พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .......ท่านเป็นผู้มีปัญญาในการสร้างบุญบารมีจากการ

    อนุโมทนา....ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา

    ครับ.......
     
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เกวียนที่เณรและภูผาขับเคลื่อนมาได้นำพาสองพี่น้องที่แต่งหน้าและกาย

    ด้วยชุดกระโปร่งทันสมัยแบบหญิงสาวชาวยุโรปทั้งสองมุ่งหน้าสู่ตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี..

    ตลาดเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ต้อนรับความแปลกใหม่ของการแต่งกายของสองพี่น้องตระกูลนราเป็นครั้ง

    แรก.....

    ....................โนรีและโมลีเดินเคียงคู่ไปกับเณรและภูผา..และร้านแรกที่แวะคือร้านของป้าตันหยง

    แม่ค้าขายผลไม้...ป้าตันหยงรู้สึกทึ้งและตกใจที่ไม่เคยเห็นเด็กสาวใดแต่งกายเยี่ยงนี้มาก่อน...ป้า

    ตันหยงจำแทบไม่ได้..ด้วยหน้าตาของเด็กทั้งสองมีหน้าตาที่ผิดธรรมชาติ..เพราะถูกบรรจงด้วยสีสัน

    ของเครื่องสำอางจนดูเข้ม...ป้าตันหยงเพ่งสายตาดูสาวน้อยทั้งสองที่กำลังแย้มยิ้มอย่างปลื้มปิติ....ก็

    ให้จำได้..จึงเอ่ยอุทานอย่างตกใจ

    ............................"โนรีกับโมลีหรือนี่...โอ้โฮ..สวยจนป้าจำแทบไม่ได้เลย"

    .....................สาวน้อยในคราบสาวทันสมัย..ยิ้มและหัวเราะอย่าชอบใจ..โมลีเอ่ย

    ............................"ป้าจำหนูได้อย่างไรนี่"

    .....................ป้าตันหยงหัวเราะก่อนเอ่ยตอบ

    ............................"ก็ตอนโมลียิ้มให้ป้า..เขี้ยวฟันกระต่ายของหนูมันแย้มออกมา..ป้าก็คิดว่าคง

    เป็นใครเสียไม่ได้...นอกจากโมลีช่างพูดของป้านี่แหละ"

    ............................"ป้าดูพวกหนูแล้วเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ" โนรีเอ่ย

    ............................"สวยอย่าง..สาวอังกฤษเลย..ใครเป็นคนออกแบบชุดนี้หรือโนรี"

    ............................"แม่จ้ะป้า...แม่เคยเห็นภาพถ่ายของผู้หญิงชาวยุโรปที่พ่อถ่ายไว้...แล้วนำ

    มาดัดแปลงออกแบบตัดชุดเสื้อผ้าให้พวกหนูจ้ะ"

    ............................"แม่หนูช่างคิดช่างทำนะ"

    .....................ขณะที่สองพี่น้องกำลังคุยอยู่กับป้าตันหยง...ก็จะมีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่าน

    ไปมา...และต้องหันกลับมามองสองพี่น้องอย่างเหลียวหลังเป็นตาเดียวกัน..ด้วยไม่เคยเห็นสิ่งที่สวย

    งามทันสมัยของการแต่งกายแบบใหม่ปรากฎที่แห่งนี้มาก่อนเลย...และเมื่อทุกคนเพ่งมองดูก็จดจำได้

    ว่า..เด็กสาวทั้งสองคือโนรีกับโมลี....

    .....................สาวน้อยทั้งสองในขณะนี้ช่างเหมือนกับ..ดวงจันทร์และดวงดาวอันสวยงาม

    จากท้องฟ้าที่มาปรากฎ..สร้างความเพลิดเพลินจำเริญตาให้แก่ผู้คนในตลาด..รอยยิ้มของผู้

    คนมากมายที่ส่งยิ้มให้กับสองพี่น้องด้วยความยินดี..และชื่นชม...โนรีนั้นเทียบได้กับดวง

    จันทร์เพ็ญอยู่แล้ว...ส่วนโมลีนั้นก็คงเทียบได้กับดวงดาว...แต่ดาวที่สวยงามในสายตาของ

    ชาวโลกคงไม่พ้น"ดาวศุกร์"อันเป็นดาวเด่นประจำเมือง..ที่ชนชาวยุโรปให้ชื่อว่า "ดาววี

    นัส" ..หรือ"ดาวแห่งความงาม"เป็นดาวที่ส่องแสงสว่างมองเห็นได้ในฤดูหนาวชัดเจนบนท้อง

    ฟ้าทิศตะวันตก....

    ....................ขณะนี้ดวงจันทร์และดาวศุกร์กำลังขึ้นส่องสว่างประชันความเด่นอยู่ที่ตลาด

    เมืองสุราษฎร์ธานี...ดาวทั้งสองกำลังเคลื่อนตัวออกจากร้านป้าตันหยง...มุ่งสู่ร้านค้าของ

    หมวยเล็ก...ซึ่งวันนี้ทั้งหมวยเล็กและตี๋เล็กไม่ได้ออกไปค้าขายเร่เช่นทุกวัน....

    ....................ตี๋เล็กและหมวยเล็กกำลังเฝ้าร้านดูรอขายสินค้าให้แก่ลูกค้า...แต่แล้วสายตา

    ของทั้งคู่ก็มองไปเห็นหญิงสาวต่างชาติสองคนกำลังเดินเข้ามา...แต่ชายที่ตามหญิงต่างชาติ

    เข้ามาสองคนจำได้ว่าเป็นเฮียเณร..และเฮียภูผาซึ่งตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาภูผาได้รู้จักกับตี๋

    เล็กและหมวยเล็ก...ด้วยคำแนะนำของโนรีและโมลี.....ตี๋เล็กนั้นรู้สึกได้อยู่ในทีว่า..ภูผานั้นมี

    ใจที่มุ่งต่อโนรีไม่แตกต่างไปจากตน...และก็เป็นไปตามธรรมชาติของผู้คนที่อยู่ต่อหน้าผู้หญิง

    จันทร์เพ็ญ..จะได้รับความรักความเมตตาจากนาง...และพลังแห่งผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..ที่ทำให้

    ไม่มีใครที่จะขัดขวางความรักของแต่ละฝ่าย...ชายทั้งสาม คือ เณร ภูผา และตี๋เล็ก..ต่างก็

    เป็นผู้ที่รักและทะนุถนอมโนรีดุจเดียวกัน....ผู้หญิงจันทร์เพ็ญจึงเป็นเหมือนแสงสว่างแห่ง

    ความรักอย่างแท้จริง.......ที่ส่องประกายเจิดจ้าอยู่ในใจของผู้คนและชายทั้งสามนี้.......

    ....................เมื่อทั้งหมวยเล็กและตี๋เล็กเห็น เณรและภูผา..จึงได้ย้อนกลับมาเพ่งดูหญิง

    ต่างชาติทั้งสองอย่างพินิจพิเคราะห์ก็จำได้...และเมื่อเห็นความงามที่แปลกไปอีกแบบหนึ่ง

    อย่างผิดธรรมชาติของนาง..ก็ตกใจและจ้องมองดูจนไม่วางตา....หมวยเล็กเอ่ย

    ............................"โมลี..ลื้อกับพี่สาวลื้อไปต่างประเทศมาเหรอ"

    .....................สองพี่น้องหัวเราะ..แล้วโมลีเอ่ยตอบ

    ............................"ลื้อเข้าใจยั่วนะ..แม่อั้วตัดเสื้อผ้าแบบสมัยใหม่ให้ใส่ต่างหาก...ต่อไป

    ลื้อคอยดูนะ...ผู้คนเมืองสยามจะต้องแต่งกายเรียนแบบชาวยุโรปเหมือนกับอั้วสองพี่น้องนี่

    แหละ"

    .....................คำพูดของโมลีที่พูดออกไป..ช่างเหมือนกับคำทำนายที่แม่นยำ...เพราะต่อ

    ๆ มา...ชาวสยามก็เรียนแบบการแต่งกายแบบชาวยุโรปกันจนถึงปัจจุบันนี้.......

    ............................"อั้ว..ยังไม่เชื่อลื้อหรอกว่า...คนเมืองสยามจะแต่งกายเรียนแบบชาว

    ยุโรป..ทำไมลื้อเชื่อเช่นนั้น" หมวยเล็กพูดโต้เถียงโมลี

    ............................"อั้วถามลื้อก่อนว่า การแต่งกายของอั้วลื้อว่ามันดีหรือไม่ดีล่ะ" โมลี

    ถามความเห็นของหมวยเล็ก

    .....................หมวยเล็กคิดและพิจารณาพร้อมกับยอมรับตามโมลี

    ............................"อั้วก็ว่ามันสวยงามดีนะ..และก็เหมาะกับพวกลื้อด้วย"

    ............................"นั่นสิ..แล้วลื้ออยากแต่งอย่างอั้วบ้างไหม"

    .....................หมวยเล็กถามใจตนเอง..ก็รู้สึกว่าอยากแต่งเหมือนโมลีจึงเอ่ยตอบ

    ............................"อั้วรู้สึกว่าอั้วอยากแต่งเหมือนลื้อเหมือนกัน"

    ............................"อั้วเดินมาตามทางที่มาหาลื้อ...พวกผู้คนในตลาดต่างก็มีแววตาชื่น

    ชมและชื่นชอบ....คนเราเมื่อชื่นชอบสิ่งใดแล้วก็อยากจะทำใช่ไหม.....เพราะเหตุนี้อั้วจึง

    ทำนายได้เลยว่า...คนสยามเราเมื่อมองชาวยุโรปแต่งตัวแล้วจะชื่นชอบ...ซึ่งความชื่นชอบ

    อันนี้จะนำพา....พวกเขาให้คิดแต่งตัวตามอย่างชาวยุโรป.....เหมือนกับที่ลื้อคิดตอนนี้....ลื้อ

    เข้าใจไหม" โมลีอธิบายตามมุมมองความคิดของตน

    ....................โนรีฟังน้องสาวซึ่งมีทั้งความจำเป็นเลิศและยอดศิลป์........คิดพิจารณาพูด

    ออกไป..ก็ให้รู้สึกว่าน้องสาวของตนมีปัญญาขบคิดและวิเคราะห์อย่างเข้าท่าเข้าทาง....จน

    นางรู้สึกภูมิใจในน้องสาวของตนอยู่ลึก ๆ.....

    .....................ตี๋เล็กเอ่ยขึ้นมาบ้าง

    ............................"ถ้าอั้วไม่เห็นเฮียเณรกับเฮียภูผาเดินตามมาด้วย...อั้วจำพวกลื้อไม่

    ได้เลยนะ...พวกลื้อแต่งตัวสวยและแปลกตามาก...ชุดพวกนี้ก็ดูดี...แต่หน้าตาพวกลื้อที่มี

    เครื่องสำอางแต่งหน้าอั้วไม่เคยเห็นมาก่อนเลย"

    ............................"มันดีหรือไม่ดีละตี๋เล็ก" โนรีเอ่ยเป็นเชิงปรึกษา

    .....................ตี๋เล็กหัวเราะก่อนเอ่ย

    ............................"มันต้องดีอย่างแน่นอน..เพราะลื้อเป็นคนสวยคนงามอยู่แล้ว...เมื่อ

    นำเครื่องสำอางมาเสริมแต่งมันทำให้ลื้อดูสว่างขึ้นมาก"

    .....................คำชมของตี๋เล็กทำให้ผู้ฟังที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างยอมรับว่าตี๋เล็กพูดถูก...

    .....................ตี๋เล็กกับหมวยเล็กนั้นรู้แต่ว่า..โนรีมีสิ่งผิดปกติ.....ตอนที่ดอกทานตะวันหัน

    หน้าดอกจากดวงอาทิตย์เข้ามาหาโนรีทั้งท้องทุ่งทานตะวันเพียงอย่างเดียว...แต่ไม่เคยเห็น

    ปรากฎการณ์อื่น ๆเลย...ตี๋เล็กและหมวยเล็กจึงไม่ทราบเรื่องของ"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"ที่โนรี

    เป็นอยู่......

    ............................"ตี๋เล็ก...แล้วทำไมวันนี้ลื้อไม่ไปขายเร่ล่ะ" เณรเอ่ยถาม

    ............................"เตี่ย แม่และเฮียตี๋ใหญ่ออกไปธุระนอกบ้าน..อั้วจึงอยู่เฝ้าร้าน" ตี๋เล็ก

    ตอบ...................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2012
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................โนรีกับพวกคุยอยู่ที่ร้านของตี๋เล็กสักพักหนึ่ง..พี่เณรก็ได้บอกกับโนรีและโมลี

    ว่าต้องรีบกลับ..เพราะพี่เณรและภูผามีภาระที่ต้องไปแจ้งข่าวการบวชเนกขัมมะหรือชีพราหมณ์ให้แก่

    ชาวบ้านตามหมู่บ้านต่าง ๆ ...ที่เคยเข้ามาปฏิบัติธรรมอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมของวัดโนรีนราราม....ซึ่ง

    คนของหมู่บ้านอื่นนั้น ต่างก็มีวัดที่ทำบุญตักบาตรอยู่ในหมู่บ้านอยู่แล้ว...แต่เพราะการแสดงธรรมและ

    การอบรมสั่งสอนของพ่อท่านตามแนวทางคำสั่งสอนของพระพุทธองค์...ได้จุดประกายให้ผู้ปฏิบัติ

    ธรรมได้แลเห็นธรรมอันเป็นหลักได้วินิจฉัยให้เห็นความจริงทางโลก...ว่า"ไม่มีสิ่งใดเลยในโลกนี้..ที่จะ

    ไม่เสื่อมสลายและสูญสิ้นไป...สรรพสิ่งทุกอย่าง..ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต..ต่างก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่

    และดับไปในที่สุด อันเป็นกฏของอนิจจังที่มีอยู่ประจำโลก".....ความงดงามในการแสดงธรรมของพ่อ

    ท่านได้ให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้เห็นความจริง...และละจากการยึดถือทางโลกให้เบาบางลงให้มายึดถือเอา

    "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์"เป็นที่พึ่ง..โดยเฉพาะพระธรรมนั่นเป็นประดุจเทียนที่จุดให้แสงสว่างส่อง

    ทางชีวิต..ทั้งโลกนี้และโลกหน้า"...โดยเฉพาะเรื่องศีลอันบริสุทธิ์ของพ่อท่านที่ได้หอมกระจายทวน

    กระแสลมขึ้นไป..กระจายไปทั่วตามหมู่บ้านต่าง ๆ.....อันเป็นการหอมที่เหนือกว่ากลิ่นหอมทั่วไปโดย

    เฉพาะกลิ่นหอมของดอกไม้..ที่หอมได้เพียงแต่ตามกระแสลมเพียงเท่านั้น...สัจจะวาจาที่มีมาในอดีตที่

    ว่า "กลิ่นของศีลอันบริสุทธิ์นั้นหอมได้นาน และหอมได้ไกลกว่ากลิ่นหอมใด ๆในโลก"..ดูถ้าจะ

    มีข้อพิสูจน์ให้เห็นเป็นจริงได้จากการประพฤติปฏิบัติของพ่อท่าน....

