พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....ตอนที่ 72 ต้นแอปเปิ้ลถือกำเนิดเพื่อผู้หญิงจันทร์เพ็ญ.....



    ....................ภายในบ้านของโนรี......บันตาและโมลีได้เข้านอนไปแล้ว...แต่แสงตะเกียงดวง

    เล็กภายในห้องนอนของสองพี่น้องยังคงส่องสว่าง.............ซึ่งโนรีกำลังนั่งมองดอกไม้สีม่วงของ

    ต้นกล้วยไม้พันธุ์เณรีนราที่นางแขวนไว้ที่หน้าต่าง......โดยที่มือของนางได้ถือ..แก้วซึ่งใส่เมล็ดพันธุ์

    ของแอปเปิ้ลเอาไว้....

    ....................แสงสว่างจากตะเกียงทำให้เณรและภูผารู้ว่า.."ห้องของโนรียังมีคนที่ยังไม่หลับ

    นอนอยู่"...

    ....................โนรีนั่งพิจารณากล้วยไม้แล้วรู้สึกว่า "ต้นไม้แต่ละชนิด..แม้จะเป็นต้นไม้เหมือน

    กัน...แต่การเกิดหรือเติบโตทำไมจึงต่างกันมาก..กล้วยไม้ลอยอยู่ท่ามกลางสายลมและไม่ยอมรับแสง

    แดดร้อนจ้า...มันรับเพียงแสงสว่างอย่างเดียวภายใต้ร่มไม้...มันจึงต่างจากต้นไม้อื่นที่ปลูกบนดินโดย

    สิ้นเชิง....

    .....................โนรีคิดถึงผักตบชวา จอก แหน ที่เกิดอยู่ในน้ำ..มันไม่เคยอยู่ในดินเลยเช่นกัน...

    นางจึงคิดได้ว่า "ดินไม่ใช่ปัจจัยของการเกิดต้นไม้โดยเฉพาะ"....ต้นไม้ไม่จำเป็นต้องได้รับแร่

    ธาตุหรืออาหารจากดิน.....

    ......................แล้วทำไมต้นแอปเปิ้ลจะเกิดหรือขึ้นในที่ที่ไม่ใช่ดินบางไม่ได้เชียวหรือ...

    และ มีอีกสิ่งหนึ่งที่นางเคยมีความคิดเห็นต่างจากบันตาแม่ของนางที่ให้ความเห็นว่า "ต้นไม้

    เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณในการรับรู้"...แต่นางกลับเห็นว่า...."ในเมื่อมันมีชีวิตเจริญเติบ

    โตขึ้นมาได้....มันน่าจะมีความรู้สึกหรือวิญญาณในการรับรู้"......

    ....................ดังนั้น โนรีจึงมีความคิดที่จะพิสูจน์อะไรบางสิ่งบางอย่างที่นางคาใจอยู่....

    นางมองผ่านหน้าต่างและความมืดขึ้นไปบนท้องฟ้า...ก็พบเห็นดวงจันทร์เพ็ญกำลังขึ้นสูง

    ส่องสว่างสาดลงมาบนพื้นโลก........โนรีถือแก้วเมล็ดแอปเปิ้ลและเดินไปหยิบขลุ่ยฟ้าผ่า...

    พร้อมกับเดินออกมาที่นอกชานเรือน...

    ....................ฉับพลันเมื่อร่างกายของนางออกมาสัมผัสกับแสงจันทร์......แสงสว่างเรือง

    รองดุจจันทร์เพ็ญก็กระจายออกจากร่างของนางอย่างมากมาย.......จนบริเวณรอบตัวนาง

    สว่างจ้าด้วยแสงสีทองนวลเย็นตา.....

    ....................โนรีมองขึ้นไปที่ดวงจันทร์เพ็ญ และวางแก้วเมล็ดแอปเปิ้ลลงบนไม้ลูกกรง

    ของชานเรือน..พลางเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนกับเมล็ดแอปเปิ้ลที่อยู่ในแก้วเหมือนกับมันมีชีวิต

    และกำลังฟังนางพูด...

    ............................"แอปเปิ้ลจ้ะ..เจ้าเกิดมาเพื่อข้าได้ไหม........ข้าคือผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญ......ข้าไม่มีสิ่งใดจะให้เจ้าได้..นอกจาก...ความรักในใจข้า..แสงจันทร์เพ็ญจากตัว

    ข้า....และเสียงขลุ่ยที่ข้าจะเป่าให้เจ้าฟัง...เจ้าจงเกิดมาเพื่อข้าเทอญ..เกิดมาเพื่อให้คนได้รู้

    ว่า..เจ้ามีจิตและวิญญาณ เกิดมาเพื่ออยู่บนแผ่นดินสยามเป็นต้นแรกเพื่อข้า...ผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญ...แล้วข้าจะรักเจ้าตลอดไป"...

    ....................โนรีเดินเข้าไปใกล้เมล็ดแอปเปิ้ลภายในแก้ว.....ที่มีอยู่ไม่ถึง 10 เมล็ด...จน

    แสงจันทร์เพ็ญอันสว่างไสวจากตัวนางสาดส่องผ่านแก้วใสเข้าไปสัมผัสเมล็ดแอปเปิ้ล.....

    ....................แล้วนางก็ยกขลุ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ....และผิวเป่าขลุ่ยอย่างแผ่วเบาทันที...

    เสียงขลุ่ยที่นางเป่าดังอย่างแผ่วเบา..มันอ่อนโยนและนุ่มนวล.....ดุจขนนกปลิวหล่นลอยลม

    มาจากฟากฟ้า.....



    ..........................."......อ้อนวอน...แอปเปิ้ล....ด้วยใจรัก....ไม่เคยให้...ต้นใด

    สัมผัส.....แสงจันทร์เพ็ญ....แห่งตัวข้า....วอนเจ้าโปรดเมตตา.......มีชีวิตเพื่อข้า....หญิง

    จันทร์เพ็ญ....เกิดอยู่คู่...เป็นอนุสรณ์...แห่งน้ำใจรัก.......อันไมตรี....ต้นไม้และหญิงนี้....มี

    ใจตรงกัน....ช่วยสร้างสุข...ให้โลก.....ลืมทุกข์โศก..บนดินสยาม....เพื่อความทรงจำ...อัน

    งดงาม...ของผู้มีนาม...ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ....."...





    .....................แสงจันทร์เพ็ญจากตัวโนรี เสียงขลุ่ยฟ้าผ่า..และความรักในใจของโนรี...ที่

    ส่งกระแสจิตถ่ายทอดไปยังเมล็ดแอปเปิ้ลในแก้ว...ได้เกิดปรากฎการณ์อัศจรรย์ขึ้นที่เมล็ด

    แอปเปิ้ลเมล็ดหนึ่งภายในแก้วใสใบนั้น.....

    .....................เมล็ดแอปเปิ้ลเมล็ดนั้นได้เคลื่อนตัวขยับลอยขึ้นภายในแก้วและหมุนวนรอบ

    ภายในแก้ว....และค่อย ๆ ลอยขึ้น ลอยขึ้น ลอยขึ้นสูง เหนือแก้วใบนั้น.....พร้อมกับหมุนวน

    อยู่กับที่ท่ามกลางอากาศเหนือแก้ว...เปลือกเมล็ดสีดำค่อย ๆปริออกและแยกจากกัน...โดย

    รอยแยกนั้นได้เกิดเป็นใบไม้อ่อน ๆ สีขาวแกมเขียวผุดขึ้นมาพร้อมกับลำต้นเล็ก ๆ ยาวราว

    หนึ่งนิ้ว...และต้นแอปเปิ้ลต้นนั้นก็หมุนวนไปมา.....

