน คุณวีระชัยเวบสโนว์ที่เคารพอย่างยิ่ง และทุกท่านครับ ผมแปลให้แล้ววิธีป้องกันภัยพิบัติรบกวนทุกท่านช่วยส่งเมลไปหารัฐมนตรีประเทศจีน อินเดีย พม่า ญี่ปุ่น อินโด สหรัฐ ฟิลิปปิน และตะวันออกกลางหน่อยครับโดยใช้เวบกูเกิ้ล โดยพิมพ์ว่า ministry of environment in china ไปจนครบประเทศกลุ่มเสี่ยงครับ โมทนาสาธุกับทุกท่านและคุณเวบโนว์ครับขอให้บารมีเต็มเร็วๆครับ



    To Primeminister

    The project to present the methoad prevent the disaster of world.


    Global cooling often has been linked with major volcanic eruptions. The year 1816 often has been referred to as "the year without a summer". It was a time of significant weather-related disruptions in New England and in Western Europe with killing summer frosts in the United States and Canada. These strange phenomena were attributed to a major eruption of the Tambora volcano in 1815 in ndonesia. The volcano threw sulfur dioxide gas into the stratosphere, and the aerosol layer that formed led to brilliant sunsets seen around the world for several years.



    The opinion to present the project about method of Eartquake.
    1.Should construct the canal all village to prevent people died from eartquake because the canal is not vibration that can make the people can make the life .
    2.Should construct the boat of river on the all canal for prevent people died from eartquake because the people can live in the boat all day more than roller jack.
    3. Make the under ground room all home and distribute the surviver signal for all people all home.

    The method of prevent to the storm of Hurricane should install the radar of sattellite (x-ray the below clould) mix the system sonar (toach the storm) and mix the g-matte computer(can khow the locate the storm) that can predict the hurricane.

    The method of prevent to the volcano explode should install the radar of sattellite (x-ray the below volcano) mix the system sonar (toach the lava) and mix the g-matte computer(can khow the locate the lava ) that can predict the volcano explode.


    The method of prevent to the Eartquake that should install the radar of sattellite (x-ray the below the land ) mix the system sonar (toach the land) and mix the g-matte computer(can khow the locate the vibration of earthquake ) that can predict the earthquake.


    The method of prevent to Tsunamis , the flood and global warming ice pole need constuct the super pipe all province for trow on minor dam ,trow on the canal for trow the river go to the sea immediatly and construct the dam all province for prevent the flood and Tsunamis because reduce the power of water from Tsunami the flood and global warming ice pole Should construct the building all province for immigrat of people from Tsunami because The building is strong can prevent from storm and make the under ground room all home and distribute the surviver suit for all people all home.
    Please inform all the above information to all country.
    Thank you so much
    With regards
    Mr
     
  9. cheterk

    cheterk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    512
    ค่าพลัง:
    +1,568
    เชื่อวันนี้ ในสิ่งที่เราทำ

    ผมเชื่อว่าเรา จะได้คุยกัน ผมคุยได้ทุกเรื่องครับ
    พระนิพพาน จากคำครูอาจารย์
    http://www.geocities.com/pranipan/

    VDO ของสัตว์ต่างๆ ที่จะต้องถูกนำมาเป็นอาหารให้เราได้กิน เรื่องจริงที่หลายคนไม่เคยเห็น ว่าน่าสงสารแค่ไหน
    อานิสงส์ ๑๐ ประการ ของการไม่กินเนื้อสัตว์ ( อันนี้ผมผิมตามหน้าปก CD นะครับ )
    1. เป็นที่รักของบรรดาเทพพรม ตลอด จนมนุษและสัตว์ทั้งหลาย
    2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
    3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์ เหี้ยมโหดเคียดแค้นในใจลงได้
    4. ปราสจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
    5. มีอายุมั่นขวัญยืน
    6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
    7. ยามหลับนิมิครเห็นแต่สิ่งที่ดีงาม เป็นศิริมงคล
    8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ้งกันและกัน
    9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
    10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมุ่งสู่คติภพ

    เปิด
    http://thaihotbiz.com/dmc/ก่อนที่จะมาเป็นอาหารให้เราได้กิน2.wmv

    Save
    http://thaihotbiz.com/dmc/ก่อนที่จะมาเป็นอาหารให้เราได้กิน2.zip

    อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่มารดา บิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้ามีความสุข
    อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้ามีความสุข
    อิทัง เม คุรูปัชฌายาจริยานัง โหตุสุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้าขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้ามีความสุข
    อิทัง สัพพะเทวะตานัง โหตุสุขิตา โหนตุ สัพเพเทวา
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวงขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข
    อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุสัพเพ เปตา
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เปรตทั้งหลายทั้งปวงขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข
    อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุสัพเพเวรี
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข
    อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตาโหนตุ สัพเพ สัตตา
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีความสุขทั่วหน้ากันเทอญ

    ดาวธรรม ถ่ายทอดสด รายการธรรมะ 24 ชม. ทั่วโลก
    และเสนอ Case Stady กฏแห่งกรรม

    http://www.dmc.tv/multimedia.php?mediaURL=http://203.146.251.191/vcont100k_2
     
  10. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    ยากเกินคำบรรยาย --- ---"
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ยุคพระศรีอาริย์(พระเจ้าจักรพรรดิ)ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน

    ผมได้รับฟังมาจากเพื่อนนักปฎิบัติธรรมท่านหนึ่ง(ขอไม่เอ่ยนาม) กล่าวไว้ดังนี้:-

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) ได้เคยบอกลูกศิษย์ที่ตึกรับแขก ซึ่งภรรยาของผมเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา ได้ช่วยงานอยู่ที่นั่น เราทราบดีว่าหลวงพ่อนั้นเป็น "พระสุปฏิปันโน" จึงไม่ต้องสงสัยคำพูดใดๆของท่าน

    เมื่อคราวหนึ่งท่านกล่าวกับคณะศิษย์ที่ตึกรับแขกว่า... ขณะนี้ "พระเจ้าจักพรรดิ" ได้ลงมาเกิดในประเทศไทยแล้ว (พวกเราจึงเลิกสงสัยว่าทำไมประเทศไทยจึงเจริญรุ่งเรืองต่อไป) และเกิดเป็นคนหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ มีเชื้อทางฝั่งลาว ตอนเกิดนั้น มารดาท่านฝันว่าได้แหวนทองจากเทวดา และตั้งชื่อลูกของท่านว่า "เทพ"


    ยุคสามร่มโพธิ์ศรี จากคุณอัญญาสิทธิ์

    <TABLE class=tborder id=post121026 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_121026>ถึงคุณ เกษม เรื่อง "สามร่มโพธิ์ศรี" นั้นที่จริงคือเรื่องของพระจักรพรรดิ์ ที่พระศรีฯ จะลงมายกยอพระศาสนา ที่พระศรีฯท่านมาเป็นพระยาธรรมิกราช ปกครองโลก พระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งทำหน้าที่เป็นคล้ายพระสังฆราชของโลก และพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งทำหน้าที่คล้ายนายกของโลก โดยมีเหล่า อัญญาสิทธิ์ และ อัญญาธรรม ซึ่งเป็นผู้ที่ลงมาทำหน้าที่ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ปฎิบัติรอพระจักรพรรดิ์ กันทั้งนั้นและมักอยู่ในที่ลี้ลับ แต่ถ้าปฏิบัติจิตถึงก็สื่อกันได้

    รายละเอียดเรื่องสามร่มโพธิ์ศรี ผมกำลังรวบรวมจากคนในคณะหลายๆคน เพราะฟังมา ต่างวาระกัน แล้วจะนำมาเล่าสู่กันฟังทีหลังครับ

    ที่สำคัญก็คือกาลของยุคพระจักรพรรดิ์ ใกล้เข้ามามากแล้ว ครูบาอาจารย์ ท่านมาบอกบ่อยๆให้เร่งปฏิบัติกัน พระศรีฯใกล้จะลงมาทำหน้าที่พระจักรพรรดิ์ แล้ว คำว่า "ใกล้" นี้ ในโลกภายในนั้นหากเป็น 5-10 ปีมนุษย์นั้น ถือว่าน้อยมาก

    ที่ผมกำลังกังวลก็คือ กาลของพระจักรพรรดิ์ จะมาเร็วกว่าที่คิดมาก ครูบาอาจารย์ท่านสั่งให้ทำหลายสิ่งหลายอย่าง ผมยังทำไม่เสร็จอีกมาก ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้ว่าเมื่อกาลของพระจักรพรรดิ์ใกล้เข้ามา หายนะจะเกิดขึ้นกับโลก เทวดาเขาจะทำฤทธิ์ โลกจะปั่นป่วนเท่าที่จำได้ ท่านบอกว่า "ประเทศอเมริกาจะเป็นเกาะเป็นแก่ง" ยุโรปต่อไปก็จะหายนะอยู่ไม่ได้ ต้องมาพึ่งแผ่นดินไทย (ต่อไป ไทยกับลาวจะกลับมารวมกัน) ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น หายไป ฯลฯ และประเทศไทยจะดีได้ ก็ต่อเมื่อ "เกิดเหตุใหญ่" เสียก่อน การเมืองไทยคนจะฆ่ากันตายเป็นเบือ แต่ที่เป็นอยู่ทางภาคใต้ตอนนี้คิดว่ายังไม่ใช่เหตุการณ์ที่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้ เคยถามท่านว่า "ไม่ให้เกิดไม่ได้หรือ" ท่านว่า "ปู่ยีเว่าไว้แล้ว ปานพระเจ้าเว่า เปลี่ยนแปลงไม่ได้"

    หากใครสังเกตดีๆ ลมพายุนั้นคล้ายจักรหมุน หากใครเคยขี่จักรภายในจะเข้าใจว่าเป็นยังไง เท่าที่เห็นตอนนี้คือภายใน ปราบภายใน ก็ล้นออกมาภายนอก ใครมีกรรม เป็นเชื้อสายของพวกที่เขาปราบภายในก็จะได้รับผลกระทบ ถ้าจะไล่ลำดับ ก็ต้องไปตั้งต้นศึกษาระบบจิตวิญญาณที่หมุนเวียนอยู่บนโลกตั้งแต่ยุครามเกียรติ์แหละ

    เอาเป็นว่าพวกอิสลามคือเชื้อยักษ์พวกนึง ฝรั่งก็เชื้อยักษ์อีกพวกนึง ทางเอเชียก็เป็นพวกเทวดา นาค ฯลฯ รวมทั้งลูกผสมเชื้อยักษ์ก็มีเช่นกัน ศาสตร์วิชาการที่มนุษย์ใช้อยู่บนโลกปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นวิชาของพวกเชื้อยักษ์เป็นคนคิด (ยิวกับยักษ์ เป็นภาษาลัญญลักษณ์) สุดท้ายศาสตร์วิชาการที่มนุษย์เอามาใช้ก็จะทำลายเบียดเบียนมนุษย์กันเอง
    <!-- / message --></TD></TR><TR><TD class=alt2>
    ข่าวดี ชาวโลกจะได้พบพระศรีอารย์ในปี 2549
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->พระศรีอริยเมตตรัย นั้นท่านลงมาเกิดกึ่งศาสนานี้ จากนี้ไปไม่เกินปลายปี 2549 คุณอาได้เห็นแน่ครับ เทวดาท่านบอกผมมาอย่างนั้นนะ
    ผมขอยกข้อความกระทู้ที่ได้เคยพิมพ์ไปแล้วบางส่วนมานะครับ
    -----------------------------------------
    และที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า
    "หลังจากกึ่งพุทธกาลแล้ว พุทธศาสนาจะรุ่งเรืองอีกวาระหนึ่ง และก็จะมีพระอริยเจ้ามากคล้ายสมัยพระองค์อยู่"
    ทราบไหมครับว่าจะเริ่มเกิด ตอนไหนครับ บอกให้ก็ได้ครับ ไม่เกินปลายปี 2549 ครับ
    พระมหาโพธิ สั ต ว์ ที่เป็นตัวการในครั้งนี้มีชื่อว่า " ศรีอริยะเมตไตร " ก็เพราะ พระมหาโพธิ สั ต ว์ องค์นี้ลงมาเกิดละครับ ทำให้มี พระโพธิ สั ต ว์ หลายองค์ที่ลงมาเกิดทั้งก่อนหน้าและหลังเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ บารมีต้น ถึง ปลายปลายบางท่านก็ลงมา
    ก่อนเริ่มตั้งแต่หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษี จนถึงปัจจุบัน ท่านลงมาส่วนหนึ่งก็เพื่อปูทางให้กับพระศรีอริยะเมตไตร สังเกตุไหมครับ ปัจจุบันนี้มีหลายท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ เป็นจำนวนมากเพราะเหตุนี้ละครับ บางท่านลงมาแล้วก็ลาพุทธภูมิเลยก็มี
    " ศรีอริยะเมตไตร " ที่ลงมาจุตินั้น มีคำทำนายที่เกี่ยวกับตัวท่านมากมาย คือ ง่ายๆเลยตั้งแต่หัวจดเท้า มีผู้ที่ทำนายหมดแล้วว่ามีตำหนิที่ร่างกายอะไรบ้าง
    ตัวอย่างที่พระพุทธเจ้า คำทำนายไว้ว่า พระโพธิสั ต ว์ ศรีอริยะเมตไตร ลงมาเกิดกึ่งศาสนานั้นจะมีแผลเป็นดุจรอยหนูเจาะที่ศรีษะท่าน ที่ผมบอกคำทำนายของพระพุทธเจ้า นี้ไว้เพราะว่าถ้าเห็นหน้าท่านขึ้นมาจะได้รู้ว่าเป็นใคร ลองไปซื้อหนังสือ เรื่อง ศรีอริยะเมตไตร โดย รหัสยญาณ นะแล้วลองไปอ่านดูว่าท่านเป็นอย่างไร

