พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................คุณยายได้เล่ารายละเอียดไปตั้งแต่..ตอนที่ 14 เปิดตำนานลูกแม่น้ำน่าน ,

    ตอนที่ 15 เมือง มีสุข ลูกแม่น้ำน่าน (หน้า 17) , ตอนที่ 16 สายฝนลาลับ , ตอนที่ 17 สวัสดี

    เมืองน่าน , ตอนที่ 18 บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์ , ตอนที่ 19 เหตุสงสัย , ตอนที่ 20 เผชิญหน้า

    กัน , ตอนที่ 21 ความรักของบุญแทน ,และตอนที่ 22 เชิงรุกของปักษ์ หงษา (หน้า

    18).......(ขออนุญาตไม่เขียนซ้ำ) .....มาต่อที่ตอนที่ 29 ข่าวลือ



    ...............ตอนที่ 29 ข่าวลือ(เชื่อมต่อตอนที่ 13)...........





    ....................คุณยายได้เล่าเรื่องของ เมือง มีสุข ไปช่วงหนึ่ง..ส่วนเรื่องของโนรี นรา ใน

    ส่วนที่อยู่เมืองสุราษฎร์นั้นคุณยายไม่รู้..แต่เป็นเรื่องที่กาเผือกจะต้องไปค้นหาความจริงใน

    แดนใต้เอง.....

    ....................และในวันนี้ค่อนข้างเย็นมากที่ทั้งกาเผือก ไก่ตุ๋นและพวงผกา ได้รับฟังเรื่องราวของ

    เมือง มีสุข มาถึงตอนที่ปลัดปักษ์วางแผนการสืบเรื่องของขุนทัพ..และปลัดเมือง...อยู่ที่สำนักสงฆ์

    แห่งหนึ่งของฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน...โดยกำหนดให้กัมพูไปทำหน้าที่ตรวจสอบทำแผนที่ฝั่ง

    ตะวันออกของแม่น้ำน่าน...

    ....................พวงผกาต้องกลับไปอยู่เวรประจำทึ่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์......ของโรงแรม...

    และกาเผือกกับไก่ตุ๋นก็ต้องกลับมานอนพักที่โรงแรมเช่นกัน...ดังนั้นทั้งสามจึงได้ลาคุณยายและนัด

    จะมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น..เพื่อฟังการเล่าเรื่องต่อไป...

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นมาถึงโรงแรมเมื่อตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว...และเมื่อมาถึง

    โรงแรม..ทั้งคู่ก็ต้องตกใจและตื่นเต้น..เมื่อบ๋อยของโรงแรมชี้มือให้คนกลุ่มหนึ่งเดินมาทางเขา

    ทั้งคู่...ผู้คนกลุ่มนั้นมีราวประมาณ 10 กว่าคน...เดินตรงเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับถ่ายรูป

    เป็นการใหญ่....

    ............................"พี่ครับ...พี่ใช่ชื่อ กาเผือก กับ ไก่ตุ๋น หรือเปล่าครับ" หนึ่งในคนกลุ่มนั้นเอ่ย

    ถามขึ้นทันทีหลังจากที่ระดมกันถ่ายรูปเขาทั้งสองจนเสร็จ....

    ............................"ใช่ครับ...มีอะไรหรือ" กาเผือกตอบไปทันทีด้วยอยากรู้ว่ากำลังจะมีอะไร

    เกิดขึ้นกับพวกเขา

    ............................"พี่เป็นคนเก็บขวดแก้วรูปมะม่วงได้ใช่ไหมครับ..ผมเป็นนักข่าวท้องถิ่น...มี

    คนที่โรงแรมแจ้งไป...คนเมืองน่านรู้สึกตื่นเต้นมากเลย..ขอพวกผมถ่ายรูปขวดใบนั้นที่มีสร้อยข้อมือ

    ทองกับผ้าที่มีลายมือของ เมือง มีสุข หน่อยสิครับ" นักข่าวอีกคนหนึ่งเริ่มแสดงตัวและซักถาม..

    ด้วยประกายตาแห่งความตื่นเต้นเกินบรรยายพร้อมกับรอคำตอบ...

    ....................กาเผือกมองหน้าไก่ตุ๋นเป็นเชิงปรึกษาว่าจะเอาอย่างไรดี...ในขณะที่นักข่าวอีกคน

    เริ่มบอกเล่าบางสิ่งบางอย่างเพิ่มเติมให้ทั้งคู่ฟัง

    ............................"พี่รู้ไหม..เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์จังหวัดน่าน..เขาแจ้งมาว่า..หัวหน้าของเขา

    ต้องการซื้อของที่พี่ได้มาทั้งหมดด้วยราคาสูง...เขาต้องการเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์..เพื่อให้

    ประชาชนได้ดูได้ศึกษาตำนานของ เมือง มีสุข"

    .....................กาเผือกเริ่มคิดหนักว่า ทำไมทีแรกที่เขาไปสอบถามเรื่องราวของ เมือง มีสุข

    จึงไม่มีใครรู้จัก...แต่บัดนี้มีคนเอ่ยถึง เมือง มีสุข อย่างชัดเจน..ทำให้เขาเริ่มสงสัยจึงถามนัก

    ข่าวพวกนั้นกลับไป

    ............................"แล้ว เมือง มีสุข..เขาคือใคร"

    ............................"เขาเป็นรัชทายาทของกษัตริย์พม่า..องค์สุดท้ายที่มาอยู่เมือง

    น่าน...และหายสาบสูญจมลงไปในแม่น้ำน่าน...และไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย"

    ....................กาเผือกรับฟังคร่าว ๆ ถึงกับนิ่งอึ้งไป..เขาคิดว่า..หากเป็นดังที่นักข่าวพูดถึง...สาย

    ฝนที่คุณยายเอ่ยถึงว่าคือแม่ของเมือง...ก็น่าจะเป็นลูกหลานของกษัตริย์พม่าซึ่งมาอยู่กับขุนทัพจนเกิด

    เมือง มีสุข ขึ้นตามคำบอกเล่าของคุณยายมั่น

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นนำนักข่าวมาที่ห้องรับแขกของโรงแรม.....และเขาได้หยิบขวด

    แก้วและผ้าขาวทั้งสองผืนให้พวกนักข่าวดู...บนโต๊ะ..ทุกสายตาที่อยู่ ณ ที่นั้นเฝ้ามองดูอย่างไม่

    กระพริบตาพร้อมกับรุมกันถ่ายรูป...ในขณะที่กาเผือกกางผ้าขาวทั้งสองผืนที่มีตัวหนังสือ

    เขียนอยู่..ก็ได้ยินเสียงครางอย่างตื่นเต้นของเหล่าบรรดานักข่าว

    ............................"อื่อฮือ"............

    .....................และนักข่าวคนหนึ่งได้ออกความเห็นต่อเหตุการณ์

    ............................"ผมคิดว่า..ถ้าพรุ่งนี้ทางพิพิธภัณฑ์ได้เห็นข่าวและรูปภาพนี้..คงได้

    แจ้นมาหาพี่ทั้งสองที่ดรงแรมแน่"

    .....................กาเผือกและไก่ตุ๋นนั่งฟังอย่างไม่สบายใจ..เพราะแค่เพียงนักข่าวเหล่านี้มาซักถาม

    พวกเขา...ก็ให้รู้สึกอึดอัดมากพอแล้ว...แต่ถ้าเกิดมีคนของพิพิธภัณฑ์มาติดต่อสัมภาษณ์และขอ

    ซื้อขวดแก้วและสร้อยข้อมือทอง..พร้อมกับผ้าทั้งสองผืนที่พวกเขาพบ...พวกเขาจะตัดสินใจ

    อย่างไร.........

    .....................บรรดานักข่าวได้สัมภาษณ์กาเผือกและไก่ตุ๋น..เรื่องการพบขวดใบนั้น..และสอบ

    ถามถึงจุดประสงค์ที่พวกเขามาจังหวัดน่าน...พวกเขาก็ได้เล่าให้นักข่าวฟังโดยไม่ปิดบัง...แม้กระทั่ง

    แหวนทองคำที่พวกเขาได้มาถึง 16 วงและนำไปขาย...จนเหลือเพียงที่นิ้วชี้มือซ้ายของกาเผือก...

    และจุดประสงค์หลักที่พวกเขามาจังหวัดน่านที่นักข่าวได้รับฟังก็คือ....การทำตามจดหมายบนผิน

    ผ้านั้น..คือ..การติดตามหาขวดแก้วอีกส่วนหนึ่งที่ถูกฝังอยู่ ณ สถานที่จันทร์เสี้ยวแยกจาก

    กัน...อันเป็นปริศนาของจดหมายที่ เมือง มีสุข เขียนขึ้นไว้.....

    ....................แต่กาเผือกและไก่ตุ๋นไม่เคยเล่าเรื่อง..พวงผกาและคุณยายมั่นที่ได้บอกเล่า

    เรื่องราวของ เมือง มีสุข ให้แก่นักข่าวฟัง...บรรดานักข่าวบันทึกคำพูดของพวกเขาใส่สมุด

    โน๊ตและเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็ก....และนักข่าวได้กลับไปจนหมดแล้ว.................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2012
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลังจากพวกนักข่าวกลับไปจนหมด..กาเผือกและไก่ตุ๋นได้กลับเข้ามาในห้อง

    พัก..และปรึกษาหารือกันทันที

    ............................."เฮ้ย..เอายังไงกันดีวะ" กาเผือกยิงคำถามหลังจากที่มานั่งอยู่บนเตียง

    นอน...ในขณะที่ไก่ตุ๋นกำลังค้นหาผ้าเช็ดตัวเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ

    ............................."เรื่องอะไร" ไก่ตุ๋นย้อนถาม

    ............................."อ้าว..ก็เรื่องที่นักข่าวมันบอกว่า..พรุ่งนี้พวกพิพิธภัณฑ์ต้องมาหาเราแน่..

    ถ้ารู้ข่าว" กาเผือกอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

    ............................."แล้ว..มึงจะทำอย่างไร" ไก่ตุ๋นถามต่อ

    ............................."หนี"

    ............................."หนีไปไหน ...งานยังไม่เสร็จ" ไก่ตุ๋นแย้ง

    ............................."หนีไปพักที่อื่นโว้ย...ไม่ให้ใครตามเจอ"

    ............................."เออดีว่ะ...กูรำคาญจัง" เป็นเสียงสนับสนุนของไก่ตุ๋นก่อนจะเข้าห้องน้ำ


    .....................หลังจากนั้นประมาณสี่ทุ่ม...กาเผือกและไก่ตุ๋นได้ออกจากห้องพักลงมาชั้นล่างเพื่อ

    พบพวงผกา....ที่กำลังอยู่เวรที่เคาน์เตอร์...เพื่อสอบถามหาที่พักแห่งใหม่อันเป็นการหนีความ

    วุ่นวาย......

    ............................"พี่ก็ไปพักที่บ้านยายเสียเลยสิ..หากพี่พักในเมือง...พวกเขาก็ต้องตาม

    เจอ...แล้วพรุ่งนี้ถ้าข่าวออกไป...ทั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงท้องถิ่น..และข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น...ที่

    แผ่ออกไป.....ไม่ใช่มีพวกพิพิธภัณฑ์อย่างเดียวแน่...จะต้องมีคนอื่นที่อยากรู้เรื่องราวมาหาพี่แน่นอน"

    พวงผกาอธิบายพร้อมกับแนะนำ

    ............................"ถ้าอย่างนั้น...พี่ควรออกจากโรงแรมตอนไหน" กาเผือกถามเชิงปรึกษา

    ............................"หกโมงเช้า..หนูออกเวรพี่ไปกับหนูได้เลย"

    ............................"โอเค..." กาเผือกตอบตกลงอย่างโล่งใจพร้อมกับให้พวงผกาเช็คเอ๊าท์

    ทันทีในคืนนั้น..แล้วกลับไปนอนรอเวลาจนรุ่งสาง....

    .....................รุ่งขึ้นเช้า..แม้จะเป็นเวลาหกโมงเช้า...แต่ที่จังหวัดน่านยังคงมืดอยู่พร้อมกับ

    อากาศที่หนาวเย็นและเต็มไปด้วยหมอก....คนจังหวัดน่านส่วนใหญ่ยังคงนอนอุตุเนื่องจากอากาศ

    หนาวเย็นเยือก....อันเป็นเหตุให้กาเผือกและไก่ตุ๋นออกจากโรงแรมโดยไม่มีใครสังเกต.........

    .....................ณ โรงแรม เวลา 8.30 นาฬิกา..เหตุการณ์เป็นไปตามคาดหมายของพวงผกา...

    บรรดานักข่าวอีกส่วนหนึ่งที่มาทำข่าวเพิ่มเติม...เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ พร้อมกับผู้คนอีกมากมายแห่กัน

    มาที่โรงแรม..เพื่อรอพบกาเผือกและไก่ตุ๋น...เนื่องมาจากข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจังหวัด

    น่าน...และสถานีวิทยุกระจายเสียงจังหวัดน่านได้ออกอากาศในหัวข้อข่าวว่า

    ............................"ค้นหาร่องรอยของ เมือง มีสุข"

    ....................ทำให้ผู้คนที่รู้ประวัติของ เมือง มีสุข ต่างก็ตามมาที่ดรงแรม..เพื่อจะดูขวด

    แก้วใบนั้น..พร้อมกับสิ่งที่อยู่ภายในขวด คือ สร้อยข้อมือทองลายดอกทานตะวัน...และตัว

    หนังสือบนผืนผ้าทั้งสอง....

    ....................ณ หน้าโรงแรมบริเวณวินมอเตอร์ไซด์รับจ้าง

    ....................เจ้าหนวดคนขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างได้กางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งให้พรรค

    พวกดู...เจ้าตี๋เพื่อร่วมวินเห็นภาพบนหน้าหนังสือพิมพ์ถึงกับสะดุ้งแล้วพูดพร้อมกับชี้ภาพให้พรรคพวกดู

    ............................"เฮ้ย..นี่มันรูปป้าอ้วนมีหนวดของมึงที่เห็นเมื่อวานซืนนี่หว่า"

    ............................"กูรู้แล้ว..กูถึงเอามาให้มึงดู...ผู้คนที่เขามาที่นี่กันก็มาตามหาป้าอ้วนมี

    หนวดของมึงนี่แหละ...แต่ตอนนี้หายไปไหนไม่รู้...กูให้มึงดูรูปไว้เผื่อเจอที่ไหนให้แจ้งไปที่

    พิพิธภัณฑ์..เขามีรางวัลให้รู้ไหม" เจ้าหนวดอธิบายให้เจ้าตี๋และพรรคพวกฟัง..เพราะวินมอเตอร์ไซด์ที่

    นี่ต่างจำไก่ตุ๋นได้ดี...เพราะเขามีผมยาว อ้วนดำใหญ่และมีหนวดเป็นที่สังเกต.............

    .....................ผู้คนที่มาโรงแรมต่างผิดหวัง..เพราะพวกเขาอยากเห็นขวดแก้วและสิ่งของที่อยู่

    ภายในขวด...โดยเฉพาะตัวหนังสือที่มีลายมือของ เมือง มีสุข ที่เขียนไว้เมื่อ 80 ปีที่แล้ว...........

