พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    พระธรรมสามีพุทธเจ้า(อนาคตองค์ที่ 4)กับตำแหน่งพระยามารในปัจจุบัน

    -ผมขอเขียนเรื่องในอดีตชาติของ"พระธรรมสามีพุทธเจ้า" ชาติหนึ่งตอนที่ได้รับคำ

    พยากรณ์จาก"พระกัสสปพุทธเจ้า" ว่าจะได้เป็น"พระพุทธเจ้าในอนาคต"พระองค์หนึ่ง แล้ว

    ข้ามไปในขณะที่ท่านเป็น "พระยามารหรือพระยาวสวัตตีมาร" ในปัจจุบัน

    -ในสมัย"พระพุทธเจ้ากัสสป" ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงเข้าญาณสมาบัติและกำหนดที่จะ

    ออกจากสมาบัติ ถ้าผู้ใดได้ถวายปัจจัยทานแก่พระพุทธองค์หลังจากออกจากสมาบัติเป็น

    คนแรกแล้วจะได้รับผลานิสงส์ยิ่งใหญ่มากมายมหาศาล

    -"พระเจ้ากิงกัสสราช" มีพระราชประสงค์จะถวายทานรักษาศิลและฟังพระธรรมเทศนาของ

    พระพุทธเจ้ากัสสปหลังจากออกสมาบัติเป็นพระองค์แรก จึงได้มีพระบรมราชโองการ

    ประกาศไปว่า "ถ้าผู้ใดถวายทานแก่พระพุทธเจ้ากัสสปก่อนเราจะให้ลงพระราชอาญาผู้นั้น

    ทันที"

    -ในครั้งนั้น"โพธิอำมาตย์" ได้ทราบพระบรมราชโองการแล้ว แต่มีความปรารถนาจะถวาย

    ทานแก่พระพุทธเจ้ากัสสป โดยคิดว่า "แม้ตัวเราจะต้องถูกประหารชีวิต เราก็จะถวายทาน

    แก่พระพุทธเจ้ากัสสปเป็นคนแรกให้ได้"

    -คิดได้ดังนั้นจึงให้ภริยาพร้อมบุตรจัดทำอาหารและสิ่งของเพื่อเป็นปัจจัยทานถวายแด่พระ

    พุทธเจ้ากัสสป

    -เมื่อได้ปัจจัยทานแล้วก็เดินทางมุ่งหน้าไปที่มหาวิหารที่พระพุทธเจ้ากัสสปประทับอยู่หลัง

    จากออกจากสมาบัติ ท่านได้พบเสนาบดีและเหล่าทหารราชบุรุษรายล้อมมหาวิหารแห่ง

    นั้น เพื่อป้องกันผู้อื่นจะนำปัจจัยทานถวายตัดหน้าพระกิงกัสสะราช

    -เสนาบดีได้ถ่ามท่านว่า "ท่านมาด้วยธุระอันใดหรือ"

    -โพธิอำมาตย์คิดว่า "ถ้าเราโกหกว่าพระเจ้ากิงกัสสะราชให้มากราบทูลอาราธนาพระพุทธ

    เจ้ากัสสปแล้วรีบถวายทานก่อน ทานของเราคงไม่มีผลานิสงส์เกิดขึ้น" ท่านจึงบอก

    ความจริงไปว่า "เราจะนำปัจจัยทานนี้ไปถวายพระพุทธเจ้ากัสสป"

    -เมื่อเสนาบดีทราบดังนั้น จึงมีคำสั่งให้ราชบุรุษจับตัวท่านไปถวายพระกิงกิสสราช

    -พระกิงกัสสราชทรงไต่สวนโพธิอำมาตย์ได้ความจริงตามที่เสนาบดีกราบทูล จึงมีคำสั่ง

    ให้นำโพธิอำมาตย์ไปประหารชีวิตที่ลานประหาร

    -ขณะนั้นพระพุทธเจ้ากัสสปทรงทราบเหตุและดำริถึงว่า"โพธิอำมาตย์เป็นหน่อพระบรม

    โพธิสัตว์เสมอวงศ์แห่งพระตถาคต สร้างบารมีมามากมายและจะสิ้นชีพในวันนี้" คิดดังนั้น

    จึงทรงเสด็จไปโปรด โดยเนรมิตรูปของพระองค์ไว้ที่ประทับในมหาวิหาร แล้วเสด็จไป

    โปรดโพธิอำมาตย์ที่ลานประหาร ทรงใช้ฤทธิ์บังจักษุของเหล่าราชบุรุษและเพชฌฆาตที่

    นั้นให้เห็นพระองค์เป็นรูปของราชบุรุษนั่งอยู่ แต่บันดาลให้โพธิอำมาตย์เห็นองค์จริงของ

    พระพุทธองค์

    -เครื่องปัจจัยทานของโพธิอำมาตย์ได้มาอยู่ต่อหน้าโพธิอำมาตย์โดยอานุภาพของพระ

    พุทธองค์ พระพุทธองค์ตรัสขึ้นว่า " ดูก่อนโพธิอำมาตย์ผู้เจริญ ท่านจงละชีวิตของท่าน

    เสียเถิด อย่ากระทำอาลัยในชีวิตอยู่เลย อันว่าปัจจัยทานของท่านมีประการใด ท่านจง

    ให้ทานยังน้ำจิตให้เลื่อมใสในพระตถาคตเถิด"

    -โพธิอำมาตย์ได้ฟังบังเกิดจิตโสมนัส ก็ถือเอาเครื่องปัจจัยทานของตนน้อมถวายแก่พระ

    พุทธเจ้ากัสสป แล้วกราบลง พร้อมกับกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์

    โลกทั้งหลาย อันว่าชีวิตของข้าพระบาทเสียสละแล้ว ด้วยเดชะผลทานของข้าพระ

    พุทธเจ้าในกาลบัดนี้ ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้บังเกิดเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเห็นปาน

    ดังพระองค์ในอนาคตกาลโน้นเทอญ"

    -เมื่อโพธิอำมาตย์ตั้งปณิธานความปรารถนาเช่นนั้น พระพุทธเจ้ากัสสปยื่นพระหัตถ์ไป

    ปรามาสเหนือศีรษะโพธิอำมาตย์แล้วตรัสว่า " ตัวท่านยังความสุขเป็นอันมากให้บังเกิดขึ้น

    แก่ตน จะได้พ้นจากวัฏฏสงสาร ท่านปรารถนาประการใด ความปรารถนาจงสำเร็จแก่

    ท่านเทอญ ดูก่อนโพธิอำมาตย์ผู้เจริญเอ๋ย ในอนาคตเบื้องหน้าโน้ม ท่านจะได้บังเกิด

    เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งสมดังความปรารถนาของท่าน" เมื่อพยากรณ์เสร็จพระพุทธ

