พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เซจีเดินเข้าไปในห้องเก็บศพ..ที่ภายในห้องนั้นถูกติดตั้งไปด้วยภาพวาด..ที่

    ไม่น่าจะแตกต่างไปจากพิพิธภัณฑ์เพราะมันคือเรื่องของ"เมือง มีสุข"ที่เหมือนกัน...

    ....................เซจีมองไปที่ภาพต่าง ๆ อย่างพิจารณา..นางคิดว่า"นะจาย่าซึ่งเป็นน้องของปู่ลีเจ

    ง..ช่างบรรจงวาดภาพพวกนี้ได้งามจริง ๆ..นางทะนุถนอมภาพพวกนี้ที่เป็นความทรงจำเกี่ยวกับเมือง มี

    สุข..ประดิษฐภาพวาดพวกนี้อย่างมีสีสัน"

    ....................เซจีมองไปที่ลูกธนูและเดินไปที่โลงศพของแม่เฒ่านะจา..นางเคาะที่โลงศพนั้น

    และพูดขึ้น "แม่เฒ่า..เจ้านกกาเผือกสีขาว..มันกำลังมาหาข้าแล้ว..และมันจะส่งข่าวคราว

    ของเมือง มีสุขให้ข้าได้รับรู้....แล้วข้าจะพามันมาหาแม่เฒ่าเพื่อให้มันบอกเรื่องราวต่าง ๆให้

    แม่เฒ่าได้รับรู้"....นางพูดพร้อมกับยิ้มแย้มให้กับโลงศพนั้นอย่างสุขใจ.....มันให้ความสุขแก่

    นางได้จริง ๆเพียงแค่ได้เห็นเจ้านกตัวนั้น..นกที่เป็นประดุจเพื่อนแท้ของเมือง มีสุขใน

    อดีต......

    ....................กาเผือกกับพวกกับมานั่งผิงไฟอยู่หน้าที่พัก..ซูโอ๊ะและทูเลย์ยังคงอยู่กับพวกเขา....

    หลังจากกาเผือกได้บอกเล่าเรื่องห้องที่น่าจะเป็นที่เก็บศพของแม่เฒ่านะจา..จากการที่ตนสังเกตให้แก่ซู

    โอ๊ะและทูเลย์ฟัง...เขาจึงเอ่ยเป็นเชิงปรึกษา

    ............................"ห้อง ๆนั้น..ถ้าเราลอบเข้าไปดูได้..เราจะรู้จักเซจีได้มากขึ้น..ก่อนที่เราจะ

    พบกับนาง.."

    ............................"ทำไมต้องเข้าไปดูห้องนั้น..แล้วจึงจะรู้จักนางดีขึ้น" พวงผกาถามอย่าง

    สงสัย

    ............................"ก็นางรักและหวงแหนห้องนั้นมาก..และนางได้อยู่ที่นั่นนางจะมี

    ความสุข....เราต้องการรู้ว่า..ภาพต่าง ๆแม่เฒ่านะจาวาดภาพอะไรไว้บ้าง....และภาพพวก

    นั้นงามเช่นใด...เซจีจึงอยู่ในนั้นอย่างไม่รังเกลียด..ทั้ง ๆที่มีศพของแม่เฒ่านะจาอยู่...นางไม่

    หวาดกลัวศพนั้น" กาเผือกอธิบายเหตุผล

    ............................"ชีวิตของนางอยู่ใกล้ชิดแม่เฒ่านะจามาโดยตลอด..นางไม่มีวัน

    เกลียดกลัวศพแม่เฒ่านะจา" พวงผกาแสดงความเห็น

    ............................"การจะลอบเข้าไปดู..ข้าว่าพอมีทาง..เพราะห้อง ๆนั้นอยู่ใกล้กับ

    เลื่อมผาด้านตะวันออก...หากเราไต่เชือกขึ้นไป...นางไม่ค่อยระวังด้านนั้นอยู่แล้ว...เท่าที่ข้า

    เห็นนางจะระวังแต่ด้านหน้าบ้านของนางอย่างเดียว" ทูเลย์เอ่ย

    ............................"เป็นอย่างทูเลย์พูดจริงๆ..นางจะระวังแต่ด้านหน้า..เพราะด้านหลังเป็น

    หน้าผา...นางจึงไม่คิดว่าใครจะปีนหน้าผาขึ้นมาที่บ้านของนาง" ซูโอ๊ะเอ่ยสนับสนุน

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..ใครจะเป็นคนปีนหน้าผาดู..เพราะจะต้องเลือกคนที่แข็งแรงเท่า

    นั้น" ไก่ตุ๋นเอ่ยขึ้นบ้าง

    ............................"ใช่จริงอย่างไก่ตุ๋นบอก..คนที่จะลอบเข้าไปดูจะต้องไปเพียงคนเดียวเท่า

    นั้น...หากเราไปหลายคนอาจเกิดเสียงดัง...จนนางรู้ตัว" กาเผือกรับรองและแสดงความเห็น

    ............................"ข้าเองก็ได้..ข้าเคยปีนป่ายที่สูงอยู่บ่อย ๆ" ทูเลย์เสนอตัว

    .....................ทุกคนเห็นพร้อมด้วยกับการที่ทูเลย์จะปีนป่ายหน้าผาเพื่อไปลอบมองดูห้องนั้น..

    และนำมาถ่ายทอดว่าภายในห้องลึกลับนั้นมีอะไรอยู่..เซจีจึงห้ามไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งแม้แต่นอซันน้อง

    ชายของนางเอง...นางก็ยังไม่ยอมให้นอซันเข้าไปกวนใจนาง.....

    .....................รุ่งเช้านอซันออกมาจากบ้าน..ซูโอ๊ะจึงบอกแก่นอซันว่า..พวกเขามีแผนการณ์ที่จะ

    ให้ทูเลย์ลอบปีนไปทางหน้าผามุ่งตรงไปห้องนั้นเพื่อแอบดูภายในห้องว่า..มีอะไรอยู่ภายในห้อง

    นั้น........พวกกาเผือกอยากให้นอซันช่วยเหลือให้เบนความสนใจของเซจีไปที่อื่น...โดยจำเป็นต้อง

    ให้นอซันกลับไปพูดคุยกับนาง........นอซันจึงทำตาม

    .....................ในที่สุดทูเลย์ก็ปีนไต่หน้าผาไปประชิดกับห้องนั้นได้...เขาพยายามมองไปที่รอย

    แตกของห้องลึกลับในห้องนั้น...ก็พบว่าสว่างไปด้วยแสงไฟจากคบไฟ...แม้จะเป็นเวลากลางวัน...เซจี

    นางปิดห้องไว้..ไม่ยอมเปิดให้แสงสว่างจากภายนอกเข้าไปเลย.....ทูเลย์มองสำรวจพบว่าห้องลึกลับ

    ห้องนั้นสอาดสอ้านมาก..และมีกลิ่นหอมของชาหอมจากโลงศพแม่เฒ่านะจาโชยมา...เขามองสำรวจ

    ดูพบภาพวาดต่าง ๆมากมาย..แต่เขาก็มองมันไม่ได้ถนัดนัก......

    .....................ในที่สุดทูเลย์ก็กลับมารายงานให้กาเผือกกับพวกได้ฟังตามที่ตนเองรู้เห็นมา.......

    กาเผือกคิดว่า..เขาควรจะไปพบและพูดคุยกับเซจีต่างหาก..เขาจึงจะรู้จักนางและความรู้สึก

    ของนาง..........และเขาสามารถตัดสินใจได้ว่าเขาควรทำอย่างไร...............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • m141663.jpg
      m141663.jpg
      ขนาดไฟล์:
      117.1 KB
      เปิดดู:
      96
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2012
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..........ตอนที่ 111 เจ้าคือนกกาเผือก........




    ....................รุ่งเช้ากาเผือกสั่งให้พรรคพวกรออยู่ที่ที่พัก..และเขาจะเดินทางไปหาเซจีที่บ้าน

    พักเอง...

    ....................เซจีนางลงมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่หน้าบ้านพร้อมกับหน้าไม้ที่ถืออยู่ในมือ..โดย

    นางรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ...หน้าไม้ที่เซจีถืออยู่มันคือ หน้าไม้ของลีเจงปู่แท้ ๆของนาง..ซึ่งฝึก

    สอนการยิงและให้นางไว้...นางจึงใช้หน้าไม้นี้เป็นอาวุธประจำตัวและถือเป็นที่ระลึกของปู่ที่

    จากไป...อันเป็นความทรงจำของนาง.....

    ....................เซจีนั่งมองไปที่เส้นทางที่จะเข้ามายังบ้านนาง..ก็เห็นบุรุษหนึ่งเดินอาจ ๆเข้ามา

    ด้วยท่าทางองอาจ...แต่สิ่งที่นางเห็นยิ่งกว่าธรรมดา...คือ นางเห็นนกกาเผือกสีขาว..บินอยู่

    เหนือหัวชายผู้นั้น........มันคือนกตัวที่นางเห็นมันโบยบินมาจากดวงตะวัน...มันคือนกตัว

    เดียวกับ......ภาพวาดของสายพิณที่ปรากฏอยู่ในพิพิธภัณฑ์จังหวัดน่าน....

    .....................เซจีลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆและจ้องมองไปที่บุรุษนั้นและนกกาเผือกที่บินอยู่

    เหนือหัวบุรุษผู้นั้น...อย่างดวงใจที่ตื่นเต้นและยินดี...นางรำพึงรำพันอย่างแผ่วเบา......

    ............................."เจ้านกตัวนั้นมันโบยบินมาแล้ว..แม่เฒ่า"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2012
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เซจีเอ่ยคำหมายถึง..ศพแม่เฒ่านะจาที่อยู่ในโลงศพภายในห้องลึกลับ

    ....................ฤดูหนาวของวันนี้..หมอกลงอย่างบางตา..ด้วยแสงสว่างจากดวงตะวันสาดส่องฝ่า

    หมอกบางตามาพื้นดินได้..ทำให้เกิดแสงสว่างอย่างพอเพียงที่จะมองเห็นคนหรือวัตถุได้ระยะไกลพอ

    ประมาณ...

    ....................สายตาของเซจีจับจ้องอยู่ที่บุรุษผู้เดินเข้ามาหาอย่างไม่กระพริบตา...เป็น

    ขณะเดียวกับที่กาเผือกก็มองนางอย่างไม่วางตาเช่นกัน.......ด้วยเกรงหน้าไม้ที่อยู่ในมือของ

    นาง..จะหันปลายลูกดอกเข้ามาหาตน......

    ....................กาเผือกเดินมายืนอยู่เบื้องหน้าของเซจี..และมองสีหน้าที่เรียบเฉยของนาง

    พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"เซจี..ผมมาหาเซจีต้องการบอกเล่าอะไรบางอย่าง"

    .....................เซจีมองไปที่นกกาเผือกที่บินวนอยู่ที่เหนือหัวของกาเผือก..และมองหน้ากา

    เผือก...ในความเป็นจริงนกกาเผือกที่บินอยู่เหนือหัวของกาเผือกไม่มี....แต่เซจีนางเห็นนกกา

    เผือกตัวนั้น..ทำให้นางนึกรู้ว่า"บุรุษผู้นี้คือ.เจ้านกกาเผือก"

    .....................นางเอ่ยคำกับเขาทันที..โดยไม่สนใจคำพูดของเขา

    ............................"เจ้าคิดว่าเมื่อเจ้ามาอยู่ในร่างคนแล้ว...ข้าจะไม่รู้หรือว่าเจ้าคือเจ้า

    นกกาเผือก"

    .....................กาเผือกสดุ้งอยู่ภายในใจ..ที่นางยืนยันว่า"เขาคือนกกาเผือก"
     
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"เซจี..ผมเป็นคน...ไม่ใช่นกกาเผือก" กาเผือกพูดแย้ง

    ............................"เจ้าคือนกกาเผือกตัวนั้น..นกกาเผือกที่อยู่ในภาพวาดที่

    พิพิธภัณฑ์..นกกาเผือกที่ เมือง มีสุข ช่วยชีวิตเจ้าไว้...เจ้าจึงผูกพันอยู่กับเขา...และตอนที่

    เขากำลังจมหายไปในแม่น้ำน่าน......เจ้าพยายามช่วยชีวิตเขาแต่ไม่สำเร็จ...เจ้าจึงเสียใจ...