    .....................จากจุดประสงค์ทที่กาเผือกให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า "เขามาตามหาสถานที่จันทร์

    เสี้ยวแยกจากกัน"....ชาวจังหวัดน่านจึงเชื่อว่า "เขาทั้งคู่ยังคงอยู่ในเมืองน่าน..แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน..

    ดังนั้นชาวเมืองน่านบางส่วนจึงได้สืบหาที่อยู่ของพวกเขา...พร้อมกับค้นหาปริศนาของ เมือง มีสุข นั่น

    คือ "สถานที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน คือ ที่ใด...เพราะบางคนคิดว่า "น่าจะมีแหวนทองคำ

    จำนวนมากอยู่รวมกับขวดแก้วส่วนที่ฝังอยู่...จึงได้สืบหากันอย่างตั้งใจ"....................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2012
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นมาถึงบ้าน คุณยายมั่น คงเมือง..และแจ้งเรื่องราวที่โรงแรม

    ให้คุณยายฟัง...พร้อมทั้งขอพักอาศัยอยู่ที่บ้านคุณยายเพื่อหลบผู้คนที่ติดตามหาพวกเขา...และหลัง

    จากสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง..คุณยายก็ได้เล่าเรื่องต่อให้ฟัง...โดยเริ่มเล่าต่อเรื่องคนเลี้ยงวัว..ที่ปลัดปักษ์

    ปลอมตัวไปเป็นคนเลี้ยงวัวเพื่อสืบเรื่องราวฝั่งตะวันออก...เริ่มแต่ตอนที่ 30 คนเลี้ยงวัว...ตอนที่ 31

    แนวคิดเรื่องสะพานข้ามแม่น้ำน่าน..ตอนที่ 32 ลมหายใจสุดท้ายของชายแปลกหน้าจากพม่า...ตอนที่

    33 ความจริงกระจ่างด้วยจดหมาย...ตอนที่ 34 แรงแค้นของเอหม่อง ( อยู่ในหน้าที่ 19) ...ตอนที่

    35 ปลัดปักษ์กลับฝั่งตะวันตก...ตอนที่ 36 เมตตาธรรมหรือหน้าที่...ตอนที่ 37 พบเจ้าเมืองน่าน และ

    ความรักอดีตชาติ...ตอนที่ 38 ลูกธนูดอกกุหลาบแห่งคำมั่นสัญญา..ตอนที่ 39 ความตายของบุญ

    มี...และตอนที่ 40 ประกายแห่งนักรบ (อยู่หน้าที่ 20)

    .....................กาเผือกและไก่ตุ๋นได้ฟังเรื่องประกายแห่งนักรบ..ถึงเรื่องการดวลธนูระหว่าง เมือง

    มีสุข กับ เฮียงคี้ แซ่งเจ็ง พวกเขารู้สึกตื่นเต้นเร้าใจอย่างมาก..แม้จะเป็นการปะมือกันครั้งแรกในการ

    ดวลธนู....

    .....................คุณยายมั่นจึงบอกกับพวกเขาว่า "มีคันธนูและลูกธนู..พร้อมกับเรื่องราวของ

    เมือง มีสุข ...เป็นภาพวาดมากมายอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน"

    .....................ในวันรุ่งขึ้นกาเผือกและไก่ตุ๋นจึงได้เดินทางไปเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ดังกล่าว..ซึ่งแน่

    นอนที่สุดที่พวกเขาต้องอำพรางตัวไว้เพื่อไม่ให้คนจำได้...โดยเฉพาะคนของพิพิธภัณฑ์..พวกเขาจึง

    ได้ซื้อแว่นตาดำใส่อำพรางหน้าตาซึ่งก็ได้ผล..คนส่วนใหญ่จำเขาไม่ได้นอกจากพวงผกา.............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2012
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....ตอนที่ 102 ความอลังการของเมือง มีสุขในพิพิธภัณฑ์....





    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นเดินขึ้นไปบนพิพิธภัณฑ์ โดยพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บนถนน

    มหาพรหม ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน.....

    ....................แล้วทั้งคู่ก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่พบเห็น..เรื่องราวอันอลังการของเมือง มีสุข

    ซึ่งไม่เคยปรากฎหรือจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยมาก่อนเลย....

    ....................สิ่งแรกที่พวกเขาเห็น คือ..ตัวหนังสือขนาดใหญ่ที่เขียนติดไว้ที่ผนังสีขาว

    ของห้องเกือบติดเพดานว่า



    ..........................."ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ"....................

    .......................................แด่......................................

    .............................ปลัดเมือง มีสุข ผู้จากไป........................



    .....................และใต้ข้อความนั้น...มีลูกธนูดอกหนึ่ง "ที่ส่วนปลายแหลมของลูกธนูมันมีดอก

    กุหลาบสีแดงแห้งดอกหนึ่งก้านดอกถูกพันด้วยเชือก.."...ถูกติดตั้งไว้ที่ผนัง...มันคือ ลูกธนู

    ดอกกุหลาบที่เมืองให้แก่สายพิณ..ไว้เป็นคำมั่นสัญญาว่า "เขาจะพานางขึ้นสู่ยอดเขาสูงเพื่อ

    สู้กับดวงอาทิตย์พร้อมกับเขา...เมื่อสะพานข้ามแม่น้ำน่านสร้างเสร็จ"

    .....................ลูกธนูดังกล่าวกาเผือกและไก่ตุ๋นคิดว่า.."มันน่าจะเป็นลูกธนูดอกกุหลาบที่คุณยาย

    มั่นเล่าให้ฟังระหว่างเรื่องราวของ เมือง มีสุข กับ สายพิณ ลูกสาวคนเล็กของเจ้าเมืองน่าน.....

    .....................และใต้ลูกธนูดอกกุหลาบดังกล่าว..ด้านซ้ายจะมีคันธนูไม้ไผ่ขนาดใหญ่

    ยาวประมาณ 1 วาเศษ...สายธนูขึงด้วยเชือกป่านมะนิลา...ส่วนด้านขวาเป็นธนูไม้สีดำที่ถูก

    แกะสลักลวดลายไว้และทำขึ้นอย่างสวยงามยามประมาณ 1 วาเศษเช่นกัน....โดยคันธนูทั้ง

    สองหันหน้าเข้าหากัน..เหมือนบ่งบอกว่า.."เจ้าคันธนูทั้งสองและเจ้าของคันธนูทั้งสองเคย

    ต่อสู้กัน"....

    ....................และระหว่างของคันธนูทั้งสองก็มี..ลูกธนูไม้กลมปลายแหลมยาวประมาณ 1

    เมตรติดตั้งไว้ตัดเป็นกากบาดกับลูกธนูปลายเหล็กแหลมยาวประมาณ 1 เมตรเช่นกัน..........

    ....................ใต้จากคันธนูทั้งสองก็มีลูกธนูของคันธนูทั้งสองติดเรียงลงมาที่ผนังพร้อม

    คำอธิบายภายใต้ลูกธนูแต่ละดอก...เป็นสองซีก....ซีกซ้ายมือเป็นคันธนูไม้ไผ่...ส่วนซีกขวา

    มือเป็นของคันธนูไม้สีดำอันสวยงาม....

    ....................ลูกธนูดอกแรกของคันธนูไม้ไผ่มีคำบรรยายไว้ใต้ลูกธนูว่า....."ลูกธนูที่ปลัด

    เมืองยิงทิ้งไว้ที่ต้นฝรั่งชายแดนเมืองน่านฝั่งตะวันออก...และเอหม่องได้นำมันมาจากต้นฝรั่ง..ต่อมา

    ได้ใช้ทิ่มแทงบุญมีจนเสียชีวิต...ปลัดปักษ์เก็บลูกธนูดอกนี้มาจากศพของบุญมีไว้........และปลัดปักษ์

    ได้ใช้คันธนูของปลัดเมืองยิงเอหม่องตาย...เมื่อเอหม่องตาย.....ปลัดปักษ์จึงเก็บลูกธนูดอกนี้มาจาก

    ศพของเอหม่อง"

    ....................ลูกธนูดอกที่สองถูกจัดเรียงต่ำลงมาด้านล่างของดอกแรกมีคำบรรยายไว้ใต้

    ลูกธนูว่า "ลูกธนูที่ปลัดเมืองใช้ยิงถูกเอหม่องที่หัวไหล่จนทะลุออกหลังในขณะที่เอหม่องไล่ฆ่าเยยุ่นที่

    ชายแดนเมืองน่านฝั่งตะวันออก...และเอหม่องได้เก็บลูกธนูดอกนี้ไว้เพื่อจะฆ่าปลัดเมือง.....และเมื่อ

    เอหม่องบุกเข้ามาที่บ้านขุนทัพแต่ไม่พบปลัดเมือง...เอหม่องจึงได้ใช้ลูกธนูนี้ทิ่มแทงฆ่าขุนทัพบิดา

    ของปลัดเมืองจนเสียชีวิต...บุญแทนได้เก็บลูกธนูนี้มาจากศพของขุนทัพ..และมอบให้ปลัดเมือง...ต่อ

    มาปลัดเมืองไม่สามารถยิงธนูได้....จึงมอบธนูดอกนี้พร้อมคันธนูให้ปลัดปักษ์ยิงธนูแทน....ปลัดปักษ์

    จึงได้ใช้คันธนูของปลัดเมืองยิงเอหม่องตาย.....เมื่อเอหม่องตาย..จึงเก็บลูกธนูดอกนี้มาจากศพของ

    เอหม่อง"

    ....................จากคำบรรยายจะเห็นได้ว่าเอหม่องเป็นผู้ที่ฆ่าขุนทัพ...และเอหม่องได้ถูกปลัดปักษ์

    ฆ่า...โดยยิงลูกธนูถึงสองดอกดังกล่าวฆ่าเอหม่อง...และมีสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าปลัดเมืองไม่สามารถยิง

    ธนูได้.......เพราะเหตุใด....ต้องติดตามอ่าน..คำบรรยายของลูกธนูและภาพวาดที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ไป

    เรื่อย ๆก็อาจจะจินตนาการเห็นเรื่องราวช่วงหนึ่ง.....ที่ทำให้ท่านผู้อ่านอาจปะติดปะต่อเรื่องราวได้

    ครับ.....บอกได้ว่า"งดงามและอลังการมากกับเรื่องราวของตอนนี้"................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2012
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ต่อมาเป็นเพียงจุดที่ตั้งของลูกธนูดอกที่สาม..แต่ไม่มีลูกธนูติดไว้มีแต่คำ

    บรรยายว่า "ลูกธนูดอกกุหลาบเป็นลูกธนูที่ปลัดเมืองนำดอกกุหลาบสีแดงที่อยู่รั้วจวนเจ้าเมืองน่านมา

    มัดด้วยเชือกเข้าที่ปลายแหลมของลูกธนู...และมอบไว้ให้แก่สายพิณลูกสาวคนเล็กของเจ้าเมืองน่าน..

    ให้เก็บรักษาเอาไว้เป็นคำมั่นสัญญาว่า..หากสะพานข้ามแม่น้ำน่านสร้างเสร็จเมื่อไร...ให้สายพิณนำลูก

    ธนูดอกกุหลาบนี้ไปหาปลัดเมือง..แล้วปลัดเมืองจะพาสายพิณไปสู้กับดวงอาทิตย์บนยอดเขาสูง....

    และสายพิณได้นำลูกธนูโดยเอาส่วนที่เป็นดอกกุหลาบที่ผูกไว้กับปลายแหลมของลูกธนูไปวางให้

    หนังสือทับ..เพื่อให้ดอกกุหลาบแห้งโดยที่ไม่ร่วงโรย"

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋น..เมื่ออ่านคำบรรยายจนจบ..จึงเข้าใจได้ว่ามันคือ "ลูกธนูดอก

    กุหลาบอันหมายถึงอาวุธที่ไม่ทำร้ายใคร..และได้ถูกติดตั้งไว้เหนือลูกธนูที่ใช้ยิงต่อสู้กัน..ที่พวกเขาเห็น

    และอ่านคำบรรยายเมื่อครู่นี้"

    .....................ลูกธนูดอกที่สี่ซึ่งอยู่ถัดต่ำลงมามีคำบรรยายว่า... "ลูกธนูที่ปลัดเมืองใช้ยิง

    ทำลายลูกธนูของเฮียงคี้นักแม่นธนูจากมองโกลเลียซึ่งเป็นคนของขุนนางพม่า..ในขณะที่เฮียงคี้ใช้ธนู

    ของตนยิงอีกาบนท้องฟ้า...และลูกธนูของเฮียงค้ถูกทำลาย..และทั้งลูกธนูดอกนี้และลูกธนูของเฮียงคี้

    ที่หักได้พุ่งไปปักอีกาที่บินอยู่บนท้องฟ้า...เมื่ออีกาตกลงมา...เฮียงคี้ได้เก็บลูกธนูดอกนี้จากศพ

    อีกา......ต่อมาได้นำมาใช้ยิงปลัดเมืองถูกสบักหลังทะลุใต้รักแร้เหมือนกับบุญมีถูกยิง...ทำให้ปลัด

    เมืองไม่สามารถยิงธนูของตนได้อีก.....ปลัดเมืองจึงได้มอบคันธนูและลูกธนูดอกนี้ให้ปลัดปักษ์ใช้ยิง

    เฮียงคี้.......เมื่อเฮียงคี้ตาย..ปลัดปักษ์ได้เก็บลูกธนูดอกนี้มาจากศพของเฮียงคี้"

    .....................จากคำบรรยายดังกล่าวทั้งหมดเมื่อพิจารณาแล้ว...คนที่ฆ่าเอหม่องและเฮียงคี้..

    คือ ปลัดปักษ์ที่เขาใช้คันธนูและลูกธนูของปลัดเมืองยิงคนทั้งสองตาย.....ก็ต้องขอบอกว่า

    เรื่องที่น่าสนใจ..เกี่ยวกับเหตุการณ์ให้ฟังว่า..ปลัดปักษ์ไม่เคยยิงหรือใช้ธนูมาก่อนเลย....แต่

    ทำไมจึงเด็ดชีพคนทั้งสองด้วยธนูได้.......และทำไมจึงพิชิต เฮียงคี้"ผู้มีไหวพริบล้ำเลศเป็น

    เอกการยิงธนู" ได้.......(เหตุการณ์ตอนนี้หักเหลี่ยมกันระหว่าง ผู้มีฝีมือยิงธนู กับ ผู้มีปัญญา

    โดยการใช้ปัญญสู้ฝีมือโดยเฉพาะของปลัดเมืองและปลัดปักษ์..ซึ่งเมื่ออ่านคำอธิบายเกี่ยว

    กับภาพ....อาจทำให้ผู้อ่านอยากให้ถึงเหตุการณ์จริงไว ๆ)


    ....................หันมาทางฝั่งขวาที่กาเผือกและไก่ตุ๋นมาพิจารณา..ฝั่งของคันธนูไม้สีดำอัน

    สวยงาม..ซึ่งมีลูกธนูของคันธนูดังกล่าวติดตั้งไว้และมีคำบรรยายไว้ใต้ลูกธนูเช่นกัน.....