    การจะทำให้พุทธศาสนาจะรุ่งเรืองอีกวาระหนึ่ง และมีพระอริยเจ้ามากคล้ายสมัยพระองค์อยู่ นั้น ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาไม่สามารถทำได้แน่ ผู้ที่จะทำได้ขนาดนี้ ต้องมีทั้ง บุญญาบารมี และอิทธิฤทธ์ รองจากองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า นั้นก็คือ พระมหาโพธิ สั ต ว์ นามว่า " ศรีอริยะเมตไตร "
    ซึ่งถือว่าเป็นพระโพธิ สั ตว์ ที่เป็นรุ่นพี่ ของพระโพธิ สัตว์องค์อื่นๆ และเหตุการณ์ที่ผมบอกนี้ เกิดขึ้นช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับท่านนี้เพียงคนเดียว

    หลวงพ่อฤาษี พูดว่า " อภิญญาจะขึ้นจนเป็นสาธาณะ ปี 2545 " แต่ก็ยังไม่เห็นใช่ไหมครับ เพราะอะไรก็เพราะบุคคล คนนี้คนเดียวละครับ ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับคนผู้นี้คนเดียวครับ
    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าท่านผู้นี้จะสอนทั้ง พุทธภูมิ และ สาวกภูมิครับ เป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญอภิญญามากที่สุดครับ
    ------------------------------------------
    ถ้าสิ่งที่พิมพ์ด้านบนไม่เป็นจริง พระพุทธเจ้าท่านจะทรงพยากรณ์ไหมครับ
    ผมขออธิบายเรื่อง " ศรีอริยะเมตไตร " ที่ท่านมาเกิดนิดหนึ่งนะครับ นอกจากพระพุทธเจ้าท่านจะทรงพยากรณ์แล้ว ยังมีอีกหลายท่านครับ
    เช่น พระครูอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันทเถระ) และ หลวงปู่มั่นท่านก็ยังบอกไว้ในหนังสือ ทิพย์อำนาจ ของหลวงปู่เส็ง ท่านเรียกว่า พระมหาโพธิสัตว์
    นอสตราดามุส ท่านเรียกว่า " ศรัทธาใหม่ " นิสัยที่ นอสตราดามุส ทำนายไว้ก็ตรงกับ " พระศรีอริยะเมตไตร " ครับ ท่านผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์ครับ

    ผมเอาเรื่องนี้มาบอกไม่ต้องการมาปลุกปั่นเรื่องนี้นะครับ แต่บอกไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัตัเวลาอีกไม่นานท่านคง ได้เห็นแน่ครับ
    แล้วถ้าท่านปรากฏตัวออกมาจริงก็คงไม่บอกว่าเป็นใครครับ ท่านจะบอกว่าเป็น " พระศรีอริยะเมตไตร " เพื่ออะไร คนที่เป็นนั้นท่านไม่บอกพูดบอกเพื่อโฆษณาตัวเองแล้วครับ
    พระมหาโพธิสัตว์ นั้นใจท่านสูงครับ ความอวดไม่มีแล้วครับ
    ส่วนพระมหาโพธิสัตว์ที่มาเกิดนั้น ท่านมีรักษาศีล 5 เป็นปกติครับ ทำแต่ความดี ละเว้นความชั่วทั้งปวง และก็ปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนาครับ ซึ่งพระมหาโพธิสัตว์ท่านอื่นก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกันครับ
    ส่วนตำหนิที่มีผู้ทำนายพระศรีอริยะเมตไตร นั้น ตรงกับตัวท่านทุกประการครับ

    ปัจจุบันท่านก็ปฏิบัติของท่านอยู่ครับ ผมว่าไม่ต้องไปสนใจมากครับ ฟังหูไว้หูดีที่สุด ถึงเวลาแล้วเห็นเองครับ

    วันหลังเดี๋ยวผมไม่อธิบายเรื่องนี้แล้วนี้กว่า เดี๋ยวสนใจ แต่เรื่องนี้ไม่สนใจเรื่องการปฏิบัติคงจะมีดีแน่เลยครับ เรื่องแปลกที่รู้มามีมากกว่านี้อีกครับ

    ขอบคุณครับ


    (คัดลอกมาจากเว็ปพระธรรม ข้อความทั้งหมดมาจากคุณต้อง abmin ครับ)

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เวรกรรม ของ พระศรีอริยะเมตไตรย กับ พระมหากัสสปะ

    ในครั้งนั้น พระศรีอริยะเมตไตรย เคยเกิดเป็นนายควาญช้าง พระมหากัสสปะ เกิดเป็นพญาช้าง พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เกิดเป็นพระเจ้าคชัปปิยะ ( สัตตุตาปนะ )

    วันหนึ่ง พระเจ้าคชัปปิยะ ได้ประทับบนหลังพญาช้างนั้นเสด็จเที่ยวชมงานมหรสพ โดยมีนายควาญช้างนั้นเป็นสารถี ทหารได้มากราบทูลว่า มีโขลงช้างป่าเข้ามาทำลายเหยียบย่ำพระราชอุทยานจนพินาศย่อยยับ

    พระเจ้าคชัปปิยะ จึงยกขบวนเสด็จไปดูเหตุการณ์ เมื่อไปถึง กลิ่นของนางช้างป่าได้ทำให้ พญาช้างพระที่นั่ง เกิดอาการ " ตกมัน" ด้วยอำนาจแห่งราคะจึงได้สลัดนายควาญช้างตกลงจากคอ พระเจ้าคชัปปิยะทรงใช้ขอช้างสับลงไปที่หัวช้างนั้น แต่ก็ไม่อาจบังคับมันได้ ช้างนั้นได้วิ่งเข้าไปในป่า พระเจ้าคชัปปิยะเกรงว่าจะตกไปอยู่ในโขลงช้างป่า จึงได้เกาะกิ่งมะเดื่อแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนต้นมะเดื่อ

    ปล่อยให้พญาช้างนั้นวิ่งไปลำพังตัวเดียว พระเจ้าคชัปปิยะได้พิจารณาเห็นโทษของพญาช้าง ได้รับสั่งให้นายควาญช้าง มาเข้าเฝ้าโทษฐานฝึกช้างนั้นไว้ไม่ดี แต่นายควาญช้างทูลว่า ฝึกไว้ดีแล้ว แต่อำนาจราคะมีอำนาจมากกว่าจึงไม่อาจบังคับช้างได้ และได้ทูลว่า ภายใน 7 วัน

    พอช้างนั้นได้เสพสมกับนางช้างป่าแล้ว จะกลับมายังโรงช้างดังเดิม พระเจ้าคชัปปิยะ จึงคาดโทษไว้ว่า หากช้างนั้นไม่กลับมาภายใน 7 วัน จะสั่งประหารชีวิตนายควาญช้าง พอครบวันที่ 7 พญาช้างนั้นก็กลับมาดังเดิมและด้วยความโกรธ นายควาญช้างจึงได้ลงโทษ พญาช้างนั้น

    ด้วยการให้นายช่างเหล็ก เอาเหล็กเผาไฟร้อนจนแดง แล้วบังคับให้พญาช้างนั้นใช้งวงจับไว้โดยไม่ยอมให้ปล่อย เพื่อเป็นการลงโทษ ที่ทำให้นายควาญช้างเกือบต้องโดนประหารชีวิต พญาช้างได้รับความเจ็บปวดจากความร้อนอย่างแสนสาหัส ทนความร้อนไม่ไหว จนขาดใจตายในที่สุดพญาช้างนั้นได้มาเป็น " พระมหากัสสปะ" ในชาติสุดท้าย

    นายควาญช้างนั้น ได้มาเป็น " พระศรีอริยะเมตไตรย ในชาติสุดท้ายเหตุที่ นายควาญช้างเคยบังคับให้พญาช้าง ถือเหล็กร้อนไว้ด้วยงวง ฉันใด ผลพระศรีอริยะเมตไตรยก็ต้องถือสรีระของพระมหากัสสปะเพื่อเผาบนพระหัตถ์ขวาของพระองค์ ฉันนั้น เรียกว่า " ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว " ด้วยอำนาจของ "กรรม" และด้วยแรงกรรมนี้นี่เอง ภายหลังจากที่พระมหากัสสปะได้กระทำปฐมสังคยานาเสร็จสิ้นแล้ว ท่านได้รับนิมนต์จาก พระเจ้ากรุงจีน

    เมื่อพระมหากัสสปะท่านจะละสังขารเข้าพระนิพพาน ท่านได้ไปที่ภูเขาลูกหนึ่ง และได้อธิษฐานให้เขานั้นแยกออกมาเป็น 3 ลูก แล้วท่านก็ดับขันธปรินิพพานอยู่ในระหว่างเขา 3 ลูก นั้น เขาได้ปิดบรรจบกันเป็น 1 ลูกดังเดิมเพื่อรักษาร่างของพระเถระ จนกว่าพระศรีอริยะเมตไตรยจะเสด็จมาตรัสรู้ แล้วพระองค์ก็จะเสด็จมายังภูเขาแห่งนี้ เพื่อเผาสรีระของพระเถระบนฝ่าพระหัตถ์ข้างขวาของพระองค์ เพื่อชดใช้วิบากกรรมที่ได้เคยกระทำแก่พญาช้างเขานี้มีชื่อว่า เขาตีนไก่ เพราะมีสัฏฐานเป็นรูป 3 แฉกเหมือน "รอยตีนไก่"

    ชีวิตในบั้นปลายของพระมหากัสสปะเถระ

    http://84000.org/one/1/18.html

    ในคัมภีร์พระสาวกนิพพานกล่าว่า พระมหากัสสปะเถระ เมื่อทำหน้าที่เป็นประธานในการทำปฐมสังคายนาแล้ว ได้พักอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ดำรงอยู่ถึง ๑๒๐ ปี ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ๑ วัน ท่านได้ตรวจดูอายุสังขารของท่านแล้วทราบว่าจะอยู่ได้อีกเพียงวันเดียวเท่านั้น ท่านจึงประชุมบรรดาภิกษุผู้เป็นศิษย์ของท่านแล้วให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย สั่งสอน ภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนมิให้เสียใจกับการจากไปของท่าน ให้พยายามทำความเพียรและอย่าประมาท แล้วพระเถระก็เข้าไปถวายพระพรลาพระเจ้าอชาตศัตรู จากนั้นท่านได้พาหมู่ภิกษุไปยัง ภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต แสดงอิทธิปาฏิหาริยิ์ และให้โอวาทแก่พุทธบริษัทแล้ว อธิษฐานจิตขอให้ภูเขาทั้ง ๓ ลูกมารวมเป็นลูกเดียวกัน ซึ่งในภูขาทั้ง ๓ ลูกนั้นมีภูเขาเวภารบรรพตสถานที่ทำปฐมสังคายนารวมอยู่ด้วย แล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นั้น

