ภูมิพระโสดาบัน โดยหลวงปู่หล้า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย หลบภัย, 21 พฤศจิกายน 2010.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เป็นผู้เลิศ เอ่อ อ่า ..เป็นผู้เลิศกว่าเขา อ่า เป็นผู้เสมอเขา
    สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา

    เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัว ว่าเสมอเขา
    ก็สำคัญถูกแล้ว ทำไมจึงมีกิเลส
    เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา นั่น ทำไมจึงมีกิเลส
    เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา อันนี้เย่อหยิ่ง
    ก็สมควรมีกิเลส
    เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา เรียกว่าเย่อหยิ่ง
    เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา
    ก็ สำคัญถูกแล้วทำไมจึงมีกิเลส

    ส่วนพระอรหันต์ ไม่สำคัญตัวในที่ใดใด เลย
    ใช่หรือไม่ ท่านมหาฯ นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น ใช่หรือไม่ เอ่อ ถูกมั๊ย

    เออ ส่วนพระอรหันต์ เออ ไม่สำ ไม่สำคัญตัวในที่ใดใดเลย

    เอ้า.. มีปัญหาสอดเข้ามาว่า
    พระอรหันต์ รักษาจิตหรือไม่

    ท่านไม่รักษาจิตท่านเลย เพราะจิตของท่าน ไม่มีอุปาทาน
    ไม่สำคัญตัวว่าอยู่ในจิต
    ไม่สำคัญจิตว่า
    เป็นตัว
    เป็นตน
    เป็นเรา
    เป็นเขา
    เป็นสัตว์
    เป็นบุคคล

    ไม่สำคัญว่า
    ผู้รู้เป็นเรา
    เป็นเขา
    เป็นสัตว์
    เป็นบุคคล
    แต่เอามาพูดเฉยๆ เอ่อ พระบรมศาสดา
    ถ้าพระบรมศาสดารักษาจิตอยู่
    พระบรมศาสาดาก็ต้องเป็นคนคุมนักโทษ
    เพราะเกร็งว่านักโทษจะมาทำอันตรายแก่ตนด้วย
    เกร็งว่านักโทษจะ ลักหนีด้วย

    เหตุนั้น
    ท่านผู้พ้นไปแล้ว จึงไม่ได้รักษาใจ
    เพราะใจไม่มีโทษแล้วจะรักษาทำไม
    แต่พวกเราไม่รักษา มันก็ ผิดจริงจริ๊ง

    เพราะพวกเรายังไม่พ้นใช่มั๊ย ท่านมหาฯ ถูกมั๊ย
    ไอ้ขี้เกียจพูดด้วยก็ให้คะแนน ถูก สูงเลยตะพรึ๊ด ตะพรือ เลย..ใช่มั๊ย


    ของใหม่ไม่มี มีแต่ของเก่า

    มรรคผลนิพพาน ก็เป็นของเก่า
    บาปก็เป็นของเก่า
    บุญก็เป็นของเก่า
    มรรคผลนิพพานก็เป็นของเก่า
    ของใหม่ไม่มี แต่ของเก่า
    ของ ของเก่า ที่ควรเล่นก็มี
    ของเก่าที่ควรทำให้แจ้งก็มี

    เอกะ ธัมโม ธนัญ จ โน
    พระธรรมเป็นของเก่า ไม่ใช่ของใหม่ เป็นของเก่า

    โลภ โกรธ หลง ก็เป็นของเก่า
    ไตรสิกขา เพื่อจะ ชำระโลภ โกรธ หลง ก็เป็นของ ของเก่า
    ไม่ใช่ของใหม่

    ผู้ดื่มสุราก็เป็นของเก่า ผู้เว้นมาก็เป็นของเก่า
    ผู้เล่นเลขเล่นผา ก็เป็นของเก่า
    ผู้ที่เค้าเว้นก็เป็นของเก่าเหมือนกัน ไม่ใช่ของใหม่
    เกิดแก่เจ็บตายเป็นของเกา ไม่ใช่ของใหม่
    มรรคผล นิพพานก็เป็นของเก่า ไม่ใช่ของใหม่

    เอกะ ธัมโม ธนัญ จ โน พระธรรมเป็นของเก่านั้นเอง
    ไม่ใช่ของใหม่เลย

    แต่ของเก่าที่ควรเว้น ก็มี
    ของเก่าที่ควรปฏิบัติก็มี
    ก็แล้วแต่ผู้ใดจะเลือกถูก

    ถ้าไม่ถึงพระโสดาบันแล้ว มันก็ไปบานหน้าบุญพระโสดาบัน
    บานหน้าเข้าสู่พระนิพพาน ไปถึงพระอนาคามี บาปของพระโสดาบัน
    ก็ไปตกกันที่พระอนาคามี ส่วนพระอรหันต์เหนือบาป เหนือบุญไปซ๊ะ

    มรรค ...ธรรมชั้นสูง
    มาเถิดลูกหลาน เอ๋ย อย่าไปอยู่ที่นั้น พ่อข้ามมาแล้ว
    ที่นี่ไม่วุ่นวาย
    ที่นี่ไม่ขัดข้อง

    ที่ลูกที่หลานอยู่นั้นมันวุ่นวายมันขัดข้อง
    เพราะกิเลสยังมีอยู่กั๊บลูกหลาน

    ที่นี้ไม่มีกิเลสนี่ คล้ายๆกับพระบรมศาสดาร้องเรียกอยู่

    ไฟไหม้หัวท่วมพวกเธอทั้งหลายอยู่
    พรุ่งนี้พวกเธอ จึงจะดับมันจะถูกม๊าย
    ธรรมชั้น สูง

    ท่านมหาฯ ทำไม พระพาหิยะ ไม่ได้เรียงปฏิจจสมุปบาท
    ผมเข้าใจว่าที่พระบรมศาสาดา เรียงปฏิจจสมุปบาทนั้น
    เพราะให้สมบูรณ์พระองค์
    และเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจชัด

    สรรพพะทาหรณ์
    เส้นโซ่ มันคล้องคอ อยู่นี้ ตั๊ดปลอกไหนขาด
    มันก็ขาดไปเท่านั้นไม่จำเป็น จะไปทุ๊บ ทุ๊กปลอก
    ที่ไปทุ๊บทุ๊กปลอกก็เพื่อให้ อืม รู้จักความหมายให้สมบูรณ์พระองค์
    ใช่มั๊ย ..ใช่เน๊าะ

    ทีนี่ อุปาทานทั้งปวง อัตวาทุปาทาน ชนะ ถ้าชนะอัตวาทุปาทานแล้ว
    กามุปาทานถึงบันไดกาม ทิฏฐุปาทานถึงบันไดทิฏฐิ และความเห็น

    ศีลปตุปาทาน ถือมั่นในศีลพรต
    อัตวาทุปาทานถือมั่นวาทะ ว่าตนว่าตัว
    ถ้าชนะ อัตตาทุปาทานแล้ว อุปทานทั้งปวงก็แตกกระเจิง
    ใช่ ใช่หรือไม่ ท่านมหาฯ ใช่มั๊ย

    ..เออ..ไม่ต้อง เรียงแบบ
    อวิชาดับ สังขารดับ วิญญาญดับ นามรูป อายตนะ ตัณหา เวทนา
    ตัณหาอุปทาน ภพชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
    ทุกขะโทมะนัส อุปายาส ...ไม่ต้อง อนุโลม ปฏิโลมก็ได้
    ใช่มั๊ย

    ที่นี้ ที่ว่า พระอรหันต์มีอยู่ในโลกเท่านั่นองค์เท่านี้องค์ นั้น
    พูดเป็นบุคคลาธิฐานเพื่อให้รู้จักความหมาย เออ..

    ไอ้ที่แท้พระอรหันต์ถือว่าอะไรจะมาอยู่ในโลก
    ถูกมั๊ยท่านมหาฯ

    เพราะ
    พูดเป็นบุคคลาธิฐานเพื่อให้รู้จักความหมายใช่มั๊ย
    ถูกมั๊ย เออ..

    ที่พระบรมศาสาดา เสวยวิมุตติสุขอยู่เท่านั้น ๗ วัน
    เท่านี้ ๗ วัน เป็น ๔๙ วัน นั้น
    ก็พูดตามสมมุติ
    ไอ้ที่แท้ พระศาสดาสำคัญตัวอยู่ในที่ใด
    ใครก็ไม่รู้ใช่มั๊ย ท่านมหาฯ

    ที่นี้ ที่ให้สรรเสริญว่า
    พระโมคคัลลา ฤทธิ์มาก เดชมาก เอ้า.. เก่งทาง ทางฤทธิ์เดช
    พระสารีบุตรเก่งทางปัญญา เออ ..
    พระอนุรุทธะ เข้าฌานเร็ว ทันพระองค์
    แต่ก็ไม่เทียบพระองค์ ใช่มั๊ย

    พระสีวลีมีลาภมากแต่ก็ไม่เทียบพระองค์ ..ใช่มั๊ย

    พระสารีบุตร มีปัญญามาก แต่ก็ไม่เทียบพระองค์
    พระอานนท์จำพระหูสูตรเก่งแต่ก็ไม่เทียบพระองค์.. ใช่มั๊ย

    ผมเข้าใจอย่างนั้น

    ผมว่าถ้าจะเสมอพระองค์หมด
    ที่ พระองค์ก็มีภูมิเท่าสาวก มันก็ไม่ถูก น่ะ ถูกมั๊ย
    เพราะมีปัญญาเก่งกว่า

    หายใจเข้าครั้งหนึ่งระลึกชาติหนหลังได้ตั้งล้านล้าน
    พระบรมศาสดา
    เว้นไว้แต่ไม่ต้องการ นั่น นั่น แผ๊บเดียวเท่านั้น
    ใครจะเสมอเหมือนไม่มีเลย
    จึงสมฐานะ ว่าเป็น สยัมภู อืม..
    จึงเป็นสมฐานะว่าโลกะวิทู รู้แจ้งโลก

    สาวะโกโลกะวิทู เห็นอนิจจังขณะจิตหนึ่งก็เห็นโลกรอบหนึ่ง
    ก็เรียกว่าโลกะวิทูได้เหมือนกันแต่ไม่เทียบพระบรมศาสดา
    เรียกว่า สาวะโกโลกะวิทู

    ไม่ใช่ สัมมาสัมพุทโธโลกะวิทู รู้แจ้งโลก
    เออ รู้หม๊ดทุ๊กอย่าง ไม่เสมอเหมือนพระองค์เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 มกราคม 2011
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    สัตว์ตัวไหนมาจากไหนจากไหนรู้จักหมด
    จะไปไหนก็รู้จักหมด
    ไม่ว่าจะไม่ต้องการ เออ.. เออ.
    พระบรมศาสดา

    แต่พวกเรา ไม่เทียบพระบรมศาสดา ใช่มั๊ย
    พระนิพพานตรงพระนิพพานเท่านั้น
    ไม่เป็นหน้าของสังขารจะไปก้าวก่าย

    อนัตตาในพระนิพพาน เป็นอนัตตาที่ลึกซึ้ง
    อนัตตาในสังขารเป็นอนัตตาที่ตื้น
    เออ ...ก็ไม่ยุ่งเหยิง เป็นธรรมอันว่างที่ตื้น
    พระนิพพานเป็นธรรมอันว่าง ที่ลึกซึ้ง
    มันก็หมดเรื่องเท่านั้นไม่ควรไปเถียงกันเลย เราพูดอย่างนี้

    สัพเพธัมมา อนัตตาติ
    พระนิพพาน ก็เป็นอนัตตาเหมือนกันแต่เป็นอนัตตาลึกซึ้ง
    แต่เป็นอนัต แต่เป็นของว่างที่ลึกซึ้ง อืม.. ของว่างที่ไม่เกิดไม่ดับ