    และเจ้าคือนกตัวที่ทำหน้าที่ติดตามขวดแก้วใบนั้น" เซจีประมวลเรื่องราวที่นางหยั่งรู้และ

    อธิบาย

    ....................กาเผือกหยุดนิ่งมองหน้าเซจีและคิดตาม..เหมือนเซจีกำลังบอกเขาว่า.."เขาคือ

    นกกาเผือกตัวนั้นที่กลับชาติมาเกิดเป็นคน"

    ....................กาเผือกคิดย้อนไปถึงแม่ของเขาเล่าให้ฟัง..ก่อนที่เขาจะเกิดมาลืมตาดูโลก..แม่

    ของกาเผือกได้เล่าให้ฟังว่า.."นางฝันเห็นนกกาเผือก..บินมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศ

    ตะวันตกของบ้าน..และบินหายเข้าไปในท้องของนาง...ดังนั้นเมื่อเขาเกิดขึ้นมา...แม่จึงตั้งชื่อ

    เขาว่า"กาเผือก"..ตามความฝันที่เชื่อว่า..กาเผือกมาขอเกิดเป็นลูกของนาง"

    .....................กาเผือกคิดต่อไปอีกว่า..ตามภาพวาดที่อยู่ในพิพิธภัณพ์และคำอธิบายก่อนที่เมือง

    มีสุขจะจมน้ำหายไป..เขาได้สั่งให้นกกาเผือกตัวนั้นบินตามปกป้องดูแลขวดแก้วทรงมะม่วงตามภาพ

    วาดนั้น...และขวดแก้วใบนั้นได้จมลงในแม่น้ำเจ้าพระยา..ซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นน้ำที่จังหวัด

    ชัยนาทตลอดมา...จนเขามาตกเบ็ดบริเวณนั้น..ขวดแก้วใบนั้นก็ถูกแม่น้ำเจ้าพระยาพัดหมุน

    วนมันขึ้นมาลอยอยู่เหนือน้ำ..และไม่ได้ลอยไปตามกระแสน้ำที่ล่องไป....แต่มันกลับลอยมุ่ง

    ตรงมาหาเขา..จนเขาได้พบจดหมายบนผืนผ้า..และแหวนทอง..พร้อมสร้อยข้อมือทองคำ

    ลายดอกทานตะวัน

    .....................เขาคิดต่อไปถึงก่อนที่เขาจะเข้าพักในโรงแรม..เขาได้ไปกับไกตุ๋นที่แม่น้ำน่านและ

    อธิษฐานต่อแม่น้ำน่านให้เปิดทางช่วยเขาให้สำเร็จในสิ่งที่ต้องกระทำ..ปรากฏว่าได้มีลมแรงพัดเขา

    จนจะตกลงไปในแม่น้ำน่าน..และแม่น้ำน่านได้หยุดไหลนิ่งตลอดสาย...พร้อมกับเกิดน้ำวน..

    และได้ปรากฏภาพของ "บุรุษผู้หนึ่งที่กำลังจะจมน้ำโดยมีเลือดแดงฉานเต็มตัว...และเขาเห็น

    นกกาเผือกตัวหนึ่งบินอยู่ในน้ำที่ภาพนั้นมาช่วยจิกคอเสื้อดึงชายผู้นั้นพยายามกระพือปีกบิน

    ดึงชายผู้นั้นขึ้นจากน้ำ"..หรือว่า..สิ่งที่เขาเห็นคือการที่ "แม่น้ำน่านได้บอกปริศนาให้เขารับรู้

    ว่า..เขาคือนกกาเผือกตัวนั้นจริง ๆ"

    .....................และสิ่งที่เซจีพูดขึ้น..เป็นคำที่ยืนยันว่า."เขา คือ นกกาเผือกตัวนั้น"..แสดง

    ว่า..เขาคือนกกาเผือกตัวนั้นที่กลับชาติมาเกิดเพื่อทำหน้าที่ต่อจากความเป็นนก...เพราะเขา

    ทำสิ่งที่เมือง มีสุขสั่งไว้ไม่สำเร็จ...เขาจึงห่วงใยในหน้าที่นั้น...จึงกลับมาเป็นคนที่ทำหน้าที่

    ต่อ"...แต่เซจีนางรู้เห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2012
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................กาเผือกคิดได้ดังนั้นแล้ว..เขาจึงเอ่ยถามเซจี

    ............................"เซจี..เมื่อผมคือนกกาเผือกแล้ว...เซจี..บอกบางสิ่งบางอย่างที่เซจีรู้กับผม

    ได้ไหม"

    ............................"เจ้าต่างหากที่จะต้องบอกบางสิ่งบางอย่างแก่ข้า" เซจีถามสวนกลับ

    ด้วยน้ำเสียงตะคอก

    .....................กาเผือกนิ่งไป..เซจียกปลายลูกดอกหน้าไม้ที่มันอยู่ในรางหน้าไม้ที่ใส่ไว้

    พร้อมยิง..จ่อมาที่หน้าอกของกาเผือก.....และกดจิ้มไปที่หน้าอกของเขาเบา ๆ..จนกาเผือก

    รู้สึกเจ็บ...และนางได้พูดตะคอกอย่างดัง

    ..........................."เจ้าเดินไปขึ้นบ้าน..แล้วเรียบเรียงคำพูดให้ดี.."

    .....................เซจีเอาปลายแหลมของหน้าไม้จี้ให้เขาเดินขึ้นบ้าน..กาเผือกรู้สึกตกใจด้วยรู้สึก

    หวาดกลัวหญิงผู้นี้ด้วยรู้อยู่ว่า"นางผิดปกติ"..เขาจึงเดินขึ้นบ้านอย่างว่าง่าย

    .....................เซจีให้กาเผือกเดินไปที่ห้องลึกลับที่เก็บศพของแม่เฒ่านะจาเอาไว้..และเปิดประตู

    พร้อมกับผลักกาเผือกไว้ในห้องนั้นทันที...พร้อมกับปิดประตูใส่ลูกกุญแจขังเขาไว้ภายในห้องนั้น

    ......................กาเผือกตะลึงและตกใจอย่างมาก..ภายในห้องนั้นมีเพียงแสงไฟสลัว ๆ

    จากคบเพลิง...แต่สิ่งที่เห็นเด่นชัดก็คือโลงศพที่เปิดฝาโลงเอาไว้..มีกลิ่นชาหอมที่หมกศพนั้น

    ไว้โชยมาเข้าจมูก...กาเผือกหวาดกลัวด้วยไม่เคยอยู่ใกล้ชิดกับศพเช่นนี้อย่างสองต่อสองมา

    ก่อนเลย...เขาตะโกนเรียกเซจีพร้อมกับเขย่าประตู

    ............................"เซจี..ปล่อยผมออกไปนะ..ปล่อยผม..เซจี"

    ....................เซจีมองที่บานประตูที่กาเผือกเขย่า..ประตูบานนั้นมันถูกทำขึ้นอย่างแน่นหนายากที่

    จะพังออกมาได้.....ซักครู่เซจีก็พูดขึ้นอย่างดัง

    ............................"เจ้ามีอะไร..เจ้าจงพูดให้แก่แม่เฒ่านะจาฟังให้หมด..นางรอคอย

    เมือง มีสุขมานานแล้ว...เหมือนกับข้าที่รอคอยเขาเหมือนกัน"

    ....................เซจีนางให้..กาเผือกพูดคุยกับศพของแม่เฒ่านะจา.."โอ้..นางคิดอะไรอยู่

    ภายในใจ..ศพไม่สามารถฟังคำพูดใด ๆจากคนได้..และไม่สามารถพูดโต้ตอบได้..".......

    แสดงว่าที่นางเก็บศพของแม่เฒ่านะจาไว้.....ความเป็นจริงของนางอย่างหนึ่ง...คือนางพูด

    กับศพแม่เฒ่านะจา..ตลอดที่นางเก็บศพไว้..และศพก็พูดโต้ตอบกับนาง...การตายไม่ใช่การ

    สิ้นสุดแห่งการเคลื่อนไหวของคนหรอกหรือ

    .....................จิตของนางช่างพิสดารที่สร้างภาพหลอกหลอนนางมาตลอด..นางได้เห็น

    ได้รู้อะไรแปลก ๆ..ก็เกิดจากการที่นางเข้าไปอยู่ในจิตในความคิดของนางมากกว่าการมอง

    โลกตามความเป็นจริง....

    ....................กาเผือก..เจ้านกน้อย..เจ้ากำลังประสบชะตากรรมที่ยากยิ่งของเจ้า

    แล้ว.........

    ............................"เซจี..ได้โปรดเถิด..แม่เฒ่านะจาตายไปแล้ว..นางไม่สามารถพูดคุยกับ

    ผมได้หรอก" กาเผือกพูดอ้อนวอน

    ....................เซจียกหน้าไม้ขึ้นไปที่ประตู..และยิงลูกดอกหน้าไม้ใส่บานประตูทันที.....เสียง

    ลูกดอกหน้าไม้กระทบประตูและปักที่บานประตูอย่างดัง

    ....................................."ปึก"

    ....................หากไม่มีบานประตูกั้นไว้...ลูกดอกหน้าไม้คงเสียบหน้าอกของกาเผือกทะลุ

    แน่...

    ....................นางพูดต่อในทันทีด้วยเสียงอันดัง

    ............................"เจ้านกบ้า..เจ้าหยุดพูดเรื่องที่ไม่เป็นความจริงได้แล้ว..เจ้าอย่าเส

    แสร้ง....เจ้าจงบอกทุกอย่างที่เจ้ารู้ให้แม่เฒ่านะจาฟัง"

    ....................เซจีเห็นต่างจากกาเผือก..ด้วยนางว่าความจริง"ศพแม่เฒ่านะจาพูดคุยได้..

    และนางก็พูดคุยโต้ตอบกับศพมาโดยตลอด...นางจึงรู้สึกโกรธที่กาเผือกพูดเรื่องไม่จริง.....

    ....................กาเผือกตกใจและเงียบเสียงไป...เขานั่งกอดเข่าหันหลังพิงบานประตูและก้ม

    หน้าลง..ด้วยไม่อยากมองสิ่งใด...

    ....................กาเผือกหวาดกลัวศพจนหลอน..และยังหวาดกลัว"เซจีหญิงบ้า..ในความ

    คิดของเขา"...เขาไม่รู้ว่าเซจีจะทำอย่างไรกับเขาต่อ...และคิดว่า..หากเขาถูกขังจนถึงข้าม

    คืน...เขาต้องอยู่กับศพในคืนนี้อะไรจะเกิดขึ้น.......สิ่งที่หวาดกลัวมาตลอดของคนทั่วไป

    ตลอดอย่างหนึ่ง..ก็คือ"ผี"...........ผีของนะจาจะมาปรากฏร่างในคืนนี้ไหม............เพราะ

    ที่เซจีบอกว่าคุยกับศพแม่เฒ่านะจาได้...ความเป็นจริงนางอาจคุยกับ"ผีของแม่เฒ่านะจา" ก็

    เป็นได้............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2012
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ........ตอนที่ 112 ภาพวาดแห่งความทรงจำของนะจา........




    ....................ในที่สุดกาเผือกก็ถูกขังอยู่ในห้องลึกลับอยู่กับศพแม่เฒ่านะจาจนถึงกลาง

    คืน...ไก่ตุ๋นและพวงผการ้อนลนเมื่อไม่เห็นกาเผือกกลับมา..พวกเขารีบปรึกษาหารือกับซูโอ๊ะและทูเล

    ย์...คาดว่า ....ต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับกาเผือก..ทูเลย์บอกว่า.........ต้องบอกกับนอซันผู้เดียว..

    เพราะนอซันคือผู้ที่เข้าออกในบ้านหลังนั้นได้อย่างที่เซจีไม่ระแวง..เพราะเขาคือสมาชิกคนหนึ่งของ

    บ้านหลังนั้น.......ดังนั้นพวกเขาจะต้องรอนอซันออกมาในวันรุ่งขึ้น..เพื่อให้นอซันสืบหาว่า "กาเผือก

    หายไปไหน..."

    .....................ในคืนนั้นนอซันกลับมาบ้าน..โดยไม่รู้ว่ากาเผือกถูกขังอยู่ในห้องลึกลับห้องนั้น...

    เขาเดินผ่านห้องนั้นเห็น.....ลูกดอกหน้าไม้ดอกหนึ่งปักอยู่ที่บานประตู..ซึ่งแสดงให้เห็นว่า..เซจี

    ยิงหน้าไม้ใส่บ้านประตูนั้น...นอซันก็ไม่ได้สงสัยสิ่งใด..เพราะรู้ดีว่า..เซจีนางไม่ปกติเหมือน

    คนธรรมดา.......การที่นางจับหน้าไม้ของพ่อเฒ่าลีเจงถือเป็นอาวุธไว้ตลอดเวลา...ซึ่งนางเอง

    ก็เคยยิงลูกดอกหน้าไม้ไปทั่ว..เมื่อนางเห็นภาพหลอนประหลาด ๆปรากฎขึ้น....

    .....................กล่าวถึงกาเผือก..เมื่อยามดึกมาเยือน..เขาเกิดความกลัวอย่างจับใจ..

    อากาศหนาวบนดอยแผ่ครอบคลุมเข้ามาในห้องนั้น...เขาหนาวสั่น..เขาไม่ยอมมองไปแม้กระทั่งที่โลง

    ศพที่ตั้งอยู่ข้างหน้าเขา...ด้วยเกิดอาการหลอนกลัวว่า "แม่เฒ่านะจาจะลุกขึ้นมาให้เขาเห็น"...เขา

    คงต้องบ้าตายแน่ ๆ..

    .....................กาเผือกพยายามมองไปที่คบไฟที่เสียบไว้ที่ข้างฝา..ที่ถูกจุดไว้ตั้งแต่ตอนกลาง

    วัน...เขาหันไปเห็นคบไฟอีก 3 อัน ที่เสียบอยู่ที่มุมห้องอีกด้านหนึ่งยังไม่ถูกจุดเขาจึงใช้คบไฟอันนั้น

    ไปจุดคบไฟอีก 3 อันขึ้น...ทำให้ภายในห้องนั้นสว่างไสวขึ้น...