    ท่านยังอธิษฐาน ขอให้สรีระของท่านยังคงสภาพเดิมไม่สูญสลาย จนกระทั่งพระศาสนาพระศรีอริยะเมตไตรย ซึ่งพระองค์จะพาหมู่ภิกษุสงฆ์มายังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพตแล้ว ยกสรีระของพระเถระวางบนพระหัตถ์ขวาชูขึ้นประกาศสรรเสริญคุณของพระเถระแล้ว เตโชธาตุก็จะเกิดขึ้นเผาสรีระของท่านบนฝ่าพระหัตถ์ของพระศรีอริยะเมตไตรยพุทธเจ้านั้น

    คัดลอกมาจาก http://larndham.net/index.php?showtopic=17466&st=6
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2006
  13. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    เรื่องพระศรีอาริยเมตไตรยนั้น หลวงพ่อท่านยืนยันไว้ในหนังสือ "ประวัติการสร้างพระศรีอาริยเมตไตรยโดย พระราชพรหมยาน" เลยว่า พระศรีอาริยเมตไตรยยังไม่จุติ หนังสือเล่มนี้มีแจกครับ ปัจจุบันก็ยังวางอยู่ในมณฑปพระศรีอาริเมตไตรยที่วัดท่าซุง รายละเอียดที่คัดมาดังนี้ครับ

    ประวัติการสร้าง พระศรีอาริยเมตไตรย
    พระพุทธบัญชา
    "...ทีนี้ จะมาพูดถึงด้านอานิสงส์ต่างๆที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทำ เฉพาะอย่างยิ่งกรรมบถ 10 กับศีล 5 พระศรีอาริย์ ท่านเคยสั่งไว้ว่าเมื่อ วันที่ 16 มีนาคม 2535 วันนั้น ตอนกลางคืนมันจะตาย..ล้างท้อง ! ตามธรรมดา "ล้างท้อง" ไม่มีอาการอย่างอื่นมาแทรก มันก็สบายนอนหลับ แต่วันนั้นแปลก.. พระออกไปหมด คนออกไปหมด เหลือคนเดียว..!

    เวลาประมาณทุ่มครึ่ง..มีอาการเสียด..ปวดท้องอย่างมาก อากาศก็ร้อนจัดมันก็บังคับให้ไปถ่าย...ไปเข้าส้วม เข้าก็ออกนิดหน่อย กลับมาอีกมันก็ปวดท้องอีก..ปวดมวนอีก ! เดินอย่างนี้เกือบ 10 เที่ยว เดินก็เดินจะไม่ไหว

    พอถึงเวลาสองทุ่มเศษ ก็มีความคิดในใจว่า ขึ้นชื่อว่าขันธ์ 5 มันมีความทุกข์อย่างนี้ เราอย่าสนใจอะไรกับขันธ์ 5 ในเมื่อขันธ์ 5 มันจะป่วย ก็เชิญมันป่วย ขันธ์ 5 มันจะตาย..ก็เชิญมันตาย การป่วยการตายนี่...ใครช่วยไม่ได้ ใครจะแบ่งเบาภาระไม่ได้ จึงตัดสินใจเอนกายลงนอน....นอนแล้วใจนึกถึงพระ....ภาวนาตามปกติ...จิตจับ "นิพพาน" เป็นอารมณ์

    หลังจากนั้นเมื่อไหว้พระเสร็จ ก็ออกจากร่างกาย..ขอบคุณเทวดาที่ท่านอารักขา มีเทวดา..มีนางฟ้า..มากท่านมายืนอารักขาใกล้ๆ ขอบคุณท่านแล้วก็ไปที่ เทวสภา ที่นั่นมีเทวดาทีพรหมประชุมกันเต็มหมด เมื่อไปคุยกับท่านขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การช่วยเหลือในงานต่างๆ แล้วหลังจากนั้นก็ไปนิพพาน ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วคือ "องค์ปัจจุบัน"

    เมื่อไหว้ท่านแล้ว ท่านแนะนำรีบไปหา "องค์ปฐม" ประเดี๋ยวท่านจะมาที่วิมานของเธอ ไปวิมานของท่านก่อน ก็ไปวิมานของท่านก่อน เมื่อไปถึงแล้วไหว้ท่านเสร็จ ท่านบอกไปวิมานของเธอ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์มาพร้อมที่นั่น แล้วก็กลับมาที่วิมาน

    พอถึงวิมานเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด ไม่รู้ว่ากี่แสนองค์ ท่านใหญ่สูงสวยงามมาก พระพุทธเจ้าสวยงามเหมือนๆกัน ความจริงตอนเย็นตอนก่อนที่จะป่วยก็มีความรู้สึกว่า เมื่อวานนี้ (15 มีนาคม 2535) เราหล่อ สมเด็จองค์ปฐม แล้ว ภารกิจใหญ่ของเราใกล้จะหมด วิหารก็ใกล้จะเสร็จเหลือแต่เครื่องประดับ และต่อไปก็ทางเดิน 100 ไร่ก็ใกล้จะเสร็จ เข้าใจว่าอย่างช้าอีก 4 ปีก็เสร็จ เราก็หมดภาระในการงาน เมื่อหมดภาระในการงาน เรื่องกังวลต่างๆก็ไม่มี

    ความจริงถึงแม้จะมีงานก็ไม่มีกังวล ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหาเงินได้ก็ทำงานสร้างต่อไป หาเงินไม่ได้ก็เลิก มันจะไปค้างแค่ไหนก็ช่างมัน ก็ถือว่าไม่ใช่ภาระที่เราต้องเข้าไปผูกพัน ความรู้สึกตอนนี้มีอยู่ใกล้ๆ จะภาวนา พอเข้าไปถึงวิมานแล้ว สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสว่า "เธอคิดหรือว่างานที่เธอทำมันใกล้จะเสร็จ" ก็บอกว่า "มันน้อยแล้วครับ ช่างก็น้อยลง และงานก็เหลือน้อย" ท่านบอก "ยังไม่เสร็จ !ฉันมีความต้องการให้หล่อ พระศรีอาริย์ " ถามว่า "หล่อทำไม ? " ท่านก็เลยบอกว่า

    "ต้องหล่อ...เพราะเงินที่เขาทำบุญหล่อฉันมันเหลือ เวลานี้ยังมีญาติโยมส่งเงินมาอีก...หล่อองค์ปฐม" ท่านจึงสั่งให้สร้าง มณฑปพระศรีอาริย์ ขึ้นในสถานที่ใกล้ๆ มณฑปของท่าน ทำแบบเดียวกับ มณฑปหลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า

    "ที่ตรงนั้น....ฉันดลใจเธอไม่ให้ปลูกต้นไม้ ฉันต้องการให้สร้าง มณฑปพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะคนจำนวนมากที่มีบารมียังไม่เข้มข้น และคนจำนวนแสนที่ติดตามพระศรีอาริย์ ต้องการเป็นสาวกของท่าน ก็มาเกิดสมัยนี้เป็นแสน ทั้งพระศรีอาริย์ก็ฝากเธอไว้ว่า ให้ช่วยแนะนำให้เข้าใจตามเกณฑ์ ที่เขาเหล่านั้นจะเกิดทันท่าน" เลยถามว่าจะหล่อพระศรีอาริย์เป็นอย่างไร ?

    ท่านก็เรียกพระศรีอาริย์มา..พระศรีอาริย์ก็มา ในเมื่อพระศรีอาริย์มาแล้ว ก็ถามท่านว่าจะให้หล่อแบบไหน ? แต่ความจริงพระศรีอาริย์สีสดสวยมาก เครื่องประดับแพรวพราวและสว่างเป็นพิเศษ...สวยจัด ! สีหลายสี..เครื่องประดับ แต่ว่าเวลาจะหล่อจริงๆ ท่านยืนให้ดู

    รูปลักษณะที่จะหล่อ
    ท่านบอก..หล่อเป็นรูปยืนครับ และเครื่องประดับทั้งหมดไม่ต้องการให้มีสี ต้องการเป็นแก้วใสอย่างเดียว ส่วนที่เป็นเนื้อให้เป็นเนื้อ...เนื้อของท่านก็เป็นเนื้อสีขาว จึงถามว่า

    "ถ้าจะเอาแก้วปิด ก็จะเหมือนเครื่องประดับที่เสื้อที่กางเกงจะทำอย่างไร ? ท่านบอก "ปิดทองก็ได้ ปิดแผ่นเงินก็ได้"

    ถ้าปิดแผ่นเงินจะคล้ายคลึงเนื้อของท่าน ส่วนที่เป็นเครื่องแต่งกาย ให้ใช้กระจกเงาใส ท่านแสดงให้ดูท่ายืน มือขวาถือ "จักร" แต่ห้อยเฉยๆ มือซ้ายถือ "พระขรรค์" ก็ถามว่า "มีจักรมีพระขรรค์ทำไม ?" ท่านบอก "ผมห้อยเฉยๆ ไม่ใช่ท่าของนักรบ"

    "จักร" ก็หมายถึง "ธรรมจักร" ก็หมายความว่า หากคนใด ที่มีกิเลสหนามาก มีทิฏฐิมานะหนามาก ต้องใช้จักรปราบปราม คือ "ธรรมจักร" คนใดที่มีกิเลสน้อยก็ให้ใช้ "พระขรรค์" เคาะหรือให้ถู หรือขูดก็หาย อย่างเทศน์พระสูตรก็ดี หรือชาดกก็ดี เลยถามว่า "จะให้หล่อเป็นพระหรือเป็นเทวดา ?"

    ท่านบอกว่า "เวลานี้ผมเป็นเทวดา..ให้หล่อเป็นรูปเทวดา อย่าเพิ่งหล่อรูปเป็นพระ" (เป็นอันยืนยันได้ว่า ขณะนี้ท่านยังเป็นเทวดา ยังมิได้จุติลงมาอย่างที่บางคนเข้าใจ ขอให้ระวังอุปาทาน) ก็ถามท่านว่า "ถ้าคนต้องการไปเกิดในสมัยของท่าน จะต้องทำบุญอะไรไว้ ? ท่านบอกว่า "คนของผม..ผมฝากท่านไว้แล้วนะ ให้แนะนำด้วย มีหลายแสนคน..คนที่จะเกิดในสมัยของผม"


    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พิเคราะห์พระศรีอาริย์ แอบจุติอย่างไร? โดยคุณทลิททกะ เมษโปดก

    ( บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาน )


    <TABLE style="WIDTH: 528px; HEIGHT: 44px" cellSpacing=0 cellPadding=1 width=528 border=1><TBODY><TR><TD>
    ในเมื่อ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ยังปรากฏเป็นเทพบุตรที่ดุสิตเทวโลกอยู่ แล้วจะเป็นได้อย่างไร ที่จะมีพระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเกิดในมนุสสโลก?
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นับเป็นเรื่องที่รู้โดยทั่วกัน ในวงผู้ศึกษาปริยัติ และผู้ที่ปฏิบัติธรรมว่า ในบัดนี้ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ยังปรากฏรูปเป็นเทพบุตรอยู่ที่ดุสิตเทวโลก.
    มีถ้อยคำสนับสนุนจากพระอาจารย์หลายท่าน มีท่านผู้กล่าวว่า ตนปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และสำเร็จในมโนมยิทธิ สามารถท่องเที่ยวไปยังสวรรค์ชั้นต่างๆได้ตามปรารถนา กล่าวว่า ในเมื่อไม่นานมานี้เอง ท่านเหล่านั้น ยังได้พบพระศรีอารยเมตไตรยโพธิสัตว์ที่ดุสิตเทวโลกอยู่ และยังได้สนทนาธรรมกันอยู่ ข้อที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะลงมาเกิดยังโลกมนุษย์นั้น เป็นไปไม่ได้แน่แท้..
    แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ยังมีมนุษย์จำนวนมาก ประกาศธรรมว่า ตนคือพระศรีอารย์ ตนคือพระเมตไตรยโพธิสัตว์ มีทั้งมนุษย์ชายหญิง ฆราวาสและบรรพชิต.
    ถ้อยคำของบุคคลสองฝ่ายนั้น ปรากฏขัดแย้งกัน ลงกันไม่ได้ ต่างคนต่างเชื่อมั่นในความเห็น คือสิ่งที่ตนตรึกตรองได้ หรือว่าประสบมานั้น ว่าเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่เป็นอื่นไปได้.