    .....................ชาวบ้านทั้งหลายที่มีใจโน้มเอียงเข้าหาธรรม..จึงเคารพและศรัทธาพ่อท่านอย่าง

    หมดใจ...และเมื่อมีการจัดบวชครั้งใดก็จะมาร่วมกันเข้าบวชด้วยจิตที่ศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น...เณรและ

    ภูผาจึงมีหน้าที่ที่จะต้องแจ้งข่าวให้แก่ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านของตนเองและหมู่บ้านอื่น ๆทุกครั้งไป.......

    .....................พี่เณรและภูผาขับเคลื่อนเกวียนมาส่งโนรีและโมลีที่บ้านก็พบเห็นน้าบันตากำลังตั้ง

    กล้องถ่ายรูปและจัดสถานที่ถ่ายรูปอยู่..เมื่อเห็นทั้งสี่มาถึงน้าบันตาจึงได้เอ่ยขึ้นอย่างยินดี..

    ............................"มาพวกเรามาถ่ายรูปภาพกันก่อน..เอาไว้เป็นที่ระลึก"

    .....................โมลีเห็นและได้ยินเสียงแม่เรียกให้ถ่ายภาพ....ก็ให้รู้สึกดีใจจนออกหน้า..ด้วยรู้อยู่

    แล้วว่าตนเองได้แต่งตัววันนี้...งามอย่างหญิงสาววัยรุ่นทั้งที่ตนเองมีอายุเพียง 12 ปีเศษเท่านั้น...ด้วย

    ได้ดูกระจกเงาอยู่พักใหญ่ก็รู้สึกชอบใจการแต่งหน้าแต่งตาและแต่งกายของตน.....หากมีการบันทึกไว้

    บนภาพถ่ายคงจะให้เด็กน้อยได้ปลื้มใจตนเองอยู่อีกนาน.........เด็กน้อยจึงรีบวิ่งนำหน้าพรรคพวกไป

    หาแม่แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"แม่..ให้หนูถ่ายภาพก่อนนะแม่"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Buddha25.jpg
      Buddha25.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.8 KB
      เปิดดู:
      99
    • Qki1A_397908-02.jpg
      Qki1A_397908-02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.3 KB
      เปิดดู:
      32
    • s_sohu01.jpg
      s_sohu01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.1 KB
      เปิดดู:
      36
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2012
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    .......ครับ..ขอให้ท่านสร้างสมบารมีได้เปี่ยมล้นโดยเร็ว..มีจิต

    ใจที่สอาดและงดงามอย่าง"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"ในเรื่องนี้ครับ...
     
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ......ครับ..ขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปทั้งทางโลกและทาง

    ธรรม....สร้างสมบารมีจนบรรลุในสิ่งที่ท่านปรารถนาไว้ครับ...
     
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................บันตายิ้มให้กับโมลี..แล้วพาลูกสาวคนเล็กมายืนที่หน้ากล้องตามที่ตนเองจัด

    สถานที่ถ่ายภาพเอาไว้...พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"แม่จะนับ หนึ่ง สอง สาม แล้วจึงกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ..ฉะนั้นหนูจะต้องยิ้ม

    ให้สวยงามเอาไว้นะจ๊ะ"

    ....................โมลีพยักหน้าแทนคำตอบ..แล้วยืนเก็กท่าเตรียมตัวถ่ายภาพ..ด้วยท่าทางและใบ

    หน้า..ที่ออกท่าทางที่คิดว่าสุดเลิศ....และเมื่อโมลีตั้งท่าทางเสร็จบันตาก็นับเลขจนถึงสาม...ก็กด

    ชัตเตอร์ถ่ายภาพทันที....

    ................................."แชต" เสียงชัตเตอร์จากกล้องดังขึ้นอันเป็นสิ่งที่แสดงว่ากล้อง

    ได้ถ่ายภาพไว้แล้ว

    .....................บันตาดึงฟิลม์ออกมาจากกล้องแล้วลอกออกดูภาพ..ในขณะที่โมลีและโนรี

    พร้อมกับเณรและภูผาก็เข้ามามุงดูล้อมรอบบันตา....

    .....................ภาพถ่ายของโมลีออกเป็นภาพสีสวยงาม...รูปร่างหน้าตาของโมลีในภาพ

    ถ่ายเป็นภาพยืนขณะที่เด็กน้อยกำลังยิ้มแย้มแจ่มใสจนเห็นฟันกระต่ายและเขี้ยวกระต่ายออก

    มา..ดูแล้วสดใสน่ารัก...เด็กน้อยถึงกับแย้มยิ้มอย่างปลื้มใจพร้อมกับผู้ที่มุงดูก็พลอยยินดี..

    กับเด็กน้อยที่ริแต่งตัวเป็นสาวแฟชั่น...

    .....................บันตาเตรียมขยับตั้งกล้องแล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"ต่อไปจะถ่ายใครดีเอ่ย"

    ............................"แม่..หนูคิดว่าเราถ่ายภาพหมู่รวมกันทั้ง 5 คนดีกว่า..เอาไว้เป็นที่ระลึกดูกัน

    ยามจากกันไงจ๊ะแม่" โนรีพูดออกความเห็น

    ............................."อืม..ดีเหมือนกัน..แล้วทุกคนว่าอย่างไร"

    ....................เณรและภูผายืนยิ้มพร้อมกัน...และเณรได้เอ่ยตอบ

    ............................."เอาอย่างโนรีว่า..ก็ดีเหมือนกันน้าบันตา"

    ....................เมื่อทุกคนตกลงเช่นนั้น..บันตาได้จัดแถวให้โนรีและโมลีอยู่ซีกด้านหนึ่ง..โดยมีบัน

    ตาอยู่กลางยืนข้างกับโมลี..และต่อมาก็เป็นเณรและภูผา....บันตาได้ตั้งเวลาชัตเตอร์ของกล้องเพื่อให้

    ลั่นขึ้นทันเวลากับ..เมื่อนางกดชัตเตอร์แล้วจึงเดินไปยืนอยู่ตรงกลาง.....

    ............................"คราด......แชต" เสียงชัดเตอรเลื่อนดังและกดถ่ายภาพ

    .....................ทุกคนต่างมายืนรอดูฟิลม์ที่บันตาลอกออกเพื่อดูภาพ...ภาพถ่ายดังกล่าวได้ปรากฏ

    ภาพของทุกคนกำลังแย้มยิ้มอย่างมีความสุข...แต่มีสิ่งผิดปกติตรงรูปร่างของโนรีในภาพนั้น..ได้

    ปรากฎแสงสีเหลืองทองหรือแสงจันทร์เพ็ญแผ่กระจายออกมาจากร่างของโนรีอย่างมาก

    มาย....โมลีได้เอ่ยขึ้นอย่างตกใจ

    ............................"แม่..รูปร่างของโนรีตามภาพทำไมมีแสงเหมือนแสงจันทร์เพ็ญออก

    มาจากร่างของโนรีล่ะแม่"

    ....................ทุกคนได้เห็นสิ่งผิดปกติของแสงที่ออกมาอย่างมากมายที่ปรากฏอยู่บน

    ภาพอยู่แล้ว...ต่างก็มองตากันและหันไปมองที่โนรีเป็นตาเดียวกัน..ในขณะที่บันตานั่งคิด

    รำลึกถึงคำพูดของพ่อเฒ่ามูซาที่เอ่ยกับนางตอนวันแรกที่มาขอสอนขลุ่ยให้แก่ลูกสาวทั้งสอง

    และได้พูดถึงคุณลักษณะของผู้หญิงจันทร์เพ็ญให้ฟังว่า....."แสงจันทร์เพ็ญจะเปล่งรัศมี

    ประกายออกจากร่างของผู้หญิงจันทร์เพ็ญอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน...แต่ไม่มีผู้

    ใดสามารถเห็นแสงนี้ได้นอกจากเพียงได้สัมผัสกับแสงนี้โดยไม่รู้ตัวและจะรู้สึกเย็นตาเย็นใจ..

    และมีความสุขเมื่อได้เห็นเจ้าของแสงนี้....แต่ว่าแสงจันทร์เพ็ญนี้คนทั่วไปจะสามารถเห็นได้ใน

    คืนจันทร์เพ็ญเมื่อผู้หญิงจันทร์เพ็ญไปปรากฎตัวอยู่ต่อดวงจันทร์เพ็ญและรับแสงนั้น...จะ

    ปรากฎแสงสว่างเรืองรองเย็นตาเย็นใจพรุ่งกระจายออกจากร่างของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"

    .....................บันตาเริ่มคิดว่า"หรือว่ากล้องถ่ายภาพนี้สามารถเห็นและจับแสงจันทร์เพ็ญ

    ที่ออกมาจากร่างกายของโนรีหรือผู้หญิงจันทร์เพ็ญได้...เช่นเดียวกับดอกทานตะวันที่ได้เห็น

    และสัมผัสกับ.....แสงจันทร์เพ็ญได้จนหันหน้าดอกเข้าหาผู้หญิงจันทร์เพ็ญโดยละจากแสง

    ของดวงตะวัน"...........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2012
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................บันตาต้องการพิสูจน์แสงจันทร์เพ็ญที่ปรากฏบนร่างของโนรีตามภาพถ่าย

    อีกครั้ง..นางจึงเอ่ยกับลูกสาวคนโตและทุกคนว่า

    ........................."แม่จะลองถ่ายภาพอีกครั้ง..โดยให้พวกหนูทั้งสี่ยืนรวมอยู่ด้วยกัน"

    ....................บันตาพูดพร้อมกับจัดแถวให้โนรีและโมลีสลับที่เปลี่ยนข้างไปยืนอีกข้างหนึ่ง..และ

    ให้เณรและภูผายืนอีกข้างหนึ่ง..โดยมีลักษณะที่เณรและโนรีอยู่คู่กลางและขนาบด้วยภูผาที่อยู่ข้าง

    เณร..และโมลียืนอยู่ข้างโนรี...เมื่อจัดแถวได้ที่..บันตาได้เดินมาที่กล้องถ่ายภาพแล้วส่องดู..เมื่อเห็น

    ว่าทั้งสี่อยู่ในมุมกล้องแล้วก็กดชัตเตอร์ถ่ายภาพทันที

    ............................"คราด...แชต" เสียงชัตเตอร์กล้องถ่าภาพลั่นขึ้นอีกครั้ง

    .....................ผู้ร่วมถ่ายภาพทั้งสี่รีบเดินมาที่บันตา..เพื่อดูภาพ....บันตาลอกฟิลม์ดูภาพก็ปรากฏ

    ว่า "ร่างของโนรีที่ปรากฏอยู่ในภาพถ่ายยังคงมีแสงสว่างสีเหลืองทองกระจายออกมาจากร่าง

    ของโนรี"...ซึ่งเป็นอย่างที่บันตาคิดว่า"บางที่กล้องถ่ายภาพนี้สามารถเห็นและจับแสงจันทร์

    เพ็ญที่ออกมาจากร่างของโนรีได้"

    ......................โนรีดูภาพแล้วเอ่ยขึ้นกับบันตาด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย..ด้วยคิดว่า"แม้แต่

    ภาพถ่ายของตนยังไม่อาจแสดงให้คนอื่นนอกเหนือที่อยู่ ณ ที่นี้เห็นได้อีกหรือนี่" นางจึงเอ่ย

    ขึ้น

    ............................"แม่จ๋า..แม่ลองถ่ายภาพหนู่คนเดียวดูอีกครั้งหนึ่งนะจ๊ะ..เพื่อบางที..

    ภาพเดียวอาจไม่มีแสงสว่างนี้ออกมาจากตัวหนูก็ได้"

    ....................ทุกคนมองหน้าบันตาเพื่อรอคำตอบ..บันตายิ้มด้วยเก็บความรู้สึกกังวลไว้ใน

    ใจไม่ให้ทั้งสี่เห็น..แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................."ได้สิจ๊ะลูก..จะได้พิสูจน์ข้อสงสัยให้จบไปเลย"

    ....................โนรีไปยืนอยู่ที่บันตาจัดให้ยืนหน้ากล้อง...นางคิดว่าจะมีแสงหรือไม่มีแสงเกิดขึ้นก็

    ตาม..นางจะต้องไม่กังวลสิ่งใด...โดยทำใจให้เป็นปกติจ้องมองดูหน้ากล้องที่ส่องมาที่นาง..ด้วยใบ

    หน้าที่เรียบเฉย...

    .............................."แม่จะถ่ายภาพโนรีแล้วนะจ๊ะ เตรียมพร้อมลูก หนึ่ง สอง สาม" เสียงของ

    บันตาเอ่ยขึ้น

    ................................"คราด.....แชต" เสียงชัตเตอร์จากกล้องลั่นอีกครั้งหนึ่ง

    .....................โนรีและพวกรีบมาหาบันตาเพื่อดูภาพทันที...และแล้วคราวนี้ภาพของโนรีที่

    ปรากฏขึ้นต่อสายตา..คือ ภาพอันสวยงามของโนรีที่ดูสายตาของนางเย็นตาเย็นใจ..และมี

    แสงจันทร์เพ็ญสีเหลืองทองเรืองรองออกมาจากร่างของนางอย่างมากมายยิ่งกว่าภาพก่อน ๆ

    ที่ถ่ายไว้...อันเป็นบทสรุปที่ชัดเจนว่า "กล้องถ่ายภาพสามารถจับแสงจันทร์เพ็ญที่เปล่งรัศมี

    เรืองรองออกมาจากร่างของโนรีได้"

    ....................อันแสดงให้เห็นความจริงว่า "โนรีนั้นมีแสงจันทร์เพ็ญแผ่กระจายออกมา

    จากร่างกายของนางอยู่ตลอดเวลาเป็นความจริงดังคำเล่าขานของพ่อเฒ่ามูซา".....

    .....................ภาพของโนรีภาพนี้เหมือนมีมนต์ขลัง...เป็นภาพที่ทั้งสวยงามและเย็นตา

    เย็นใจเหมือนกับเป็นตัวแทนของโนรีได้อย่างดีเยี่ยม...ซึ่งภาพนี้เมื่อผู้ใดมาเห็นก็จะเกิดความ

    สุขมีความเย็นตาเย็นใจ..และสบายใจจนลืมความทุกข์ได้ชั่วขณะที่มองภาพนี้.......

    ......................ภาพดังกล่าวคงเป็นภาพสุดท้ายที่โนรีได้ถ่ายเอาไว้..และนางไม่เคยถ่าย

    ภาพใด ๆอีกเลย...ด้วยเกรงว่า"ผู้คนทั้งหลายจะเห็นสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับแสงจันทร์เพ็ญที่

    ปรากฏอยู่ในภาพ"....อีกทั้งภาพต่าง ๆเล่านี้ได้ถูกเก็บซุกซ่อนไว้ในบ้านของบันตา...ทั้งเณร

    และภูผาก็ไม่เคยปริปากบอกผู้ใดในเรื่องนี้...เขาทั้งสองยังเป็นผู้เก็บความลับของผู้หญิง

    จันทร์เพ็ญได้อย่างยอดเยี่ยม....