    .....................ความกลัวเริ่มคลายลงเล็กน้อย..เมื่อแสงสว่างเกิดขึ้น...กาเผือกแหงนขึ้นมองไปที่

    ข้างฝาด้านขวามือที่ติดตั้งภาพวาดภาพหนึ่ง..ซึ่งถ้าจัดอันดับภาพ..ภาพนี้คือภาพสุดท้าย...ในจำนวน

    ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า...เพราะแสงไฟจากคบไฟจ่ออยู่ที่ภาพ..เขาจึงต้องมองภาพสุดท้ายนี้

    ก่อนเป็นอันดับแรก....

    ......................ภาพที่เขาเห็นก่อให้เขาเกิดความคิดและอารมณ์หลายอย่างขึ้นมาแทนที่

    จิตใจ..และขับความกลัวไปชั่วขณะหนึ่ง...

    ......................มันเป็นภาพของ..สาวน้อยวัยราว 16 ถึง 17 ปีแต่งชุดชาวดอยของเผ่า

    มูเซอ..นางมีใบหน้าที่งดงาม..ผิวขาวแบบเซจี..มีดวงตาที่ประกายสดใสเจิดจรัส...และซ้อน

    จากสาวน้อย..ก็คือภาพของหญิงสาวคนเดิมที่มีอายุเปลี่ยนไปเป็นอายุราว 20 ถึง 30 ปี ซ้อน

    จากวัยนั้น...และต่อจากนั้นก็เป็นภาพของนางวัย 40 ถึง 50 ปี ...ต่อด้วยภาพวัย 60 ถึง 70

    ปี ..และวัย 80 ถึง 90 ปี..สุดท้ายคือ วัย 90 ถึง 100 ปี...ภาพดังกล่าวไม่มีคำอธิบาย..แต่

    เป็นลักษณะของหญิงสาวคนเดียวที่มีวัยเจริญขึ้น..จนถึงวัยชรา......มีตัวหนังสือเขียนที่ใต้

    ภาพของวัยชราว่า "ผู้รอคอย"

    ....................กาเผือกขยับเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นภาพของวัยชรานั้น..มีหยาดน้ำตาไหลออกมาอาบ

    แก้ม...มันถูกวาดขึ้นให้เห็นว่า "หญิงสาวผู้รอคอยผู้นี้..รอคอยใครคนหนึ่งมานานเหลือเกิน...จน

    ย่างเข้าวัยแก่ชรา...นางก็ยังคอยเขาอยู่....ด้วยอารมณ์ที่รันทดสลดหดหู่หัวใจ...."

    .....................กาเผือกจับจ้องภาพอยู่นาน..แล้วเขาก็มีความรู้สึก...สงสารหญิงชราผู้นี้อย่าง

    จับใจ....ชีวิตของนางต่อจากวัยชราก็คือ "ความตาย" ภาพนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจากแม่

    เฒ่านะจา "ผู้ที่เป็นศพนอนสงบนิ่งเพื่อรอคอยเมือง มีสุขอยู่ในโลงนั้น"....กาเผือกหันกลับ

    หลังไปช้า ๆ..ด้วยทั้งกลัวและสงสารพร้อมอยากรู้....เขามองไปที่ในโลงศพนั้นเห็นชาที่มีกลิ่น

    หอมหมกร่างนั้นไว้...แต่ก็ยังเห็นร่องรอยเป็นรูปคนนอนอยู่...เขามองดูนานอย่างพิจารณา...

    พลางคิดว่า "ศพนี้หรือที่พูดคุยกับเซจีได้.."..เซจีนางช่างมีจินตนาการหลอกหลอนตัวเอง

    จริง ๆ.........


    ....................ความพลัดพรากจากคนรัก..มันช่างเป็นสิ่งที่ทรมานจิตใจคนเสียเหลือเกิน...กา

    เผือกเมื่อเห็นภาพของแม่เฒ่านะจาตอนวัยรุ่นก็พอเดาออกว่า..เซจีผู้น่ารักผู้นี้นางมีรูปร่างถอดแบบ

    มาจากแม่เฒ่านะจา..ย่าของนางนั้นเอง....

    ....................ตามเรื่องราวที่ปรากฏ ผู้หญิงที่เกี่ยวพันกับ เมือง มีสุข.นั้น ไม่ว่าจะเป็น สายพิณ

    โนรี หรือ นะจา........ในจำนวน 3 คนนี้ เมือง มีสุข รู้จักกับ "นะจาเป็นคนแรกสุด.."..........เขามา

    พบกับ นะจาเมื่อเขามีอายุเพียง 13 ปี เมื่อตอนขึ้นดอยมูเซอมาครั้งแรก......ในขณะที่ นะจาอายุเพียง

    9 ขวบ...ความสัมพันธ์ใกล้ชิดของพวกเขามีมาตั้งแต่เป็นเด็กจนเป็นหนุ่มสาว.....

    ....................ภาพของแม่เฒ่านะจาดูแล้วก่อให้เกิดความสลดสังเวชใจ.....แก่กาเผือกยิ่ง

    นัก.....

    ....................และแล้วกาเผือกก็เริ่มได้คิดว่า.."เขาคือคนที่โชคดีบนความโชคร้ายต่าง

    หากที่ถูกเซจี..นำตัวมาขังไว้ในห้องนี้"..เพราะว่าห้องนี้คนนอกไม่เคยมีใครได้มาพบเห็น...แต่เขา

    เป็นคนแรกที่ได้มาพบเห็นสิ่งต่าง ๆภายในห้องนี้...ซึ่งห้องนี้ยังมีภาพต่าง ๆอีกหลายภาพที่ให้เขา

    ได้รู้ได้เห็นได้จดจำ..เรื่องราวของเมือง มีสุขบนดอยแห่งนี้....กาเผือกหันไปมองลูกธนูที่ปัก

    อยู่ที่ตัวเหยี่ยว...มันถูกติดตั้งไว้ที่กิ่งไม้บนขอนไม้ที่นำมาวางคู่กับโลงศพ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2012
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ลูกธนูดอกนี้ไง..ที่ทำให้เขาตัดสินใจขึ้นมาบนดอย

    มูเซอ..เพราะฟังคำบอกเล่าของ"แสงเดือนสาวทอม"...ที่ร้านใสกรอบรูปในจังหวัดน่าน..


    จากการบอกเล่าว่ามีคนของพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาตามหาลูกธนูดอกนี้..ทำให้เขารู้สึก

    ว่า"มันมีความสำคัญ"......
    จึงได้ละทิ้งภาระที่จะต้องขึ้นไปบน

    เขาตรงที่"จุดที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน..อันเป็นที่ฝังขวดแก้วทรงมะม่วงอีกซีกหนึ่ง..มันคือความทรงจำ

    ของ"เมือง มีสุข" กับ "โนรี นรา"



    .....................อะไรคือ สิ่งดลใจที่ทำให้เขาเลือกมาหาลูกธนูดอกนี้ก่อน..

    หรือว่าเป็น"จิตของเซจี..หญิงประหลาดที่ภายในจิตใจร่ำร้องเรียก

    หาแต่.."เมือง มีสุข"..จนจิตใต้สำนึกของเขากระทบเข้ากับการเรียกร้องของนางโดยไม่รู้ตัว..และเขา

    จึงขึ้นดอยมาจนพบเจอนาง..และมาตกอยู่ในสภาพนี้....


    .....................ลูกธนูที่ปักอยู่ที่เหยียว..กาเผือกพิจารณาดูก็เห็นว่า

    "ลูกธนูถูกยิงสวนขึ้นไปที่ตัวเหยี่ยวในลักษณะที่เฉียงจากหน้าอก..ไปทะลุที่ใต้ปีกอีกด้านหนึ่ง..

    แสดงให้เห็นว่า ..ตัวเมือง มีสุข ผู้ยิงลูกธนูดอกนี้อยู่ด้านซ้าย

    ด้านล่างของตัวเหยี่ยว..และในขณะที่ตัวเหยี่ยวพุ่งถลาเพื่อโฉบเจ้านกน้อย..ที่อยู่บนอากาศต่ำกว่า

    มัน...มันได้สยายกางปีกของมันออก..เป็นขณะกับลูกธนูพุ่งปักเข้าที่หน้าอกของมันทันที..มันจะต้อง

    ขาดใจตายกลางอากาศก่อนที่มันล่วงลงสู่พื้น..."


    .....................กาเผือกเดินเข้าไปจับลูกธนูและตัวเหยี่ยวที่ถูกสต๊าป

    ไว้...เขาก็รู้ว่ามันคือ"ลูกธนูที่ทำจากไม้ไผ่เหลากลึงจนกลม..และดูท่าจะมีน้ำหนักพอควร..ลูกธนูจึงได้

    มีน้ำหนักและความแรงพุ่งต้านกระแสลม...
    ตามคำบอกเล่าของคุณยาย

    มั่น คงเมือง..ยายของพวงผกา.....ผู้ที่ทำลูกธนูดอกนี้ก็คือ"ลุงแก้ว"..ทหารที่เคยไปอยู่ด่านแม่สายร่วม

    กับขุนทัพ..ตอนที่ "สายฝน"..แม่ของเมืองเข้ามาบน"แผ่นดินไทย"หรือ"แผ่นดินสยาม"ที่คนเรียกขาน

    สมัยนั้น.....


    .....................กาเผือกเริ่มดูศึกษาภาพวาดของนะจา...ที่อยู่

    มุมซ้ายมือติดที่ผนังห้อง..เกือบติดหลังคา..


    .....................มันเป็นภาพของ.."เด็กชายอายุราว 13 ปี..นั่งอยู่บนหลัง

    ม้าสีดำ..กำลังจอดเทียบคู่กับเกวียนเล่มหนึ่ง..ที่มีม้าสองตัวเทียมเกวียนอยู่..


    บนเกวียนนั้น.มีเด็กหนุ่มอายุราว 15 ปีจับเชือกที่บังคับม้าเอาไว้...

    และมีเด็กหญิงอายุราว 9 ปีเศษ.นั่งอยู่ข้าง ๆ เด็กหนุ่มบนเกวียน...เบื้อง

    หลังของพวกเขาทั้งสามเป็นเทือกเขาที่ติดกับเป็นพรืด..พร้อมกับชายป่าที่เขียวขจี....


    ทั้งสองฝายเหมือนกำลังถามไถ่และพูดคุยกัน..

    ใบหน้าของเด็กหญิง..สายตาของนางกำลังจ้องมองดูเด็กชายที่นั่งอยู่บนม้าสี

    ดำ..ที่ไหล่ของเด็กชายผู้นั้น..มีสายสพายห้อยอยู่...เมื่อไล่ดูจากสายสพาย

    ไล่ลงมา..มันคือ"ขวดแก้วทรงมะม่วง"..ที่เด็กชายผู้นั้นสพายอยู่...
    เด็ก

    ชายผู้ที่มีขวดแก้วผู้นี้จะเป็นใครไม่ได้..นอกจาก "เด็กชายเมือง มีสุข".."


    .....................ภาพนี้ไม่มีคำบรรยาย..มันไม่เหมือนกับภาพที่อยู่ที่

    พิพิธภัณฑ์ที่มีคำบรรยายให้รู้เรื่องราว
    (ซึ่งท่านผู้มีเกียรติอาจย้อนกลังไปเปิดดูได้ที่ หน้า 40 -

    41 ตอนที่ 102 ความอลังการของเมือง มีสุข ในพิพิธภัณฑ์)...


    และสามารถเข้าใจเรื่องราวได้โดยตลอดเกี่ยวกับภาพเหล่านั้น...


    ......................ภาพนี้..คนที่จะรู้เรื่องราวในภาพได้เป็นอย่างดี..ก็คือบุคคล

    ในภาพ..ซึ่งจะเป็นใครไม่ได้...นอกจาก เมือง มีสุข


    นะจา
    และ ลีเจง

    ..เพราะเขาทั้งสามคนคือบุคคลที่อยู่ในภาพตามความคิดของกา

    เผือก..การที่แม่เฒ่านะจาวาดภาพพวกนี้ไว้..โดยไม่มีคำอธิบายหรือคำบรรยาย...


    เพราะนางไม่ต้องการให้ใครดูหรือรับรู้เรื่องราวพวกนี้..ภาพพวกนี้มันออกมาจาก

    จิตใจและ"ความทรงจำของนาง"...


    .....................กาเผือกเดาเหตุการณ์ตามภาพ..ว่า

    "จะต้องเป็นภาพที่พวกเขาทั้งสามคนพบกันเป็นครั้งแรก..ในขณะที่ เมือง มีสขุอายุ

    13 ปี ลีเจงอายุ 15 ปี และนะจาอายุเพียง 9 ปีเศษ......โดยเมือง มีสุขจะควบม้าสีดำก็คงไม่ใช่ตัว

    อื่น..นอกจากม้าสีนิล..ลูกของม้าศึกที่สายฝนหรือตะละแม่ราชาวดี..มอบให้ขุนทัพเลี้ยงไว้เพื่อให้แก่

    เมือง มีสุข...