    ....................ลูกธนูดอกแรกมีคำบรรยายว่า "ลูกธนูที่เฮียงคี้นักแม่นธนูจากมองโกลคนของ

    ขุนนางพม่า..ใช้ยิงปลัดเมือง..ในขณะที่ปลัดเมืองกำลังควบม้าหนีกองกำลังของเอหม่อง...และควบ

    ม้ากระโจนข้ามช่องเขาของเหวลึก...และปลัดเมืองได้ก้มหลบลูกธนูดอกนี้ได้...และลูกธนูดอกนี้ได้พุ่ง

    ข้ามช่องเขาไปปักที่พื้นดิน....ปลัดเมืองตามไปเก็บลูกธนูดอกนี้ไว้....ต่อมาเมื่อปลัดเมืองไม่สามารถ

    ยิงธนูได้...จึงมอบคันธนูและลูกธนูดอกนี้ให้ปลัดปักษ์......และปลัดปักษ์ได้ใช้มันยิงถูกคอหอยของ

    เฮียงคี้จนถึงแก่ความตาย...และปลัดปักษ์ได้เก็บลูกธนูนี้จากศพของเฮียงคี้"

    ....................ดอกที่สองมีคำบรรยายว่า..."ลูกธนูที่เฮียงคี้ใช้ยิงถูกท่อนขาด้านบนของปลัด

    ปักษ์..ในขณะที่เฮียงคี้กับปลัดปักษ์ดวลธนูกันที่ริมแม่น้ำน่าน...และปลัดปักษ์ได้ถูกลูกธนูยิงถูกก่อน...

    ก่อนที่ปลัดปักษ์จะยิงธนูถูกเฮียงคี้...ปลัดปักษ์ได้เก็บลูกธนูดอกนี้ไว้เป็นอนุสรณ์รำลึกถึงการดวลธนู

    ของเขากับเฮียงคี้"

    ....................ดอกที่สามมีคำบรรยายว่า.."ลูกธนูที่เฮียงคี้ใช้ยิงถูกฝ่ามือขวาของปลัดปักษ์..ใน

    ขณะกำลังง้างสายธนูของปลัดเมืองยิงเฮียงคี้..ในการดวลธนูกันที่ริมแม่น้ำน่าน....ก่อนที่ปลัดปักษ์จะ

    ยิงธนูถูกเฮียงคี้...ปลัดปักษ์ได้เก็บลูกธนูดอกนี้ไว้เป็นอนุสรณ์รำลึกถึง........การดวลธนูของเขากับ

    เฮียงคี้"...

    ....................จากคำบรรยายจะเห็นว่า......ปลัดปักษ์ถูกลูกธนูของเฮียงคี้ยิงใส่ถึงสองดอก....จน

    ไม่น่าที่จะยิงธนูโต้ตอบได้...แต่เขาก็สามารถเอาชนะเฮียงคี้ได้.....ซึ่งก่อนที่ปลัดปักษ์จะดวลธนูกับ

    เฮียงคี้นั้น.........ปลัดเมืองที่ไม่สามารถยิงธนูได้..ได้บอกวิธีบางอย่างที่ให้ปลัดปักษ์ยิงธนู

    ชนะเฮียงคี้ได้........ซึ่งถึงเหตุการณ์ตอนนั้นผู้เขียนจะบรรยายถึง..ความลึกซึ้งของปัญญาของ

    สองปลัดแห่งเมืองน่าน...ที่พิชิตยอดฝีมือที่เหนือกว่าเขาทั้งสองมากมายต่อไป.....

    ....................ดอกที่สี่เป็นสภาพลูกธนูที่หักสองท่อนมีคำบรรยายว่า "ลูกธนูของเฮียงคี้ใน

    สภาพหักกลาง เป็นลูกธนูที่เฮียงคี้ใช้ยิงอีกาบนท้องฟ้า...และในขณะที่ลูกธนูดอกนี้จะพุ่งไปถึงอีกา..

    ได้ถูกลูกธนูของปลัดเมืองที่ยิงออกไป...พุ่งเข้าใส่กลางดอกจนหักกลาง...และลูกธนูของปลัดเมือง

    และลูกธนูของเฮียงคี้ที่หักกลางได้พุ่งเข้าใส่อีกาบนท้องฟ้าจนตกลงมาสู่พื้น....เฮียงคี้ไดเก็บลูกธนูที่

    หักกลางของเขาไว้พร้อมกับลูกธนูของปลัดเมือง...และเมื่อเฮียงคี้ตายปลัดปักษ์ได้เก็บมันไว้จากศพ

    ของเฮียงคี้"

    .....................และต่อจากตัวลูกธนูทั้งสองฝ่าย..มีตัวหนังสือขนาดใหญ่เขียนกำกับไว้ว่า



    ..............................ตำนานการดวลธนู........................

    ........................................ของ....................................

    ............ปลัดเมือง มีสุข และ ปลัดปักษ์ หงษา กับ เฮียงคี้ แซ่เจ็ง.......





    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นได้พิจารณาดูตำนานการดวลธนูดังกล่าวแล้ว..พวกเขารู้สึกว่า...

    ลูกธนูแต่ละดอกที่ติดตั้ง..ยกเว้นธนูดอกกุหลาบเพียงดอกเดียว..เป็นลูกธนูที่มีคราบเลือดติด

    อยู่ทุกดอก...แสดงว่า "มันเป็นลูกธนูที่คงสภาพเดิม ๆ ไม่มีการล้างคราบเลือดแม้แต่น้อย..."....และ

    เมื่อเขาเห็นคำบรรยายที่ลูกธนูเหล่านี้ถูกยิงกลับไปกลับมา...ทำให้พวกเขาคิดว่า "คนโบราณเขาถือ

    กันเช่นนี้หรือ ..มันช่างตรงกับคำสุภาษิตที่ว่า ..หอกของใคร..คนนั้นเอาคืนไป"...และข้าง ๆ

    ของคันธนูทั้งสองฝ่ายยังมีกระบอกไม้ไผ่ใส่ลูกธนูที่ยังไม่ได้ยิงแขวนเอาไว้...คันธนูที่ใหญ่และเข็งแรง

    เช่นนี้นี่เอง..ที่ทำให้ลูกธนูมีความเร็วและแรงด้วยกำลังมหาศาล....

    ....................ตำนานการดวลธนูของพวกเขาช่างงดงามอลังการในการต่อสู้เกินกว่าความ

    รู้สึกของกาเผือกและไก่ตุ๋นจะบรรยายออกมาได้.......
    ......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      117
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2012
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ต่อจากเรื่องของตำนานการดวลธนู..กาเผือกและไก่ตุ๋นได้เดินมาอีกมุมหนึ่งของ

    ห้อง..ก็ปรากฎ ภาพเขียนด้วยสีน้ำมันขนาดใหญ่กว้างราวสองฟุตเศษและยาวราวสามฟุตเศษ

    ถึง 18 ภาพ....เป็นภาพที่บรรยายคล้ายกับเรื่องราวของ "พระเวสสันดรชาดกทั้ง 13

    กัณฑ์" .....ที่ปรากฎอยู่ติดตามเสาของศาลาวัดวาอาราม..หรือตามสถานที่ต่าง ๆภายใน

    วัด......

    ....................ภาพที่ 1 เป็นภาพของทารกน้อยซึ่งลอยอยู่เหนือผิวน้ำของแม่น้ำ..และรอบ

    ตัวของทารกน้อยมีลักษณะของน้ำหมุนวนเป็นเกลียวล้อมรอบทารกน้อย....และมีแสงสว่าง

    ดุจดวงอาทิตย์ส่องจากใต้น้ำมาที่ตัวทารกน้อยนั้น

    ....................มีคำบรรยายเขียนไว้ใต้ภาพว่า "สายฝนมารดาของทารก เมือง มีสุขได้ทำทารก

    น้อยตกลงสู่แม่น้ำน่าน..และแม่น้ำน่านที่มีชีวิตมีจิตวิญญาณได้โอบอุ้มทารกน้อยไว้..ไม่ให้จมน้ำ..

    พร้อมแสดงปาฏิหาริย์ทำน้ำหมุนวนรอบตัวทารก..เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายในน้ำไม่ให้เข้าใกล้ทารกได้..

    พร้อมกับมีแสงสว่างดุจดวงอาทิตย์จากใต้น้ำส่องแสงสว่างมาที่ทารกน้อย"

    ....................เพียงแค่ภาพแรก...กาเผือกกับไก่ตุ๋นก็ถึงกับขนลุกซู่ที่เห็นปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์

    เช่นนั้น...ทั้งมีการบรรยายถึงความมีจิตวิญญาณของแม่น้ำน่าน.....ซึ่งปาฏิหาริย์เกี่ยวกับแม่น้ำหลาย

    อย่างก็ปรากฎให้เขาทั้งสองเห็นมาบางแล้ว...เมือง มีสุขมีความสำคัญเช่นใดหรือ มีความผูกพันใดกับ

    แม่น้ำน่าน.....ที่ถึงขนาดแม่น้ำน่านได้โอบอุ้มช่วยชีวิตของเขามาตั้งแต่เขาเป็นทารก....

    .....................ภาพที่ 2 เป็นภาพที่ชายหนุ่มรูปร่างงามสง่านั่งอยู่บนหลังม้าสีดำสนิท..

    โดยม้าสีดำที่แบกร่างเขาไว้อยู่กำลังยืนอยู่บนยอดเขาสูง...และชายผู้งามสง่าผู้นั้นกำลัง

    แหงนหน้ามองจ้องมองดูดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะของเขา

    .....................มีคำบรรยายว่า "ปลัดเมือง มีสุข ได้ควบม้าสีนิลปีนไต่ขึ้นเขาไปอยู่บนยอดเขา

    สูง..เพื่อรับความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน....และได้แหงนมองดูดวงอาทิตย์ที่แผ่แสงร้อน

    แรงเพื่อจ้องมองดูสู้กับดวงอาทิตย์..และได้ค้นพบความลับของดวงอาทิตย์และแนวปรัชญาอันสูงส่ง

    ที่นี้"

    ......................กาเผือกและไก่ตุ๋นรู้สึกทึ้งกับภาพ..และคำบรรยายนี้..เขาไม่รู้ว่า.....เมือง มีสุข

    คนที่เขากำลังทำหน้าที่ให้อยู่นี้..ช่างเป็นคนกล้าหาญบ้าบิ่นและทำอะไรที่โลดโผนแปลกประหลาดเกิน

    กว่ามนุษย์คนใดจะคาดคิด...เรื่องราวของเขาแปลกและน่าสนใจ..จนกาเผือกรู้สึกว่า.."เขาอยากรู้จัก

    บุรุษผู้นี้และอยากรู้เรื่องราวของเขาทั้งหมด..ชีวิตของเมือง มีสุข ช่างน่าสนใจ....และตื่นเต้น

    มาก.....ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาเกิด...และผูกพันกับแม่น้ำน่าน..ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้..ไม่ว่าจะ

    เป็นเรื่องปัญญา..และแนวคิดของเขา...แม้กระทั่งความรักของเขา".............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2012
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ภาพที่ 3 เป็นภาพของชายหนุ่มรูปร่างสง่างามยืนอยู่บนพื้นดินเหมือนทุ่ง

    กว้างถือคันธนูที่ปล่อยลูกธนูออกจากคันธนูไป...พร้อมกับมองไปที่เป้าหมายคือ..ชายที่มีผ้า

    โพกศีรษะนั่งอยู่บนหลังม้าซึ่งอยู่ห่างจากชายหนุ่มผู้ยิงธนูพอประมาณ ...และบริเวณหัวไหล่

    ของชายที่โพกผ้ามีลูกธนูปักจนทะลุหลัง...

    .....................มีคำบรรยายว่า "เอหม่องคนของขุนนางพม่าได้ตามฆ่าเยยุ่นคนของสายฝนหรือ

    ตะละแม่ราชาวดี..โดยใช้อาวุธปืนระดมยิงเข้าใส่...มาถึงเขตเมืองน่านฝั่งตะวันออก ...ปลัดเมือง

    พยายามช่วยชีวิตเยยุ่นโดยยิงลูกธนูสกัดเอหม่องและลูกธนูได้ถูกเอหม่องที่หัวไหล่จนทะลุ

    หลัง"...........

    ......................ภาพนี้เมื่อกาเผือกและไก่ตุ๋นพิจารณา..เขาจึงเข้าใจเรื่องราวตามที่คุณยายมั่น คง

    เมือง..เล่าเรื่องให้ฟังถึงแรงแค้นเอหม่องต่อปลัดเมืองในเหตุการณ์ครั้งนี้

    โดยเอหม่องต้องการสกัดฆ่าเยยุ่นกับพวกมาตั้งแต่เมืองพม่า ลาว และเข้ามาในแผ่นดินสยาม..โดยขุน

    นางพม่าไม่ต้องการให้เยยุ่นมาส่งข่าวเรื่องการเคลื่อนไหวของขุนนางพม่า..ในการที่จะติดตามขวดแก้ว

    ทรงมะม่วงเพื่อนำไปเปิดประตูถ้ำ....ที่พวกราชวงศ์กษัตริย์พม่าได้ขนทรัพย์สินจำนวนมหาศาล..ไป

    ซ่อนไว้..เพื่อนำมาสร้างกองทัพและสร้างเมืองตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นในแผ่นดินพม่า...พร้อมทั้งกำจัด

    เมือง มีสุข..รัชทายาทชั้นปลายแถวของราชวงศ์ที่เหลือเขาเป็นคนสุดท้าย......

    .....................ภาพที่ 4 เป็นภาพของชายหนุ่มผู้สง่างามกำลัง....ส่งมอบลูกธนูที่ปลาย

    แหลมของลูกธนูมีดอกกุหลาบสีแดงซึ่งก้านดอกถูกพันด้วยเชือกติดไว้..ให้แก่หญิงสาวผม

    ยาวที่มีความสวยงามน่ารักอยู่รับลูกธนูดอกกุหลาบสีแดงไว้

    .....................มีคำบรรยายว่า "ปลัดเมือง มีสุข ได้นำดอกกุหลาบสีแดงมาผูกติดไว้กับปลาย

    แหลมของลูกธนูด้วยเชือก..เป็นลูกธนูดอกกุหลาบสีแดงอันเป็นอาวุธที่ไม่ทำร้ายใคร..และส่งมอบให้

    แก่สายพิณลูกสาวคนเล็กของเจ้าเมืองน่าน..เพื่อเป็นคำมั่นสัญญาว่า หากสะพานข้ามแม่น้ำน่านสร้าง

    เสร็จเมื่อไร........ให้สายพิณนำลูกธนูดอกกุหลาบสีแดงนี้มาให้ปลัดเมือง.......แล้วปลัดเมืองจะพา

    สายพิณไปจ้องมองสู้กับดวงอาทิตย์บนยอดเขาสูงกับเขา"

    .....................กาเผือกและไก่ตุ๋นมองภาพนี้อย่างชื่นชม...มันเป็นภาพที่แสดงออกทางความรัก

    มากกว่าในสายตาของเขา...เมื่ออ่านคำบรรยายเขาเกิดจิตนาการทางความรักคล้อยตามไปกับ เมือง มี

    สุขและสายพิณอย่างสุขล้น...ธนูดอกกุหลาบสีแดงแห่งคำมั่นสัญญา...ช่างเป็นความสง่างามทาง

    ความรัก..ซึ่งมีค่าผูกพันกันในทางความทรงจำยิ่งนัก..สายพิณลูกสาวของเจ้าเมืองน่านช่างน่ารักและ

    งดงามเมื่อกาเผือกและไก่ตุ๋นได้พิจารณาดูภาพ...ใครกันหนอช่างวาดภาพนี้ออกมา...แล้วโนรี นรา ล่ะ

    นางงามเพียงใด..ถึงทำให้ เมือง มีสุข ครวญหาแต่นาง...ทั้งที่มีคำมั่นสัญญาของลูกธนูดอกกุหลาบสี

    แดงผูกพันเขาอยู่กับสายพิณ......หรือว่าความรักของพวกเขาชายหญิงทั้งสามมีปัญหาอะไรกระนั้น

    หรือ..เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความป่วนใจให้แก่กาเผือกที่จะต้องค้นหา...ในเมื่อเขาตั้งปณิธานว่าจะค้น

    หาเรื่องราวของ.เมือง มีสุข.ทุกแง่ทุกมุม.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2012
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ภาพที่ 5 เป็นภาพของชายหนุ่มผู้งามสง่านั่งอยู่บนหลังม้าสีดำซึ่งยืนอยู่บน

    เนินดินสูง..มือขวาถือคันธนูแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า...และเบื้องล่างของเนินดินเป็น

    ลานกว้าง..เป็นภาพของชายหนุ่มผิวขาวคล้ายคนจีนยืนถือคันธนูอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มหนึ่ง

    ซึ่งใช้ผ้าโพกหัวไว้...และได้แหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า...ซึ่งบนท้องฟ้าที่สายตาของบุคคล

    ในภาพทั้งหมดต่างจ้องมองดู..เป็นภาพของอีกาตัวหนึ่งซึ่งใต้ล่างอีกาบนท้องฟ้าตัวนั้น.......