    .....................ภาพดังกล่าวได้ถูกนำมาติดตั้งที่หน้าฮวงจุ้ยหลุมฝังศพของโนรีในปี .....

    พ.ศ.2468 ..โดยไม่มีการอธิบายว่ามีอะไรเกิดขึ้นในภาพนั้น..แม้แต่นางสิ้นลมไปแล้ว...ก็ยัง

    ไม่มีชาวบ้านคนใดรู้ว่า"โนรีคือผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"...ด้วยคำจารึกต่าง ๆไม่เคยเอ่ยถึง....."มี

    แต่เพียงภาพปริศนาของนางภาพนี้เท่านั้น"..ที่ผู้คนได้มองแล้วต่างต้องขบคิดพิจารณาไป

    ต่าง ๆนานา...แต่ด้วยอานุภาพของภาพถ่ายที่ผู้ใดได้เห็นเหมือนกับได้เห็นผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญ...ทำให้ผู้ที่ได้มาเห็นภาพรู้สึกสุขใจมากกว่ามีความรู้สึกอย่างอื่น...............นับจากปี

    พ.ศ.2468 ที่โนรีสิ้นลมและภาพนี้ปรากฏขึ้น...เคยมีผู้คนมองภาพนี้อยู่นานนับชั่วโมง...โดย

    ไม่สนใจสิ่งอื่นใด...เหมือนกับเขาจะถามภาพ ๆนี้ว่า..."นางเป็นใคร...นางกำลังคิดอะไร..นาง

    กำลังรู้สึกอย่างไร...มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับภาพนี้...แสงที่ออกมาจากร่างนี้คือแสงอะไร..และ

    จินตนาการอีกหลายอย่างมากมายที่จะขบคิด"...

    .....................ภาพ ๆนี้จะไปติดตั้งที่หลุมศพได้อย่างไร...ใครเป็นคนทำ..พร้อมกับรูปปั้น

    ที่นางเป่าขลุ่ยที่เกิดจากฝีมือของโมลีน้องสาวอันเป็นที่รักของนาง..จะไปอยู่ที่..อนุสรณ์ความ

    ทรงจำของฉันเพื่อเธอ..ได้อย่างไร...ติดตามกันต่อไปนะครับ.....เรื่องราวยังอีกยาวที่ผู้เขียน

    จะนำเสนอต่อ ๆ ไปครับ.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 466807c43f8a1.jpg
      466807c43f8a1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      113.1 KB
      เปิดดู:
      39
    • 006.jpg
      006.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102.8 KB
      เปิดดู:
      33
    • 333504_886333106.jpg
      333504_886333106.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.9 KB
      เปิดดู:
      34
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .............ทบทวนบุคคลเด่นของเรื่อง..........


    .....................เรื่องราวเบื้องต้นของแต่ละบุคคลได้ถูกถ่ายทอดไป..ใน

    ตอนนี้จะกล่าวทบทวนถึงบุคคลเด่นในเรื่อง..ส่วนบุคคลอื่น ๆก็มีอยู่แต่จะไม่

    แจกแจ้งเรื่องราว...

    .....................บุคคลแรก คือ บุรุษหนึ่งเลิศปัญญาหาญกล้าสู้ดวงอาทิตย์

    ก็คือ เมือง มีสุข ปลัดเมืองน่านฝั่งตะวันออก..ซึ่งเป็นบุรุษที่เกิดในฤกษ์สุริย

    คราสหรือดาวราหูอมดวงอาทิตย์..ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับดวงอาทิตย์ในชะตาดวง

    กำเนิด...จึงเป็นคนกล้าท้าทายสู้กับดวงอาทิตย์แม้จะเป็นการสู้ด้วยการจ้อง

    มองเพื่อค้นหาความลับปมด้อยของดวงอาทิตย์ก็ตาม..อุปนิสัยเป็นคนกล้า

    หาญ โลดโผนบ้าบิ่น..ทนงตัว รักสนุก..และจริงจังในบ้างเรื่อง..เป็นคนช่างคิด

    ช่างสังเกตหาเหตุผล...และฉลาดเจ้าปัญญา..เชื่อมั่นในตนเองสูง

    .....................บุคคลที่สอง คือ บุรุษหนึ่งฉลาดยิ่งเพียรเป็นเลิศ..ก็คือ

    ปักษ์ หงษา ปลัดเมืองน่านฝั่งตะวันตก..ซึ่งเป็นบุรุษที่มีความฉลาด คิดละเอียด

    รอบคอบในการทำสิ่งใด ต่าง ๆ จะต้องทบทวนค้นหาเหตุผล...และความถูก

    ต้อง..เมื่อรวบรวมข้อมูลได้ครบถ้วนจนมั่นใจ..ก็จะแสดงความแหลมคมทาง

    ปัญญาให้เห็น...และเป็นคนที่มีความพยายามทำอะไรจริงจัง..แบบตรงไปตรง

    มา..ไม่มียืดหยุ่น...ดูแล้วพฤติกรรมจะขัดแย้งทางความคิดกับ เมือง มีสุข

    ตลอด...

    .....................บุคคลที่สาม คือ บุรุษหนึ่งไหวพริบล้ำเลิศเป็นเอกการยิงธนู

    ก็คือ เฮียงคี้ แซ่เจ็ง..สมุนของขุนนางพม่าที่ส่งมาทำงานร่วมกับเอหม่อง..เป็น

    ชาวมองโกลที่เป็นนักแม่นธนูตัวยง..ผู้ล่านกอินทรีกลางเวหา..เป็นผู้ที่ยิงธนูได้

    แม่นยำและเฉียบขาด..เหนือกว่าเมือง มีสุขอย่างมากมาย...ได้สร้างตำนาน

    การดวลธนูกับเมือง มีสุขหลายครั้ง...ที่เมืองน่านฝั่งตะวันออก..เขาเป็นคน

    ฉลาดขบคิดริเริ่มวางแผน..และอ่านทางคู่ต่อสู้...

    .....................บุคคลที่สี่ คือ บุรุษหนึ่งเป็นดุจบรมครูการเป่าขลุ่ย..ก็คือ มู

    ซา..พ่อเฒ่าที่ตามหา"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"ในตำนาน..ที่จะมาเกิดขึ้นในปี พ.

    ศ.2448 ที่ดินแดนชายฝั่งทะเลเหนือแดนมลายู..เป็นคนที่มีพรสวรรค์และ

    วิชาการเป่าขลุ่ย..ได้ค้นพบต้นไผ่ที่ถูกฟ้าผ่าและไม่ไหม้ไฟเสียหาย..นำมาทำ

    ขลุ่ยฟ้าผ่าที่มีอานุภาพเสียงสั่นสะเทือน..เหมือนกับขลุ่ยหลายเลาถูกเป่าพร้อม

    กัน...การเป่าขลุ่ยจนจำเจในบทเพลงที่มีอยู่..ทำให้เขาเกิดแนวคิดทางปรัชญา

    ขึ้นมาว่า...บทเพลงขลุ่ยนั้นเป็นเหมือนกับรางรถไฟ..ที่มีอยู่..ส่วนการเป่าขลุ่ย

    ก็เหมือนกับการขับรถไฟออกจากสถานีต้นทางไปตามรางรถไฟไปสิ้นสุดสถานี

    ปลายทาง....เขาจึงคิดได้ว่า..การเป่าขลุ่ยตามบทเพลงนักเป่าขลุ่ยคนใดก็

    สามารถเป่าได้เหมือนกันหมด..และเขารู้สึกไม่มีอิสระในการเป่า...การเป่าขลุ่ย

    ตามบทเพลงต้องจำจำเนื้อบทเพลง โน๊ตเพลง ทำนองเพลง และลีลาการเป่า

    ตามจังหวะ..ซึ่งเป็นการเป่าโดยอาศัยการจดจำบทเพลงของผู้อื่นทุกครั้งที่

    เป่า...จึงเหมือนกับการถูกบังคับให้เล่นตามผู้อื่นทุกครั้งไปจนตลอดชีวิต..อัน

    เปรียบเหมือนกับรถไฟที่ถูกบังคับให้วิ่งได้เฉพาะบนรางเท่านั้น...ดังนั้นเขาจึง

    เป่าขลุ่ยโดยไม่มีความทรงจำ..เป่าไปตามอารมณ์ไปเรื่อย...เขาจึงค้นพบวิธี

    การเป่าขลุ่ยไร้ความทรงจำขึ้น..และได้ถ่ายทอดให้แก่โนรีผู้หญิงจันทร์เพ็ญ

    พร้อมกับขลุ่ยฟ้าผ่า...

    .....................บุคคลที่ห้า คือ บุรุษหนึ่งทรยศต่อหน้าที่ด้วยความดีที่ถูก

    ต้อง ก็คือ ขุนทัพ ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาด่านแม่สายและขับไล่ผู้อพยพจากพม่าเข้า

    แดนสยาม..กรณีที่พม่าถูกกองทัพอังกฤษปกครองเป็นเมืองขึ้น...เขาได้รับสาว

    พม่าเข้าเมืองสยามเมื่อตอนที่ทหารพม่าพานางมาส่งให้แก่เขา...และรับนางไว้

    เป็นภรรยาและให้กำเนิด เมือง มีสุข ขึ้น......ขุนทัพให้ข้อคิดแก่ เมือง มีสุข

    ลูกชายว่า.."เมตตากับหน้าที่ เป็นความดีทั้งคู่เป็นความสูงส่ง"....สุดแท้แต่ลูก

    ชายของตนจะเลือกเถิด...แต่เขาเลือกเอาเมตตาตามแนวทางพระพุทธองค์...

    โดยยอมทำผิดหน้าที่......

    ....................บุคคลที่หก คือ บุรุษหนึ่งทรงคุณธรรมแห่งนักปกครอง ก็คือ

    เจ้าเมืองน่าน....เป็นผู้ที่ปกครองเมืองน่านทั้งสองฝั่งตะวันตกและตะวันออก...

    เป็นผู้ที่สุขุมลุ่มลึก..และให้ความเมตตาแก่ผู้ใต้บังคับบัญชามาตลอด..ไม่เคย

    จะใช้พระเดชในการปกครอง...จะคิดการสิ่งใด..ก็จะให้เกียรติหารือผู้ใต้บังคับ

    บัญชา...และเป็นผู้ที่ปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาจนยอมที่จะลาออกจากตำแหน่ง

    เจ้าเมืองน่านในตอนท้าย....

    ....................บุคคลที่เจ็ด คือ บุรุษหนึ่งเกิดมาเพื่อจะรัก ก็คือ เณรหรือพ่อ

    ท่านเณรในบทสุดท้าย...ที่ให้ความรักโนรีผู้หญิงจันทร์เพ็ญมาตลอดชีวิต..เป็น

    ผู้ที่คอยดูแลปกป้องโนรีมาตลอด...เป็นผู้ที่นำกล้วยไม้ป่าที่ยังไม่มีการตั้งชื่อ

    มาให้แก่ โนรีและโมลี..และโนรีได้ตั้งชื่อกล้วยไม้ป่านั้นว่า "เณรีนรา" เป็นที่

    ระลึกแก่เณร...ชีวิตของเณรพอได้บวชเป็นพระภิกษุเขาจะธุดงค์ไปทั่วเพื่อ

    อบรมสั่งสอนผู้คน..ตามแนวทางของพระพุทธองค์..พร้อมกับการปฏิบัติ

    ธรรม...ซึ่งชีวิตช่วงธุดงค์และเป็นพระยังไม่ได้เอ่ยถึงเลย...

    ....................บุคคลที่แปด คือ บุรุษหนึ่งมุ่งมั่นกตัญญู ก็คือ ตี๋เล็ก..ผู้ที่ซึม

    ซาบคำสอนของอากง อาเจ็ก..และกตัญญูต่อบรรพบุรุษ เป็นผู้ที่นำเอาแผ่นดิน

    จีนจากเมืองจีน ใส่ถุงแป้งกลับมาเมืองสยาม..เพื่อให้เตี่ยได้เห็นแผ่นดินจีนที่

    จากมา..และนำดินไปโปรยเหนือหลุมศพของอากงอาม่า..เพื่อให้บรรพชนที่

    จากเมืองจีนมาได้มีแผ่นดินจีนกลบร่าง..เพื่อให้แผ่นดินจีนอันเป็นแผ่นดินแม่ได้

    โอบกอดร่างลูกที่ไร้วิญญาณจากเมืองจีนไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง......

    .....................บุคคลที่เก้า คือ บรรพชิตหนึ่งดุจปรมาจารย์ผู้ให้คำสอนที่

    ล้ำเลิศ ก็คือ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า...ผู้ซึ่งได้ธุดงค์ไปที่ดอน

    เจดีย์ในอดีตและพบดวงวิญญาณของพระมหาอุปราชา..และพระองค์ได้บอก

    กับหลวงปู่ว่าจะมีผู้มีบุญญาธิการมาส่งดวงวิญญาณของท่านขึ้นสรวงสวรรค์...

    และจะมีกษัตริย์พม่าที่มีสายเลือดสยามกับพม่ามานำร่างท่านจากใต้เจดีย์ที่

    ดอนเจดีย์กลับพม่า....จนกระทั่งเมื่อเดือนมกราคม 2456 ได้มีบันทึกที่

    อนุสาวรีย์ดอนเจดีย์ว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้กระทำพิธีส่ง

    ดวงวิญญาณของพระองค์ขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไปแล้ว....แต่ร่างของท่านเหลือแต่

    เพียงรอกษัตริย์พม่า....ที่จะมีขึ้นเท่านั้น...ซึ่งจะเป็นจริงหรือไม่ก็ต้องรอ

    พิสูจน์....และหลวงปู่ศุขได้เป็นผู้แสดงธรรมหลายสถานที่หลายแห่ง....แล้วแต่

    โอกาส......

    .....................บุคคลที่สิบ คือ บุรุษหนึ่งกลับชาติเกิดเพื่อทำหน้าที่..

    บุรุษผู้นี้ยังไม่มีการเขียนถึงเลย....แต่จะเริ่มเขียนต่อจากตอนหน้าที่จะ

    เอ่ยถึงเมือง มีสุขอีกครั้ง....

    .....................บุคคลที่สิบเอ็ด คือ สตรีหนึ่งงามเด่นให้ความเย็นแก่โลก ก็

    คือ โนรี นรา หรือ ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..ผู้ที่ดวงจันทร์เพ็ญส่งนางมาเกิดบนโลก

    มนุษย์เพื่อให้เป็นดวงจันทร์บนพื้นโลก...ซึ่งรายละเอียดได้กล่าวถึงเรื่องราว

    เบื้องต้นจนเป็นที่รู้จักแล้ว

    .....................บุคคลที่สิบสอง คือ สตรีหนึ่งเรียนรู้ความเป็นเอกแห่ง

    ปรัชญา ก็คือ สายพิณ ที่เป็นผู้สืบทอดแนวความคิดของ เมือง มีสุข ได้เข้าใจ

    อย่างแจ่มแจ้ง..นางรักและถือเขาเป็นเหมือนวีรบุรุษในดวงใจ...และนางก็ได้

    คิดปรัชญาของนางออกมาที่เหนือยิ่งกว่าเมือง มีสุข...เมื่อนางได้ไปอยู่บนยอด

    เขาสูง..สถานที่ที่เดียวกับเมือง มีสุขตอนสู้กับดวงอาทิตย์......