    .....................โดยตามภาพ เด็กชายเมือง..ตามอุปนิสัยที่มีความกล้า

    หาญโลดโผน..โอบอ้อมอารีย์..และรักสนุก..จะต้องขวบม้าสีนิลหนีจากเมืองน่านฝั่งตะวันออกบริเวณ

    แม่น้ำ..และหนีจากเพื่อฝูง...ควบม้ามาคนเดียวเพื่อไปตามเทือกเขาต่าง ๆ...


    เป็นขณะเดียวกับที่ลีเจง นะจา..ก็กำลังนั่งเกวียนสวนทางกัน...และเมืองและ

    ลีเจงต่างหยุดพูดคุยและถามไถ่กันไปมา...อยู่นาน...
    จนทำให้เด็กหญิง

    นะจาจ้องมองเด็กชายเมือง..อย่างสนใจ..
    และแววตาของเด็กหญิงนะ

    จา..น่าจะรู้สึกชอบและพอใจเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ที่พบกันเป็นครั้งแรก......


    ....................ตามภาพไม่สามารถบอกได้ว่า..พวกเขาทั้งสามคนพบกันที่ใด..

    แต่เชื่อว่าเป็นระหว่างทาง...ที่เขาเดินรทางสวนกันและพบกันโดยบังเอิญ...


    ....................ครั้งแรกของการพบกันก็อยู่ในความทรงจำที่มิเลือนหาย

    ไปจากจิตใจของนะจาแล้ว...นางจึงบรรจงวาดภาพนี้ขึ้นมาอย่างสวยงาม...ลึกซึ้งกินใจโดยเฉพาะ..กา

    เผือกผู้มาล่วงรู้ภาพเขียนนี้...


    ....................ยังมีภาพต่อ ๆไปอีก..ทีไม่มีคำบรรยายอยู่ในภาพ..แต่ผู้

    ที่ประสบเหตุการณ์ต่าง ๆในภาพน่าจะรู้ดี...โดยเฉพาะ"เมือง มีสุข"...นะจาวาดภาพไว้เพื่อเขา...รอย

    คอยเขาให้มาฟื้นความทรงจำ....
    เขาจะต้องขึ้นมาบนดอยแห่งนี้..เมื่อเขา

    ออกมาจากแสงสว่างและขึ้นมาจากแม่น้ำน่านในอนาคต..นั้นคือความหวังของนะจา...ก่อนที่นางจะล่วง

    ลับจากไป.............

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2012
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ภาพถัดมาเป็นภาพที่สอง..เป็นภาพวาดของเด็กชายคน

    เดิม..ยืนอยู่ข้างม้าสีดำบนยอดดอยสูง..และภายในมือมีผลส้มอยู่สองผล..ที่กำลังยื่นให้เด็กหญิงวัย 9

    ปีเศษคนเดิมซึ่งยื่นมือรับไว้...ใบหน้าของเด็กสองจ้องมองดูกัน...เบื้องหลังของทั้งสองเป็นเทือกเขา

    ไกลลิบ ๆ ติดกันเป็นพรืด......เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้ามีดวงตะวันส่องแสงอ่อน..เหมือนกับเป็นยาม

    เช้า....
    มันถูกวาดขึ้นอย่างละเอียดอ่อนและสวยงามมาก..

    .....................กาเผือกยืนพิจารณาอยู่ใกล้ ๆ เขามองได้ไม่ถนัด

    นัก...จึงเดินไปหยิบคบไฟที่มุมห้องอีกด้านหนึ่งมาส่องดูที่รูปภาพนั้น.......


    .....................ภาพดังกล่าวไม่มีคำบรรยายเหมือนภาพแรก..แต่เขาดู

    และเดาได้ว่า..นี่คือยอดดอยจุดที่สูงของดอยนี้...เพราะเบื้องหลังของทิวทัศน์ต่างก็เป็นดอย..ที่สูง

    ใกล้เคียง..กัน..และยังมีเขาหรือดอนที่อยู่ไกลลิบ ๆอีกที่ติดกันเป็นพรืด..มันช่างเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม

    ยิ่ง..ประกอบกับภาพของดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอ่อน ๆมายังร่างของเด็กทั้ง

    สอง...ดวงอาทิตย์ขับสีสรรค์ในภาพให้งามตระการตายิ่ง...


    .....................กาเผือกเดาเหตุการณ์ว่า..เด็กชายเมือง มีสุข..จะต้อง

    พาเด็กหญิงนะจา..ขี่ม้าขึ้นมาบนยอดดอยเพื่อท่องเที่ยวชมธรรมชาติของเทือกเขาสูงด้วยกัน..และต้อง

    เป็นนะจาที่เป็นคนบอกเส้นทางให้แก่เด็กชายเมือง...เด็กชายเมืองเป็นคนโลดโผนกล้าหาญบ้าบิ่นรัก

    สนุก..ชอบท่องเที่ยวไปแดนไกลอยู่แล้ว...
    เมื่อพบว่าที่ใดตนเอง

    ยังไม่เคยไป..ก็คงสอบถามเด็กหญิงนะจาและให้นางพาเขามา..ยังสถานที่นี้...


    และเมื่อเกิดอาการหิว...เด็กชายเมืองที่มีผลส้มอยู่ติดตัว..จึงได้ยื่นผลส้มนั้นให้แก่

    เด็กหญิงนะจาเพื่อกินปะทังความหิว...
    ดูสายตาและใบหน้าของเด็ก

    หญิงนะจา..ช่างมีแววที่สดใสเหมือนคนปลื้มใจ..ในสิ่งที่ได้สัมผัส...


    .....................ภาพนี้ก็คือ"ความทรงจำอันมีความหมายของแม่เฒ่า

    นะจา"..เป็นความทรงจำที่สวยงามของนางตั้งแต่นางมีอายุเพียง 9 ปีเศษเท่านั้น..


    เป็นความทรงจำต่อเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ"เมือง มีสุข"..จนพวกเขาเติบโต

    เป็นผู้ใหญ่ก็มีความทรงจำอีกมากมายที่ตามมา......


    ......................ผู้ใดที่เข้ามาอยู่ในห้องแห่งความทรงจำนี้....เช่นเดียว

    กับกาเผือก....คงมีความรู้สึกหลาย ๆอย่าง...ที่ประดังเข้ามา..แต่ความรู้สึกเหล่านี้จะต้องมีอาการสงบ

    นิ่ง...เหมือนกับศพที่นอนอยู่ในโลง.............

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • buatong3.jpg
      buatong3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      119.7 KB
      เปิดดู:
      97
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..................ภาพถัดมาเป็นภาพที่สาม..เป็น

    ภาพของเด็กชายเมือง มีสุข..นำเกวียนบรรทุกผลไม้นาๆชนิดเต็มเกวียน..นั่งไปกับเด็กหญิงนะจาสอง

    คน...ดูท่าทางทั้งคู่กำลังยิ้มและหัวเราะให้แก่กันอยู่...ภาพของวิวระหว่างทางก็คือป่าไม้และทิวทัศน์ที่

    มองเป็นทางยาว..ขึ้นไปบนดอย......

    ...................ภาพนี้เมื่อกาเผือกพิจารณาดูแล้วเขาคิดว่า....เด็กชาย

    เมืองจะต้องนำเกวียนบรรทุกผลไม้เหล่านี้..ไปมอบให้แก่คนบนดอยของเผ่ามูเซอ....ซึ่งเขาต้องมาพบ

    เด็กหญิงนะจาระหว่างทาง....และทั้งคู่คงมีความสุขพูดจากันตามภาษาของเด็กที่รักใคร่สนิทสนม

    กัน...แต่คงไม่ใช่ความรักที่เป็นเรื่องชู้สาวเหมือนแบบอย่างผู้ใหญ่ทั่วไป.........

    ....................เด็กชายเมือง มีสุข คงจะหนีมาที่ดอยแห่งนี้เป็น

    ประจำ....แต่แปลกที่เขาไม่เคยบอกสหายของเขาคนใด..ว่าเขามีดอยมูเซอแห่งนี้เป็นที่ไป....

    เขาเก็บเรื่องดอยเผ่ามูเซอเป็นความลับตลอดมา.....จนผู้ที่ค้นพบที่มาของ

    เขาที่มาอยู่ดอยแห่งนี้ก็คือ"สาย"เพื่อนนักบู๊ของเขาแต่เพียงผู้เดียว..ที่โลดโผนโจนทะยานตามเขามา

    จนพบดอยแห่งนี้โดยบังเอิญ...ในตอนที่เมืองได้หนีการตามล่าของเอหม่องกับกองกำลังพม่า....

    แต่ก่อนที่สายจะพบเรื่องราวของเมืองที่ดอยแห่งนี้...เมืองเองก็เคยบอกกับนะจา

    ว่า"จะมีสหายของเขาคนหนึ่ง..ที่ตามหาเขาบนดอยแห่งนี้...และให้นะจาบอกกับเขาให้กลับไปรอที่

    บ้านขุนทัพ"....คนที่เมืองเชื่อว่า"ต้องตามหาเขาจนพบก็คือ"สาย"

    ...และก็เป็น"สาย"จริง ๆที่ตามหาเขาบนดอยแห่งนี้.....

    ........สายมีอุปนิสัย..ที่เด็ดขาด..เขาตัดสินใจว่า"เขาจะมาอยู่บนดอย

    มูเซอแห่งนี้กับ"จาโอ"..สาวคนรักชาวเผ่ามูเซอ..เมื่อสะสางเรื่องราวต่าง ๆจนจบสิ้น.....และสายก็ได้

    มาอยู่ที่ดอยมูเซอแห่งนี้จริง ๆ...หลังจากที่"ปลัดเมือง..สูญหายไปในแม่น้ำน่าน"......และบอกลา

    เพื่อนฝูงที่ร่วมกันทำงานกันมาไม่ว่าจะเป็น "บุญแทน" "มุก"...หรือ"ปลัดปักษ์"ผู้ปกครองท้องที่ที่มา

    รักษาการณ์ที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน..รวมทั้ง"กัมพู"...เขามาอยู่บนดอย..และมีลูกหลานอยู่บน

    ดอยแห่งนี้เช่นกัน.........................กาเผือกพิจารณาภาพก็ให้รู้สึก

    ว่า.."เด็กชายเมือง มีสุข คนนี้....คุณยายมั่นไม่เคยเล่าเรื่องการมาเยือนบนดอยแห่งนี้ให้เขาฟัง

    เลย...แสดงว่าคุณยายมั่นเองก็ไม่รู้เช่นกันว่า..เมือง มีสุขคลุกคลีอยู่กับชาวเผ่ามูเซอมาตั้งแต่เขามีอายุ

    เพียง 13 ปี....กาเผือกคิดว่า..ถ้าเขาไม่มาอยู่ในสถานที่นี้เขาจะไม่รู้เรื่องราวที่ซ่อนเร้นของเมือง มีสุข

    เลย.....การคิดเรื่องราวต่าง ๆ..อย่างใจจรดใจจ่อทำให้เกิดอารมณ์ใหม่ ๆเข้ามา

    แทนที่...ความกลัวของกาเผือกแทบจะสลายไปหมดจากใจ.........

    ..........................เขาตั้งตาดูภาพต่อมาเป็นภาพที่สี่..มันคือภาพของเด็กชายเมือง มีสุข กำลัง

    เล่นน้ำอยู่ในห้วยแห่งหนึ่ง..กับเด็กชายลีเจง..เด็กหญิงนะจา...และยังมีเด็กชาวเผ่ามูเซออีก สองสาม

    คน.......ที่กำลังเล่นน้ำสาดกันอย่างสนุกสนาน...รอบของ

    ลำห้วยเป็นหน้าผาสูงชัน....กาเผือกคิดพลางว่า...ที่นี่มันคือที่ไหนกัน....

    มันคือ"ลำห้วยนี่นา...บนดอยแห่งนี้มีลำห้วยด้วยหรือ...มันอยู่ที่ไหน...มัน

    ช่างเป็นลำห้วยที่สวยงามมาก...น้ำใส..และมันคงเย็นสดชื่นอย่างมาก...สำหรับผู้ที่ลงเล่นน้ำนี้...ถ้าบน

    ดอยแห่งนี้มีลำห้วยอย่างนี้...ที่มีคนบอกว่า"คนบนดอยไม่ค่อยอาบน้ำเพราะไม่มีน้ำอาบ"...คงจะไม่ใช่

    ดอยมูเซอแห่งนี้กระมั๊ง...เพราะที่นี่น่าจะมีน้ำท่าบริบูรณ์โดยเฉพาะลำห้วยแห่งนี้......

    การได้แลเห็นน้ำหรือภาพวาดของน้ำ...ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น...และเขาก็

    รู้สึกในทันทีว่า...ตั้งแต่ที่เขาถูกเซจีปิดประตูขังนี้เขายังไม่ได้กินน้ำหรืออาหารใดเลย....เขาเหลือบไป

    เห็นโอ่งเล็กใบหนึ่งตั้งอยู่ที่มุมห้อง...กาเผือกถือคบไฟเดินไปที่โอ่งนั้นและก็พบว่ามันมีน้ำอยู่จริง ๆ

    เขาเลยเอาแก้วตักมันขึ้นดื่มกินอย่างกระหาย.......กาเผือกคิดต่อไป

    ว่า...เซจีนางจะทำอะไรกับเขาต่อไป....และก็นึกถึงนอซันน้องของเซจีขึ้นมาทันทีว่า..."นอซันน่าจะ

    กลับมาที่บ้านนี้แล้ว...เขาน่าจะตะโกนเรียกนอซันเพื่อให้เขาได้รับรู้..และมาช่วยเหลือเขาออกไป...."