    มีลูกธนูยาวดอกหนึ่งพุ่งเข้าใส่ลูกธนูอีกดอกหนึ่ง...จนลูกธนูดอกที่ถูกพุ่งชนหักกลางอากาศ

    .....................มีคำบรรยายว่า " เฮียงคี้ แซ่เจ็ง นักแม่นธนูจากมองโกล...คนของขุนนางพม่า..

    ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มทหารพม่า..และได้ใช้ธนูยิงไปที่อีกาบนท้องฟ้า...เป็นขณะเดียวกับที่ปลัดเมือง มี

    สุขควบม้ามาที่เนินดิน...และยิงลูกธนูไปที่ลูกธนูของเฮียงคี้...ลูกธนูที่ปลัดเมืองยิงออกไปได้พุ่งชน

    เข้ากลางลูกธนูของเฮียงคี้จนหักกลางอากาศ"

    ......................กาเผือกและไก่ตุ๋นได้พบภาพสุดยอดของการยิงธนูตอนหนึ่งของเมือง มีสุขที่คุณ

    ยายมั่นเล่าให้ฟังแล้วว่า...ปลัดเมืองเรียนรู้การยิงธนูจากเฮียงคี้เรื่องการยิงธนูสกัดเป้าข้างหน้าเพียงไม่

    กี่อึดใจ...และเขาสามารถเรียนรู้การยิงธนูจากเฮียงคี้ได้โดยฉับพลัน..และได้ยิงธนูไปที่อีกาเป้าเดียวกับ

    เฮียงคี้......แต่เมืองนั้นต้องการจะยิงลูกธนูของเฮียงคี้ที่ยิงออกไปด้วย.........เขาจึงรอให้เฮียงคี้ยิง

    ลูกธนูออกไปก่อน.........และเขาจึงได้ยิงตามอย่างเต็มกำลังแรงเพื่อให้ลูกธนูของเขาทันลูกธนูของ

    เฮียงคี้....และปรากฎว่า ลูกธนูของเมืองได้พุ่งชนถูกลูกธนูของเฮียงคี้กลางอากาศจนหักสองท่อน...

    และยังได้พุ่งไปปักที่อีกาบนท้องฟ้าพร้อมกับลูกธนูของเฮียงคี้ที่หักสองท่อนนั้น......มันเป็นการยิงธนู

    ข่มขวัญที่งดงามของเมืองและกินใจแก่เฮียงคี้เป็นอย่างมาก......ที่ถูกหักเหลี่ยมด้วยวิชาการยิงธนูของ

    ตนเอง...

    ....................ภาพที่ 6 เป็นภาพของชายหนุ่มผู้สง่างามนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำ..ในขณะที่

    ม้ากำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือช่องเขาซึ่งเป็นเหวลึก...และมีลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งไล่ตาม

    เขา......โดยมีภาพของชายหนุ่มผิวขาวคล้ายคนจีนนั่งอยู่บนหลังม้า..มือถือคันธนูอยู่ที่ริม

    ปากช่องเขาของเหวลึกอีกด้านหนึ่ง....

    ....................มีคำบรรยายว่า " ปลัดเมือง มีสุข ควบม้าสีนิลหนีทหารพม่าพร้อมกับหลอกล่อให้

    ตามไปยังเหวลึก...เมื่อถึงเหวลึกนั้นปลัดเมืองได้บังคับม้าสีนิลกระโจนข้ามเหวลึกทันที..ทหารพม่าที่

    หยุดม้าไม่ทันได้ตกเหวตายทั้งคนและม้า...แต่เฮียงคี้ควบม้าไล่ตามมาทันจึงได้ยิงธนูไล่ตามหลังปลัด

    เมืองไป"

    .....................กาเผือกและไก่ตุ๋น.....หัวใจเต้นสั่นเหมือนเรื่องราวที่เขาพบเห็นเขย่าหัวใจเขา

    อย่างแรง....โดยเมื่อพิจารณาภาพของเหวลึกและม้าที่กระโจนข้ามเหวลึกนั้น..มันน่าหวาดเสียวว่าถ้า

    เมือง มีสุขบังคับม้ากระโจนข้ามไม่พ้นเขาต้องตกเหวตายทั้งคนและม้าแน่นอน.....และนอกจากนี้การ

    ที่อยู่กลางอากาศอยากที่จะหลบลูกธนูที่เฮียงคี้ยิงไล่ตามพ้น...แต่เมื่อฟังจากปากคุณยายมั่นแล้ว..

    ปรากฎว่าปลัดเมืองสามารถบังคับม้ากระโจนข้ามเหวลึกได้พร้อมกับหลบลูกธนูดอกนี้ของเฮียงคี้....

    โดยลูกธนูของเฮียงคี้ข้ามไปปักอยู่ช่องเขาอีกด้านหนึ่ง...และปลัดเมืองได้เก็บลูกธนูดอกนั้น

    ไว้..........เมือง มีสุขช่างเป็นคนกล้าหาญบ้าบิ่นและโลดโผนเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจริง ๆในความคิด

    ของกาเผือก.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      207
    • IMG_2265 (2).JPG
      IMG_2265 (2).JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      71
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2012
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ภาพที่ 7 เป็นภาพที่บุรุษผู้งามสง่าอยู่บนหลังม้าสีดำมือขวาถือคันธนูศีรษะ

    ก้มลงมองเบื้องล่างไปที่ลูกธนูที่ยิงออกไปยังเป้าหมายคือ......ชายผิวขาวคล้ายคนจีนที่นั่ง

    บนหลังม้าสีขาวที่กำลังเชิดหัว...และยกเท้าสองข้างขึ้นกลางอากาศเพื่อรับเท้าม้าสีดำ...โดย

    ชายผิวขาวคล้ายคนจีนนั้นมือขวาถือคันธนู..และเงยหน้าขึ้นมองลูกธนูที่ยิงออกไปยังเป้า

    หมายคือ......บุรุษผู้งามสง่าผู้นั้น.......ปรากฏว่าเบื้องหน้าที่ทั้งสองฝ่ายต่างมองลูกธนูนั้น...

    เป็นภาพของลูกธนูที่พุ่งชนกันจนหักสบั้นกลางอากาศเบื้องหน้าเขาทั้งสอง.....

    .....................มีคำบรรยายว่า "ปลัดเมือง มีสุข ควบม้าตามไปช่วยขุนทัพกับพวกที่ถูกเอหม่อง

    และกองกำลังพม่าล้อมอยู่...และ..ได้ท้าดวลยิงธนูกับ..เฮียงคี้ แซ่เจ็งคนแม่นธนูจากมองโกลคนของ

    ขุนนางพม่า..ต่อหน้าเอหม่องและกองกำลังพม่า...โดยเอาชีวิตและขวดแก้วทรงมะม่วงเป็น

    เดิมพัน.......การดวลธนูครั้งนี้เป็นสุดยอดการดวลธนูบนแผ่นดินสยาม..เรียกว่า"ธนูสท้านแผ่นดิน"....

    ทั้งปลัดเมืองและเฮียงคี้ต่างก็ยิงธนูเข้าใส่กันอย่างดุเดือด....จนเหลือธนูพิฆาตอยู่คนละดอก....ปลัด

    เมืองได้ควบม้าสีนิลง้างสายธนูพิฆาตเล็งเป้าไปที่เฮียงคี้...ในขณะที่เฮียงคี้ก็ควบม้าพันธุ์ดุจากมอง

    โกลง้างสายธนูพิฆาตเล็งเป้ามายังปลัดเมือง....ม้าทั้งสองฝ่ายวิ่งเข้าเพื่อชนกัน...แต่ม้าสีนิลได้

    กระโจนขึ้นสู่เวหาเพื่อโดดข้ามเฮียงคี้และม้าสีขาวพันธุ์ดุ..แต่ม้าสีขาวพันธุ์ดุได้เชิดหัวและยกเท้าขึ้นรับ

    ม้าสีนิล.ในขณะที่ม้าสีนิลลอยตัวขึ้นปลัดเมืองได้ยิงลูกธนูพิฆาตพุ่งเข้าหาเฮียงคี้ที่อยู่เบื้องล่าง...

    พร้อมกับเฮียงคี้ก็ได้ยิงลูกธนูจากเบื้องล่างเข้าใส่ปลัดเมืองที่อยู่ด้านบน...แต่ลูกธนูทั้งสองฝ่ายกับพุ่ง

    เข้าชนกันอย่างแรงและหักสบั้นเสียงดังสนั่น....พร้อมกันนั้นม้าสีนิลและม้าสีขาวได้ใช้กำลังเท้าถีบส่ง

    ใส่กัน...ทำให้ม้าสีนิลตีลังกาจนปลัดเมืองตกจากม้า...พร้อมกับม้าสีขาวก็ได้ล้มกลิ้งจนเฮียงคี้ตกจาก

    ม้าเช่นกัน....และทั้งสองฝ่ายได้ลุกขึ้นหยิบลูกธนูที่ปักอยู่ตามพื้นดินยิงเข้าใส่กันอีก....."

    .....................กาเผือกและไก่ตุ๋นยังไม่ได้ฟังคำบอกเล่าจากคุณยายมั่น คงเมืองถึงความเป็นมา

    เรื่องราวของภาพนี้มาก่อนเลย....แต่เมื่อเขาทั้งสองอ่านคำบรรยาย..เขาก็รู้สึกขนหัวลุกและตื้นเต้นอีก

    ครั้งหนึ่ง...มันคือ..ภาพการดวลธนูที่งดงามและดุดันระหว่างเมือง มีสุข กับ เฮียงคี้ แซ่เจ็ง ..ที่ไม่มีการ

    ดวลธนูครั้งไหนในประวัติศาสตร์ไทยได้จารึกไว้ถึงการดวลธนูอันสง่างามเช่นนี้มาก่อนเลย........สุด

    ยอดการทำยุทธหัตถีชนช้างกันในประวัติศาสตร์ คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระมหาอุป

    ราชา.....แต่สุดยอดการดวลธนูบนหลังม้ากัน คือ เมือง มีสุข กับ เฮียงคี้ แซ่เจ็ง....

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นอยากรู้เรื่องราวตอนนี้มากว่ามันเป็นมาอย่างไร..เขาจึงอยากกลับ

    ไปหาคุณยายมั่นเพื่อให้เล่าความ.......แต่ก็ต้องการดูภาพวาดต่อๆไปอีกจนครบ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      194
    • IMG_2266 (2).JPG
      IMG_2266 (2).JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      56
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2012
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ภาพที่ 8 เป็นภาพชายหนุ่มผู้สง่างามยืนเศร้าสลดอยู่บนแพขนาดใหญ่

    พร้อมม้าสีดำ..ซึ่งแพดังกล่าวกำลังลอยอยู่เหนือแม่น้ำ..โดยชายผู้นั้นหันกลับไปมองหมู่บ้าน

    และเมืองซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำ....

    ....................มีคำบรรยายว่า "ปลัดเมืองถูกกองกำลังพม่าฝ่ายหนึ่ง..และพวกปลัดปักษ์ฝ่ายหนึ่ง

    ติดตามไล่ล่า...จนต้องหลบหนีออกจากเมืองน่านโดยการล่องแพไปตามแม่น่ำน่าน..และกำลังยืน

    อาลัยอาวรณ์เมืองน่านและหมู่บ้านที่ตนเคยอยู่....

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นพิจารณาดูภาพพร้อมคำบรรยายก็ให้รู้สึกสลดใจไปตามภาพนั้น...

    ด้วยอารมณ์ของผู้จากลานั้นย่อมเศร้าสลดอยู่เสมอ..ไม่ว่าจะเป็นปลัดเมืองหรือใครก็ตาม...ที่มีเหตุให้

    ต้องจากลาถิ่นที่อยู่ของตนโดยที่ตนเองยังไม่อยากจากไป..เขาทั้งคู่จึงเข้าใจความรู้สึกของ เมือง มีสุข

    ในยามนี้ตามภาพนั้น......

    ....................ภาพที่ 9 เป็นภาพของชายหนุ่มผู้สง่างามได้ใช้ผ้าเช็ดเลือดที่บาดแผลที่อยู่

    ตามร่างของนกสีขาวตัวหนึ่งบนแพที่จอดนิ่งอยู่ริมแม่น้ำ..

    ....................มีคำบรรยายว่า "ในขณะที่ปลัดเมืองล่องแพหนีไปตามลำแม่น้ำน่าน...ได้เห็นอีกา

    หลายตัวไล่จิกตีนกกาเผือกจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและตกลงในแม่น้ำน่าน..ปลัดเมืองได้กระโดดน้ำลง

    ไปช่วยนกกาเผือก และนำมันขึ้นมาบนแพ..พร้อมทั้งรักษาพยาบาลช่วยชีวิตจนมันรอดตาย"

    ....................กาเผือกได้พิจารณาดูภาพนี้อยู่นาน..ด้วยความรู้สึกบางอย่างในตัวเขาผูกพันกับ

    ภาพนี้มาก...เหมือนเขาจะรำลึกอะไรบางอย่างได้อย่างลางเลือนว่า "เขาเอง คือ เจ้านกกาเผือกตัว

    นั้นที่ เมือง มีสุข กำลังเช็ดบาดแผลให้มันอยู่ตามภาพนั้น"

    ....................เมือง มีสุข ไม่ใช่ผู้ที่กล้าหาญบ้าบิ่นโลดโผนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ..แต่จิตใจเขา

    กลับมีเมตตาต่อสัตว์ตัวน้อย..ที่ยังไม่ถึงคาดตัวนั้น..ความรู้สึกของกาเผือกเมื่อได้ดูภาพนี้..เขารู้สึก

    อบอุ่นมาก.................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265.JPG
      IMG_2265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      40
    • birds_fly.gif
      birds_fly.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.8 KB
      เปิดดู:
      213
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2012
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ภาพที่ 10 เป็นภาพของชายหนุ่มผู้งามสง่าได้คุกเข่าหมอบก้มลงกราบแทบ

    เท้าพระภิกษุชรารูปร่างผอมสูงขณะที่ยืนอยู่ โดยมือทั้งสองของเขาแบจับที่เท้าทั้งสองของ

    พระภิกษุรูปนั้น..และ หน้าผากของเขาจรดลงแตะแทบเท้านั้นอันเป็นภาพที่แสดงการกราบ

    คารวะแสดงความเคารพอย่างสูงสุดที่ชายผู้นั้นมีต่อพระภิกษุดังกล่าว........