    เจ้ากัสสปก็เสด็จกลับมหาวิหาร

    -ขณะนั้นเพชฌฆาตก็ตัดศีรษะโพธิอำมาตย์ขาดจากกาย มหาปฐพีก็ไหวสั่นสะเทือนเป็น

    มหัศจรรย์โกลาหล เศวตฉัตรแห่งพระเจ้ากิงกัสสะราชหักสะบั้นลง พระองค์เห็นเช่นนั้นจึง

    สั่งปิดประตูเมืองด้วยความหวาดกลัว

    -โพธิอำมาตย์ได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเสวยทิพย์สมบัติด้วยผลทานนั้น พร้อมบุตรภริยา

    ครับ (เดี๋ยวมีต่อในตำแหน่งพระยามารครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 06012009554.jpg
      06012009554.jpg
      ขนาดไฟล์:
      617.4 KB
      เปิดดู:
      116
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    พระธรรมสามีพุทธเจ้า(อนาคตองค์ที่ 4)กับตำแหน่งพระยามารในปัจจุบัน
    (ตอนต่อ)

    -ในความเป็นจริง"พระโพธิสัตว์" ที่บำเพ็ญบารมีต่างเกื้อกูลและอนุเคราะห์กัน พระยามาร

    ท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่งซึ่งตามภาษาทหารก็เรียกว่า"ถูกล็อกเข้าไลน์ตำแหน่ง

    พระพุทธเจ้าแล้ว" ทำไมท่านจึงต้องมาขัดขวางไม่เกื้อกูลและอนุเคราะห์พุทธวงศ์ด้วยกัน

    -ถ้ามองอย่างผิวเผินก็เห็นว่า เป็นไปตามประการหลังคือ ขัดขวางและไม่เกื้อกูลอนุเคราะห์

    พุทธวงศ์ด้วยกัน อีกทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายแทบจะไม่มีโอกาสพ้นบ่วงมารเลย

    -แต่ถ้ามองอย่างพิจารณาจริง ๆแล้วจะเห็นว่าพระยามารคือ "ครูผู้ทดสอบว่าพระโพธิสัตว์

    องค์ใดว่าจะผ่านการทดสอบจากท่านหรือไม่ จะทรงมีบารมีภาวะทางจิตเข้มแข็งเพียงใด

    มีขันติบารมี ฯลฯ เพียงใด" ท่านทำหน้าที่ของท่านอย่างซื่อตรงไม่มีเอนเอียง

    -ก็ลองมาพิจารณาถ้อยคำนี้ดูครับว่า "เมตตา กับ หน้าที่" จะเลือกสิ่งใด ถ้าเป็นอย่าง

    เรา ๆ ปุถุชนธรรมดา ก็อาจจะเลือกเอา "เมตตาบ้าง" หรือ "หน้าที่บ้าง"

    -หรือเลือก "เอาทั้งสองอย่าง" เช่นประการหลัง ยกตัวอย่างเช่น "ผู้พิพากษาพิจารณาคดี

    เห็นว่าจำเลยผิดจริงจึงลงโทษ แต่ให้รอการลงโทษไว้ก่อน" ได้ประพฤติทั้งหน้าที่และ

    เมตตาไปในตัว

    -แต่พระยามารไม่มีโอกาสเลือกครับ "เพราะถูกล็อกให้ทำหน้าที่เพียงอย่างเดียว คือ ขัด

    ขวาง ไม่อนุเคราะห์ ไม่เกื้อกูล ซ้ำเติม ฯลฯ" ท่านจึงเป็นผู้ที่น่าจะได้รับการยกย่องในการ

    ทำหน้าที่ แต่หน้าที่ของท่านเป็นโทษแก่พวกเราอย่างยิ่ง

    -"หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ" ผมขอน้อมนำชื่อท่านมาโดยความเคารพรัก

    ท่านอย่างสูง เพราะผมเป็น"ศิษย์รุ่นเหลน" นอกทำเนียบของวัดปากน้ำ ฯ และเรียนวิชชา

    ธรรมกาย(ไม่เขียนว่าวิชาธรรมกาย) มาโดย"พระอาจารย์จากวัดปากน้ำ"มาฝึกสอนวิชชา

    ธรรมกายที่วัดแถวบ้านผม, ก็ต้องบอกว่า"ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายครับ"

    -เหตุที่ต้องน้อมนำท่านมาก็เพราะว่า เป็นเนื้อหาในส่วนของพระยามารกับความคิดเห็น

    ของหลวงพ่อสดท่านโดยตรง ดังนี้ครับ

    -พระอาจารย์ที่ฝึกสอนผมจะสอนว่า "มารไม่มีดี อย่าได้แผ่บุญกุศลอุทิศให้แก่พระยามาร

    เพื่อให้เขายอมผ่อนผันให้เรา การทำเช่นนั้นจะยิ่งทำให้มารมีฤทธิ์ขึ้นมากเข้าไปอีก

    หลวงพ่อสดท่านทำวิชชาธรรมกายปราบมารไม่มีหยุด แม้แต่ทีวีโทรทัศน์ที่บังเกิดขึ้นเป็น

    ครั้งแรก ท่านดูแล้วก็ถึงกับอุทานว่า "เราแพ้ทางมารเสียแล้ว" เพราะมารได้สร้างเครื่อง

    ล่อทางตามาให้แก่โยม โยมก็จะติดทีวี ดูละคร ดูอะไรหลาย ๆอย่าง ที่มารหลอกล่อให้ดู

    ในที่สุดก็เบื่อการทำงาน ผลัดวันประกันพรุ่ง บางคนนอนตื่นสายไม่ยอมใส่บาตร เป็นการ

    ทำลายเสบียงของพระภิกษุที่บิณฑบาตในตอนเช้า เหตุนี้เหมือนกันที่ท่านสร้างโรงครัวขึ้น

    ที่วัดปากน้ำและพระภิกษุที่วัดปากน้ำก็ไม่ต้องออกบิณฑบาต"

    -พระอาจารย์สอนต่อไปว่า "เวลาพระธรรมกายในศูนย์กลางกายของเรามืดมัว ไม่สว่างเกิด

    จากมารทำวิชชาสอดละเอียดเข้ามา เราต้องสู้ด้วยการกลั่นศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ให้ใส

    สว่างแล้วองค์พระธรรมกายที่อยู่ในตัวเราก็จะใสสว่างไปในตัว"

    -บทสรุปของหลวงพ่อสดก็คือ "ท่านต้องทำวิชชาปราบมารให้สิ้น แม้ขณะนี้ผู้ที่ได้วิชชา

    ธรรมกายชั้นสูง ท่านก็ทำวิชชาปราบมารเจริญรอยตามหลวงพ่อสดอยู่ตลอดเวลา"

    -ในทัศนคติของหลวงพ่อสดและศิษย์จะถือว่า"มารคือศัตรูตลอด พวกท่านจะใช้วิชชา

    ธรรมกายต่อสู้กับมารทุกวันครับ.(ยังมีต่อครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    พระธรรมสามีพุทธเจ้า(อนาคตองค์ที่ 4)กับตำแหน่งพระยามารในปัจจุบัน
    (ตอน 3)

    -ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดในกามภพ(จากหนังสือไตรภูมิพระร่วง) แปลว่า

    "แดนที่อยู่ของผู้มีอำนาจให้เป็นไปในสมบัติที่คนอื่นเนรมิตให้ คือเสวยทิพยสมบัติที่พวก

