มนุษย์ในสมัยพระพุทธเจ้ามีอายุเป็นเเสนปีเลยจริงหรือครับ ?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 9 พฤษภาคม 2008.

  1. virot05

    virot05 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,679
    ทุกอย่างล้วนมีทั้งเหตุและผลของตัวมันเองครับ อนุโมทนาบุญด้วยคนขอรับ
     
  2. neo1982

    neo1982 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +17
    คุณ stefa จะโพส์ ถี่ๆ เืพื่ออะไรครับ ปั๊ม กระทู้หรือครับ และที่โพสต์มา สำหรับผม ผมว่าหาสาระมิได้และไม่เกี่ยวข้องด้วยเรื่องในกระทู้นี้เลย การโพสต์นั้นทำเพื่อแสดงความคิดเห็นนะครับ ไม่ใช่พล่าม ไม่ใช่มาทำเป็นสั่งสอนคนอื่น ทั้งที่ตัวเองนั้นก้ ..... คิดเอาเองแล้วกันครับ

    จริงๆผมก้ไม่มีสิทธิ์ไปว่าคุณหรอก แต่เห็นหลายข้อความแล้วรำคาญจริงๆครับ ผมอยากเข้ามาอ่านหาความรู้ที่เกี่ยวเนื่องด้วยกระทู้นี้เท่านั้น่ะครับ ขอโทษด้วย
     
  3. hamanokun

    hamanokun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +287
    ในสมัย พระพุทธเจ้าพระสมณโคดม คนในสมัยนั้นอายุขัย 100 ปี
    ถ้าเริ่มหักลบ ทุก ๆ 100 ปี อายุคนจะขัยลง 1 ปี (ตอนนี้เป็นช่วงขัยลง)
    จนมาถึงปัจจุบันอายุขัยคนเหลือ 75 ปี ลองหักลบจาก 2551
    100 ปี ลง 1 ปี ก็จะเหลือ 75 ปี ทีนี้ ปีนี้ 2551 ยังขาดอีก 49 ปี ก็จะเหลืออายุขัยกัน 74 ปี แล้วหลวงพ่อท่านได้บอกกับลูกศิษย์ว่าพระศรีอาริยะอีกประมาณเกือบล้านปีจะลงมาตรัสรู้ จากนี้ไป อายุขัยจะขัยลงไปหา 10 ปี จากนั้น อีก 100ปี จะขัยขึ้น 1 ปี
    ลองนั่งคำนวนดู ว่า พอขัยขึ้นไปครบ 80,000 ปี จะได้เกือบ ๆ ล้านปีพอดี

    เริ่มอีกนิด บางท่านอาจจะสงสัยว่าคนเราทำไมถึงตายก่อนอายุขัยปัจจุบันคือ 75 ปี
    ทำไมบางท่านถึงมีอายุยืนเกิน 75 ปี
    สาเหตุเพระคนที่ตายก่อนอายุขัย 75 ปี นั้น เป็นผลมาจากกรรมเก่าเช่นทำกรรมปาณาติบาต แล้วกรรมนี้มาส่งผลเลยทำให้อายุสั้นตายก่อนอายุขัย
    สำหรับคนที่อายุยืนเกินอายุขัยนั้นเป็นเพราะผลกรรมยังไม่ได้และทำปาณาติบาตมาน้อยอีกทั้งยังมีบุญเก่ามาช่วยเหลือสนับสนุน

    คำพูดสุดท้ายของพระพุทธเจ้าท่านได้กล่าวไว้ว่า "จงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท"
    ประโยคนี้มีความหมายนะครับ ขอทุกท่านอย่าประมาท จงเร่งรัดในการปฎิบัติธรรมกันเถิด
    อีกไม่นานคนที่ไม่ดี ๆจะตายกันเยอะ เหลือไว้แต่คนดี ๆ
     
  4. ก้อนหิน

    ก้อนหิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +238
    ว่าแต่ความสังสัยนี่จริง ๆนะ
     
  5. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
    อยากรู้ต้องพิสูจน์เองครับ

    รู้สึกว่าวิธีก็มีแล้วนี่นะ คำตอบที่ได้มาไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ
    มันก็มีความรู้สึกอยู่ว่า เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกว่าจะได้สัมผัสด้วยตัวเอง
     
  6. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265
    O_O ...
     