    .


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2012
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...................แต่การเรียกนอซันเพื่อขอความช่วยเหลือ..เซจีก็ต้องได้ยินและ

    รับรู้ในทันทีเช่นเดียวกัน....และนอซันเองก็เกรงกลัวพี่สาวของตนเองอยู่แล้ว....

    คิดได้เช่นนั้น...เขาจึงหันกลับมาดูศึกษาภาพวาดของแม่เฒ่านะจาต่อ.

    [/COLOR][/COLOR]กาเผือกพิจารณาภาพ

    วาดของเด็กชายเมือง มีสุขที่อยู่ในลำห้วยก็เดาได้ว่า...เด็กชายเมืองจะต้องเป็นที่รู้จักกับเด็กชาวเผ่า

    มูเซอ..เพิ่มขึ้นอีก..นอกจากลีเจงและนะจาแล้ว.......เขาคงมาที่ดอยเผ่ามูเซอนี้หลายครั้งที

    เดียว....จนสนิทสนมกับเด็กในเผ่ามูเซอ....และชวนกันมาเล่นน้ำในลำห้วยนี้.........

    .....................ภาพต่อมาเป็นภาพที่ 5 เป็นภาพวาดที่เด็กชายเมืองโตเป็น

    หนุ่มใหญ่..พร้อมกับนะจาก็เริ่มเป็นสาว...เมือง มีสุขนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำ..ส่วนนะจานั่งอยู่บนหลังม้าสี

    น้ำตาล....ม้าสองตัวยืนคู่กันบนยอดอย...เบื้องหน้าของพวกเขา...คือดวงอาทิตย์

    ใหญ่สีแดง..กำลังจะตกดิน...พวกเขาทั้งคู่กำลังมองดูมันอยู่...ผ่านทิวทัศน์ของป่าเขียวขจี..และทือก

    เขาไกลลิบ ๆ บรรยากาศดูท่าจะคล้ายกับฤดูหนาว.....เหมือนที่เขากำลังหนาวเพราะบรรยากาศ

    ภายในห้องนี้...........................กาเผือกเดาเอาว่า ณ ภาพนี้ทั้งคู่

    คงพอใจซึ่งกันและกัน...แต่จะคิดไปในทางความรักฉันชู้สาวหรือไม่..เขาไม่อาจเดาได้.....

    แต่ผู้ที่ไม่เคยรู้จักกับ"เมือง"และ"นะจา"มาเห็นภาพที่ทั้งคู่นั่งอยู่บนหลังม้าชม

    ดวงอาทิตย์ตกด้วยกัน....ก็คงให้คำตอบได้ทันทีว่า"ทั้งคู่คือคู่รักกัน"....หรือเป็นอาการของหนุ่มสาว

    ที่รักชอบพอกันและพากันขึ้นดอยเพื่อชมวิวทิวทัศน์..ในฤดูหนาวยามเย็น....................

     
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..................ภาพต่อมาเป็นภาพที่

    หก...ภาพนี้เป็นภาพต่อสู้กันของชายสองคน.....ที่ต่างก็มีเลือดไหลออกจากปาก...และมี

    บาดแผลที่ตามลำตัวหลายแห่ง...โดยชายทั้งสองต่างก็ถอดเสื้อออกเพื่อต่อสู้กัน...คนหนึ่งเดาได้เลย

    ว่า คือ"เมือง มีสุข" ..และอีกคนหนึ่งน่าจะเป็น "ลีเจง" โดยมีสาวน้อยนะจา

    และหญิงสาวอีกคนหนึ่งยืนอยู่เคียงข้าง...นะจาและหญิงสาวที่เคียงข้างต่างมีสีน่าตกใจและ

    กังวล..ที่เห็นการต่อสู้ของทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด...

    บริเวณรอบข้างสภาพเป็นลานกว้างที่ถูกล้อมรอบด้วยป่าไม้และทิว

    เขา.....ภายใต้ดวงอาทิตย์สาดส่องมาจากทางทิศตะวันตก...แสดงว่ามันคือยามเย็น.....

    ....................กาเผือกพิจารณาก็ให้รู้สึกระทึกไปกับภาพ...ที่เห็นชาย

    สองคนเดาได้ว่า คือ"เมือง มีสขุ" กับ "ลีเจง" กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย...เกิดการผิดใจอะไร

    ขึ้นกับพวกเขาสองคนหรือ....เพราะดูท่าทางแต่ละฝ่ายก็คงไม่ยอมแพ้กันอย่าง

    แน่นอน....ที่ใบหน้าของเมืองนอกจากมีเลือดไหลออกจากปาก..แล้วยังมีรอยช้ำอยู่ที่โหนกแก้มใต้ตา

    ซ้าย..พร้อมทั้งร่างกายมีรอยขีดข่วนเลือดไหลออกซิบ ๆ....ส่วนด้านลี

    เจง..นอกจากมีเลือดไหลออกจากปากแล้ว..ก็ยังมีเลือดไหลออกจากจมูกของเขาทั้งสองรูจมูก..ตาม

    ร่างกายก็มีรอยขีดข่วนไม่แพ้ตามร่างกายของเมือง มีสุข..........

    ..................กาเผือกพิจารณาไปก็ให้นึกถึง"จาโอ"เพื่อนสาวชาวมูเซอ

    ของ"นะจา"..ก็ให้เดาว่าผู้หญิงที่ยืนเคียงข้างคือ"จาโอ"

    ...................เบื้องหลังของการเหตุการณ์การต่อสู้..ก็คือ"ลีเจง"บอกกับเมือง

    ว่า"ชาวเผ่ามูเซอ..ต้องอยู่ด้วยการต่อสู้..การฝึกการใช้อาวุธ..เพราะบนดอยแห่งนี้มีภัยรอบตัว....และ

    การหากินก็ต้องล่าสัตว์ป่าเป็นอาหารส่วนหนึ่ง....เพราะฉะนั้นเขาต้องฝึกร่างกายให้แข็งแรง...ซึ่งไม่

    เหมือนกับคนแม่น้ำหรือคนที่อาศัยอยู่กับแม่น้ำเช่น"เมือง มีสุข"..ที่ไม่ต้อง..ใช้กำลังทางร่างกายเป็น

    หลักก็มีอาหารการกินสมบูรณ์..ไม่ต้องมีวิชาการต่อสู้ใด ๆ...ก็สามารถอยู่ได้อย่างสบาย....

    แต่เมือง มีสุขแย้งว่า..คนแม่น้ำก็ต้องฝึกร่างกายให้แข็งแรงและฝึกการต่อสู้ไว้เช่น

    กัน...เถียงกันไปเถียงกันมา.....ก็เกิดการขัดใจ...และได้ชกต่อยต่อสู้กัน..อย่างไม่มีออมแรงกัน

    เลย....และในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็หมดแรงด้วยกัน...โดยที่ไม่มีใครชนะใคร....จนเป็นเหตุให้สองหญิง

    สาวที่ดูการต่อสู้ต้องเป็นผู้ช่วยเหลือปฐมพยาบาล..............ซึ่งเบื้อง

    หลังของภาพนี้กาเผือกไม่มีวันคิดได้...เพราะเขาไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์..ภาพบางภาพก็ดูแล้วก็เดา

    ทางของภาพได้ใกล้เคียง...แต่บางภาพก็ดูไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้น....กาเผือกรู้เพียงอย่างเดียว

    ว่า"เหตุการณ์การต่อสู้ครั้งนี้มันต้องประทับใจผู้หญิงอย่างแม่เฒ่านะจามาก...จนทำให้นางวาดภาพนี้

    ขึ้น....ความจริงความทรหดอดทนและไม่ยอมแพ้กัน...อาจเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชายชาตรีก็เป็น

    ได้".....และน่าจะมีเหตุการณ์หลาย ๆอย่างระหว่างเมืองกับนะจาที่ไม่ได้ถูก

    วาดขึ้น...เรื่องเล่านั้นก็คงเป็นความลับต่อไปที่กาเผือกไม่อาจรู้ได้...........

    วิจารณ์ถึงเรื่องการต่อสู้ที่เห็นความทรหดอดทนและไม่ยอมแพ้กัน...มีให้เห็นกัน

    จะจะ..ก็คือเรื่องของ"นักเลงในอดีต..ที่สู้กันอย่างถวายหัว...ด้วยชั้นเชิงและลีลาที่ดุเด็ดเผ็ดมัน.....ซึ่ง

    การต่อสู้กันเป็นเรื่องที่น่ากลัว...และไม่น่าเข้าใกล้...แต่ก็ยังมีหญิงสาวบางคนที่พิศมัยเรื่องการเป็น

    นักเลงนี้...และเลือกที่จะมีคนรักที่เป็นนักเลง...มากกว่าสุภาพบุรุษธรรมดา...อะไรเป็นเช่นนั้น...เพราะ

    การแสดงออกของการเป็นผู้ชายที่สามารถต่อสู้คุ้มครองคนเคียงข้างได้...น่าจะเป็นที่ประทับใจและมี

    เสน่ห์อย่างหนึ่ง........

    .....................กาเผือกหันหลังกลับไปยังโลงศพทันที...ที่ได้ยินเสียงดังประหลาดอยู่ด้านหลัง.....

    กาเผือกมองก็เริ่มตื่นเต้นด้วยเห็น...ว่า"เจ้านกเหยี่ยวที่ธนูปักอยู่...มันเคลื่อนขยับ

    โยกไปมาจนปีกของมันกระทบกับโลงศพของแม่เฒ่านะจาจนเสียงดัง"ฟวับ ๆ ๆ"" ไปมาอยู่อย่าง

    นั้น...ความกลัวเริ่มเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง.......


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 012.jpg
      012.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.8 KB
      เปิดดู:
      95
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2012
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................กาเผือกถือคบไฟส่องไปที่นกเหยี่ยวและโลงศพของแม่

    เฒ่านะจา...และค่อย ๆตั้งสติข่มความหวาดกลัว...สิ่งที่เขากลัวคงไม่ใช่เรื่องอื่น"นอกจากเรื่องวิญญาณ

    หลอนเท่านั้น".......ปีกนกยังเคลื่อนปัดไปมาที่โลงศพ....โดยที่นกนั้นก็ยังนิ่ง

    เฉยอยู่...อะไรทำให้มันเคลื่อนไหว....สติเขาเริ่มกลับเข้า่มา .......และ

    พิจารณาความระทึกที่เกิด..เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ...ปรากฏว่าคบไฟที่อยู่ในมือของกาเผือกพัดปลิวโบก

    ไปมา...แสดงว่ามันคือ"สายลมพัดมา".....สายลมพัดมาจากช่องทางใด....กา

    เผือกเริ่มสำรวจด้วยคิดว่าบางทีจุดที่ลมพัดเข้ามา...อาจจะมีรูหรือรอยแตกแยกของฝาผนังห้อง...และ

    เขาอาจงัดฝานั้นให้เปิดกว้างเพื่อหลบหนีออกไปจากห้องนี้...

    ..................กาเผือกเอาตัวตั้งรับปะทะกับสายลม..และเดินตามไป..จนพบ

    ว่ามันคือฝาผนังห้องด้านทิศตะวันออกที่อยู่ติดกับหน้าผา..ที่มีรอยแตก....เมื่อเขาก้มหน้ามาที่รอย

    แตก...สายลมก็พัดอู้เข้ามาเสียงดัง"หวีดหวิว"...พร้อมกับความหนาวเย็นที่ตามสายลมมา....กาเผือก

    เปลี่ยนใจด้วยคิดว่า"เขาไม่มีทางผังฝาผนังและปีนไต่หน้าผาออกไปได้แน่".....จึงเดินย้อนกลับมาดู

    ภาพวาดของแม่เฒ่านะจาต่อไป........................ภาพนี้เป็นภาพที่

    เจ็ด..เป็นภาพของ"เมือง มีสุข"..ที่เขาเห็นกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่มือขวาของ

    เขาถือคันธนูยกขึ้นตั้งโดยลำแขนขวาของเขาขนานกับพื้นดิน...มือซ้ายแนบชิดลำตัว...

    โดยมีสาวงามแห่งเผ่ามูเซอที่ชื่อนะจา..ยืนมองดูอยู่เคียงข้างด้วยใบ้หน้าที่

    ยิ้มแย้มแจ่มใส............ภาพนี้เป็นเหตุการณ์ขณะที่เมืองกำลังฝึกยกคันธนูถือ

    ไว้ให้ได้นาน ๆ....โดยเขาได้รับคำบอกเล่าจากลีเจงว่า..การฝึกหัดธนูถือไว้ให้ได้นาน ๆเวลาเล็งเป้า

    ..นั่นคือการที่ต้องสู้กับความปวดเมื่อยอ่อนหล้าของตนเองจนคุ้นเคย..หากเมืองต้องการยิงธนูให้เหมือน

    หน้าไม้...(ซึ่งเป็นเรื่องราวที่อยู่ในตอนที่ 52 ผู้ถูกล่ากับเผ่ามูเซอ หน้าที่ 21).........เมือง มีสุข

    กำลังฝึกหัดยกคันธนูพร้อมกับนับเลข 1 ถึง 100 แล้วลดคันธนูลง....และยกต่อนับ 1 ถึง 200 แล้ว

    ลดคันธนูลง....จนนะจามาพบเข้าและถามไถ่ได้ความว่า...ลีเจงที่เก่งเรื่อง

    ยิงหน้าไม้มาให้คำแนะนำสั่งสอนคนยิงธนู...นางจึงนึกขันว่า...ลีเจงน่าจะสอนเมืองยิงหน้าไม้

    มากกว่า...และไม่เข้าใจว่าคนเชี่ยวชาญเรื่องหน้าไม้จะให้คำแนะนำคนยิงธนูได้อย่างไร.........