    <TABLE style="WIDTH: 261px; HEIGHT: 44px" cellSpacing=0 cellPadding=1 width=261 border=1><TBODY><TR><TD>ฐานะของท่านผู้เห็นว่า เป็นไปไม่ได้</TD></TR></TBODY></TABLE>

    บุคคลบางคนในโลกนี้ อาศัยการอ่านหนังสือ การได้ยินได้ฟังธรรมจากบุคคลที่ตนศรัทธาแล้วตรึกตรองตาม ซึ่งผู้ที่เขาเชื่อว่ารู้กล่าวว่า "ในบัดนี้ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ยังอยู่ที่ดุสิตเทวโลก" เขาศรัทธาว่า ท่านผู้กล่าวนั้น เป็นผู้ทรงคุณธรรม ประกอบด้วยญาณคือหูทิพย์ตาทิพย์ มโนมยิทธิและอิทธิฤทธิ์ และท่านผู้นั้น ได้ใช้ญาณของตน คือหูทิพย์ตาทิพย์บ้าง มโนมยิทธิบ้าง อิทธิฤทธิ์บ้าง ตรวจสอบดูข้อนี้แล้ว ก็เห็นว่า ในบัดนี้ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ยังเป็นเทพบุตรที่ดุสิตเทวโลกอยู่ ไม่ได้มาเกิดในโลกมนุษย์แต่อย่างใด. อาศัยสุตตะนั้นอันเขาเชื่อตามแล้ว เขาย่อมมีความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ ที่ในบัดนี้ พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะลงมาเกิดในโลกมนุษย์แล้ว ก็เพราะว่า ท่านผู้วิเศษชื่อนั้นๆ ท่านกล่าวไว้ คำของท่านเหล่านั้น เที่ยงแท้ ไม่เป็นอื่น ไม่มีผิดพลาดแน่ . นี่เป็นฐานะที่๑

    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยทิพพจักขุและ ทิพพโสตธาตุอันไม่ผิดพลาด. เขาใช้ทิพพจักขุและทิพพโสตธาตุตรวจดูพระเมตไตรยโพธิสัตว์ที่ดุสิตเทวโลก และเมื่อเขาตรวจสอบอยู่ เขาย่อมได้เห็นรูป ได้ยินเสียงแห่งเทพบุตร ซึ่งใจเขาประกาศให้ปรากฏว่า นั่นคือพระเมตไตรยโพธิสัตว์. อาศัยความเห็นอันนี้ เขาย่อมมีทิฏฐิว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ยังอยู่ที่ดุสิตเทวโลกแท้ ข้อที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาเกิดยังโลกมนุษย์แล้วนั้น เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ก็เพราะว่า เขาใช้ตาทิพย์ หูทิพย์ ตรวจสอบดูแล้ว และได้พบพระเมตไตรยโพธิสัตว์เทพบุตร ที่ดุสิตเทวโลกอยู่ในบัดนี้. นี่เป็นฐานะที่๒

    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยมโนมยิทธิอันไม่ผิดพลาด. เขาประกอบมโนมยิทธิ ถอดรูปที่สำเร็จจากใจ ดุจบุรุษถอดไส้จากหญ้าปล้อง หรือถอดดาบออกจากฝัก ว่า นี่ฝัก ว่านี่ดาบ หรือว่า นี่ปล้องหญ้า นี่ไส้หญ้าปล้อง เขาย่อมถอดกายอันสำเร็จจากใจออกมาจากกายมนุษย์นี้ และเห็นว่า นั่นกายมนุษย์ นี่กายทิพย์อันประกอบด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ไม่บกพร่อง. เขาใช้กายทิพย์นั้น ท่องเที่ยวไปยังดุสิตเทวโลกเพื่อจะได้เห็นพระเมตไตรยโพธิสัตว์ ในที่แห่งนั้น เขาได้เห็นรูปเทพบุตรองค์นั้น เขาได้นั่งใกล้ ได้ไต่ถาม ได้สนทนาธรรมกับรูปเทพบุตรนั้น. อาศัยความรู้จากมโนมยิทธินั้น เขาย่อมกล่าวว่า ในบัดนี้ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ยังอยู่ที่ดุสิตเทวโลก เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะมาเกิดในโลกมนุษย์ในบัดนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ก็เพราะว่า เขาใช้มโนมยิทธิอันไม่ผิดพลาด ถอดกายอันสำเร็จจากใจ แล้วท่องเที่ยวไปยังดุสิตเทวโลก ได้พบพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในที่แห่งนั้น ในไม่นานมานี้เอง. นี่เป็นฐานะที่ ๓

    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็น ผู้ประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์ สามารถท่องเที่ยวไปตลอดเทวโลกและพรหมโลกได้ด้วยกาย. ท่านเหล่านั้น ขึ้นสู่ดุสิตเทวโลก ตัดความผิดพลาดแห่งมโนมยิทธิ ที่เสี่ยงต่อนิมิตที่เกิดจากจิตปรุงขึ้น. เมื่อย่างเข้าสู่ดุสิตเทวโลก เขาก็ได้พบเห็นรูปเทพบุตรเมตไตรยโพธิสัตว์ เขาได้นั่งใกล้ ได้สนทนากับรูปนั้น แม้รูปนั้นก็ได้ทักทายไต่ถาม โต้ตอบปัญหาที่เขาถามนั้นทุกประการ. อาศัยความเห็นนั้น เขาย่อมเห็นว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์ยังอยู่ที่ดุสิตเทวโลกโดยแท้ แล้วจะมามีในโลกมนุษย์ได้อย่างไร นั่นเป็นฐานะที่จะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะมีพระเมตไตรยโพธิสัตว์สององค์ ในเวลาเดียวกัน. นี่เป็นฐานะที่ ๔

    <TABLE style="WIDTH: 248px; HEIGHT: 44px" cellSpacing=0 cellPadding=1 width=248 border=1><TBODY><TR><TD>
    ฐานะของท่านผู้เห็นว่า เป็นไปได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อาศัยการตรึกการตรองไปโดยลำดับ บุคคลส่วนหนึ่ง ย่อมสำคัญว่า เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาถือกำเนิดในมนุสสโลกในยุคนี้ ทั้งๆที่ก็ยังปรากฏพระเมตไตรยโพธิสัตว์ที่ดุสิตเทวโลกอยู่. โดย

    บุคคลบางคนในโลกนี้ มีทิฏฐิว่า การอวตารหรือการแบ่งภาคมาเกิด เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ในท่านที่มีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่. เขาเหล่านี้ ไม่ได้เป็นผู้มีฤทธิ์เอง ไม่รู้วิสัยแห่งฤทธิ์ แต่อาศัยการตรึกตรองและศรัทธาว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์ เป็นผู้เที่ยงที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ท่านย่อมมีฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ สามารถประกอบฤทธิ์ในวิสัยที่คนมีฤทธิ์ทั่วไปยากจะทำได้ คือ การอวตาร การแบ่งจิตออกเป็นหลายดวงเพื่อไปทำกิจในหลายๆที่. เขาเหล่านี้มีความเห็นว่า ท่านที่มีหูทิพย์ตาทิพย์ มโนมยิทธิ หรืออิทธิฤทธิ์ท่านอื่นๆ ไม่รู้วิสัยนี้ของพระมหาโพธิสัตว์ เพราะนี่เป็นฤทธิ์ชั้นพิเศษ. อาศัยการตรึกตรองอย่างนี้ อาศัยความถือตามทิฏฐิเรื่องการแบ่งภาคอย่างนี้ เขาย่อมเห็นว่า เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ลงมาเกิดในโลกมนุษย์แล้วในยุคนี้ ทั้งๆที่ก็ยังปรากฏพระเมตไตรยโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่ง ที่ดุสิตเทวโลกอยู่นั่นล่ะ และที่สำคัญ บางครั้ง พระเมตไตรยในโลกมนุษย์นี้ มีมากกว่าหนึ่งองค์ มาจากจิตอันเป็นต้นธาตุดวงเดียวกัน (คล้ายภาพยนตร์เรื่อง The Little Buddha). นี่เป็นฐานะที่ ๑

    บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีทิฏฐิว่า การอวตารเป็นฐานะที่จะมีได้ โดยที่แท้แล้ว จิตดวงเดียวนั้น แบ่งแยกไม่ได้ ย่อมจุติหรืออุบัติไปโดยลำดับ. ก็แต่ว่า เขาตรึกตรองไปโดยลำดับในวิสัยแห่งฤทธิ์ ว่า

    เป็นไปได้ไหมหนอ ที่บุคคลผู้มีฤทธิ์มากจะอธิษฐานฤทธิ์ เนรมิตรูปเหมือนของตนขึ้นมา ให้มีความปรากฏแห่งรูปนั้นเหมือนกันทุกประการ จากรูปเดียว ปรากฏเป็น๒รูปบ้าง ๔รูปบ้าง ๑๐รูปบ้าง ร้อยรูปบ้าง พันรูปบ้าง หรือตามจำนวนที่ใจมุ่งหมาย มีลักษณะอาการคล้ายต้นแบบทุกประการ? เมื่อตรึกตรองปัญหาในวิสัยนี้ เขาย่อมเกิดความเห็นว่า เคยอ่านพบหรือได้ยินได้ฟังมาว่า ท่านผู้มีฤทธิ์ สามารถกระทำสิ่งเหล่านี้ได้จริง. จึงเห็นว่า นี่เป็นฐานะที่จะมีได้. จากนั้น เขาก็ซักไซ้ในปัญหาต่อไปว่า

    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่บุคคลผู้มีฤทธิ์มากนั้นล่ะ อธิษฐานแสดงรูปเหมือนตนเป็นร้อยเป็นพันแล้ว ให้รูปแต่ละรูปนั้น ปรากฏในอิริยาบถต่างๆกัน มีปัดกวาดบ้าง นั่งสาธยายมนต์บ้าง แสดงธรรมบ้าง ฟังธรรมบ้าง ล้างบาตรบ้าง นุ่งห่มผ้าบ้าง อาบน้ำบ้าง เลี้ยงช้างบ้าง เลี้ยงม้าบ้าง..ฯลฯ แต่ทั้งหมดนั้น มีรูปลักษณะผิวพรรณและอาภรณ์เหมือนกันทุกประการ ต่างกันก็เพียงอิริยาบถแห่งรูปเท่านั้น.. เขาก็อาศัยสุตตะเข้าเทียบเคียงว่า ได้ยินว่า พระจุลปันถก ผู้เลิศทางเจโตวิวัฏฏ์ สามารถเพื่อจะกระทำอย่างนั้น คือ เนรมิตรูปของท่านขึ้นพันรูป แล้วแต่ละรูปปรากฏในอิริยาบถต่างๆกัน กำลังทำการงานต่างๆกันในเชตวันมหาวิหาร... ด้วยเหตุอย่างนี้ แสดงว่า เป็นฐานะที่จะเป็นได้ในปัญหาข้อนี้. แล้วเขาก็ซักไซ้ในปัญหาต่อไปว่า.

    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่บุคคลผู้มีฤทธิ์มาก จะสามารถอธิษฐานฤทธิ์ เนรมิตรูปขึ้นมาร้อยรูปหรือพันรูป โดยแต่ละรูป มีรูปร่างลักษณะไม่เหมือนกันเลย คือ เป็นหญิงบ้าง เป็นชายบ้าง เป็นช้างบ้าง ม้าบ้าง วัวบ้าง ควายบ้าง นกบ้าง รถบ้าง สมณะบ้าง ฤาษีบ้าง เด็กบ้าง คนชราบ้าง คนหนุ่มสาวบ้าง ... และรูปทั้งหมดนั้น ปรากฏเป็นหมู่ๆ ทำกิจกรรมอยู่ต่างๆกัน มีแสดงธรรมบ้าง ปั้นหม้อบ้าง ขี่ม้าบ้าง ฟังธรรมบ้าง สนทนาธรรมบ้าง ฝึกแถวทหารบ้าง..ฯลฯ.. เขาอาศัยสุตตะที่ได้อ่าน ได้ยินได้ฟังมา ได้ยินว่า มีฤทธิ์ประเภทหนึ่ง ชื่อว่าฤทธิ์ที่แผลงไป ย่อมให้ผลสำเร็จดังอาการอย่างนี้ได้.. เขาจึงเห็นว่า นี้เป็นฐานะที่จะมีได้.. ต่อแต่นั้น เขาจึงซักไซ้ในปัญหาต่อไป.

