พุทธศาสนาแบบไทยๆ : แท้ที่จริงแล้วเรากำลังรุ่งเรืองหรือพังทลายตัวเอง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุมิตราจ๋า, 2 ธันวาคม 2012.

  1. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    ศิษย์เซนคนไหน ไปทำสมาธิ หรือไปทำอะไรก็ดี
    แล้วจู่ๆ มาบอกว่า "ฉันบรรลุแล้ว" นี่นะ โดนทุกราย



    ไอ้แบบนี้ ไม่มีหรอกในเซน บรรลุแบบนี้ ไม่มีในเซน
    นั่นแหละ อาจารย์เซนเขาถึงจับได้ว่า "มันมั่วหรือเปล่า"
     
  2. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    จริตคนไหนชอบอะไรที่ยากๆ เยอะๆ ยุ่งๆ ก็ไปสายตันตระดู
    คนไหน มีจริตทางปัญญา ชอบคิดเยอะๆ รู้มากๆ ไปทางเซน
    คนไหน ไม่เื่ชื่ออะไรง่ายๆ ต้องเจอด้วยตัวเอง ก็ไปทางวัชระ
    คนไหน ไม่คิดบรรลุธรรม เอาแค่โปรดสัตว์ก็พอ ไปมหายานซะ


    ประมาณนั้น ...



    โอ๊ะ ลืมดูเวลา เลยเที่ยงคืนแล้ว ควรไปนอนละ เดี๋ยวทำลุง
    ตื่นสาย (แต่ได้ข้อมูลดีๆ จากลุง เพี๊ยบเลยครับ ขอบคุณครับ)


    ไปละ บะบายครับ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ธันวาคม 2012
  3. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ไม่ๆๆ เอ็งสับสนระหว่างเซนกับตันตระเสียแล้ว เข้าใจว่าอ่านมาทั้งสองแนวแล้วตีกันแล้วละสิ โดยเฉพาะถูกหนังสือแนววัชรยานครอบงำความคิดไปเสียแล้ว ต้องเข้าใจว่า นิกายนี้เขาเน้นเผยแพร่ อย่าไปตามเขาเสียหมด ส่วนเรื่องเซนนี่เอ็งอย่าไปจับเอาที่อ่านมาเป็นทฤษฏีหรือแนวคิดเกี่ยวกับเซนเชียวนะ นั้นทำให้ยิ่งงงเรื่องเซนหลุดโลกไปเลยล่ะ