    ....................มีคำบรรยายว่า "ปลัดเมืองได้หนีจากเมืองน่านเดินทางตามลำน้ำน่านเข้าสู่เส้นทาง

    ที่แม่น้ำปิง วัง ยม และ น่าน มารวมกันกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา..และล่องแพมาตามลำน้ำเจ้า

    พระยาจนถึงบริเวณปากแม่น้ำท่าจีน..บริเวณปากคลองมะขามเฒ่า..อันเป็นที่ตั้งของวัดอู่ทองคลอง

    มะขามเฒ่าชื่อขณะนั้น...และหลวงปู่ศุขแห่งวัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่าได้เมตตาต่อเขารับเขาเป็น

    ศิษย์..ช่วยเหลือดัดนิสัยและอบรมสั่งสอนเขา..จนเขารู้สึกรักและเคารพหลวงปู่ศุขอย่างสูง....ก่อนที่

    เขาจะจากลาจากหลวงปู่ศุข..เขาได้ก้มลงกราบแทบเท้าของหลวงปู่ศุขเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากลา...

    อันเป็นการให้ความเคารพต่อหลวงปู่ศุขอย่างสูงสุด......("วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า"ปัจจุบันเปลี่ยน

    เป็น"วัดปากคลองมะขามเฒ่า")

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นดูภาพต่าง ๆจนมาถึงภาพที่ 10 นี้ เขาทั้งสองถึงกับตกใจติ้นเต้น

    และขนลุกซู่ไปทั้งตัว...ด้วยภาพที่เขาเห็นและคำบรรยายถึงพระภิกษุรูปนั้น คือ หลวงปู่ศุข เกสโร

    แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งอยู่ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท.ซึ่งท่าน

    เป็นพระอาจารย์ของเสด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระ

    จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี และยังเป็นพระเชษฐาของพระบาทสม

    เด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี แต่ต่างพระมารดากัน...ไม่เคยมี

    ภาพเช่นนี้ปรากฏอยู่ในจังหวัดชัยนาท....เมือง มีสุข ไปเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ศุขตั้งแต่เมื่อ

    ไร..เขาหนีไปไกลถึงจังหวัดชัยนาทได้อย่างไร...ระหว่างเขากับหลวงปู่ศุขมีความผูกพันกัน

    เช่นไรจึงเกิดภาพนี้ขึ้น......

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นพิจารณาภาพนี้อยู่นานด้วยความตื่นเต้นเป็นที่สุด...

    เพราะหลวงปู่ศุขเป็นปูชนียบุคคล....ที่ชาวจังหวัดชัยนาทกราบไหว้บูชาและเคารพอย่าง

    สูง.....เขาทั้งสองคิดว่าจะต้องนำเรื่องนี้กลับไปบอกคนชัยนาทให้รับรู้ถึงภาพนี้...เพราะว่า

    ภาพนี้เป็นภาพปริศนาอันสำคัญที่ท้าทายพวกเขาให้ค้นหาความจริงและความหมายของมัน

    ว่า..เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร....เพราะมันคือเรื่องราวอันหนึ่งที่เกิดขึ้นในจังหวัดชัยนาท...ที่

    ยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยมาก่อน.....หลังจากนั้นเขาจึงได้พิจารณาภาพต่อไป.......

    ....................ภาพที่ 11 เป็นภาพของแพแตกกลางแม่น้ำที่เชี่ยวกรากโดยมีท่อนซุงท่อน

    ใหญ่...พุ่งเข้าชนกระแทกแพ....ในขณะที่ชายหนุ่มผู้งามสง่าและม้าสีดำต่างแหวกว่ายนำอยู่

    กลางแม่น้ำ......

    ....................มีคำบรรยายว่า "หลังจากที่ปลัดเมืองกราบลาหลวงปู่ศุข..พร้อมกับถือจดหมายของ

    หลวงปู่ศุขที่มีถึงเสด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์เพื่อฝากเขาไว้เป็นคนของเสด็จในกรม..โดยหลวง

    ปู่ศุขเชื่อว่ากองทัพเรือแห่งสยามที่พระองค์ท่านเป็นผู้บัญชาการ...จะนำพาเขาสู่แดนพม่า....และในคืน

    วันจันทคราสหรือราหูอมจันทร์...หลวงปู่ศุขบอกว่าเป็นฤกษ์ของเขาในการเดินทาง...ที่จะต้องผ่าน

    อุปสรรคของคืนนี้ไปให้ได้..ไม่เช่นนั้นจะไม่มีกษัตริย์พม่าเกิดขึ้นในยุคนี้เลย...หลวงปู่ศุขบอกเขาว่าแม่

    น้ำน่านที่รวมอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา...จะช่วยเขาอีกแรงหนึ่ง...หากเขาไม่สามารถฝ่าเคราะห์กรรมของ

    คืนวันจันทคราสไปได้...ชะตาจะนำพาเข้าสู่ดินแดนแห่งดอกทานตะวัน..ดังนั้นปลัดเมืองจึงเดินทาง

    จากวัดปากคลองในคืนจันทคราสล่องแพไปตามลำน้ำเจ้าพระยา...เพื่อไปหาเสด็จกรมหลวงฯที่เมือง

    หลวง...แต่ระหว่างทางได้เกิดมีน้ำป่าหลากไหลเชี่ยวพัดพาเอาท่อนซุงใหญ่กระแทกจนแพแตก...โดย

    ที่จิตวิญญาณของแม่น้ำน่านไม่อาจต้านทานภัยครั้งนี้ได้ด้วยเป็นกรรมของพม่า..ที่จะต้องสิ้นกษัตริย์ใน

    ยุคนั้น.....ปลัดเมืองและม้าสีนิลจึงต้องว่ายน้ำเข้าหาฝั่งกลางน้ำเชี่ยวกราก และจดหมายของหลวงปู่

    ศุขได้จมหายไปในแม่น้ำเจ้าพระยา ณ เหนือเมืองชัยนาท"

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นค่อย ๆซึมซับเหตุการณ์จากภาพและคำบรรยายด้วยคุณยายมั่นนั้น

    ยังเล่าเหตุการณ์เรื่องราวของเมือง มีสุขยังไม่ถึงตอนนี้....เขาจึงรู้เรื่องราวเพิ่มขึ้นมาจากคำบรรยาย

    นี้...ซึ่งเป็นเรื่องชวนให้ติดตามชีวิตและประวัติของเขาเป็นอย่างยิ่ง............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • art_251723.jpg
      art_251723.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.1 KB
      เปิดดู:
      166
    • IMG_1387.JPG
      IMG_1387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.7 KB
      เปิดดู:
      43
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2012
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ภาพที่ 12 เป็นภาพของชายหนุ่มผู้งามสง่ามีลูกธนูดอกหนึ่งปักอยู่ตรงสบัก

    หลังทะลุไปใต้รักแร้ขณะนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำ..และมีชายหนุ่มผิวขาวคล้ายคนจีนนั่งอยู่บน

    หลังม้าสีขาวถือคันธนูอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มคนแรกห่างกันระยะพอประมาณ...

    .....................มีคำบรรยายว่า "หลังจากปลัดเมืองได้หนีจากเมืองน่านไป และได้กลับมาอีกที่

    เมืองน่าน.......เมื่อรู้ว่าขุนทัพบิดาของตนเสียชีวิตและถูกเอหม่องฆ่าตาย..จึงได้ติดตามหาเอหม่อง

    และกองกำลังพม่าเพื่อแก้แค้นด้วยความอาฆาต..และได้ถูกเฮียงคี้นักแม่นธนูจากมองโกลคนของขุน

    นางพม่า..ซึ่งซุ่มอยู่ด้านหลังยิงธนูเข้าใส่..ลูกธนูได้พุ่งเข้าปักสะบักหลังทะแยงออกทะลุใต้รักแร้..เช่น

    เดียวกับที่เฮียงคี้ยิงถูกบุญมี...เหตุการณ์บาดเจ็บครั้งนี้ทำให้ปลัดเมืองไม่สามารถยิงธนูได้อีกในขณะ

    นั้น...เขาจึงมอบคันธนูและลูกธนูให้ปลัดปักษ์เพื่อให้ยิงธนูแทนเขาในการดวลธนูกับเฮียงคี้คราวต่อ

    ไป.."

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นรู้มาตลอดจากคำบอกเล่าของคุณยายมั่นว่า...ปลัดเมืองเป็นคน

    เจ้าปัญญา..และจะใช้ปัญญาทุกครั้งในการทำการสิ่งใด...แต่คราวนี้เป็นภาพที่เขาพลาดท่าถูกเฮียงคี้ยิง

    ลูกธนูเข้าใส่จนทำให้เขาไม่สามารถยิงธนูได้...มันมีเงื่อนงำเช่นใดหรือ...ที่เขามีวันพลาด.....ซึ่งกา

    เผือกคงต้องติดตามรู้เรื่องราวต่อไป....

    ....................ภาพที่ 13 เป็นภาพของชายหนุ่มผู้งามสง่าลอยคออยู่กลางแม่น้ำ..โดยมี

    เลือดไหลออกจากตัวจนน้ำบริเวณนั้นแดงไปด้วยเลือด..พร้อมกับมีภาพของกลุ่มคนโพกหัว

    ด้วยผ้า..ซึ่งอยู่บนฝั่งถืออาวุธปืนเล็งมาที่ชายหนุ่มคนนั้น..

    ....................มีคำบรรยายว่า "ปลัดเมืองถูกเอหม่องและกองกำลังพม่าไล่ยิงจากฝั่งตะวันออกของ

    แม่น้ำน่าน..จนหนีลงไปในแม่น้ำน่านและว่ายข้ามฝั่งเพื่อไปฝั่งตะวันตกที่ตั้งของเมืองน่าน..และขณะที่

    ลอยคออยู่กลางแม่น้ำน่าน...ได้ถูกเอหม่องกับกองกำลังพม่าซึ่งอยู่บนฝั่งตะวันออกระดมยิงเข้า

    ใส่.......จนได้รับบาดเจ็บเลือดไหลออกแดงฉานไปทั่วบริเวณนั้น"

    ....................มาถึงภาพนี้ ...กาเผือกเริ่มคิดถึงภาพที่เขาเห็นในแม่น้ำน่านเป็นลาง ๆ ก่อนที่เขาจะ

    มาพบพวงผกาที่โรงแรม..ตอนที่เขาอธิษฐานต่อแม่น้ำน่านว่าหากแม่น้ำน่านมีจิตวิญญาณขอให้ช่วยนำ

    ทางให้เขาพบเรื่องราวที่เขาจะกระทำตามคำของหนังสือที่เมือง มีสุขเขียนถึง...แล้วเขาก็เห็นภาพของ

    ชายหนุ่มคนหนึ่งเลือดแดงฉานอยู่กลางลำน้ำ...เขาคิดว่า..ภาพที่แม่น้ำน่านแสดงให้เขาเห็นก็คือภาพ

    นี้เป็น "เมือง มีสุข"นี่เอง....

    ....................ทำไมเขาถึงหมดสภาพของนักสู้ผู้บ้าบิ่นแล้วทรนงโลดโผนเช่นนี้..หรือเป็นกลอุบาย

    ใดที่เขาต้องว่ายหนีเพื่อเป็นเป้านิ่งอยู่กลางลำน้ำน่าน...เขากับปลัดปักษ์คิดการสิ่งใดกับ...การลงทุน

    ด้วยชีวิตเพื่อต่อสู้กับเอหม่อง เฮียงคี้ และกองกำลังพม่าเช่นนี้...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      162
    • IMG_2267.JPG
      IMG_2267.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      49
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2012
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ภาพที่ 14 เป็นภาพที่ชายหนุ่มผู้สง่างามที่กำลังลอยคออยู่กลางแม่น้ำ

    พร้อมกับเลือดที่ไหลออกจนแดงฉานบริเวณน้ำนั้น......ได้ชูขวดแก้วรูปทรงมะม่วงในมือขึ้น..

    ในขณะที่มีนกสีขาวตัวหนึ่งได้บินโฉบลงมาใช้ปากจิกคาบที่คอเสื้อของของเขา..พร้อมกับ

    กระพือปีกบินขึ้น..และมีแสงสว่างดุจดวงอาทิตย์ส่องจากใต้แม่น้ำน่านมาที่ร่างของชายหนุ่ม

    คนนั้น.....

    .....................มีคำบรรยายว่า "ปลัดเมืองได้ถูกเอหม่องกับกองกำลังพม่ายิงถูกจนได้รับบาดเจ็บ

    เลือดไหลออกจากร่างไหลลงสู่แม่น้ำน่านจนแดงฉาน..ในขณะที่กำลังลอยคออยู่ในแม่น้ำน่าน....และ

    เมื่อกำลังจะจมลงไปในแม่น้ำน่านปลัดเมืองได้ชูขวดแก้วรูปทรงมะม่วงขึ้นให้นกกาเผือกดู..ในขณะที่

    นกกาเผือกบินโฉบมาจิกคาบที่คอเสื้อเขาและพยายามกระพือปีกบินเพื่อจะดึงร่างของปลัดเมืองขึ้นจาก

    แม่น้ำน่านไม่ให้จมน้ำ....ในขณะนั้นได้มีแสงสว่างดุจดวงอาทิตย์ส่องมาจากใต้น้ำมายังร่างของปลัด

    เมือง..ก่อนที่เขาจะจมลงไปในแม่น้ำน่านและหายสาบสูญไป...ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกแม้กระทั่งศพ

    ของเขา...จึงไม่มีผู้ใดสรุปได้ว่าแท้จริงแล้วปลัดเมืองยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วในสมัยนั้น...."