    อื่นเนรมิตให้ตน จึงสุขสบายกว่าเทวดาในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ที่ต้องเนรมิตเอาเอง

    หมายความว่าเทวาดาในสวรรค์ชั้นนี้ไม่ต้องทำอะไรเลยมีตนอื่นทำให้หมด ต้องการอะไรก็

    จะมีเทวดามาสนองความต้องการ เป็นเทวดาที่มีบุญและฤทธิ์มาก

    -สวรรค์ชั้นนี้ แบ่งเป็น 2 แดน คือ "แดนเทพ" และ "แดนมาร" มีผู้เทพผู้ยิ่งใหญ่ปกครอง

    อยู่ 2 องค์ คือ "ปรนิมมิตตวสวัตตีเทวราช" ผู้ปกครองแดนเทพ และ "พระยามาราธิราช

    หรือ พระยาวสวัตตีมาร" ผู้ปกครองแดนมาร

    -พระยาวสวัตตีมารหรือพระยามารก็คือ ผู้ที่คอยมาเป็นอุปสรรคขัดขวางการตรัสรู้และการ

    เผยแผ่พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เพราะการบรรลุพระนิพพานจะทำให้บุคคลพ้นบ่วง

    มารไปได้

    -วสวัตตีมารเป็นเทพที่ขัดขวางไม่ให้มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายล่วงพ้นจากกามาวจรภูมิไปสู่

    ภพภูมิอื่น รวมถึงพระนิพาน

    -ปฏิปทาที่จะทำให้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี คือ การให้ทาน รักษาอุโบสถศีล

    แล้วตั้งจิตอธิษฐานให้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้

    -แต่ใน"ทานสูตร"กล่าวว่า ผู้ใดให้ทานโดยคิดว่า "เมื่อเราให้ทานอย่างนี้แล้ว จิตใจของเรา

    จะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจโสมนัส เมื่อให้ทานแล้ว ผู้นั้นตายไปจะบังเกิดในสวรรค์ชั้น

    ปรนิมมิตวสวัตตีครับ. (ยังมีต่อครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0855.JPG
      IMG_0855.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.2 MB
      เปิดดู:
      112
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    พระธรรมสามีพุทธเจ้า(อนาคตองค์ที่ 4)กับตำแหน่งพระยามารในปัจจุบัน
    (ตอน 4 "บันทึกหน้าที่ของพระยามารในอดีต)

    -พระยามารหรือวสวัตตีมาร มีเรื่องราวปรากฏอยู่บ่อยครังในคัมภีร์พุทธศาสนา

    -เรื่มตั้งแต่ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช เดินทางออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ พระยามาร

    ปรากฏกายทัดทานไม่ให้เจ้าชายสิทธัตถะออกบวช "แต่พระองค์ไม่เชื่อ"

    -ต่อมาตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะใกล้ตรัสรู้ พระยามารพร้อมกองทัพได้พลมาข่มขู่ขัดขวาง

    เพื่อไม่ให้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ แต่พระองค์ก็ทรงชนะด้วยบารมีที่ทรงบำเพ็ญมายาวนาน

    โดยมีแม่พระธรณีเป็นสักขีพยานบีบมวยผมหลั่งไหลเป็นห้วงน้ำกว้างใหญ่ไพศาลท่วมเหล่า

    มารจนต้องหนีกระเจิดกระเจิงไปหมดสิ้น และพระองค์ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด

    -ต่อมาธิดาพระยามาร 3 นาง คือ นางตัณหา นางราคะ และนางอรดี ได้อาสาพระยามาร

    เข้าไปยั่วยวนพระพุทธเจ้าให้ตกเป็นเหยื่อของกามราคะหลังตรัสรู้ใหม่ ๆ แต่พระพุทธองค์

    ไม่ได้ทรงสนพระทัย พวกนางจึงพ่ายแพ้หนีกลับปรนิมมิตวสวัตตีเทวโลก

    -ต่อมาครั้งที่พระพุทธองค์เสด็จบิณฑบาตรที่หมู่บ้านพราหมณ์ "ปัญจสาลา" มารได้เข้า

    สิงสู่ชาวบ้านไม่ให้ใส่บาตรพระพุทธเจ้า ทำให้พระพุทธองค์ถือเพียงบาตรเปล่ากลับมา

    พระยามารได้ปรากฏกายและทูลถามว่า "ท่านได้รับภัตตาหารหรือไม่" พระพุทธเจ้าทราบดี

    เหตุเกิดแต่มารพระองค์ทรงตรัสตอบว่า "เรามีปิติเป็นภัตตาหาร แม้ว่าไม่มีผู้ใดใส่บาตรเราก็

    สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้"

    -อีกเหตุการณ์หนึ่ง สาวกของพระยามารได้เข้าสิงสู่หญิงชาวสาวัตถีห้าร้อยนางให้แสดง

    อากัปกิริยาวิปริต ขณะเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จ โดยการปรบมือและหัวร่องอหาย พระ

    พุทธเจ้าทรงทราบดีถึงเหตุ ทรงใช้ฤทธานุภาพบันดาลให้เกิดความมืดมิด จนหญิงพวกนั้น

    ไม่เห็นสิ่งใดเลยเกิดความกลัวสติกลับคืนมา พระพุทธเจ้าจึงบันดาลให้ท้องฟ้าคืนสู่สภาวะ

    เดิม พวกหญิงนั้นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงละอายเสียใจกับการกระทำของตน

    -ต่อมาพระยามารปรากฏตนต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธองค์และอาราธนาให้พระพุทธเจ้า

    ปรินิพพานด้วยคำพูดว่า"พระองค์ตรัสว่าจะไม่ปรินิพพานจนกว่าพระพุธสาวกจะได้รับการ

    ฝึกฝนอย่างดี มีความแตกฉานในพระธรรมปฏิบัติตนเคร่งครัดในพระธรรมวินัย และสามารถ

    กำราบปรัปวาทได้ บัดนี้พุทธสาวกเป็นดังที่พระองค์ทรงปรารถนาแล้ว ขอพระองค์เสด็จ

    ปรินิพพานเถิดพระเจ้าข้า"

    พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า "อย่ากระวนกระวายใจไปเลย ตถาคตจะปรินิพพานในอีกสาม

    เดือนข้างหน้า"
    (มีต่อครับ.)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24012009622.jpg
      24012009622.jpg
      ขนาดไฟล์:
      812.8 KB
      เปิดดู:
      947
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    พระธรรมสามีพุทธเจ้า(อนาคตองค์ที่ 4)กับตำแหน่งพระยามารในปัจจุบัน
    (ตอน 5 "บันทึกหน้าที่ของพระยามารในอดีต")

    -นอกจากมารจะปรากฏแก่พระพุทธเจ้าแล้ว ยังเคยสำแดงฤทธิ์เดชกับพระสาวกด้วยเช่นกัน

    โดยครั้งหนึ่งพระยามารแทรกกายเข้าไปอยู่ในท้องของพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์