  7. p.apichart

    p.apichart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    401
    ค่าพลัง:
    +4,041
    พอดีผมไปเจอวิดีโอคลิปจากในYouTube มานานพอสมควรแล้ว เกี่ยวกับโครงกระดูกมนุษย์ยักษ์ในหลายๆ สถานที่ แต่เนื่องจากผมสืบค้นหาหลักฐานอื่นมาประกอบไม่ได้เลย จึงไม่ได้นำมาโพสต์ให้ได้ชมกัน ประกอบกับนำวิดีโอคลิปมาโพสต์ไม่เป็น และไม่เก่งภาษาอังกฤษที่เขาบรรยายด้วย ท่านใดทำเป็นจะนำไปตั้งเป็นกระทู้ใหม่ในห้องวิทยาศาสตร์ก็เชิญนะครับ ตามLink ด้านล่างนี้

    (คลิปแรกเขาบอกว่าเป็นโครงกระดูกของมนุษย์ต่างดาว แต่ตามความคิดผมว่าน่าจะเป็นของมนุษย์ในโลกเรานี่แหละมากกว่า ผุดขึ้นมาจากชายหาดภายหลังจากที่เกิดสึนามิเมื่อปี2547 มีความสูงคำนวนได้ประมาณตั้ง 170 ฟุต ซึ่งน่าจะเป็นหลักฐาน เครื่องยืนยันถึงความจริงของคำกล่าวในพระไตรปิฎกของเราครับ)

    http://uk.youtube.com/watch?v=n2k7cigzi6Y&feature=related
    http://uk.youtube.com/watch?v=T4jdrPG0C94&feature=related
     
  8. คนอีสาน

    คนอีสาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +283
    โลกไม่ได้คงอยู่เป็นนิจนิรันดร์ มีการตั้งอยู่ก็ต้องมีดับลง และเกิดใหม่ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เกิดในยุคที่โลกเกิดดับต่างกัน มนุษย์แต่ละยุคย่อมมีสรีระที่แตกต่างอายุที่ต่างกันไปเสมอ ไม่มีอะไรที่แน่นอน
     
  9. อรวี จุฑากรณ์

    อรวี จุฑากรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +188
    สุขกาย สุขใจ รักษาตน ให้พ้น จากทุกข์ ภัยทั้ง สิ้นเทอญ สาธุ
     
  10. อรวี จุฑากรณ์

    อรวี จุฑากรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +188
    สุขกาย สุขใจ รักษาตน ให้พ้น จากทุกข์ ภัยทั้ง สิ้นเทอญ สาธุ
     
  11. felies

    felies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,370
    ถ้ามองในมุมวิทยาศาสตร์ก็พอจะอธิบายเรื่องนี้ได้เหมือนกันนะครับ

    เช่น เวลาของในแต่ละที่ก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยในหลายๆอย่าง

    เช่น สวรรค์ก็มีเวลาแบบนึง พรหมก็มีเวลาแบบนึง นรกก็แบบนึง มนุษย์ก็แบบนึง

    ถ้ามองใกล้เข้ามาก็คือ คนบนโลก กับ คนที่อยู่บนกระสวยอวกาศ

    ไอสไตน์ บอกว่าถ้ายานนั้นเดินทางด้วยความเร็วเกือบเท่าแสงนี่เวลาในนั้นจะช้ามากเลยครับ
    ออกไปแป๊บเดียวในโลกอาจจะผ่านไปเป็นร้อยๆปี

    หรือจริงๆแล้วเวลาที่เราสมมติกันขึ้นมาเนี่ย มันไม่มีอยู่จริงไงครับ

    ลองคิดเล่นๆสิว่าใครเป็นคนกำหนดให้โลกนี้มี 24 ชั่วโมง ใครกำหนดว่าแบบไหนเรียกว่า 1 วัน มนุษย์เราสมมติมากันหมดเลย ว่ามั้ย ฮ่าๆ อันนี้ผมคิดเล่นๆนะ