    .....................โนรีเห็นปรากฎการณ์ที่อยู่ต่อหน้านางทั้งหมด....นางตื้นเต้นและดีใจเป็นที่

    สุด...แต่ก็ยังคงเป่าขลุ่ยต่อไป....ซึ่งต้นแอปเปิ้ลน้อย....เหมือนกับจะรับรู้ในเสียงขลุ่ยนั้น..มัน

    ได้หมุนวนไปตามทำนองของเสียงขลุ่ย......

    ......................ต้นแอปเปิ้ลน้อยได้เกิดขึ้นมาแล้ว และลอยอยู่ท่ามกลางอากาศเหนือ

    แก้ว...สิ่งที่ทำให้มันเกิดขึ้น คือ คำอ้อนวอนของโนรี.หรือ.แสงจันทร์เพ็ญจากตัวนาง.หรือ.

    เสียงขลุ่ยฟ้าผ่า.หรือ.ความรักในใจที่โนรีส่งกระแสจิตถ่ายทอดไปถึงมัน...โนรีไม่อาจรู้ได้....

    แต่ขณะนี้เสียงขลุ่ยได้หยุดลง..ต้นแอปเปิ้ลน้อยได้ลอยลงมาอยู่ที่บนฝ่ามือของโนรี....พร้อม

    กับรอยยิ้มอันแสนน่ารักของเจ้าของมือนั้นที่รองรับมันด้วยความยินดี......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2011
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................สองบุรุษหนุ่มยามวิกาล..เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่ปรากฎขึ้นต่อสายตาโดย

    ตลอด..ภูผาถึงกับตื่นเต้นจนขนหัวลุก....ส่วนเณรนั้นพยายามกลั้นหายใจ..เพื่อข่มความตื่นเต้นภายใน

    ใจ...ทั้งคู่คิดสบสนจนวุ่ยวายใจต่อหญิงที่อยู่เบื้องหน้า "โนรีคือใคร"

    นางเป็น "เทพธิดา" หรือ "ปิศาจ"....

    ....................ความฝันของภูผาเป็นสิ่งที่เณรและภูผาขบคิดคำว่า "เรามาจากจันทร์เพ็ญ"

    หรือ... "จะมีผู้หญิงอื่นที่มาจากจันทร์เพ็ญมาสิงสู่ร่างของโนรีเอาไว้" ทำให้นางมีแสงสว่าง

    ของจันทร์เพ็ญปรากฎขึ้น......ประการสำคัญนางมีอำนาจถึงขนาดทำให้ "เมล็ดแอปเปิ้ลที่อยู่

    ในแก้วหมุน..........และลอยขึ้นมาพร้อมกับแตกยอดงอกออกมาเป็นต้นแอปเปิ้ลต้นเล็ก

    ได้"...

    ....................ภูผาสบตากับเณรที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หลังจากร่างของ "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" ลับ

    จากสายตาไปแล้ว....การสบตาของบุรุษทั้งสองเหมือนกับการมีคำถามอันมากมายที่จะถาม

    กันในเรื่องนี้.....

    ....................เณรจ้องหน้าภูผาพลางเอ่ยอย่างจริงจัง

    ............................."โนรีมีแสงจันทร์เพ็ญปรากฎขึ้นเหมือนในความฝันของเจ้า...แต่เจ้า

    ต้องรับปากข้าว่า..จะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟัง...รับปากข้าซิ" เณรกำชับภูผาอย่างเน้น

    หนัก....

    ....................ภูผาจ้องหน้าเณรอันเป็นการแสดงอาการยืนยันพร้อมเอ่ยขึ้น

    .............................."ข้ารับปากเจ้า..แล้วเจ้ากับข้าจะทำเช่นไรต่อไป"

    .............................."ข้าไม่รู้..ตอนนี้ข้าสับสนไปหมด"

    .............................."สับสนว่า..เจ้าควรรักนางต่อไปไหมหรือ"

    .............................."ไม่ว่าน้องข้าจะเป็นเช่นใด...ข้าไม่มีวันเลิกรักนางและจะรักนาง

    ตลอดไป"

    ....................เณรและภูผากลับมานอนสงบนิ่งในกุฏิที่พัก.....โดยไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ภายใน

    ใจให้กันฟัง...ทั้งสองต่างก็มิอาจข่มตาหลับลงได้...แม้ว่าไฟในกุฏิจะดับลงไปหลายเพลาแล้ว

    ....................เณรและภูผาต่างคิดหาเหตุผลว่า........ "ทำไมจึงมีสิ่งประหลาดอัศจรรย์

    เกิดขึ้นกับโนรี...แสงจันทร์เพ็ญที่ออกจากร่างของนาง.....เมล็ดแอปเปิ้ลที่ลอยตัวอยู่เหนือ

    แก้วและงอกออกมาเป็นต้นอ่อน....โนรีมีพลังอะไรแฝงอยู่ในตัว....แต่ถึงจะมีเหตุการณ์ที่ตื้น

    เต้นสยองขวัญอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างไร.....แต่ทั้งเณรและภูผาก็ไม่อาจหยุดรักโนรีได้...ด้วย

    ความรักมันฝังใจพวกเขาทั้งสองเสียแล้ว......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................รุ่งขึ้นเช้า..โมลีตื่นนอนเป็นคนสุดท้าย เด็กน้อยได้เห็นเมล็ดแอปเปิ้ลที่ใส่ไว้ในแก้ว

    วางไว้บนโต๊ะหน้ากระจกเงา...มีต้นอ่อนงอกออกมาจากเมล็ดต้นหนึ่ง..เด็กน้อยถึงกับตื่นเต้นตกใจรีบ

    ลุกขึ้นมาดูใกล้ ๆ..และตะโกนเรียกพี่สาวทันที

    ............................."โนรี ..โนรี..มาที่นี่เร็ว ๆ"

    ....................โนรีเดินเข้ามาในห้อง..โมลีชี้ไปที่ต้นอ่อนของแอปเปิ้ลแล้วเอ่ยขึ้นด้วยนำเสียง

    ตื่นเต้นตื้นเต้น

    ............................."มันงอกขึ้นแล้วโนรี..รีบบอกแม่มาดูเร็ว"

    ....................โนรีเห็นอาการของน้องสาวก็ให้นึกขัน..จึงหัวร่อเบา ๆ ก่อนเอ่ยขึ้น

    ............................."แม่เขามาดูก่อนโมลีจะตื่นอีก"

    ............................."หา...นี่โนรีกับแม่เห็นแล้วหรือ...แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร"

    ....................โนรีจึงได้เล่าปรากฎการณ์เมื่อคืนนี้ให้น้องสาวของนางฟัง...เช่นเดียวกับที่บอกกับ

    บันตาแม่ของนาง........ทำให้ทั้งบันตาและโมลีต่างก็ประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้น........




    .............ตอนที่ 73 ภูผาข้าบอกเจ้าด้วยเสียงขลุ่ย...........




    ....................แปดวันต่อมาศาลาวัดโนรีที่ถูกต่อเติมได้เสร็จสมบูรณ์ในราวสี่โมงเย็น....มนู

    ขออนุญาตลุงสีให้พรรคพวกกินเหล้าฉลองงานเสร็จ..โดยที่พวกตนจะดื่มเหล้ากันที่ศาลาพักร้อนนอก

    เขตวัด..และขอกางเต็นท์นอนกันบนลานริมถนน..ซึ่งอยู่ตรงข้ามประตูวัดและศาลาพักร้อนหน้าวัด...