    แต่นางก็ช่วยเมือง มีสุขนับเลขแทนเขา..งแล้วให้เขาเป็นคนยกคันธนู

    เพียงอย่างเดียว..........


    .................เหตุการณ์ครั้งนี้คงเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้"นะจา"มีความสุข

    มาก...จึงทำให้นางรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้จนวาดภาพนี้ออกมา....มันคือภาพที่นางและเมือง...มีใจ

    เป็นหนึ่งในการฝึกหัดการยกคันธนูครั้งนี้.........


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2268.JPG
      IMG_2268.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.6 MB
      เปิดดู:
      102
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2012
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...................กาเผือกพิจารณาภาพดังกล่าวแล้ว..ก็ให้สุขใจไปกับภาพ

    นั้น...ดูนะจาสาวดอยมูเซอที่ยิ้มแย้มแจ่มใส..ทำให้นางดูมีเสน่ห์น่ารักมากขึ้น...ผู้หญิงมูเซอในอดีต..ผู้

    กลายเป็นคนชราและเป็นศพที่นอนตายสงบนิ่งอยู่ในโลงศพนี้..

    [/นางเป็นผู้ทำให้ดอยแห่งนี้สวยสดงดงามและน่าอยู่มาก....เช่นนี้นี่เอง"เมือง มีสุข"จึงไม่เคยบอก

    สหายในถิ่นแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออกให้ร่วมรับรู้ถึงความสุขของเขา.."บน

    ดอยมูเซอแห่งนี้เลย"...................ภาพที่แปด...เป็นภาพที่มีผู้คนอยู่ล้อม

    รอบกองไฟหลายคน..แสดงว่ามันคือตอนกลางคืน.."เมือง มีสุข"..นั่งเคียงข้างอยู่กับพ่อเฒ่าคนหนึ่งที่

    กำลังคาบกล้องสูบยาอยู่ที่ปาก..พร้อมกับพ่นควันออกมาจากจมูก..ทำให้เมือง มึสุขที่นั่งเคียงข้างเบน

    หน้าหลบ....โดยมีสาวดอยมูเซอที่ชื่อ"นะจา"นั่งอยู่ตรงข้ามและกำลัง

    หัวเราะในลักษณะท่าทางของเมือง มีสุขที่นางกำลังจ้องมองดูอยู่..และมีชายที่ชื่อลีเจงพี่ชายของนาง

    นั่งอยู่เคียงข้างนะจา.........เบื้องบนเป็นท้องฟ้าที่มืดครึ้ม...........

    ......................ลักษณะของภาพบ่งบอกให้เห็นว่า"พวกเขากำลังนั่งคุยปรึกษาหารือกัน"....คนที่

    สูบกล้องยาสูบจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก"พ่อเฒ่าอองซอน"หัวหน้าเผ่ามูเซอขณะนั้น........

    .................กาเผือกพิจารณาภาพนี้...ทั้งวิว

    ทิวทัศน์ของภาพมิได้ปรากฏความสวยงามขึ้นเลย...แต่เป็นภาพที่เน้นให้เห็นอาการของคน

    มากกว่า...คนที่วาดภาพนี้คือ"แม่เฒ่านะจา"..และนางวาดภาพในลักษณะของอารมณ์ขันที่เกิดขึ้นต่อ

    เหตุการณ์นี้...แสดงว่า"เสียงหัวเราะของนางที่ได้เห็นอาการของเมือง มีสุข...มันคือสิ่งที่ทำให้นางขัน

    และสุขใจ..จึงได้บรรจงวาดภาพของเหตุการณ์นี้ขึ้น.................เหตุการณ์รอบ

    กองไฟนั้น คือ ตอนที่เมือง มีสุข..หนีการตามล่าของเอหม่องและกองกำลังพม่าขึ้นไปอยู่บนดอยมูเซอ

    เพื่อขอความช่วยเหลือ..จากลีเจงและพ่อเฒ่าอองซอน..ในการที่จะให้พวกเขา..หาคนและเลือกคนที่

    จะไปช่วยเหลือเขาในการขับไล่เอหม่องและกองกำลังพม่า..ออกจากพื้นที่ของฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ

    น่าน...เพื่อขับไล่ให้พวกนั้นเข้าเขตแดนประเทศลาวไป....และเขาได้รอพ่อเฒ่าอองซอนกลับมายัง

    เผ่ามูเซอ...เนื่องจากพ่อเฒ่าได้เดินทางไปเยี่ยมเยีนยเผ่าต่าง ๆ....พ่อเฒ่าอองซอนได้รับปากว่า"จะ

    ไปหาคนจากเผ่าต่าง ๆรวมทั้งเผ่ามูเซอมาช่วยเมือง มีสุขในการขับไล่เอหม่องกับพวก"......

    เมือง มีสุข..เป็นปลัดเมืองน่านฝั่งตะวันออกของแม่้ำน้ำน่าน...เขามีหน้าที่ปกป้อง

    ดูแลเมืองน่านฝั่งตะวันออกเพื่อช่วยเหลือขุนทัพพ่อของเขาซึ่งเป็นผู้ปกครองท้องที่....เขาไม่ยอมบอก

    หรือรายงานไปยัง"เจ้าเมืองน่าน"ซึ่งเป็นผู้ครองเมืองน่าน..และมีที่ทำการอยู่ที่เมืองน่านฝั่งตะวันตก

    ของแม่น้ำน่าน...เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของเมืองน่านฝั่งตะวันตกได้นำกำลังออกมาช่วยเหลือ....

    ด้วยเมือง มึสุขรู้อยู่แก่ใจว่า..หากแจ้งเรื่องนี้ไป..จะทำให้เจ้าเมืองน่านและเจ้า

    หน้าที่ของเมืองน่านฝั่งตะวันตกสงสัยว่า..."ทำไมจึงมีกองกำลังพม่าบุกรุกเข้ามาที่เมืองน่าน"..ทั้งที่

    ตอนที่สยามช่วยอังกฤษรบพม่า..จนมีชัย...."สัญญาข้อหนึ่งที่อังกฤษบังคับพม่าให้ลงนามคือ "ห้าม

    พม่ารุกรานแดนสยาม..ด้วยสยามเป็นมิตรกับอังกฤษ"..พม่าซึ่งเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษต้องทำ

    ตาม........แต่การที่พม่าบุกเข้ามาต้อง..........."สาเหตุ"...ซึ่งจะสืบเนื่องไปถึงอดีตแน่นอนในตอนที่

    "ขุนทัพตอนเป็นทหารรักษาการณ์อยู่ชายแดนแม่สายกับพวก...ได้ทรยศต่อหน้าที่โดยลักลอบนำ"สาย

    ฝนหรือตะละแม่ราชาวดี"สาวเมืองพม่าเข้าแผ่นดินสยาม......."...........ปลัด

    เมืองพยายามปกปิดเรื่องนี้..เพราะหากทางการรู้"ขุนทัพกับพวกต้องรับโทษหนัก"...เขาจึงพยาม

    ปกปิดเรื่องนี้ถึงที่สุด.......จึงคิดตัดไฟแต่ต้นลมนำกองกำลังชาวเผ่าต่าง ๆเข้าขับไลเอหม่องและกอง

    กำลังพม่าด้วยตนเอง....แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ...และเหตุการณ์ขับไล่ครั้งนี้ทำให้เิ

    กดการต่อสู้ที่ดุเดือด....รวมถึงการดวลธนูที่เรียกว่า"ธนูสะท้านแผ่นดิน"ระหว่างเขากับเฮียงคี้ แซ่

    เจ็ง....ที่ปรากฎอยู่ในภาพวาดที่พิพิธภัณฑ์จังหวัดน่าน..ที่สายพิณได้วาดขึ้น............

    ..................กาเผือกพิจารณาถึงพฤติการณ์ของแม่เฒ่านะจา...ดู

    ว่า"นางเป็นผู้หญิงที่ช่างจดช่างจำเสียจริง...ความทรงจำของนางดูท่าทางจะเป็นภาพที่

    ชัดเจน...เหมือนที่นางบรรเลงการวาดภาพขึ้น...."...และความทรงจำนี้นาง

    ถ่ายทอดให้กับ"เซจีหญิงบ้าที่สวยงามน่ารักได้ดีจริง ๆ"...เซจีนางคงจะจำตามแม่เฒ่านะจาจนเป็นเรื่อง

    เป็นราวเหมือนอย่างภาพวาดได้ชัดเจน...และสวยงามเช่นกัน.....และยิ่งนางบอกว่านางพูดคุยกับศพ

    แม่เฒ่านะจา...โดยไม่สะทกสท้านและหวาดกลัว.....แสดงให้เห็น"จิตวิปลาสของนางเข้าขั้นทีเดียว"

    ...................ตามพฤติการณ์นั้น"เซจีนางมิได้โกหกกาเผือก

    หรอก"....นางนั้นพูดกับศพของ"แม่เฒ่านะจาจริง ๆ"...เพราะวิญญาณรักของแม่เฒ่านะจา....นางยัง

    คงอยู่ที่ห้องแห่งนั้นจริง ๆ...เซจีนางมีสัมผัสที่มองเห็นวิญญาณของแม่เฒ่านะจาได้..ในขณะที่กาเผือก

    ไม่ได้เป็นเช่นนาง............แต่ละฝ่ายต่างก็รู้ไม่เหมือนกัน..จึงกล่าวหากันไป.....เซจีนางก็คิดว่า"กา

    เผือกต้องเห็นแม่เฒ่านะจาเช่นนาง...เขาจึงจับกาเผือกให้ไปบอกแม่เฒ่านะจาโดยขังไว้ห้องนั้น".....

    ส่วนกาเผือกก็ว่า"เป็นไปไม่ได้ที่จะคุญกับศพได้".......แต่อย่างไรก็ตาม..กา

    เผือกนั้นไม่ได้อยู่คนเดียวจริง ๆ ......แต่เขาอยู่กับ"วิญญาณของแม่เฒ่านะจา..ที่กำลังมองดูเ้ขาอยู่ใน

    ห้องนัุ้้้น"

    ]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2012
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................................ภาพที่เก้า..เป็นภาพของ"เมือง มีสุข"ที่ขึ้นนั่งบนหลังม้าสีนิล..เหมือน

    เตรียมตัวกำลังเดินทาง...เบื้องซ้ายของเขาเป็น"ลีเจง"ที่กำลังส่งมอบ"ลูกดอกหน้าไม้"ใส่ไว้ในซอง

    หนังสัตว์ส่งให้แก่"เมือง มีสุข"....และตามด้วยภาพที่ 10 เป็นภาพของ"เมือง มีสุข"ที่ขึ้นขี่บนหลังม้า

    สีนิล..เหมือนเตรียมตัวเดินทาง...เบื้องซ้ายของเขา..มี"นะจา"สาวดอยมูเซอส่ง"ขวดแก้วทรงมะม่วง

    ให้แก่เขา"....................ทั้งสองภาพนี้เป็นเหตุการณ์ที่ปรากฏในระยะเวลา

    เดียวกันในตอนที่"เมือง มีสุข" กำลังจะเดินทางออกจากเผ่ามูเซอ..หลังจากหนีการตามล่าของเอหม่อง

    กับกองกำลังพม่ามาที่เผ่ามูเซอ....โดยเขาแจ้งกับลีเจงกับพ่อเฒ่าอองซอน..ให้เตรียมหาคนของเผ่า

    ต่าง ๆเพื่อเตรียมการณ์ไว้ให้เขานำกำลังไปขับไล่กองกำลังพม่าออกไป.....และเขาไม่ได้บอกแก่คน

    ของเผ่ามูเซอว่า"เขาจะไปทีใด"..เพียงแต่บอกกับนะจาว่าจะมีสหายของเขามาตามเขาถึงบนดอยแห่ง

    นี้..ให้บอกกับสหายของเขาให้กลับไปรอเขาที่บ้านขุนทัพ.............แต่

    ในเหตุการณ์จริงนั้น"เมือง มีสุข"เดินทางและรอบข้ามฝั่งแม่น้ำน่านไปยังฝั่งตะวันตก...และได้รอบไปที่

    จวนเจ้าเมืองน่าน..เพื่อยิงธนูส่งหนังสือถึงสายพิณให้ออกมาพบเขา...แต่ปรากฎว่าธนูดอกนั้นเมื่อยิง

    เข้าไปในห้องนอนคนที่พบกับเป็น"สายใจ"พี่สาวของสายพิณ...และนางได้ออกมาพบกับ"เมือง มี

    สุข"แทนน้องสาวของนาง.....สายใจได้ต่อว่าปลัดเมืองว่าไม่ควรทำเช่นนี้........แต่ปลัดเมืองได้พูดจา

    อย่างนอบน้อมต่อสายใจที่เขาพบเป็นครั้งแรกว่า.."เขามีเรื่องที่ต้องให้สายพิณช่วยเหลือ..และขอให้

    นางบอกให้สายพิณมาพบเขา"....และในที่สุดสายพิณก็ออกมาพบเขา...เมืองจึงให้สายพิณนำหนังสือ

    เกี่ยวกับความเป็นมาระหว่างสยามกับพม่า...เขาอ่านหนังสือดูจนรู้ว่า...แม่ของเขาน่าจะเป็นราชธิดาใน

    ราชวงศ์พม่า...เขาจึงเดินทางไปที่"ประสาทไม้สักลุ่มน้ำสาละวิน"..เพื่อค้นหาความหมายชีวิตของ

    เขา...และได้อยู่ที่นั้น..ในฐานะคนเลี้ยงม้า..เขาได้ช่วยชีวิตของตะละแม่ราชาวดี...และได้เขียนภาพไว้

    ในกระท่อมห้องพักของเขาเพื่อบอกให้แม่เขาได้รับรู้ว่า "เขาคือ เมือง มีสุขลูกของนาง".....