    ถ้าสนใจในมุมวิทยาศาสตร์ลองหาหนังสือเรื่อง "ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" มาอ่านดูครับ สนุกดี
     
  12. neo1982

    neo1982 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +17
    เล่มนี้ผมก็อ่านครับ หนังสือเล่มนี้แหละทำให้ผม ศรัทธา ใน พระพุทธเจ้ามากขึ้น และ สนใจ ใฝ่ธรรมะ มากขึ้นครับ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของผมเลยก็ว่าได้
     
  13. anoldman

    anoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +4,558
    สาธุ สุดธุ

    ครั้งหนึ่งมีผู้สงสัยเรื่องภูตผี วิญญาณ ได้เรียนสอบถามหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ว่ามีอยู่จริงหรือไม่
    หลวงพ่อ : หลวงพ่อยิ้มๆแล้วเมตตาตอบว่า แล้วคุณเห็นคลื่นวิทยุไหม
    ผู้ถาม : เขาตอบว่าไม่เห็นครับ
    หลวงพ่อ : เห็นคลื่นวิทยุไหม
    ผู้ถาม : ไม่เห็นครับ
    หลวงพ่อ : แล้วคุณได้ยินเสียงวิทยุไหม
    ผู้ถาม : ได้ยินครับ
    หลวงพ่อ : แล้วคุณเห็นภาพในโทรทัศน์ไหม
    ผู้ถาม : เห็นครับ
    หลวงพ่อ : แล้วยังนั้นคุณจะตัดสินการเห็นจากตาอย่างเดียวได้ไหม หรือได้ยินเสียงจากหูอย่างเดียวได้ไหม
    ผู้ถาม : จึงยิ้มแล้วตอบว่าไม่ได้ครับ

    หลังจากนั้นหลวงพ่อจึงเมตตาอธิบายต่อโดยละเอียด ทำให้ผู้ซักถามถึงกลับเลื่อมใสฝากตัวเป็นศิษย์ตั้งแต่นั้นมา

    ***ส่วนรายละเอียดท่านที่สนใจก็ลองหาข้อมูลเองนะครับ ผมจำได้แค่นี้ แหะแหะ

    แถมเรื่องทำไมพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน จึงมีอายุแค่ 80 พรรษา



    (คัดลอกเป็นบางส่วนจาก “ธัมมวิโมกข์” ปีที่ 27 ฉบับที่ 297 ธันวาคม 2548 ในหน้า 43 ถึง 47)

    สำหรับวันนี้ ก็จะขอเทศน์เป็นการตัดอายุ....

    เนื้อความก็มีอยู่ว่า
    เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ ในวันนั้น องค์สมเด็จพระบรมครู ไปทรงกล่าวกับบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า....

    “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัพเพ สัตตา มริสสันติ มรณันตัง หิ ชีวิตัง คนเราเกิดมาเท่าไร ตายหมดเท่านั้น”

    หมายความว่า คนทุกคน และสัตว์ทุกประเภท ที่เกิดมาแล้ว มันก็ต้องตาย
    และต่อมาภายหลังจากนั้นไซร้ เมื่ออายุ 80 ปี องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เสด็จดับขันธ์ คือ ตาย

    ในตอนนี้ไซร้ ก็ปรากฏว่า มีอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย พยายามรวบรวมคำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เทศน์ไว้ อยากจะทราบว่า เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เคยเทศน์ไว้ว่า....
    คนที่มีการคล่องใน อิทธิบาท 4 คือ....