    ตันตระ นั้นโดยคร่าวๆๆ เขาจะพูดถึงคำสอนพื้นฐานในพุทธศาสนาก่อนเรียกขั้นต้นหรือหินยาน ต่อมาเขาจะพูดถึงโพธิจิต คือขั้นกลางหรือมหายาน ต่อมาเขาจะพูดถึงตันตระ(ตันตระกับวัชรยานมันคืออันเดียวกันนะโดยมีกิริยาโยคะคือตันตระต่ำสุด ส่วนมหาอติคือตันตระสูงสุด)เช่นการทำเทวะโยคะ(ในอนุตรตันตระโยคะ) คือจิตนาการว่าเราคือองค์เทพ เราสำแดงออกถึงการเป็นองค์เทพโดยถือว่า เรามีธรรมชาติแห่งพุทธอยู่แล้วแต่เราจะไม่สนใจเรื่องบ่มเพาะมันอีกแต่เราจะสมมติว่าเรามีเมล็ดพันธ์ที่บานเต็มที่แล้วแล้วใช้ศักยภาพนั้น ซึ่งตรงนี้อันตรายมาก เอ้งอาจจะบ้าไปเลยเพราะหลอกตัวเองว่าเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนคนบ้าตามโรงพยาบาล(รุทระ) ส่วนถ้าเอ็งทำถูกจริงๆๆเอ็งกลายเป็นพุทธะจริงๆๆ นี่พูดหยาบมาก แต่ขอให้ดูว่าในสายตันตระครูจะจำเป็นมากทั้งนี้เพราะว่าครูจะคอยกันไม่ให้ศิษย์ไปผิดทาง เขาถึงเปรียบตันตระเหมือนการเลียใบมีดโกนอาบน้ำผึ้งไงละหนุ่ม มันเป็นวิธีที่บ้าบอที่สุดแต่ก็ทรงพลังที่สุดเหมือนกัน ตันตระกับไสย์เป็นคนละอย่างนะหนุ่ม คนชอบเอามารวมกัน ตันตระเอาไสย์มาใช้นะถูกแล้ว คือมีการท่องบ่นมันตระ มีการแสดงพิธีกรรมต่างๆๆ เช่นอภิเษก แต่มันต่างจากไสย์แบบที่เราเข้าใจนะ คือมันไม่ได้เน้นเรื่งขลังเรื่องไสย์เวทย์อย่างเดียว แต่มันเน้นเรื่องสัญลักษณ์ โดยถือว่าทุกสัญลักษณ์ในพิธีล้วนมีความหมายหมด ในพวกคริสต์เขาก็มีการใช้สัญลักษณ์ในพิธีซึ่งเราต้องอ่านให้ออกเหมือนกัน นิกายตันตระนี้ เขาถือว่าสัจจะนะเปิดตัวตลอดเวลาอยู่แล้วเราแค่ต้องอ่านมันให้ออก ในเชิงรหัสนัย ไอ้พิธีกรรมเหล่านี้นอกจากจะใช้ในการสร้างศรัทธา เสริมพลังทางจิต ยังสือถึงสิ่งนี้ด้วย รายละเอียดยังมีอีกมาทีเดียว ส่วนที่หนุ่มสงสัยว่าทำไมท่านตรุงปะไม่พูดถึงตันตระแบบที่เคยได้ยินได้ฟังมาบ้างเลย ไอ้จักระ กุณฑาริณี นี่แหละตันตระเลยล่ะ โดยเริ่มที่ทุมโม ไปสุดที่บาร์โด มีหกขั้นตอน ในนี้พูดกันเยอะ แต่เป็นแบบเหลวไหลหลงเสียมาก เดาว่าน่าจะได้มาจากพวกฝรั่งที่มีความคิดแบบนิวเอจนั้นแหละ โอ๊ยๆๆมันต้องมีครูบาสอน มันต้องปฏิบัติขั้นพื้นฐานมากก่อนถึงจะทำได้ ไม่ใช่อ่านหนังสือเล่มสองเล่มแล้วมาฝึกพื้นฐานไม่มี ที่นี้หนุ่มคงจะอ่านหนังสือท่านแล้วเห็นว่าท่านไม่พูดถึงวิธีฝึกพูดถึงตันตระแบบผ่านๆๆ เลยไปคิดเอาว่าท่านไม่ถนัดตันตระนั้น ขอให้เข้าใจว่าตันตระก็คือ วัชรยานนั้นแหละ(จริงๆๆมันมีแบบฮินดู แบบไชนะด้วย) แต่ที่ท่านไม่พูดไม่ใช่ไม่ถนัดท่านนี้สายตันตระเลย แต่สายนี้เขาถือว่าจะสอนตันตระแบบเป็นความลับเท่านั้นเข้าใจไหม? เขาจะไม่สอนให้คนทุกคนจะสอนแค่คนไม่กี่คนที่เขายอมรับให้สืบทอดต่อจากครูเท่านั้น ดั้งนั้นท่านจึงไม่ค่อยพูดในหนังสือที่พิมพ์นักพูดก็ผ่านๆๆ คือมันสอนกันแบบเป็นความลับนะและคนเรียนก็ต้องสาบานว่าจะไม่เอาไปบอกใครจนกว่าครูจะยอมก่อนนั้นแล