    ซึ่งกระท่อมหรือห้องพักนั้น..ตะละแม่ราชาวดีได้สั่งให้คนถอนเสาและยกเข้ามาใน

    บริเวณประสาทไม้สักลุ่มน้ำสาละวิน...เพื่อนางจะได้ดู"ความทรงจำต่าง ๆเกี่ยวกับลูกของนางในห้อง

    นั้น"

    ....................กาเผือกพิจารณาภาพทั้งสองก็พอคาดเดาได้ว่า.....เมือง

    มีสุขเตรียมตัวเดินทางจากไป...ลีเจงคงมอบลูกดอกหน้าไม้เป็นอาวุธเพิ่มให้กับเมือง มีสุข...เพราะ

    ลูกดอกหน้าไม้สามารถใช้แทนลูกธนูในกระบอกของเขาที่มีจำนวนน้อยได้.....และในส่วนของขวดแก้ว

    ใบนั้น...นะจาน่าจะนำมันไปใส่เหล้าหรือน้ำนำมาให้เขาไว้ดื่มกินระหว่างการเดินทาง..........

    ภาพพวกนี้เป็นภาพแห่งการแสดงน้ำใจของพี่น้องคู่นี้..ที่เมือง มีสุขให้

    ความรักและเชื่อใจในพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง..........ภาพถัดมาคือภาพที่ 11 เป็นภาพที่สองพี่น้องคือ

    นะจากับลีเจงยืนอยู่เคียงข้างกันและจ้องมอง...บุรษที่ควบม้าสีดำที่กำลังจะลับตาไป...

    ดวงตาของทั้งสองพี่น้องมีแววสลดและอาลัยอาวรณ์...ดวงตา

    คู่นี้บอกถึงความผูกพันของคนที่กำลังจะจากกับคนที่ยังคงอยู่ได้เป็นอย่างดี...ว่าพวกเขามีความผูกพัน

    ที่ลึกซึ่งเพียงใด.....ม้าของเมือง มีสุขกำลังวิ่งลงจากดอย..ในยามเช้า

    เป็นขณะที่สองพี่น้องยืนอยู่บนดอยและมองดูอยู่......ผืนป่าที่อยู่เบื้องล่างช่างเขียวขจีดูแล้วสวยงาม

    สบายตา...แต่ดวงใจของคนที่อยู่ท่ามกลางความสวยงามและสบายตานั้น...ใช่ว่า"ทุกคนจะมีความสุข

    เสมอไป"..........เหมือนกับสองพี่น้องและชายผู้ควบม้าสีดำจากไป..........แม่เฒ่านะจา"เวลานางมี

    ชีวิตอยู่..นางเป็นเช่นไรหนา" กาเผือกอยากรู้จักนางจริง ๆเพื่อเทียบเคียงกับ"เซจี"ว่านางรู้จักแม่เฒ่า

    นะจาอย่างไร....................
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 87_1236610667.jpg
      87_1236610667.jpg
      ขนาดไฟล์:
      19.5 KB
      เปิดดู:
      67
    • mk.jpg
      mk.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.7 KB
      เปิดดู:
      85
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2012
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..................ภาพต่อมาเป็นภาพที่ 12 เป็นภาพ

    ของ"เมือง มีสุข"ที่ได้รับบาดเจ็บนั่งอยู่บนแคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่..ที่สบักหลังของเขามีลูกธนูปักไปทะลุใต้

    รักแร้ซ้าย..พร้อมกับเลือดไหลออกมาจากบาดแผลจำนวนมาก.........โดยมีลีเจงกำลังหักหัวลูกธนู

    ดอกนั้นให้แก่ "เมือง มีสุข" เพื่อดึงลูกธนูออก...และนะจากำลังมีสีน่าวิตกกังวลประคองร่างของเมือง

    ไว้...........

    .................................ภาพนี้น่าจะเป็นภาพที่ต่อจากภาพที่ปรากฏอยู่

    ในพิพิธภัณฑ์จังหวัดน่าน..ที่สายพิณวาดภาพขึ้น..คงมาจากตอนที่ภาพบรรยายถึง"ชายหนุ่มมีลูกธนู

    ปักอยู่ที่สะบักหลังทะลุใต้รักแร้ซ้าย..และมีชายหนุ่มผิวขาวคล้ายคนจีนยืนถือคันธนูอยู่ห่างจากชาย

    หนุ่มคนแรก....พร้อมกับมีคำบรรยายว่า "หลังจากปลัดเมืองได้หนีจากเมืองน่านและได้กลับมาอีก

    ครั้ง..ปลัดเมืองได้ถูกเฮียงคี้ยิงธนูปักเข้าสะบักหลังทะลุใต้รักแร้ซ้าย..เช่นเดียวกับบุญมี..เหตุการณ์

    ครั้งนี้ทำให้ปลัดเมืองไม่สามารถยิงธนูได้"

    ...................ในความคิดของกาเผือก..เขามีความเห็นว่าภาพที่

    เขาเห็นนี้น่าจะสัมพันธ์กับภาพที่ปลัดเมืองถูกเฮียงคี้ยิง...โดยเขาเข้าใจว่า.เมื่อปลัดเมืองหรือเมือง มี

    สุข ถูกเฮียงคี้ยิงธนูเข้าใส่จนได้รับบาดเจ็บ...เขาก็คงควบม้าสีนิลหนีขึ้นมาบนดอยแห่งนี้...และเมื่อลีเจ

    งกับนะจาสองพี่น้องชาวเผ่ามูเซอมาพบเห็นเขาก็รีบให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาล...กาเผือกคิดต่อไป

    ว่า..เรื่องนี้น่าจะเกิดในปี พ.ศ.2466...เป็นไปได้ไหมว่า"ขณะเกิดเหตุการณ์

    นี้..เมือง มีสุขได้พาโนรี นราจากเมืองปัตตานีมากับเขาแล้ว..เพราะตอนที่เขาได้รับฟังคำบอกเล่าจาก

    คุณยายมั่น คงเมือง เกี่ยวกับ..แสงสว่างที่ปรากฏบนยอดเขาสูงตอนกลางคืน..และโนรีผู้ที่เดินผ่านต้น

    ดอกทานตะวัน....แล้วดอกทานตะวันหันหน้าดอกเข้าหานาง....มันเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับ

    เหตุการณ์นี้....และเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บเขาไม่ยอมที่จะไปพบกับโนรี...เพียงเพราะต้องการปกปิด

    นางเรื่องนี้.......แล้วโนรี นรานางกลับจากเมืองน่านไปเมื่อไร........กาเผือก

    พยายามลำดับเหตุการณ์เพื่อให้เรื่องราวมันกระชับขึ้น......แล้วประมวลได้ว่า"โนรี นรา ไม่ได้ขึ้นมาบน

    ยอดดอยมูเซอแห่งนี้อย่างแน่นอน"............
    ...................
    [/COLO
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      159
    • IMG_2265 (2).JPG
      IMG_2265 (2).JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      84
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2012
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ตอนที่113 ภาพวาดเมือง มีสุขบนดอยมูเซอครั้งสุดท้ายก่อนจากลา

    ............ภาพนี้เป็น

    ภาพตอนปลัดเมือง มีสุขและลีเจงพร้อมกับพวกชาวเขาเผ่าต่าง ๆจำนวนหลายคน..กำลังควบม้าลงจาก

    ดอยมูเซอยามเย็น...โดยมีนะจายืนอยู่เบื้องหลังของกองกำลังนั้น..นางยืนมองอย่างเศร้าสลดน้ำตา

    ไหลอาบแก้มอาลัยอาวรณ์เหมือนกับการพบเห็นเมือง มีสุขครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของนาง

    ............อธิบายได้ว่า..มันเป็นภาพที่เมือง มีสุขและลีเจงนำกองกำลังของ

    ชนเผ่าต่าง ๆ ที่จะต้องเดินทางไปในตอนกลางคืนเพื่อไปสมทบกับปลัดปักษ์ซึ่งเป็นผู้นำในการต่อสู้กับ

    กองกำลังเอหม่องเป็นครั้งสุดท้าย...ที่แม่น้ำน่าน..ซึ่งเรื่องการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่าง เจ้าหน้าที่เมือง

    น่านทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก..รวมกับชนเผ่าต่าง ๆนั้นกับกองกำลังพม่า..เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด

    เข้มข้นอย่างมาก..และน่าจะเป็นตอนที่ต้องบรรยายอย่างละเอียดที่สุด...ซึ่งการบรรยายบางส่วนท้าย ๆ

    ก่อนที่เมือง


    มีสุขจะจมน้ำสาบสูญไปอยู่ใน"ตอนที่ 1 ผู้พบขวดแก้ว"ในหน้าที่ 38...




    ...............ภาพนี้เป็นภาพที่อยู่ใกล้กับภาพของแม่เฒ่านะจาภาพที่แสดงการ

    เปลี่ยนแปลงรูปร่างจากวัยสาวไปสู่วัยชรา..ที่กาเผือกได้พิจารณาดูเป็นภาพแรก.....

    กาเผือกดูภาพทั้งสองประกอบกัน..เขารู้สึกสะเทือนใจที่เห็น"ความเศร้าสลดของ

    นะจาทั้งสองภาพ"..ทำให้ดูเหมือนว่านางอยู่กับความเศร้าโศกตลอดมา.....อาการของภาพสุดท้ายที่

    เห็นเมือง มีสุข..มันเหมือนกับการมองเพื่อสั่งลา...เพราะว่านับจากการลงดอยครั้งนี้ เมือง มีสุข ไม่เคย

    มาปรากฎตัวให้นะจาได้พบเห็นอีกเลย.....นางจึงกลายเป็น"ผู้รอคอย"


    .................กาเผือกพยายามขบคิดว่า"เมือง มีสุข"หลังจากที่รักษาตนเอง

    จากการถูกยิงด้วยลูกธนูบนดอยแห่งนี้แล้ว...เมืองกับนะจาได้มีเหตุการณ์อะไรระหว่างกันเกิด

    ขึ้น.....จากเหตุการณ์ที่กาเผือกประสบมาและดูจากภาพ"เขาเชื่อว่านะจานั้นรักเมือง มีสุขอย่างหมด

    ใจ"...เขารู้สึกสงสารนางอย่างจับใจ...เพราะเขารู้ดีว่า"เมือง มีสุขนั้นรักโนรี นรา หญิงแห่งแดนใต้ที่มา

    พร้อมกับเสียงขลุ่ยอันไพเราะที่นางเป่าขึ้น...และที่เขามาที่เมืองน่านแห่งนี้ก็เพื่อมาตามหาขวดแก้วทรง

    มะม่วงอีกซีกหนึ่งเพื่อนำกลับไปให้นางที่เขาเชื่อว่าได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว...ตามคำขอของเมือง มี

    สุข"


    ................กาเผือกมองภาพต่าง ๆย้อนกลับไปมา...โดยหารู้ไม่ว่า"ดวงวิ

    ญญาณของแม่เฒ่านะจาได้เฝ้ามองดูเขาอย่างอย่างใกล้ชิด...เซจีนั้นรู้ว่า"กาเผือกคือเจ้านกกาเผือกที่

    เมือง มีสุขช่วยชีวิตมันไว้"....แล้วแม่เฒ่านะจาจะไม่รู้หรือว่า...เขาคือ"นกกาเผือกตัวนั้น"


    ................กาเผือกครุ่นคิดว่า เรื่องราวต่าง ๆของพวกเขาเหล่านี้น่าสนใจ

    มาก...เขาอยากรู้เรื่องราวพวกเขาจริง ๆ...กาเผือกนั่งทรุดลงที่ฝาห้องด้านทิศตะวันตกแล้วมองมาที่

    โลงศพ..เขารู้สึกอ่อนเพลียเนื่องจากอดอาหาร..และในที่สุดเขาก็หลับไป.........