    ฉันทะ ความพอใจ
    วิริยะ ความเพียร
    จิตตะ การจดจ่อ การเพียรในกิจการงานที่ทำ
    วิมังสา การใคร่ครวญการงานที่ทำเสมอ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคล่องในอิทธิบาท 4 ในด้านของการปฏิบัติธรรม
    ผู้ที่คล่องจริง ๆ ในอันดับต้น ได้แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    แต่ว่าที่คล่องรองลงมาก็คือบรรดา พระอรหันต์ทั้งหลาย
    ก็ท่านทั้งสองประเภทนี้ คือพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี
    ถ้ามีอิทธิบาทไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ จะบรรลุ คือ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน
    ไม่ได้
    แต่ว่า ทำไมองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงเคยกล่าวไว้ว่า
    ผู้ที่เคยคล่องใน อิทธิบาท 4 ประเภทนี้ สามารถจะอธิษฐานตน ให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่ง
    หรือกัลป์หนึ่ง ก็ได้

    และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กลับมา นิพพาน
    เมื่อระหว่างอายุของพระองค์ได้ 80 ปี

    ตอนนี้ พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็มีความสงสัย
    แต่ทว่าบรรดาพระอรหันต์ตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณ ก็ดี ได้อภิญญาหก ก็ดี วิชชาสาม ก็ดี
    ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่สงสัย รู้ด้วยอำนาจของ อตีตังสญาณ

    แต่ทว่า สำหรับพระอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโก นี้ ต้องสงสัย เพราะว่า ไม่ได้ญานวิเศษ
    จึงต้องค้นคว้าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

    ในที่สุดก็พบว่า สมเด็จพระนราสภ คือ....
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะมีอายุ 1 กัป อย่างที่กล่าวไว้
    แต่ทว่าการที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา ต้องมีอายุ 80 ปี

    เหตุผล ก็เป็นมาอย่างนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรี ทรงกล่าวว่า....
    อตีเต กาเล ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย....

    ในอดีตกาล ตถาคตเสวยพระชาติเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์
    บำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถอยหลังจากชาตินี้กลับไปหลายพันชาติ เวลานั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถ
    ทรงบำเพ็ญบารมี ใกล้จะถึง ปรมัตถบารมี

    พระวรกายของพระองค์นี้ มีส่วนพิเศษอยู่จุดหนึ่ง คือ....
    เท้าทั้งสอง ในอุ้งระหว่างกลางเท้าทั้งสองนี่ มีรูปกงจักรอยู่ด้วย เป็นสีแดง

    ในเวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดเป็นลูกคนจน ทำมาหากินอยู่ในป่า
    ต่อมาท่านบิดาก็ตาย เหลือแต่มารดาผู้เดียว ท่านก็ปฏิบัติตน เป็นคนประกอบไปด้วย

    ความกตัญญูรู้คุณ หาเช้ากินค่ำ หรือหาค่ำกินเช้า นำเอาอาหารมาเลี้ยงมารดาเป็นที่รัก
    คือว่าท่านเป็นคนป่า ก็ตัดฟืนขาย เข้าป่าก็แต่เช้า กลับมาจนบ่าย จนเย็น อาบน้ำ อาบท่า กินน้ำ บริโภคอาหาร
    เสร็จแล้ว ก็นำฟืนเอาไปขาย ได้เงินมาเท่าไร ก็มามอบให้แก่มารดา
    มารดาก็จัดเงินทั้งหลายเหล่านี้ จัดอาหารมาเลี้ยงดูกัน

    เป็นอันว่า รายได้ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เวลานั้น
    ก็เต็มไปด้วยการฝืดเคืองมาก

    ในคราวนั้น พระราชามีความลำบาก
    ด้วยยักษ์ตนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า “รากษส” นี่มีสภาพเหมือนยักษ์
    แต่เป็นยักษ์ที่อยู่ในโพรง และอุโมงค์ใต้ดิน น่ากลัวจะเป็นยักษ์ปลาไหล
    เพราะอยู่ในโพรง และใต้ดินมันมีบ่ออยู่

    แต่ทว่าทางขึ้น ก็ทำเป็นปล่องขึ้น การขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดิน

    เจ้า รากษส ตัวนี้ ปรากฏว่า ถึงเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับเวลา ตรุษสงกรานต์
    เป็นงานเกี่ยวกับนักขัตฤกษ์ประจำปี เจ้า รากษส ตัวนี้ ก็ขึ้นมาจับคนเอาไปกินเป็นอาหาร

    ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี ในแดนไกล
    ต่อมา พระราชาทรงทราบจากบรรดาประชาชนทั้งหลาย ว่า....

