"ภาวนา เพื่อสละทุกสิ่ง" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิริยะ13, 10 พฤษภาคม 2016.

  1. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/90b06336f40ebcc0be909980ff6fde2a" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/is/160716020434.png" alt="images by free.in.th" /></a>

    หลวงพ่อปราโมทย์ : หลวงพ่อไม่เจอท่านนานเลย หลายปี จนก่อนท่านมรณภาพไม่นาน ท่านไปเทศน์ที่องค์การโทรศัพท์ ปีสี่เท่าไหร่ ปี ๔๑ ประมาณนี้ จำไม่ได้แล้ว พอเข้าไป ท่านมาเทศน์เสร็จก็คลานเข้าไป กราบท่าน บอกว่า หลวงพ่อผมไม่เจอหลวงพ่อนานแล้ว ท่านบอกว่า หลวงพ่อจำได้นักปฏิบัติมีไม่มากหรอก

    หลวงพ่อผมยังทำลายผู้รู้ไม่ได้เลย โอ้..คราวนี้นะ ท่านเปลี่ยนไปเลยนะ เหมือนท่านเป็นคนอีกคนหนึ่งเลย กริยาท่าทางของท่านองอาจผึ่งผายนะ ท่านบอกว่า จิตผู้รู้เหมือนฟองไข่ เมื่อลูกไก่เติบโตเต็มที่แล้ว จะเจาะทำลายเปลือกออกมาเอง พูดห้าวหาญมากเลย โห..เราฟังปุ๊บเราเข้าใจแล้ว ท่านทำลายเปลือกออกมาได้แล้ว ท่านห้าวหาญมากเลย ท่านบอกวิธีให้นะ ไม่ได้ทำอะไรนะ รอให้ลูกไก่นี้โตขึ้นมา แล้วลูกไก่จะเจาะเปลือกเอง

    ก็คือธรรมะอันเดียวกับที่พระพุทธเจ้าเคยสอนนั่นเอง ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรผลนิพพานได้นะ จิตบรรลุเอง เรามีหน้าที่เจริญศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เจริญไตรสิกขานั่นเอง เมื่อเจริญเต็มที่แล้วนี่นะ จิตมีพลัง มีพลานุภาพเต็มที่แล้วนี่นะ จะเจาะทำลายอาสวะออกมาเอง

    พระพุทธเจ้าท่านเทียบเหมือนคนทำนา บอกว่าชาวนานไม่สามารถทำให้ข้าวออกรวงได้ ข้าวมันออกรวงของมันเอง สิ่งที่ชาวนาทำได้คือไถนา ไถอยู่ที่ดินไม่ได้ไปไถต้นข้าว หว่านเมล็ดข้าวลงไปในนา แล้วก็เอาน้ำเข้านา ช่วงไหนน้ำน้อยก็เติมน้ำ ช่วงไหนน้ำมากก็ไขน้ำออก ถึงเวลาแล้วข้าวก็ออกรวง ข้าวออกเมล็ด ข้าวก็ออกของมันเอง ชาวนาไม่ได้ออกเมล็ดข้าวมา

    จิตนี้ก็เหมือนกันนะ เราเจริญไตรสิกขา ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เจริญอย่างนี้แหละ ถึงวันที่เขาพอเพียงแล้ว อริยมรรคก็จะเกิดขึ้นเอง ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลได้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพวกเรานะ ค่อยฝึกไป คอยรู้กายคอยรู้ใจนะ ถือศีล ๕ ไว้เป็นเบื้องต้น วันไหนจิตใจฟุ้งซ่านมากก็ทำความสงบเข้ามา ให้จิตใจได้พักผ่อนบ้าง พอจิตใจสงบแล้วและพักผ่อนพอสมควรแล้วก็ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ให้เจริญปัญญาด้วยการมีสติรู้กายอย่างที่กายเขาเป็น มีสติรู้จิตอย่างที่จิตเขาเป็น ไม่เข้าไปแทรกแซงเขา

    เวลารู้ ให้รู้อยู่ห่างๆ อย่าถลำลงไปรู้ อย่ากระโจนลงไปรู้ รู้อยู่ห่างๆเหมือนดูคนอื่น ดูกายนี้เหมือนดูกายคนอื่น ดูเวทนานี้เหมือนดูเวทนาคนอื่น ดูจิตนี้เหมือนดูจิตคนอื่นไป ดูเหมือนดูคนอื่นเรื่อยๆ ทั้งกายทั้งเวทนาทั้งจิตนี้เป็นแต่สภาวธรรมซึ่งถูกรู้ถูกดู สิ่งใดถูกรู้สิ่งใดถูกดูสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ตัวเราหรอก เป็นของอยู่นอกๆนะไม่ใช่ตัวเราหรอก

    ให้เฝ้ารู้เฝ้าดูไป กระทั่งต่อมาเราจะเห็นว่า แม้กระทั่งผู้รู้ผู้ดูเองก็เกิดๆดับๆ เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้หลง ใช่มั้ย เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้เดี๋ยวก็เป็นผู้เพ่ง ผู้รู้เองก็เกิดดับๆเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆไม่มีอะไรคงที่สักอันเดียวเลย เนี่ยดูอย่างนี้เรื่อยๆไปนะ วันหนึ่งลูกไก่ก็จะหลุดออกมาจากเปลือกได้

    หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
    แสดงธรรมที่ สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา ศรีราชา ชลบุรี
    แสดงธรรมเมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หลังฉันเช้า
     