    .....................บุคคลที่สิบสาม คือ สตรีหนึ่งสูงศักดิ์เพียรกอบกู้ชาติ คือ

    สายฝน หรือ ตะละแม่ราชาวดี..ราชธิดาในสายเลือดของโอรสของพระเจ้า

    จักกายแมง..ที่เพียรพยายามจะสร้างชาติพม่าขึ้นมาใหม่..โดยขับไล่กองทัพ

    อังกฤษ..และขับเคี่ยวกับขุนนางพม่าที่จะสร้างราชวงศ์ใหม่ขึ้นมา...นางต้อง

    การให้เมือง มีสุข กลับไปเป็นกษัตริย์เมืองพม่า...

    .....................บุคคลที่สิบสี่ คือ สตรีหนึ่งเป็นแม่ที่แสนเลิศ ก็คือ บันตา..

    ที่นางได้สามีเป็นชาวญี่ปุ่น..และได้จากนางไปญี่ปุ่นตอนใกล้เกิดสงครามโลก

    ครั้งที่หนึ่ง...ทิ้งลูกสาวโนรีและโมลีไว้ให้นางเลี้ยงดู...ซึ่งนางได้อบรมสั่งสอน

    ลูกของนางทั้งความคิด..และหลักธรรมของพระพุทธองค์

    .....................บุคคลที่สิบห้า คือ สตรีหนึ่งเลิศแห่งความจำและยอดศิลป์

    ก็คือ โมลี นรา เด็กน้อยที่มีความจำเป็นเลิศ นางสามารถจดจำเสียงเพลงขลุ่ย

    ของพี่สาวที่เป่าได้ในทันทีและเป่าตามเสียงขลุ่ยของพี่สาวซึ่งไร้ความจำในบท

    เพลงได้อย่างเยิ่ยมยอดและไพเราะ...อีกทั้งยังเป็นผู้วาดภาพบันทึกเสียงเพลง

    ขลุ่ย..ปั้นรูปปั้นของพี่สาวตั้งไว้ที่อนุสรณ์ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ.....

    .....................วิถีชีวิตเบื้องต้นของแต่ละบุคคลได้นำเสนอไปแล้ว...

    ต่อไปก็จะนำเสนอเรื่องของเมือง มีสุข และบุรุษหนึ่งกลับชาติเกิดเพื่อทำ

    หน้าที่ต่อไปครับ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2012
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .......ตอนที่ 89 การเดินทางของบุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์.......




    .....................ย้อนกลับมาที่ปลายฤดูหนาวปี พ.ศ.2461 ณ เมืองน่าน..เมือง มีสุข ได้ล่อง

    แพขนาดย่อมที่ขนสัมภาระเสบียงอาหาร..และม้าสีนิล..โดยบนแพได้ทำที่พักเป็นเพิงพักพิงสำหรับนั่ง

    และหลับนอนไปพร้อมสรรพ..ล่องไปตามลำน้ำน่านมุ่งไปทางทิศใต้โดยไร้จุดหมายปลายทาง..ซึ่งเป็น

    การตัดสินใจของเขา..ที่จะให้เอหม่อง เฮียงคี้และกองกำลังพม่า..เลิกยุ่งวุ่นวายกับเมืองน่าน...ซึ่งเมื่อ

    ไม่มีเขาอยู่แล้วอาจทำให้เอหม่องกับพวกล้มเลิกติดตามหาเขาและกลับแดนพม่าไป......

    ....................เจ้าเมืองน่านได้ตั้งให้ปลัดปักษ์เป็นผู้ช่วยเหลือขุนทัพ..แทนปลัดเมือง..ประจำอยู่ที่

    เมืองน่านฝั่งตะวันออก.....และให้ปลักปักษ์รับหน้าที่ในการวางแผนจัดการกับกองกำลังพม่าที่แฝงตัว

    อยู่ที่เมืองน่านฝั่งตะวันออก......

    ....................บุญแทน สาย มุก รวมทั้งกัมพูที่ประจำอยู่เมืองน่านฝั่งตะวันตก..ก็ได้ถูกส่งตัวไป

    ช่วยเหลือขุนทัพและปลัดปักษ์ที่ฝั่งตะวันออก.....พร้อมกับหัวหน้าตำรวจ ร.ต.ต.เวียง ศิลา..เพราะถือ

    ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นงานใหญ่ที่จะต้องทำสำเร็จให้ได้...

    ....................เจ้าเมืองน่านยังคงเก็บเรื่องไว้..ไม่ยอมรายงานไปที่เมืองหลวงว่า..ได้มีกองกำลัง

    พม่าบุกรุกเข้ามาในเมืองน่าน...เพราะตนเองรู้ดีว่า..หากมีการรายงานไปยังเมืองหลวง...เมืองหลวงจะ

    ต้องแจ้งไปยังทูตอังกฤษ..และเมืองหลวงจะส่งกำลังทหารเข้ามาในเมืองน่าน...และจะต้องค้นหาหรือ

    สืบหาสาเหตุที่ "ทำไมอยู่ดี ๆกองกำลังพม่าจึงยกเข้ามาบุกถึงเมืองน่าน...อันจะเป็นสาเหตุให้

    สืบหาราวเรื่องไปยังต้นตอเดิมอันเป็นความผิดของขุนทัพกับพวก...ที่กระทำผิดหน้าที่นำสาว

    ชาวพม่าเข้าสู่แดนสยาม..และจะต้องกระทบถึง..ปลัดเมืองที่มีแม่เป็นชาวพม่าอีก"....

    ....................ดังนั้น แนวคิดของเจ้าเมืองน่านและปลัดปักษ์..โดยเฉพาะปลัดปักษ์ที่ไม่ยอม

    ผิดหน้าที่จะทำตามหลักการเพียงอย่างเดียว...โดยรายงานเรื่องราวเข้าเมืองหลวง....ต้อง

    เปลี่ยนความคิดไปตามปลัดเมือง...คือ "จัดการภาระหน้าที่นี้ด้วยกำลังความสามารถของตน

    และเจ้าหน้าที่ของเมืองน่านทั้งหมด"

    ....................ฝ่ายสายพินนั้นนางตกอยู่ในอาการซึมเศร้าไม่พูดไม่จาสิ่งใด..จากเด็กสาว

    ที่มีความสดใสและร่าเริง..เป็นดุจผีเสื้อน้อย...อันเป็นสิ่งสวยงามของโลกที่โบยบินโฉดไปมา..

    ด้วยท่าทางเริงร่าตามหมู่มวลดอกไม้...ประดับความสดใสเบิกบานให้แก่โลก....กลับเปลี่ยน

    ท่าทีหงอยเหงา...ทำให้สายใจผู้เป็นพี่ต้องคอยพูดจาปลอบโยน..ตลอดเวลา.....

    .....................สายพินนั้นจ้องมองดูแต่"ลูกธนูดอกกุหลาบ"อันเป็นคำมั่นสัญญาที่เมือง มี

    สุขให้แก่นางไว้ว่า..หากสะพานข้ามแม่น้ำน่านถูกสร้างเสร็จเมื่อไร..เมือง มีสุขจะพาสายพินขี่

    ม้าขึ้นไปบนยอดภูเขาสูงเพื่อจ้องมองสู้กับดวงอาทิตย์กับเขา..."..นางรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้ง

    แรกที่เมือง มอบของสิ่งนี้ให้แก่นาง....และรำลึกถึงคำปรัชญาที่เมืองค้นพบที่ว่า "การครอบ

    ครองยึดถืออะไรด้วยมือ มันช่างได้น้อยสิ่งนักเหมือนกับที่ข้าถือได้เพียงขวดใบนี้....แต่การ

    ครอบครองยึดถืออะไรด้วยสายตา ข้าสามารถครอบครองมันได้เท่าที่สายตาของข้าจะมองไป

    ได้ไกลแสนไกล โดยไม่ต้องแย่งชิงกับผู้ใด"..นางคิดถึงเขาหยาดน้ำตาเล็ก ๆก็เริ่มรินไหล

    ออกจากดวงตาคู่น้อย...อย่างไม่หยุดหย่อน...."ความรักและความคิดถึง".....เป็นเรื่องที่

    ทรมานจิตใจของคนที่มีความรักเสมอ........

    .....................ส่วนเมืองนั้น ขณะที่กำลังเดินทางตามลำน้ำน่านในช่วงปลายฤดูหนาวที่อากาศ

    หนาวเมืองอยู่กับสายน้ำที่เก็บความเย็นได้ดี...แผ่กระจายความหนาวเย็นขึ้นสู่แพน้อย...เขาจะหนาวจน

    สะท้านหัวใจ.....แต่การหนาวทางกายก็ไม่สู้กับการหนาวใจ...ที่เขาคิดไม่ตกว่า..เขาจะได้กลับมา

    เมืองน่านอีกเมืองใด...

    .....................การที่บุคคลใดเดินทางไปโดยเปล่าเปลี่ยวและไม่มีเหตุการณ์ปัจจุบันใดให้ขบคิด

    หรือทำ..."บุคคลส่วนใหญ่โดยมากก็จะดึงเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวพันกับตนมาขบคิดอยู่

    เสมอ"...เช่นเดียวกับเมืองตอนนี้..การเดินทางอันว้าเหว่..ที่แพน้อยล่องไปตามน้ำ..ไกลแสน

    ไกลจากเมืองน่าน..ผ่านป่าพงไพร..และดินแดนที่ไม่เคยรู้จัก....เขามีจิตย้อนคิดถึงอดีตของ

    เขา..พ่อของเขาที่จากมา..แม่ของเขาที่เมืองพม่าที่ปราสาทไม้สักลุ่มน้ำสาละวิน...เรื่องราว

    ของเขากับพวกสหาย..ทั้งที่หมู่บ้านเมืองน่านฝั่งตะวันออก.และชาวเขาบนดอย.เช่น ลีเจง.

    และนะจา....และไม่เคยลืมความสุขเล็ก ๆระหว่างอยู่กับสายพินเลย.....กองกำลังพม่าทำให้

    เขาขบคิดระแวงว่าปลัดปักษ์อาจไม่มีความสามารถขับไล่ออกจากแผ่นดินน่านฝั่งตะวันออก

    ได้...และกองกำลังพม่าอาจสอดแนมมาถึงฝั่งตะวันตกอันเป็นที่ตั้งของตัวเมือง..ซึ่งจะต้อง

    เกิดเรื่องหนักใจแก่เจ้าเมืองน่านมากขึ้น.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2012
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .............ตอนที่ 90 ลูกนกกาเผือกแห่งลำน้ำน่าน.............



    ....................เช้าวันหนึ่งขณะที่แพของเมือง มีสุขกำลังจอดอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ

    น่านชายป่า...เมืองนั่งขบคิดว่า..เขาควรหยุดการเดินทางไว้ก่อนเพื่อชลอฟังข่าวคราวจากเมืองน่าน

    หรือ จะปล่อยแพล่องลอยไปตามกระแสน้ำน่านต่อไป.....

    ....................ขณะที่เขากำลังคิดอะไรเพลิน ๆอยู่..เขาก็ได้ยินเสียงนกน้อยที่กำลังบินอยู่เหนือ

    ต้นไม้ที่กิ่งไม้ยื่นออกมาสู่ลำน้ำน่าน...โดยมีเหยี่ยวตัวหนึ่งที่กำลังพุ่งตรงเขามาเพื่อใช้กงเล็กโฉบนก

    น้อยตัวนั้น..เอาไปกินเป็นอาหาร.....

    .....................เขาดูอาการของนกน้อยที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในท้องทุ่งของเมืองน่านฝั่งตะวัน

    ออก..มันกำลังตกใจกลัวและรู้ว่าภัยกำลังมา...มันพยายามกระพือปีกบินหนี..ด้วยความที่มันหลงทาง

    จากแม่มันเพราะการฝึกบินในขณะที่กำลังปีกยังไม่แข็งแรง....

    .....................เหยี่ยวซึ่งขณะนี้เป็นดุจดังอสุรกายกลางเวหา..ผู้ได้ชื่อว่า"ผู้ล่า" ถ้าเปรียบเทียบ

    เป็นคนธรรมดา..ก็ได้ชื่อว่า"ผู้กำลังกระทำปาณาติบาต"อันเป็นการผิดศีลข้อที่หนึ่ง....แต่วิสัยของสัตว์

    เดรัจฉานนั้นไม่มีปัญญารู้เรื่องราวของศีล...ที่จะช่วยดันอัตภาพของมันให้สูงขึ้น...เหมือนกับทางโลก

    เรียกอาการของความไม่รู้นี้ว่า "อวิชชา"..เรียกว่าเป็นธรรมอันสุดยอดของฝ่ายมารเลย...

    อวิชชามีมากเพียงใดย่อมฉุดรั้งคนให้ติดอยู่กับโลกมากเท่านั้น...บุคคลจะไม่เห็นสภาพความ

    เป็นจริงทางโลกได้ชัดเจนเลยตราบที่ยังมีอวิชชาครอบงำอยู่...ดังนั้นพระพุทธองค์จะมุ่งสอน

    เน้นคนเพื่อให้เกิด"ปัญญา"เพื่อให้เห็นความเป็นจริงของโลก....

    ....................ในการปฏิบัติธรรมนั้นตัว"ปัญญา"คือพระเอกสุดยอดที่เป็นคู่ปรปักษ์กับ

    "อวิชชา" ตัวโกงที่สุดในโลก....พระพุทธองค์ห่ำหั่นกับอวิชชาด้วยตัวปัญญา...เพราะเมื่อ

    กลั่นกรองดูขบวนการทางธรรมแล้ว...มีข้อธรรมหลายอย่างที่หยิบยกมาสู้กับอวิชชาไม่ว่าจะ

    เป็นบารมีต่าง ๆ..หรือข้อธรรมอื่น ๆ.....ก็ไม่อาจสู้ตัวปัญญาที่เป็น.."ธรรม"อันเป็นธรรมชาติคู่

    ตัวของเรา..แต่ไม่ใคร่จะมีใครในทางโลกที่สนใจจะอบรมปัญญาเพื่อสู้กับอวิชชาเลย...จะ

    อบรมปัญญาก็มุ่งไปในทางแก้ไข...ปัญหาที่ทางโลกป้อนเข้ามา เช่น.การสร้างรถยนต์ให้สวย

    หรูโดยออกแบบให้สุดเท่ห์ขึ้นมาทุกปี...เพื่อดึงดูดให้คนชอบให้ติดอยู่กับโลก....ว่าโลกยังมี

    สิ่งที่สวยหรูและงดงามอีกเยอะมาให้ดูเรื่อย ๆ..."อย่างเพิ่งทิ้งโลกไปหาทางธรรมเลย"......

    ตัวปัญญานั้นเป็นที่ยอมรับว่า คือ สิ่งที่เป็นอุปกรณ์และเครื่องมือในการกำจัดอวิชชา...เมื่อ

    เพิ่มพูนปัญญาในการปฏิบัติธรรม...ปัญญาจะกล้าแข็งและแหลมคม...สามารถมองอะไร ๆ

    ทะลุปรุโปร่งได้ทั้งทางโลกและทางธรรม......