    เจ้า รากษส ขึ้นมาอาละวาด เจ้า รากษส ตัวนี้ขึ้นมาเป็นเวลากาล
    ถ้าถึงฤดูนั้น ถึงเดือนนั้น วันนั้น มันก็ขึ้นมาจับคนกินเป็นอาหาร เพื่อเป็นเสบียงกรัง
    ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี

    จนเป็นที่แน่ใจของประชาชนทั้งหลายว่า วันนี้แหละเจ้า รากษส จะขึ้นมาจับคนไปกิน
    จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ

    พระราชา ก็ให้ป่าวประกาศหาคนดีมีฝีมือ ให้ไปสู้กับ เจ้า รากษส
    ไปดักอยู่ปากปล่องของ รากษส ที่จะขึ้นมา ถ้า รากษส ขึ้นมา ก็จะฆ่า รากษส ให้ตาย

    แต่ว่าบรรดาผู้ฟังทั้งหลาย รากษส มีสภาพเป็นยักษ์ มีความดุร้าย มีกำลังมาก
    แทนที่คนทั้งหลายที่รับอาสาพระราชา จะไปฆ่า รากษส
    ก็กลายเป็นอาหารของ รากษส อย่างดี

    คือ รากษส ไม่ต้องไปหากินไกล จับคนทั้งหลายที่จะไปฆ่าเขา
    นำกลับไปกินเป็นอาหาร

    ต่อมาพระราชา เห็นว่า คนทั้งหลายไม่สามารถสู้ รากษส ได้
    การประกาศให้บรรดาคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ภายในขอบเขตของพระราชฐาน
    หรือใกล้พระราชฐาน ก็ไม่มีใครรับอาสาไปปราบ รากษส

    พระราชาได้ประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า....
    เราไม่สามารถปราบ รากษส นี้ ได้เพียงใด ความเป็นพระราชาของเราก็ไม่อาจจะคงอยู่
    เพราะเราไม่สามารถจะให้ความปลอดภัยกับบรรดาประชาชนได้

    แล้วอาศัยที่พระราชาพระองค์นี้ ใช้ ทศพิธราชธรรม อันดี เป็นที่รักของปวงชนทั้งหลาย

    บรรดาอำมาตย์ ข้าราชบริพารจึงประชุมกันว่า ถ้าหากพวกเราไม่สามารถฆ่า รากษส ได้
    พระราชาก็จะสละราชสมบัติ แล้วคนที่มาใหม่ จะดีเท่าองค์นี้ หรือไม่ดี ก็ยังไม่แน่นัก
    จึงปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรดี จะให้พระราชาครองราชย์ต่อไป

    ในที่ประชุม ก็กล่าวกันว่า ทางที่ดีควรประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศ
    ที่มีความสามารถ

    เข้าใจตรงกันว่า พระราชามีบุญญาธิการอย่างนี้ และมีความเดือดร้อนอย่างนี้
    ราษฎรจนที่ไหน พระองค์ก็ทรงจนด้วย
    ราษฎรลำบากที่ไหน พระองค์ก็ทรงลำบากด้วย
    หาทางช่วยราษฎรให้เป็นสุข พระราชาอย่างนี้ หาได้ยาก

    ถ้ากระไรก็ดี ก็ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ ว่า....
    คนในประเทศของเรา ไม่มีเท่าที่เห็น เพราะอยู่ในแดนไกล ในขอบเขตต่าง ๆ มีมากมาย
    ควรจะประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความสามารถ
    แต่ไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ที่จะรับอาสาฆ่า รากษส
    ในที่สุดเขาก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แล้วก็ทำตามนั้น