    ของว่างที่เกิดที่ดับ ก็คือสังขาร นั่น นั่น นั่น
    ว่างจากสัตว์ จากบุคคล
    ถ้าหากว่า ถ้าหากว่าพระนิพพานไม่ว่าง ใครเป็นเจ้าของพระนิพพาน
    ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของพระนิพพาน

    ใครเป็นเจ้าของสังขาร ก็ไม่มีใครเป็น

    พระอรหันต์ ไม่สำคัญตัวในที่ใดใด ทั้งสิ้น
    ส่วนยืนเดินนั่งนอนหลั๊บตื่น นึกคิด
    ก็พูดไปตามชาวโลกเขาแต่ไม่สำคัญตัวว่า จะอยู่ในที่ใดใด ทั้งสิ้น

    ยืนเป็นแต่สักว่ายืน
    เดินเป็นแต่สักว่าเดิน
    นั่งเป็นแต่สักว่านั่ง
    นอนเป็นแต่สักว่านอน
    ยืน เดิน นั่ง นอน หลั๊บ ตื่นเป็นแต่สักว่า
    เป็นแต่สักว่ารู้เป็นแต่สักว่าเห็นพระอรหันต์
    ไม่ได้ติดอยู่ในที่ใดใด ทั้งสิ้น

    ใจเป็นแต่สักว่าใจ
    ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เป็นเพียงจิตตานุปัสนา

    ธรรมก็เป็นแต่สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตวบุคล ตัวตนเราเขา
    เป็นเพียงธัมมานุปัสนา

    อดีตก็เป็นแต่สักว่าอดีต
    อนาคตก็เป็นแต่สักว่า อนาคต
    ปัจจุบันก็เป็นแต่สักว่าปัจจุบัน
    ไม่ติดอยู่ในเงื่อนทั้ง ๓ ท่านผู้พ้นไปแล้ว

    ไม่สำคัญตัวอยู่ในผู้รู้
    ไม่สำคัญ ผู้ ผู้รู้ ว่า เป็นตัว
    เป็นตน
    เป็นเรา
    เป็นเขา
    เป็นสัตว์
    เป็นบุคคลเลย

    รู้เป็นแต่สักว่ารู้ รู้แล้วก็หายไป
    นึกขึ้นแล้วก็หายไป พูดออกมา แล้วก็ล่วงไป

    ะพูดคำในอนาคตก็ล่วงไปในอนาคต

    สังขารใดเกิดขึ้นในอดีต สังขารนั้นดับในอดีต
    สังขารใดเกิดขึ้นในอนาคต สังขารนั้นดับในอนาคต
    สังขารใดเกิดขึ้นในปัจจุบันสังขารนั้นก็ดับในปัจจุบัน

    คำพูดใด ที่พูดแล้วก็ล่วงไปแล้ว
    หยิบปัจจุบันมาพูด เอ่อ อ่า ปัจจุบันกำลังพูดก็ล่วงไปอีก
    นึกคิด ก็เหมือนกัน
    หายใจเข้าออก ก็เหมือนกัน

    ใดใด ในโลกล้วนอนิจจัง
    ใดใด ในโลก ล้วนทุกขัง
    ใดใด ในโลกล้วนอนัตตา

    อย่าสงสัย รูป นาม ทั้งอดีต
    ทั้งอนาคต
    ทั้งปัจจุบันด้วย

    นั่นคือธรรมชั้นสูง
    ศีลชั้นสูง
    สมาธิชั้นสูง
    ปัญญาชั้นสูง
    รวมพลกันอยู่

    ไม่ใช่ ศีล สมาธิ ปัญญา จะอยู่คนละมุมโลก
    อยู่อันเดียวกัน

    ไม่ใช้หน้ากั๊บตา จะอยู่คนละมุมโลก
    ไม่ใช่หนังกั๊บเนื้อกั๊บกระดูก จะอยู่ คนละมุมโลก

    ก็ อัญญะมัญญะอยู่เช่นกันและกันนั่นเอง



    พระเดชพระพุทธศาสนาอันทรงพระคุณค่าไม่มีประมาณ
    และก็ทรงมีอยู่ทุกกาลด้วย<O:p</O:p
    ไม่ขึ้นอยู่กับผู้รู้และไม่รู้
    ไม่ขึ้นอยู่กับผู้เชื่อและไม่เชื่อ
    และก็เหนือโลกอยู่
    ทุกยุค
    ทุกสมัย
    ทุกกาล
    ทุกเวลา
    ทุกขณะลมปราณด้วย

    เมื่อเป็นอย่างนี้พวกเราทั้งหลาย
    ที่มาในที่นี้ก็ดี
    ที่ไม่ได้มาในที่นี้ก็ดี
    ทั่วทั้งพระไตรในโลกา
    งประสบแต่ความสุข
    ความเจริญ
    ในบวรพระพุทธศาสนา
    ของ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งๆ ขึ้นไป
    จนถึง ที่สุดทุกข์โดยชอบ อยู่ทุกรูป ทุกนาม เทอญ ..สาธุ<O:p</O:p
     
  3. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846


    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><SCRIPT language=JavaScript> function showpopup(url) { window.open( url , 'kai' , 'width=400,height=300,left=250,top=250,menu=no,staus=no,resizable=no'); }; </SCRIPT><TR><TD>
    รูปหลวงปู่หล้า เขมปัตโต
    วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ) จ.มุกดาหาร



    รูปพระธาตุหลวงปู่หล้า เขมปัตโต
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][​IMG][/FONT]
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]แหล่งข้อมูล-ภาพประกอบ: วัดสันติธรรม. 2548. 50 ปี สันติธรรมานุสรณ์. กลางเวียงการพิมพ์, เชียงใหม่; http://www.buddhismthailand.com/ariyasong/lar.php[/FONT]​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ภูมิพระโสดาบัน

    อนัตตาสัมพุทโธ
    กายะกทุกข์ ทุกข์ทางกาย
    เอกะทิฏฐิ ทุกข์ทางใจ เป็นของที่ควรเว้น
    กายะกทุกข์ ทุกข์ทางกายเป็นของที่ควรพิจารณา
    มีประจำกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร
    พระนิพพานไม่ได้มาเป็นทุกข์ด้วย


    ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ... จงพิจารณาทุกข์ ให้ยิ่ง
    ปหาตัพพันติเม ... จงละซะจงละเสียซึ่งอกุศลและบาปกรรม
    มรรคสัจจ์ จงเจริญให้ยิ่ง
    คือ ไตรสิกขา
    ศีล สมาธิ ปัญญา
    นิโรธสัจจ์ เป็นหน้าที่กระทำให้แจ้ง
    เห็นอนิจจัง ขณะจิตหนึ่ง ก็เห็นโลกรอบหนึ่งแล้ว
    ไม่สงสัยในโลกทั้งปวงเลย เพราะอยู่ใต้อำนาจ อนิจจัง
    โลกทั้งปวง กับสังขารทั้งปวง ก็มีความหมายอันเดียวกัน

    สังขารโลก โลกคือสังขาร
    สัตว์โลก โลกคือหมู่สัตว์
    โอกาศโลกโลกคือแผ่นดิน
    มนุษย์โลกได้แก่โลกที่เราอาศัยอยู่นี้
    เทวโลกได้แก่ ฉฬะ กามาวจระ ๖ ชั้น
    พรหมะโลก ได้แก่รูปะพรหม ๑๖ ชั้น
    และอรูปะพรหม ๔ ชั้น
    รวมลงในสังขารทั้งปวง สังขารทั้งปวงย่นลงเป็นสอง
    คือ
    อุปาทินกสังขาร สังขารที่มีใจครอง
    อนุปาทินกสังขาร สังขารที่ไม่มีใจครอง

    สังขาราปรมาทุกขา สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
    โลกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง รูปธรรม นามธรรมเป็นทุกข์อย่างยิ่ง<O:p</O:p
    รูปขันธ์ นามขันธ์เป็นทุกข์อย่างยิ่ง รูปโลก นามโลกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง <O:p</O:p
    รูปธาตุ นามธาตุเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
    <O:p</O:p
    รูปสังขาร นามสังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
    อยู่ตามธรรมชาติก็เป็นทุกข์แล้ว มีผู้ไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของ
    เป็นทุกข์อีกสองชั้น
    ผู้ใดไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของ
    คือ
    กิเลส
    กิเลสมาจากไหน
    มาจาก อัตวาทุปาทาน
    ใครชนะอัตวาทุปาทานแล้ว
    กามุปาทาน
    ภิกษุปาทาน
    ศีลปตุปาทาน
    ก็ดับไปนะที่นั้นเอง

    ไม่ต้องเรียน ปฏิจจสมุทปบาท ก็ได้

    ทำไมจึงไม่มีกระทู้ ทำไมจึงไม่มีนะโม<O:p</O:p
    นะโมแปลว่าน้อมน้อม
    กระทู้ กระทู้กาย กระทู้วาจา กระทู้ใจ กระทู้รูป กระทู้นาม
    มาในคัมภีร์ไหน มาจากคัมภีร์ มโนปุพพัง ใช่ไหม...ท่านมหา

    ธรรมแต่ละบทละบาทส่งผลต่อพระนิพพานหมด ใช่ไหม
    มันขึ้นอยู่กับบารมีแก่กล้ามาแล้วเท่านั้น ใครเป็นผู้เรียน นะโมจบ

    พระอรหันต์เรียนนะโมจบ
    นะโมแปลว่านอบน้อม นอบน้อมจนไม่มาเกิดแก่เจ็บตาย
    นอบน้อมจนไม่มีโลภ มีโกรธ มีหลง

    นะโมพระโสดาบัน แปลว่านอบน้อม
    ไม่ล่วงละเมิดศีล 5 ไม่เสียดายล่วงมะเมิดอบายมุข
    ไม่เสียดายอยากจะถืออยู่ยงคงกะพัน
    เบื้องต้นไม่เสียดายอยากจะถือศาสดาอื่น

    อริยสัจคุเทศก์ไม่ถือศาสดาอื่น
    ฉะจาภิฐานานิ อะภัพโพกาตุง
    อิตัมปิ สันเต รัตตะนังปะนีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิโหตุ โห้ตุ โหตุ

    ว่าไทย ว่า มคธ เป็นไทย

    พระโสดาบันไม่เสียดายอยากถือศาสดาอื่นเลย
    ไม่เสียดายอยากล่วงละเมิดศีล 5 เลย
    ไม่เสียดายอยากจะถืออยู่ยงคงกระพัน
    ไม่เสียดายอยากจะถือ ฤกษ์ดียามดีเลย

    นอกจากมงคล 38 ประการแล้ว
    พระโสดาบันไม่ตื่นเลย

    ไม่ได้จัดเข้า เอตัมมัง คะละมุตตะมัง
    สิ่งไหนที่จัดเข้าเอตัมมัง คะละมุตตะมังไม่ได้
    พระโสดาบันไม่นับถือ แปลว่า...เห็นธรรมชัดแล้ว
    เห็น อนิจจัง ชัดด้วย
    เมื่อเห็น อนิจจัง ชัด ก็เห็น ทุกข์ ชัดอยู่ในตัวด้วย
    เห็นอนัตตาชัดอยู่ในตัวด้วย เพราะอยู่เป้าตัวกัน ไม่ได้อยู่คนละเป้า
    ใช่ไหม.... ท่านมหา

    ใดใดในโลก ล้วนอนิจจัง
    ใดใดในโลกล้วนทุกขัง
    ใดใดในโลกล้วนอนัตตา
    อย่าสงสัยในเวลาทั้งอดีต ทั้งอนาตค และปัจจุบันด้วย