    รู้สึกหนักท้อง จึงนั่งลงทำกรรมฐานพบว่า มารได้เข้าไปสิงสู่อยู่ในท้องท่าน ท่านกล่าว

    แก่มารว่า "จงรีบออกไปจากท้องของเรา และอย่าไปรบกวนพระพุทธองค์และพระสาวก

    อื่น ๆ อย่างเด็ดขาด" มารจึงออกมาทางปากของท่านแล้วไปยืนอยู่ปากทางประตู

    พระโมคคัลลาน์จึงกล่าวเตือนพระยามารว่า "ขอให้ระลึกถึงการกระทำเยี่ยงนี้ที่พระยามาร

    เคยได้กระทำต่อพระวิทูระ ในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ได้ยังผลให้พระยามารต้องไปตก

    นรกอเวจีอยู่นานแสนนาน"

    -พระยามารเคยปรากฏกายต่อหน้าพระภิกษุณีกีสาโคตมี กล่าวท้าทายว่า "ทำไมท่านต้อง

    ร้องไห้ให้กับสามีที่ตาย ท่านน่าจะเข้าไปในป่าหาสามีใหม่ที่เหมาะสมให้แก่ตัวท่านเอง"

    ท่านจึงตอบไปว่า"เราไม่มีความเศร้าสลดหดหู่ใจ เราไม่ต้องการแสวงหาคู่ เราได้ทำลาย

    ความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายหมดแล้ว อวิชชาทั้งหลายได้ถูกเราขับไล่ไปหมดสิ้น เราเป็น

    อิสระจากบาปอกุศล มีชัยชนะเหนือทั้งตัวท่านและกองทัพของท่าน"

    -พระยามารเคยปรากฏตนต่อหน้าพระภิกษุณีวชิราและกล่าวแก่ท่านว่า "ท่านยังอายุไม่มาก

    เราก็อายุไม่มาก เรามาสนุกด้วยกันเถิด"

    พระภิกษุณีตอบว่า "เราไม่ยินดีกับความสนุกสนานทางกาม"

    -พระยามารเคยปรากฏตนต่อหน้าพระภิกษุณีจาลา และกล่าวถามท่านว่า "สิ่งใดบ้างที่ท่าน

    ไม่ต้องการ"

    พระภิกษุณีตอบว่า "เราไม่ต้องการเกิด"

    พระยามารถามต่อว่า "ถ้าท่านเกิดท่านก็จะได้สัมผัสกับความน่ายินดีทางกาม"

    พระภิกษุณีตอบว่า "ถ้าคนเกิด คนก็ต้องตาย ต้องประสบความทุกข์ เราต้องการดำเนิน

    ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้เราพ้นไปจากความเกิด"

    -และอีกครั้งหนึ่งพระยามารได้ปรากฏตนต่อหน้าพระภิกษุณีเสลา และถามท่านว่า

    "ร่างกายนี้สร้างขึ้นมาโดยผู้ใด ใครเป็นผู้สร้างร่างกายนี้ และร่างกายนี้จะหยุดดำรงอยู่ได้

    อย่างไร"

    พระภิกษุณีตอบว่า "ร่างกายนี้เราไม่ได้เป็นผู้สร้าง ร่างกายนี้เกิดขึ้นมาจากเหตุ และจะหยุด

    ดำรงอยู่เมื่อเหตุนั้นดับ" ฯลฯ
    (มีต่อครับ.)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 29082008196.jpg
      29082008196.jpg
      ขนาดไฟล์:
      559.2 KB
      เปิดดู:
      124
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  6. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    หวัดดีครับพี่ชาย มารายงานตัวครับ หายไปนอนครับรู้สึกเพลียๆ เจ็บคอ รุมๆ เลยพักผ่อนเยอะไปหน่อยครับ
     
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    พระธรรมสามีพุทธเจ้า(อนาคตองค์ที่ 4)กับตำแหน่งพระยามารในปัจจุบัน
    (ตอน 5 "การสิงสู่ของมาร")

    -หากบุคคลมีความเกียจคร้านอ่อนแอ ไม่สำรวมระวังทั้งในทางจิตใจ การบริโภค บุคคลนั้น

    จะตกเป็นเหยื่อของมาร ในทำนองกลับกัน หากบุคคลมีวินัย หมั่นสำรวมระวัง และมีการ

    ฝึกฝนตนเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ ก็พ้นจากบ่วงของมาร บุคคลควรต่อสู้กับมารด้วยอาวุธคือ

    ปัญญา และสามารถพ้นจากบ่วงมารได้เมื่อดำเนินตามอริยมรรคมีองค์ 8 คือ สัมมาทิฏฐิ

    สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมา

    สมาธิ

    -เมื่อพิจารณาพระดำรัสของพระพุทธองค์ อีกทั้งวาจาของพระอริยบุคคลที่ยกตัวอย่างมา

    จะเห็นได้ว่า "ถ้อยคำคำพูดของท่าน แสดงออกถึงความเมตตาต่อมาร และตั้งอยู่ด้วย

    เหตุผล"

    -ที่เห็นเด่นชัดก็คือคำเตือนของพระโมคคัลลานะ "ขอให้ระลึกถึงการทำเยี่ยงนี้ ที่

    พระยามารเคยได้กระทำต่อพระวิทูระ ในสมัยของพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ได้ยังผลให้พระยา

    มารต้องไปตกนรกอเวจีอยู่นานแสนนาน"

    -ทำให้เห็นว่าผู้ที่หลุดพ้นจากบ่วงมารได้แล้ว ไม่เคยถือโทษโกรธพระยามารเลย เพราะ

    เห็นเสียแล้วว่า "คือหน้าที่ของท่าน"

    -แต่ปางก่อนสมัยหนึ่ง ก่อนเกิดเป็นพระยามารได้เกิดเป็น "กุลบุตรคนหนึ่งซึ่งชื่อและสกุล

    ไม่ปรากฏ ตามคัมภีร์เขียนว่า "นามและโคตร" มิได้ปรากฏ"

    -กุลบุตรได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ได้บำเพ็ญการกุศลในสำนักแห่งพระพุทธเจ้า

    พระองค์นั้น ตั้งความปรารถนาจักเป็น"พระยามาร"ตามประสาใจที่จิตเป็นอกุศลขณะนั้น แต่

    อาศัยบุญกุศลส่งให้เป็นพระยามารในชั้นปรนิมมิตวสวัตตี"

    -สมัยนั้นพระยามารผู้นี้มีอายุได้กัปหนึ่ง ได้เห็น"ต้นพระศรีมหาโพธิ์" บังเกิดขึ้นในกาล

    เดียวกับที่พระโพธิสัตว์สิทธัตถะเสด็จลงสู่ครรภ์แห่งพุทธมารดา ก็สะดุ้งตกใจว่า "ไม้ต้นนี้

    บังเกิดขึ้นจะเป็นไม้มหาโพธิ์แห่งสิทธัตถะกุมาร เมื่อสิทธัตถะกุมารออกบวชแล้ว จักมา

    ตรัสรู้ภายใต้ร่มโพธิ์นี้เป็นแน่แท้"