    มอบทองคำ เท่าลูกฟัก สำหรับผู้รับอาสา

    ต่อมา พระราช ก็ส่งคนไปประกาศว่า ถ้าบุคคลใดสามารถจะฆ่า รากษส ให้ตายได้
    ในช่วงแห่งการรับอาสาจะมอบทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวบุคคลผู้รับอาสา
    ให้เป็นทุนสำรองไว้ก่อน ทั้งนี้ ก็เผื่อว่า ไปพลาดพลั้งถูก รากษส ฆ่าตาย
    ทางบ้านก็จะได้ใช้ทองคำนี้ จับจ่ายใช้สอย เป็นการประทังชีวิตให้มีความสุขสบายแทนผู้ตาย

    ถ้าบุคคลใดฆ่า รากษส ตาย แล้วตัวเองก็ไม่ตาย ทองคำก็ได้เป็นสิทธิ์อยู่แล้ว

    แต่เมื่อเวลาที่กลับมาประเทศเขตพระนคร พระราชาจะให้เป็นมหาอุปราช
    คือไปมีตำแหน่งรองจากพระราชา

    วันนั้น ก็ปรากฏว่า หน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะเข้าป่าไปหาฟืน แต่ยังไม่ทันจะเข้า เดินออกจากบ้าน
    ก็ได้ยินเสียงประกาศจจจากอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า ถ้าบุคคลผู้ใดรับอาสาฆ่า รากษส ได้
    พระราชาจะประทานทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวคนผู้อาสา เป็นเดิมพัน
    แต่ถ้าฆ่า รากษส ไม่ได้ ต้องตายไป ทองคำนี้ก็จะเลี้ยงครอบครัว
    และถ้าฆ่าได้ ก็จะแถมรางวัลพิเศษ คือ ให้เป็นมหาอุปราช

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ จึงคิดว่า เราเป็นลูกคนเดียวของแม่คนเดียว หาเช้ากินค่ำ
    ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ก็พอกินบ้าง ไม่พอกินบ้าง มีความลำบาก

    ถ้าหากว่าเราจะยอมเสี่ยงชีวิตของเรา ตายแต่เพียงผู้เดียว
    ให้แม่ได้มีโอกาสรับทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวเรา แม่ก็จะกินอยู่แบบสบาย ๆ
    แม้กระทั่งตาย ทองคำก็ยังไม่หมด

    เมื่อหน่อพระบรมโพธิสัตว์ กำหนดอย่างนี้แล้ว จึงได้ขันรับอาสา
    แล้วก็รับทองคำมามอบให้แก่แม่
    ตอนนี้ แม่คัดค้านอย่างหนัก ไม่อยากจะให้ลูกตาย

    ในที่สุด ก็ต้องจำยอม เพราะตกลงกับเขาแล้ว จึงได้มอบทองคำให้แม่
    ตัวเองก็ไปเฝ้าพระราชาพร้อมกับอำมาตย์
    เข้าไปเฝ้าแล้ว....
    พระราชาถามถึงผลของความต้องการ เธอสามารถแน่ใจที่จะฆ่า รากษส ได้หรือ
    พระโพธิสัตว์ก็บอกว่า มั่นใจ ต่อไปพระราชา ถามว่า เจ้าต้องการทหารเท่าไร
    ต้องการอาวุธอะไรบ้าง จะไปฆ่า รากษส

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็ตอบว่า “ไม่ต้องการอะไรอะไรทั้งหมด ต้องการฆ่า ด้วยมือเปล่า”

    พระราชาก็หนักใจ แต่ว่า เขาขันรับอาสาตามนั้น ก็ต้องปล่อยไป
    เขาก็นำไปส่งที่ปล่องของ รากษส

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ขึ้นไปคอยอยู่ประมาณ 2 วัน พระราชาทรงให้ทหารไปเป็นเพื่อน
    นำอาหารไปบริโภค ไปคอยอยู่ที่ปากปล่องที่ รากษส จะขึ้น
    ต่อมา เมื่อถึงวันนั้น คือวันกำหนดที่ รากษส จะขึ้นมา มีเวลาเป็นประจำ ก็ขึ้นมาพอดี