    ส่วนเซนไม่มีการสอนเรื่่องโพธิจิต ไม่มีพุทธะ ไม่มีอะไรทำนองนี้ทั้งนั้น ไม่มีวิธีไม่มีลำดับขั้นไม่มีจิตสู่จิต ไม่เน้นครูภายนอก ไม่มีการบรรลุธรรม เซนต้องไปพ้นทฤษฏี ไม่มีแนวคิด เซนต้องฉีกสิ่งพวกนี้ทิ้งไปก่อน ไม่สอนเรื่องพวกนี้เลย เขาถึงได้สงสัยไงว่า ไอ้เซนนี่มันจะเรียกว่าพุทธศาสนาได้ไหม? ซึ่งจริงๆๆบางแง่มันก็ไม่ใช่พุทธศาสนา(เพราะงั้นมันจึงเป็นพระพุทธศาสนาล่ะ) เซนมีแต่สัมผัสสิ่งที่เกิดขึ้นขณะต่อขณะเท่านั้น วิธีเซนเหมือนกับวิธีของท่านกฤษณมูรตินั้นแหละ คือเป็นอิสระจากอิทธิผลครอบงำทั้งมวล แล้วสัมผัสสัจจะที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าตลอดเวลา เป็นไปในทางปัญญาบารมีล้วนๆๆเลย ถ้าพูดแบบเถรวาทก็คือ เขาต้องการให้คนของเขาเป็นอรหันต์แบบปัญญาวิมุตติพอแล้วนั้นแหละ ตำราที่เขียนเกี่ยวกับเซนก็เป็นได้แค่เรื่องเกี่ยวกับเซน แต่ไม่ใช่ตัวเซนจริงๆๆ ดังนั้นเวลาเราเข้าไปปฏิบัติเซนจะไม่มีการพูดการสอนอะไรทั้งนั้น มีแต่การเรียนการใช้ชีวิตล้วนๆๆ ไม่รู้จะพูดยังไงดี เซนนั้นเรียบง่ายกว่ามรรคาใดๆๆในโลก เอาเป็นว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจเซนผิดไปมากเพราะตำราเขียนเกี่ยวกับเซนนี่แหละ ก็คิดดูเถิดถ้าไม่อ้างเรื่องโพธิจิต เรื่องธรรมชาติพุทธะ มายา สุญญตาบ้างแล้วมันจะเขียนอะไรได้ละในเมื่อเซนมันไม่พูดไม่สนใจเรื่องพวกนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ธันวาคม 2012
  4. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    จริงๆจะปกครองแบบไหนก็ไม่สำคัญดอก สำคัญที่ว่า มันมีธรรมาภิบาล รักษาบ้านเมือง ประเทศชาติประชาชนไหม ถ้ามีศิล ๕ จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จะประเทศใดๆในโลก ไม่ว่า ชาติไหน ภาษาไหน ถ้ามีตรงนี้ ก็อยู่ด้วยกัน มีควาสุข อย่างมีระเบียบ จะจนรวย ก็อยู่ด้วยกันได้ และไม่ต้องแบ่ง เป็นประเทศราษฎน้อยใหญ่ และไม่จำเป็น ไม่มี พระมหากษัษย์ ประธานาธิปบดี นายก รัฐมนตรี นายพล นายพัน นายร้อย ผู้ใหญ่บ้านกำนัน ไม่จำเป็เลย ให้เสียงบประมาณ ด้วย เพราะว่าคนในโลกนี้ ไม่มีศิลธรรม จริยธรรม เข่นฆ่า คตโกง เอาเปรียบกัน ทุกรูปแบบ จึงจำเป็น ต้องมีกฎ บ้านเมือง มี พระราชา มหากษัษย์ ประธานาธิปบดี นายก ปู นายพล นายพัน นายร้อย ผู้ใหญ่ บ้านกำนัน ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ต่างๆครับ


    แต่ผู้ปกครอง มีคุณธรรม ก็ทำให้ บ้านเมือง ประชาชน อยู่ดีกินดี ถ้าผู้ปกครอง เห็นประโยชน์ พวกพ้อง ของตน เป็นสำคัญ ก็ทำให้ บ้านเมือง เดือดร้อน ประชาชนวุ่นวาย เดือดร้อน อยู่อย่างแล้งแค้น ด้วยอำนาจ ของผู้ปกครอง เพราะไร้ ศิลธรรม พระพุทธเจ้าไม่สามารถ พาคนไป สวรรค์นิพพานได้หมด เพราะคนประเภท ที่สี่มันเยอะ จึงจำเป็นต้อง มีพวก พระโพธิสัตว์ ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้า องค์ต่อๆไป บำเพ็ญบารมี เพื่อมา สั่งสอน เวไนยสัตว์ต่อไป พระพุทธเจ้า จะมาตรัสรู้ ในอนาคต อีกมากมายนัก