    -พระยามารดำริดังนี้จึงใช้เทพยดาองค์หนึ่งกับบริวารให้มาดูแลรักษา พร้อมกำชับว่า

    "ถ้าพระสิทธัตถะกุมารออกมาสู่ควงไม้มหาโพธิ์นี้เมื่อใด ให้ขึ้นมาบอกพระยามารเมื่อนั้น"

    -ในกาลต่อมาเมื่อพระสิทธัตถะออกบวชแล้วทำทุกรกิริยา 6 พระวัสสาแล้ว จึงเสด็จมาสู่

    ควงไม้มหาโพธิ์ เทวดาบริวารพระยามารจึงได้ขึ้นไปแจ้งเหตุแก่พระยามาร พระยามารจึง

    ยกทัพมาขัดขวาง แต่ก็ไม่สำเร็จ

    -สรุปได้ว่า"ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระสาวก ปุถุชนคนธรรมดา ฯลฯ ต่างก็

    ได้รับการกระทำขัดขวางจากพระยามารโดยเสมอภาคกัน ไม่มีละเว้น อันทำให้เห็นข้อดี

    ของพระยามารแต่เป็นโทษของพวกเราก็คือ "การทำหน้าที่ของตนเองอย่างซื่อสัตย์ไม่ขาด

    ตกบกพร่องครับ".
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24012009623.jpg
      24012009623.jpg
      ขนาดไฟล์:
      663.5 KB
      เปิดดู:
      157
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    อดีตชาติสมัยบังเกิดเป็นพ่อค้าเจ้าปัญญา

    -ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์และพระสาวก ณ

    เชตวันมหาวิหาร ในวันนั้นสหายของท่านติดตามไปด้วย 500 คน ซึ่งเป็นสาวก

    ของ"อัญญเดียรถีย์"

    -ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาจบ เกิดศรัทธาเลื่อมใส จึงเลิกนับถือลัทธิอัญญเดียรถีย์ หันมา

    นับถือ"พระรัตนตรัย"แทน

    -ครั้นออกพรรษาพระพุทธองค์ไม่อยู่ในพระอาราม ก็หันกลับไปนับถืออัญญเดียรถีย์ตาม

    เดิมอีก

    -พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "การที่อัญญเดียรถีย์เป็นคนโลเลกลับกลอก รับไตรสรณคมน์แล้ว

    ละทิ้งเสีย ย่อมเป็นความผิดมหันต์ ไม่สมควรอย่างยิ่ง"

    -พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าเรื่อง"อปัณณกชาดก" ความว่า

    -ครั้งหนึ่งในอดีตกาล ณ เมืองพาราณสี มีพ่อค้าใหญ่ 2 คน เป็นเพื่อนกัน แต่นิสัยใจคอ

    ของพ่อค้าทั้งสองคนนี้ต่างกัน

    -พ่อค้าคนหนึ่งเป็นคนอ่อนไหว ส่วนพ่อค้าอีกคนหนึ่งเป็นคนมีสติปัญญา

    -อยู่มาคราวหนึ่ง พ่อค้าทั้งสองจะต้องเดินทางข้ามทะเลทรายซึ่งกันดารมาก

    -พ่อค้าหูเบาคิดว่า "เราควรจะออกเดินทางไปก่อน ด้วยเหตุผลว่า พืชผักผลไม้ก็ยัง

    บริบูรณ์ดี จึงนำบริวารบรรทุกสินค้าไปเต็มที่"

    -พ่อค้าหูเบาได้เร่งเดินทางจนถึงเขตแดนยักษ์ พวกยักษ์จำแลงกายเป็นคนนั่งรถเทียม

    เกวียนสวนทางมา แสร้งพูดว่า "หนทางที่เราผ่านมานั้นฝนตกหนัก น้ำท่าอุดมสมบูรณ์

    ไม่จำเป็นต้องขนตุ่มน้ำไปให้หนักเปล่า" พูดแล้วก็ขับเกวียนผ่านไป

    -พ่อค้าหูเบาเห็นแก่ความสะดวกสบาย สั่งบริวารให้เทน้ำในตุ้มทิ้งเสีย หวังจะได้น้ำบ่อ

    หน้า แต่เดินทางไปตลอดวันก็หาน้ำไม่ได้ จึงรู้ว่าถูกหลอกเสียแล้ว

    -ครั้นตกเย็นก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเกินกว่าจะต่อสู้กับผู้ใด พอตกดึกพวกยักษ์ก็บุกเข้ามา

    จับกินเป็นอาหารทั้งหมด

    -ต่อมาพ่อค้าช่างสังเกตก็ออกเดินทางพร้อมด้วยบริวารจนกระทั่งล่วงเข้าเขตทะเลทราย

    -พ่อค้าจึงให้โอวาทแก่บริวารว่า "พวกเจ้าจงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้ทุกคนใช้น้ำ

    อย่างประหยัด ห้ามรับประทานพืชผักผลไม้ประหลาด ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นการป้องกัน

    ไม่ให้หลงกินพันธุ์ไม้มีพิษ ให้ช่วยกันสังเกตความผิดปกติต่าง ๆ รอบตัว"

    -ไม่นานก็เจอยักษ์กินคนจำแลงตนเป็นคนขับเกวียนสวนทางมา และทำอุบายหลอกเช่น

    เดียวกับที่หลอกพ่อค้าหูเบา

    -พ่อค้าช่างสังเกตเห็นเช่นนั้นก็จับพิรุธได้ทันที เพราะบุคคลเหล่านี้มีนัยน์ตาแดง ไม่มีเงา

    ปรากฏ ผิดมนุษย์ จึงรู้ว่าเป็นยักษ์จำแลงมา จึงไม่เชื่อคำที่ยักษ์ลวง ได้สั่งให้บริวารเร่ง

    ขับเกวียนทันที

    -จนถึงยามเย็นได้เดินทางมาถึงบริเวณกองเกวียนของพ่อค้าหูเบาจอดอยู่ เห็นซากศพมาก

    มายจึงเข้าใจเรื่องราวทุกอย่าง

    -ค่ำคืนจึงจัดกองเกวียนเป็นกำแพง มีเวรยามเฝ้าระวังอย่างเข้มแข็ง พร้อมกับจุดกองไฟ

    ส่องสว่างจนรุ่งเช้า ในคืนนั้นยักามีจำนวนน้อยไม่กว่าบุกทำร้าย จึงปลอดภัย

    -รุ่งเช้าก็ออกเดินทางไปยังเมือง ขายสินค้าได้ทั้งหมดร่วมทั้งสินค้าของพ่อค้าหูเบาด้วย

    และได้กลับสู่เมืองพาราณสีอย่างปลอดภัย

    -พ่อค้าช่างสังเกตและบริวารตั้งอยู่ในศีลธรรมตลอดอายุขัย ครั้นละโลกแล้วก็ไปสู่สุคติ

    โลกสวรรค์

    -พ่อค้าหูเบา กำเนิดเป็น "พระเทวทัต"

    -บริวาร 500 คนของพ่อค้าหูเบา กำเนิดเป็น "สาวกของพระเทวทัต"