    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่บุคคลผู้มีฤทธิ์มาก จะสามารถอธิษฐานฤทธิ์ในบัดนี้ ด้วยประสงค์ให้ฤทธิ์แสดงผลในวันรุ่งขึ้น หรือ๗วันถัดไป หรือ๖เดือนถัดไป หรือหนึ่งปีถัดไป หรือ ๑๐ปีถัดไป หรือชาติถัดๆไป ....แล้วเมื่อถึงกำหนดเวลา ถึงกำหนดแห่งเงื่อนไขของอธิษฐาน ฤทธิ์นั้นก็สามารถปรากฏความสำเร็จตามนั้นได้.. เขาอาศัยสุตตะ จากเรื่องการแสดงปาฏิหาริย์ของพระบรมสารีริกธาตุ และการแสดงปาฏิหาริย์ของไม้พระศรีมหาโพธิ์ ที่พระเจ้าอโศกจะจัดส่งไปยังเกาะลังกา ว่า พระบรมสารีริกธาตุและไม้มหาโพธิ์นั้น แสดงปาฏิหาริย์ต่อหน้ามหาชนได้ เพราะอาศัยอธิษฐานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ครั้งพุทธกาล.. เขาอาศัยการตรึกตรองเทียบเคียงนี้ เขาจึงเห็นว่า เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ในปัญหาข้อนี้. จากนั้น จึงซักไซ้ในปัญหาต่อไป.

    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่บุคคลผู้มีฤทธิ์มาก จะสามารถอธิษฐานฤทธิ์ เนรมิตรูปเหมือนของตนขึ้น ให้รูปนั้นสามารถกระทำกิจทุกประการได้เสมือนรูปที่เกิดจากการปฏิสนธิ.. เปรียบเหมือนหุ่นยนต์ ที่ป้อนโปรแกรมการโต้ตอบอัตโนมัติไว้แล้ว สามารถกระทำการโต้ตอบกับบุคคลผู้เกี่ยวข้องได้อัตโนมัติ ประหนึ่งว่า หุ่นยนต์นั้น สามารถนึกคิดเองได้.. เขาเทียบเคียงกับสุตตะ อันได้ยินมาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อขึ้นไปเทศน์โปรดพระพุทธมารดาที่ดาวดึงส์ ในยามที่พระองค์จะไปบิณฑบาตร หรือว่า ไปทำกิจธุระอย่างอื่น พระองค์ก็ตั้งพุทธนิมิตไว้แทน ให้พุทธนิมิตนั้นแสดงธรรมสืบเนื่องกันไป ส่วนรูปปฏิสนธินั้น ก็ไปบิณฑบาต ฉันภัตต์ ขับถ่าย .. ตามปกติ เมื่อเสร็จสิ้นกิจแล้ว พระองค์จึงกลับขึ้นไปแทนที่พุทธนิมิตนั้น. หรือในคราวที่พระองค์เนรมิตพุทธนิมิตขึ้นแล้วพระองค์แสดงเป็นผู้ถาม พุทธนิมิตเป็นผู้ตอบ หรือพุทธนิมิตถาม พระองค์ตอบ ก็เคยได้ยินมา.. แม้เมื่อเทียบเคียงกับหุ่นยนต์ที่สำเร็จจากวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ก็มีเค้าว่า ความสำเร็จประเภทนี้ เป็นฐานะที่จะมีได้... แล้วจึงซักไซ้ในปัญหาต่อไป.

    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ จะเป็นผู้มีฤทธิ์มากขนาดนั้น สามารถกระทำฤทธิ์ต่างๆในวิสัยนั้นๆได้. เมื่อเขาพิจารณาปัญหานี้อยู่ เขาก็เห็นว่า ปัญหานี้ มีเพียงพระเมตไตรยโพธิสัตว์เท่านั้นที่รู้ ส่วนลำพังตัวเขานั้น หากจะตอบ ก็ตอบได้เพียงตามศรัทธา และเมื่อตอบไปโดยความศรัทธา เขาก็เห็นว่า เป็นฐานะที่จะมีได้ ที่พระมหาโพธิสัตว์บารมีอันดับหนึ่ง จะมีฤทธิ์มากขนาดนั้น หรือยิ่งกว่าที่กล่าวไว้นั้น. จากนั้นจึงซักไซ้ปัญหาต่อไป..

    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ หากปรารถนาจะจุติจากดุสิตเทวโลก เพื่อมาปฏิสนธิในโลกมนุษย์ เพื่อกระทำกิจบางประการแล้ว พระองค์จะแสดงรูปนิมิตของพระองค์ไว้ที่ดุสิตเทวโลก ให้กระทำกิจดุจพระองค์ยังอยู่ในที่นั้น คล้ายอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงพุทธนิมิตไว้ที่บัณฑุกัมพลสิลาสน์ แล้วเสด็จลงมาสอนพระอภิธรรมแก่พระสารีบุตรบ้าง กระทำภัตตกิจบ้าง ในขณะที่พุทธนิมิตก็ยังคงกระทำพุทธกิจอยู่ที่ดาวดึงส์เทวโลก.. เขาอาศัยการตรึกตรองและศรัทธา จึงเกิดความเห็นว่า เป็นไปได้.. แล้วซักไซ้ในปัญหาต่อไป.

    เป็นไปได้ไหมหนอ? เมื่อพระเมตไตรยโพธิสัตว์แอบจุติแล้ว มาถือปฏิสนธิแล้ว เจริญเติบโตขึ้นไปโดยลำดับ ในโลกมนุษย์นี้แล้ว จิตดวงนั้นล่ะ ระลึกไม่ได้ถึงกรรมในเก่าก่อนที่ตนได้กระทำไว้ในเทวโลกหรือในภพก่อนๆ แต่รูปนิมิตที่เทวโลกนั้นก็ยังคงปรากฏและดำเนินต่อไปตามอธิษฐานเมื่อครั้งก่อนจะจุติ. ปัญหานี้ ก็อยู่พ้นวิสัยที่จะนึกคิดได้ เพราะเรื่องของฤทธิ์ เป็นสิ่งที่จะตอบให้ทั่วถึงไม่ได้ด้วยการตรึกตรอง. จึงตอบได้แต่เพียงความคาดเดาว่า เป็นไปได้. เพื่อจะได้ซักไซ้ในปัญหาต่อไป.

    เป็นไปได้ไหมหนอ? ที่จะไม่มีผู้รู้เท่าทันในเรื่องราวเหล่านี้ หากว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์แอบจุติมาจริง.. อาศัยสุตตะ ในกัสสปสังยุตต์ อันพระมหากัสสปะกล่าวไว้ว่า "ผู้ใด ประสงค์จะลวงเราด้วยอภิญญา ก็เหมือนกับการพยายามจะปกปิดช้างซึ่งมีกายใหญ่ห้าศอกหรือเจ็ดศอกด้วยใบตาล ฉะนั้น" จึงตอบได้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้รู้เท่าทัน. พระอรหันต์ผู้มีปัญญายอดเยี่ยม ทรงฉฬภิญญาหรือปฏิสัมภิทาญาณยังมีอยู่ในโลก ท่านเหล่านั้นย่อมรู้ทันในเรื่องราวเหล่านี้ได้ แม้เทพและพรหมบางท่าน ผู้มีญาณละเอียดอ่อน ก็ย่อมรู้เท่าทันในเรื่องเหล่านี้ได้. แล้วก็ถามในปัญหาต่อไป. ว่า

    หากท่านเป็นพระอรหันต์ รู้เท่าทันเรื่องราวเหล่านี้ เมื่อท่านรู้แล้ว ท่านจะเปิดเผยหรือไม่ ว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์แอบจุติมาปฏิสนธิในโลกมนุษย์? ในเรื่องนี้ พระอรหันต์ทั้งหลาย หรือผู้ศรัทธาในพระมหาโพธิสัตว์ หากทราบว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์แอบจุติ คือประสงค์จะปกปิดเรื่องราวการจุติของตนอยู่ แม้เมื่อท่านรู้ ท่านก็่ย่อมไม่เปิดเผย. เพราะหากเปิดเผย การงานที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะกระทำด้วยอาศัยการแอบจุตินั้น ก็จะกระทำไม่สำเร็จ ดุจดังถ้อยคำมโหสถ ซึ่งกล่าวถึงความลับว่า "ขึ้นชื่อว่าความลับ พึงเก็บไว้กับตัว ตราบที่ยังทำกิจนั้นไม่สำเร็จ เพราะเมื่อใดความลับนั้นถูกเปิดเผย กิจที่มุ่งหมายจะทำให้สำเร็จ ก็จะไม่สำเร็จ" พระอรหันต์ หรือผู้รู้ธรรมทั้งหลาย ย่อมเคารพในธรรมนี้อยู่ และท่านย่อมเห็นว่า เรื่องการเปิดเผย เรื่องเหล่านั้น ไม่ควรแก่ท่าน หากจะเปิดเผย ก็ควรเป็นพระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเปิดเผยเอง จึงควร.. อันนี้ก็ตอบไปตามความคาดเดา เพราะข้าพเจ้าก็ไม่ใช่พระอรหันต์ผู้รู้ทันธรรมนั้น แต่ตอบไปก่อน เพื่อที่จะได้ซักไซ้ในปัญหาต่อไป.. ว่า

    ก็หากเป็นอย่างนั้น การที่พระอรหันต์เหล่านั้น กล่าวว่า พระเมตไตรยยังอยู่ที่ดุสิตเทวโลกนั้น ไม่ชื่อว่ากล่าวเท็จหรือ? ก็ตอบได้ว่า ไม่ชื่อว่ากล่าวเท็จ. แม้ท่านจะกล่าวว่า เราขึ้นไปเมื่อวาน ก็ยังเห็นท่านอยู่ในเมื่อวานนี้ และยังคุยกันอยู่เลย ก็เป็นอันกล่าวตามเป็นจริง เพราะสิ่งเหล่านั้น ปรากฏตามนั้น. และอาการเหล่านี้ ก็ปรากฏกับทั้งท่านผู้รู้เท่าทันและรู้ไม่เท่าทัน คือ เวลากล่าวตามเป็นจริง ก็กล่าวได้แต่ในสิ่งที่ปรากฏชัดแล้ว สิ่งที่ไม่ปรากฏ หรือสิ่งที่ยังไม่ชัดนั้น ยังไม่ควรแก่การกล่าวว่าเป็นสิ่งจริงแท้. แล้วก็ซักไซ้ในปัญหาต่อไป..

    แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่ารูปที่ปรากฏที่ดุสิตเทวโลก เป็นรูปนิมิต ไม่ใช่รูปปฏิสนธิ หรือว่า เป็นรูปปฏิสนธิ ไม่ใช่รูปนิมิต? ในเมื่อว่า หากว่าในดุสิตเทวโลก มีรูปนั้นปรากฏ จะดูด้วยทิพพจักขุ มันก็ปรากฏ จะดูด้วยมโนมยิทธิ มันก็ปรากฏ หรือจะขึ้นไปพิสูจน์ด้วยอิทธิฤทธิ์ มันก็ยังปรากฏ.

    แล้วจะถามรูปนิมิตนั้นว่าอย่างไร? ว่ารูปนั้นใช่รูปปฏิสนธิ หรือว่า รูปนิมิต และหากถามด้วยปัญหาอย่างนั้นแล้ว รูปนั้นพึงตอบประการใด จึงจะรู้ได้ว่า นั่นเป็นรูปนิมิตตอบ ไม่ใช่รูปปฏิสนธิ หรือว่า นั่นเป็นรูปปฏิสนธิตอบ ไม่ใช่รูปนิมิต.. เปรียบเหมือนการแสดงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการถามตอบระหว่างรูปปฏิสนธิและพุทธนิมิตนั้น ผู้เห็นนั้น แยกแยะความแตกต่างไม่ออกเลย ว่าไหนคือรูปนิมิต ไหนคือรูปปฏิสนธิ.. หรือเปรียบเหมือนการปรากฏของสนังกุมารพรหม (ในชนวสภสูตร) ซึ่งเนรมิตรูป๓๓รูป นั่งแสดงธรรมต่อหน้าเทวดาดาวดึงส์ เทวดาเหล่านั้น แยกแยะไม่ออกว่ารูปไหนเป็นรูปจริง รูปไหนรูปเทียม แต่ เทวดาทุกตน ต่างสำคัญว่า รูปที่ปรากฏต่อหน้าตน คือ สนังกุมารพรหมจริงๆทั้งนั้น.. ต่อเมื่อ สนังกุมารพรหมรวมรูปเข้าเป็นอันเดียวกัน รวมกันอยู่ปัณฑุกัมพลสิลาสน์ของพระอินทร์นั้นล่ะ จึงรู้ร่วมกัน ถือเอาร่วมกันว่า รูปบนบัณฑุกัมพลสิลาสน์นั้น เป็นรูปจริง..