    <STRONG>พอ รากษส ขึ้นมา ไม่ทันจะพ้นปล่อง หัวขึ้นมาพ้นปล่อง
    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ยกเท้าขึ้นหวังจะกระทืบ คือจะกระทืบให้ รากษส คอหักตาย

    รากษส แหงนหน้าขึ้นมา เห็นอุ้งเท้าของหน่อพระจอมไตรบรมโพธิสัตว์ มีกงจักร
    ในระหว่างท่ามกลางฝ่าเท้า ก็คิดว่า คราวนี้เราตายแน่ เราสู้ไม่ได้
    เพราะคนนี้ต้องเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ เพราะกลางระหว่างเท้า มีกงจักรสีแดง

    จึงได้พูดว่า....
    ช้าก่อน ท่านอย่าพึ่งฆ่าเรา ท่านนี่เป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้
    เป็นพระพุทธเจ้าในอีกไม่นานนัก เพราะว่ากลางเท้าของท่านมีกงจักร
    หากท่านฆ่าเรา เราก็ตาย ถ้าท่านฆ่าเราไซร้ ท่านจะมีอายุสั้น
    ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตามธรรมดาพระพุทธเจ้า จะต้องมีอายุ สองหมื่นปีบ้าง
    ถึงสี่หมื่นบ้างก็มี

    อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าสามารถจะอธิษฐานตนให้มีอายุถึงกัปหนึ่ง ก็ได้

    หากว่า ท่านฆ่าเราตาย ในเวลานี้ เวลานี้เรามีอายุ 80 ปี
    ถ้าหากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้

    เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องมีอายุ 80 ปี เท่านั้น

    การประกาศพระศาสนาของท่าน จะไม่มีผลตามความประสงค์

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กล่าวว่า....

    “เจ้าเป%
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2008
  14. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  15. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    ระยะเวลาตั้งแต่การเกิด"บิ๊กแบง"จนถึง"บิ๊กครันท์"มันใช้เวลากี่ปีกัน อันนี้ผมไม่รู้นะ ถ้าเอกภพมีการเกิดขั้น ตั้งอยู่ ดับไป ดังนั้นอาจจะไม่ใช่รอบนี้ของจักรวาล ที่คุณสงสัยว่าทำไปอายุมนุษย์สมัยก่อนจึงอายุเยอะทั้งที่ไม่มีซากโครงกระดูกของมนุษย์ในยุคนั้น อาจจะไม่ใช่สมัยก่อนของจักรวาลยุคนี้ หรือจักรวาลรอบนี้ อาจจะเป็นจักรวาลรอบก่อนๆ ซึ่งอาจมีสภาวะแตกต่างกันไปตามเหต ปัจจัย ดังนั้นจึงไม่ปรากฎร่องรอยหรือหลักฐานใดๆปรากฎให้เห็น
     
  16. ภูติอาคเนย์

    ภูติอาคเนย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    723
    ค่าพลัง:
    +1,326
    ใช่แล้วครับ ในจักรวาลสากลมีหลายจักรวาลมีหลายภพมีหลายเผ่าพันธ์
    จึงไม่แปลกที่มนุษย์ในดาวเคราะห์ดวงหนึ่งๆจะมีอายุมากมายมหาศาล
    อนึ่งการนับเวลาในแต่ละดาวเคราะห์ก็ไม่เท่ากันด้วยเนื่องจากการหมุนรอบตัวเองไม่เท่ากัน
    และภพที่มีมนุษย์กำเนิดก็มีช่วงเวลาแตกต่างกันด้วย
    มนุษย์แต่ละยุคสมัยที่กล่าวถึง เรียกว่ามนุษย์เหมือนกันก็จริง แต่ภายนอกอาจจะแตกต่างกันไป
    ประมาณนี้น่ะครับ ถามว่ารู้ได้อย่างไร ตอบได้แค่ว่าสัญญาบอกแค่นั้นแหละ
     