    -พ่อค้าช่างสังเกต เสวยชาติเป็น "พระพุทธเจ้า"

    -บริวารของพ่อค้าช่างสังเกต กำเนิดเป็น "พุทธบริษัท"

    ข้อคิดที่ได้ เมื่อมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น คนฉลาดมักสังเกตพิจารณาและเชื่ออย่างมีเหตุ

    มีผลครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 24012009627.jpg
      24012009627.jpg
      ขนาดไฟล์:
      577.8 KB
      เปิดดู:
      127
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    อุบายในการรักษาศีลห้าของหลวงปู่เปลี้ย คุณสัมปันโน

    -หลวงปู่เปลี้ย คุณสัมปันโน อดีตพระเกจิขลังแห่ง วัดชอนสารเดช อำเภอหนองม่วง

    จังหวัดลพบุรี สมัยที่ท่านออก"เหรียญทศบารมี" แล้วได้มี ส.ต.อ.ชัยวัฒน์ นามวรรณ

    ตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานีขณะนั้นได้นำเหรียญเงินของท่านไปทดลองยิงจนปืนแตกดังภาพ

    ที่ลงไว้ (ยืมมาจากเวปพี่อำพล เจนครับ) เมื่อประมาณปี 2539 และก็ได้มีข่าวคราวการ

    ยิงวัตถุมงคลของท่านอีกหลายครั้งก็ได้ผลว่าของท่านอยู่ปืนครับ ท่านได้มรณภาพไปนาน

    แล้ว

    -ผมได้มีโอกาสฟังท่านเทศน์ให้ผมฟัง โดยผมกับหลวงปู่อยู่กันเพียง 2 คน ในวิหารหลวง

    พ่อองค์ใหญ่พระประธานในวัดชอนสารเดช

    -ลักษณะของหลวงปู่เป็นพระที่มีเมตตาสูงส่งมากทีเดียว ท่านเคยลงวิชาอะไรบางอย่างให้

    ผม แต่ผมไม่ทราบว่าคืออะไร "ท่านจะใช้นิ้วชี้ของท่านเขียนเป็นตัวอักขระบนกระหม่อม

    ของผม แล้วใช้มือทั้งสองข้างของท่านลูบศีรษะลงมา และใช้นิ้วโป้ทั้งสองลูบที่ตา แล้ว

    เอาไปแย่วนที่หู แล้วมาลูบที่จมูก พร้อมกับเอานิ้วโป้มาลูบสีที่ริมฝีปาก แล้วลูบลงมาที่หัว

    ไหล่พร้อมกับกดแรง ๆ ระหว่างที่ท่านทำท่านว่าคาถาสวดตลอด" เหมือนกับท่านจะเปิดตา

    เปิดหูฯลฯ จนบัดนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าท่านลงอะไรให้ผม

    -เข้าเรื่องเลยครับ ข้อเขียนนี้ต้องแนะนำให้แก่ผู้ที่มีความตั้งใจจะรักษาศีลแต่อยู่ในสภาพ

    แวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยครับ "ผมก็จัดเป็นคนประเภทนี้"

    -วันนั้นประมาณต้นปี พ.ศ.2540 ผมไปกราบหลวงปู่ซึ่งท่านนั่งอยู่คนเดียว โดยก่อนหน้า

    นั้นก็ไปกราบท่านหลายครั้ง ผมขอเล่าตามคำของหลวงปู่โดยจะไม่นำชาดกมาเทียบเคียง

    ว่าคือบทไหน เพื่อให้ได้ถ้อยคำจากหลวงปู่เต็ม ๆ ดังนี้ครับ

    -ผมถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ มีอุบายอะไรบ้างครับที่ช่วยทำให้เรารักษาศีลห้าได้"

    -หลวงปู่ "ศีลห้าหรอ เรื่องมันมีอยู่ว่า เราต้องมีเมตตาต่อคนและสัตว์รวมทั้งตัวเราเอง

    หลวงปู่เองก็มีเมตตาแม้แต่ยุงมันกัดหลวงปู่ก็ไม่ตบมัน ยุงมันเลยไม่กัดหลวงปู่หรือมันจะ

    กัดก็ไม่รู้ ดูอย่างพระพุทธเจ้าสิ ท่านเองก็มีเมตตาแม้แต่คนที่เกลียดท่าน ท่านก็ยังมี

    เมตตา ในอดีตมีนายพรานคนหนึ่งมันรักหมามาก แต่มันเกลียดพระ เห็นพระเมื่อไรมันจะ

    ไล่ หรือไม่ก็ใช้ให้หมาไล่กัดพระ ต่อมาเวรกรรมมันมาถึงมันใกล้จะตาย พระพุทธเจ้า

    ทรงทราบว่า นายพรานกำลังจะตายถ้าเราไม่ไปช่วยนายพรานจะต้องตกนรกอย่างแน่นอน

    พระองค์ท่านจึงคิดว่าทำอย่างไรจะโปรดนายพรานได้ในเมื่อนายพรานเกลียดพระ ท่าน

    เลยนึกถึงสิ่งที่นายพรานรักคือ หมา ท่านจึงมีความคิดว่าจะเอาหมาไปให้นายพราน

    พระพุทธองค์เสด็จไปหานายพรานที่บ้าน แล้วจึงเรียกนายพรานที่กำลังนอนอยู่ด้วยอาการ

    เจ็บป่วย นายพรานเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าก็จะไล่แต่ได้ถามก่อนว่า พระมาทำไม พระ

    พุทธเจ้าก็บอกว่าเราเอาหมามาให้ท่าน พรานได้ยินรู้สึกยินดีจึงถามว่า ไหนล่ะหมา พระ

    พุทธองค์ก็บอกว่าเรียกมันเข้าสิมันชื่อว่า "พุทโธ ธรรมโม สังโฆ" นายพรานก็เรียกหมาทั้ง

    สามว่า "พุทโธ ธรรมโม สังโฆ" จนจิตสงบและตายไปบังเกิดในสวรรค์ จะเห็นว่าพระ

    พุทธองค์เองท่านมีเมตตา"

    -ผมไม่เข้าใจในตอนแรกว่า"ที่หลวงปู่เล่ามาเป็นอุบายในการรักษาศีลอย่างไรในตอนนั้น"

    จนมาขบคิดจึงได้ความว่า"อุบายที่หลวงปู่บอกในการรักษาศีล"คือ "เมตตาครับ" ท่านให้

    รักษาเมตตาตัวเดียวเท่านั้นครับ เมื่อเมตตา เราจะไม่ฆ่าสัตว์ เราจะไม่ลักทรัพย์เขา เราจะ

    ไม่ผิดลูกเมียเขา เราจะไม่พูดปดหลอกลวงเขา และเราจะไม่ดื่มเหล้าอันเป็นการทำลายตัว

    เองก็ได้ชื่อว่า"เมตตาตัวเอง"ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0077.JPG
      IMG_0077.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.4 MB
      เปิดดู:
      125
    • dsc00656.jpg
      dsc00656.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.6 KB
      เปิดดู:
      114
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011
  10. thexjeab

    thexjeab เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    904
    ค่าพลัง:
    +685
    ขอบคุณมากทุกๆคนครับได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากเลยครับ
     