    เมื่อสติปัญญาแข็งแกร่ง ก็ข้าม แพหลงไปซะ
    เมื่อตาสว่างก็ข้ามมืดไป ณ ที่นั้นเอง
    ตาภายนอกเป็นตาเนื้อ ตาภายในคือตาปัญญา

    นัตถิปัญญา สมาอาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี



    นัตถิปัญญา สมาอาภา
    แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี

    ทะลุภูเขาเลยทะลุแผ่นดินเลย
    เห็นชาติปิทุกขา ขณะจิตหนึ่ง ก็เห็นโลกแล้ว
    เพราะโลกเต็มไปด้วยชาติทุกข์

    ตีรวนเสมอกันหมด เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นพระยมพระกาฬ
    จตุโลกบาลทั้ง ๔ ไม่ทุกข์หรอก ไม่มีในคัมภีร์ใดเลย
    ตูมเดียวถูกทั้งทั่วไตรโลกธาตุเลย

    โลกะธาตุ สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิฯ
    อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก
    ปาตุระหังสุ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง ฯ


    พระพุทธศาสนาสอนมนุษย์สมบัติเต็มภูมิ
    สอนสวรรค์สมบัติเต็มภูมิสอน
    พรหมสมบัติเต็มภูมิแล้ว
    สอนนิพพานสมบัติเต็มภูมิอีกด้วย
    ไม่มีลัทธิใดใด จะมาเสมอเหมือน
    ลัทธิอื่นๆ หรือความเห็นอื่นๆของพวกเราที่เกิดขึ้น
    จะเอามาแข่งดี กลับพระพุทธศาสนา
    มันก็เท่ากับเอาเมล็ดพันธ์ผักกาด<O:p</O:p
    ไปเทียบกับ ภูเขาหิมาลัย ใช่หรือไหม ท่านมหาฯ หุหุ ..

    มีผู้ทำลายพระพุทธศาสนาได้หรือไม่
    มีผู้บ้วนน้ำลายขึ้นฟ้าได้หรือไม่
    มีผู้ขว้างฟาง ใส่ต้นเสาได้หรือไม่
    ลมพัดมาตึงๆ ตึงๆ ตึงๆ
    มีผู้กำฝุ่นโต้ลมได้มั๊ย ...ก็ไม่ได้
    ถ้าไม่ได้ ก็ไม่มีใครทำลายพระพุทธศาสนาได้เลย
    มีผู้ทำลายอริยสัจ ๔ ได้หรือไม่

    ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
    ไม่มีผู้ทำลายได้เลย พระพุทธเจ้า มากี่ล้านๆ พระองค์
    ก็มาตรัสรู้อันนี้ ... นั่น หุหุ

    ที่ว่าพระพุทธศาสนาเสื่อม ก็เสื่อมเป็นยุคยุค
    เฉพาะผู้ปฏิบัติ ต่างหาก ...

    แต่

    ธรรมแท้ ไม่ได้เสื่อมไปไหนเลย
    ถ้าธรรมไม่มีอยู่ก่อน เราก็ไม่สามารถรู้ธรรมได้ พระบรมศาสดา

    ธรรมมีอยู่ก่อน <O:p</O:p
    เราจึงสามารถรู้ธรรมได้

    เหตุนั้น... เราจึงเคารพธรรม
    สัจธัมโม ครุตาตัพโพ
    ควรเคารพพระสัจธรรม
    ไม่สำคัญตัวว่าอยู่เหนือธรรมเลย

    พระบรมศาสดาทุกๆ พระองค์ มาตรัสรู้อันเดียวกันหมด
    ไม่ได้ลบล้าง พ.ร.บ กันเลย...
    มายืนยันธรรมเป็นโลกบาลคุ้มครองโลก 2 อย่าง
    ความละอายต่อบาป ความกลัวต่อบาป เท่านั้นจะคุ้มครองโลกได้
    ยืนยันอันเดียวกัน ยืนยันในทางเป็นจริง
    ไม่เป็น อุปาทาน

    สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ชาวพุทธจะรู้ทั้งนั้น
    ชาวพุทธ จะไปหาการปกครองที่ไหน
    มันก็ไม่เจอไม่เจอะไม่พบไม่ปะ
    ไม่เห็นเลย คุณพ่อ คุณแม่เอ๋ย
    อีพ่อ อีแม่เอ๋ย ก๊ฏหมาย ก๊ฏหมู่ ก๊ฏพรรค ก๊ฏพวก
    ของชาวโลก ตั้งขึ้นไม่มองดูคำสอนพระพุทธศาสนา
    มันก็ไปไม่รอด มันก็เอาไปไม่รอด
    คนหมู่มากลากไป เอ..ทางผิด มันก็ไปตกเหวหมด หุหุหุ
    คนหมู่มาก ลากไปทางถูก ก็จึงจะเป็นมงคล

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมูมากลากไปทางถูกก็เป็นมงคลแก่ชาวโลก
    อยู่ทุกยุค ทุกสมัย ทุกกาล ทุกเวลาด้วย นั่น นั่น นั่น

    แต่พวกเรามีกิเลสก็ลากไปทางกิเลสผู้มีกิเลสมาก
    ก็จั๊บพรรคจั๊บพวกลากกันไปทางมาก มันก็ไปตกเหว
    เกิดอลหม่าน อยู่ทุกย่อมหญ้า ใช่มั๊ย ..
    นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น อ่า
    เอ..

    บางท่านก็บอกว่า พระภิกษุ เอ.. พระภิกษุ สามเณร ไม่ควร
    จะเป็น.. เอ. ไม่ควร ... เป็นการบ้านการเมือง
    พระ..ภิกษุสามเณรไม่สอนบ้านสอนเมือง จะไปสอนผี ตัวไหน
    ..อะหุหุหุ

    เอ๊า..ถ้าอย่างนั้น พระไตรปิฎกเอาไปเผาไฟทิ่งซ๊ะ
    ไม่ต้องนอนเฝ้าถูกไหม ท่านมหาฯ
    อ่า.. เอ๊า.. หน้าที่ของฆาราวาส
    ทำกับภิกษุ สามเณร ทำยังไง ก็ยังไม่รู้อีกเสียด้วย
    ใช่มั๊ย แต่ก็รู้อยู่เป็นส่วนมาก ส่วนที่ไม่รู้ก็<O:p</O:p
    มีน้อย ...




    แต่หน้าที่ของฆราวาส ทำกับพระ ทำยังไง

    ๑. ด้วยกายกรรม คือ ทำอะไร ๆ ประกอบด้วยเมตตา
    <O:p</O:p๒. ด้วยวจีกรรม คือ พูดอะไร ๆ ประกอบด้วยเมตตา<O:p</O:p
    ๓. ด้วยมโมกรรม คือ คิ๊ดอะไร ๆ ประกอบด้วยเมตตา <O:p</O:p
    ๔. ด้วยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู คือห้ามไม่ให้เข้าบ้านเรือน
    ๕.ด้วยให้อามิสทาน ออกจากมุขปากพระบรมศาสดาอีกซะด้วย <O:p</O:p
    <O:p
    หน้าที่ของพระ.. ทีนี่<O:p</O:p
    ๑.ห้ามไม่ให้กระทำ ความชั่ว <O:p</O:p
    ๒.แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี <O:p</O:p
    ๓.อนุเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงาม
    <O:p</O:p๔.ให้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง <O:p</O:p
    ๕.ทำสิ่งที่ฟังแล้วให้แจ่ม <O:p</O:p
    ๖.บอกทางสรรค์ให้

    นั่น !!!!

    ตั้งก๊ฎหมาย กีดกันพระ
    ไม่ให้พระสอนโยม บ้า จริง จริ๊ง
    ถูกม๊าย นั่น.. นั่น นั่น นั่น นั่น หุหุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ก๊ฏหมาย ก๊ฏหมู่ ก๊ฏพรรค ก๊ฏพวก
    ไม่ยอมดูคำสอนพระพุทธศาสนา มันก็ไปไม่รอด..
    เอ๊า ...
    หลักที่ยึดมั่น ธรรมเป็นโลกบาลคุ้มครองโลก ๒ อย่าง
    ความละอายต่อบาป
    ความกลัวต่อบาปเท่านั้น
    หิริ ความละอายต่อบาป
    หิริ๊ ความละอายต่อบาป

    โอตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาป
    ถ้าธรรม สองประการนี้มีอยู่ในหัวใจชาวโลกแล้ว ก็ป๊กครองกันอยู่
    ถ้าไม่มีอยู่ในหัวใจชาวโลกนี่แล้ว ก็ป๊กครอง กันไม่อยู่ ..

    ใช่มั๊ย !!! นั่น.. นั่น นั่น นั่น นั่น

    อ้าว ..ถ้าไม่มีความละอายต่อบาป ไม่มีความกลัวต่อบาป
    มันก็ไปล่วงละเมิดศีล ๕ ใช่มั๊ย
    นั่น นั่น นั่น ..
    เพียงศีล ๕ เท่านั้น ถ้าชาวโลกมี
    ก๊ฏหมายก็ไม่ต้องตั้งมาก
    ตั้งเพียงงบประมาณ และภาษีอากรก็พอแล้วใช่มั๊ย ...
    ทหารก็ไม่ต้องมี
    ตำรวจก็ไม่ต้องมี
    โซ่ตรวนก็ไม่ต้องมี
    เรือนจำก็ไม่ต้องมี
    กุญแจ ก็ไม่ต้องมี...ใช่มั๊ย

    เหตุนั้น....

    พระบรมศาสดา จึงยืนยันว่าผู้มีศีล 5 บริบูรณ์
    ไม่เสียดายล่วงละเมิดศีล ๕
    ไม่เสียดายถือศาสดาอื่น
    ไม่เสียดายอยากจะถืออยู่ยงคงกระพัน
    ไม่เสียดายอยากจะถือฤกษ์ดี ยามดี
    ผู้นั้นก็...คือ
    สุปฎิปันโนเราดีดี นี่เอง ใช่หรือไม่ท่านมหาฯ
    หุหุ หุ นั่น .. ใช่มั๊ย เออ.. นั่น นั่น เออ เหตุนี่
    อ๊าว ..ประเทศของเรา ชาวโลกของเรา มีมนุษย์เท่าใด
    ก็ประมาณ ห้าพันล้าน ใช่มั๊ย ท่านมหาฯ
    คนห้าพันล้านนี้ มีศีล ๕ พอ ล้านคนม๊าย
    คงจะ .จุดจุด.. ไม่มี ใช่ม๊าย นั่น ..
    อ่าว .. ประเทศจีนมีพลเมือง พันล้านคน
    หม๊ดประเทศมีพอ หมื่น คนมั๊ย มี ศีล ๕ บริบูรณ์
    ไม่เสียดายล่วงละเมิดศีล ๕
    คำว่าไม่เสียดายล่วงละเมิดศีล ๕หมายความว่า
    เห็น ว่า มันเป็นเวรเป็นภัย จริง จริ๊ง
    <O:p</O:p
    ดูเถอะ ยุงตัว นี้ มึง มากัดกู
    ถ้ากูไม่รักษาศีล กูจะเอาให้มึงเรียบ ....
    อย่างนี่ไม่ใช่พระโสดาบัน เน้อ ... เพราะเสียดายอยู่ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เป็นโฆปาละศีล อ่า .. ถูกมั๊ย .. อ่า

    อริยะกันตัง ปะสันติตัง
    คือ
    อริยะกันตะศีล ของพระโสดาบันเป็นต้นไป ....