  17. thananyi

    thananyi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2006
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +45
    พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุผล มิใช่เน้นหลักศรัทธาเป็นหลักเหมือนศาสนาอื่นๆ ในบทสวดสรรเสริญพระธรรมคุณก็บอกไว้แล้วว่า ปัจจัตตัง ก็ย่อมหมายถึงการรู้ได้เฉพาะตน หากใครอยากรู้ก็ปฏิบัติเอาเอง พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกเป็นแต่ผู้บอกทาง หากเราไม่เดินก็คงไม่ถึง และคงนั่งอภิปรายกันถึงหลักคำสอนต่างๆ เหมือนเราอยู่ประเทศไทยแล้วมีคนเคยไปอเมริกาแล้วเขียนหนังสือให้เราอ่าน เราก็มีสิทธิที่จะเชื่อหรือไม่ก็ได้ แต่สาระที่สำคัญทำอย่างไรให้ได้ไปอเมริกาเอง แล้วคุณจะรู้ว่าที่เขาเล่าว่า...นั้นจริงเท็จประการใด
     
  18. ปฐมเวทย์

    ปฐมเวทย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    ก็กลายเป็นน้ำมันให้คุณใช้อยู่ทุกวันนี้ไงคุณ คุณเคยคิดหรือไม่ว่าน้ำมันที่มีมากมายมหาศาลที่ทุกคนใช้อยู่นั้น ต่างก็รู้กันว่าเกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์เราลองคิดดูสิว่าจะต้องมีสัตว์ตายมากเท่าไหร่จึงเป็นน้ำมันให้เราใช้ทุกวันนี้
     
  19. ปฐมเวทย์

    ปฐมเวทย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    คุณลองพิจารณาดูเถิดว่ามนุษย์มีอายุขัยที่เท่าไหร่ การที่พระองค์ทรงดับขันธ์นั้นในอายุที่80นั้นก็เพื่อจะกระทำให้ทุกๆคนเห็นว่าแม้แต่ ตถาคตผู้ทรงเป็นศาสดาของสรรพสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย ก็มิอาจพ้นจากความตายไปได้ พระองค์จะอยู่ด้วยฌาณก็ได้ จะอยู่ด้วยว่านยาก็ได้ จะอยู่ด้วยการดับซึ่งนิโรธก็ได้แต่ถ้าทำเช่นนั้นมนุษย์จะเห็นซึ่งความตายได้อยากไร ความไม่จีรังในสังขารได้อยากไร
     
  20. ปฐมเวทย์

    ปฐมเวทย์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    อีกอย่างหนึ่งที่คุณว่าทำไมอายุของพระพุทธเจ้าทั้งหลายถึงได้มากมายนัก เพราะพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันได้ให้ความหมายการเปรียบเทียบของปีที่เรารู้จักคือปีของมนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งให้ความเข้าใจง่ายกว่าอาจเป็นได้ว่าการนับเวลาของแต่ละยุคสมัยนั้นต่างกัน เช่นดวงอาทิตย์ในสมัยนั้นมีขนาดใหญ่มากแต่ในปัจจุบันมีขนาดเล็กกว่า ในความของพระองค์ทรงอาจจะหมายถึงเวลาปัจจุบันของพระองค์กับเวลาในอดีตก็เป็นไปได้ดั่งเช่น โลกของเราหมุนรอบพระอาทิตย์ประมาณ365วันแต่ในบางดาวอื่นอาจจะเป็น1000กว่าวันก็ได้เช่นอาจจะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์เป็นต้นหรือไม่โลกเราในขณะนั้นมีวงโคจรที่ห่างจากพระอาทิตย์ก็เป็นไปได้ ในสมัยนั้นพระองค์ทรงที่อธิบายให้เกิดความเข้าใจได้โดยง่ายถ้าเปรียบเทียบในสิ่งทีมีในอดีตคงจะยากแต่ถ้าเปรียบกันสิ่งที่เป็นปัจจุบันนั้นคงจะเข้าใจได้มากกว่าหรือเพราะนี้แหละคือพระปัญญาของพระพุทธเจ้า(ข้อความนี้เป็นเชิงวิเคราะห์หลักเหตุอันพึงจะเป็นไปได้เท่านั้น)
     

แชร์หน้านี้

Loading...