    .....................เจ้าเหยี่ยวหรืออสุรกายกลางเวหาได้พุ่งเข้ามาหานกน้อยด้วยความเร็วและแรง....

    เมืองมองดูและภาวนาให้เจ้านกน้อยปลอดภัย...เจ้านกน้อยถูกกงเล็บของเหยี่ยวตะปบเพื่อให้เข้าอุ้ง

    เท้าของมัน..แต่ด้วยปีกที่มันกระพืออยู่..ทำให้เจ้าเหยี่ยวไม่สามารถตะปบนกน้อยเข้าสู่อุ้งเท้าและกง

    เล็บของมันได้....แต่ความแรงที่มันโฉบพุ่งเข้ามากงเล็บของมันได้ถีบส่งนกน้อยล่วงลงสู่ลำน้ำน่าน

    ทันที.....เจ้าเหยี่ยวบินสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อกลับมาโฉบเป้าหมายที่กำลังกระพือปีกที่โดยน้ำหนักของน้ำ

    ท่วงอยู่...ทำให้เคลื่อนไหวบินขึ้นไม่ได้...นอกจากช่วยตัวเองเพื่อให้ไม่จมน้ำเท่านั้น.....

    .....................เมืองเห็นดังนั้น..เขาคิดว่าตอนนี้มีโอกาสช่วยมันได้แล้ว..เพราะเหยี่ยวบินพุ่งขึ้นสู่

    ท้องฟ้าสูงไกลจากนกน้อย....เขาชักปืนพกออกจากเอวแล้วยิงขู่ไล่เหยี่ยวตัวนั้นทันที...เสียงปืน

    ดังสนั่นไปทั่วป่าและลำน้ำน่าน...เจ้าเหยี่ยวได้ยินเสียงปืนตกใจหยุดชะงักและบินหนีไป

    ทันที......

    .....................เมืองกระโดดจากแพลงน้ำและว่ายน้ำอย่างเร็วเพื่อไปช่วยนกน้อยตัวนั้นที่

    กำลังจะจมน้ำ.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • birds_fly.gif
      birds_fly.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.8 KB
      เปิดดู:
      163
    • flying.gif
      flying.gif
      ขนาดไฟล์:
      82.5 KB
      เปิดดู:
      46
    • IMG_2264.JPG
      IMG_2264.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.9 MB
      เปิดดู:
      34
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2012
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองนำลูกนกน้อยขึ้นมาบนแพ...มันเป็นนกที่มีลำตัวสีขาวรูปร่างคล้ายอีกาสี

    ดำ..สีขาวของมันตัดกับสีแดงของเลือดที่ไหลออกจากบาดแผลของมันที่ถูกกงเล็บของเหยี่ยวพุ่ง

    ชน...หากมันมิได้กระพือปีกอยู่ขณะที่เหยี่ยวพุ่งโฉบลงมา..มันคงถูกกงเล็บของเหยี่ยวจับตัวได้แล้ว....

    .....................เมืองนำผ้ามาเช็ดตัวมันที่เปียกน้ำอยู่และเช็ดบาดแผลและเลือดออก..เข้านำยา

    สมุนไพรมาพอกที่บาดแผลของมันอย่างเมตตาสงสาร...และนำมันยืนที่แคร่ภายในเพิงพัก..มันยืน

    อย่างสงบด้วยอาการหนาวสั่น...ด้วยความเย็นของอากาศในฤดูหนาว..มันไม่คิดที่จะบินหนีไปไหน...

    ด้วยมันคงรู้ด้วยสัญชาตญาณของมันว่า..ผู้ที่อยู่กับมันมิใช่ผู้ทำลาย....แต่เป็นผู้ที่ช่วยเหลือมันต่าง

    หาก...ในความคิดของนกน้อยคิดว่า"แม่กับพ่อของมันอยู่ที่ไหน...กำลังจะบินตามหามันหรือไม่...มัน

    ไม่สามารถหาทางกลับรังได้..หากไม่มีผู้นำทางมันไป...เพราะขณะนี้มันบินไม่ได้เสียแล้ว"

    ............................"แกว๊ก ๆ......" เจ้านกน้อยมันสงเสียงร้องเรียกหาแม่

    .....................เมืองจ้องมองดูมันด้วยความสงสาร.......หากเขาตัดขาดจากความทรนงทิฏฐิ

    มานะ..และความมุทะลุดุดัน..ตามสัญชาตญาณของดาวราหู...เขาจะเป็นคนที่อ่อนโยนมาก..ซึ่ง..

    ความอ่อนโยนและนอบน้อม..ที่เขาเคยแสดงออกที่มาจากใจของเขานั้น...เห็นจะมี"สายใจ"เท่านั้นที่

    รับรู้อยู่ในที...ที่เขาแสดงออกต่อ"สายใจ"ลูกสาวคนโตของเจ้าเมืองน่านพี่สาวของ"สายพิน" และยัง

    เป็นคนรักของปลัดปักษ์อีกต่างหาก...

    ....................เขาอยู่ต่อหน้าของสายใจ..เหมือนเขาจะมีความนับถือยำเกรงคุณหนูสายใจอยู่

    มาก....เหตุที่เป็นเช่นนั้นน่าจะมาจาก...การแสดงความห่วงใยและความรักของ"สายใจ"ซึ่งเป็นพี่ที่มี

    ต่อน้องสาวคือ "สายพิน"...เมืองมีปมด้อยที่เขาไม่เคยรู้จักความรักของพี่ที่มีต่อน้องว่าเป็นอย่างไร....

    พร้อมทั้งไม่เคยรู้จักความรักของน้องที่มีต่อพี่นั้นเป็นอย่างไร....เพราะเขาคือ ลูกชายคนเดียวของพ่อ

    แม่ที่ไม่มีพี่หรือน้องให้อยู่ร่วม...แม้แต่ความรักของแม่ที่เป็นปมด้อยอยู่..เขาก็เพิ่งไปสัมผัสเมื่อตอนไป

    ที่เมืองพม่า..ที่ปราสาทไม้สักลุ่มน้ำสาละวิน......ก็บุคคลใดที่เป็นเช่นเขานี้ที่ "ไม่มีพี่หรือน้องเหมือน

    เขา" ..อย่าได้ทนงไปว่าจะให้ความรักต่อพี่หรือน้องได้..ในเมื่อไม่เคยมีพี่น้องมาก่อน..."เพราะสิ่งนี้มัน

    คือความรู้สึกที่ต้องมีอยู่จริง ๆ".......เรื่องราวนี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งทียืนยันได้ว่า ปุถุชนทั่วไปอย่างเรา

    ไม่มีทางรู้อะไร ๆไปทั้งหมดหรอก.......

    ...................ย้อนกลับมาที่เมือง..เขามองเพื่อนร่วมโลกตัวน้อยที่อยู่บนแพ..และเทียบเคียงกับวิถี

    ชีวิตของเขาตอนนี้...ก็พบว่า"นกน้อยนั้นถึงจะได้รับบาดเจ็บและหลงทาง...แต่มันก็มีความหวังหรือเป้า

    หมายของชีวิต...คือตามหาแม่ของมันและรังของมัน...มันจึงโชคดีกว่าเขา...ที่เขาขณะนี้ไม่มีที่ไป

    และไม่มีความหวังหรือเป้าหมายของชีวิตเลย...ชีวิตของเขาอยู่ในวิถีของคนต้องเดินทางอย่างไร้จุด

    หมาย....."

    ....................แม้ชีวิตจะโดดเดี่ยวเหมือนกัน..แต่ความหวังทำให้เกิดความแตกต่าง..ระหว่างคน

    กับนกน้อย...นกน้อยที่เขากำลังเพ่งมองดูอยู่มัน คือ "ลูกนกกาเผือก"ซึ่งเจ้านกตัวนี้ผู้เขียนจะต้องชี้

    ให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างคนกับนกตัวนี้...ก็เพราะว่าเจ้านกตัวนี้คือนกที่จะต้องกลับชาติมาเกิด..

    และจะเป็นตัวเดินเรื่องราวและรวบรวมเรื่องราวของทั้งซีกเมืองน่านและเมืองสุราษฎรธานี...ให้ปรากฏ

    เป็นเรื่องราวขึ้น.....

    ....................เมืองได้รักษาพยาบาลเจ้านกน้อยจนมันหายและได้ป้อนข้าวป้อนน้ำมันจนเจริญเติบ

    โต..จนมันสามารถบินได้อย่างแข็งแรง....มันและเขาล่องแพไปตามลำน้ำน่านอยู่ระยะหนึ่ง.....เจ้านก

    กาเผือกน้อยก็บินไปจนพบแม่และพ่อของมัน...ก่อนที่จะจากกันมันได้บินโผถลามาเกาะที่บ่าของ

    เมือง....และส่งเสียงร้องเหมือนเป็นการอำลา..แต่คงไม่ใช่ลาจากตลอดไป....และมันก็บินตามแม่และ

    พ่อของมัน...ไปจากเมือง มีสุข...แต่ก็ไม่วายที่เจ้านกจะหันกลับมามองเมือง....ด้วยรู้ว่า"คนคนนี้คือผู้

    มีบุญคุณของมันและมันจะต้องกตัญญูต่อเขาตลอดไป"..................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265 (2).JPG
      IMG_2265 (2).JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      43
    • A6530629-1.jpg
      A6530629-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      136.6 KB
      เปิดดู:
      35
    • birds_fly.gif
      birds_fly.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.8 KB
      เปิดดู:
      149
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2012
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .......ตอนที่ 91 การเดินทางสู่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า......




    .....................เมืองล่องแพเดินทางต่อไปจนสุดลำน้ำน่าน..เขาก็ได้พบว่าแม่น้ำน่านสายนี้ได้

    พุ่งไหลไปร่วมกับแม่น้ำอีกสายหนึ่ง..เขาถามคนละแวกนั้นจึงรู้จักชื่อมันว่า"แม่น้ำยม"...และแม่น้ำที่

    ไหลรวมกันได้นำพาเขาไปอีกไม่ไกลนัก..แม่น้ำน่านกับยมที่รวมกันไดพาเข้าไปพบกับแม่น้ำอีกสาย

    หนึ่ง...ซึ่งก็เป็นแม่น้ำที่รวมตัวกันของแม่น้ำสองสาย...เขาถามคนละแวกนั้นก็รู้ว่า"มันคือแม่น้ำปิงที่

    ไหลรวมกับแม่น้ำวัง" เป็นสายใหญ่.....และแม่น้ำน่านและยมที่เขาล่องแพไปได้ไหลไปรวมกับ

    แม่น้ำปิงและวังที่รวมกันอีกสายหนึ่ง....จึงเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่เรียกว่า"แม่น้ำเจ้าพระยา"

    .....................และบริเวณที่แม่น้ำทั้งสี่สายรวมกัน ปิง วัง ยม น่าน มันคือ ปากน้ำโพ...

    หรือเมืองปากน้ำโพซึ่งปัจจุบันก็คือ "จังหวัดนครสวรรค์".....

    .....................เมืองเพิ่งเห็นแม่น้ำทั้งสี่สายรวมตัวกันเป็นครั้งแรก..พร้อมกับได้เห็นแม่น้ำเจ้า

    พระยาเป็นครั้งแรกเช่นกัน...น้ำที่รวมตัวกันมีพลังผลักดันกันมหาศาลกว่าจะรวมตัวกันได้.....ได้เกิด

    เป็นน้ำเชี่ยวและวน...จนแพที่เขานั่งอยู่โคลงไปมา...และม้าสีนิลแทบจะตกน้ำ..............

    .....................แพน้อยไหลไปตามลำน้ำเจ้าพระยาอย่างเร็วและแรง...มันเป็นแม่น้ำที่กว้างมากใน

    สายตาของเขา...เขาคำนวณดูว่า..หากเขาจะกลับเมืองน่านทางแพพายขึ้นไปคงหมดปัญญาที่จะต้าน

    แรงน้ำ....ประดุจจะหนึ่งดังวิถีของกิเลสภายในจิตใจของคนมีวิถีไหลไปเหมือนกระแสน้ำ....

    หากผู้คนไม่คิดที่จะฝืนทวนน้ำหรือทวนกระแสกิเลสไป...ก็คงต้องไปตามยถากรรม.......การ

    จะสู้กับกิเลสภายในใจของตน"ต้องมีศรัทธาหรือความเชื่อในตัวตนว่าเราต้องทำได้"......

    หากไม่มีความเชื่อหรือศรัทธาเช่นนี้เป็นเบื้องแรก....ก็ปิดประตูการต่อสู้กับกิเลส..........

    ....................แพของเมืองไหลมาตามกระแส..ในสภาพที่ร่างกายของเขาผ่ายผอมลง..........

    เส้นผมของเขายาวปะบ่าเหมือนผมของผู้หญิง...แต่ที่ดูไม่เป็นผู้หญิงก็คงเพราะมีหนวดเครา

    ขึ้น...แต่หากโกนหนวดและเคราทิ้งเขาจะมีหน้าตาละม้ายและสวยคล้ายกับแม่เขามาก...อาจ

    จะดูเป็นผู้ชายที่มีความสวย..และมีดวงตาที่สวยงามมีอำนาจอยู่ในตัว.......

    ....................จนแพมาถึงยังสถานที่ที่แม่น้ำไหลมาบรรจบอีกเช่นเคย...เป็นแม่น้ำที่ใกล้จะ

    ถึงวัดของหลวงปู่ศุขเข้าไปทุกที...แต่แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำที่ไหลรวมตัวกันอย่างแปลก...ไม่

    เหมือนกับปิง วัง ยม น่าน ที่ไหลรวมเป็น"แม่น้ำเจ้าพระยา".....

    .....................มันคือแม่น้ำที่ไหลกระทบกันของแม่น้ำสองสาย..........ที่แขวงมโนรมย์

    เมืองชัยนาท.....ปัจจุบันก็คือเส้นทางไปวัดของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง......แม่น้ำสอง

    สายที่เอ่ยถึงก็คือ แม่น้ำเจ้าพระยา กับ แม่น้ำสะแกกรัง...ซึ่งผู้เขียนจะได้บรรยายถึงความพิศ

    ดารของการกระทบกันของแม่น้ำสองสายนี้ให้ฟังต่อไปคราวหน้าครับ......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2012
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ตลาดอำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาทเป็นฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา

    กับ ฝั่งตะวันตกไปยังถนนไปวัดท่าซุง ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งสองฝั่งนี้

    ในปัจจุบันจะมีโป๊ะหรือเรือขนาดใหญ่จัดให้ผู้โดยสารที่มีรถยนต์ชนิดต่าง ๆและผู้คนโดยสาร

    ข้ามฝากกัน ท่านผู้อ่านอาจเข้าใจว่า.."เวลานั่งเรือข้ามฝาก....เป็นการข้ามฝากแม่น้ำเจ้า

    พระยาเพียงอย่างเดียว"

    .....................ถ้าไม่ได้รับคำบอกเล่าอย่างละเอียดถึงแม่น้ำบริเวณนี้...แม่น้ำบริเวณฝั่งตะวันตก

    และริมฝั่งที่ท่าเรือหรือท่าโป๊ะที่มีถนนไปยังวัดท่าซุง ...ริมฝั่งตะวันตกราวประมาณ 80 ถึง 100 เมตร

    เป็นริมฝั่งของ...แม่น้ำสะแกกรัง..ซึ่งแม่น้ำสะแกกรังตรงบริเวณนี้มีริมฝั่งตะวันตกเพียงด้าน

    เดียว...จะไม่มีฝั่งด้านตะวันออกเลย...ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ไหลผ่านมโนรมย์ก็จะมีฝั่ง

    ตะวันออกเพียงอย่างเดียว..จะมีไม่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา........