    <TABLE style="WIDTH: 296px; HEIGHT: 44px" cellSpacing=0 cellPadding=1 width=296 border=1><TBODY><TR><TD>
    สรุป สิ่งอันควรทำไว้ในใจ สำหรับผู้อ่าน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    เมื่อท่านพิจารณาทั้งส่วนที่เป็นฐานะ และเป็นอฐานะ ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาเกิดยังโลกมนุษย์ในยุคนี้แล้ว ท่านไม่พึงถือเอาแน่แท้ ว่า เป็นไปไม่ได้ ทั้งไม่พึงถือเอาอย่างแน่แท้ว่า เป็นไปได้อย่างเดียว. นั่นคือ มันมีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนั่นล่ะ. ให้เผื่อใจไว้พร้อมรองรับเหตุการณ์ทั้งสองแบบนั้น.

    มาพิจารณาผลดีผลเสียสำหรับสามทิฏฐิกัน
    ๑.) ทิฏฐิว่า เป็นไปไม่ได้อย่างเดียวเท่านั้น ที่ พระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเกิดในมนุษย์โลกยุคนี้.
    ผู้ถือมั่นทิฏฐินี้ ย่อมขวนขวายเพื่อกล่าววาจาแสดงทิฏฐินี้ ชักชวนมิตรสหายของตนเพื่อให้ถือตามทิฏฐินี้. เมื่อประสบกับผู้ที่ถือทิฏฐิว่า เป็นไปได้ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาเกิดในโลกมนุษย์ยุคนี้แล้ว ก็จะเกิดความพยายามเพื่อจะหักล้างถ้อยคำ ปรากฏวิวาทตามมา. ความลามกต่างๆ เป็นต้นว่า คำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ ปฏิฆะ ความโกรธ ความผูกโกรธ และมิจฉาทิฏฐิย่อมงอกงามไพบูลย์ขึ้นได้ ด้วยอาศัยกรรมอันเกิดจากทิฏฐิอย่างนั้น. และกรรมอันไม่งาม ก็ย่อมให้ผลอันไม่งาม.

    การประกอบกรรมของท่านผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ ย่อมประกอบไว้โดยไม่ได้มุ่งจะพบเห็นพระเมตไตรยโพธิสัตว์นั้น ย่อมไม่ประกอบไว้เพื่อจะได้นั่งใกล้พระเมตไตรยโพธิสัตว์นั้น. เพราะอาศัยกรรมนั้น ก็หากว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์แอบจุติมาเกิดในโลกมนุษย์เหมือนอย่างตำนานกล่าวไว้ บุคคลผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ ก็จะไม่ได้ความคุ้นเคย ไม่ได้โอกาสเพื่อนั่งใกล้ ไม่ได้โอกาสเพื่อจะพบเห็น.. ด้วยอาศัยอำนาจของกรรม..ซึ่งเขากระทำไว้ในเจตนาว่า เขาไม่ปรารถนาจะพบเห็นพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในยุคนี้ เพราะเชื่อว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์ย่อมไม่เกิดในโลกมนุษย์ในยุคนี้แน่..

    ความจริง ในกลุ่มบุคคลที่มีทิฏฐินี้ ก็ใช่ว่าจะปฏิเสธการลงมาเกิดของพระเมตไตรยโพธิสัตว์.. เขาก็มีความเชื่ออยู่ว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะลงมาเกิดในโลกมนุษย์อยู่ แต่ไม่ใช่ยุคนี้. ทิฏฐิของเขาก็จะอำนวยประโยชน์ไปตามนั้น คือ ในยุคที่เขาเชื่อว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์จะลงไปเกิดนั้น หากเขาไปเกิดเป็นมนุษย์ เขาก็จะเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะลงไปเกิดในยุคนั้นเป็นแน่ เพราะอาศัยการตั้งทิฏฐิไว้ ซึ่งเป็นเครื่องกำหนดแนวแห่งเจตนา คือ กรรมให้แก่เขา ทำให้วิบากนั้นปรากฏแก่เขา. และในยุคนั้นนั่นเอง เขาก็จะเที่ยวป่าวประกาศทิฏฐิของเขา และจะได้รับผลกรรมที่เขากระทำไว้กับคนรุ่นนี้ คือผู้ที่เที่ยวป่าวประกาศว่า เป็นไปได้ที่จะมีพระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเกิดในยุคนี้. หากว่าเขาตำหนิคนเหล่านั้น ผลกรรมนั้น ก็จะเป็นผลให้เขาได้รับคำตำหนิร้อยเท่าพันทวี ถ้อยคำของเขาจะไม่เป็นที่เชื่อถือจากคนทั้งหลาย แต่จะเป็นที่น่าเชื่อถือในกลุ่มคนผู้เคยร่วมทิฏฐิกันในบัดนี้..

    ศีลอันบุคคลในทิฏฐินี้อบรมไว้ ไม่ได้อบรมด้วยมุ่งจะได้พบพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในบัดนี้ ด้วยเดชแห่งศีลนั้น หากว่ามีพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในบัดนี้ เขาก็จะไม่ได้นั่งใกล้. แต่ศีลนั้นเอง จะเป็นโมฆะหามิได้ ศีลนั้นย่อมส่งเขาไปในสุคติเป็นธรรมดา.

    วาจาแสดงทิฏฐิของเขาในบัดนี้ หากว่าเป็นจริง (คือ ท้ายที่สุด พระเมตไตรยโพธิสัตว์ตามตำนานไม่ได้มีจริง) จะเป็นผลให้เขาได้รับความเชื่อถือจากมหาชนยิ่งขึ้นไป. นี่เป็นผลแห่งกรรม
    แต่หากว่า ปรากฏพระเมตไตรยโพธิสัตว์ตามตำนาน วาจานั้นย่อมปรากฏโดยความเป็นคำเท็จ และผลของการกล่าวคำเท็จ ก็คือ การไม่ได้รับความเชื่อถือจากมหาชน และความเสื่อมศรัทธาในเขาจากคนที่เคยศรัทธา. นี่เป็นผลกรรมของวาจาเท็จ

    สรุปว่า ในทิฏฐินี้ มีผลที่จะได้รับ ที่อาจเป็นไปได้อยู่สองแบบ คือ ได้กำไร๑ ซึ่งหากไม่ได้กำไร ก็จะมีผลเป็นขาดทุนล่มจม๑ ชื่อว่าเดินในทางสุดโต่ง ชอบผาดโผน ไม่ชอบทางกลางๆ.

    ๒.)ทิฏฐิว่า เป็นไปได้ว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเกิดในโลกมนุษย์ยุคนี้ แน่แท้.
    คนในกลุ่มนี้ มีทิฏฐิตรงกันข้ามกับกลุ่มแรก. เมื่อใดคนสองกลุ่มนี้ได้พบกัน การวิวาทบาดหมางย่อมเกิดขึ้น คำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ ความขัดเคือง ความโกรธ การผูกโกรธ และมิจฉาทิฏฐิก็รุกรานเขาได้เช่นเดียวกัน.

    เพราะอาศัยทิฏฐินี้ การประกอบกรรมของคนที่มีความเห็นอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้นั่งใกล้ เพื่อได้พบเห็นพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในยุคนี้.

    หากว่าพระเมตไตรยโพธิสัตว์ของเขา เป็นองค์เดียวกันกับที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกัปป์นี้ กรรมของเขาก็จะสืบเนื่องแต่นี้ไปจนถึงยุคของพระเมตไตรยโพธิสัตว์ คือ เขาจะตามศรัทธาและร่วมกรรมกับบุคคลที่เขาเชื่อว่า คือ พระเมตไตรยโพธิสัตว์ไปตลอดสายการเวียนว่ายตายเกิด. เมื่อเป็นในกรณีนี้ ถ้อยคำแสดงทิฏฐิของเขาย่อมปรากฏเป็นคำจริง และผลของการกล่าวคำจริง ย่อมได้รับความเชื่อถือจากมหาชน. นี่เป็นผลกรรมของการกล่าวคำจริง.

    แต่ หากว่าไม่มีพระเมตไตรยโพธิสัตวตามที่เขากล่าวแสดง คำของเขาย่อมปรากฏเป็นคำเท็จ และผลของวาจาเท็จก็คือ ผู้คนไม่เชื่อถือวาจาของเขา และคนที่เชื่อถืออยู่ก่อนก็เสื่อมศรัทธาไปด้วย..

    สรุปทิฏฐินี้ ก็เป็นทิฏฐิสุดโต่งอีกทางหนึ่ง มีผลที่เป็นไปได้อยู่๒อย่างคือ ไม่กำไร ก็ขาดทุนเช่นกันกับทิฏฐิแรก.

    ๓.) ทิฏฐิว่า เป็นฐานะที่จะเป็นไปได้ ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาเกิดในยุคนี้ แต่ไม่เที่ยงแท้ว่าจะต้องเป็นไปอย่างนั้น หรือ ไม่เที่ยงแท้ว่าจะต้องไม่เป็นไปตามฐานะนั้น.

    บุคคลในกลุ่มนี้ย่อมกล่าววาจาไปตามทิฏฐิของตนเช่นกัน เป็นผู้ไม่ถือเอาตามความเห็นแรก และไม่ถือตามความเห็นที่สอง ทั้งไม่ปฏิเสธความเห็นแรก และไม่ปฏิเสธความเห็นที่สอง.

    คนกลุ่มนี้จะแสดงความปรากฏโดยวิภัชวาที. โดยจำแนกว่า หากว่าจะมีพระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเกิดในโลกในยุคนี้ ตามตำนาน เขาก็ปรารถนาจะได้พบเห็น ปรารถนาจะนั่งใกล้. หรือ หากจะไม่มีพระเมตไตรยโพธิสัตว์มาเกิดในยุคนี้ เขาก็ไม่รู้สึกเดือดร้อน.

    เมื่อมีคนไต่ถามถึงเหตุที่จะเป็นไปได้ เขาก็จะจำแนกเหตุที่จะเป็นไปได้ให้ปรากฏไปเป็นลำดับ และสรุปลงด้วยหลักของความไม่แน่นอนว่า สิ่งที่เป็นฐานะที่จะมีได้นั้น ไม่ได้เป็นเครื่องแสดงว่า สิ่งนั้นจะต้องปรากฏในทุกยุคทุกสมัย หรือว่าปรากฏในเฉพาะๆตอนใดๆอย่างเที่ยงแท้. ทั้งหมดทั้งสิ้น ขึ้นอยู่ที่เหตุปัจจัย.

    คนเหล่านี้ ได้ฟังคำของคนกลุ่มแรกแล้ว ก็ย่อมไม่เป็นผู้ขัดเคืองใจ ไม่โกรธ ไม่ผูกโกรธ ไม่โต้ตอบถ้อยคำ ด้วยกำหนดรู้ทิฏฐิของคนกลุ่มแรกได้ว่า ผู้มีทิฏฐิอย่างนั้น ก็ย่อมแสดงวาทะอย่างนั้น นี่เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

    คนเหล่านี้ เมื่อได้ฟังวาทะของคนกลุ่มที่สอง เขาก็ไม่เป็นผู้มีใจฟูหรือฟุบไปตามถ้อยคำนั้น.

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width=180 border=1><TBODY><TR><TD>
    สำหรับผู้เขียน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผู้เขียนนี้ มีทิฏฐิว่า เป็นไปได้ที่พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะแอบจุติมาเกิดในโลกมนุษย์ และเป็นไปได้ที่ผู้เขียนอาจจะเป็นพระเมตไตรยโพธิสัตว์.. แต่ก็ไม่ได้ถือเอาอย่างเที่ยงแท้ว่า ผู้เขียนคือพระเมตไตรยโพธิสัตว์ และไม่ได้ถือเอาเที่ยงแท้ว่า พระเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาเกิดในโลกมนุษย์ยุคนี้..