    โดยทั้งหมดรับปากว่า"จะไม่เข้าเขตวัดเด็ดขาดถ้าไม่สร้างเมา"...อันเป็นการแสดงความเคารพ

    ธรณีสงฆ์..

    ....................เณรและภูผาจึงต้องมีหน้าที่ไปขนไหเหล้าที่ฝากไว้ที่บ้านโนรีมาให้พรรคพวก.....

    ....................ระหว่างทางภูผานั่งอยู่บนเกวียนด้านหน้ากับเณร..และเอ่ยถามเณร

    ............................."พรุ่งนี้..ข้าคงต้องไปจากเจ้าแล้ว"

    ....................เณรพยักหน้ารับรู้โดยไม่พูดสิ่งใด..แต่ภูผายังคงพูดต่อ

    ............................."ข้าคงลืมโนรีไม่ได้"

    ....................เณรหันมาทางด้านข้างเพื่อมองหน้าภูผา..แล้วจึงเอ่ย

    ............................."เจ้าประทับใจอะไรในตัวโนรี"

    ............................."ประกายแห่งความเย็นในตัวนางที่ข้าเห็นแล้วเป็นสุข..เสียงขลุ่ยที่

    ข้าฟังแล้วสุขใจ...ความสวยงามน่ารัก..และแสงจันทร์เพ็ญพร้อมกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น"

    เรื่องอัศจรรย์ที่ภูผาเอ่ยคือเรื่องในคืนนั้น

    ............................."แล้วเจ้าจะกลับมาอีกไหม"

    ............................."หากข้ามีโอกาส..ข้าต้องกลับมา"



    ....................บ้านของโนรีมีเพียงโนรีที่อยู่บ้าน..ส่วนโมลีไปกับแม่ที่สวนหลังบ้าน...เณรลง

    จากเกวียนพร้อมภูผา...โดยเห็นโนรีนั่งอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่หน้าบันได

    ............................."โนรี..ข้ามาเอาเหล้า" ภูผาเอ่ยในขณะที่เณรเดินไปที่ไหเหล้าโดยมิได้เอ่ย

    สิ่งใด

    ............................."ได้..เดี๋ยวหนูช่วยยกขึ้นเกวียนให้นะจ๊ะ" โนรีเอ่ยตอบภูผาพร้อมกับเดิน

    ตามเณร

    ............................."พรุ่งนี้ภูผาจะกลับปัตตานี..หวังว่าเจ้าคงไม่ลืมเขา" เณรเอ่ยเมื่อโนรีตาม

    มาทัน

    ....................โนรีตกใจเล็กน้อยพลางเอ่ยตอบ

    ............................."แสดงว่าศาลาวัดต่อเติมเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือจ้ะ"

    ............................."ถูกแล้วล่ะ..พรุ่งนี้ข้าจะกลับปัตตานี...หวังว่าข้าจะเห็นเจ้าคอยส่งข้า..

    เพื่อข้าจะดูเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจาก..และข้าจะเก็บเจ้าไว้ในความทรงจำตลอดชีวิต" ภูผา

    เอ่ยเมื่อตามมาทันได้ยินโนรีพูด

    .....................คำพูดของภูผาทำให้โนรีรู้สึกหวั่นไหว..ด้วยเริ่มรู้สึกว่า"ภูผากำลังรักนาง"

    โนรีจึงหันไปมองหน้าเณรที่กำลังยกไหเหล้าไปที่เกวียน...ก็พบใบหน้าเรียบเฉยอย่างที่ไม่เคย

    พบเห็นมาก่อน..นางจึงหันไปถามภูผา

    ............................"แล้วพี่ภูผาจะออกเดินทางตอนไหนจ้ะ"

    ............................"ก่อนเพล"



    .....................หลังจากนั้นเณรและภูผาก็กลับมาที่วัด..และ..ท่ามกลางวงเหล้าในศาลาพัก

    ร้อนหน้าวัดยามเย็น...

    .....................ชาญเอ่ยขึ้นอย่างลิ้นเริ่มพันกันเพราะความเมา

    ............................"ไม่ได้ดื่มมานาน...วันนี้ต้องดื่มให้หนัก"

    ............................"รสชาดมันยังคงเหมือนเดิม..ร้อนแรงกระหึ่ม" มนูเอ่ยสรรพคุณเหล้าด้วย

    ความยินดีที่ได้ดื่มมันอีกครั้ง..หลังอดมานาน

    ............................"เอ็งเข้าใจพูด..แต่ว่า..วันนี้ใครกล้าพนันกันไหมวะ..ว่าถ้าลุงสีออกมาจาก

    พ่อท่าน..ลุงสีจะมาดื่มกับพวกเราไหม" หลวงปอผู้อาวุโสรองจากลุงสีเริ่มเอ่ย

    ............................"ไม่มีทาง..พ่อข้าไม่มีทางดื่มเมื่ออยู่ใกล้พ่อท่าน" ภูผาปฏิเสธแทนพ่อ

    ............................"ท่าจะจริงอย่างภูผามันพูด..แล้วหลวงปอยังกล้าพนันอีกไหม"

    เกี่ยวยืนยันคำภูผา...ด้วยเห็นอุปนิสัยลุงสีที่บางครั้งก็ดูจริงจัง...บางเรื่องก็ไม่เอาจริง..แต่เรื่องดื่ม

    เหล้านี้..เกี่ยวรู้สึกว่า"ลุงสีเอาจริง"..ถึงขนาดห้ามเอาเหล้าเข้ามาในวัดเช่นนี้..แสดงว่าแกเอา

    จริงมาแต่ต้น...

    ....................หลวงปอส่ายหน้า..แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................."เมื่อพวกเอ็งรู้คำตอบแล้ว..ข้าก็ไม่พนันหรอก"



    .....................ขณะกำลังสนทนากัน..ลุงสีได้เดินออกมาจากหน้าประตูวัด..มือขวาถือห่อผ้าเช็ด

    หน้าไว้..ด้วยหน้าตาที่สดชื่น..เดินตรงมาที่วงเหล้าแล้วนั่งลงข้างเณร..พลางเอ่ยขึ้น...

    ............................."พ่อท่านบอกว่าชาวบ้านบริจาคเงินให้พวกเราไว้เป็นค่าใช้จ่ายกลับ

    บ้าน".....ลุงสีพูดพลางแก้ห่อผ้าเช็ดหน้าก็เห็นเงินเหรียญหลายอันอยู่ในนั้น..แล้วลุงสีก็เอ่ยต่อ..

    ............................."ข้า..ไม่อยากเอาจะถวายคืนท่าน..ท่านก็บอกว่าชาวบ้านเขาเห็นใจพวก

    เรา..เขาจึงบริจาคให้..ด้วยเห็นว่าพวกเราตัดไม้..นำไม้มาให้..แล้วยังมาช่วยวัดก่อสร้างอีก...เดี๋ยว

    หลวงปอเอาไปแบ่งให้พวกเราเท่า ๆกัน....ส่วนข้ากับเจ้าภูผาไม่ต้องมาแบ่งให้" ลุงสีพูดอย่าง

    มีน้ำใจด้วยตนเองเป็นคน....พาพวกพ้องมาช่วยตนเองและพ่อท่าน

    ............................"จริง ๆ ข้าก็ไม่อยากเอาหรอก..แต่คิดว่าระหว่างทาง...ถ้าได้เงินซื้อของ

    แปลก ๆ ไปฝากแม่กับพ่อข้าบ้างก็ดี" เดี่ยวเอ่ยรับตามความรู้สึกของตน เช่นเดียวกับพวก หลวงปอ เจ้า

    ดำ และคนอื่น ๆ ซึ่งก็เห็นว่า "ควรซื้อข้าวของไปให้ภริยาและลูกที่อยู่ทางบ้านบ้าง"



    ....................ลุงสีกินข้าวมื้อเย็นที่วงเหล้าจนอิ่ม..แล้วจึงเดินกลับไปศาลาวัดเพื่อเตรียมตัวเข้า

    นอน...ส่วนภูผาหลังจากลุงสีไปแล้ว...เขาไม่คิดจะกลับไปนอนที่กุฏิที่พักของเณร..แต่เขาคิดว่า

    คืนนี้เขาควรจะดื่มเหล้าให้เมา..เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดอะไรให้สับสนวุ่นวายใจเกี่ยวกับโนรี..เขา

    จึงเอ่ยชวนเณรทันที..เมื่อดึงแก้วเหล้าจากเจ้าดำขึ้นมาดื่ม...