  2. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/e7f63a97ae49d01467eb1ca3abd646a2" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/if/160716022153.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    ขออนุญาตพื้นที่ตรงนี้เล็กน้อยครับ...
    เรื่องเกี่ยวกับจักรนั้น..ตรงนี้อจิณไตรเล็กน้อยนะครับ...
    ลองอย่างนี้นะครับ..ให้เปลี่ยนตำแหน่งของจักรนั้น
    ให้ออกมาตรงกลางอกของเราแทน..
    และสร้างจักรนั้นด้วยกสิณอย่างน้อย ๕ กอง
    และมาฝึกเพิ่มเมตตาเราให้ออกจากภายในไป
    ภายนอกให้ได้ครับ..คือกิริยาจะเป็นอย่างนี้นะครับ..
    ถ้าเราสามารถสร้างเมตตาให้ออกจากภายใน
    ไปภายนอกได้นั้น ปกติเราจะมองเห็นเป็นลักษณะ
    พลังงานแบบที่หมุนๆออกจากหน้าอกเราได้
    เป็นปกติครับ..และพลังงานที่ออกจากหน้าตรงนี้
    ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ปกติมันก็จะขยายออกเป็น
    วงกว้างไปเรื่อยๆครับ..ทีนี้ขณะที่พลังงานขยายออกไปนั้น
    ให้เราถึงดึงเอาพลังงานจากกสิณออกมาด้วยอย่างน้อย
    ๕ กองนะครับ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ครับ
    ตรงนี้ต้องใช้สมาธิเล็กน้อย ตัวพลังงานกสิณทั้ง ๕
    กองนั้นจะสามารถมารวมเป็นรูปคล้ายๆจักรที่หน้าอกเราได้ครับ
    แรกๆจะเป็นสีออกขาวๆคล้ายๆควันก่อนครับ..
    ฝึกไปซักพักหนึ่ง ตรงที่เหนือบริเวณหน้าอกนั้นจะสามารถ
    เปลี่ยนเป็นกงจักรได้เองครับ..ให้ทำจนกระทั้ง
    เห็นเป็นกงจักรและใสนะครับ..ถ้าทำได้ถ้าเราเป็น
    ฆารวาสโดยมากจะมีประมาณ ๘ ถึง ๙ ซี่ครับ
    แต่พระจิตไวมากบารมีท่านมากท่านจะมีถึง ๑๒ ซี่ขึ้นไปครับ..
    และให้เคารพในผู้เป็นเลิศทางด้านกสิณต่างๆเอาไว้
    รวมทั้งพระอาจารย์ในดงทั้งหลาย..
    เอหิปัฐวีพรหมา เอหิเตโชนารายะ
    เอหิวาโยอิสรา เอหิอาโปอินทรา.
    เท่านี้คงพอทราบว่าท่านใดเป็นเลิศด้านใดนะครับ...
    และสุดท้ายถ้าผ่านเกณฑ์การใช้งาน..
    ทีนี้เราจะมีความสามารถตัดสายใยทิพย์ต่างๆ
    หรือพูดง่ายๆว่า ตัดพวกดวงจิตดวงวิญญานต่างๆ
    ที่เข้ามาแฝงในร่างกายคนอื่นๆได้ครับ..
    และเราจะทราบได้เองครับว่าเราต้องใช้คาถา
    บทใดกำกับก่อนที่จะนำจักรไปใช้
    ตรงนี้จะคลอบคลุมไปถึงภูมิอสูรกายมีฤิทธิ์ต่างๆ
    เราจะสามารถตัดสายใยทิพย์หรือดึงดวงจิตพวกนี้ได้ง่ายมากครับ
    แต่ว่าเรามีหน้าที่ดึงขึ้นไปข้างบนนะครับ
    ส่วนข้างบนจะทำอะไรเราไม่ต้องสนใจครับ..
    โดยที่เราไม่ต้องไปเพียวกสิณไฟหรือใช้พลังงานจักรวาล
    อะไรนะครับเพราะมันมีเหตุผลตรงที่ว่า..
    การเพียวกสิณไฟ หรือการดึงพลังงานจักรวาลจาก
    ภายนอกเราผ่านกระโหลกศรีษะเราลงมา
    แล้วทำจิตเราให้ว่างและส่งออกไปนั้น
    นอกจากพอทำเสร็จแล้วจะส่งผลถึง
    พลังงานตกค้างที่ร่างกายเราแล้ว..
    (ยกเว้นว่าใช้ที่กำลังรักษาคนนะครับ)
    อาจส่งผลเสียให้ดวงจิตนั้นยอมตายครับ
    ด้วยการทำร้ายอวัยวะในร่างกาย
    ที่เข้าไปครอบงำอยู่ได้
    ส่งผลให้แม้ว่าจะดึงดวงจิตออกได้
    แต่ร่างกายที่เราช่วยนั้นก็จะใช้งานไม่ได้นั่นเองครับ..
    ตรงนี้หลายท่านที่เน้นการเพียวพลังงานอย่างใดอย่างหนึ่ง
    หรือใช้บทคาถาหรือใช้ความรุนแรง
    คงมีประสบการณ์มาบ้างในเรื่องแบบนี้
    ปล.เรื่องตรงนี้โปรดพิจารณาในการรับฟังดีๆนะครับ.
    ส่วนตัวพูดได้ประมาณนี้หละครับ.
    และต้องเจอตัวกันเป็นๆครับถึงจะเข้าใจดี
    เพราะพวกนี้ ถ้าเรามีแล้วเราสามารถ
    ทำให้คนอื่นๆรับรู้ และสัมผัสได้
    พูดง่ายๆว่า จับต้องได้นั่นหละครับ (^_^)..
     