    ...............วิญญาณของแม่เฒ่านะจาที่มองดูเขาอยู่ได้เยื้องกายเข้ามาหากา

    เผือกขณะที่กำลังหลับ....เขารู้ว่า "กาเผือกคือนกกาเผือกตัวนั้นเช่นเดียวกับเซจีรู้".....วิญญาณของ

    นางจ้องมองดูเขาอย่างรู้สึกเวทนาและสงสาร.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2012
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................กาเผือกนอนคุ้ดคู้กอดอกด้วยความหนาวเหน็บ..อากาศยิ่ง

    ดึกดื่นยิ่งเยือกเย็นขึ้นเรื่อย ๆ...............วิญญาณของแม่เฒ่านะจาเดินไปที่

    ปลายโลงศพของนาง..ที่ปลายเท้าของศพอยู่ด้านทิศตะวันออก...ส่วนหัวของศพอยู่ทิศตะวันตก..อัน

    เป็นการหันหรือวางศพเหมือนกันกับชาวเมือง....ที่นั่นมันมีผ้าห่มของนางอยู่ผืนหนึ่งที่เซจีพับ

    ไว้.....นางหยิบผ้าห่มผืนนั้นมา..แล้วเดินมาที่ร่างกาเผือกที่นอนหนาวเย็นอยู่...แล้วเอาผ้าห่มผืนนั้นห่ม

    ไปที่ร่างกายของกาเผือก....ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้น..และนางได้เอ่ยขึ้นอย่างเบา ๆ ..."หลับให้สบาย

    เถิดเจ้านกกาเผือก...เมื่อความจริงปรากฏเซจีจะปล่อยเจ้าออกไปเอง"............

    ....................กาเผือกรู้สึกแผ่วเบาเหมือนมีใครเอาผ้าห่มบรรจงห่มให้

    เขา...แต่เขารู้สึกอ่อนเพลียจนไม่อาจจะลืมตาขึ้นมองได้.....และหลับอย่างสนิทต่อไป..............

     
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....ตอนที่ 114 วิญญาณของนะจากับความฝันของกาเผือก.....




    ...................กาเผือกหลับไปไม่นานเขาก็เริ่มฝันเป็น

    เรื่องเป็นราวขึ้น.........เขาฝันว่า...ขณะที่เขากำลังหลับอยู่ในห้องแห่ง

    ความทรงจำของแม่เฒ่านะจาที่เซจีขังเขาไว้..เขาได้ยินเสียงกุกกักอยู่ที่โลงศพของแม่เฒ่า...กาเผือก

    จึงลืมตาขึ้นก็เห็น ศพของแม่เฒ่านะจาในโลงนั้นค่อย ๆลุกขึ้นนั่ง....และมองดูเขาอยู่...หัวใจของเขา

    แทบหยุดเต้นด้วยความกลัวในความฝันนั้น....ศพของแม่เฒ่ายิ้มให้กับเขาและสลัดใบชาหอมที่หมก

    ร่างของนางไว้ออก.............แล้วนางก็ลุกขึ้นจากโลงศพนั้น..และออกจากโลงเดินตรงมาหาเขา...กา

    เผือกรีบลุกขึ้นนั่งและ้ก็ต้องแปลกใจที่มีผ้าห่มมาห่มร่างเขาไว้......แม่เฒ่านะจา

    นางเดินตรงเข้ามาพร้อมกับร่างกายของนางได้เปลี่ยนไป...จากร่างที่แก่เฒ่าชราเป็นหญิงสาวงามแห่ง

    เผ่ามูเซอ..เหมือนภาพที่นางวาดขึ้น...ใบหน้าของนางเปล่งปลั่งผุดผ่อง..และสวยงามยิ่งนัก...จนกา

    เผือกได้คลายความกลัวลงในความฝันนั้น.....นางยิ้มให้กับเขาและเอ่ยขึ้นว่า.........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2012
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...................."เพื่อ..เมือง มีสุข แล้ว...เจ้าถึงขนาดข้ามพบข้ามชาติมา

    ทำงานเพื่อเขาเลยหรือ..เจ้านกกาเผือก"

    ............กาเผือกฟังคำของนะจา..ซึ่งขณะนี้วัยนางเปลี่ยนไปจนดูอายุ

    น้อยกว่ากาเผือกมากมาย...เขาไม่รู้สึกกลัว..และแปลกใจที่คำพูดของนางคล้ายคลึงกับเซจีที่ยืนยันว่า

    ว่าเขาคือ"นกกาเผือก"...กาเผือกจึงเอ่ยถามนางกลับไป....................."ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด

    หรอก"

    .................นะจายิ้มให้กับคำพูดของกาเผือกแล้วเอ่ยตอบ......."เจ้าคือนกกา

    เผือกที่อยู่ในภาพวาดที่พิพิธภัณฑ์..ที่เจ้าไปดูมา"

    ...............กาเผือกแปลกใจว่า..นะจานางรู้ได้อย่างไรว่า..เขาได้ไปดู

    ภาพวาดที่พิพิธภัณฑ์แห่งนั้น...เขาจึงฟังนางพูดต่อ

    ...................นะจาพอจะรู้อาการของกาเผือกนางจึงเอ่ยขึ้นต่อ...."เจ้าอย่าสงสัยสิ่งใดไปเลย....ข้า

    จะบอกเรื่องราวของเจ้าให้ฟัง...เจ้ากับเมือง มีสุข มีความรักใคร่อย่างมิตรสหายตั้งแต่ตอนที่เจ้าเป็นลูก

    นกน้อย..แล้วถูกนกใหญ่ตามล่าเพื่อจะจิกกินเจ้า..เมือง มีสุข ได้ช่วยเจ้าไว้ที่ ป่าไม้ริมแม่น้ำน่าน..เขา

    รักษาเจ้าและป้อนข้าวป้อนน้ำแก่เจ้าจนเจ้าหายดี....และเจ้าจดจำเขาไว้....ต่อมาก็ได้พบกับเขาอีก

    ตอนเขากลับมาที่เมืองน่าน.....จนเจ้าสนิทคุ้นเคยกับเขามาก......และก่อนที่เขาจะกองกำลังพม่า

    ยิง..และจะจมลงไปในแม่น้ำน่าน...เจ้าเป็นผู้ที่บินโฉบเข้ามาจิกคอเสื้อของเขาเพื่อดึงเขาขึ้นจาก

    น้ำ...แต่ก็ไม่อาจช่วยเขาได้...ก่อนจะจมน้ำหายไป..เขาได้ให้เจ้าตามขวดแก้วใบหนึ่งเพื่อนำไปให้

    แก่............." นะจาพูดโดยไม่เอ่ยชื่อใคร..และนางก็ได้เปลี่ยนสีหน้าสลดลง......ซึ่งกาเผือกพอ

    เดาออกว่า..นะจาน่าจะรู้ว่า คือ "โนรี".......และสีน่านางนะจาก็กลับมายิ้มแย้มตามเดิม..แล้วเอ่ย

    ต่อ........

    ...................."เจ้าเป็นผู้ติดตามขวดแก้วนั้นไปเป็นเวลานาน...ขวดแก้วได้ลอยจากแม่น้ำน่านสู่

    แม่น้ำเจ้าพระยา..และลอยไปถึงเมืองชัยนาท...เจ้าเหนื่อยอ่อนและบินต่อไปไม่ไหวและสิ้นใจตายอยู่

    ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยานั้น.....แม่น้ำน่านซึ่งรวมอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา...เห็นเจ้าสิ้นใจตายไปเช่น

    นั้น....แม่น้ำน่านจึงนำขวดแก้วนั้นจมลงไว้ใต้แม่น้ำเจ้าพระยาตรงจุดใกล้กับที่เจ้าขาดใจ

    ตาย....วิญญาณของเจ้าร่องลอยอยู่กับร่างและขวดแก้วนั้น.....และเจ้ากับแม่น้ำน่านก็ได้สัญญาต่อกัน

    ว่า..เจ้าจะไปเกิดเป็นคน..และจะมาที่สถานที่ที่เจ้าสิ้นใจตายนี้....เมื่อเจ้่ามาขอให้แม่น้ำน่านนำขวด

    แก้วขึ้นมาให้แก่เจ้า....ศพของนกกาเผือกที่เป็นตัวเจ้าได้ถูกทับถมโดยไม่เน่าเปื่อย..อยู่ใต้ดินริมแม่น้ำ

    เจ้าพระยานั้น......และในที่สุดเจ้าก็ได้ไปเกิดเป็นลูกของนางพยาบาลที่โรงพยาบาลชัยนาท..และวัน

    หนึ่งเจ้าก็กลับมาจนมานั่งอยู่ในที่ศพของนกกาเผือกถูกฝังอยู่....แม่น้ำน่านจำได้ว่าเป็นเจ้านกกาเผือก

    ที่กลับมาตามสัญญา...นางจึงดึงขวดแก้วหมุนขึ้นมาและลอยมาสู่เจ้าในวันนั้นไง".........



    .....................กาเผือกได้ฟังถึงกับนิ่งอึ้งและรู้สึกสอดคล้องไปกับคำพูดของนะจา....ที่นาง

    เล่า..นางรู้ในสิ่งที่เขารู้คือเรื่องขวดแก้วลอยมาหาเขา...และรู้ในสิ่งที่เขาไม่รู้คือ..เขาสงสัยว่า"ขวดแก้ว

    ลอยมาหาเขาได้อย่างไร..และนะจานางตอบเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน.."...กาเผือกเริ่มเชื่อนะจาว่า..นาง

    น่าจะพูดเรื่องจริง...เพราะสิ่งที่เขาประสบมาไม่ใช่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ............


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2237.JPG
      IMG_2237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      17.1 KB
      เปิดดู:
      147
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2012
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .................ปริศนาแห่งการกระทำหรือพฤติการณ์ของตอนที่ 1 ใน

    หน้าที่ 38 เกี่ยวกับเรื่องราว..ที่กาเผือกและไก่ตุ๋นไปตกปลาที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเหนือตัวจังหวัด

    ชัยนาทขึ้นไป..และขวดแก้วทรงมะม่วงครึ่งซีกที่จมอยู่ใต้แม่น้ำเจ้าพระยามาเป็นเวลาถึง 80 ปีได้

    โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำตามแรงหมุนวนของน้ำวนใต้น้ำเจ้าพระยา..และต่อมาขวดแก้วนั้นได้หยุดนิ่งอยู่กับ

    ที่ไม่ลอยไหลไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหลล่องไป....แต่กลับเคลื่อนที่ลอยตัวมาหากาเผือก..ที่นั่งตก

    ปลาอยู่ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยานั้น...ก็คือ การกระทำของแม่น้ำน่านที่รวมตัวอยู่ใน

    แม่น้ำเจ้าพระยา...แม่น้ำน่านซึ่งถือว่าเป็น"แม่ของเมือง มีสุข"...ไ้ด้ปกป้องคุ้มครองขวดแก้วใบนั้นมา

    โดยตลอด...แม่น้ำน่านและวิญญาณของนกกาเผือกที่ตามขวดแก้วมา..และตายลงที่ริมฝั่งแม่น้ำ

    เจ้าพระยา..ได้สัญญากันว่า "นกกาเผือกจะไปเกิดเป็นคนและมาทำหน้าที่ต่อ...หากเขามาที่จุดที่

    ซากศพของนกกาเผือกถูกฝังอยู่..ให้แม่น้ำน่านนำพาขวดแก้วใบนี้ให้ลอยขึ้นมาหาเขา...และเขาจะทำ

    หน้าที่เพื่อ เมือง มีสุขต่อไป"..........ซึ่งเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่แม่น้ำน่าน

    ได้ช่วยและบอกใบ้ปริศนาให้แก่กาเผือก.......แม้จะเป็นที่ริมแม่น้ำน่านที่ดลบันดาลให้"ปรากฏภาพ

    ของเมือง มีสุข..ที่กำลังจะจมน้ำและได้มีนกกาเผือกบินมาโฉบจิกที่คอเสื้อของเมือง..แล้วกระพือปีก

    บินขึ้น...เพื่อดึงร่างของเมือง มีสุข ขึ้นจากแม่น้ำน่านเพื่อช่วยชีวิตเขา..."...แม่น้ำน่านต้องการบอกกับ

    กาเผือกว่า..เขาคือนกกาเผือก..เพราะความทรงจำของกาเผือกที่ไปเกิดเป็นคนยังเลือนลางสำหรับ

    เขา....เขาสามารถระลึกได้บางและก็ไม่ชัดเจนว่ามันคืออะไร...แต่บัดนี้คำพูดของ"นะจา"ทำให้เขารู้

    เรื่องราวของเขาดีขึ้น......เขาเชื่ออย่างหมดใจว่า "แม่น้ำน่านมีจิตและวิญญาณอยู่จริง...และนาง

    ผูกพันกับเมือง มีสุข ในฐานะแม่กับลูก..เช่นเดียวกับที่สายฝนหรือตะละแม่ราชาวดีแห่งปราสาทลุ่มไม้

    สักลำน้ำสาละวินซึ่งเป็นแม่แท้ ๆ มีต่อเมือง มีสุข"................กาเผือกคา

    ใจหลายเรื่อง...เขาจึงเอ่ยถามนะจา..ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นเด็กสาววัย 16 ถึง 17 ปี ..ที่เป็นเด็กสาว

    สวยงามน่ารักแห่งดอยมูเซอต่อไปว่า........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...