    .....................มันทำให้เกิดความลึกซึ้งเข้าไปในหัวใจของผู้ที่ได้พบเห็นภาพนี้เมื่อได้ดูคำบรรยาย

    แล้ว..นกกาเผือกผู้มีกำลังอันน้อยนิดไม่สามารถที่จะดึงชายผู้นั้นให้ขึ้นจากน้ำได้..แต่มันก็เพียร

    พยายามที่จะช่วยเขา...ชายหนุ่มและนกตัวนี้มีความผูกพันอันใดหรือ..ภาพนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรัก

    ความผูกพันระหว่างนกกับคน....กาเผือกเห็นภาพนี้แล้วเขานึกถึงภาพที่เขาเห็นในแม่น้ำน่านอย่าง

    ชัดเจนก่อนที่เขาจะพบกับพวงผกา...ว่ามันคือภาพเดียวกันที่แม่น้ำน่านทำปาฏิหาริย์ให้เขาเห็น...หาก

    กาเผือกระลึกชาติได้อย่างชัดเจน....เขาจะรู้ได้ทันทีว่า "นกกาเผือกในภาพนั้น คือ ตัวของเขาเองซึ่ง

    เกี่ยวพันกับภาพที่ 9 ตอนที่เมือง มีสุข ได้ช่วยชีวิตนกกาเผือกตัวนั้นเอาไว้...ซึ่งเขาก็ได้รู้สึกเพียงลาง

    ๆ"...แต่จะเป็นด้วยสาเหตุใดไม่อาจทราบได้...ความรู้สึกสงสารชายหนุ่มที่ชื่อเมืองในภาพและความ

    คับแค้นใจและเสียใจของนกกาเผือกที่ไม่อาจช่วยเหลือเขาได้...ความรู้สึกของนกกาเผือกตัวนั้นได้ถูก

    ถ่ายทอดเข้าสู่จิตใจของกาเผือกเหมือนต้องมนต์สะกดทำให้เขาถึงกับหลั่งน้ำตาคลอเบ้าให้กับภาพนี้

    ด้วยความสลดใจ...........

    ....................ภาพที่ 15 เป็นภาพของชายหนุ่มที่หล่อเหลางดงามคนหนึ่งถือคันธนู..เบื้อง

    หน้าของชายหนุ่มห่างกันระยะพอประมาณเป็นภาพของชายอีกคนหนึ่งที่โพกผ้าที่หัว...ได้

    ถูกลูกธนูปักอยู่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายอันเป็นที่ตั้งของหัวใจของเขาถึงสองดอก....

    ....................มีคำบรรยายว่า "ปลัดเมืองได้มอบคันธนูและลูกธนูให้แก่ปลัดปักษ์..เมื่อเขาไม่

    สามารถยิงธนูได้ในขณะนั้น...ปลัดปักษ์จึงใช้ธนูยิงถูกเอหม่องเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายทะลุหัวใจถึง

    สองดอก...เพื่อล้างแค้นให้กับบุญมีเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและผู้ใต้บังคับบัญชาของ

    เขา...และล้างแค้นให้แก่ขุนทัพบิดาของปลัดเมือง..โดยลูกธนูดอกแรกที่ยิงถูกเป็นลูกธนูของปลัด

    เมืองที่เอหม่องนำมาใช้แทงบุญมีถึงแก่ความตาย..และปลัดปักษ์ได้เก็บลูกธนูดอกนี้จากศพบุญมีมาใช้

    ยิงเอหม่อง....และลูกธนูดอกที่สองเป็นลูกธนูของปลัดเมืองที่ปลัดเมืองยิงถูกหัวไหล่เอหม่องตอนที่เอ

    หม่องไล่ล่าเยยุ่น...และเอหม่องได้เก็บลูกธนูดอกนี้ไว้และได้นำมาแทงฆ่าขุนทัพบิดาของปลัดเมืองจน

    ถึงแก่ความตาย...ตอนที่ตามหาปลัดเมืองแล้วไม่พบ.....ปลัดปักษ์เป็นผู้เก็บลูกธนูดอกนี้นำมาให้ปลัด

    เมือง.....และเมื่อปลัดเมืองยิงธนูไม่ได้จึงมอบให้ปลัดปักษ์ใช้ล้างแค้นเอหม่องแทนตน.."

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นรู้สึกทึ้งกับลูกธนูที่ต่างฝ่ายต่างก็เก็บลูกธนูที่ทำให้เกิดความเจ็บ

    แค้นเอาไว้..เพื่อคืนให้กับฝ่ายที่ทำให้ขุ่นแค้น....คนสมัยก่อนช่างคิดช่างจดจำและสร้างคติการแก้แค้น

    ไว้อย่างมีความหมายเหลือเกิน.....กาเผือกและไก่ตุ๋นรู้เรื่องราวขึ้นมากมายจากภาพเหล่านี้..เขาจึง

    เพียรพยายามจดจำเรื่องราวต่าง ๆเอาไว้.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      170
    • A4764877-20.jpg
      A4764877-20.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.1 KB
      เปิดดู:
      46
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2012
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ภาพที่ 16 เป็นภาพของชายหนุ่มที่หล่อเหลางดงามถือคันธนูโดยที่มือซ้าย

    ของเขามีลูกธนูดอกหนึ่งปักอยู่จนทะลุ...และท่อนขาก็มีลูกธนูอีกดอกหนึ่งปักทะลุ...และ

    เบื้องหน้าของชายผู้นั้นห่างพอประมาณในระยะยิงธนูเป็นชายผิวขาวคล้ายคนจีนถือคันธนู

    อยู่..และที่คอหอยมีลูกธนูดอกหนึ่งปักอยู่จนทะลุลำคอไปด้านหลัง......

    ....................มีคำบรรยายว่า"ปลัดปักษ์ได้รับมอบคันธนูและลูกธนูจากปลัดเมืองตอนปลัดเมือง

    ไม่สามารถยิงธนูได้..นำมาดวลธนูกับเฮียงคี้แทนปลัดเมือง...ที่ริมแม่น้ำน่าน..ปลัดปักษ์ยิงธนูเป็นครั้ง

    แรก..และยิงพลาดเป้าไม่ถูกเฮียงคี้ในตอนแรก...ทำให้เฮียงคี้ซึ่งระแวงการยิงธนูของปลัดเมืองเพียง

    อย่างเดียว...ไม่ได้ระแวงการยิงธนูของปลัดปักษ์...เฮียงคี้จึงประมาทฝีมือการยิงของปลัดปักษ์...และ

    ยิงธนูให้ถูกท่อนขาบนของปลัดปักษ์เป็นการเย้ย...เพื่อตัดกำลังขา...และเมื่อปลัดปักษ์ง้างสายคันธนู

    ด้วยมือซ้ายเพื่อยิงเฮียงคี้...ก็ถูกเฮียงคี้ยิงลูกธนูเข้าใส่ที่มือซ้ายขณะกำลังจะปล่อยลูกธนู..เพื่อไม่ให้

    ปลัดปักษ์ง้างดึงสายธนูได้...เฮียงคี้คิดว่าปลัดปักษ์ไม่สามารถดึงสายธนูเพื่อยิงได้..จึงประมาทไม่

    ระวังตัว..ซึ่งเป็นไปตามแผนของปลัดเมืองที่บอกปลัดปักษ์ไว้ว่าจะชนะเฮียงคี้ผู้เป็นเอกการยิงธนูได้

    ต้องทำให้เขาประมาท..ในฝีมือของปลัดปักษ์......เมื่อเฮียงคี้พบว่าปลัดปักษ์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่มีฝีมือสูสี

    กับเขา....เขาจึงไม่ระวังตัว....ปลัดปักษ์เมื่อถูกยิงที่มือซ้ายในขณะกำลังปล่อยลูกธนู..เขาได้ทนความ

    เจ็บปวด...และตั้งมั่นในการยิงธนูเหมือนกับนิสัยของเขาที่ทำอะไรจะตั้งใจทำอย่างจริงจัง....และได้

    เล็งไปที่คอหอยของเฮียงคี้..ขณะเขากำลังหัวเราะเยาะเย้ยการยิงธนูของปลัดปักษ์...ปลัดปักษ์จึงได้

    ปล่อยลูกธนูไป..ลูกธนูได้พุ่งอย่างแรงเจาะเข้าคอหอยของเฮียงคี้จนทะลุและถึงแก่ความตายทันที....

    ลูกธนูที่ปักอยู่ที่คอหอยของเฮียงคี้เป็นลูกธนูของเฮียงคี้เอง..คือ ลูกธนูที่เฮียงคี้ใช้ยิงปลัดเมือง..ตอน

    ที่ปลัดเมืองควบม้าหนีกองกำลังพม่าเหิรข้ามช่องเขาชายแดนเมืองน่านฝั่งตะวันออก...และลูกธนูดอก

    นี้ได้พลาดเป้าพุ่งเลยไปปักที่พื้นดินของอีกช่องเขาหนึ่ง...ปลัดเมืองจึงเก็บลูกธนูดอกนี้ไว้ว่าจะเก็บไว้

    เป็นที่ระลึก..และได้พูดจาทากถางเฮียงคี้ว่า"วิชาการยิงธนูนั้นเขาเรียนรู้มาจากเฮียงคี้ตอนที่ยิงอีกาตก

    มาจากท้องฟ้านั่นเอง".......

    .....................ตามภาพและคำบรรยายกาเผือกและไก่ตุ๋นก็ถึงกับนิ่งอึ้งที่พบว่า.....เฮียงคี้ผู้มี

    ไหวพริบล้าเลิศเป็นเอกในการยิงธนู..กลับถูกปลัดปักษ์ที่ไม่ใช่นักยิงธนูหรือแม่นธนูดุจเขา..ยิงลูกธนู

    ของเฮียงคี้เองไปปักที่คอหอย...ความประมาทย่อมทำให้คนพินาศมาแล้วไม่น้อย...เฮียงคี้ยอดฝีมือก็

    คงต้องมาตายเพราะความประมาทของตน...การยิงธนูของปลัดปักษ์ครั้งนี้ทำให้เห็นว่า..ปลัดปักษ์มี

    คุณสมบัติของยอดคนเช่นกัน..คือ..ความตั้งมั่นที่ไม่เคยยิงธนูมาก่อน..แต่กลับทำได้ดีเหมาะสมกับ

    สถานการณ์...ความอดทนที่เขาทนต่อความเจ็บปวดที่ได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูของเฮียงคี้ที่ต้นขาขา

    และมือซ้าย..เขาข่มความเจ็บปวดยิงลูกธนูสวนออกไปได้..ใจของปลัดปักษ์ต้องเด็ดเดี่ยวมาก.....กา

    เผือกเห็นแต่ความเด็ดเดี่ยวบ้าบิ่นโลดโผนทรนงของปลัดเมืองที่ฟังจากคุณยายมั่นเล่าให้ฟังกับดูศึกษา

    ตามภาพมาโดยตลอด...แต่ภาพนี้ทำให้เขาเห็นความรู้สึกของปลัดปักษ์ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ

    ในการยิงธนู...เขาจึงเริ่มศรัทธาปลัดปักษ์อีกคนหนึ่ง..ต่อจากปลัดเมือง......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      166
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2012
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ภาพที่ 17 เป็นภาพของสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง

    ....................มีคำบรรยายว่า "ปลัดเมืองได้สั่งเสียให้ปลัดปักษ์นำทรัพย์สินเงินทองและแหวน

    ปลอกมีดทองคำจากพม่าของเขาและขุนทัพทั้งหมด...นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสะพานข้าม

    แม่น้ำน่าน..ก่อนที่เขาจะจมหายสาบสูญไปในแม่น้ำน่าน..โดยจุดที่สร้างสะพาน คือ จุดที่ปลัดเมืองจม

    หายไปในแม่น้ำน่าน...และสะพานแห่งนี้ทีเดียวที่มีการตั้งเสาเอกเหมือนกับการสร้างบ้าน...ตรงจุดที่

    ปลัดเมืองจมหายไป..สะพานนี้อยู่บริเวณหน้าค่ายกองพันทหารของจังหวัดน่าน".....

    .....................กาเผือกและไก่ตุ๋นเมื่อเห็นภาพในสะพานก็ถึงบางอ้อ...ก็คือสะพานที่เขาขับรถข้าม

    ฝาก..ไปฝั่งตะวันออกกับพวงผกาที่บ้านคุณยายมั่นนั่นเอง...และเขาก็จะต้องข้ามฝากอีกในตอนเย็นนี้

    ขากลับบ้านคุณยาย...เขาจึงรู้สึกว่า..สะพานแห่งนี้มีความหมาย..ที่คนเมืองน่านในสมัยนั้น..ไม่ว่าจะ

    เป็นคำมั่นสัญญาระหว่าง ปลัดเมืองและสายพิณเกี่ยวกับลูกธนูดอกกุหลาบ...หรือการติดต่อสัญจรของ

    สองฝั่ง..ที่ทั้งเจ้าเมืองน่าน..ขุนแสง ปลัดปักษ์ ร้อยตำรวจตรีเวียง...รวมทั้งชาวบ้านทั้งสองฝั่ง......

    อยากให้มีขึ้น..เพื่อความเจริญของเมืองน่าน...ในที่สุดมันก็สามารถทำได้ในสมัยนั้น..เพราะทรัพย์สิน

    ของปลัดเมืองและขุนทัพนั่นเอง....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มีนาคม 2012
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ภาพที่ 18 ภาพสุดท้ายเป็นภาพของสาวน้อยที่สวยงามและน่ารักมาก..นาง

    กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำพร้อมกับมือถือลูกธนูที่มีดอกกุหลาบแห้งพันผูกไว้ที่ปลายแหลม

    ของลูกธนู...โดยม้าตัวนั้นได้ยืนอยู่บนยอดเขาสูง..พร้อมกับมีดวงอาทิตย์อยู่ตรงเหนือหัวส่อง

    แสงมายังสาวน้อยและม้านั้น...ใบหน้าของนางตรงบริเวณดวงตามีหยาดน้ำตาไหลพรากออก

    มาจากดวงตาทั้งคู่อาบแก้ม..มันเป็นภาพของสาวน้อยผู้น่ารักกำลังอยู่ในความเศร้าโศก

    เสียใจ......

    ....................มีคำบรรยายว่า "หลังจากที่ปลัดเมืองจมน้ำหายสาบสูญไปในแม่น้ำน่านหลังจากที่มี

    แสงสว่างดุจดวงอาทิตย์ส่องมาจากใต้น้ำลึกนั้น...ปลัดปักษ์ได้นำทรัพย์สินของขุนทัพและปลัดเมือง

    ซึ่งเป็นแหวนปลอกมีดทองคำจากพม่า..มาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำน่าน...เมื่อ

    สะพานข้ามแม่น้ำน่านสร้างเสร็จ..คำมั่นสัญญาของปลัดเมืองที่ให้ไว้แก่สายพิณ..ว่า"เมื่อสะพานข้าม

    แม่น้ำน่านสร้างเสร็จเมื่อไร..เขาจะพาสายพิณขึ้นหลังม้าไปจ้องมองสู้กับดวงอาทิตย์กับปลัดเมืองบน

    ยอดเขาสูง"...แต่เมื่อปลัดเมืองหายสาบสูญไป..จึงไม่สามารถทำตามคำมั่นสัญญาได้...แต่ปลัดเมือง

    ได้มอบม้าสีนิลไว้ให้แก่ปลัดปักษ์เพื่อมอบให้แก่สายพิณไว้นำพานางขึ้นสู่ยอดเขาสูง....ม้าสีนิลได้พา

    สายพิณขึ้นมาบนยอดเขาสูง..เป็นขณะเดียวกับยามเที่ยงวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นสู่จุดสูงสุดเหนือหัวของ

    นาง...นางได้แหงนหน้าจ้องมองดูดวงอาทิตย์...อยู่นานและนางก็ได้พบจุดดับของดวงอาทิตย์จุดเล็ก

    ๆ...ในดวงอาทิตย์นั้นเช่นเดียวกับปลัดเมือง....นางจึงค้นพบความลับของดวงอาทิตย์ในยุคนั้นเช่น

    เดียวกับปลัดเมือง....และนางได้จ้องมองดูไปทั้งสี่ทิศทั่วขุนเขาที่นางสามารถมองไปได้ไกลแสน

    ไกล...และนางก็คล้อยตามปรัชญาของปลัดเมืองที่ว่า.."การครอบครองยึดถืออะไรด้วยมือช่างได้น้อย

    สิ่งนักเหมือนกับที่ข้าถือได้เพียงขวดแก้วในนี้...แต่การครอบครองอะไรด้วยสายตาข้าสามารถครอบ

    ครองมันได้เท่าที่สายตาของข้าจะมองไปได้ไกลแสนไกลโดยไม่ต้องแย่งชิงกับผู้ใด"......สายพิณนาง

    ได้เศร้าโศกเสียใจ..และคิดถึงแต่ปลัดเมืองจนน้ำตาไหลรินอาบแก้ม.......นางได้รำพึงรำพันถึงเขา

    ตลอดเวลาที่อยู่บนยอดเขา.......เพราะปลัดเมืองเป็นดุจคนรักและวีรบุรุษในดวงใจของนางที่

    นางไม่มีวันลืมเขาออกไปจากใจ.....ปลัดเมืองจะอยู่ในความทรงจำของนางตลอดไป...และ

    ในที่สุดนางก็พบปรัชญาที่เหนือกว่าปลัดเมืองเรื่องการครอบครอง......นางพูดว่า "ปลัดเมือง

    เจ้าครอบครองสิ่งใด ๆด้วยสายตา..เจ้าก็ครอบครองได้เพียงเท่าสายตาของเจ้าจ้องมอง....