  11. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    เคยไปหาหลวงตามหาบัวหรือป่่าวครับ พี่

    ผมเคยตั้งใจไว้ว่าจะไปให้ได้ในชีวิตนี้ ไม่สมหวังเสียแล้ว หลวงตาท่านไปนิพพานเสียก่อนแล้ว
     
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    -เคยกราบท่านที่วัดมเหยงคณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดที่หลวงพ่อสุรศักดิ์

    เขมรังสี เป็นเจ้าอาวาส ตอนที่ท่านมาบอกบุญผ้าป่าช่วยชาติครับ

    -ยังจำได้อยู่เลยหลวงตามหาบัวนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม "หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขม

    รังสี"ที่ท่านแสดงธรรมรายการสถานีวิทยุนั่งอยู่ติดที่หัวเข่าขวาของหลวงตาผม

    นั่งต่อจากหลวงพ่อสุรศักดิ์ฯ

    -หลวงตาหันมาแย้มยิ้มให้กับหลวงพ่อและผมแล้วบอกว่า "พระนั่งข้างหนึ่ง

    โยมนั่งข้างหนึ่ง" ผมจึงได้ย้ายมานั่งติดอยู่หัวเข่าซ้ายของหลวงตา

    -หลวงตาเอ่ยชมหลวงพ่อพร้อมกับมองท่านอย่างปรานีแล้วเอ่ยขึ้นว่า

    "เจ้าสำนักคนนี้เก่งจริง ๆ เราดูแล้ววัดนี้ร่มรื่นน่าปฏิบัติธรรมดีมาก" ฯลฯ

    -หลวงตาพูดกับหลวงพ่ออีกเล็กน้อย ก็มีญาติโยมเข้ามาเฝ้าหลวงตาเยอะไป

    หมดจนทำให้ที่คับแคบ ลูกศิษย์ของหลวงตาจึงนิมนต์หลวงตาไปเทศน์ที่

    ธรรมมาสที่จัดเตรียมไว้

    -ก็ต้องขอบอกกับ"น้องชาย"ว่าความรู้ทางธรรมที่ผมได้ส่วนใหญ่ก็มา

    จาก"หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี"องค์นี้แหละครับ

    -ต้นไม้ที่อยู่บริเวณขอบสระของวัดมเหยงคณ์ ที่ตอนนี้มันโตเป็นไม้ใหญ่ขึ้น

    อย่างแข็งแรง ผมเป็นคนรดน้ำตอนมันยังเป็นต้นเล็กอยู่ "เอาพันธุ์ไม้จาก

    สถานเพาะชำของเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท จำนวนหลายต้น"

    -จะบอกให้"น้องชาย"ว่า "ต้นไม้" พวกนี้มีอายุแก่กว่า"น้องชาย"ประมาณไม่

    น่าจะเกิน 8 เดือนครับ(ปลูกประมาณพฤษภาคม2526) "ต้นไม้ที่ขอบสระวัด

    มเหยงคณ์เป็นพี่ของน้องชายนิดหน่อยนะครับ"

    -แต่ถ้าเป็น"การ์ตูนโดราเอมอน" มาฉายในประเทศไทยก่อน"น้องชาย"จะเกิด

    นะครับ เพราะฉะนั้น"โดราเอมอน"แก่กว่า"น้องชาย"มากกว่าแน่นอนครับ.
     
  13. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    ผมไม่ค่อยได้ไปสายวัดป่่าเลยครับ ไปก็วัดป่าม่วงไข่ หลวงพ่อขันตี แล้วก็พระอาจารย์ถาวร วัดปทุมวนาราม ไปปฏิบัติธรรมอยู่นานครับ สามเดือน แต่แค่ตอนเย็น รู้สึกว่าท่านรู้วาระจิตผมเหมือนกันครับ แล้วก็เคยเดินสวนแล้วก้มกราบหลวงปู่่จาม ที่วัดสุทัศน์ ท่านก็มองหน้าผมแปลกๆ ไม่เข้าใจครับ มองนานเสียด้วย สายธรรมยุติก็มีเคยไปแค่นี้แหล่ะครับพี่(เฉพาะที่พอจะมีชื่อเสียงน่ะครับ)
     
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    -จะบอกน้องชายว่า"คนที่มีบารมีเดิมสะสมมาทางปฏิบัติธรรม" พระปฏิบัติท่านจะสัมผัสรู้

    ได้ง่ายครับ.

    -เช่น "น้องชาย" ผมว่าในอดีตชาติสะสมมาไม่ใช่น้อยหรอกครับ

    -ความคุ้นเคยในอดีตชาติ"จะนำพาเราเสาะหาพระบริสุทธิ์ที่มีคุณธรรม และมีวาสนาต่อเรา

    เองครับ".
     
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    -"มโนภาพ" คือ "ภาพที่เห็นเหมือนกับภาพในความฝัน" ในขณะที่เราลืมตาอยู่ภาพที่

    เหมือนกับความฝันนี้จะปรากฏให้เราเห็นเป็นบางขณะ

    -"พอน้องชาย" บอกว่า "เห็นภาพบางภาพด้วยตาเนื้อ" แสดงว่า"สัญญาเก่าเริ่มเข้ามา

    ปรากฏแล้ว ฝึกกรรมฐานไปเรื่อย ๆ บางสิ่งจะเกิดกับเราทางที่ดีขึ้น"
     
  16. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    อาจจะมีส่วนอย่างพี่ชายว่าเหมือนกันครับ

    เพราะผม กับพระอาจารย์ถาวร ผมไม่เคยได้คุยกับท่านซักประโยค ห่างกันมาก ตอนท่านเทศน์ ท่านเทศน์เรื่องที่ผมสงสัยทั้งหมด ผมนึกอะไร ท่านก็เทศบอกมา กลางฝูงชนมากมายที่วัดประทุม แต่ประทับใจตอนที่ท่านจะเป็นผู้นำเวียนเทียน ท่านก็เดินมาตรงพระบรมสารีริกธาตุ ผมก็นั่งอยู่ไกลๆ ยังไม่ได้ลุกเดิน(กะว่าจะไม่เดินแหละครับ) แล้วท่านก็มองมาที่ผม ก็พยักหน้า บวกกับการกวักมือ เพื่อให้ผมเดินเวียนเทียนซึ่งก็มีผู้นั่งอยู่หลายคน ผมก็ยังอยากไปอยู่ครับ แต่กว่าจะถึง ต้องผ่านดงรถติดมหาโหด ทั้งสุขุมวิท ราชประสงค์ สาหัสอยู่เหมือนกันครับ ขนาดมอไซด์ยังท้อเลยครับพี่
     
  17. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    ตอนที่เห็นด้วยตาเนื้อเนื่องจากลืมตาทั้งสมาธิ พอลืมได้ซักพักกิเลศวิ่งเข้ามาทางตา หายเลยครับ ฮ่าๆๆ