    อาศัยทิฏฐิที่น้อมไปอย่างนั้น ทำให้ผู้เขียนเพียรพยายามเพื่อพิสูจน์ทิฏฐิของตนว่า หากว่าทิฏฐิของตนจะถูกต้อง ตนก็ต้องประกอบกรรมให้มีผลสำเร็จในสิ่งที่เห็นนั้นได้จริง ก็หากว่าตนประกอบกรรมจนถึงที่สุดแล้ว ยังไม่มีผลสำเร็จ ก็จึงจะเปลี่ยนทิฏฐิใหม่ ว่า ผู้เขียนไม่ใช่พระเมตไตรยโพธิสัตว์แน่นอนแล้ว..

    ต่อแต่นั้น หากว่าผู้เขียนยังปรารถนาจะรู้อยู่ว่า จะมีพระเมตไตรยโพธิสัตว์อยู่ในโลกมนุษย์ยุคนี้หรือไม่ ผู้เขียนก็จะพิจารณาผู้ที่ประกาศตนด้วยผลงานของเขา หากเขาทำได้สำเร็จอย่างตำนาน ก็จะยอมรับว่า เขาคือบุคคลในตำนาน. ในระหว่างนั้น ก็ประกอบความเพียรในการชำระกิเลสตนเสียอย่างเดียว มุ่งตรงสู่พระนิพพาน.

    ด้วยผลกรรมที่ผู้เขียนเห็นว่า ตนอาจจะใช่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ แล้วเขียนทิฏฐิตนวางไว้.. หากว่าผลสุดท้าย ปรากฏว่า ผู้เขียนเห็นผิด.. ข้อเขียนนั้นก็จะปรากฏเป็นเท็จ และผลกรรมของการแสดงสิ่งไม่จริง ก็จะมีผลให้ผู้ที่ศรัทธาในธรรมของผู้เขียนลดน้อยลง จนบางครั้ง ไม่มีใครเชื่อในธรรมที่ผู้เขียนกล่าวเลย.. หากเป็นอย่างนั้น ก็เป็นประโยชน์กับผู้เขียนอยู่ ด้วยผู้เขียนมุ่งว่า เมื่อพิสูจน์รู้แน่ชัดแล้ว ว่าตนไม่ใช่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ ผู้เขียนก็จะตัดความอาลัยในโลก ตัดตรงสู่พระนิพพานโดยไม่เนิ่นช้า.. ยิ่งไม่มีใครศรัทธา ก็ยิ่งเป็นพระโยชน์แก่พระนิพพาน เพราะไม่มีสิ่งที่ต้องให้เกี่ยวข้อง ไม่ต้องอาลัยว่าจะสอนใครๆ ไม่ต้องอาลัยว่าจะได้ศรัทธาจากใครๆ.. บรรลุธรรมแล้วก็สงบอยู่ นี่ดีนักหนา. ส่วนกรรมเกี่ยวพันกับผู้ที่เข้ามาศรัทธาแล้วนั้น แม้เมื่อผู้เขียนพิสูจน์แล้ว บอกเขาว่า ผู้เขียนไม่ใช่พระเมตไตรยโพธิสัตว์ เขาก็จะศรัทธาอยู่ เมื่อผู้เขียนบรรลุธรรม ผู้เขียนก็แสดงธรรมนั้น เฉพาะผู้ศรัทธาเท่านั้น และผู้นั้นก็จะได้รู้ธรรมเห็นธรรมเหมือนอย่างที่ผู้เขียนเห็น อันนี้ก็เป็นกฎแห่งกรรม เป็นสิ่งธรรมดาในเรื่องนี้...

    หรือ หากว่าเมื่อผู้เขียนพยายามพิสูจน์แล้ว ผู้เขียนสามารถกระทำให้สำเร็จได้อย่างตำนานกล่าวไว้ ข้อเขียนของผู้เขียนก็จะปรากฏเป็นการกล่าวคำจริง และผลกรรมของการแสดงความจริง ย่อมเป็นเหตุให้มหาชนเลื่อมใสศรัทธา ผู้ที่ศรัทธาก็ศรัทธายิ่งขึ้น ผู้ที่ยังไม่ศรัทธาก็เริ่มศรัทธา นี่เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

    แม้สมมติว่า ผู้เขียนสามารถทำการงานสำเร็จได้ดังคำทำนายหรือตำนาน แต่ผู้เขียนก็ยังไม่อาจถือเอาได้ว่าตนคือพระเมตไตรยโพธิสัตว์ ผู้เขียนก็ยังต้องได้ตามพิสูจน์ต่อไปอีกเรื่อยๆว่า ผู้เขียนใช่บุคคลที่จะได้ตรัสรู้ในกัปป์นี้ ในนามเมตไตรยพุทธเจ้าหรือไม่? เมื่อพิสูจน์แล้ว เป็นผลสำเร็จ ก็จึงจะยอมรับ แต่ตราบที่ยังไม่มีผลปรากฏชัด ตราบนั้น ผู้เขียนก็จะยังไม่ถือเอา.

    เมื่อพิจารณาผลดีผลเสียถ้วนถี่แล้ว เทียบเคียงใส่ทางพระนิพพานแล้ว ผู้เขียนเห็นว่า ตนเองไม่ออกนอกทางพระนิพพาน ไม่ว่าจะมีผลปรากฏเป็นอย่างไร? ด้วยเหตุที่อาศัยปัญญาอันนี้ ผู้เขียนจึงไม่รู้สึกเดือดร้อนว่า ตนจะพลาดจากประโยชน์อันตนปรารถนา คือ พระนิพพานอันนั้น. ดังนี้.

    ที่มา

    http://siri.bodhisattva.name/
    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  15. quietpro

    quietpro สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +12
    quietpro

    Lotte

    Where is your source? pls. send me the web link, otherwise it is boguss.

    Thank you
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2006
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระเจ้าจักรพรรดิ โดยพระอาจารย์เกษตร ปคุโณ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=wat width="100%">พระเจ้าจักรพรรดิ คือ มนุษย์ผู้มีบุญ เพราะได้ทำบุญมาดีแล้วแต่ชาติก่อน ด้วยการให้ทาน รักษาศีล ๕ และศีล ๘ หรือได้บำรุงบำเรอพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอะระหันต์ พระภิกษุสงฆ์ ได้บำรุงพระพุทธศาสนา ได้ประกาศเผยแพร่พระพุทธศาสนา หรือได้ทำประโยชน์แก่สาธารณะชนด้วยกำลังศรัทธาที่แรงกล้า.
    พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นพระราชาโดยธรรมะ ไม่ต้องแย่งชิงอำนาจจากใครด้วยอุบายหรือการทำสงคราม ทรงชนะแล้ว มีอาณาจักรที่มั่นคง ทรงมีพระราชอำนาจสิทธิ์ขาดในโลกแต่ผู้เดียว ทรงมีพระปัญญาอันประเสริฐ ฉลาดรอบรู้ในสรรพวิชาการ ทรงบำรุงพัฒนาบ้านเมืองจนเจริญสูงสุด พระองค์มีแก้ว ๗ ประการ มีพระราชบุตรมากกว่าพันล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีระกษัตริย์ สามารถย่ำยีกองกำลังของข้าศึกได้ไม่ยาก ด้วยอานุภาพบุญฤทธิ์ของพระองค์ และอานุภาพแห่งแก้ว ๗ ประการ ทำให้พระองค์ทรงบริหารและปกครองราษฎรโดยไม่ต้องใช้ศาสตรา ไม่ต้องใช้อาวุธหรือเครื่องมือประหัตประหารใดๆ ไม่ต้องลงโทษ ไม่ต้องลงอาชญา.
    สมัยใดโลกมีพระพุทธศาสนา พระองค์ก็ทรงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา สมัยใดโลกว่างเปล่าจากจากพระพุทธศาสนาและพระปัจเจกพุทธเจ้า สมัยนั้นได้ชื่อว่าโลกมืด โลกจะแบ่งแยกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยอย่างมากมาย มีเชื้อชาติมากมาย ภาษามากมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีมากมาย มีลัทธิศาสนาอันไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ได้มากมาย แล้วมวลมนุษย์ในโลกก็เกิดความขัดแย้งกัน ทะเลาะไม่สามัคคีกัน ด่ากัน แล้วลงท้ายด้วยการจับก้อนดินบ้าง ท่อนไม้บ้าง อาวุธอันมีคมบ้าง ประหัตประหารกัน รบกัน ทำสงครามกัน แล้วเกิดการจองเวรด้วยการลอบทำร้ายกัน ลอบสังหารกันและก่อวินาศกรรม กลายเป็นลัทธิก่อการร้ายล้างผลาญกันไป ล้างผลาญกันมาไม่จบสิ้น พระองค์ทรงเห็นโทษเห็นความลามกของความแตกแยกและความแตกต่าง พระองค์จึงทรงรวบรวมมนุษย์ทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้มนุษย์โลกมีเพียงชาติเดียว เผ่าพันธุ์เดียว ภาษาเดียว ขนบธรรมเนียมประเพณีเดียว ใช้สกุลเงินเดียว แล้วพระองค์ทรงสอนศีล ๕ แก่มวลมนุษย์ในโลก เป็นหลักคำสอนเดียวศาสนาเดียว ดังนั้นมนุษย์ในยุคนั้นจึงมีพระเจ้าจักรพรรดิเป็นพระประมุขของชาวโลก และเป็นศาสดาของชาวโลก.

    </TD></TR><TR><TD class=wat>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>เมื่อประมุขของโลกและมนุษย์โลกต่างมีศีล ๕ มีธรรมะอันงาม ไม่มีแหล่งอบายมุขใดๆในแผ่นดิน ไม่แตกแยกไม่ขัดแย้งกันดังนี้ มวลมนุษย์ย่อมเห็นความสุขความเจริญในปัจจุบัน เหล่าเทวดาทั้งหลายย่อมปลื้มปีติยินดี ร่าเริงบันเทิงใจ ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารก็อุดมสมบูรณ์ มนุษย์ทั้งหลายก็มีสุขภาพจิตสุขภาพกายดี อายุยืน จำนวนมนุษย์ก็มากขึ้นแต่ไม่ขาดแคลน มวลมนุษย์ทั้งปวงต่างมองหน้ากันด้วยแววตาแห่งความรักความเมตตา เมื่อนั้นได้ชื่อว่าพระเจ้าจักรพรรดิเป็นผู้ประทานแสงสว่างให้แก่โลก ประทานความร่มเย็นให้แก่โลก.

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=wat7 width="26%">
    ฤทธิ์ ๔ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ
    </TD></TR><TR><TD class=wat>๑. พระเจ้าจักรพรรดิทรงมีพระรูปงาม น่าดู น่าชม น่าเลื่อมใส ทรงมีพระฉวีวรรณผ่องใสยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไป
    ๒. พระเจ้าจักรพรรดิทรงมีพระชนมายุยืนนานกว่ามนุษย์ทั่วไป
    ๓. พระเจ้าจักรพรรดิทรงมีอาพาธน้อย มีพระโรคน้อยกว่ามนุษย์ทั่วไป
    ๔. พระเจ้าจักรพรรดิทรงเป็นที่รักที่ชอบใจของมนุษย์ทั้งหลาย และมนุษย์ทั้งหลายก็เป็นที่รักที่ชอบใจของพระเจ้าจักรพรรดิ
    ดุจบุตรเป็นที่รักที่ชอบใจของบิดาทีเดียว เมื่อถึงคราวพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จเลียบพระนครออกเยี่ยมราษฎร ราษฎรทั้งหลายไปเฝ้า พระองค์พลางกราบทูลว่า
     
  17. ศิษยานุศิษย์

    ศิษยานุศิษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +303
    พระพุทธโอวาทองค์พระบรมบิดาวิสุทธิพุทธรังษี

    โดย เกษร สุทธจิต จันทร์ประภาพ (คัดลอกจากhttp://www.sangthip.com)