    แต่ข้าครอบครองสรรพสิ่งด้วยใจและความทรงจำ....ข้าย่อมครอบครองสรรพสิ่งได้เท่าที่ข้า

    จะคิดถึงมัน...ไม่ว่าจะเป็นอดีต...ปัจจุบัน..หรืออนาคต...ข้าครอบครองได้เสมอด้วยความคิด

    ของข้าเอง..แม้แต่ตัวเจ้าที่ไม่มีอยู่ ณ ที่นี้..ข้าก็ครอบครองเจ้าอยู่ในความทรงจำของข้า

    ตลอดไป"...นางพูดจบก็ร่ำไห้ออกมาดุจคนอ่อนแอ...ผู้พ่ายแพ้ต่อโลก........อย่างน่า

    สงสาร..............

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นมองดูภาพและคำบรรยายเขารู้สึกสะเทือนใจในความรักของสาย

    พิณกับภาพนี้มาก....เขารู้สึกสงสารนางอย่างจับใจ...เมื่อมองดูภาพที่มีหยาดน้ำตาไหลออกมาดุจ

    ภาพนี้มีชีวิตจริง...ผู้ใดได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นคงระงับใจสงสารนางไว้ไม่อยู่......

    .....................ภาพเขียนทั้ง 18 ภาพ ภาพตรงมุมขวาด้านล่างของภาพ..จะมีภาพเขียนของลูก

    ธนูดอกกุหลาบสีแดงสด..เขียนทะแยงมุมปิดไว้...โดยมีลักษณะดอกกุหลาบอยู่ด้านบน..และ

    ใต้ลูกธนูดอกกุหลาบนั้นเป็นตัวหนังสือเขียนว่า "สายพิณ"และใต้คำว่า..สายพิณเขียนเป็น

    "พ.ศ.2467"

    ......................กาเผือกและไก่ตุ๋นเข้าใจได้ทันทีตามหลักการเขียนภาพ...ที่จะต้องมีชื่อ

    สัญญลักษณ์ของผู้เขียนอีกทั้งช่วงเวลาที่เขียนบันทึกลงในภาพ...ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้ว่า...ภาพทั้ง

    18 ภาพนี้ถูกเขียนหรือวาดโดย "สายพิณเมื่อปีพ.ศ.2467" ภาพเหล่านี้มีความเก่าเกือบ 80 ปี

    นับจากปีปัจจุบันย้อนไปในอดีต คือ พ.ศ.2546.........

    .......................แสดงว่าอนุสรณ์"ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ แด่ ปลัดเมือง มีสุข ผู้จาก

    ไป"..ที่แสดงเรื่องราวต่าง ๆไว้ ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้....น่าที่สายพิณจะมีส่วนร่วมในการสร้าง

    ขึ้นเป็นตำนานอย่างแน่นอนในความคิดของกาเผือก....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2012
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ซึ่งถูกต้องทีเดียว..สายพิณนั้นไม่ต้องการให้คนเมืองน่านลืมประวัติความ

    เป็นมาของ "เมือง มีสุข"...และเรื่องราวอันเหลือเชื่อของเขามากมาย..โดยเฉพาะเธอเองมิเคยลืม

    เมือง มีสุข..ซึ่งเป็น "คนรักของนางและเป็นดุจวีรบุรุษในดวงใจเธอ"..ที่เธอชื่นชอบเขาพร้อมทั้งรัก

    ศรัทธาอย่างมากมาย...และเธอได้เริ่มเขียนภาพเหล่านี้ขึ้น...เมื่อเธอได้ขึ้นไปบนยอดเขาสูงพร้อมกับ

    ลูกธนูดอกกุหลาบสีแดงแห่งคำมั่นสัญญาระหว่างเธอกับปลัดเมือง...โดยมีม้าสีนิลเป็นผู้นำทาง...และ

    เธอก็ได้พบ.."ปรัชญาแนวความคิดอันสูงส่งของเมือง มีสุข รวมทั้งอุดมคติและอุดมการณ์ของ

    เขา"...และได้พบปรัชญาของตนเองในเรื่องของการครอบครอง....ซึ่งเธอไม่เคยบอกเล่าให้ผู้

    ใดฟัง...เมื่อเธอกลับมาจากยอดเขาจึงได้เริ่มเขียนวาดภาพทั้ง 18 ภาพ ไว้เป็นที่ระลึก ณ ปี

    พ.ศ. 2467 นั่นเอง....

    ....................และในส่วนของปลัดปักษ์..เขาได้เก็บคันธนูและลูกธนูของปลัดเมืองและเฮียงคี้

    เอาไว้พร้อมกับเขียนประวัติของลูกธนูที่ใช้ยิงแต่ละดอก...เพื่อเป็นการรำลึกถึง"ตำนานการดวลธนู

    ระหว่าง ปลัดเมือง มีสุขและเขา กับ เฮียงคี้ แซ่เจ็ง นักล่านกอินทรีแห่งมองโกล" และได้นำมัน

    แสดงไว้ ณ ที่จวนของเจ้าเมืองน่านพร้อมกับภาพเขียนของสายพิณ...ด้วยขณะนั้น

    พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่านยังไม่ได้สร้างขึ้น...ต่อมาเมื่อพิพิธภัณฑ์ถูกสร้างขึ้น..จึง

    ได้ย้ายอนุสรณ์ตำนานเหล่านี้มาไว้ในพิพิธภัณฑ์..

    ....................ณ เวลานี้ สายพิณหรือปลัดปักษ์และบุคคลที่เกี่ยวข้องในตำนานนี้(2546)

    คงจากโลกนี้ไปนานแล้ว...ทิ้งไว้เพียงอนุสรณ์ที่พวกเขาได้ทำขึ้นไว้ให้ดู...เพื่อให้คนรุ่นหลัง

    ได้เรียนรู้ถึงความรักและความศรัทธาของคนโบราณซึ่งดูยิ่งใหญ่เสมอเกินกว่าคนในปัจจุบัน

    จะเข้าใจได้ลึกซึ้ง.....

    .....................ในความถูกต้อง..การที่จะเรียกว่า "ตำนาน" ได้นั้น..เรื่องราวนั้น ๆจะต้องมี

    ระยะเวลาถึง 100 ปีขึ้นไป...และการที่จะเรียกว่า "ประวัติศาสตร์" จะต้องมีระยะเวลาถึง 10

    ปี ขึ้นไป.....แต่พวกเขากลับเรียกขานเหตุการณ์เรื่องราวที่ไม่ถึง 100 ปีว่า "ตำนาน" จึงเป็น

    ปริศนาของการกระทำอย่างหนึ่งว่า..."ทำไมพวกเขาจึงเรียกขานการดวลธนูเป็นตำนาน"...

    หรือพวกเขามีเจตนาให้มันคงอยู่เป็นร้อย ๆ ปี..จึงเรียกเหตุการณ์นี้เสมือนเป็น "คำอธิษฐานให้

    มันเป็นตำนานอยู่คู่เมืองน่านตลอดไป".............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2012
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ถัดจากภาพวาดทั้ง 18 ภาพ...จะเป็น"จดหมายฉบับหนึ่งที่ใส่กรอบกระจก

    ขอบไม้สักทองติดไว้...พร้อมกระบอกไม้ไผ่ยาวประมาณ 1 คืบที่มีครั่งสีแดงอุดอยู่ด้านหนึ่ง...

    ส่วนอีกด้านหนึ่งมีรอยไหม้ไฟดำเหมือนถูกไฟลนเผาครั่งสีแดง"....โดยกระบอกไม้ไผ่ติดวาง

    ขวางใต้กรอบจดหมายนั้น....

    ....................จดหมายเขียนไว้ว่า



    ......................"ขุนทัพสามีที่รักของข้า.............................
    ..................................ข้าให้เยยุ่นกับพวกนำจดหมายนี้มาถึงท่าน..เยยุ่นคือ ทหารพม่ากลุ่มที่ไปส่งข้าเข้าแผ่นดินสยามในคืนนั้น...แต่ท่านไม่เคยเห็นเขา...มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับข้ามากมายหลังจากที่ข้ามาจากท่าน...ข้าจึงตัดสินใจบอกความจริงแก่ท่าน...ข้าเป็นราชธิดาองค์เล็กแห่งราชวงศ์พม่า..ราชบุตรองค์โตเป็นผู้นำข้าไปฝากไว้กับท่านในคืนนั้น..บัดนี้เสียชีวิตไปแล้ว.............
    ..................................เมืองของเราหลังจากกองทัพอังกฤษยึดเมือง..ราชวงศ์ และ ขุนนางต่างหลบหนี..ทรัพย์สมบัติมหาศาลของราชวงศ์ถูกเก็บไว้ที่ซ่อน ณ เขาลูกหนึ่งโดยมีประตูกลปิดไว้สนิท....การเปิดประตูจะต้องใช้ขวดแก้วรูปผลมะม่วงใบนั้นที่มีแม่เหล็กต่างขั้วฝังอยู่ทาบกับประตู ประตูจึงเปิดออกได้
    ...................................กองทัพอังกฤษรู้อยู่แก่ใจว่า..พวกเราพยายามต่อต้านที่จะกู้อิสรภาพคืน..กองทัพอังกฤษจึงขัดขวางทุกวิถีทาง...เป็นขณะเดียวกันกับฝ่ายราชวงศ์กับขุนางแตกแยกกัน...ฝ่ายขุนนางรู้มาว่าอย่างไรเสียงอังกฤษต้องคืนเอกราชให้เรา..และเมื่อคืนเอกราชให้เราต้องคืนให้แก่ราชวงศ์.....ฝ่ายขุนนางไม่ต้องการกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน...พวกเขาจึงลอบฆ่าเชื้อพระวงศ์ที่จะสืบทอดบัลลังก์จนหมดสิ้น...."เมือง"ลูกของเราเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีสายเลือดสยามอยู่...แม้เขาจะจัดลำดับท้ายสุด...แต่บัดนี้ราชวงศ์เหลือเขาเพียงคนเดียวที่จะสืบทอดบัลลังก์ของแผ่นดินเรา...
    .................................ข้าจึงให้เยยุ่นกับพวกมารับเมือง...เพื่อนำขวดแก้วกลับไปเปิดประตูกลนำทรัพย์สมบัติออกมากู้แผ่นดินและกู้ราชวงศ์คืน...โดยการต่อต้านฝ่ายขุนนางที่จะล้มราชวงศ์ของเรา...แต่เอหม่องคนของฝ่ายขุนนางรู้เรื่องนี้...จึงส่งคนตามล่าเยยุ่น..ข้าจึงให้เขาเดินทางหลบหนีไปทางฝั่งลาวและเข้ามายังเมืองน่านฝั่งตะวันออก..หวังว่าเยยุ่นจะปลอดภัยจากเอหม่อง..............
    ..................................ข้าหวังว่าท่านจะให้เมืองลูกของเราสืบราชวงศ์พม่าต่อไป
    .............................................ขอสามีและลูกที่ข้ารักจงมีสุข
    ......................................................สายฝน................................





    ....................มีคำบรรยายว่า "จดหมายที่ตะละแม่ราชาวดีหรือสายฝนมารดาของปลัดเมือง มี

    สุข...เขียนถึงขุนทัพ มีสุข...โดยใส่กระบอกไม้ไผ่อุดด้วยครั่งสีแดงทั้งสองด้าน...และให้เยยุ่นคนของ

    นางกับพวกหลายคนลักลอบเดินทางผ่านประเทศลาว...เพื่อเข้าสู่เมืองน่านฝั่งตะวันออกนำมาให้ขุน

    ทัพ...แต่เอหม่องกับพวกได้ติดตามมาทันและต่อสู้กับพวกของเยยุ่นมาตลอดทาง...พวกเยยุ่นถูกฆ่า

    ตายหมด..แต่พวกเอหม่องก็ล้มตายไม่ใช่น้อย..เมื่อเข้าเขตแดนเมืองน่านฝั่งตะวันออก...เอหม่องกับ

    พวกรวม 5 คน ได้ตามมาทันเยยุ่น..และไล่ยิงเยยุ่นจนตกจากหลังม้า...และก่อนที่จะชิงจดหมายฉบับนี้

    ไป...ปลัดเมืองได้พบเหตุการณ์จึงได้ยิงธนูสกัดเอหม่องถูกที่หัวไหล่..เอหม่องกับพวกหลบหนีไป...

    และเยยุ่นได้ส่งกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่จดหมายฉบับนี้ให้ปลัดเมืองนำไปให้ขุนทัพก่อนที่เยยุ่นจะตาย..ขุน

    ทัพเมื่อได้รับกระบอกไม้ไผ่ได้ให้บุญแทนใช้ไฟลนครั่งออก...จึงพบแหวนปลอกมีดทองคำและ

    จดหมายฉบับนี้...โดยจดหมายดังกล่าวต้องการให้ปลัดเมือง มีสุข ไปแผ่นดินพม่า..เพื่อนำขวดแก้ว

    ทรงมะม่วงกลับไปเปิดทรัพย์สินที่ซุกซ่อนอยู่ในถ้ำกล...และสืบราชวงศ์เป็นกษัตริย์พม่า....ปลัดปักษ์

    ได้ค้นพบจดหมายฉบับนี้หลังจากขุนทัพถูกเอหม่องฆ่าตายแล้ว...ปลัดปักษ์จึงเก็บรักษาเอาไว้"

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง...ขวดแก้วที่อยู่ที่เขานั้นถ้าตามหาจนพบ

    ทั้งสองซีก..ก็สามารถนำไปเปิดสมบัติมหาศาลของราชวงศ์ได้ทันที...ตามคำยืนยันของจดหมายนี้...

    แล้วเป็นไปได้หรือที่หัวหน้าพิพิธภัณฑ์ที่ต้องการขวดแก้วจะไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่.....ใครก็ตามที่ได้

    ขวดใบนี้ไปแล้วเดินทางสู่พม่าค้นหาเขาหรือถ้ำลูกนั้น...ก็สามารถเปิดนำเอาสมบัติออกมาได้.......