    พรหมจรรย์เบื้องต้นของพระพุทธศาสนา
    ก็หมายเอาพระโสดาบัน เป็นต้นไป
    ต่ำกว่านั้นลงมา อย่าเอามาเอ่ยเลย

    <O:p</O:p
    ทำไมจึงมีโลกีย์ มาปนเป ศาสนาพุทธมาก
    ก็เพราะ !!
    เอาลูกเขยไปนั่งเกวียนเดียวกับพ่อตา ใช่ม๊าย
    ใช่มั๊ยท่านมหาฯ
    พระพุทธศาสนาเป็นโลกุตระ ธรรมทั้งนั้น

    บัญฑิโต คระมาวะสัง
    บัณฑิตเป็นผู้ครองเรือน ก็คือพระโสดาบันเราดีดีนี่เอง
    ไม่ใช่อื่นไกลเลย

    เอ.. จึงมีปฏิบัติ ทั้งเล่ม นับแต่ จุตกะ ธรรมละกิเลส
    ไปจนถึงเกลียจคร้าน ทำการงาน มีโทษตก
    เป็นภูมิของพระโสดาบัน ทั้งนั้น
    ศีล ๕ ประการนี้
    คฤหัสถ์ควรรักษาเป็นนิจ
    นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่นๆๆ หุหุ นั่น นั่น
    แตกกระเชิงเลย ผู้ไม่พอใจ ใช่มั๊ย นั่นๆๆ นั่นๆๆๆ
    <O:p</O:p
    สุจิสัง ละภเต ปัญญัง
    ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา

    ปัญญาญะ ปริสุท สติ
    บุคคลจะบริสุทธิ์ก็เพราะ ปัญญา

    ปัญญาโลกะ สิริ ปรัญโชโต
    แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี

    เหตุนั้น
    จึง... บัญญัติว่า ....วิปัสนาธุระ....
    ธุระทางปัญญา คือ
    ปัญญาเป็นหัวหน้า ของธรรมทุกหมวด
    ผู้จะมีศีลบริสุทธิ์ ผู้ที่จะเลื่อมใส พระพุทธศาสนา
    ผู้ที่จะเห็นอนิจจังก็เพราะปัญญาหยั่งเป็นหัวหน้าเลย
    <O:p</O:p
    ยังกิญจิ สมุทยะธัมมัง สัพพันตัง
    นิโรธะธัมมัง ติ

    พระโกญฑัญญะ หยั่งเห็นอนิจัง ชัด
    <O:p</O:p
    สารีบุตรฯ โมคคัลลาฯ ก็เหมือนกัน
    สารีบุตรฯ ก็มาจากศาสดาอื่น
    โมคคัลลาฯ ก็เหมือนกัน
    มาจากสญชัยปริพาชก ใช่มั๊ยท่านมหาฯ

    เออ.. พอได้ฟัง พระอัสชิ เทสน์ อนิจจัง ให้ฟังแล้ว
    ก็สำเร็จพระโสดาบัน ใช่มั๊ย

    เออ .. พอ เดินมา ไปเจอกัน กับพระโมคคัลลาฯ
    ท่านได้นัดกันไว้แล้ว
    เออ เพื่อน มาจากไหนวันนี้ ดูหน้าตาผ่องใสมาก
    คงจะ ได้ธรรมอันวิเศษมาเล่าให้ฟังให้กันฟังดูหรือ

    เออ เราไปเจอพระองค์หนึ่ง มาเดี่ยวนี้ เพื่อนเอ๋ย
    ธรรมอะไร เกิดแต่เหตุ ธรรมอันนั่น ดั๊บแต่เหตุ เพื่อนเอ๋ย
    คือ
    อนิจจังนั้นเอง
    เออ เข้าใจแล้วเพื่อนเอ๋ย ไปเถิด พวกเรา
    ออกหนีจาก สญชัยปริพาชก เถอะ
    เลยไปลา สญชัยปริพาชก ออกไป
    บริวารทั้ง 500 คน เออ พวกท่านคนฉลาดไปหาพระโคดมซ๊ะ
    คนโง่มาหาเราเถิด ว่าอย่างนั่น

    เออ..พอท่านสองพระองค์นี่ไปแล้ว เงียบเหงาในสญชัยปริพาชก นั่น
    ไปบวชกับพระบรมศาสดา
    พระโมคคัลลา ก็ ๗ วัน ก็สำเร็จพระอรหันต์
    พระสารีบุตร ๑๕ วัน
    พระสารีบุตร และพระโมคคัลลาฯ
    สร้างบารมีมาแต่ครั้งไหน
    ครั้งพระเจ้าอะโนมะทัสสี พระพุทธเจ้าอะโนมะทัสสี


    แต่ก่อนเป็นสารถะดาบส ไปกราบไว้ พระเจ้าอะโนมะทัสสี
    พระอะโนมะทัสสี มาพัก อยู่ที่แห่ง
    พอไปเห็นสาวกเบื่องซ้าย เบื่องขวา ก็เลื่อมใส
    คนหนี่งเลื่อมใส สาวกเบื้องขวา
    คนหนึ่งซ๊ะเลื่อมใส สาวกเบื้องซ้าย
    ก็ปราถณาเป็นสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา
    ก็เลย จิตก็เลยฟุ้งซ่าน
    ก็เลยไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์
    ส่วนลูกศิษย์ของท่าน คลังละหมื่นคน
    สำเร็จพระอรหันต์ ไปหมดแล้ว นั่น นั่น

    เป็นสารถะดาบส ..ยัง .. ยังเหลือแต่ท่าน
    ท่านก็เล่า ให้พระพุทธเจ้าอะโนมะทัสสีฟัง
    ข้าพระองค์ ขอปราถนา
    เป็นสาวกเบื้องซ้าย กับเบื้องขวา
    คนหนึ่งก็เบื่องซ้าย
    เออ.. แต่นี้ต่อไป ในอนาคต
    โน้นจะมีพระพุทธเจ้า ชื่อว่า สมณะโคดม
    พวกเธอทั้งหลายจะได้เป็นสาวก
    เบื้องซ้าย เบื้องขวา องค์นั่น จริง จริ๊ง
    นั่น นั่น นั่น

    อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม
    ปะทุโม โลกะปัชโชโต
    นาระโท วะระสาระถี
    ปะทุมุตตะโร สัตตะสาโร
    สุเมโธ อัปปะฏิปุคคะโล
    สุชาโต สัพพะโลกัคโค
    ปิยะทัสสี นะราสะโภ
    อัตถะทัสสี การุณิโก
    ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท
    สิทธัตโถ อะสะโม โลเก
    ติสโส จะ วะทะตัง วะโร
    ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ
    วิปัสสี จะ อะนูปะโม
    สิขี สัพพะหิโต สัตถา
    เวสสะภู สุขะทายะโก .. ตู๊มม!!....
    กะกุสันโธ สัตถะวาโห
    โกนาคะมะโน ระณัญชะโห
    กัสสะโป สิริสัมปันโน
    โคตะโม สักยะปุงคะโว

    นั่น นั่น นั่น
    สิบสี่ สิบห้า สิบหก สิบเจ็ด สิบแปด สิบเก้าพระองค์
    เห็นอย่างนั้น
    ก็ยังไปเลื่อมใสศาสดาอื่นอยู่
    นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น
    มีที่อ้างอิงมาก พระพุทธศาสนา

    อ่าว.. ลัทธิอื่น มีที่อ้างอิงอย่างนี่หรือไม่ เปล่าเลย
    โถ่ อีพ่อ อีแม่ กูเอ๋ย ใช้มั๊ย นั่น นั่น นั่น
    ถูกไหม ท่านมหาฯ อืม ถูกต้อง.. นั่น
    สิบสี่ ตูม สิบเก้าพระองค์ ใช่มั๊ย
    นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น ถูกมั๊ย
    นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น
    พระพุทธเจ้าล่วงไป มากกว่าอสงไขย อสงไขยเลย
    จะกัลป์ก็อสงไขยกัลป์ อสงไขยกัลป์แล้ว ........




    แล้วล่วงไป....
    จะมาในข้างหน้าก็เหมือนกัน ก็เหมือนกัน ใช่มั๊ย
    หุหุ นั่น หุหุ หุหุ นั่น นั่น นั่น นั่น

    มีคำสอนอันเดียวกันเลย ไม่ได้ลบล้าง พ.ร.บ กันเลย
    ถึงแม้ จะปรารถนา
    ปัญญาธิกะ
    ศรัทธาธิกะ
    วิริยะธิกะ
    ก็ตาม

    แต่คำสอนเป็นอันเดียวกันเลย
    มาตรัสรู้อริยสัจ 4 เหมือนกัน
    มาเทศน์ธัมมะจักกัปปะวัตตนสูตรหมือนกัน.. นั่น นั่น <O:p</O:p

    ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ครบไตรสิกขาหรือไม่
    มันก็ครบอยู่ในตัว

    อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง
    สัมมาทิฏฐิ
    สังกัปโป วาจา กัมมันโต อาชีโว วายาโม สติ สมาธิ ..นั้น
    ก็คือ ไตรสิกขาเราดีดี นี่เอง

    ใช่ม๊าย
    นั่น !!
    ใช่มั๊ย ท่านมหาฯ

    อ่า.. เพราะแต่ก่อน ยังไม่ได้ทันบัญญัติ
    ปาราชิก ๔
    สังฆาทิเสส ๑๓

    อนิยต ๒
    นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐
    ปาจิตตีย์ ๙๒
    ปาฏิเทสนียะ ๔
    เสขิยะวัตร ๗๕
    อธิกรณะสมถะ ๗
    อันใดอันหนึ่งเลย
    ก็สำเร็จพระอรหันต์ไปซ๊ะ ดอกบัวมันกำลังจะบาน
    พอได้รับมันก็บานออกเลย
    ดอกบัว ๔ เหล่า มีแต่ครั้งพุทธกาลหรือไม่
    หรือครั้งนี่ ก็มีอยู่ นั่น นั่น นั่นนั่น นั่น นั่น นั่น นั่นนั่น นั่น นั่น

    ดอกบานก็บานเต็มภูมิ เหมือน ท่าน ผู้พ้นเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว
    ดอกต่ำกว่านั้นลงมาก็คือ พระอนาคามี
    ต่ำว่านั้นลงมาก็ พระสกิทาคามี
    ต่ำกว่านั้นลงมา ก็คือ พระโสดาบัน
    ใช่มั๊ย นั่น นั่น นั่น นั่น นั่นนั่น

    เสมอน้ำและใต้น้ำ
    ก็พวก ที่ถือผี ก็ถือ
    และก็ถือลัทธิอื่นก็ถือ
    พวกใต้น้ำนี่ อ่า..ปะปนกันอยู่
    หรือเสมอน้ำ นั่น นั่น นั่น
    มีอยู่ทุกยุค ทุกสมัย ทุกกาล ทุกเวลาด้วย

    มันก็ขึ้นอยู่กับผู้บารมีแก่กล้า มาแล้วหรือไม่ เท่านั้น
    ถูกมั๊ย ..นั่น นั่น

    ทำไมจึงมีผู้ถือศาสนาพุทธน่อยนั๊ก
    ทำไมจึงมีปริญญาเอกน่อยนั๊ก
    เพราะเขากำลังเรียน
    ป.สะระ อา กา ขอ สะระอา. ขา อยู่ใช่มั๊ย
    นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น

    ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สูงส่ง
    ไม่เป็นฐานันดรศักดิ์ ผู้ที่มีบารมีอ่อน จะมาเลื่อมใสเลย
    ไม่เป็นฐานันดรของแมลงวัน จะไปเลื่อมใส แมลงภู่
    ใช่มั๊ย นั่น นั่น

    กัมมุนา วัตตกี โลโก <O:p</O:p
    สัตว์โลก เป็นไปตามกรรม

    ใครอยู่ ระดับใด ก็เลื่อมใส ระดับนั้น..ใช่มั๊ย
    แมลงวัน ก็มีอภินิหาร กินมูตคูถ.. ใช่มั๊ย
    แมลงหวี่ก็เหมือนกัน ไส้เดือนก็เหมือนกัน

    อ่า.. เครื่องพิสูจน์ พระพุทธศาสนา
    เป็น พระพุทธศาสนาที่เลือกเฟ้น.. ใช่มั๊ย
    นานาจิตตัง
    นานาธัมมัง

    ธรรมแต่ละบ๊ทล๊ะบาท ส่งต่อพระนิพพานหมด
    พระพาหิยะผ่านมาเป็น ฆราวาส
    พอพระบรมศาสดา มองเห็นทราบแล้ว
    เอ่อ... โยมคนนี้จะสำเร็จ ปฏิสัมภิทา 4 ในขณะนี้
    เขาจะถามเราอย่างนั้น
    เราจะตอบเขาไปอย่างนี้
    เขาก็จะเข้าใจอย่างนั้น
    พระบรมศาสดา พอมองเห็นชั๊ด เดียว รู้จักเลย
    เพราะกระแสธรรมะขององค์ท่านแข็งแกร่ง

    ที่นี้
    โยมคนนั้นก็บอกว่า พระบรมศาสดา เทศน์ให้ข้าฟังด้วย
    เอ๊อ.. เวลานี้เรากำลัง บิณฑบาตร อยู่ ไม่เป็นฐานะ<O:p</O:p
    บางทีพระบรมศาสดาสิ้นลมปราณเดี๋ยวนี้ก็ได้
    บางทีข้าพเจ้าสิ้นลมปราณเดี๋ยวนี้ก็ได้

    เออ.. ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ยาก
    เป็นแต่สักว่ารู้เป็นแต่สักว่าเห็น เด้อ !