    ............................"เณร..ข้าว่าเจ้าควรดื่มเหล้ากับข้า..ไหน ๆเราก็จะจากกันในวันพรุ่งนี้

    แล้ว"

    ............................"อย่าเลย...พ่อท่านอาจเรียกข้าใช้ให้ไปทำอะไรอีก..ข้าไม่อยากเสีย

    งาน" เณรเอ่ยปฏิเสธ

    ............................"จริงของเณร..เมาแล้วจะเข้าวัดได้อย่างไร" เจ้าดำเอ่ยสนับสนุน

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..คืนนี้ข้าคงต้องนอนเต็นท์กับพรรคพวก" ภูผาเอ่ยด้วย

    ตั้งใจจะเมาเต็มที่




    .....................การดื่มยังคงไม่เลิกราง่าย ๆ ด้วยความสุขใจของคนกิน.......และ บรรยากาศเป็น

    ใจด้วยไร้ซึ่งลมฝน...เณรขอตัวกลับไปก่อน....ด้วยเกรงพ่อท่านจะเรียกหา

    .....................เวลาผ่านไปราวเที่ยงคืน...หลวงปอ..ชาญ.. มนู ...เกี่ยว และ เดี่ยว..นั้นเมาหลับ

    ไปแล้วด้วยดื่มหนักมาแต่เย็น...ยังคงเหลือภูผา กับ เจ้าดำ..ซึ่งเมาจนเริ่มมองแก้วเหล้ามากกว่าจะดื่ม

    ต่อ.....

    .....................ลมเย็นพัดผ่านโชยมาให้นักดื่มได้สดชื่นขึ้นเล็กน้อย.....ภายในหัวของ

    ภูผารู้สึกคิดถึงโนรี..และทบทวนตั้งแต่วันแรกที่พบเห็นนางและทุก ๆครั้งที่เห็นมันช่างก่อให้

    เกิดความสุขใจแก่เขาทุกครั้งที่เห็น.....แม้แต่คืนที่แสงจันทร์เพ็ญออกจากร่างกายของโนรี

    ในคืนจันทร์เพ็ญที่ผ่านมา.....แม้ว่าเขาจะตื่นเต้นแต่เขาก็ยังรู้สึกมีความสุข...ที่ได้เห็นนางได้

    ยินเสียงนาง..และ..เสียงขลุ่ยของนาง..

    ....................ฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงขลุ่ยดังแผ่วแว่วกังวานมาแต่ไกล..ให้ภูผาได้ยิน..

    เขาจำได้ว่าเสียงขลุ่ยของโนรี..มันมีความหมายให้เขาคิดได้ว่า...



    ............................"......ยามค่ำคืน...ข้าส่งเจ้า...ด้วยเสียงขลุ่ย...ให้เจ้าจำ...จงอย่า

    ลืม...ถ้ามีความจำ...แต่ข้า..ต้องลืม...ด้วยต้องลืมซึ่งความทรงจำ...ความรักที่มีอยู่...ส่งมา

    ให้ข้า...มีหรือ..ข้าไม่รู้...แต่ข้าได้เพียงดู...เพราะข้าไม่มีความทรงจำ...ข้ารักใครมิได้...

    อาจารย์สั่งไว้....ข้าต้องไร้ทรงจำ...ความรักมีอานุภาพ...อาจทำให้ข้า..มีความทรงจำ...ถ้า

    ให้ดี..จงลืมข้า...อย่ามีทรงจำ...เพราะเจ้าอาจผิดหวัง...เพราะความทรงจำ...ที่ไม่ยอม

    ลืม....."



    .....................เสียงขลุ่ยดังกล่าวไล่ระดับเสียงอ่อนโยนไปมา..กวัดแกว่งแล่นไปตามสาย

    ลมที่พัดพามันมา...แม้มันจะไพเราะ....และเป็นเหมือนเสียงเตือนที่ให้ความหมาย...แต่มัน

    ช่างกระแทกหัวใจคนฟังเช่นภูผาจนถึงกับซึม.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................รุ่งขึ้นเช้า เหล่าบุรุษจากปัตตานีเก็บข้าวของสัมภาระขึ้นเกวียน..แล้วพากันไปกิน

    ข้าวมื้อสุดท้ายที่วัด..พร้อมกับฟังธรรมจากพ่อท่านก่อนจาก...

    ............................."พวกโยมทั้งหลายจำพุทธประวัติได้ไหม..ก่อนที่พระพุทธองค์จะ

    ปรินิพพานทรงมีพุทธโอวาทกล่าวเตือนพระภิกษุสงฆ์ครั้งสุดท้ายว่า

    ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย..บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งเราแล้ว..เราขอเตือนเธอทั้งหลายให้จำมั่นไว้

    ว่า...สิ่งทั้งปวงมีความเสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา...เธอทั้งหลายจงตั้งอยู่ด้วยความไม่

    ประมาทเถิด....

    ............................พระพุทธองค์ทรงบอกยืนยันความจริงของโลกว่า..สิ่งทั้งปวงมีความ

    เสื่อมและสิ้นไปเป็นธรรมดา..ให้ภิกษุจำไว้ให้มั่นและให้อยู่ด้วยความไม่ประมาท...ซึ่งพระ

    พุทธองค์ทรงหยั่งรู้ว่า "คำเตือนของพระพุทธองค์ครั้งสุดท้ายนี้" จะต้องแพร่หลายมาสู่ปุถุชน

    ผู้ประพฤติธรรม..และตั้งมั่นอยู่ในศาสนาของพระพุทธองค์....

    ............................คำเตือนของพระพุทธองค์ก่อนวาระสุดท้ายนี้แสดงให้เห็นว่า "สองสิ่ง

    นี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด"..ที่พระพุทธองค์ทรงห่วงใยและเล็งเห็นว่า..พระภิกษุในศาสนาของ

    พระพุทธองค์และปุถุชนทั้งหลาย..จะลุ่มหลงและมั่วเมาอยู่กับสิ่งที่เป็นภาพมายาว่าคงทนอยู่

    ถาวร...แต่แท้จริงแล้วไม่มีสิ่งใดเลยที่จะไม่เสื่อมและสิ้นไป..พระพุทธองค์จึงให้อยู่ด้วยความ

    ไม่ประมาท..ก็คือ..ให้อยู่ด้วยการมีสติสัมปชัญญะ ให้รู้ตัวทุกขณะที่เราจะพูด จะทำ จะคิด..

    ทุกอย่างต้องรู้...

    ............................ก็ขอให้พวกโยมจดจำคำเตือนอันสำคัญของพระพุทธองค์ท่านไว้...