    ขนาดเจดีย์ชเวดากอง..ยังถูกหุ้มด้วยทอง...จากราชวงศ์พม่า...แล้วสมบัตินั้นจะต้องมีมูลค่าไม่ใช่น้อย

    จึงมีการแย่งชิงขวดแก้วมาแต่อดีต.....และเมื่อคิดถึงการช่วงชิง...เมือง มีสุข จึงหาวิธีแยกขวด

    แก้วออกจากกัน....เมื่อคิดถึงการชิงขวดแก้วนี้...บางทีภัยกำลังจะมาถึงตัวเขาเสียแล้ว.....กาเผือกเริ่ม

    คิดการณ์ไกล.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 19032010458.jpg
      19032010458.jpg
      ขนาดไฟล์:
      561.1 KB
      เปิดดู:
      44
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2012
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ถัดจากจดหมายดังกล่าวจะเป็นรูปแผนที่ขนาดใหญ่กว้าง 1 เมตรเศษ ยาว

    ประมาณ 2 เมตรเศษติดอยู่ที่ผนัง..เป็นแผนที่ที่มีทิศใต้อยู่ด้านบนของแผนที่และทิศเหนืออยู่

    ด้านล่าง ประกอบด้วยสัญญลักษณ์ในแผนที่แสดงอาณาเขตพื้นที่และจุดที่ตั้งของฝั่งตะวัน

    ออกของแม่น้ำน่าน

    .....................มีคำบรรยายเกี่ยวกับแผ่นที่ว่า "ปลัดปักษ์ หงษา ได้สั่งให้กัมพูผู้ช่วยของเขาตรวจ

    ตราทำแผนที่เมืองน่านฝั่งตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2461 ในขณะที่ปลัดปักษ์ บุญมี และกัมพูไปสืบเรื่อง

    ภาษีรายได้พื้นที่ฝั่งตะวันออกที่ขุนทัพ มีสุข และปลัดเมือง มีสุขจัดเก็บ....กัมพูเพียงคนเดียวสามารถ

    ร่างทำแผนที่ชนิดที่ละเอียดมากในสมัยนั้น...และเป็นแบบอย่างในการทำแผนที่ต่อมา...โดยเขาได้

    เดินสำรวจทำแผนที่ฉบับนี้นานถึง 3 เดือนจนเสร็จแล้วจึงกลับมาเมืองน่านฝั่งตะวันตก...โดยไม่รู้ว่า

    บุญมีเพื่อของเขาได้เดินทางไปตามเขากลับขณะที่เขากำลังตรวจตราทำแผนที่...โดยบุญมีได้ถูกเอ

    หม่องฆ่าตายไปแล้ว....เขาเหมือนกับบิดาแห่งการทำแผนที่ชนิดที่ละเอียดมาโดยไม่มีใครทำ

    เยี่ยงเขามาก่อนในสมัยนั้น....กัมพูทำแผนที่แตกต่างจากผู้อื่นตรงที่เขายึด..ด้านทิศใต้เป็นหลักขึ้น

    บนกระดาษ...แต่แผนที่ส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้มีทิศเหนืออยู่ด้านบนเสมอ...เหตุที่ด้านทิศใต้อยู่ด้านบน

    เพราะกัมพูเริ่มตรวจตราทำแผนที่จากด้านทิศใต้ขึ้นเหนือ"

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นได้พิจารณาทำความเข้าใจประวัติต่างๆ จนละเอียด..แต่พวกเขา

    ไม่เคยพบหลักฐานใดหรือข้อความใดที่เขียนถึงผู้หญิงที่ชือ "โนรี นรา"ไว้ที่ใดเลย...แม้แต่ข้อความ

    ปริศนาที่สาวไปถึง "จุดที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน"ก็ไม่มีให้พบเห็น...เขาทั้งคู่อยู่ ณ สถานที่นี้เกือบ

    สองชั่วโมงเต็ม...มีภาพเขียนที่ประทับใจพวกเขาอยู่หลายภาพ...กาเผือกมีความตั้งใจว่า หากเขาล่วง

    รู้เหตุการณ์ใดขึ้นมา..เขาจะเป็นผู้บรรเลงเขียนภาพนั้นยขึ้นมาเอง...เพื่อสานต่อภาพวาด

    อนุสรณ์ของสายพิณ....เขาคิดว่าไม่เพียงแต่โนรี นรา เท่านั้น ที่เขาต้องสืบหาประวัติ...แต่

    ความอลังการของสายพิณอีกคนหนึ่งต่างหากที่เขาต้องศึกษา...สายพิณเหมือนกับทายาท

    ทางความคิดของ เมือง มีสุข..."สายพิณค้นพบอะไรภายในใจของ เมือง มีสุข หรือ"

    ....................กาเผือกยิ่งพิจารณาก็เริ่มเข้าใจเพื่มขึ้นว่า ทำไมผู้อำนวยการหรือหัวหน้า

    พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน...จึงต้องการขวดแก้วทรงมะม่วงพร้อมจดหมายของ เมือง มีสุข

    รวมทั้งสิ่งของที่อยู่ภายในขวดนั้นมากมายนัก...เพราะเหตุว่า "ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ"..อัน

    เป็นอนุสรณ์ที่รำลึกถึง เมือง มีสุข และ ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเขานั้นไม่สมบูรณ์หมดจด...ไม่

    สามารถอธิบายเรื่องราวของเขาได้โดยตลอด....

    ....................สิ่งเร้าใจพวกเขาทั้งสองอย่างสุด ๆ ก็ คือ "ตำนานการดวลธนู" ที่ไม่เคยพบเห็น

    ในประวัติศาสตร์หรือตำนานใด ๆมาก่อนเลย...ถึงการที่แต่ละฝ่ายต่างเก็บลูกธนูของอีกฝ่าย

    หนึ่ง..ยิงกลับไปกลับมาจนคราบเลือดที่ติดลูกธนูอยู่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า..เลือดของใคร

    เป็นเลือดของใคร....ทั้งที่การยิงธนูแต่ละดอกไปแล้วน่าจะยิงทิ้งไปเลย...แต่กลับมีเรื่องราว

    ของการเก็บลูกธนูของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้เพื่อใช้ยิงกลับไปให้ฝ่ายที่ยิงมา.....และคนสมัยนั้น

    ยังสามารถตามเก็บลูกธนูที่ใช้ดวลกันกลับมาไว้เป็นที่รำลึกถึงเหตุการณ์ได้อย่าง

    อัศจรรย์.........

    ....................กาเผือกและไก่ตุ๋นลงมาจากพิพิธภัณฑ์ก่อนเที่ยงเล็กน้อย...และตรงมาที่รถยนต์

    ของพวกเขา...โดยหารู้ไม่ว่าได้มีชายวัย 40 - 50 ปี จำนวน 4 คน กำลังจ้องมองดูพวกเขาอยู่..และ

    2 ใน 4 ก็ได้สะกดรอยตามพวกเขาไป...โดยใช้รถเก๋งคันหนึ่งขับตามไปอย่างช้า ๆ โดยที่กาเผือกและ

    ไก่ตุ๋นไม่มีโอกาสรู้ตัว.....

    .....................ชายทั้งสี่คน ก็คือ ชาวพม่าร่นหลัง ๆ อันเป็นลูกหลานของขุนนางพม่า..ที่ถูกส่งเข้า

    มาสืบหาขวดแก้วทรงมะม่วงใบนั้น...เพื่อนำกลับไปเปิดประตูกลนำทรัพย์สมบัติของราศวงศ์พม่าใน

    อดีตออกมา.....เขาทราบข่าวกาเผือกและไก่ตุ๋นจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเมืองน่าน...พร้อมกับแจ้งให้

    พรรคพวกอีกหลายคนที่เป็นชาวพม่าล้วน ๆ และได้แฝงตัวอยู่ในจังหวัดน่าน......ชาวพม่าต่างรอ

    คอยให้กาเผือกค้นหาขวดแก้วอีกซีกหนึ่งพบ...และพวกเขาก็จะชิงขวดแก้วใบนั้นกลับแผ่น

    ดินพม่า....

    .....................เป็นเหตุการณ์ที่กาเผือกและไก่ตุ๋นกำลังประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับ

    เมือง มีสุข..ที่ถูกชาวพม่าตามล่า...เพื่อนำขวดแก้วใบนั้นกลับ...แต่ครั้งนี้ไม่มีชีวิตของเมือง

    มีสุข..ให้พวกเขาตามฆ่าด้วย..คงมีแต่ขวดแก้วเท่านั้น...

    .....................กาเผือกและไก่ตุ๋นจะค้นหา "จุดที่จันทร์เสี้ยวแยกจากกัน" อันเป็นปริศนา

    ของ เมือง มีสุข พบหรือไม่....พวกเขาจะได้ขวดแก้วอีกซีกหนึ่งกลับมาหรือไม่.....เขาจะ

    ตามหาเรื่องราวของโนรี นรา และสถานที่ฝั่งร่างของโนรี นราพบหรือไม่.....เขาจะติดตาม

    เรื่องราวปริศนาภาพของหลวงปู่ศุขกับเมือง มีสุขพบหรือไม่......และภาพต่าง ๆที่ปรากฏใน

    พิพิธภัณฑ์อันเป็นความหมายของสายพิณมีเช่นไร...และทำไมแผ่นดินพม่าจึงไร้ซึ่ง

    กษัตริย์......คงต้องติดตามกันต่อไปครับ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2012
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....ตอนที่ 103 ขึ้นภูเขาแห่งตำนานบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์....




    .....................กาเผือกและไก่ตุ๋นขับรถยนต์ออกจากพิพิธภัณฑ์จังหวัดน่าน..โดยมีรถเก๋งขับสะกด

    รอยตามไป...กาเผือกมองจากกระจกหลังด้านซ้ายมือก็สังเกตเห็นรถเก๋งแล่นไล่ตามมาอย่างผิดปกติ..

    จึงสะกิดบอกน้องชายให้ดูที่กระจกมองหลัง.....

    .....................แล้วกาเผือกจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"กูสังเกตว่ารถคันหลังมันน่าจะตามเรามาจากพิพิธภัณฑ์น่ะ"

    ............................"พวกนักข่าวหรือเปล่าวะ" ไก่ตุ๋นคาดคะเน

    ............................"จะนักข่าวหรือไม่ใช่นักข่าวก็ตาม..จะให้พวกมันรู้ว่าเราพักอยู่ที่ไหนไม่ได้"

    ............................"แล้วเอาอย่างไร" ไก่ตุ๋นขอความเห็น

    ............................"กลับรถแล้วขับสวนกับรถเก๋งเลยดีกว่า..ถ้ามันขับรถตามมาอีกก็ชัดเจน" กา

    เผือกเสนอแนะ

    .....................ไก่ตุ๋นขับรถตามที่กาเผือกบอกทันที..และเมื่อรถของเขาสวนกับรถเก๋งคันดังกล่าว

    ไป....เขาก็เร่งความเร็วหนีทันที....ได้ผลตามที่กาเผือกคิดไว้..รถเก๋งคันดังกล่าวได้กลับรถและขับไล่

    รถของเขาทันที

    ............................"เอายังไงต่อ" ไก่ตุ๋นขอความเห็น

    ............................"ก็ขับไปในตัวเมืองและเมื่อเจอป้อมตำรวจก็เอารถไปจอดที่ข้างป้อม

    ตำรวจ....กูว่ามันอาจมาชิงขวดใบนี้ไปเพื่อเอาสร้อยข้อมือทองคำเส้นนี้ไปก็ได้"

    .....................ไก่ตุ๋นขับรถตามที่กาเผือกแนะนำ...และเมื่อเขาขับไปได้พักใหญ่ก็พบป้อมตำรวจ

    ระหว่างทาง...เขาจึงขับรถไปที่ป้อมและจอดสนิทอยู่ข้างป้อมตำรวจ...ตำรวจในป้อมจึงเดินออกมาดู

    รถของเขา...ทำให้รถเก๋งที่ไล่ตามเขามาขับเลยไปทันที

    ............................"มีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับ" ตำรวจนายนั้นเดินมาที่รถและสอบถาม

    ............................"ไม่มีอะไรหรอกครับ...เพียงแต่เราจะหยุดดูแผนที่" ไก่ตุ๋นเอ่ย

    ............................"คุณทั้งสองจะไปไหนหรือครับ"

    ............................"จะข้ามไปฝั่งตะวันออก..เพื่อตามหาญาติครับ"

    ............................"ถ้าเช่นนั้นเชิญพักรถตามสบายเลยนะครับ..มีอะไรให้ผมช่วยเหลือก็บอก"

    .....................เป็นน้ำใจจากตำรวจของจังหวัดน่าน...ที่ทำให้เขาทั้งคู่มีกำลังใจขึ้นมากว่า..เขา

    สามารถพึงพาตำรวจเมืองนี้ได้แน่นอน....เขารู้สึกขอบคุณตำรวจนายนี้และผู้บังคับบัญชาของเขาที่

    ฝึกฝนอบรมตำรวจภายใต้บังคับบัญชามาอย่างดี...

    ......................กาเผือกหยิบแผนที่มากางออกดู..และลองนึกตามแผนที่ของกัมพูที่แสดงไว้ใน

    พิพิธภัณฑ์ที่เขาเห็นอยู่เมื่อครู่นี้....เขานึกถึงจุดตำแหน่งที่กัมพูแสดงสัญญลักษณ์ของภูเขาเอาไว้..

    เพื่อเทียบเคียงกับแผนที่ในมือเขา...ซึ่งเมื่อตรวจดูพบว่า ภูเขาของเมืองน่านฝั่งตะวันออกมีหลายลูก..

    ทั้งที่เป็นเทือกเขาติดต่อกันเป็นพรืด...หรือเป็นเขาสูงเดียว....

    .....................กาเผือกดูตำแหน่งบ้านคุณยายมั่นที่เขาพักอาศัยอยู่..ว่าภูเขาลูกใดคือภูเขาที่ใกล้

    บ้านหลังนั้นที่สุด....และเขาก็พบว่า "มีภูเขาสูงอยูสองลูก...ภูเขาลูกแรกอยู่ด้านทิศตะวันออกของ

    บ้าน...และมีภูเขาอีกลูกหนึ่งที่อยู่ด้านทิศตะวันออกของเขาลูกนั้น........

    .....................กาเผือกบอกกับไก่ตุ๋นให้ขับรถไปที่ภูเขาสูงลูกแรก...ซึ่งเขาได้รับคำบอกเล่าจาก

    คุณยายมั่นว่า.."เขาลูกนี้คือ ภูเขาแห่งตำนานบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์..นั่นคือภูเขาที่ เมือง มีสุข

    เคยควบม้าสีนิลปีนไต่เขาขึ้นสู่ยอดเขาที่สูงสุด..และมองดูดวงอาทิตย์ยามเที่ยงจนค้นพบ

    ปรัชญาบางอย่างที่นี่...และเป็นภูเขาที่สายพิณนำลูกธนูดอกกุหลาบควบม้าสีนิลขึ้นมา..และ

    ได้ร้องไห้รำพึงรำพันอยู่ตามภาพที่เขาเห็นในพิพิธภัณฑ์"....................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...