    ครั๊บ..พอแล้ว
    นั่น นั่น นั่น นั่น
    เพราะบารมีแก่กล้ามาแล้ว แต่ครั้งพระเจ้ากัสสปะ
    เรื่อง ผลัดบันไดใช่มั๊ย ท่านอาจารย์มหาฯ
    เออ.. นั่น ถูกต้องดี
    เป็นแต่สักว่ารู่เป็นแต่สักว่าเห็น
    ครั๊บ..พอแล้ว

    นั้นคืออะไร

    คือ รวมพลไตรสิกขาแล้ว <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อธิสีล สิกขา สิกขา คือ ศีลยิ่ง <O:p</O:p
    อธิจิตตะ สิกขา สิกขา คือจิตยิ่ง <O:p</O:p
    อธิปัญญา สิกขา สิกขา คือ ปัญญายิ่ง
    ....รวมพลกันเป็นอันเดียวในปัจจุบัน.....





    รวมพลกันเป็นอันเดียวในปัจจุบัน
    ถอนอัตวาทุปาทานแตกกระเจิงเลย

    คือ

    ไม่สำคัญ ว่า เรา เป็น ผู้รู้ ผู้เห็น

    ไม่สำคัญ ว่า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็น เรา

    ทีนี้อัตวาทุปาทานก็ แตกกระเจิงเลย
    ทีนี้ ความหลงทั้งหลายก็แตกไปด้วย
    ก็กลายเป็น วิชาจรณะสัมปันโน

    อามิส อัตวาทุปาทานก็แตก ไปเลย
    ความเห็นว่า ตน ตัวเรา เขา สัตว์ บุคคลไม่มี ในขณะนั้นเลย
    เผ๋งเลย คำเดียว เผ๋งผั๊บเลย

    เหมือนสวิทซ์ไฟฟ้าเปิดนี่ก็ปั๊ปนั่นเลย
    นั่น หุ หุ หุ หุ นั่น นั่น นั่น นั่นหุ หุ นั่นนั่นไปเลย

    นั่น... ผู้บารมีแก่กล้ามาแล้ว <O:p</O:p
    ธรรมแต่ละบทละบาทส่งผลต่อพระนิพพานทั้งนั้น
    ที่ท่านเทสน์มาก
    ก็เรียก ฑีฆะวรรค

    เทสน์ขนาดกลาง ก็เรียกว่ามัชฌิมาวรรค.. มัชฌิมาวรรค
    เทสน์ขนาดย่อ ก็เรียกว่าจุลวรรค หรือ เอกวรรค หรือ เอกนิบาตร
    ย่นลงในปัจจุบันเลย

    ไตรสิกขาย่นลงไปปัจจุบัน
    ไตรสิกขาของพระโสดาบัน
    ไตรสิกขาของพระสกิทาคามี
    ไตรสิกขาของพระอานาคามี
    ไตรสิกขาของพระอรหันต์
    ไตรสิกขาของพระปัจเจก
    ไตรสิกขาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จะเอามาเปรียบกันไม่ได้ ในปัจจับัน

    ปัจจุบันของพระโสดาบัน
    ปัจจุบันของพระสกิทาคามี
    ปัจจุบันของพระอานาคามี
    ปัจจุบันของพระอรหันต์
    ปัจจุบันพระปัจเจก
    ปัจจุบันพระสัมมาพุทธเจ้า
    จะเอามาเทียบกันไม่ได้

    เพราะ

    มีฌาณสัมปยุตต่างกัน

    ปัจจุบันของช้าง
    ปัจจุบันของราชสีห์
    จะเอามาเทียบกันก็ไม่ได้
    เพราะน้ำหนักต่างกัน

    บุคคลก็เหมือนกัน
    บุคคลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<O:p</O:p
    พระอรหันต์ ขีณาสพทั้งเพศหญิงและเพศชาย
    บุคคล บุคคลพระอานาคามี
    บุคคลพระสกิทาคามี
    บุคลพระโสดาบัน
    จะเอามาเทียบกันไม่ได้

    บุคคลบิดา มารดาก็จะเอามาเทียบกันไม่ได้
    จะเตะตูด เขกหัวก็ไม่ถูก ใช่ม๊าย นั่น หุหุ นั่น นั่น นั่น

    สิ่งนี้ ...เป็นหน้าที่ของชาวพุทธ ประสบทั้งนั้น
    พระพุทธศาสนาเป็นธรรมมาธิปไตย
    อาศัยธรรมเป็นหลักธรรมาธิปไตย

    ประชาธิปไตยก็ตาม
    อัตตาธิปไตยก็ตาม
    โลกาธิปไตยก็ตาม<O:p</O:p
    ต้องอาศัยธรรมาธิปไตยเป็นดิ่ง

    ถ้าปีนธรรมาธิปไตยเราก็ไปไม่รอด
    เป็นหน้าที่ชาวพุทธจะขบให้แตกทั้งนั้น

    พระบรมศาสาสอนคนให้ฉลาด
    ไม่สอนคนให้โง่
    ฉลาดนั้นเอง จึงจะไปชนะโง่
    ปัญญานั่นเอง จะไปชนะโง่
    นั่น..
    สติปัญญาแข็งแกร่งกว่าความหลงและก็ข้ามทะเลหลงในที่นี้เลย
    ไม่ได้ข้ามทางอื่น ข้ามทางอื่นก็ขาฉีกตาย ใช่มั๊ย หุ หุ นั่น นั่น

    ข้ามทะเลหลงด้วยความไม่หลง นั่น นั่น นั่น

    พระพุทธศาสนาสอนให้ชนะกิเลสของตน
    ไม่ให้สอดสอนให้ชนะทางอื่น..



    ชนะทางอื่นมีดาษดื่นถมเถ พระบรมศาสดา ไม่ได้เอามาปนเป
    ชนะ ก็ชนะความหลงของตน
    แพ้ก็แพ้ความหลงของตน อยู่ที่เมืองไทย
    นั่น นั่น นั่น
    แต่ชาวโลกถือไปชนะทางอื่น มันก็ยิ่งตื่นไม่ครบ
    นั่น นั่น ถูกไหม
    เอ๊า...
    ใครเป็นผู้หาความสุขในโลก ไม่เจอ ไม่เจอะ ไม่พบ ไม่ปะ เลย
    พระอรหันต์จำพวกเดียวหาความสุขในโลก ไม่เจอ ไม่เจอะ
    ไม่พบ ไม่ปะ ไม่เห็น
    เหตุนั้น จึงชนะความหลงของตนไปซ๊ะ
    นั่น ..

    สุขของคฤหัสถ์ก็มี อยู่ ๔ อย่าง <O:p</O:p
    ๑. สุขเกิดแต่ความมีทรัพย์<O:p</O:p
    ๒. สุขข์เกิดแต่กายทรัพย์บริโภค<O:p</O:p
    ๓. สุข เกิดแต่ความไม่เป็นหนี้เป็นสิน <O:p</O:p
    ๔. สุขเกิดแต่ทำงานที่ปราศจากโทษ<O:p</O:p

    ถึงอย่างนั้นก็อยู่ใต้อำนาจอนิจจัง
    เกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนและแตกสลายไป
    เหตุนั้น
    จึงหาไม่เจอ ไม่เจอะ ไม่พบ ไม่ปะ ไม่เห็นเลย

    เหตุนั้น
    จึงข้ามทะเลหลงของตนไปซ๊ะ
    ข้ามทะเลหลงของตนด้วยอานัดนิ้วมือเดียวเลย
    เพราะความฉลาดแข็งแกร่งมาแล้ว อืม.

    ..เอ๊า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระไตรปิฎกย่นลงมา เป็น สาม
    ไตรแปลว่า สาม
    ปิฎกกาย
    ปิฎกวาจา
    ปิฎกใจ <O:p</O:p
    พระปรมัตถ์ ก็มัตถ์เข้าที่กาย วาจา ใจ
    ว่าเป็น ฑีฆนิบาตร ท่านมหาฯ <O:p</O:p
    ว่าเป็นทุกกะนิบาตร ก็มัตถ์เข้ากับ กาย กับ ใจ
    ว่าเป็น ทุกกะนิบาตร มัตถ์เข้ากายกับใจ

    พูดเอาใกล้ๆ ที่ตาเห็นนี่ นึกคิดแล้วก็ล่วงไป
    พูดออกมาแล้วก็ล่วงไป ล่วงไป
    อืม .. หายใจเข้าแล้วก็ล่วงไป
    หายใจออกแล้วก็ล่วงไป
    มีทั้งเกิด ทั้งแปร ทั้งดับ หาช่องว่างมิได้
    ใช่ม๊าย อืม..
    นั่น

    ไฟ
    ที่มันติดกันเป็นแสง มันเกิด ดับเร็วนัก
    ก็เป็น เป็น พืด เป็น สันตติ ติ๊ดต่อกัน ..ใช่มั๊ย
    อืม นั่น .. อันนั้นเป็นรอบใหม่หรือรอบเก่า
    นั่น.
    ก็รอบเก่าของมันนั่นเอง ใช่มั๊ย
    อันพูดอยู่นี่เป็นรอบใหม่หรือรอบเก่า
    ก็รอบเกิดดับของเก่านั่นเองใช่หรือไม่ <O:p</O:p
    วจีสังขาร
    จิตสังขาร
    กายสังขาร
    พระนิพพานไม่ได้มาพูดด้วย
    ใช่หรือไม่ท่านมหาฯ ถูกมั๊ย... ถูกต้อง.. อ่ะนะ...<O:p</O:p


    คำว่าโวหาร ก็หารลงมาถึงปัจจุบันใช่ไหม
    อืม..เหตุนั้น จึงยืนยันปัจจุบัน <O:p</O:p




    </PRE>


    ปัจจุปันนัง จะ โย ธัมมัง
    ผู้ใดเห็นธรรมในปัจจุบัน ผู้นั่นไม่ง่อนแง่นคอนแคลนแล
    ผู้นั้นไม่กล่าวตู่คนด้วย ผู้นั่นไม่กล่าวตู่พระพุทธศาสนาด้วย