  4. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    เรื่องของจักกระที่หน้าอกของผม จะมีลักษณะอาการอยู่สองอย่างที่เห็นเป็นหลักใหญ่ครับ

    คือหนึ่ง พอเราหนีไปฝึกอะไรต่อมิอะไรซักพักนึงแล้ว รู้สึกว่าร่างกายส่วนต่างๆสะอาดดี

    แต่สอง พอเข้ามาอ่านในกระทู้ หรือหลายข้อความของคนบางบุคคล อ่านไปหน้าอก

    เจ็บไปหมดครับ ตามความเข้าใจของผมนั่นก็คือ จิตเขาไม่สะอาดหรือว่าใจเขานั้น แฝงด้วย

    ความสกปรกโสมม นั่นแหล่ะครับ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    นั่นเป็นลักษณะการรู้อย่างหนึ่ง
    ในวิถีของพลังงานครับ
    คนที่รักษาโรคก็เอาการรู้ลักษณะนี้
    หละครับมาปรับใช้เพื่อสแกน
    ร่างกายคนนั้นหละครับ
     
  6. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    พูดถึงเรื่องการรักษาโรคให้ชาวบ้าน สมัยก่อนตอนเรียนพลังจักรวาลเคยทำอยู่เหมือนกันครับ แต่ช่วงหลังหลายปี

    ไม่เอาแล้วครับ กรรมใดใครก่อก็รับผลไปกันเอง จะได้ไม่ต้องไปก้าวก่ายกับดวงจิตวิญญาณ หากโรคนั้นๆมีเจ้าของ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,048
    พูดแบบทั่วๆไปนะครับ..
    ดีแล้วครับถ้าพูดเกี่ยวกับเรื่องการรักษานะครับ..
    และมองไปในเรื่องของกรรม
    เพราะว่าถ้าเราไปเพียวพลังงานภายนอกผ่านตัวเรา
    เข้ามารักษาแล้วยังไงๆมันก็ต้องมีการตกค้างของพลังงาน
    ติดอยู่ที่ร่างกายเราครับ..มีตัวอย่างในหลายๆท่านที่เก่งๆในเรื่อง
    การรักษาแล้วเผลอไปติดในเรื่อง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    อย่างใดอย่างหนึ่งที่นี้ ตัวเองก็จะเป็นโรคร้ายแรงเสียเอง
    แบบชนิดที่แพทย์ปัจจุบันรักษาไม่หาย และจะเป็นหลายโรคด้วยครับ..
    และท่านเหล่านี้เวลาเสียชีวิตก็มักจะไปเอาดื้อๆ
    คือมักจะอยู่ในท่ายืนแล้วระบบหัวใจก็ล้มเหลวเสียชีวิตไปเลยครับ...

    แต่ถ้าสมมุติว่า เรามีวาระที่ต้องช่วยบุคคลอื่นต่อไปนั้น..
    ก็สามารถที่เราจะไปต่อได้ แต่ ๑.ต้องรู้จักการเคลียร์พลังงานตกค้าง
    ที่มีอยู่ในร่างกายตนเอง..และ ๒.เป็นสิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องรู้จักเรื่อง
    ของการรักษาแล้วก็แล้วไป รู้จักใช้ๆแล้วก็ทิ้งไปซะ ข้อนี้ส่วนมาก
    ผู้ฝึกมักจะยังติดกันอยู่แบบไม่รู้ตัวครับ..เพราะไปเผลอคาดหวังผลที่ได้
    เป็นเหตุให้ตัวจิตมันส่งตัววิญญานการรับรู้เข้าไปผูกสัมพันธ์
    ทำให้จิตเรามันไม่คลายจากตรงนั้น..เลยกลายเป็นว่าจิตมี
    กระแสไปเชื่อมอยู่อย่างคาดไม่ถึง..ตรงนี้หละครับที่หลายท่าน
    มักจะคาดไม่ถึงกัน.ตัวจิตมันก็เลยตั้งท่าที่จะใช้งานตลอดเวลา
    ทำให้จิตไม่คลายตัวจากพลังงานตรงนี้..ยิ่งไปเจอเคสที่กระวิบากมาก
    ก็จะกลายเป็นว่า ตัวจิตก็ไปรับกระแสวิบากนั้นเข้ามาอย่างคาดไม่ถึง
    เป็นเหตุให้เกิดคำว่า รับวิบากกรรมคนอื่นๆเค้ามานั้นหละครับ..

    ตรงนี้ หลายๆท่าน ก่อนรักษาจึงต้องมีพิธีการอย่างเป็นทางการก่อน
    เพื่อขอกำลังครูบาร์อาจารย์ท่านช่วยคลายกระแสวิบากพวกนี้..
    นอกจากว่า เราจะรู้จัก ใช้แล้วก็แล้วไปครับ..ไม่อะไรกับอะไรกับมัน
    ไม่หวัง ไม่คาดหวัง แม้แต่ตัววิตก หรือ ตัวรู้ว่า เราจะต้องทำอย่างไร
    ต่อไปในขณะรักษา ซึ่งเป็นแนวทางในช่วงระหว่างการรักษา
    เรายังต้องทิ้งไปครับ..
    ทิ้งเพื่อไม่ให้มีตัวเราเข้าไปเป็นผู้กระทำนั้นหละครับ..เพราะตัวไปรู้
    ตัววิตกนี้ นอกจากทำให้กำลังเราตกแล้ว มันยังจะเป็นตัวเรา
    เป็นฉนวนการดึงกระแสวิบากจากดวงจิตที่เรารักษาเข้ามาสู่ตัวเรา
    อย่างที่ไม่รู้ตัวด้วยครับ...
    ดังนั้นถ้าสามารถกระทำได้ อย่างอัตโนมัติ โดยการตัดตัววิตกได้
    (แต่แรกๆจำเป็นต้องมีก่อนสำหรับผู้เริ่มรักษาคนได้ใหม่ๆ)
    โดยที่ไม่มีตัวเราเข้าไปกระทำ ปล่อยให้จิตกระทำไปแบบอัตโนมัติ
    ตามเนื้อหาของจิตได้ ตรงนี้บ้างก็เรียกว่า การใช้บารมี
    บางท่านที่ส่วนตัวได้พบเจอ ท่านก็เรียกว่า จิตว่าง
    แต่ว่าดึงพลังงานต่างๆมาก่อนแล้วดึงจิตเข้าสู่ความว่าง
    แล้วปล่อยให้เป็นไปตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิต
    ให้จิตเป็นไปอัตโนมัติของมันเองเช่นกัน