    อาตมาขอน้อมนำพระพุทธโอวาทหรือคำเตือนนี้ให้แก่พวกโยม......เพื่อเป็นที่ระลึกจาก

    อาตมา"...

    ....................เหล่าบุรุษผู้ทำคุณงามความดีต่างพนมมือยกขึ้น.....อันเป็นกริยาน้อมรับคำ

    สั่งสอนนี้ก่อนจะพากันมาที่เกวียนพร้อมจะเดินทาง......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เณรเดินมาข้างภูผาแล้วเอามือตบไหล่ญาติผู้พี่อย่างเบา ๆ เหมือนเป็นการ

    ปลอบโยนก่อนลาจาก..........ภูผาหันไปมองที่ปากทางเข้าวัดเหมือนรอดูบางสิ่งบางอย่าง...พลาง

    เอ่ยกับเณร..

    ............................"น้องเจ้า..คงไม่มาส่งข้า.."

    ............................"ทำไม เจ้าคิดเช่นนั้น"

    ............................"นางคงส่งข้า..ด้วยเสียงขลุ่ยเมื่อคืนนี้แล้ว"

    ............................"ข้าคิดว่า..เจ้าคาดผิด" เณรพูดพร้อมกับส่งสายตาชำเรืองออกไปที่

    ปากทางเข้าวัดเพื่อให้ภูผามองตาม

    ....................สายตาของภูผาเพ่งมองตามทันที....เขาก็พบกับผู้ที่เขารอคอยกำลังนั่ง

    เกวียนมากับโมลีน้องสาว..โดยเกวียนนั้นบรรทุกผลไม้ใส่ตะเข่งมาเต็มเกวียน..เพื่อนำมามอบให้

    เหล่าบุรุษผู้มีน้ำใจงามแห่งเมืองปัตตานี....

    ............................"โอโฮ..ข้าว่านังหนูสองคน..คงเอาผลไม้มาให้พวกเราเอากลับบ้านแน่เลย"

    หลวงปอคาดเดาเม่อเห็นเกวียนมุ่งตรงมา

    ............................"ดี..จะได้เป็นเสบียงกินระหว่างทาง...เหลือก็เอาไปฝากทางบ้าน" ดำเห็น

    ชอบตามคำพูดหลวงปอ

    ....................เกวียนตรงมาเข้าจอดหน้าเณรและภูผา

    ............................"แม่สั่งให้เอาผลไม้..มาให้พ่อเฒ่ากับพวกจ้ะ" โนรีเอ่ย

    ............................"ขอบใจเจ้าที่มีน้ำใจมาส่งข้า" ภูผาเอ่ยแก่โนรี

    ............................"แล้วพี่ภูผาจะมาอีกเมื่อไรจ้ะ"

    ............................"คงอีกนาน..ข้ากำหนดไม่ได้"

    ....................เณรมิได้สนใจการพูดคุยของโนรีกับภูผา..เขารีบขนตะเข่งผลไม้ใส่เกวียน

    ให้แก่ลุงสีและพรรคพวก..โดยมีดำ หลวงปอ เกี่ยว เดี่ยว และชาญมาช่วยขน....จนเสร็จ...




    ....................เกวียนของลุงสีเริ่มเคลื่อนออกเมื่อได้เวลา โดยมีภูผานั่งอยู่บนเกวียนด้าน

    หลังเล่มสุดท้าย..ที่มีหลวงปอและเจ้าดำเป็นคนขับเกวียน...ภูผานั่งหันหลังชนกับเจ้าดำมองดู

    โนรี โมลี และ เณรที่ยืนเคียงข้างกันคอยส่ง..เขาและเหล่าบุรุษจากเมืองปัตตานี....

    ....................เกวียนเคลื่อนตัวออกมาไกลจนภาพของผู้มาส่งลับตาไป...ภูผารำพึงรำพัน

    กับตนเอง

    ........................"โนรี..นางเป็นใคร ..ข้าจะสืบให้รู้ให้ได้..แล้วข้าจะกลับมา"

    ....................ภูผานั่งคิดถึงโนรีและนึกสังหรณ์ใจบางสิ่งบางอย่างว่า...... "ดินแดนมลายู

    น่าจะมีคนรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวด้วย...ผู้หญิงที่มีประกายความเย็นอยู่ในตัว..มีแสงสว่างดุจ

    จันทร์เพ็ญเกิดขึ้นเมื่อร่างสัมผัสกับแสงจันทร์เพ็ญ".......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 005.jpg
      005.jpg
      ขนาดไฟล์:
      105.8 KB
      เปิดดู:
      48
    • 4355564.jpg
      4355564.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.1 KB
      เปิดดู:
      55
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...........ตอนที่ 74 บุรุษกตัญญูผู้กลับมาจากเมืองจีน.........




    ....................เมืองสุราษฎร์ธานีต้นฤดูหนาว ปี พ.ศ.2462..หนึ่งเดือนต่อมา..เรือเดินสมุทร

    ที่มาจากเมืองจีนเทียบท่า..ตี๋ใหญ่กับตี๋เล็ก..และชาวจีนคนอื่นต่างทยอยเดินลงจากเรือพร้อมขน

    สัมภาระติดตัวลงมา...ด้วยความยินดีที่ได้กลับมาแดนสยามบ้านเกิดเมืองนอน...ที่เตี่ยและแม่รวมทั้ง

    หมวยเล็กน้องสาวของตนเองรออยู่...

    ....................ร้านของเตี่ยตอนสาย..ตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี...........เกวียนขนสัมภาระที่ตี๋

    ใหญ่ว่าจ้างมาส่งได้จอดหน้าบ้าน...ทันที่ที่หมวยเล็กซึ่งนั่งเฝ้าร้านเห็นพี่ชายทั้งสองโดดลงจาก

    เกวียน..ก็ให้รู้สึกดีใจและตื่นเต้นวิ่งตะโกนเข้าไปกอดพี่ชายทั้งสอง..

    ............................."อาเฮีย..พวกลื้อกลับมาแล้ว..เตี่ยแม่ออกมาเร็ว ๆ อาเฮียกลับมา

    จากเมืองจีนแล้ว".......

    ....................เตี่ยและแม่ได้ยินข่าวดีจากเสียงหมวยเล็ก..ถึงกับระงับความตื่นเต้นดีใจไม่อยู่เช่น

    เดียวกับหมวยเล็ก..รีบเดินออกมาจากในร้านทันที

    ............................."อาตี๋ใหญ่..อาตี๋เล็ก ลื้อกลับมาแล้วจริงๆ" เป็นคำเอ่ยจากแม่ผู้รอ

    คอย

    ............................."ไป ๆ อาหมวยเล็ก..ลื้อรีบไปเตรียมอาหารให้อาเฮียทั้งสองของลื้อ

    เจี๊ยะ(กิน)ก่อนเร็ว.....เดี๋ยวทางนี้เตี่ยกับคนขับเกวียนจัดการยกของลงเอง" เตี่ยออกคำสั่ง

    ..........................."เตี่ย..เดี๋ยวอั้วจัดการเอง..ลื้อเข้าไปรออั้วในบ้านก่อนเถิด"

    ตี่ใหญ่เห็นน้ำใจของเตี่ย..แต่รู้ว่ากำลังผู้เฒ่าไม่เหมาะยกสิ่งใดลงจากเกวียน

    ..........................."จริงของอาเฮีย..เตี่ยไปรอก่อนเถิด..เดี๋ยวอั้วจะเอาของฝากจากอากง

    เล็กกับอาเจ็กไปให้ดู" ตี๋เล็กเอ่ยต่อจากตี่ใหญ่

    ..........................."ล่าย ๆ พวกลื้อรีบมาเร็ว ๆนะ" เตี่ยเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 003.gif
      003.gif
      ขนาดไฟล์:
      109.1 KB
      เปิดดู:
      1,010
    • 001.gif
      001.gif
      ขนาดไฟล์:
      87 KB
      เปิดดู:
      322
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2011
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ครู่ใหญ่ต่อมา เตี่ย แม่ พร้อมลูกทั้งสามได้มานั่งพร้อมกันที่โต๊ะอาหารเพื่อ

    กินข้าว..ตี๋เล็กได้เอ่ยขึ้นกับเตี่ยทันที..ด้วยเรียนรู้และซึมซับอะไรหลาย ๆอย่าง จากอากงเล็ก และอา

    เจ็ก พร้อมทั้งสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ในเมืองจีน..