    ....................แม่น้ำเจ้าพระยาไหลมาจากทิศเหนือจังหวัดนครสวรรค์มีเส่นทางการไหล

    ผ่านมโนรมย์เป็นแนวตรง...ไปทางทิศใต้.....ส่วนแม่น้ำสะแกกรังเป็นแม่น้ำที่ไหลมาจากอุทัยธานี...

    ไหลมาจากตะวันตกเฉียงเหนือพุ่งไปทางทิศตะวันออกมาชนกับแม่น้ำเจ้าพระยาแทนที่จะไหลรวมกัน...

    แต่กลับไหลโค้งไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้.....

    ....................อะไรคือ เส้นแบ่งเขตระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำสแกกรัง..เพราะต่างก็

    อาภัพฝั่งคนละด้าน...แต่มาอาศัยการกระทบกัน..แล้วทำไมน้ำจึงไม่ไหลรวมกัน.......(ขอ

    อนุญาตท่านผู้อ่านแค่นี้ก่อนครับ...พอดีต้องออกไปธุระข้างนอกถ้ากลับมาทันจะมาเขียนต่อ

    ครับ...)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2012
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................แม่น้ำสะแกกรังจะมีความกว้างน้อยกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา..และมวลน้ำน้อย

    กว่าแม่น้ำเจ้าพระยา...อุณหภูมิของแม่น้ำทั้งสองสายไม่เท่ากัน..โดยอาศัยเหตุผลทางวิทยา

    ศาสตร์ที่ว่า..การเสียดสีกันทำให้เกิดความร้อน..น้ำในแม่น้ำสะแกกรังในความกว้างน้อยจะ

    พัดพาเอาดินตะกอนต่าง ๆมาเป็นจำนวนมาก..ก็ดินตะกอนเหล่านี้เมื่อเกิดการเสียดสีกันหรือ

    กระทบกันใต้น้ำ..จะเกิดความร้อนขึ้นเล็กน้อย..และเมื่อมีปริมาณน้ำน้อยกว่าแม่น้ำเจ้า

    พระยา..อุณหภูมิของแม่น้ำสะแกกรังจึงสูงกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา..ที่มีปริมาณน้ำมากและกว้าง

    กว่า..การเสียดสีของตะกอนต่าง ๆจะมีน้อย..ความร้อนจึงเกิดขึ้นน้อยกว่าแม่น้ำสะแกกรัง...

    เมื่ออุณหภูมิไม่เท่ากันโมเลกุลของน้ำจะไม่รวมตัวเมื่ออุณหภูมิต่างกัน...เช่นน้ำร้อนกับน้ำเย็น

    ลองเอาน้ำร้อนลาดไปที่น้ำเย็น....หรือเอาน้ำเย็นลาดไปที่น้ำร้อน...น้ำจะกระเด็นออกจากกัน

    ทันที.....

    .....................ความเร็วและความหนาแน่นของแม่น้ำเจ้าพระยามีมากกว่า..แม่น้ำสะแก

    กรัง..ดังนั้น ด้วยเหตุที่อุณหภูมิต่างกันและความเร็วและความหนาแน่นของแม่น้ำเจ้าพระยาที่

    ไหลเป็นเส้นตรงอย่างแรง...น้ำในแม่น้ำสะแกกรังจึงไม่อาจไหลเข้าไปรวมตัวกับแม่น้ำเจ้า

    พระยาได้โดยสนิท..จึงเกิดการปะทะหรือกระทบกันละเบี่ยงเบนไปตามลำน้ำของแต่ละ

    สาย....เส้นแดนที่กระทบกันแทบจะไม่มีให้เห็น..แต่อาศัยดูจากการที่น้ำในแม่น้ำสะแกกรัง

    เมื่อกระทบกับแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วจะเกิดการหมุนเป็นวง......บางช่วงที่แม่น้ำสะแกกรังมี

    ความแรงมาก..เส้นกระทบจะอยู่ลึกเข้าไปในแม่น้ำเจ้าพระยา....ดังนั้นเส้นกระทบหรือแบ่ง

    สายแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำสะแกกรัง...จะไม่มีความถาวรให้เห็น...ในแต่ละวันมันจึงเป็น

    ธรรมชาติอันพิศดารของแม่น้ำสองสายที่อาศัยจุดกระทบเป็นเส้นแบ่งเขต....

    .....................เวลาท่านนั่งเรือข้ามโป๊ะไปฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง..หรือจากฝั่งสะแกกรังไปแม่

    น้ำเจ้าพระยา...ลองสังเกตดูว่า..ตรงไหนเข้าสะแกกรัง...ตรงไหนเข้าเขตเจ้าพระยา...หาก

    ท่านผู้อ่านเคยชินในการข้ามโป๊ะแม่น้ำสองสาย"ความรู้สึกจะบอกท่านเอง"...โดยลองสังเกต

    การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในตัวเราว่าร้อนขึ้นไหม...."ต้องสังเกตจริง ๆเพราะจับความรู้สึกกัน

    แทบไม่ได้เลย"..ถ้าร้อนขึ้นน้อย ๆแสดงว่าท่านเข้าเขต"แม่น้ำสะแกกรัง"ครับ.....

    ....................เมือง มีสุขล่องแพมาถึงแม่น้ำเจ้าพระยาและสะแกกรัง...เขาจึงนำแพขึ้นฝั่ง

    ตะวันตก...แล้วถามเส้นทางของแม่น้ำสองสายกับคนในท้องถิ่นนั้น...ว่าคือแม่น้ำอะไร..แล้ว

    เข้าควรเลือกไปตามแม่น้ำสายไหนต่อไป.......

    ....................ในที่สุด..คนท้องถิ่นก็แนะนำว่า...ให้ไปเส้นทางตามลำน้ำเจ้าพระยา...เขา

    จึงมุ่งหน้าเดินทางต่อไป.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265.JPG
      IMG_2265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      35
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2012
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ตอนที่ 92 นิมิตของหลวงปู่ศุข................




    .....................ในระหว่างที่เมืองล่องแพมาตามลำน้ำเจ้าพระยาและหยุดพักแพตอนกลาง

    คืนเป็นระยะ ๆ..คืนหนึ่งหลวงปู่ศุขได้นิมิตหรือฝันไปว่า......ได้เห็นพญาราชสีห์ยืนอยู่บนแพ

    ลอยมาตามลำน้ำเจ้าพระยา..ผ่านมาที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า....และส่งเสียงคำรามดังกึก

    ก้องไปทั้งลำน้ำเจ้าพระยา....

    ......................หลวงปู่ศุขตื่นขึ้นมากลางดึก..และนั่งทบทวนความฝันที่ท่านไม่เคยฝันเห็นภาพ

    ชัดเจนเช่นนี้มาก่อนเลย..หลวงปู่จึงได้นั่งทางในเพื่อตรวจดูว่ากำลังมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น.....

    ......................หลวงปู่พบเห็นในสมาธิจิตว่า...มีชายหนุ่มที่มีหนวดเครายาวและผมยาว

    คล้ายราชสีห์หรือสิงโตกำลังล่องแพ..มากับม้าสีดำตัวหนึ่ง...ไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิด

    ขึ้นมาก่อน..ที่คนและม้าจะล่องแพไหลตามน้ำมา...หลวงปู่ศุขจึงตรวจดูว่าเกิดเหตุสิ่งใดกับ

    ชายผู้นี้...ก็พบว่า."บุรุษผู้นี้กำลังหนีจากการถูกตามล่าของพวกพม่าอยู่...โดยล่องแพหนีมา

    จากเมืองน่าน"

    .....................เมื่อเห็นชาวพม่าก็ให้รำลึกถึง.....พระมหาอุปราชาที่กระทำยุทธหัตถีกับ

    พระนเรศวรมหาราช..และดวงวิญญาณของพระองค์ท่านเคยมาปรากฏกายต่อหน้าท่าน....

    และบอกแก่ท่านตอนที่หลวงปู่ศุขธุดงค์ปักกลดที่ดอนเจดีย์ว่า.."จะมีผู้ที่มีบุญญาธิการส่งดวง

    วิญญาณท่านขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ..และจะมีกษัตริย์แห่งพม่าที่มีสายเลือดสยามและพม่า..เป็นผู้

    ที่นำพระศพของกษัตริย์สยามและราชวงศ์รวมทั้งคนสยามสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ถูกจับเป็น

    เชลย..ในส่วนของกษัตริย์น่าจะเป็น"พระมหินทราธิราช"..ที่ถูกจับตัวไปคราวนั้น...อันเชิญ

    จากพม่ามาสยาม...และกษัตริย์พม่าพระองค์นี้จะเป็นผู้ที่ทูลขอพระศพพระมหาอุปราชาที่ใต้

    อนุสรณ์สถานดอนเจดีย์...กลับแผ่นดินพม่า....บุคคลผู้นี้ได้เกิดขึ้นที่บริเวณแม่น้ำทางตอน

    เหนือของเมืองสยาม"......

    .....................หลวงปู่ศุขคิดว่า.."หรือบุคคลผู้นี้จะเป็นผู้ที่พระมหาอุปราชาเอ่ยถึง"...และ

    น่าจะเป็นผู้ที่เคยสร้างสมบุญมากับหลวงปู่ศุข..จึงทำให้ท่านมารับรู้เรื่องราวอันนี้..และเก็บไว้

    ในใจมานาน.....

    .....................การที่หลวงปู่เห็นในนิมิตว่า"เขาอยู่ในร่างราชสีห์..น่าจะหมายถึงบุคคลผู้นี้

    เป็นกษัตริย์แห่งป่า..หรือจ้าวป่าจะต้องมีอุปนิสัยทรนงไม่ยอมใคร..และกล้าหาญบ้าบิ่น..เจ้า

    ความคิดและเจ้าปัญญา"....นิมิตเหมือนจะบอกให้หลวงปู่รู้ว่า..การจะเอาราชสีห์ตนนี้ให้อยู่

    ท่านคงต้องใช้อุบายบางอย่าง....บุคคลผู้นี้อุปนิสัยน่าจะแตกต่างจาก"เสด็จกรมหลวง

    ชุมพรฯ"....ซึ่งพระองค์ท่านศรัทธาหลวงปู่ด้วยการแสดงฤทธิ์ในครั้งแรก.....แต่ชายเจ้า

    ปัญญาผู้นี้จะต้องสร้างคติหรือผูกปัญหาให้เขาคิด....เมื่อเขาคิดได้เขาจะตามหาท่านเอง.....

    ....................หลวงปู่ศุขกำหนดการเดินทางของเขาและหยั่งรู้ว่า..เขาจะมาถึงวัดอู่ทองคลอง

    มะขามเฒ่าราวเที่ยงวันของพรุ่งนี้...และเมื่อเขาพบสายน้ำเจ้าพระยาบางส่วนที่ไหลไปทาง

    ปากคลองอันเป็นต้นกำเนิด"แม่น้ำท่าจีน"...เขาจะต้องหยุดแพเพื่อสังเกตการณ์.....

    .....................หลวงปู่ศุขจึงคิดอุบายให้"บุญนำ"กับ "สมพงษ์" ให้ไปทำเพื่อผูกปัญหาให้

    ชายผู้นี้ขบคิด..............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2012
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองล่องแพมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาและเขาเขตเมืองชัยนาทมาจนถึงปาก

    คลองมะขามเฒ่า..อันเป็นที่ตั้งของวัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่าบริเวณปากแม่น้ำท่าจีน..ซึ่งมี

    หลวงปู่ศุขเป็นเจ้าอาวาส.....ซึ่งเป็นเป็นเวลาเที่ยงวันตามญาณวิถีของหลวงปู่ที่คำนวณไว้....

    ....................เขาเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาไหลแยกเข้าไปที่ปากคลองเส้นหนึ่ง..เขาจึงคิดจะหยุดดูว่า

    มันคือ ลำน้ำใดและมีเส้นเดินทางไปที่ใด...และแม่น้ำเจ้าพระยาหากล่องเรือต่อไปจะไปที่ใดก่อน......

    ....................เมืองจอดแพพักที่บริเวณปากคลองหรือปากแม่น้ำท่าจีน..เขาปาดเหงื่อซึ่งไหลย้อย

    ที่ใบหน้า..พร้อมกับยกเหล้าจากขวดแก้วขึ้นดื่ม...และจูงม้าสีนิลลงมาจากแพ.....ในขณะที่เขาเดินลง

    มาจากแพพร้อมม้าสีนิลได้ไม่กี่เมตร...เมืองก็เห็นเด็กชายสองคนเดินมาที่ริมตลิ่งที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

    คนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายรูปร่างขาวหัวโหนก..เขาคือ"บุญนำ"....อีกคนหนึ่งก็ตัวต่ำกว่าเด็กคนแรกเล็กน้อย

    ลักษณะเด่นคือหูกาง...ซึ่งเจ้าเด็กคนนี้เดินมาที่ปากคลอง..เขาคือ"สมพงษ์"

    .....................เด็กชายคนหัวโหนกเดินมาใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา..ในขณะที่เด็กชายที่หูกางเดินไปที่

    แม่น้ำที่ไหลเข้าปากคลอง..หรือแม่น้ำท่าจีนนั้นเอง....

    .....................เด็กชายทั้งคู่ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเมืองที่จูงม้าที่เป็นบุรุษแปลกหน้าสำหรับท้องถิ่นนี้

    เลย.....เด็กทั้งสองเอามือแตะไปที่แม่น้ำและลูบหน้า..แล้วก็ตะโกนขึ้นพร้อมกันอย่างดังเหมือน

    ประสานเสียง

    ............................"แม่น้ำ..ถ้าเจ้าไม่หยุดไหล..เจ้าจะไม่พบทาง"

    ............................"แม่น้ำ..ถ้าเจ้าไม่หยุดไหล..เจ้าจะไม่พบทาง"

    ............................"แม่น้ำ..ถ้าเจ้าไม่หยุดไหล..เจ้าจะไม่พบทาง"

    .....................เด็กชายทั้งสองหรือบุญนำกับสมพงษ์..ตะโกนพร้อมกันอยู่ 3 ครั้งแล้วเขาก็รีบวิ่ง

    ขึ้นไปจากริมตลิ่งทันที...

    .....................เมืองถือเชือกม้าค้างไว้..และหยุดเดินทันที..พร้อมกับคิดตามคำพูดของ

    เด็กน้อยทั้งสองที่ตะโกนบอกกับแม่น้ำทั้งสองสาย..ว่าทำไมเด็กทั้งสองจึงพูดเช่นนั้นกับแม่

    น้ำ..ชะรอยน่าจะมีผู้มีปัญญาบอกกับเด็กน้อย.....เพื่อให้มาบอกปริศนาอะไรบางอย่าง...แก่

    เรา...