    ฉันทะ พอใจรักใคร่ในกรรมฐานที่ตั้งไว้ ในปัจจุบัน
    วิริยะ เพียรหมั่นประกอบในกรรมฐานที่ตั้งไว้ในปัจจุบัน
    จิตตะเอาใจฝักใฝ่ในกรรมที่ตั้งไว้ในปัจจุบัน
    วิมังสา หมั่นตริตรองพิจารณา เหตุผลในปัจจุบัน
    คุณมีอย่างนี้ มีบริบูรณ์แล้ว อาจชักนำบุคคล ให้ถึง สิ่งที่ต้อง
    สิ่งที่ต้องประสงค์ซึ่งมีอยู่แล้วในนิสัย

    เอ้า..ศรัทธา
    ธรรมเป็นพระธรรมมีกำลัง 5 อย่าง

    ศรัทธาความเชื่อ ในกรรมฐานที่ตั้งไว้
    วิริยะเพียรในกรรมฐานที่ตั้งไว้
    สติระลึกชอบในกรรมฐานที่ตั้งไว้
    สมาธิตั้งมั้นในกรรมฐานที่ตั้งไว้
    ปัญญารอบรู้ในกรรมฐานที่ตั้งไว้

    อินทรีย์ 5 ก็เรียบเพราะ เป็นใหญ่ในจิตของตน ในกิจธุระของตน
    เป็นเชือก 5 เกลียวเหนี่ยวอยู่ในปัจจุบันใช่หรือไม่ นั่น นั่น นั่น


    อาศัยปัจจุบันเป็นทางเดินมรรค เอกะมรรค

    สัมมาทิฏฐิ . สัมมาสังกัปโป วาจา.กัมมันโต.อาชีโว .วายาโม.สติ.สมาธิ<O:p</O:p
    เป็นเมืองขึ้นของสัมมาทิฏฐิ
    สัมมาทิฏฐิพระโสดาบัน
    สัมมาทิฏฐิ พระสกิทาคามี
    สัมมาทิฐฐิพระอนาคามี
    สัมมาทิฏฐิ พระอรหันต์
    พระอรหันต์เรียนสัมมาทิฐฐิ จบแล้ว
    เห็นชอบแล้ว
    จนพ้นชอบแล้ว
    หลุดพ้นโดยสิ้นเชิงแล้ว <O:p</O:p
    เรียกสัมมาวายามะแล้ว
    บริบูรณ์แล้ว

    สัมมาทิฏฐิของพระโสดาบันเห็นเป็นเอกเทศ
    พ้นกิเลส เป็นเอกเทศไม่กบฏ คืน

    สัมมาทิฏฐิ ของสกทาคามี ก็มีก็เหมือนกัน
    พระอนาคามี ก็เหมือนกัน
    พระอรหันต์จบแล้ว

    พระอนาคามีเป็นสัมมาทิฏฐิละเอียดไปแล้ว
    เห็นชอบไม่มีโลภ ไม่มีโกรธแล้ว แต่หลงของท่านมีอยู่บ้าง

    พระโสดาบันเห็นชอบแล้ว
    ในเบื้องต้น เห็นชอบว่าไม่เสียดายล่วงละเมิดศีล 5 นั่นเอง
    สิ่งไหน ไม่เสียดายล่วงละเมิด สิ่งนั้นก็ไม่หนักใจ
    เราไม่เสียดายล่วงละเมิดลงในหลุมถ่านเพลิง
    มันหนักใจมั๊ย มันก็ไม่หนักใจใช่มั๊ย

    เราไม่เสียดายลงลุยหลุมมูถคูตร มันหนักใจมั๊ย
    มันก็ไม่หนักใจ ...ใช่มั๊ย

    ทำไมจึงไม่เสียดาย
    เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์...ใช่มั๊ย
    นั่น!! ....เรียกว่า เห็นแล้วไม่กบฎคืน



    นะโมพระโสดาบัน นอบน้อมไม่ล่วงละเมิดศีล 5
    แต่นะโมพวกเรานั้น นอบน้อม เลข น้อมหาน้อมบัตรน้อมเบอร์
    ใช่มั๊ย !!! นั่น ! นั่น ! นั่น !

    ถ้าผู้ใด สรรหาเลข สรรหาบัตร หาเบอร์อยู่
    คนนั้นไม่ใช่พระโสดาบันเด้อ !

    เออ.. ถ้าสำคัญว่าเลขหาบัตร เบอร์ มันจะเป็นทรัพย์สมบัติ
    พวกนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ...

    เอ.. หุหุ มนุษย์วิบัติ อืม.. นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น
    มนุษย์วิบัติ ก็ สวรรค์วิบัติ ก็ พรหมวิบัติ ก็ นิพพานวิบัติเหมือนกัน
    ใช่มั๊ย... นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น

    พูดเผง ๆ เผงๆ เลย เพราะเราเห็นอย่างนี้
    ท่านผู้อื่นเห็น อย่างไร ก็ขออภัยด้วย
    เราเห็นอย่างไหน เราก็ยืนยันอย่างนั้น
    เรายืนยันในทางที่ถูกไม่เป็นอัตวาทุปาทาน นั่น..


    ถ้าอย่างนั้น พระบรมศาสดา ยืนยัน อริยสัจ ๔ จะไม่เป็น อุปทานหรื๊อ
    มันก็ไม่เป็นเพราะยืนยันตามอริยสัจ
    ความจริงอย่างประเสริฐ นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น

    เอ๊า.. ใครเป็นผู้บัญญัติ บาป บุญ คุณโทษ ถูก
    ก็..พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
    หรือนอกนั้นอย่าเอามาเอ่ยเลยยยยยย หุหุ หุหุ หุหุ
    นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น ถูกมั๊ย นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น


    โยนิ ๔
    ชราพุชะเกิดในครรภ์
    อัญฑะชะ เกิดในฟองไข่
    สังเสทะชะเกิดในท่อไคร
    อุปะปาติกะ เกิดผุดขึ้น
    สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้จะมาเลื่อมใสพระพุทธศาสนาทั้งนั้น
    แต่ยังไม่มีคิว
    ต้องมาเป็นลำดับ ๆ ลำดับๆ

    พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็มาเทศน์เอาแต่เพียงเขาโค เท่านั้น
    ถึงอย่างนั้น ส่วนพระโคไม่ได้
    ถึงอย่างนั้น ก็นับเป็นหลายล้าน หลายโกฏิ
    ใช่มั๊ยนั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น

    อเน ตถะ ตโก จ โย
    พระพุทธเจ้ามากกว่าร้อยโกฏิ
    ที่ล่วงไปแล้วก็มากกว่าร้อยโกฏิ
    ที่จะมาในครั้งหน้าก็มามากกว่าร้อยโกฏิ
    เป็นคำสอนอันเดียวกันเล๊ย

    ไม่มีปาราชิก ๘ หุหุ หุหุ

    ไม่มีอริยสัจ ๘
    อริสัจ ๔ เหมือนกัน
    นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น

    เออ ..
    เถียงพระพุทธศาสนามันก็ไปไม่รอดใช่มั๊ย นั่น !! หุหุ หุหุ หุหุ
    หม๊ดไตรโลกธาตุนี่...มาบ้วนน้ำลายขึ้นฟ้ามันก็ไม่ถึงใช่มั๊ย นั่น นั่น นั่น

    ต๊กใส่ร่างของใคร ของมันเลย

    ทุ่งกุลาร้องไห้นั่น มันกว้างขวาง
    เอาคนไปยืนเป็นทิวแถวบ้วนน้ำลายขึ้นฟ้า ดูหรู
    มันก็ไม่ถึงใช่มั๊ย นั่น นั่น นั่น

    เอ๊า...มีปัญหาสอดเข้ามาว่า ทำไมจึงมีผู้ทำผิด
    ผู้ทำผิดก็ไปเป็นพยาน ของ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ผู้ทำถูกก็ ไปเป็นพยานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน
    พระเทวทัตก็ไปเป็นพยานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    สุปปะพุทธะก็ไปเป็นพยานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    นันทะมานพก็ไปเป็นพยานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ครุกรรม กรรมหนัก ส่วนกรรมเบาก็ยังมีอีก อะโขผู้ล่วงละเมิด

    เออ..

    ผู้ไม่ล่วงละเมิด เป็น โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์
    ก็ไปเป็นพยานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกัน..ใช่มั๊ย ..
    มือไม่จับมันก็ไม่ร้อนใช่มั้ย นั่น นั่น
    มันก็เป็นพยานทั้ง สองฝ่ายใช่มั๊ย นั่น นั่น


    ที่นี้...หลวงปู่ไปยิงนกเขา ตั้งแต่อายุ สิ๊บห้าปี
    ยิงด้วยไม้ฟางด้วยต้องเป่า ปุ๊บ ขึ้นไป
    ก็ถูกมัน ถูกนกเขา ตัวขนาดนี้แหล่ะมันจับอยู่ ก็ประมาณ สิบเมตร

    ก๊อกก๊อก แก๊ก ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก ลงมา ข้างนั่นบ้าง ข้าง
    ครานี้บ้าง ป๊อก ลงมาใกล้ๆนี่
    ผ่านแขนงใฝ่ อันนั่นบ้าง อันนี่บ้าง ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก ลงมา
    ก็มาตกลงนี่ หลวงปู่ก็ถอดลูกศรออก ก๊อกก๊อก ก๊อกก๊อก
    สองครั้ง มันเลยตาย

    มึงมาทำกูทำไม ไอ้ระยำ !.. มันจะว่าอย่างนั้นน่ะ
    กูจะไม่ให้อภัยมึงแล้ว กูจะจองเวรมึง มันจะว่าอย่างนั้น ก็ไม่ทราบ

    ก๊อกก๊อก ก๊อกก๊อก สองครั้งเลยใจขาดตาย
    ....เออ กูก็ไม่อยากปิ้งมึงเลย เอ่อ กูสลดใจ
    นึกอย่างนั่น ที่นี่ พอทำอยู่สิบห้า แต่อายุสิ๊บห้าปี

    พอถึง ๒๕๓๐ หลวงปู่ก็ระเบิดขึ้นนี่
    โรคหัวใจตีบนี่ เอา นี่ นี่ เอานี่ นี่นี่หุหุ นี่นี่
    โรคหัวใจตีบส่งเลือดไม่ทัน อ่า..ที่ยิงนกเขานี่เอง นั่น นั่น
    กรรมตามสนองในปัจจุบันชาติ ลูกหลานเอ๋ย
    อยู่นี่ก็ไม่พอ ๘๐ ก็เทศน์ธรรมให้ ลูกหลานซ๊ะ

    นี่ นี่ นี่ ตามมาถึงแล้วนี่ นี่<O:p</O:p
    หลวงปู่ไปตอนโค ก็ตามมาถึงแล้ว
    เป็นโรคใส้เลื่อน นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น

    หลวงปู่ ไม่ให้โค ไม่ไม่ให้ควายขี้
    ควายตัวหนึ่งเอามาเทียมไถ มันก็ทำท่าจะขี้

    อึ๊แต่ก่อนมึงก็กินอยู่ดีดี

    เอ ..กูเอามาเทียมไถทำไม มึงทำ จึงทำท่าจะขี้
    ไม่ ไม่ ไป ไป ก็ไล่มันไป แค่นี้ก็เป็นโรคท้องผูกแล้ว
    ไม่ฉันยาถ่าย มันก็ไม่ถ่าย นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น

    หลวงปู่ไปตอนโค ตัวเดียวเท่านั้น ก็ตามมาแล้ว เป็นโรคใส่เลื่อน
    นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น

    หลวงปู่ชอบกินตับกบ
    แต่เป็นเด็กเลี้ยงโค มันก็มาเป็นถุงน้ำดี แล้ว
    นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่นนั่น นั่น

    สิ่งที่ทำดีก็มี แต่ไม่เอามาพูด สิ่งที่ทำชั่วนี่ในปัจจุบันชาติ นี้เอง
    ไม่ต้องพูดแล้วชาติก่อน นั่น นั่น

    หลวงปู่เอามือกรอบอุจจาระองค์หลวงปู่มั่น สามปี อืม อืม

    เดี๋ยว อะ อะ อึม อืม ผะ ผู้...ไว้ เป็น ตัวเหยียบขี้วัวเต็มเท้า
    จะมาผูกเอาเลขไม่ยอม นะ
    อืมหุหุ หุ หุ นี่ นี่ กรอบ กรอบอุจารระองค์หลวงปู่มั่นสามปี
    ห้องถ่ายของหลวงปู่ ก็มี หก อัน ไม่มีใครไปร่วมเลย
    หลวงปู่เลยทิ้งนั่นอยู่แล้ว นั่น นั่น อานิสงส์มัน อ่า..