    ตรงนี้ถึงจะเพียงพอสำหรับการที่จะป้องกันไม่ให้
    มีกระแสวิบากจากดวงจิตที่เรารักษาตกค้างยังร่างกายเรา
    ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตัวจิตและร่างกายเราต่อไปได้นั้นเองครับ...
    และการกระทำแบบไม่มีตัวเราเป็นผู้กระทำนั้น
    มันจะมีพัฒนาการขึ้นไปเรื่อยๆของมันเอง
    เป็นไปในลักษณะของบารมีวนกลับ
    คือจะทำให้ก็ให้ไป ใช้แล้วก็แล้วไป
    ไม่อะไรๆกับมัน ทิ้งมันให้หมด
    พอมันหมดแล้ว มันก็จะกลายเป็นบารมี
    เวียนกลับมาได้เอง ความสามารถทางจิตเรา
    ก็มีมากขึ้นไปเองอัตโนมัติ และจะเป็นไปตามเนื้อหา
    เดิมแท้ของจิตเราที่ได้เคยสะสมมานั้นหละครับ.

    ปล.ส่วนนี้ถือว่าเราให้ฟังเฉยๆ
    แค่จะสื่อว่ามันไปต่อได้อยู่ สำคัญว่า
    ต้องไม่ส่งกระทบกับตัวเรานั่นเองหลักการประมาณที่เล่าให้ฟัง
    และทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับเราเป็นคนเลือกครับ
     
  8. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/c6b866414e2299c2014842b2e94fc25d" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/ix/160717051626.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    #บทสวดโพชฌงคปริตร
    การสวดมนต์ขจัดโรคร้าย


    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า..
    ได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหากัสสปะที่อาพาธอยู่
    ได้รับความทุกข์ทรมานมาก พระองค์จึงทรงแสดงบทสวดโพชฌงค์แก่พระมหากัสสปะให้ท่านได้ฟัง
    และน้อมจิตปฏิบัติตาม

    หลังจากฟังบทสวด
    และท่านพระมหากัสสปะได้พิจารณาธรรมตามก็พบว่า ท่านสามารถหายจากโรคได้ และอีกครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมบทนี้แก่พระโมคคัลลานะซึ่งอาพาธอยู่ในลักษณะเดียวกัน หลังจากนั้นก็พบว่า พระโมคคัลลานะก็หายจากอาพาธได้

    และเรื่องราวที่สำคัญที่สุดก็คือ..
    เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เองทรงอาพาธ จึงตรัสให้พระจุนทะเถระแสดงโพชฌงค์ถวาย ซึ่งพบว่าพระพุทธเจ้าก็หายประชวร พุทธศาสนิกชนจึงพากันเชื่อว่า โพชฌงค์นั้น สวดแล้วช่วยให้หายโรค

    แต่ในความเป็นจริง พระไตรปิฎกกล่าวว่า ..
    " โพชฌงคปริตร" นั้นเป็น หลักธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นธรรมเกี่ยวกับปัญญาเป็นธรรมชั้นสูง เป็นคำสอนในการทำใจให้สว่าง สะอาดผ่องใส ซึ่งสามารถช่วยรักษาใจ เพราะจิตใจมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับร่างกาย เนื่องจากกายกับใจเป็นสิ่งที่อาศัยกันและกัน หากใจดี ร่างกายย่อมดีตาม

    หลักของโพชฌงค์.. เป็นหลักปฏิบัติทั่วไปซึ่งไม่จำกัดเฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น
    เพราะโพชฌงค์แปลว่า ..

    “องค์แห่งโพธิ” หรือ “องค์แห่งโพธิญาณ”
    เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ซึ่งเป็นเรื่องของปัญญา ดังนั้นถ้าเราสวดมนต์บทนี้ด้วยความเข้าใจในสาระก็จะมองเห็นความเจ็บป่วยว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรของชีวิต เป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็จะเป็นการกระตุ้นเตือนให้ลุกขึ้นมาปฏิบัติธรรม คือมองว่า เวลาที่ป่วยอยู่นี้แหละคือเวลาที่ดีที่จะได้พักผ่อนจิต ได้ปฏิบัติธรรม

    #บทสวดโพชฌงคปริตร

    โพชฌังโคสะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา วิริยัมปีติปัสสัทธิ โพชฌังคา จะตะถาปะเร สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเต เต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา

    สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯเอกัสะมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง คิลาเน ทุกขิเต ทิสะวา โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ เต จะ ตัง อะภินันทิตะวาโรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปตะวานะ สาทะรัง สัมโมทิตะวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส เอเตนะ สัจจะวัชเชนะโสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ

    ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง มัคคาหะตะกิเลสาวะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะโสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ

    ‪#‎คำแปล‬

    โพชฌงค์ 7 ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ 7 ประการเหล่านี้ เป็นธรรมอันพระมุนีเจ้า ผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน

    ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้า ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะ และพระมหากัสสปะเป็นไข้ ได้รับความลำบาก จึงทรงแสดงโพชฌงค์ 7 ประการ ให้ท่านทั้งสองฟัง ท่านทั้งสองนั้น ชื่นชมยินดียิ่ง ซึ่งโพชฌงคธรรม โรคก็หายได้ในบัดดล

    ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ในครั้งหนึ่ง องค์พระธรรมราชาเอง (พระพุทธเจ้า) ทรงประชวรเป็นไข้หนัก รับสั่งให้พระจุนทะเถระ กล่าวโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพ ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน

    ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ ก็อาพาธทั้งหลายนั้น ของพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง ๓ องค์นั้น หายแล้วไม่กลับเป็นอีก ดุจดังกิเลส ถูกอริยมรรคกำจัดเสียแล้ว ถึงซึ่งความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ…

    ผู้ที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมโพชฌงค์ก็จะเข้าใจความธรรมดาของชีวิต ว่าเป็นของไม่เที่ยง มีการแตกดับไปเป็นของธรรมดา เมื่อเข้าใจก็จะเห็นความแตกดับเป็นเรื่องที่ปกติ สิ่งใดเกิดมาสิ่งนั้นย่อมดับไป ก็จะทำให้มุ่งรักษาใจไม่ให้ป่วยนี่แหละคือความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงของโพชฌงคปริตร


    #‎การสวดขอขมากรรม‬

    การสวดมนต์เพื่อการขอขมากรรมนั้น ถือเป็นหนึ่งบทสวดหนึ่งที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความสำนึกผิด ยอมรับผิดและต้องการขอขมาลาโทษจากเจ้ากรรมนายเวร ให้เขาอดโทษ ผ่อนปรนโทษ หรืออโหสิกรรมให้เพราะเราได้ไปล่วงเกินเขามาก่อน เมื่อได้ทำบุญใดๆ แล้วก็มักจะมีการสวดมนต์บทนี้เป็นการกล่าวขอขมาในการกระทำ

    การสวดขอขมากรรมมีผลในทางจิตใจมาก ทำให้รู้สึกโปร่งเบาทั้งกายและจิต เหมือนได้ปลดแอกความผิด เพราะได้ขอโทษแล้ว แต่เรื่องที่เจ้ากรรมนายเวรจะให้อภัยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับบุญกุศลของแต่ละบุคคลได้ทำส่งให้เขามากน้อยแค่ไหน หากทำมากส่งให้มากเจ้ากรรมนายเวรย่อมอโหสิกรรมให้ได้เร็วยิ่งขึ้น


    ‪#‎บทสวดขอขมากรรม‬

    “หากข้าพเจ้า จงใจหรือประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน บิดา-มารดา ครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมถึงผู้มีพระคุณ และท่านเจ้ากรรมนายเวร จะด้วย กาย วาจา ใจ ก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย

    หาก ข้าพเจ้ามีเจ้าของในตัวติดตามมาขออนุญาตมีคู่มีครอบครัว ได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอถอนคำอธิษฐานคำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระต่อกัน ข้าพเจ้าจะประพฤติตนในทางที่ถูกที่ชอบที่ควร

    ขอบุญบารมีในอดีตกาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัวตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้อง จงเจริญด้วย อายุวรรณะ สุขะ พละ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ สติปัญญา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ อุปสรรคใดๆโรคภัยใดๆ ขอให้มลายสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้ามีความสว่าง ทั้งทางโลก ทางธรรม ตั้งแต่บัดนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพาน เทอญ

    หากมีผู้ใดเคย สร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ขอถอนความพยาบาท ความอาฆาตและคำสาปแช่งในทุกชาติทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร ขอให้พ้นนรกภูมิ พบแสงสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม เทอญ…”

    จากหนังสือเรื่อง เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ 5 บุญฤทธิ์ พิชิตโรคร้าย (โรคเวรโรคกรรม) โดย ฤทธิญาโณ
    และจิตตวชิระ
     
  9. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/f6cde081372194aa106ce6fbad5a6c02" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/iq/160717052400.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    ในระหว่างที่หลวงปู่ฝั้น อาจาโร พำนักอยู่ในถ้ำพระบนภูวัว ครั้งนั้นท่านได้ประสบอุบัติเหตุที่นับว่าร้ายแรงที่สุดในชีวิตของท่าน กล่าวคือ วันหนึ่งได้มีญาติโยมบ้านดอนเสียดและบ้านโสกก่ามพากันขึ้นไปนมัสการ หลวงปู่จึงได้ขอให้ญาติโยมพาชมภูมิประเทศบนภูวัว และเพื่อจะแสวงหาสมุนไพรบางชนิดด้วย เมื่อฉันจังหันเสร็จก็ออกเดินทาง มีโยมสองคนเดินนำหน้า หลวงปู่ฝั้นและพระภิกษุเดินตามหลัง ส่วนสามเณรนั้นท่านให้เฝ้าอยู่ที่พัก

    ทั้งหมดเดินขึ้นไปตามลำห้วยบางบาด พอถึงลานหินที่ลาดชันขึ้นไปข้างบน ระยะทางยาวประมาณสิบกว่าวา บนลานมีน้ำไหลรินและมีตะไคร่หินขึ้นอยู่ตามทางชันนั้นโดยตลอด โยมสองคนเดินนำหน้าไปก่อน หลวงปู่ท่านเดินตามขึ้นไปและตามด้วยพระภิกษุเดินรั้งท้าย โยมทั้งสองไต่ผ่านลานหินอันชันลื่นขึ้นไปได้แล้ว ส่วนหลวงปู่ก็ไต่จวนจะถึงข้างบนอยู่แล้ว กะว่าเหลือเพียงก้าวเดียวก็จะพ้นไปได้

    พอท่านก้าวข้ามร่องน้ำ พลันท่านก็ลื่นล้มทั้งยืน ศีรษะฟาดกับลานหินดังสนั่น เสียงเหมือนมะพร้าวถูกทุบ จากนั้นก็ลื่นไถลลงมาตามลานหิน เอาศีรษะลงมาก่อน

    พระลูกศิษย์ที่เดินรั้งท้ายตกใจตัวสั่น ยืนนิ่งอยู่กับที่ จะเข้าไปช่วยอะไรก็ไม่ได้ เพราะท่านเองก็ประคองตัวแทบไม่อยู่เหมือนกัน ได้แต่ยืนตัวสั่น มองดูพระอาจารย์ไถลผ่านหน้าไปด้วยความตกตะลึง