    ............................."เตี่ย..อั้วรู้แล้ว..ว่าทำไมพวกลื้อไม่ยอมอยู่ที่เมืองจีน"

    ............................."ถ้าลื้อรู้แล้วก็ไม่ต้องเล่าหรอก..ที่อั้วให้พวกลื้อไปเพราะอั้วรู้สึกว่า...การ

    บอกเล่าให้พวกลื้อฟัง..ไม่เหมือนกับการที่ส่งพวกลื้อไปดูให้เห็นด้วยตาของตนเองหรอก" เตี่ย

    อธิบาย

    ............................."เตี่ย..อั้วอยากเอาสินค้าในร้านเรา..ใส่เกวียนไปขายที่ชานเมือง...

    และเร่ตระเวณขายไปทั่ว ๆ อย่างเช้าไปเย็นกลับ" ตี๋เล็กเอ่ยความคิดของตนให้เตี่ยฟัง..ด้วย

    หาหนทางก้าวหน้าทางการค้าเพื่อช่วยเหลือครอบครัว

    ....................คำพูดของตี๋เล็กทำให้เตี่ยมองหน้าตี๋เล็กอย่างตื่นเต้น..และหันไปมองหน้า

    เมียและลูก ๆ ด้วยความแปลกใจในความคิดอันดีของตี๋เล็ก..เตี่ยจึงถามเหตุผล

    ......................"มันเป็นความคิดที่ดี..แต่ลื้อมีเหตุผลอันใดจึงต้องทำเช่นนั้น"

    ......................"การที่เรานำสินค้าไปขายบริการพวกลูกค้าถึงบ้าน..พวกเขาจะไม่เดือด

    ร้อน...บางคนไม่มีเกวียนเข้ามาในตลาด..ต้องเดินทางมาหลายกิโลกว่าจะถึงตลาด...บางคน

    มีเกวียนแต่ไม่ว่างมาตลาด....เราให้ความสะดวกแก่พวกเขา..เขาจะเป็นลูกค้าที่ดีของเรา....

    พอพวกเขาเข้ามาในตลาด..พวกเขาจะต้องตรงมาซื้อสินค้าของร้านเรา...แม้ว่าร้านอื่นจะมี

    สินค้าขายเหมือนเรา..........และในอนาคตเมืองสุราษฎร์ธานีเจริญไปถึงชานเมือง....พวก

    ลูกค้าของเราจะมากและแห่มาซื้อสินค้าจากเราทั้งนั้น....การค้าเราอาจขยายไปเปิดร้านสาขา

    ที่ชานเมืองอีกทีหนึ่งก็ได้นะเตี่ย" ตี๋เล็กอธิบาย

    ....................เตี่ยมองหน้าตี๋เล็กอย่างปลื้มปิติ...แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยินดี

    ............................"ลื้อโตมีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินตัวจริง ๆ..อาตี๋เล็ก..ไม่เสียแรงที่

    เตี่ยให้ลื้อไปเมืองจีนกับอาตี๋ใหญ่...จงทำในสิ่งที่ลื้อต้องการเถิด"

    ....................ตี๋เล็กยิ้มอย่างอารมณ์ดี ด้วยถูกใจคำพูดของเตี่ย..แล้วหันไปมองตี๋ใหญ่ซึ่ง

    กำลังคุ้ยข้าวเข้าปากอย่างสบายอารมณ์...แล้วตี๋ใหญ่จึงเอ่ยให้น้องชายที่กำลังมองตนฟัง

    ............................"อั้วแนะนำให้ลื้อเอาหมวยเล็กไปช่วยด้วย..จะได้ฝึกการค้ากับลื้อไป

    ในตัว"

    ....................หมวยเล็กซึ่งเบื่อหน่ายกับการเฝ้าร้านขายของเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว..เมื่อได้ยิน

    เฮียตี๋ใหญ่พูดเป็นช่องให้เช่นนั้น...ก็เหมือนกับปลากระดี่ได้น้ำ..จึงเอ่ยสนับสนุนคำพูดของตี๋

    ใหญ่เป็นการใหญ่

    ............................"จริงของอาเฮีย..อั้วได้ค้าขายแบบเร่ไปมา..มันรู้เรื่องการค้าเพิ่มขึ้น

    อั้วชอบ"

    ............................"ลื้อชอบ..ลื้อต้องอยู่กับอั้วจริง ๆนะ..ไม่ใช่หนีไปเที่ยวหาอาโมลีที่

    สวน" ตี๋เล็กพูดดักคอน้องสาวอย่างรู้ทัน

    ............................"แหมอาเฮีย..อั้วจะไปก็ตอนลื้อไม่ยุ่งเท่านั้นแหละ..ถ้าลื้อขายของอยู่

    อั้วจะไปได้อย่างไร" หมวยเล็กรับภาคเสธ

    ............................"นั่นไง..ยอมรับแล้วที่จะไปขายของก็เพื่อไปเที่ยว"

    ............................"เอาเถอะน่า..ให้หมวยเล็กอีไปด้วยเถอะ...ตอนพวกลื้อไม่อยู่..อีก็

    เหนื่อยแย่อยู่แล้ว" เตี่ยปรามสองพี่น้องอย่างเข้าใจลูกทั้งสอง

    .....................การกินอาหารของครอบครัว..ซึ่งไม่พบหน้ากันนาน...มักเป็นอาหารที่เลิศ

    รสอร่อยเสมอ...ด้วยมันเจือไปด้วยความคิดถึง..ความรัก..และความสุขที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้า

    กัน....







    .....................หลังอาหารมือเช้าไม่นาน..ตี๋ใหญ่กับตี๋เล็กก็นำเอาของฝากจากเมืองจีนมา

    ให้เตี่ยและแม่...มันตือ สิ่งที่เตี่ยและแม่ต้องการ อันได้แก่ โสมและยาบำรุงกำลัง..ทั้งสองจึง

    ใช้มือโกยโสมและยาออกดูพร้อมกับดมกลิ่น

    ............................."อั้ว..ไม่ได้ดมกินยานี้..เสียต้องนาน..เดี่ยวหมวยเล็กลื้อเอาไปต้ม

    เลย" เตี่ยเอ่ย

    ............................."เตี่ย..อั้วมีของอีกสิ่งหนึ่งมาฝากด้วย" ตี๋เล็กพูดพร้อมกับยกถุงใส่

    ดินมาให้

    ....................เตี่ยสังเกตุถุงแป้งที่ตี๋เล็กยกมา...โดยยังไม่แก้เชือกมัดปากถุง..ก็ให้สงสัย

    ว่ามันคืออะไร..จึงเอ่ยถาม

    ............................."อะไรของลื้อหรือ..ตี๋เล็ก"