    เวลาหลวงปู่ป่วยก็มีผู้แยงเข้าไป อืม..ป่วยถ่ายไม่ออก แยงเข้าไป
    พอออกมาก็ออกมา ในระหว่าง ๒๕๑๐
    ก็อานิสงส์กรอบอุจารระหลวงปู่มั้น นั่นเอง
    นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น
    เห็นในปัจจุบันชาติเลย พี่น้องชาวพุทธเอ๋ย

    ทีนี้ ในทางชั่วก็เห็น
    ในทางดีก็เห็นในปัจจุบันเลย
    ชาติก่อนไม่ต้องเล่า
    เล่าชาตินี้พอแล้ว ก็เป็นพยานเอกแล้ว ชาตินี้ นั่น นั่น นั่น



    ทีนี้ เอ๊า ...ถ้าผู้ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรม
    ผู้ได้อะไรมาในทางที่ไม่ชอบ
    เขาเอาไปได้ไหม เขาก็เอาไปไม่ได้ ใช่มั๊ย
    ก็ฝืดเคืองเต็มที ใช่มั๊ย นั่น นั่น นั่น

    ผู้ที่ถือว่ามีบุญมีบาป ผู้อยู่ร่วมโลกกันถือว่ามีบุญมีบาป
    เขาไปได้ไหม เขาก็ไปไม่ได้ ก็แตกกระเชิงกันแล้วใช่มั๊ย
    นั่น นั่น นั่น

    แล้วแต่จะพิจารณาเอา ใครเป็นผู้ถือเอาว่ามีบุญมีบาป
    แตกกระเจิงกันแล้ว
    ไม่มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย คุณพระ
    พอแตกกระเจิงกันแล้ว ปั้นไม่ติดเลย
    เหมือนข้าวกับน้ำใช่มั๊ย
    นั่น นั่น นั่น นั่น
    นั่นผลของกรรมตามสนองใช่มั๊ย
    นั่น นั่น นั่น นั่น

    กัมมุนาวัตกีโลโก สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม

    ...ทีนี้ .. ต่อไปนี้แล้ว อ่า...ก็หมดเวลากันใช่มั๊ย

    แต่

    คำสอนของพระพุทธเจ้า
    ไม่หมดเวลาเลย

    ความป่วยความเน่าก็ไม่มีเอวัง ก็ไม่มี นิทธิตัง <O:p</O:p
    ก็ป่วยเน่าอย่างไม่มีกลางวัน กลางคืน
    ความตายก็แขวนคออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืน
    ไม่มีนิทธิตังเลย
    ก็มี ก็มี มี นิทธิตังก็สมควรเวลา แก่พวกเราพูดเท่านั้น
    แต่ธรรมทั้งหลายไม่ได้ลงธรรมมาสเลย

    ธรรมฝ่ายเกิดฝ่ายดับ ก็เกิดก็ดับ
    ธรรมฝ่ายไม่เกิดไม่ดับ ก็ไม่เกิดไม่ดับ
    ไม่ลงธรรมมาสเลย

    ใครจะรู้ตามเป็นจริง หรือ ไม่รู้ตามเป็นจริง
    ก็เป็นเรื่องของผู้รู้ และผู้ไม่รู้

    ไม่เป็นเรื่องของธรรมทั้งหลายเหล่านั้นจะมาเชื้อเชิญให้รู้
    ใช่มั๊ย
    นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น ถูกมั๊ย ..เออ...

    เอ๊า...

    พระบรมศาสดา พูดธรรมชั้นสูง
    เรารู้สมมุติ ตามเป็นจริงของสมมุติ

    เรารู้วิมุตติ ตามเป็นจริงของวิมุติ <O:p</O:p
    แต่เราไม่ติดอยู่ในเงื่อนทั้งสอง

    ถ้าเราติดอยู่สมมุติก็เรียกว่าเรา ไม่รู้สมมุติ
    ถ้าเราติดอยู่ในวิมุตติก็เรียกว่าเรา ไม่รู้วิมุตติ
    นั่น พระบรมศาสดา

    อดีต อนาคต ปัจจุบัน เราก็รู้ทั้งสามกาล
    แต่เรา ไม่ติดอยู่ในเงื่อนทั้ง สาม

    แต่...อาศัยปัจจุบัน เป็นผู้เดินมรรค

    เอ๊า... พระอนาคามี ยังมีกิเลสอยู่
    มีหลั๊กสูตรอยู่
    มีโหรเอกอยู่
    มีตำราอยู่

    กิเลสของพระอนาคามีมีนิดเดียว
    เป็นผู้เลิศกว่าเขาก็สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
    ไปสำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขามันก็ถูกแล้ว
    ทำไม จึงมีกิเลส เพราะสำคัญตัว

    เป็นผู้เลิศกว่าเขา
    สำคัญตัวว่าเสมอเขา
    อ่าพูดถ่อมตน นึกถ่อมตน ก็ยังมีกิเลสอยู่

    เป็นผู้เลิศกว่าเขา
    สำคัญตัวว่า เลวกว่าเขา
    นี้ก็ถ่อมตนมาก ก็ยังมีกิเลสอยู่

    นึกในใจ
    เป็นผู้เสมอเขาสำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
    นี้เย่อหยิ่งก็สมควรอยู่มีกิเลส
    เป็นผู้เลิศกว่าเขาสำคัญว่าเสมอเขา นี้ถ่อมตนมาก



    เป็นผู้เลิศ เอ่อ อ่า ..เป็นผู้เลิศกว่าเขา อ่า เป็นผู้เสมอเขา
    สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา

    เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัว ว่าเสมอเขา
    ก็สำคัญถูกแล้ว ทำไมจึงมีกิเลส
    เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา นั่น ทำไมจึงมีกิเลส
    เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา อันนี้เย่อหยิ่ง
    ก็สมควรมีกิเลส
    เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา เรียกว่าเย่อหยิ่ง
    เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา
    ก็ สำคัญถูกแล้วทำไมจึงมีกิเลส

    ส่วนพระอรหันต์ ไม่สำคัญตัวในที่ใดใด เลย
    ใช่หรือไม่ ท่านมหาฯ นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น นั่น ใช่หรือไม่ เอ่อ ถูกมั๊ย

    เออ ส่วนพระอรหันต์ เออ ไม่สำ ไม่สำคัญตัวในที่ใดใดเลย

    เอ้า.. มีปัญหาสอดเข้ามาว่า
    พระอรหันต์ รักษาจิตหรือไม่

    ท่านไม่รักษาจิตท่านเลย เพราะจิตของท่าน ไม่มีอุปาทาน
    ไม่สำคัญตัวว่าอยู่ในจิต
    ไม่สำคัญจิตว่า
    เป็นตัว
    เป็นตน
    เป็นเรา
    เป็นเขา
    เป็นสัตว์
    เป็นบุคคล

    ไม่สำคัญว่า
    ผู้รู้เป็นเรา
    เป็นเขา
    เป็นสัตว์
    เป็นบุคคล
    แต่เอามาพูดเฉยๆ เอ่อ พระบรมศาสดา
    ถ้าพระบรมศาสดารักษาจิตอยู่
    พระบรมศาสาดาก็ต้องเป็นคนคุมนักโทษ
    เพราะเกร็งว่านักโทษจะมาทำอันตรายแก่ตนด้วย
    เกร็งว่านักโทษจะ ลักหนีด้วย

    เหตุนั้น
    ท่านผู้พ้นไปแล้ว จึงไม่ได้รักษาใจ
    เพราะใจไม่มีโทษแล้วจะรักษาทำไม
    แต่พวกเราไม่รักษา มันก็ ผิดจริงจริ๊ง

    เพราะพวกเรายังไม่พ้นใช่มั๊ย ท่านมหาฯ ถูกมั๊ย
    ไอ้ขี้เกียจพูดด้วยก็ให้คะแนน ถูก สูงเลยตะพรึ๊ด ตะพรือ เลย..ใช่มั๊ย


    ของใหม่ไม่มี มีแต่ของเก่า

    มรรคผลนิพพาน ก็เป็นของเก่า
    บาปก็เป็นของเก่า
    บุญก็เป็นของเก่า
    มรรคผลนิพพานก็เป็นของเก่า
    ของใหม่ไม่มี แต่ของเก่า
    ของ ของเก่า ที่ควรเล่นก็มี
    ของเก่าที่ควรทำให้แจ้งก็มี

    เอกะ ธัมโม ธนัญ จ โน
    พระธรรมเป็นของเก่า ไม่ใช่ของใหม่ เป็นของเก่า

    โลภ โกรธ หลง ก็เป็นของเก่า
    ไตรสิกขา เพื่อจะ ชำระโลภ โกรธ หลง ก็เป็นของ ของเก่า
    ไม่ใช่ของใหม่

    ผู้ดื่มสุราก็เป็นของเก่า ผู้เว้นมาก็เป็นของเก่า
    ผู้เล่นเลขเล่นผา ก็เป็นของเก่า
    ผู้ที่เค้าเว้นก็เป็นของเก่าเหมือนกัน ไม่ใช่ของใหม่
    เกิดแก่เจ็บตายเป็นของเกา ไม่ใช่ของใหม่
    มรรคผล นิพพานก็เป็นของเก่า ไม่ใช่ของใหม่

    เอกะ ธัมโม ธนัญ จ โน พระธรรมเป็นของเก่านั้นเอง
    ไม่ใช่ของใหม่เลย

    แต่ของเก่าที่ควรเว้น ก็มี
    ของเก่าที่ควรปฏิบัติก็มี
    ก็แล้วแต่ผู้ใดจะเลือกถูก

    ถ้าไม่ถึงพระโสดาบันแล้ว มันก็ไปบานหน้าบุญพระโสดาบัน
    บานหน้าเข้าสู่พระนิพพาน ไปถึงพระอนาคามี บาปของพระโสดาบัน
    ก็ไปตกกันที่พระอนาคามี ส่วนพระอรหันต์เหนือบาป เหนือบุญไปซ๊ะ

    มรรค ...ธรรมชั้นสูง
    มาเถิดลูกหลาน เอ๋ย อย่าไปอยู่ที่นั้น พ่อข้ามมาแล้ว
    ที่นี่ไม่วุ่นวาย
    ที่นี่ไม่ขัดข้อง

    ที่ลูกที่หลานอยู่นั้นมันวุ่นวายมันขัดข้อง
    เพราะกิเลสยังมีอยู่กั๊บลูกหลาน

    ที่นี้ไม่มีกิเลสนี่ คล้ายๆกับพระบรมศาสดาร้องเรียกอยู่

    ไฟไหม้หัวท่วมพวกเธอทั้งหลายอยู่
    พรุ่งนี้พวกเธอ จึงจะดับมันจะถูกม๊าย
    ธรรมชั้น สูง