    ในประเทศไทย ในเพลานี้ ดีที่สุดก็อยู่ในประเทศ ไทย ชั่วที่สุดก็อยู่ในประเทศไทย มันเดินคู่ขนานกัน จึงแยกแยะออก ยากมากๆ จึงต้องใช้ปัญญา อย่างสูงถึงจะแยกแยะ ออกได้ คนที่มีปัญญา น้อย แยกแยะยาก เพราะมันคล้ายกันมาก แต่มันก็มีหลายระดับ หยาบไปหาละเอียด ทั้งดีและชั่ว และชั่ว ล้วนๆ มีดีนิดหน่อย และดี ปนชั่ว ดี น้อยไปหา มาก จน หมด ชั่วและดี ไม่เอาทั้ง ๒ อย่างตัดภพ ตัดชาติ ไม่เหลือ เยื่อใย ตาบใด พระศาสนา ยังอยู่ ยังมีผู้ปฏิบัติประฏิบัติ ชอบ อยู่คู่ ประเทศไทศเสมอมา กรุงศรีอยุธยา ไม่ขาด คนดี
     
  5. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ในสมัยครั้งพุทธกาล ไม่ใช่พระพุทธองค์ จะอยู่ป่าอย่างเดียว ในเมืองก้อยู่ วัดวา ในสมัยนั้น มีค่ามาก มาย ยิ่งกว่าในสมัยนี้อีก นางวิสาขา ผ้าปูพื้น ผืนหนึ่ง ราคา เป็นโกฏิๆ กหาปนะ ในสมัยนี้ต้องเรียก เป็นเงิน หลายๆล้านบาททีเดียว ในสมัยโน้น ป่ายังเยอะ มากมายก่ายกอง ผู้คนก็มีน้อย มาก จะถากถางตรงไหน ก็ย่อ่มจับจองได้ ปลูกบ้านแปลงเมือง ได้อย่างสบายใจเฉิบๆ ไม่ต้องมีใครมารบกวน เท่าใดนัก ไม่ต้องเอา เมื่อในสมัย ๒ พันกว่าปี ดอก เมื่อในสมัย ๔๐ กว่าปี ในป่า ยังจับจองกันได้เลย ไม่ต้องซื้อ ให้เสียเงิน แค่ใช้แรงงาน ไปฟันถากถาง ก็ได้ที่ทำกินกันแล้ว และการที่พระท่านจะไปอยู่ ป่าหรือเมือง ถ้าท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อยู่ที่ไหน ก็ได้ มรรคผล ย่อมเกิดกับผู้ ปฏิบัติ ประฏิบัติชอบ เสมอๆ แล้วแต่จริตของใคร หรือผู้นั้นๆ ธุดงค์วัตร มี ๑๓ ข้อ ไม่จำเป็นต้องอยู่ป่า แต่ในสมันนี้ พระที่แท้จริง หรือสมมุติสงฆ์ ที่ท่านรักในการเดินธุดงค์จริงๆนั้นมีอยู่ แต่พวกเจ้าหน้าที่หาว่า ทำให้สัตว์แตกตื่น จริงๆมันไม่เป็นเช่นนั้นหรอกครับ เพียงเพราะข้ออ้างของมันเท่านั้น แต่พระทำไม่ดีก็มี สมมุติสงฆ์ น่ะ อาศัย ผ้าเหลือง ไปหาสมบัติ ล่าเขาสัตว์ที่ตกหล่น อยู่ในป่า มีอยู่ พระเดรถีพวกนี้ทำให้พระดีๆต้องมัวหมองไปด้วย อันนี้มันก็ว่ากันไปครับ กฎของบ้านเมือง พระก็ย่อม ต่อสู้ ในทางที่ถูก ไม่ใช่จะพาพวกมาเดินขบวน ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ช่องทางอื่นยังมีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2012
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    และอีกอย่าง ผู้คนในสมัยนั้น มีน้อย โจรผู้ร้าย ก็มีน้อย ยังไม่ถึงกับแย่งการทำมาหากิน แย่งที่อยู่กันครับ มาในสมัยนี้ คนเกิดกันเยอะ แย่งการทำมาหากิน วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา คนนิยมเป็นส่วนใหญ่ จะว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะพวก คนในประเทศของเราต่างหาก ไปรับของเขาเอง แล้วนำมาใช้แบบผิดๆ มันจึงเกิดเปลี่ยนแปลง วัฒธรรมมากมายเกิดขึ้น เพราะ ประเทศเราเปิดกว้าง เรื่องเสรีภาพ จริงๆผมว่าปกครองแบบ ราชาธิปไตร ดีกว่า ประชาธิปไตย อีกครับ เงินภาษีอากร เหลือมากมาย เงินในท้องพระคลัง สมันนี้เป็นข้ข้ามากมาย จริงๆ ในสมัย ราชาธิปไตย ท่านก้ไม่ได้ ผูกขาด พระองค์ เดียว ยังมีมุขอำมาตย์ ข้าราชบริพาร รดับแม่ทัพ นายกอง คอยสอดส่อง ดูแล