    พลังแสงทิพย์อริยธรรมเป็นวิถีธรรมทางลัดตัดตรงเข้าอริยมรรคอริยผลได้รวดเร็วง่ายดาย ลูกรักทั้งหลายอย่าได้ระแวงสงสัยในความรักเมตตาอย่างแท้จริงของพ่อ พ่อได้สร้าง นรกโลก มนุษย์ เทวพรหมโลก สามโลกนี้รวมกันเข้าเป็น สรรพโลกียธรรม หรือสุญตาธรรมเป็นความว่างเปล่า (เป็นเลข 0 ) ส่วน มหาอมตะอริยธรรม เป็นเลข 1 คือจิตทิพย์นิพพานของลูกที่ไม่ยึดติดทั้งสามโลก จิตของลูกก็เป็นอิสรเสรีภาพ ไม่ต้องเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อวิชชา พ้นเวียนว่ายตายเกิด อย่าลืมลูกรักทั้งหลายพ่อขอย้ำ อย่าเอาจิตนิพพานของเราตัวจริงเราไปหลงรักกายคน กายเทพ กายพรหม เป็นของมายาสมมุติทั้งนั้น ถ้าหลงรักจิตเจ้าจะเศร้าหมองรู้ไม่เท่าทันกิเลส ตัณหา อุปาทาน บาปกรรมทำให้จิตลูกเป็นทุกข์ พ่อช่วยเจ้ามากที่สุดแล้วคือ ประทานพลังแสงทิพย์อริยธรรมปิดกั้นประตูอบายภูมิทั้ง 4 คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน นำจิตทิพย์นิพพานที่มีอภิญญาสมาบัติเลิศล้ำ กลับบ้านนิพพาน ตลอดกาลนาน
    จิต เป็นต้นกำเนิดของสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก อริยธรรมคือจิต โลกียธรรมคือร่างกาย จำเอาไว้ แยกจิตออกจากร่างกายได้ก็ไปนิพพาน ร่างกายทุกอย่างที่ตามองเห็น คือรูป แตกสลายกลายเป็นความว่าง จิตเป็นรัตนะดวงแก้วแววสดใส องค์พระบรมบิดาโปรดประทานให้ลูกเก็บรักษา เป็นจิตพุทธะ รู้ชัดแจ้งแห่งปัญญา องค์พระบรมบิดาโปรดประทานพลังแสงทิพย์นำจิตทิพย์ลูกรักกลับนิพพาน
    ในความว่าง ไม่ว่างเปล่า มีจิตองค์พระบรมบิดาเจ้า พระผู้สร้าง สุริยะจักรวาลทั้ง 3 โลก คือ ศูนย์พลังธรรมชาติ ทุกศาสนาได้กำหนดหมาย ถวายพระนาม ต่างๆ นาๆ คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า(GOD) , พระอนุตตรธรรมมารดา , องค์สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังษีบรมบิดา , องค์สมเด็จพระอาทิพุทธะ , องค์สมเด็จพระธยานิพุทธะ , องค์สมเด็จพระไวโรจพระพุทธะหรือท่านพ่อเกิดแม่เกิด
    ทั้ง 3 ภพ ทั่วทิศ องค์สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังษี ทรงเสกสร้างและสั่งงาน ดูแลปกป้อง เหนือกฎแห่งกรรม ถ้าทุกท่าน รีบรับรู้แจ้งแหล่งกำเนิดของจิตตน คือนิพพาน ทั้ง 3 โลกเป็น สุญญตา เป็นความว่าง จิตไม่สูญสิ้นสลาย จิตนิพพานเป็นความว่างจากกิเลสแต่ไม่ว่างจากปัญญา จิตนิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง สูงกว่าความสุขของเทพพรหม เมื่อรู้แท้ ยับยั้งจิตตน มีสติมั่นคงในพระนิพพาน ไม่มี ดี ชั่ว สงบสดชื่น จิตรู้ว่า รูป นาม ขันธ์5 ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย จิตนิ่งเฉย มีมโนมยิทธิใกล้ชิดพระนิพพาน
    ญาณชีวิตจิตพุทธะแท้ เป็นของจริงมีอยู่ในสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก ไม่ยืดหด ไม่ขยายไม่กลับกลายใหญ่เล็กกว่าเดิม แม้ปุถุชนคนธรรมดา แม้เป็นอริยหรือเป็นพระอรหันต์สภาวะจิตก็เท่าเดิม เพราะกำเนิดเกิดมาจากแหล่งองค์พระธรรมบิดาหรือองค์พระธรรมมารดาหรือพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของศาสนาต่างๆเช่นกัน จิตของใครหลงวกวนผิดศีลผิดธรรมอันดีงาม จิตก็ได้รับทุกภัยอันตรายจากบาปกรรมมีนรกเป็นต้น เป็นความฝันที่ร้ายแรง ผู้ใดตื่นก่อนก็เตือนผู้ยังหลงอยู่ในความฝันทั้ง 3 โลก เข้าสู่สัมมาโพธิมรรค เข้าใจหนทางปลอดภัยคือพระนิพพาน เป็นจิตอริยธรรมญาณเดิมแท้
    บุคคลใดเข้าใจนิพพานธรรมญาณเดิม ตัดความหลงใหลไม่ใยดีใน 3 โลกนี้ได้ อย่าได้แต่เอาตัวรอดว่าสบายแล้วไม่สนใจผู้อื่น เวลานี้ภัยพิบัติใกล้เข้ามาเหมือนเงาติดตามเรา เดือดร้อนวุ่นวายผู้คนล้มตาย ให้รีบเร่งเข้าปลุกผู้อื่นตื่นจากความฝันร้ายให้ตื่นรีบเร่งลัดกลับบ้านนิพพานกัน
    พระบรมบิดาเตือนทุกดวงจิต รีบเร่งคิดพิจารณา ความจริงของชีวิต โลกนี้เป็นทุกข์ มีความตาย อย่ามัวหลงงมงายกับลาภ ยศ สรรเสริญเจริญสุข ของสมมุติ ให้รีบเร่งเผยแพร่พลังแสงทิพย์อริยธรรม มุ่งมั่นชักชวนญาติ พี่น้อง กลับบ้านนิพพาน จะเป็นบุญบารมีใหญ่แผ่ไปถึงบรรพชนถึง 7 ชั้น ลูกหลาน 9 ชั้นได้รับ แม้ยังไม่ตายก็มีความสุขกายสบายใจในโลกมนุษย์นี้
    ทุกคนจงทำจิตระลึกรู้เสมอว่าจิตเราอยู่ในพระวรกายพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระบรมบิดาเจ้า เป็นทั้งสติและสมาธิ เป็นยอดธรรม มองดูทั้ง 3 โลก นรก สวรรค์ พรหม เป็นความว่างเปล่าในที่สุด ผู้ที่มีจิตเมตตาจะช่วยแก้ปัญหา ลดภัยพิบัติทั้งปวงในโลกนี้ การบำเพ็ญจิตใจให้ใสสะอาดทำโดยยกจิตของเจ้าเข้าไว้ในพระวรกายทิพย์นิพพาน แล้วแผ่เมตตาไปทั้ง 3 โลก ฝากไปกับฉัพพรรณรังสีและพลังแสงทิพย์อริยธรรมจะช่วยชักนำสรรพสัตว์ทั้ง 3 โลก ให้ได้รับบุญกุศลจากเรา โดยมีจิตร่างกายขันธ์ 5 ของเจ้าเป็นสื่อกลางให้พลังแสงทิพย์ผู้อื่นได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pra.jpg
      pra.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.7 KB
      เปิดดู:
      66
  18. คนเหนือ ไทยใจจร

    คนเหนือ ไทยใจจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +265
    ผมอ่านแล้วรู้สึกสงสารท่านเหลือเกิน คุณรู้จักคำว่า**หน้าที่ใหมครับ**ผมจะขอยกตัวอย่างที่ง่ายๆ สั้น และเข้าใจแบบง่ายๆนะครับ
    **ผมเป็นหัวหน้าครอบครัว(ผู้ชาย) ทำหน้าที่เป็นสามีของภรรยาของผม ภายในครอบครัวนี้ หน้าที่ของผมจะทำทุกอย่างในครอบครัวนี้ ทั้งกลางวันและกลางคืน หน้าที่นี้ มี 24 ชั่วโมง**
    ผมจะไม่ให้ใครเข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวของผม ตราบใดที่ผมยังทำอยู่ และผมก็จะไม่ไปทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวของใคร เช่นกัน ผมคิดว่าผมรู้จักสถานภาพของผม และคนอื่นเขาก็จะรักษาสถานภาพของเขาด้วย
    ***นี่ขนาดคนธรรมดา ปุถุชน เรายังมีจรรยา มีคุณธรรม ***
    ผมขอร้อง อย่าเอาพระกล่าวเล่นๆ เพื่อประโยชน์บางอย่างนะครับ มันจะเป็นบาป ***พระแปลว่า ผู้ประเสริฐ*** ท่านประเสริฐไปทุกอย่างนะครับ ผมขอให้ท่านทั้งหลายโปรดระมัดระวัง สำรวม กาย วาจา และใจ
    ****กรรมบท ทั้ง 10 ข้อนั้นได้กล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วนะครับ***
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    หน้าที่หลักของพระศรีอารย์ ที่จุติลงมาบนโลกมนุษย์ในยุคนี้ก็คือการมายกยอพระพุทธศาสนาให้กลับมารุ่งเรือง เหมือนในสมัยพุทธกาลอีกครั้งหนึ่ง และวางรากฐานของพระพุทธศาสนาให้มั่นคง อยู่ยืนยาวไปจนครบ 5,000 ปี ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิษฐานเอาไว้ครับ แต่ท่านมาในฐานะพระเจ้าจักรพรรดิ์ ปกครองโลกนี้ทั้งโลก ไม่ได้มาในฐานะพระพุทธเจ้าเพราะยังเป็นยุคสมัยของพระพุทธเจ้านามว่า"พระสมณะโคดม" อยู่นะครับ

    ถ้าจะถามว่าผมรู้ได้อย่างไร ก็ตอบว่ารู้จากตำนานพระศรีอาริย์ที่ถูกบันทึกไว้ในใบลานและกระดาษข่อย อายุเกินกว่า 100 ปี มีทั้งที่เป็นภาษาพม่า ไทยใหญ่ ไทยเขิน ไทยเหนือ ไทยอีสาน ฯลฯ รวมคำทำนาย 50 กว่าผูก รวบรวมโดยรหัสยญาณ (นามปากกาผู้เขียนหนังสือ"พระศรีอาริย์เจ้าโลก")

    ถ้าจะถามว่าท่านจะมาช่วยเหลือชาวโลก ให้พ้นจากกลียุคได้อย่างไร ก็ขอตอบตามที่ตำนานได้กล่าวไว้ว่าท่านจะมาสร้างอาณาจักรแห่งสัมมาทิฎฐิ รวบรวมผู้คนที่เป็นคนดี มีศีลธรรม เอาไว้ในอาณาจักรแห่งนั้น และอัญเชิญเหล่าพระอริยะเจ้าทั้งหลายให้มาร่วมกันสังคยานาพระไตรปิฎกขึ้นมาใหม๋ และส่งพระธรรมทูตเหล่านี้ออกไปเผยแผ่พระธรรมไปทั่วโลก อีกทั้งยังใช้อำนาจอิทธิฤทธิ์และบุญญาธิการของท่าน ออกไปทำการยุติสงครามทั้งหลายที่กำลังดำเนินอยู่ให้สงบราบคาบ

    ถ้าจะถามว่าเอาอะไรเป็นเครื่องตัดสิน ชี้ขาดว่า ผู้ใดเป็นพระศรีอารย์ ก็ตอบตามที่ตำนานได้ระบุไว้ว่า การแสดงอิทธิฤทธิ์ของท่านเองนั่นแหละจะเป็นตัวชี้ขาดว่าใช่ตัวจริงหรือไม่ ตามตำนานการมาปรากฎตัวของพระศรีอารย์กล่าวไว้ดังนี้

    เมื่อปรากฏภัย๑๐ประการหนาแน่นขึ้นก็จะปรากฏผู้เฒ่าผมขาวหนวดเครายาวขี่ม้าขาวเหาะลอยมายังท่ามกลางเมืองเชียงใหม่ นั่นคือองสมเด็จพระศรีอริยะเมตไตรยมาปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกแล้ว อย่าสงสัยเลย

    ในคัมภีร์ทางศาสนาคริสต์ก็ได้กล่าวไว้ดังนี้

    "ภายหลังเมื่อคราวลำบากนั้นพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสงดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งซึ่งมีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพ และพระสิริเป็นอันมาก เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกถึงที่สุดของ
    ปลายฟ้า"
     
  20. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    ในฆารวาสทั้ง 4 นั้น มีคนใดคนหนึ่งที่มีดวงจิต "สว่างใส" มากเป็นพิเศษรึเปล่าครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...