    ร่างของหลวงปู่ลื่นไถลไปได้ประมาณหกวา ก็ไปตกหลุมหินซึ่งเป็นแอ่งแห่งหนึ่ง แต่ด้วยความลื่นของตะไคร่ ท่านจึงไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น กลับหมุนตัวในลักษณะเอาศีรษะขึ้นแล้วลื่นไถลลงต่อไปอีก

    ข้างล่างมีช่องหินใหญ่ ครือๆ กับตัวคน น้ำที่ไหลลงมาจากหน้าผาไปรวมหล่นอยู่ในช่องนั้น กลายเป็นหลุมน้ำวน หากท่านไถลไปถึงช่องนั้น แล้วไหลพรวดลงในช่องหิน คงถึงแก่มรณภาพโดยมิต้องสงสัย

    เหลือเชื่อ คงเป็นด้วยอำนาจบุญ ก่อนร่างท่านจะถึงช่องหิน หลวงปู่กลับตั้งหลักลุกขึ้นได้

    แล้วท่านก็เดินขึ้นไปตามทางเดิมที่ร่างท่านร่วงหล่นลงมาด้วยท่าทางปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระลูกศิษย์ร้องขอให้ท่านอ้อมไปขึ้นทางอื่น แต่ท่านไม่ยอมและบอกว่า เมื่อมันตกมาตรงนี้ ก็ต้องขึ้นไปตรงนี้ให้ได้

    หลวงปู่ฝั้นเดินขึ้นไปตามทางเดิมด้วยความง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ น่าอัศจรรย์ก็ตรงที่ว่า ร่างกายของหลวงปู่มิได้ปรากฏบาดแผลให้เห็นแม้แต่เล็กน้อย ถึงจะมีรอยถลอกบนข้อศอกก็เพียงรอยเท่าหัวไม้ขีดไฟ ไม่น่าจะเรียกว่าบาดแผล

    ตกเย็น เมื่อกลับมาถึงที่พัก หลังจากสรงน้ำเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินจงกรมตามปรกติ ตกค่ำ พระภิกษุได้เข้าไปถวายการปฏิบัติ แล้วถามอาการของท่านว่า ขณะที่ศีรษะท่านกระแทกหินดังสนั่นนั้น ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง

    หลวงปู่ตอบว่า “อาการก็เหมือนสำลีตกลง
    บนหินนั่นแหละ”

    พระภิกษุรูปนั้น ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ มีความเห็นว่า ในขณะที่ท่านกำลังลื่นล้ม ก่อนศีรษะฟาดลาดหินนั้น ท่านสามารถกำหนดจิตได้ในชั่วพริบตา ทำให้ตัวท่านเบาได้ดังสำลีโดยฉับพลัน

    เพราะท่านเคยเทศน์สั่งสอนเสมอว่า

    " จิตของผู้ที่ฝึกดีแล้ว ย่อมมีสติพร้อมอยู่ทุก
    อิริยาบถ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ถึงแม้
    จะหลับอยู่ ก็หลับด้วยการพักผ่อนในสมาธิ "

    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
     
  10. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/01e73cf812652d650b71c2ca9cb63bee" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/io/160717052811.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    เรื่องเล่าเกี่ยวกับ “สวรรค์” ที่หลวงปู่จันทา ถาวโร
    ได้สนทนาธรรมกับเหล่าเทพยดาจากสวรรค์

    ปี 2501 อาตมาได้ขึ้นไปภาวนาอยู่ที่วัดถ้ำกลองเพล อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี กับหลวงปู่ขาว (อนาลโย) และหลวงปู่หลุย (จันทสาโร) ในสมัยนั้น ที่วัดถ้ำกลองเพลยังขลุกขลักอยู่มาก ไม่สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้ แต่ก็เหมาะสำหรับการทำความเพียรมาก เข้าที่นั่งสมาธิจิตก็รวมได้เร็ว รวมได้ทุกขณะ นั่นแหละ เมื่อไปอยู่ที่นั่นจึงตั้งใจทำความเพียรไม่ลดละ ด้วยการอดนอน ผ่อนอาหารตลอดไตรมาส 3 เดือน ตั้งใจทำความเพียรอยู่อย่างนั้น

    อยู่มาวันหนึ่ง เป็นวันเพ็ญ เมื่อเดินจงกรมเสร็จแล้ว ก็ไปนั่งภาวนาอยู่ในถ้ำใหญ่ นั่งสมาธิกำหนด พุทโธ เป็นอารมณ์ของสติ ไม่นานจิตก็วาง “พุทโธ” แล้วจิตก็รวมลงสู่ภวังคภพอันแน่นแฟ้น อุปจารธรรมเกิดขึ้น มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้นกลางคืนเหมือนกลางวันสว่างโร่อย่างนั้น

    ไม่นานมีฝูงเทพยดาทั้งหลาย มีแต่ผู้หญิงล้วนๆ รูปร่างใหญ่โตมโหฬาร สวยงามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ถือธงแดงและธูปคนละอันมาจากฟากฟ้า มาถึงถ้ำแล้วก็เอาธงปัก จุดธูปแล้วก็พากันกราบไหว้ กราบที่ 1 ว่า “พุทโธ” กราบที่ 2 ว่า “ธัมโม” กราบที่ 3 ว่า “สังโฆ สะระณัง คัจฉามิ” เสร็จแล้วก็ทำวัตรเย็น จากนั้นก็สวด “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร, อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร ทั้ง 3 สูตรนี้เขาเรียกว่า ราชาธรรม เป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ ธรรมทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์มารวมอยู่ที่นี่ทั้งหมดเมื่อสวดมนตร์เสร็จแล้ว เขาก็นั่งภาวนา นานนะ เป็นชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมงนะ เรียบร้อยดี เมื่อเสร็จแล้วเขาก็กราบ พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วเขาก็จะจากไป จึงได้กำหนดถามเขาว่า