    .....................เมืองยกขวดเหล้าขึ้นดื่มไปพลางและยืนคิดไปพลาง..กับคำว่า "แม่น้ำ..ถ้า

    เจ้าไม่หยุดไหล..เจ้าจะไม่พบทาง".........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1629.JPG
      IMG_1629.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.1 KB
      เปิดดู:
      31
    • IMG_1387.JPG
      IMG_1387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.7 KB
      เปิดดู:
      27
    • IMG_2266.JPG
      IMG_2266.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      47
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2012
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองเคยขบคิดปัญหาต่าง ๆด้วยสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดของเขา...เคยนำ

    คำพูดของบุคคลมาพิจารณาจนเกิดความคิดต่าง ๆมากมาย เช่น คำพูดของป้าสวองเมียลุงแก้ว..ที่เอ่ย

    คำพูดออกมาตอนที่เขากำลังกินอาหารมื้อเย็นอยู่ว่า

    ...................."ตำน้ำพริกแล้วถ้าไม่ให้เขาชิม..เขาจะรู้หรือว่าน้ำพริกเราอร่อย"

    ...................เขาก็นำคำพูดดังกล่าวมาขบคิดบอกกับบุญแทนว่าคำพูดของป้าสวองคือ"ทฤษฎี"..

    ซึ่งบุญแทนได้ฟังก็ให้รู้สึกงงกับคำพูดที่ไม่ได้สาระอะไรมาเป็นทฤษฎีได้อย่างไร...เมืองจึงบอกเขาว่า

    "มันคือทฤษฎีทางความรัก"..โดยอธิบายว่า "คนที่มีความรักอยู่ถ้าไม่แสดงความรักของเรา

    ให้คนที่เรารักเห็นว่า...ความรักของเรามันจริงใจ ห่วงหาอาวรณ์เขาอย่างไร..หรือความรัก

    ของเรามันหอมหวานอย่างไร..แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า ความรักของเราอร่อย..เมื่อเขาไม่

    เคยสัมผัส เขาไม่เคยชิมความรักของเรา...ก็เหมือนกับการตำน้ำพริกแล้วถ้าไม่ให้เขาชิม..

    เขาจะรู้หรือว่าน้ำพริกของเราอร่อย" และกล่าวต่อไปอีกว่า "น้ำพริกใครถ้าอร่อย ก็มีคนอยาก

    ที่จะกินมันอีกเรื่อย ๆไป...เปรียบเช่น ความรักของเรา..ถ้ามันเป็นรักแท้ที่ให้ ความอบอุ่น

    ความจริงใจ ความห่วงหาอาวรณ์ และความสุขแก่ผู้ใด...ผู้นั้นก็ต้องโหยหาความรักของเรา..

    และตัวเราผู้ให้ความรักแก่เขา..แต่ถ้าความรักของเราไม่ได้เรื่อง...ก็เหมือนกับน้ำพริกที่มันไม่

    อร่อยคงไม่มีใครอยากกิน"...ซึ่งปรัชญาทางความคิดที่เขาให้แก่บุญแทนเรื่อง"ตำน้ำพริก

    แล้วถ้าไม่ให้เขาชิม..เขาจะรู้หรือว่าน้ำพริกเราอร่อย"..ได้ทำให้บุญแทนเกิดปัญญาในการ

    แสดงความรักของเขาแก่บุบผา..บุตรสาวของลุงแก้วกับป้าสวอง..จนบุบผาได้ยอมรับรักของ

    บุญแทน...

    .....................หรือแม้แต่การที่เขาขึ้นไปบนยอดภูเขาสูงตอนจ้องมองดูดวงอาทิตย์..เขาใช้สาย

    ตามองไปไกลแสนไกลจากยอดเขา..เขาก็พบหลักปรัชญาที่ว่า "การครอบครองยึดถืออะไรด้วยมือ มัน

    ช่างน้อยสิ่งนักเหมือนกับที่ข้าถือได้เพียงขวดใบนี้...แต่การครอบครองยึดถืออะไรด้วยสายตา..ข้า

    สามารถครอบครองมันได้เท่าที่สายตาของเขาจะมองไปได้ไกลแสนไกล..โดยไม่ต้องแย่งชิงกับผู้

    ใด"...อันเป็นหลักปรัชญาของการครอบครองที่เขานำการกระทำของเขาต่อสรรพสิ่งมาตั้งขึ้น....

    .....................การอ่านลักษณะของบุคคลเช่น ปลัดปักษ์...ตอนที่ปลัดปักษ์ข้ามมาเหยียบแผ่นดิน

    ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านเป็นครั้งแรกและนั่งม้าสวนทางกับเขา...เขาสามารถอ่านพฤติกรรมของ

    ปลัดปักษ์โดยดูจาก"แววตาของปลัดปักษ์ว่าไม่ใช่คนร้าย..และเดินทางมาเพื่อสืบอะไร

    บางอย่าง..พร้อมกับมีอาวุธปืนติดตัวมา"..นั่นแสดงถึงเชาว์ปัญญาของเมืองนั่นคมกล้ายิ่ง

    นัก...

    .....................เมื่อคราวที่เฮียงคี้ยิงธนูเข้าใส่อีกาบนท้องฟ้าและตกลงมาครั้งแรก...เมืองก็

    สามารถอ่านวิธีการยิงธนูของเฮียงคี้ได้ทันทีทันใด...และยิงเรียนแบบเฮียงคี้ได้..โดยสามารถ

    ยิงธนูดักหน้าลูกธนูของเฮียงคี้จนหักกลางอากาศและลูกธนูยังพุ่งไปถูกอีกา..ตกลงมาต่อ

    หน้าเฮียงคี้...และยังได้แสดงตัวหลอกล่อทหารของเอหม่องจนตกหน้าผาตาย.....

    .....................หรือคราวดวลธนูสท้านแผ่นดิน..ที่เขายิงธนูเขาใส่ต่อสู้กับเฮียงคี้จนพา

    พรรคพวกที่ถูกจับรอดออกมาได้...เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า"ปัญญาของเมืองนั้นแหลมคมเจ้าความ

    คิดอย่างมาก"

    .....................แต่เมื่อเขามาพบกับคำพูดของเด็กชายทั้งสองที่ตะโกนบอกแม่น้ำว่า"แม่

    น้ำ...ถ้าเจ้าไม่หยุดไหล..เจ้าจะไม่พบทาง"..นั้นกลับขบคิดไม่ได้ในทันที.....อาจจะเป็นเพราะ

    สมองของเขาเหนื่อยหล้าอ่อนเพลียมาก

    .....................เมืองจึงจูงม้าสีนิลขึ้นฝั่งและเดินไป..เขาก็พบว่า "จุดที่เขาขึ้นมามันคือวัด..วัด

    หนึ่ง...ที่ตั้งอยู่บนฝั่งของสองแม่น้ำ"...เขารู้เพียงแม่น้ำเดียวคือ แม่น้ำเจ้าพระยา...แต่แม่น้ำ

    ท่าจีนซึ่งไหลเข้าปากคลอง..เขาไม่รู้จัก.....

    .....................เมืองมองสำรวจไปทั่ว...แต่แล้วเขาก็พบเด็กชายสองคนนั้นปีนขึ้นไปบนต้นยางสูง

    คนละต้น....แล้วเด็กชายทั้งสองก็ตะโกนอย่างดังลงมาข้างล่างว่า

    ............................"ทำไมตัวข้าอยู่ต่ำเช่นนี้"..."ทำไมตัวข้าอยู่ต่ำเช่นนี้"

    ....................."ทำไมตัวข้าอยู่ต่ำเช่นนี้"

    .....................เมืองแหงนมองขึ้นไปยังที่เด็กชายทั้งสอง...เขาเริ่มคิดอีกครั้งว่า.."ทำไมเด็กน้อย

    ทั้งสองคนจึงมีอาการ "คำพูดอย่างหนึ่ง..การกระทำอย่างหนึ่ง..ซึ่งตรงข้ามกันไปหมด....แม้แต่การ

    บอกให้แม่น้ำหยุดไหลจึงจะพบทาง"

    .....................เมืองก้มหน้าแล้วเดินจูงม้าต่อไป...เขาคิดว่า"ใครกันที่ออกอุบายให้เด็กทั้งสองมา

    ทำเยี่ยงนี้...."....และผู้ที่ทำอุบายต้องการสิ่งใดกันแน่........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2012
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................กล่าวถึงหลวงปู่ศุข..ท่านก็มีวิธีสอนลูกศิษย์โดยให้ดูธรรมชาติและการ

    กระทำ..และให้รู้จักคิด..โดยไม่เคยจะสอนหรือบอกกล่าวตรง ๆ อย่างเช่น..เหมือนกับเรื่อง

    เทศน์โปรดทางธรรม..ท่านจะยกหลักธรรมเดินตามแนวพระพุทธองค์..โดยไม่อ้อมคอม..

    .................กรณีบุญนำและสมพงษ์..ท่านเมตตาใช้อุบายในการสอน..โดยให้บุญนำและสมพงษ์

    สังเกต..ในขณะที่ทั้งสองพายเรือตามน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาว่า.."พายเรือทวนน้ำกับตามน้ำ

    อย่างไหนสบายกว่ากัน"....ซึ่งคำตอบที่ศิษย์ทั้งสองตอบได้ในทันทีคือ "การพายเรือตาม

    น้ำ"...หลวงปู่ศุขได้ถามถึงเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น...ทั้งคู่ก็ตอบว่า"เพราะมีกระแสน้ำ

    ช่วยให้เรือไหลไป..ไม่ต้องออกแรงพายมากมันก็ไม่ต้องเหนื่อย"......หลวงปู่ศุขจึงบอก

    ว่า"กล่าวได้ถูกต้อง..และก็ได้เอ่ยให้ทั้งสองจดจำไว้ว่า...เส้นทางใดที่เราไปแล้วมีคนช่วย

    เหลือเราอยู่..มันเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างสบาย ไม่เหนื่อยและถึงที่หมายได้เร็ว...เหมือนกับที่ทั้ง

    สองพายเรือตามน้ำไหล...ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรถ้ามีคนช่วยเหลือเสียอย่างเดียว..ทั้งคู่

    ก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก..และถึงที่หมายโดยเร็ว ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน..คนที่จะเต็มใจช่วย

    เหลือได้ก็เห็นมีแต่ "มิตรแท้เท่านั้น"....ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายเราหรือลูกน้องหรือเพื่อน...ถ้าลง

    ว่าเขาได้เป็นมิตรแท้ของเราแล้ว...เขาจะช่วยเราเอง...ที่เป็นนายก็ช่วยดึง.. เพราะอยู่ที่

    สูงกว่า...ที่เป็นลูกน้องก็ช่วยดันเพราะอยู่ที่ต่ำกว่า...ที่เป็นเพื่อนระดับเดียวกันก็ช่วยประคอง

    ช่วยพยุง....อย่างนี้ชีวิตที่มีมิตรแท้มันจะตกต่ำไปได้อย่างไร....เพราะฉะนั้นให้ทั้งคู่ถ้าไปอยู่

    ถิ่นใดจงหามิตรแท้ไว้ให้ได้....มันคือสิ่งที่ผลักดันทั้งคู่ให้ก้าวหน้าและคุ้มครองให้ทั้งคู่อยู่รอด

    ปลอดภัย"

    ....................ซึ่งจะเห็นว่าหลวงปู่เพียงแค่ต้องการสอนลูกศิษย์ให้หา"มิตรแท้"เท่านั้นท่าน

    ยังต้องออกอุบายให้ลูกศิษย์สังเกตดู..การกระทำของตนเพื่อนำไปสู่การสอนที่เทียบเคียงกับ

    หลักของความจริง....แม้แต่การพายเรือทวนน้ำ..หลวงปู่ก็ให้ทั้งคู่สังเกตดูเทียบเคียงให้เข้า

    ใจ...ว่าคืออะไรถ้าไม่เข้าใจให้ถาม...คือการที่ทั้งคู่ต้องพายเรือทวนน้ำจนสุดกำลังและหมด

    แรง...เมื่อหมดแรงปรากฎว่าเรือกลับไหลไปตามน้ำในทันที...ซึ่งหลวงปู่เหมือนกับสอนเขา

    ว่า...หากเขาพายเรือทวนน้ำก็เหมือนกับการต่อสู้อุปสรรคอยู่ต่อเนื่อง....ไม่ควรที่เขาจะใช้

    กำลังจนหมด..เพราะอุปสรรคต่อเนื่องไม่สามารถจะชนะได้ในทันที....และในที่สุดเมื่อเรือไหล

    ตามน้ำไปและเขาได้หากิ่งไม้ผูกมัดเรือเอาไว้ได้...ก็เหมือนกับสอนว่า..การต่อสู้กับอุปสรรค

    อย่างต่อเนื่องเขาจะต้องหาหลักยึดเกาะที่สามารถต้านอุปสรรคได้...เพราะหากไม่มีหลักชีวิต

    ของเขาก็เป็นดุจเรือที่หมดแรงพายทวนน้ำก็จะไหลไปจนกระทบโขดหินจนอับปาง.......ก็คือ

    ท่านให้ทั้งคู่หามิตรที่เป็นหลักช่วยเหลือตนได้ในยามมีภัย...

    ....................นี่คืออุบายการสอนศิษย์ของหลวงปู่...ที่ต้องการให้ลูกศิษย์ใช้ความคิด....

    และปัญญาในการแก้ปัญหา....จึงเห็นว่าหลวงปู่ศุขนั้น..ท่านไม่ได้เป็นเพียงเจ้าคาถาอาคม

    และสั่งสอนในทางธรรมอย่างเดียว...แต่ยังมีอุบายในการสอนสั่งอย่างแยบยล.....

    .....................พูดถึงเรื่อง"อุบาย"แล้วอาจจะมองไม่ดีว่าเหมือนการหลอก...แต่ให้ดูเพียง

    ว่า"อุบาย"ที่ผู้ออกนั้นเจตนาดีหรือไม่ดี...ประสงค์จะทำอุบายเพื่อให้ผู้นั้นทำสิ่งใดหรือเรียนรู้

    สิ่งใด......

    .....................แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังทรงใช้อุบาย...ซึ่ง"อุบายของพระองค์นั้นเป็น

    เจตนาดี"....เช่น อุบายกับพระอนุชานันทะ.....ในวันที่พระอนุชาทรงภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง

    คู่รัก....ท่านให้พระอนุชานันทะมาส่งโดยอุ้มบาตรตาม...พระพุทธองค์ได้พาพระอนุชานันทะ

    ไปดูเหล่า ..นางฟ้า...และเทพธิดาบนสรวงสวรรค์...ซึ่งพระอนุชาทรงเห็นแล้วรู้สึกว่า"สวย

    งามกว่าเจ้าหญิงคู่รักของตนและอยากได้มาเป็นภรรยามากกว่าคู่รักของตน".....พระ

    พุทธองค์ทรงทราบความคิดนั้นจึงตรัสว่า"พระอนุชานันทะอยากได้นางเทพธิดาเหล่านี้

    ไหม"...พระอนุชานันทะก็ทูลว่า"อยากได้".....พระพุทธองค์จึงกล่าวว่า"เรารับประกันหาก

    ทำตามเราบอก..ก็จะได้นางเทพธดาเหล่านี้ยังใจคิด".....พระอนุชานันทะดีใจจึงทรงทำ

    ตามพระพุทธองค์บอกโดยออกบวชและปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์......พระ

    พุทธองค์จึงตรัสว่า"ยังอยากได้นางเทพธิดาเหล่านั้นอยู่ไหม"...พระอนุชานันทะทูลว่า"ไม่

    อยากได้แล้วพระพุทธองค์ทรงหลุดพ้นจากการเป็นนายประกันแก่ข้าพระพุทธเจ้าแล้ว"....