    แต่ก่อนตอนวัยรุ่น ผมเห็นผีด้วยตาเนื้อบ่อยมากเลยครับพี่ แต่ก่อนนอนมุ้ง มุ้งกดลงมาเป็นรูปผ่ามือก็มีครับ จนไม่ค่อยกลัวผีเลยครับ แต่พอบวชแล้ว ก็ไม่ค่อยเห็นแล้วครับพวกผี คงรับกุศลกันไปเกิดแล้วหล่ะ
     
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    -ผมฝึก"วิชชาธรรมกาย" พอเข้าสู่ในองค์พระ "จะมีความสุขมาก"

    -ผมจึงรู้สึกว่า"ผมมองไม่เห็นทุกข์" เมื่อมองไม่เห็นทุกข์ผมจะดับทุกข์ได้อย่างไร

    -ผมมาเทียบเคียงกับโลกธรรม 8 คือ ทุกข์ สุข นินทา สรรเสริญ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้ลาภ

    เสื่อมลาภ "ถ้าเรามีสุขอยู่ เราจะพ้นจากโลกธรรมหรือความเป็นโลกได้หรือ"

    -"เมื่อเห็นแต่สุข" จะเห็นอริยสัจจ์สี่ได้หรือ คือ ทุกข์ , สมุทัย(เหตุให้เกิดทุกข์)

    มรรค(ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์), นิโรธ(ความดับทุกข์)

    -"ไม่เห็นทุกข์เสียแล้ว" กระบวนการของอริยสัจจ์สี่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร

    -เพราะความลังเลสงสัย "การปฏิบัติธรรมวิชชาธรรมกายจึงไม่ไปไกล" เหมือนศิษย์คนอื่น

    ครับ.
     
  19. สวนพลู

    สวนพลู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    6,596
    ค่าพลัง:
    +18,651
    ผมคิดว่าธรรมกาย คล้ายกันกับมโนยิทธิน่ะครับพี่ แค่คล้ายแต่ไม่เหมือน คือไม่เอาใจไปจับทุกข์ มองผ่านข้ามไป เมื่อเราไม่เอาทุกข์ เราก็ไม่ทุกข์ เพราะทุกข์เราคือผัสสะ แล้วเมื่อธรรมกายตัดไปแล้วก็เหลือแต่ดวงจิตบริสุทธ์ เพียงพอแก่นิพพานครับ ผมเข้าใจอย่างนี้ครับ แต่มโนยิทธิให้ตัดร่างกาย การเกิดเป็นทุกข์ หายตายไปก็ไม่ขอกลับมาเกิดอีก ต้องการนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น แล้วก็ค่อยเข้าสู่สมาธิ ซึ่ง ก็ไปได้เหมือนกัน ผมเข้าใจประมาณนี้ครับ
     
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    คติ"ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้"เปรียบเทียบกับ พระภูริทัตผู้ถูกหยามพระเกียรติ
    (ตอนที่ 1)

    -คติของผู้ใดที่เอ่ยวาจา "ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้" ซึ่งกล่าวขึ้นเป็นคนแรกและครั้งแรกในอดีต

    ผมไม่อาจรู้ได้ รู้สึกว่ามันมีมานานเหลือเกิน และมีการปฏิบัติพฤติกรรมสืบทอดของชน

    บางกลุ่มต่อ ๆมาโดยถือคติข้อนี้

    -คติข้อนี้เมื่อพิจารณาด้วยหลักเหตุและผล ผู้เปล่งวาจาคนแรกและผู้กระทำสืบต่อ ๆ กันมา

    น่าที่จะตกอยู่ในภาวะถูกกดดันในลักษณะที่เสียเปรียบ โดยให้คำตอบผูกมัดให้แก่ฝ่ายที่ได้

    เปรียบเลือกเพียงอย่างเดียวคือ "ฆ่าเขา" แต่ "อย่าหยามเขา" ด้วยทิฏฐิมานะที่เขาเลือก

    แล้วว่า"เกียรติยศและศักดิ์ศรีของเขา" เหนือกว่า"ชีวิตของเขา"

    -ผู้เปล่งวาจานี้อยู่ "ในอารมณ์ที่มีโทสะและโกรธแค้น" จึงกล่าวคำคำนี้ออกมา

    -แต่คำคำนี้ได้ถูกสืบทอดมาพูดกัน ในวงเหล้าบ้าง ในหมู่วัยรุ่นบ้าง ในภาพยนต์บ้าง ใน

    ละครทีวีบ้าง ในหมู่เจ้าพ่อ และผู้มีอิทธิพลทั่วไป ฯลฯ

    -ผมมาพิจารณาคำว่า "หยาม" หรือเรียกเต็ม ๆ ก็คือ "เหยียดหยาม" น่าจะแบ่งการกระทำ

    ออกเป็น 2 อย่าง คือ "หยามด้วยคำพูด" และ "หยามด้วยการกระทำ"

    -"หยามด้วยการกระทำ" เช่น การขับรถปาดหน้ากัน คนที่ถูกปาดหน้ารู้สึกว่าถูกหยามก็ไล่

    ใช้ปืนยิงคนขับรถปาดหน้าจนถึงแก่ความตายบ้าง บาดเจ็บสาหัสบ้าง เป็นต้น

    -"หยามด้วยคำพูด" เช่น เป็นข้าราชการชั้นต่ำมีปัญญาซื้อรถเบนซ์ขับได้อย่างไร

    -ชนบางกลุ่มให้"ค่านิยมการหยาม"เป็นที่สุดแห่งความอดทน" จนยึดถือมาโดยส่วนรวม

    และที่มีกระบวนการฟ้องร้องทางศาลเกิดขึ้นมากมายก็คือ "การหยาม" เทียบเคียงได้กับ

    การ"หมิ่นประมาท"หรือ"ดูหมิ่น"ในทางกฏหมายอาญา

    -ผมก็คิดตามประสาคนมองข้อธรรมว่า "สังคมจะกำหนดและยึดถือการหยามให้เป็นที่สุด

    ของความอดทนถึงขนาดต้องตอบโต้กันหรือ"

    -ผมพิจารณาว่าหากยึดถือเช่นนี้ธรรมในข้อ "ขันติบารมี" ที่มีองศาปรอทสูงอยู่ มาถูกตัด

    ลงแค่ "หยามเท่านั้น"

    -ขันติธรรมข้อนี้ น่าจะถูกบั่นทอนลงโดยคำว่า "หยาม" เมื่อใดหยามเกิดขึ้นขันติธรรมเป็น

    อันจบ

    -พวกเราตีค่า"ขันติธรรม" มีค่าถูกสิ้นสุดลงเพียงคำว่า "หยาม"หรือ

    -ผมเลยต้องนำพระชาดก"พระภูริทัตสมัยเสวยพระชาติเป็นพญานาค" ชาดกหนึ่งในสิบชาติ

    สุดท้าย มาเพื่อเทียบเคียงให้เห็น "ขันติบารมี" ของพระองค์ท่านที่ถูกเหยียดหยามอย่างที่

    สุด แต่พระองค์ก็อดทนด้วย "ขันติบารมี" ครับ.(มีต่อครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...