    “โยม...มาจากสถานที่ใด”

    เขาก็ว่า

    “ท่านอาจารย์ พวกดิฉันมาจากเมืองสวรรค์”

    “มาที่นี่เพื่อประโยชน์อะไรหรือโยม”

    เขาก็ตอบว่า

    “มาบูชาแก้วทั้ง 3 ประการนะท่าน”

    “บูชาเพื่อประโยชน์อะไร”

    “เพื่อบำเพ็ญกุศลนะท่าน เพราะแก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆนั้นเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ในการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนและของหอม”

    ถามเขาไปอีกว่า

    “อยู่บนสวรรค์ไม่ได้บำเพ็ญหรือโยม”

    “บำเพ็ญอยู่เหมือนกันแต่ได้รับผลน้อยไม่ได้มากเหมือนอยู่ในเมืองมนุษย์ ในเมืองมนุษย์ทำน้อยได้มาก ทำมาก ก็ยิ่งได้มาก เพราะเป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญบุญกุศล จะไปสวรรค์หรือพรหมโลก ก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในเมืองมนุษย์นี้ก่อน จะไปนิพพาน พ้นทุกข์จากโอฆสงสาร ก็ต้องมาบำเพ็ญบุญในศาสนาพุทธ ในเมืองมนุษย์นี่เสียก่อน จึงจะได้ นอกนั้นไม่มี”

    “ในสมัยพระเจ้ากัสสโปโน้น (ยุคศาสนาของพระเจ้ากัสสโป) พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นหญิงชาวบ้าน พากันประพฤติวัตรปฏิบัติ ขัดสีแก้วทั้ง 3 ประการให้สว่างไสวรุ่งโรจน์ทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยการเดินจงกรมบูชาแก้วทั้ง 3 ดวงนี้ แก้วพุทโธ แก้วธัมโม แก้วสังโฆ ทำอยู่อย่างนั้นเป็นนิตย์ไม่ลดละ ล้วนแต่เป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้น ทานการกุศลสิ่งใด ที่ให้แก่สมณชีพราหมณ์นั้น ก็จะกลายเป็นของทิพย์ ไปรอคอยอยู่บนสวรรค์หมดทั้งนั้น ฉะนั้นเมื่อพวกข้าพเจ้าไปเกิดบนสวรรค์ ก็มีแต่ความสุขสำราญ เป็นผลจากการประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาถึง 2 หมื่นปี ในสมัยศาสนาพระเจ้ากัสสโป ผู้คนอายุยืน 2 หมื่นปีนะท่าน”

    พวกเทพยดาเหล่านั้น ล้วนแต่มีรูปร่างสูงใหญ่สวยงาม มีผิวสีขาว เหลือง แดง ไว้ผมยาวมีสายสร้อยรอบตัว นุ่งผ้ายาวครึ่งแข้งเหมือนคนโบราณ เวลาเดินก็งาม พูดก็งาม เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์แล้ว ไกลกันเหมือนฟ้ากับดินนะ

    จากนั้นเขาก็ฝากธรรมะว่า

    “ท่านอาจารย์ขอได้โปรดไปแนะนำพร่ำสอนญาติโยมทั้งหลาย ให้พากันบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา บำเพ็ญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค 8 โพชฌงค์ 7 และพากันเดินจงกรมฝึกจิต อบรมจิตสอนจิตให้มันดี นั่งสมาธิภาวนา นั่นแหละจะเป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ เหมือนดังที่พวกข้าพเจ้าทำอยู่อย่างนั้น 2 หมื่นปี เมื่อสิ้นลมแล้ว เหมือนกับว่านอนหลับแล้วก็ตื่นขึ้นฉะนั้น”

    เสร็จแล้วเขาก็ลาจากไป ปลิวขึ้นสู่อากาศเหมือนกับนุ่นต้องลม ปลิวเข้าสู่กลีบเมฆหายไปเลย

    หลวงปู่จันทา ถาวโร
    วัดป่าเขาน้อย จ.พิจิตร
     
  11. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/a45a7be01ed8088ced22698f2502261e" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/id/160717053928.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    ตำรากับการปฏิบัติ

    “ผู้ที่ยังไม่รู้หัวข้อธรรมอะไรเลย เมื่อปฏิบัติอย่างจริงจัง มักจะได้ผลเร็ว เมื่อเขาปฏิบัติจนเข้าใจจิต หมดสงสัยเรื่องจิตแล้ว

    หันมาศึกษาตริตรอง ข้อธรรมะภายหลัง จึงจะรู้แจ้งแทงตลอด แตกฉานน่าอัศจรรย์”

    “ส่วนผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน แล้วจึงหันมาปฏิบัติต่อภายหลัง จิตจะสงบเป็นสมาธิยากกว่า เพราะชอบใช้วิตกวิจารณ์มาก

    เมื่อจิตวิตกวิจารณ์มาก วิจิกิจฉาก็มาก จึงยากที่จะประสบผลสำเร็จ”อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตดังกล่าว หลวงปู่ย้ำว่า

    “แต่ทั้งนี้ก็ไม่เสมอไปทีเดียว”


    แล้วท่านให้ข้อแนะนำต่อไปอีกว่า

    “ผู้ที่ศึกษาทางปริยัติจนแตกฉานมาก่อนแล้ว เมื่อหันมามุ่งปฏิบัติอย่างจริงจัง จนถึงขั้นอธิจิต อธิปัญญาแล้ว ผลสำเร็จก็จะยิ่ง

    วิเศษขึ้นไปอีก เพราะเป็นการเดินตามแนวทางปริยัติ ปฏิบัติ ย่อมแตกฉานทั้งอรรถและพยัญชนะ ฉลาดในการชี้แจงแสดงธรรม”