    ท่านมหาฯ ทำไม พระพาหิยะ ไม่ได้เรียงปฏิจจสมุปบาท
    ผมเข้าใจว่าที่พระบรมศาสาดา เรียงปฏิจจสมุปบาทนั้น
    เพราะให้สมบูรณ์พระองค์
    และเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจชัด

    สรรพพะทาหรณ์
    เส้นโซ่ มันคล้องคอ อยู่นี้ ตั๊ดปลอกไหนขาด
    มันก็ขาดไปเท่านั้นไม่จำเป็น จะไปทุ๊บ ทุ๊กปลอก
    ที่ไปทุ๊บทุ๊กปลอกก็เพื่อให้ อืม รู้จักความหมายให้สมบูรณ์พระองค์
    ใช่มั๊ย ..ใช่เน๊าะ

    ทีนี่ อุปาทานทั้งปวง อัตวาทุปาทาน ชนะ ถ้าชนะอัตวาทุปาทานแล้ว
    กามุปาทานถึงบันไดกาม ทิฏฐุปาทานถึงบันไดทิฏฐิ และความเห็น

    ศีลปตุปาทาน ถือมั่นในศีลพรต
    อัตวาทุปาทานถือมั่นวาทะ ว่าตนว่าตัว
    ถ้าชนะ อัตตาทุปาทานแล้ว อุปทานทั้งปวงก็แตกกระเจิง
    ใช่ ใช่หรือไม่ ท่านมหาฯ ใช่มั๊ย

    ..เออ..ไม่ต้อง เรียงแบบ
    อวิชาดับ สังขารดับ วิญญาญดับ นามรูป อายตนะ ตัณหา เวทนา
    ตัณหาอุปทาน ภพชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
    ทุกขะโทมะนัส อุปายาส ...ไม่ต้อง อนุโลม ปฏิโลมก็ได้
    ใช่มั๊ย

    ที่นี้ ที่ว่า พระอรหันต์มีอยู่ในโลกเท่านั่นองค์เท่านี้องค์ นั้น
    พูดเป็นบุคคลาธิฐานเพื่อให้รู้จักความหมาย เออ..

    ไอ้ที่แท้พระอรหันต์ถือว่าอะไรจะมาอยู่ในโลก
    ถูกมั๊ยท่านมหาฯ

    เพราะ
    พูดเป็นบุคคลาธิฐานเพื่อให้รู้จักความหมายใช่มั๊ย
    ถูกมั๊ย เออ..

    ที่พระบรมศาสาดา เสวยวิมุตติสุขอยู่เท่านั้น ๗ วัน
    เท่านี้ ๗ วัน เป็น ๔๙ วัน นั้น
    ก็พูดตามสมมุติ
    ไอ้ที่แท้ พระศาสดาสำคัญตัวอยู่ในที่ใด
    ใครก็ไม่รู้ใช่มั๊ย ท่านมหาฯ

    ที่นี้ ที่ให้สรรเสริญว่า
    พระโมคคัลลา ฤทธิ์มาก เดชมาก เอ้า.. เก่งทาง ทางฤทธิ์เดช
    พระสารีบุตรเก่งทางปัญญา เออ ..
    พระอนุรุทธะ เข้าฌานเร็ว ทันพระองค์
    แต่ก็ไม่เทียบพระองค์ ใช่มั๊ย

    พระสีวลีมีลาภมากแต่ก็ไม่เทียบพระองค์ ..ใช่มั๊ย

    พระสารีบุตร มีปัญญามาก แต่ก็ไม่เทียบพระองค์
    พระอานนท์จำพระหูสูตรเก่งแต่ก็ไม่เทียบพระองค์.. ใช่มั๊ย

    ผมเข้าใจอย่างนั้น

    ผมว่าถ้าจะเสมอพระองค์หมด
    ที่ พระองค์ก็มีภูมิเท่าสาวก มันก็ไม่ถูก น่ะ ถูกมั๊ย
    เพราะมีปัญญาเก่งกว่า

    หายใจเข้าครั้งหนึ่งระลึกชาติหนหลังได้ตั้งล้านล้าน
    พระบรมศาสดา
    เว้นไว้แต่ไม่ต้องการ นั่น นั่น แผ๊บเดียวเท่านั้น
    ใครจะเสมอเหมือนไม่มีเลย
    จึงสมฐานะ ว่าเป็น สยัมภู อืม..
    จึงเป็นสมฐานะว่าโลกะวิทู รู้แจ้งโลก

    สาวะโกโลกะวิทู เห็นอนิจจังขณะจิตหนึ่งก็เห็นโลกรอบหนึ่ง
    ก็เรียกว่าโลกะวิทูได้เหมือนกันแต่ไม่เทียบพระบรมศาสดา
    เรียกว่า สาวะโกโลกะวิทู

    ไม่ใช่ สัมมาสัมพุทโธโลกะวิทู รู้แจ้งโลก
    เออ รู้หม๊ดทุ๊กอย่าง ไม่เสมอเหมือนพระองค์เลย


    สัตว์ตัวไหนมาจากไหนจากไหนรู้จักหมด
    จะไปไหนก็รู้จักหมด
    ไม่ว่าจะไม่ต้องการ เออ.. เออ.
    พระบรมศาสดา

    แต่พวกเรา ไม่เทียบพระบรมศาสดา ใช่มั๊ย
    พระนิพพานตรงพระนิพพานเท่านั้น
    ไม่เป็นหน้าของสังขารจะไปก้าวก่าย

    อนัตตาในพระนิพพาน เป็นอนัตตาที่ลึกซึ้ง
    อนัตตาในสังขารเป็นอนัตตาที่ตื้น
    เออ ...ก็ไม่ยุ่งเหยิง เป็นธรรมอันว่างที่ตื้น
    พระนิพพานเป็นธรรมอันว่าง ที่ลึกซึ้ง
    มันก็หมดเรื่องเท่านั้นไม่ควรไปเถียงกันเลย เราพูดอย่างนี้

    สัพเพธัมมา อนัตตาติ
    พระนิพพาน ก็เป็นอนัตตาเหมือนกันแต่เป็นอนัตตาลึกซึ้ง
    แต่เป็นอนัต แต่เป็นของว่างที่ลึกซึ้ง อืม.. ของว่างที่ไม่เกิดไม่ดับ

    ของว่างที่เกิดที่ดับ ก็คือสังขาร นั่น นั่น นั่น
    ว่างจากสัตว์ จากบุคคล
    ถ้าหากว่า ถ้าหากว่าพระนิพพานไม่ว่าง ใครเป็นเจ้าของพระนิพพาน
    ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของพระนิพพาน

    ใครเป็นเจ้าของสังขาร ก็ไม่มีใครเป็น

    พระอรหันต์ ไม่สำคัญตัวในที่ใดใด ทั้งสิ้น
    ส่วนยืนเดินนั่งนอนหลั๊บตื่น นึกคิด
    ก็พูดไปตามชาวโลกเขาแต่ไม่สำคัญตัวว่า จะอยู่ในที่ใดใด ทั้งสิ้น

    ยืนเป็นแต่สักว่ายืน
    เดินเป็นแต่สักว่าเดิน
    นั่งเป็นแต่สักว่านั่ง
    นอนเป็นแต่สักว่านอน
    ยืน เดิน นั่ง นอน หลั๊บ ตื่นเป็นแต่สักว่า
    เป็นแต่สักว่ารู้เป็นแต่สักว่าเห็นพระอรหันต์
    ไม่ได้ติดอยู่ในที่ใดใด ทั้งสิ้น

    ใจเป็นแต่สักว่าใจ
    ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เป็นเพียงจิตตานุปัสนา

    ธรรมก็เป็นแต่สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตวบุคล ตัวตนเราเขา
    เป็นเพียงธัมมานุปัสนา

    อดีตก็เป็นแต่สักว่าอดีต
    อนาคตก็เป็นแต่สักว่า อนาคต
    ปัจจุบันก็เป็นแต่สักว่าปัจจุบัน
    ไม่ติดอยู่ในเงื่อนทั้ง ๓ ท่านผู้พ้นไปแล้ว

    ไม่สำคัญตัวอยู่ในผู้รู้
    ไม่สำคัญ ผู้ ผู้รู้ ว่า เป็นตัว
    เป็นตน
    เป็นเรา
    เป็นเขา
    เป็นสัตว์
    เป็นบุคคลเลย

    รู้เป็นแต่สักว่ารู้ รู้แล้วก็หายไป
    นึกขึ้นแล้วก็หายไป พูดออกมา แล้วก็ล่วงไป

    ะพูดคำในอนาคตก็ล่วงไปในอนาคต

    สังขารใดเกิดขึ้นในอดีต สังขารนั้นดับในอดีต
    สังขารใดเกิดขึ้นในอนาคต สังขารนั้นดับในอนาคต
    สังขารใดเกิดขึ้นในปัจจุบันสังขารนั้นก็ดับในปัจจุบัน

    คำพูดใด ที่พูดแล้วก็ล่วงไปแล้ว
    หยิบปัจจุบันมาพูด เอ่อ อ่า ปัจจุบันกำลังพูดก็ล่วงไปอีก
    นึกคิด ก็เหมือนกัน
    หายใจเข้าออก ก็เหมือนกัน

    ใดใด ในโลกล้วนอนิจจัง
    ใดใด ในโลก ล้วนทุกขัง
    ใดใด ในโลกล้วนอนัตตา

    อย่าสงสัย รูป นาม ทั้งอดีต
    ทั้งอนาคต
    ทั้งปัจจุบันด้วย

    นั่นคือธรรมชั้นสูง
    ศีลชั้นสูง
    สมาธิชั้นสูง
    ปัญญาชั้นสูง
    รวมพลกันอยู่

    ไม่ใช่ ศีล สมาธิ ปัญญา จะอยู่คนละมุมโลก
    อยู่อันเดียวกัน

    ไม่ใช้หน้ากั๊บตา จะอยู่คนละมุมโลก
    ไม่ใช่หนังกั๊บเนื้อกั๊บกระดูก จะอยู่ คนละมุมโลก

    ก็ อัญญะมัญญะอยู่เช่นกันและกันนั่นเอง



    พระเดชพระพุทธศาสนาอันทรงพระคุณค่าไม่มีประมาณ
    และก็ทรงมีอยู่ทุกกาลด้วย<O:p</O:p
    ไม่ขึ้นอยู่กับผู้รู้และไม่รู้
    ไม่ขึ้นอยู่กับผู้เชื่อและไม่เชื่อ
    และก็เหนือโลกอยู่
    ทุกยุค
    ทุกสมัย
    ทุกกาล
    ทุกเวลา
    ทุกขณะลมปราณด้วย

    เมื่อเป็นอย่างนี้พวกเราทั้งหลาย
    ที่มาในที่นี้ก็ดี
    ที่ไม่ได้มาในที่นี้ก็ดี
    ทั่วทั้งพระไตรในโลกา
    งประสบแต่ความสุข
    ความเจริญ
    ในบวรพระพุทธศาสนา
    ของ
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งๆ ขึ้นไป
    จนถึง ที่สุดทุกข์โดยชอบ อยู่ทุกรูป ทุกนาม เทอญ ..สาธุ


    ป.ปราบ
    ผู้กระทำความเพียรเป็นนิจ
    พึงสำเร็จ สัมฤทธิ์ ประสิทธิผล​
    คำว่าชอบกล นั้นไม่มี



    <!-- google_ad_section_end -->​
    <!-- google_ad_section_end --><O:p</O:p
    <!-- google_ad_section_end -->​
    <!-- google_ad_section_end --><O:p</O:p
    <!-- google_ad_section_end --><O:p
    <!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...