    ....................ตี๋เล็กไม่ตอบ..แต่ได้แก้เชือกที่มัดปากถุงออกและแหวกปากถุงให้เตี่ยดูภาย

    ใน

    .............................."ดิน".....เตี่ยอุทานเบา ๆ ด้วยความแปลกใจที่ตี๋เล็กเอาดินมาให้

    ดู..จึงถามต่อ "ลื้อเอาดินมาจากไหนและจะเอาไปทำอะไร"

    .............................."เตี่ย..นี่คือแผ่นดินจีน..ที่อั้วเอามาจากเมืองจีน....แผ่นดินที่อากง

    อาม้า ร่วมทั้งเตี่ยและแม่เคยรักและเคยอยู่..เคยโอบอุ้มพวกลื้อมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่..แต่

    ยามจากมาไม่มีใครนำเอาแผ่นดินนี้ติดตัวมาเลย.....อั้วจะเอาดินนี้ไปโปรยที่หลุมศพอากงอา

    ม้า..และเอาไว้ให้เตี่ยดูยามคิดถึงเมืองจีน..เตี่ยลองจับดูสิ..ว่าใช่แผ่นดินของลื้อไหม"

    ....................คำพูดของตี๋เล็กกระแทกหัวใจเตี่ยอย่างแรง เตี่ย แม่ พี่และน้องต่างคิดตาม

    คำพูดของตี๋เล็ก...จนมองเห็นภาพ..ภาพในความทรงจำวัยเด็กของเตี่ยเริ่มปรากฎอย่างช้า ๆ

    ให้เตี่ยได้คิดทบทวน.......แผ่นดินที่ตนเป็นอยู่อย่างอดอยาก..แร้งแค้นอัตคัตเป็นอยู่ด้วย

    น้ำตา ....แม้จะรักแผ่นดินนี้ปานใดก็ไม่อาจอยู่อย่างสุขสบายได้.....จนต้องตัดใจจากญาติพี่

    น้องและแผ่นดินจีนมายังแผ่นดินสยาม....

    ....................เตี่ยค่อย ๆนั่งคุกเข่าลงข้างปากถุงดิน.....และเอามือโกยดินออกจากถุงใส่

    กาละมังขนาดย่อมที่วางอยู่ข้าง ๆ และลูบคลำดินไปมา..ด้วยน้ำตาคลอเบ้าด้วยคิดเสียใจ

    อะไรหลาย ๆอย่าง...ยังความสลดใจให้กับคนในครอบครัว...แม่เอามือแตะที่หัวไหล่เตี่ยแล้ว

    ลูบไล้ไปมาเป็นเชิงปลอบโยน.......

    ....................หมวยเล็กก้มลงนั่งข้างเตี่ยแล้วเอามือจับดินโกยด้วยน้ำตาซึม...พลางคิดใจ

    ใจโดยไม่พูดสิ่งใดพร้อมกับมองหน้าตี๋เล็ก

    ............................"นี่หรือแผ่นดินจีน อาเฮียอั้วไม่เคยรู้เลยว่า ลื้อจะมีความคิดลึกซึ้งและ

    สูงส่งเช่นนี้...อั้วขอโทษที่เข้าใจลื้อผิด...คิดว่าลื้อไปเมืองจีนเพื่ออาโนรีอย่างเดียว...แต่ลื้อทำ

    ให้เตี่ยมีความสุข...อั้วเข้าใจว่าเตี่ยหลั่งน้ำตาด้วยความตื้นตันใจในแผ่นดินจีนและตัวลื้อ..เฮีย

    ตี๋เล็ก".....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2011
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....ตอนที่75 ต้นแอปเปิ้ลจันทร์เพ็ญกับต้นแอปเปิ้ลเมืองจีน....




    ....................เตี่ยนัดสมาชิกในครอบครัวว่า....พรุ่งนี้เช้าจะแบ่งดินจากแผ่นดินจีนส่วนหนึ่งไป

    โปรยที่หลุมศพของอากงอาม้า...พลางเตี่ยคิดว่า "ตี๋เล็กลูกชายของตนมีความคิดอ่านที่แฝงไปด้วย

    คุณธรรม และรักความก้าวหน้า..จะทำสิ่งใดก็คาดเดาได้ยาก..แต่ก็ทำในสิ่งที่ดีงาม".......




    ....................ยามเย็นตี๋เล็กนำเกวียนออกเดินทางมุ่งหน้าไปหาโนรี พร้อมกับนำต้น

    แอปเปิ้ลและดินแร่ธาตุบรรทุกเกวียนไปให้โนรีดู...แต่เขาไม่มีความคิดที่จะเอาต้นแอปเปิ้ลนี้ให้

    โนรี...ด้วยเป็นสิ่งที่อาเจ็กหามาด้วยความยากลำบากเพื่อนำมาให้เขาด้วยความรักและเอ็นดูในตัว

    เขา....แต่ตี๋เล็กมีความคิดว่า.. "จะนำไปให้โนรีดูแลรักษาและหากโตเต็มที่...เขาก็จะตอนกิ่ง

    แอปเปิ้ลต้นนี้และเอากิ่งตอนหลาย ๆกิ่งให้แก่โนรีปลูกในสวนของนาง"......โดยตี๋เล็กหารู้ไม่

    ว่าที่บ้านโนรีก็มีต้นแอปเปิ้ลที่กำลังขึ้นเจริญเติบโตอยู่.....

    ....................บ้านโนรี..มีเพียงโนรีอยู่เฝ้าบ้านและนั่งดูต้นแอปเปิ้ลที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ที่เรือน

    เพาะชำ...ส่วนแม่และน้องสาวออกไปหาพืชผักในสวนผลไม้...

    ....................ตี๋เล็กจอดเกวียนและถือถุงแป้งใส่ดินแร่ธาตุและกระถางต้นแอปเปิ้ลเดินตรงไปที่

    เรือนเพาะชำเมื่อเห็นโนรีอยู่ที่นั่นก็ให้รู้สึกดีใจ......เป็นจังหวะเดียวกับที่โนรีหันมาพอดีเมื่อได้ยินเสียง

    ฝีเท้าคนเดินมา......

    ....................ทันทีที่เห็นตี๋เล็กโนรีรู้สึกตื่นเต้นและดีใจ..พลางร้องเรียกชื่อและวิ่งเข้าไปหา

    ............................."ฮึ่ย ตี๋เล็ก...ลื้อกลับมาเมื่อไร" โนรีพูดพร้อมกับดึงถุงแป้งถุงหนึ่งที่

    อยู่ในมือของตี๋เล็กมาช่วยถือ

    ............................."อั้วกลับมาถึงเมื่อตอนสาย...อั้วเลยเอาต้นแอปเปิ้ลจากเมืองจีนมาให้ลื้อ

    ดู...และให้ลื้อดูแลรักษาและศึกษาวิธีการปลูกไปก่อน....อั้วยังไม่รู้วิธีปลูกมันหรอก"

    .....................โนรีได้ยินคำว่า"ต้นแอปเปิ้ล" ซึ่งตนไม่เคยเห็นมาก่อน..นอกจากต้นอ่อนของ

    แอปเปิ้ลที่เกิดอย่างอัศจรรย์ในคืนนั้น...นางรู้สึกยินดี จึงรีบเอ่ยถามอย่างร้อนลน

    ............................."ไหนล่ะต้นแอปเปิ้ล"

    ............................."ก็ถุงแป้งที่ลื้อถืออยู่ไง..รีบวางลงและแก้เชือกออกดูสิ"