    หลวงปู่ได้ยกตัวอย่างพระเถระทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อสนับสนุนความคิดดังกล่าว ก็มีท่านเจ้าคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์

    (สิริจนฺโท จันทร์) แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ และ ท่านอาจารย์พระมหาบัว ณานสมฺปนฺโน แห่งสำนักวัดป่าบ้านตาด

    จังหวัดอุดรธานี เป็นต้น ทั้งสององค์นี้ “ได้ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อาจหาญชาญฉลาดในการแสดงธรรม เป็นประโยชน์ใหญ่

    หลวงแก่พระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง”โดยสรุป หลวงปู่สนับสนุนทั้งตำรา คือ ปริยัติและปฏิบัติ ต้องไปด้วยกันและท่านย้ำว่า


    “ผู้ใดหลงใหลในตำราและอาจารย์ ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้

    แต่ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน”



    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
     
  12. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/a63a656826b78e2a9d6f629647c9ec10" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/ia/160707041419.jpg" alt="images by free.in.th"/></a>

    องค์หลวงปู่มั่นท่านเคยเขียนเอาไว้ว่า

    " อย่าคิดปิดสัญญา
    เพราะสัญญาเหมือนดังเงา
    อย่าได้เมาไปตามเรื่องเครื่องสังขาร"

    คือ อย่าไปคิดดับความรับรู้
    หรือไปดับความคิด
    อย่าไปปิดกั้นธรรมชาติของจิต
    แล้วท่านก็เขียนไว้อีกว่า

    "ใจขยับจับใจที่ไม่ปน
    ไหวส่วนตนรู้แน่เมื่อแปรไป"

    คือไม่เข้าไปคลุกเคล้า
    อยู่กับความปรุงแต่ง
    ใจเป็นกลางเพราะปัญญารู้ชัด
    ว่ามันแปรปรวนไม่แน่นอน
    ใจไม่วิ่งตามความเปลี่ยนแปลงนั้น
    ใจเลยรู้อยู่กับใจ.....
     
  13. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/3bfcfedb0c54aeaca1d1fe05b7c3aacd" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/iy/160720021330.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>​
     
  14. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/52ca5206f7a9228a1ecee84ce205d21b" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/iv/160720021652.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>​
     
  15. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/766e24c5a10f4cd52e40e4b999bb6eb1" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/ii/160720021802.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>​
     
  16. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/e36ff545a3f21982465e87a9969c3b62" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/io/160720021852.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>​
     
  17. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/2a6fa9185fac6cc7dcb00ade3cae2bfb" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/iq/160720022712.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    แม้กระทั่งความสงบและความว่าง
    ยังเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่จิต
    นับประสาอะไรกับอารมณ์อื่นๆ

    ทีนี้เมื่อเห็นชัดแล้วว่า
    แม้แต่ความว่างยังต้องวาง
    เมื่อต้องกลับมารู้อารมณ์หยาบๆ
    จิตจะวางอารมณ์ที่หยาบกว่าได้เร็วขึ้น
    แล้วก็ไม่ไปจับไปถือเอาความสงบไว้ด้วย
    จึงเป็นความสงบและว่างอย่างแท้จริง
    เพราะไม่ปรุงแต่งใจ ไม่คอยไปจับอะไรไว้
     
  18. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/353360d69cc15b65ec35613ca735131b" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/iy/160720023407.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>​

    จงดูความเคลื่อนไหวของใจ

    ที่แสดงความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

    อาการของใจ มันเกิดไปถึงไหนและดับไปถึงไหน

    มันเกิดที่ไหนมันก็ดับลงที่นั่นเอง

    จงพิจารณาให้ชัดต่อความเกิด-ดับของใจ

    ความเกิดกับความดับที่ปรากฏขึ้นจากใจ

    ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรถือเอา จงฆ่าแม่คือใจให้ตาย

    ลูกคืออาการก็จะหมดปัญหาทันที

    แม้จะปรากฏเกิดๆ ดับๆ ก็ไม่เป็นปัญหา

    และไม่มีพิษสงอะไรอีกต่อไปอีก

    อาการของใจจึงจะกลายเป็นขันธ์ล้วนๆ

    ไม่มีกิเลสเจือปน จะหมดกังวลใดๆ ลงทันที​



    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมษายน 2504​
     
  19. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/da35e8f993ea6fdd845226093c36615d" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/it/160720024534.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    ถ้า รู้ จริงๆ

    จะไม่ติดในรู้

    เป็นมรรค

    เป็นความไม่ข้องติด

    ถ้าคิดว่า รู้ ยึดใน รู้

    ย่อมข้องอยู่ในภพ



    พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
     
  20. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/c6e617fd3bfc716fa291a61dd08cb12f" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/iy/160720025303.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    คนส่วนมาก มักมองแต่
    รูปลักษณะ ท่าทาง คำพูดจา
    ของผู้แสดงธรรม หวังว่า
    จะเป็นอย่างที่ตนเองต้องการ
    ทำให้ละเลยธรรมแท้ที่มีอยู่ภายในใจ
    เพราะใจเขาไม่สงบเพียงพอที่จะสัมผัสได้

    ถ้าเพียงแต่ตระหนักรู้ มีสติปัญญา
    กลั่นกรองเอาแต่แก่นแท้
    ย่อมประสบกับ ทางสู่ปัญญา
    ที่นำไปสู่ความบริสุทธิ์แท้จริง

    เพราะเมื่อเขาเพียงน้อมใจที่จะรับฟัง
    ใจนั้นก็กำลังก้าวเข้าไปสู่การสลัดทิ้ง
    ตัวตนออกไปทุกๆขณะนั่นเอง



    พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต​
     

แชร์หน้านี้

Loading...