    เป็นต้น.............

    ....................จะเห็นว่าแม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังทรงใช้อุบายในการสั่งสอน..ด้วยเจตนาดี

    และปรารถนาดีต่อพระนันทะ.....แต่ถ้าเป็นอุบายประเภท"สามก๊ก" คงไม่ใช้เรื่องปรารถนาดี

    อย่างแน่นอน.....

    .....................กรณีของเมืองมีสุข...หลวงปู่ต้องการให้เขา"หยุดเดินทาง" เพราะการเดิน

    ทางต่อไปของเขานั้นไร้จุดหมาย....ด้วยหลวงปู่เห็นว่า"เขาเป็นคนฉลาดเจ้าปัญญา".....และ

    สิ่งที่ท้าทายสำหรับคนเจ้าปัญญาก็คือปัญหา....หากคนเจ้าปัญญาไม่อาจ...แก้ปัญหาที่มีมาสู่

    ตนได้....เขาจะไม่ไปไหนเพราะหากเขาไปโดยไม่แก้ปัญหา นั้นคือความพ่ายแพ้...ซึ่งไม่อยู่

    ในวิสัยของเมือง มีสุข

    .....................หลวงปู่นั่งตรวจดูเรื่องราวของเมืองพม่า...ก็พบว่า"หลายครั้งที่ชาว

    พม่า....ฆ่ากษัตริย์ของตนเอง"....หลวงปู่มาพิจารณาดูว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้นก็พบว่า..เรื่อง

    ราวในอดีตพม่า..ได้ทำลาย..รูปพระพุทธองค์เช่น การตัดศีรษะ..การเผาลอกเอาทอง...การ

    ทุบพระพุทธรูป......ก็พระพุทธรูปเปรียบดุจดังองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า...เป็นใหญ่สุดใน

    วัด...หรือในอารามนั้น ๆ.....ดุจเช่นกษัตริย์ย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน.....การที่ทหารพม่า

    กระทำเช่นนี้ผลวิบากกรรมทำให้พม่าไร้ซึ่งกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน.....แม้แต่เมือง มีสุข..ก็

    อาจไม่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ดังพระมหาอุปราชาบอกแก่ลูกหลวงปู่ศุข....หากไม่สามารถแก้

    เคราะห์กรรมได้.......

    ....................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2012
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองจูงม้าสีนิลเดินผ่านมาที่กุฏิหลังหนึ่ง...ซึ่งเป็นเรือนทรงไทยชั้นเดียวใต้ถุน

    สูงมากราวประมาณ 4 เมตรกว่า..มีบันไดที่สูง..เข้ามองไปที่กุฏิหลังนั้นที่อยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่...เขารู้สึก

    ว่า บริเวณนั้นเงียบสงบเหมาะสมกับเป็นที่พำนักของผู้ทรงศีล..

    ....................เมืองไม่รู้ว่านั่นคือ "กุฏิที่พักของหลวงปู่ศุข..พระภิกษุที่มอบปัญหาให้เขาขบ

    คิด.....โดยออกอุบายให้แก่บุญนำและสมพงษ์ไปกระทำการ..เพียงเพื่อหยุดบุรุษราชสีห์คนนี้

    ไว้ที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า"

    ....................กล่าวถึง"กุฏิของหลวงปู่ศุข"ปัจจุบันนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว...กุฏิของหลวงปู่ศุขจะ

    อยู่ตรงบริเวณสถานที่ที่วัดจัดไว้เป็นที่จอดรถบริเวณลานกว้างภายในวัด..อยู่ตรงทางเข้าวัดด้านที่ติด

    กับแม่น้ำเจ้าพระยา...และบริเวณทิศใต้ของสถานที่ตั้งกุฏิปัจจุบันคือร้านค้าที่ตั้งแผงอยู่ภายในวัด.....

    กุฏิหลังนี้มีการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม ๆตลอดมาด้วยเป็นที่ระลึกและอนุสรณ์ที่หลวงปู่ศุขเคยอยู่

    ที่กุฏิหลังนี้...ประชาชนทั่วไปและผู้ที่มาเยี่ยมเยี่ยนวัดหรือมากราบหลวงปู่ศุข...จะมุ่งตรงมาที่กุฏิหลัง

    นี้......แม้แต่เมื่อประมาณปีพ.ศ.2530 ..ที่มีการจัดสร้างหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ศุขขนาดเท่าองค์จริงเป็น

    ครั้งแรก..ก็มีการนำมาประดิษฐานที่กุฏิหลังนี้.....

    ....................ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.2531 ถึง 2532 ..หลวงปู่สำราญเจ้าอาวาสขณะนั้นได้

    สั่งให้คนงานรื้อกุฏิหลวงปู่ศุขออกจากสถานที่บริเวณนั้น..และนำรูปหล่อรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งพร้อมภาพ

    ถ่ายที่ติดไว้ในกุฏิแต่เดิมย้ายออกไปไว้ในวิหารหลังวัด....ที่หลวงปู่สำราญจะมานั่งพักผ่อนอยู่เป็น

    ประจำตอนกลางวัน....เวลาคนมากราบหลวงปู่ศุขก็จะต้องมากราบในนี้..และก็อาจจะเดินไปกราบ

    ท่าน......

    .....................การรื้อกุฏิของหลวงปู่ศุขของหลวงปู่สำราญ..ทำร้ายจิตใจส่วนใหญ่ของคน

    ที่เคารพรักหลวงปู่ศุข..ด้วยเห็นว่ากุฏินี้มีค่ามากมายในทางจิตใจ..โดยเฉพาะ"ชมรมพระ

    เครื่องจังหวัดชัยนาท"..ได้ออกมาต่อต้านการกระทำอันนี้..แม้กุฏิจะถูกรื้อไปแล้วก็

    ตาม..."ความแค้นเคืองของผู้ที่เคารพอนุสรณ์สถานกุฏิหลังนี้"มีอยู่อย่างฝังใจ.....เวลามีการ

    สร้างเหรียญของหลวงปู่ศุขขึ้นในจังหวัดชัยนาทของชมรมพระเครื่องจังหวัดชัยนาท...จะไม่

    ยอมนิมนต์หลวงปู่สำราญมาเสกในงานพิธีแม้แต่ครั้งเดียว......

    .....................มาฟังเหตุผลของการรื้อกุฏิของทั้งสองฝ่ายที่แสดงออกมา...ฝ่ายที่"ชมรม

    พระเครื่อง"หรือชาวบ้านที่ผูกพันกับกุฏิหลังนี้ กล่าวว่า."เพราะมีแต่คนมากราบหลวงปู่ศุขที่

    กุฏิโบราณหลังนี้ที่มีอายุมากว่า 100 ปี..และไม่เคยเข้าไปกราบหลวงปู่สำราญที่อยู่กุฏิข้างใน

    เลย...หลวงปู่สำราญจึงรื้อกุฏิหลวงปู่ศุขแล้วเอาหลวงปู่ศุขไปอยู่ที่วิหารด้านหลัง"

    ....................ฝ่ายหลวงปู่สำราญที่ผู้เขียนไปได้ยินจากปากของท่านพูดเอง..ไม่ได้ฟังใคร

    ต่อมา..ท่านว่า."ที่กูรื้อกุฏิหลวงปู่ศุขแล้วเอาหลวงปู่ศุขมาอยู่นี่..กูกลัวคนมันจะตกนรกกัน..

    เพราะว่ามีคนบริจาคเงินไว้ในตู้บริจาคเป็นจำนวนมาก..และมีคนขโมยเงินนั้นไป"........

    ....................ก็เทียบเคียงชั่งน้ำหนักกันเอาเองว่า......"เหตุผลใดมีน้ำหนักมากกว่า

    กัน"........ในการทำลายกุฏิที่เป็นอนุสรณ์ของหลวงปู่ศุขที่มีมานานเป็นร้อยปี.....เมื่อ

    ประมาณปี พ.ศ.2531 ถึง 2532......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2012
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองเดินผ่านกุฏิไปแล้วขึ้นนั่งม้าสีนิลเดินลัดเลาะป่าเข้าขึ้นทางเลียบแม่น้ำ

    ท่าจีนไปเยาะๆ...เขาผ่านเข้ามาในตลาดยามบ่ายของตลาดวัดสิงห์..ที่ยังมีทั้งม้าและเกวียน..เดินไป

    มาขวักไขว้..สภาพหน้าตาที่รกรุงรังด้วยหนวดเครา..และผมที่ยาวสลวยของเขา...ทำให้ผู้คนที่อยู่ใน

    ตลาดต่างก็เพ็งมองเขาเป็นตาเดียวกัน..เมืองเดินผ่านเข้ามาจนถึงร้านแป๊ะเส้งและเจ๊เหมยลูกสาว....

    เขาผูกม้าไว้กับต้นไม้และเดินเข้าไปในร้านพลางเอ่ยถามแป๊ะเส็ง

    ..........................."อาแปะ...ที่นี่เขาเรียกว่าหมู่บ้านอะไร"

    ....................ชายชราเจ้าของร้านมองตาและเอ่ยตอบ

    ..........................."ที่นี่คือตลาดวัดสิงห์...ลื้อมาจากไหนหรือ"

    ..........................."ข้ากับม้าล่องแพมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา..และพบว่าแม่น้ำเจ้าพระยาได้แยก

    ไหลผ่านเข้าคลอง..ข้าไม่รู้ว่านั่นคือคลองอะไรจะมีเส้นทางไปที่ไหน"

    ..........................."คลองเส้นนั้นคือ คลองมะขามเฒ่าเป็นเส้นทางของแม่น้ำท่าจีนแม่น้ำที่แยก

    จากเจ้าพระยาที่ลื้อบอก...มันมุ่งตรงไปยังเมืองสุพรรณบุรี"

    .....................เมืองพยักหน้ารับรู้และถามต่อไป

    ..........................."เมืองสุพรรณบุรีห่างจากที่นี่ประมาณกี่กิโลเมตรหรืออาแปะ"

    ..........................."จากนี่ไปราวประมาณ 150 กิโลเมตร..ลื้อจะไปเมืองสุพรรณหรือ"

    .....................เมืองส่ายหน้าพร้อมกับเอ่ยตอบ

    ............................"ข้าไม่มีที่ไป"

    .....................สาวเหมยลูกแปะเส็งคนที่นายทิวหลงรัก..มองดูเตี่ยของตนพูดกับชายแปลกหน้า

    และสังเกตดวงตาและลักษณะท่าทางของชายแปลกหน้าผู้นี้..ก็ให้นึกรู้ทันทีว่า.."ชายผู้นี้มีหน้าตาที่

    คมสันต์และหล่อเหลา..แม้จะถูกปกปิดด้วยหนวดเครา..และเส้นผมที่ยาวสลวย...โดยเฉพาะ

    ดวงตาคู่นี้ช่างสวยงามและดูมีอำนาจประหลาด ๆ อยู่"....นางรอจังหวะที่จะสอบถามชายผู้นี้

    อยู่...จึงเอ่ยถามในทันที

    ............................"ท่านไม่มีที่ไป..แล้วท่านมาจากไหน"

    ....................เมืองหันไปทางสาวเหมยหมวยพันธุ์แท้..แล้วจึงเอ่ยตอบ

    ............................"ข้ามาจากเมืองน่าน"

    ............................"หา..ลื้อล่องแพมาจากเมืองน่านหรือ" เสียงแป๊ะเส็งเอ่ยพร้อมกับดวง

    ตาลุกวาวไม่ผิดไปจากลูกสาว

    ............................"แล้วลื้อล่องแพมาจากเมืองน่านตั้งแต่เมื่อไร"

    ............................"ปลายฤดูหนาวปีที่แล้ว"

    ............................"นี่มันเข้าต้นปี พ.ศ.2462 แล้วนะ..ท่านมาไกลและมานานมากเลย..

    ทำไมท่านถึงจากมา"

    .....................เมืองไม่ตอบได้แต่มองหน้าผู้ถามเฉย ๆ..ทำให้ผู้ถามต้องเปลี่ยนคำถาม

    ............................"แล้วท่านจอดแพพักอยู่ที่ไหน"

    ............................"หน้าวัดหนึ่งตรงปากทางที่แม่น้ำเจ้าพระยาไหลแยกมา"

    ............................"อ๋อ..วัดหลวงปู่ศุข"

    .....................เมืองทำท่าฉงนเมื่อได้ยินชื่อวัด...พลางเอ่ยถาม

    ............................."หลวงปู่ศุขคือใคร"

    .....................แป๊ะเส็งจึงอธิบาย

    ............................."วัดหลวงปู่ศุข..คือ วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า..หลวงปู่ศุขก็คือเจ้าอาวาส

    วัด..ท่านเป็นพระที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้าน..และท่านเป็นพระอาจารย์ของกรมหลวงชุมพร..พี่

    ชายในหลวงไง(รัชกาลที่ 6)"

    .............................."กรมหลวงชุมพร" เมืองทวนคำ

    .............................."ใช่..ก็คือ หมอพรของชาวบ้านแถวนี้..ที่เวลามีผู้เจ็บป่วยก็ให้ท่านรักษา..

    ชาวบ้านแถวนี้รักท่านทั้งนั้น"

    ....................เมืองรู้สึกดีขึ้น..เมื่อได้ฟังเรื่องราวพอเป็นความรู้...และเขาเริ่มสงสัยว่า


    "บางทีคนที่นำปัญหามาให้เขาคิด..อาจเป็นหลวงปู่ศุขก็ได้"...คิดดังนั้นเขาจึงหยุดสนทนา..และ

    สั่งน้ำชาในร้านมาดื่มกิน.....

    ....................ระหว่างเขานั่งดื่มน้ำชาที่ร้านแป๊ะเส็ง...ผู้คนที่เดินผ่านร้านต่างก็หยุดมองดูและซุบ

    ซิบกัน..ถึงเรื่องราวของชายแปลกหน้าที่เห็น...บ้างก็ว่าเขาคือโจรที่หลบหนีคดีจึงอำพรางหน้าตาไว้

    ด้วยหนวดเครา...บ้างก็ว่าเขาคือ อาจารย์ขมังเวทย์ที่จะมาปะลองวิทยาคมกับหลวงปู่ศุข......บ้างก็ว่า

    เขาอาจเป็นผู้ที่ใฝ่รู้วิชา..และมาขอเรียนวิชากับหลวงปู่ศุขเหมือนกับกรมหลวงชุมพรฯ.....ฯลฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...