    ในสมัยนี้ก้ยังมิใช่ ประชาธิปไตย มันหรอกประชาชน ที่ไม่ค่อยมีความรู้ ประชาธิปไตยจริงๆ ต้องเคารพ สิทธิซึ่งกันและกัน ไม่เอาเปรียบกัน ไม่ก้าวก่ายกัน ผิดยอมรับ ถูก เดินหน้าต่อ ทำดีต่อไป ทำให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อชาติบ้านเมือง ศาสนา พระมหากษัษย์ มีอะไร หันหน้าเข้าหากัน จึงจะเรียก ประชาธิปไตย ในสมัยนี้เขา เรียก คณาธิปไตย พวกใครพวกมัน คณะใครคณะมัน มือใครยาว สาวได้สาวเอา มือมึงสั้น ไปอยู่ข้างล่างโน้น นี่มันเป็นอย่างนี้ ใครเป็นอย่างไร เดือดร้อน อย่างไร พวกกูไม่สน แดก ลูกเดียวครับ
     
  7. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    จิตของปุถุชนอย่างเราๆก็เป็นธรรมดาแหละครับ ย่อมเอนเอียงเป็นธรรมดา แต่อย่าให้มากเกินก้แล้วกันครับ ทุกอย่างยังมีอยู่ครบ ใครจะเลือกเดินเอา ก้เป้นเรื่องของแต่ละบุคคล ผิดก็ว่า กันไปตามกฎของบ้างเมือง ถูก ก้ว่ากันไป แต่ถูก เป็นผิดนี่สิครับ แย่หน่อย ก็ช่วยๆกันครับ เราไม่

    สามารถ ทำให้ใครเป็นคนดีได้หมดหรอกครับ บางอย่างก็อย่าไปสนใจมันเลย เอาเรื่องของเราดีกว่าครับ เพราะเราไม่ใช่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ไม่ใช่ในส่วนนั้นๆ ผมน่ะเผชิญมาเยอะพวกนี้ ยากมากๆ ไอ้เราคนเดียวหรือไม่กี่คน มันไม่ค่อยสเทือนเท่าไหร่ มันต้องอยู่ในระดับเดียวกัน จึงจะทำได้ หรือใช้คนปริมาณเยอะ แต่ก็ต้องดุ ความเสียหายของประเทส และส่วนรวมเป็นหลักครับ

    ไอ้ที่ทำได้ คนเดียวบางอย่างนั้น กำลังใจ ต้อง คำนวน ไม่ได้จริงๆครับ อย่างนั้น ๑ ในล้านหรือหลายๆล้าน คนที่ทำได้ แต่ นานๆจะเกิดขึ้นสักครั้ง คุยกันเป็นวันก็ไม่จบครับ ผมอ่านข้อความ ของเจ้าของกระทู้ข้อแรกจบยาวมากเลยแต่ก็พอจะเข้าใจในความหมาย เขียนน้อยให้ได้ใจความน่าจะโอเคกว่านี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2012
  8. PShinex

    PShinex เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +382
    อ่านเรื่องที่นักปราชญ์สนทนากันนี่ได้ความรู้มากจริง ๆ ทุ่นเวลาในการอ่าน
    เพื่อหาความรู้เองเยอะมาก ขอบคุณมากครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...