    ......................โนรีทำตามคำสั่งของตี๋เล็กทันที...ถุงแป้งถูกแก้เชือกออกและรูดลงมาจนเห็นต้น

    แอปเปิ้ลทั้งต้นปลูกอยู่ในกระถาง

    ............................."นี่หรือต้นแอปเปิ้ล...มันไม่เหมือนกับต้นแอปเปิ้ลที่บ้านอั้วเลย" โนรี

    เอ่ยอย่างตื้นเต้นปนความแปลกใจ

    .......................คำว่า "ต้นแอปเปิ้ลที่บ้านอั้ว" ที่ตี๋เล็กได้ยินทำให้เขาสงสัย ..จึงรีบไต่ถาม

    .............................."ต้นแอปเปิ้ลที่บ้านลื้อ..แสดงว่าลื้อเพาะปลูกมันได้และรู้วิธีปลูกแล้ว

    หรือ"

    .......................โนรีหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าและเอ่ยขึ้น

    .............................."มันบังเอิญ..แตกเมล็ดออกเป็นต้นอ่อนอยู่ต้นหนึ่ง..แต่อั้วยังไม่รู้วิธี

    ปลูกมันหรอก..เพราะอั้วรอลื้อคนเดียว"

    .......................โนรีบิดเบือนไม่บอกความจริง.....เพราะความจริงที่ต้นแอปเปิ้ลของนางเกิด

    ขึ้น...ไม่สามารถบอกคนนอกบ้านให้รู้ได้.......แต่คำว่า"รอลื้อคนเดียว" ที่ตี๋เล็กได้ยินมันช่างเป็น

    น้ำหวานที่หยดลงไปในหัวใจตี๋เล็กให้ชุ่มฉ่ำ.........ทำให้ตี๋เล็กถึงกับหัวเราะอย่างเขินอาย..

    ก่อนเชื้อเชิญให้โนรีนำพาไปดูต้นแอปเปิ้ลของนาง

    ............................"ไหน ๆ..ลื้อลองพาอั้วไปดูซิ"

    .....................โนรีเดินนำตี๋เล็กไปที่เรือนเพาะชำที่ปลูกต้นอ่อนของต้นแอปเปิ้ลไว้..ทันทีที่ตี๋เล็ก

    เห็นก็ถึงกับอุทานออกมา

    ............................"ไม่เหมือนเลย..มันไม่เหมือนต้นแอปเปิ้ลที่อั้วเคยเห็น...แม้แต่ต้นที่อั้ว

    เอามาก็เพิ่งโตได้ไม่เท่าไร...ก็ไม่เหมือน..ลื้อลองเทียบกันดูสิ"

    ............................"ถูกแล้ว..ก็อั้วบอกลื้อเมื่อกี้นี้ไง..ว่ามันไม่เหมือน"


    ....................ต้นแอปเปิ้ลทั้งสองต้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...ด้วยต้นของโนรีนั้นมีลำต้น

    ที่ออกไปทางสีขาวมากกว่าเป็นเสีเขียวของต้นอ่อนทั่วไป.......ส่วนของตี๋เล็กนั้นลำต้นเป็นต้น

    เขียวออกน้ำตาล...แม้แต่ใบต้นแอปเปิ้ลของโนรีก็ออกสีขาวแกมเขียว..ส่วนใบของต้น

    แอปเปิ้ลตี๋เล็กกลับเป็นใบสีเขียว...

    ....................หรือว่า..ต้นแอปเปิ้ลที่เกิดมาจาก..ความรัก..เสียงขลุ่ย..และแสงเรืองรอง

    ประกายแห่งความเย็นของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ....พร้อมกับคำอ้อนวอนของผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญ ..........จะเป็นต้นแอปเปิ้ลที่พิเศษที่แตกต่างจากต้นแอปเปิ้ลอื่นกระนั้นหรือ.......



    ....................ตี๋เล็กคิดพลางก่อนอธิบายเรื่องต้นแอปเปิ้ลที่ตนรู้เห็นและได้มา

    ............................."ลื้อรู้ไหม..อาเจ็กพาอั้วไปดูต้นแอปเปิ้ลที่ขึ้นอยู่ในเมืองจีน อั้วไปเห็น

    มา...มันขึ้นอยู่กลางหุบเขาล้อมรอบ...แสงแดดอ่อนยามเช้ากับยามเย็นไม่เคยถูกต้องมัน..มันถูกแสง

    แดดที่ร้อนแรงยามเที่ยงแผดเผามันจึงเกิดขึ้น...อั้วยังมานั่งคิดว่ามันไม่น่าใช่ต้นไม้ที่ขึ้นได้ในเมือง

    หนาวอย่างเดียว...แต่อาเจ็กอั้วบอกว่า..บริเวณต้นแอปเปิ้ลขึ้นมักมีกลิ่นของแร่กำมะถัน...มันน่าจะ

    มีแร่ธาตุกำมะถันที่ช่วยให้มันเกิด..ซึ่งอั้วลองดมกลิ่นดูก็ได้กลิ่นของกำมะถันจริง ๆ ...บางที

    แร่กำมะถันอาจจะถูกละลายด้วยแสงแดดที่ร้อนแรงยามเที่ยง...จนทำให้มันถูกลำเลียงเป็น

    สารอาหารมายังต้นแอปเปิ้ลได้ดี...อั้วจึงได้เอาดินบริเวณที่ต้นแอปเปิ้ลขึ้นมาให้ลื้อศึกษาดู

    ด้วย"

    ....................ตี๋เล็กพูดจบพร้อมกับชี้มือไปที่ถุงแป้งที่ใส่ดินแร่ธาตุ..โนรีหันมองตามและเอ่ยถาม

    ต่อ

    ..........................."แล้วต้นแอปเปิ้ลต้นนี้ลื้อได้มาอย่างไร"

    ..........................."อั้วไปตอนกิ่งแอปเปิ้ลหลาย ๆกิ่งแล้วทิ้งไว้...เพื่อจะนำมาปลูกและศึกษาวิธี

    การปลูกมันให้ลื้อ...แต่ปรากฎว่ารากมันไม่งอกออกจากกิ่งตอน..อั้วผิดหวังคิดว่าคงไม่มีต้นแอปเปิ้ลมา

    ศึกษาเพื่อบอกวิธีปลูกให้ลื้อ...พอดีอาเจ็กย้อนกลับไปดูด้วยเคยเห็นว่า..มันเคยมีต้นอ่อนของต้น

    แอปเปิ้ลงอกออกจากลูกแอปเปิ้ล...และอาเจ็กก็พบต้นแอปเปิ้ลต้นนี้แหละ"

    .....................โนรีพยักหน้าแสดงอาการรับรู้แล้วเปิดถุงที่ใส่ดินออกดู..พร้อมกับลองดมกลิ่นของ

    ดินในถุงนั้น..ก็ให้สงสัยว่า..เคยได้กลิ่นดินอย่างนี้ที่บริเวณฮวงจุ้ยฝังศพที่ป่าช้าวัดโนรี..จึงได้

    รีบบอกและไต่ถามตี๋เล็ก....

    ............................"ตี๋เล็กกลิ่นดินนี่นะหรือที่มีแร่ธาตุกำมะถัน..อั้วว่าอั้วเคยได้กลิ่นนี้ที่

    ฮวงจุ้ยบริเวณที่อั้วเคยนั่งเป่าขลุ่ยนะ"

    ....................คำบอกเล่าของโนรีทำให้ตี๋เล็กถึงกลับเบิกตาโพลงและเอ่ยขึ้น

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..ต้นแอปเปิ้ลก็น่าจะปลูกบริเวณที่ลื้อเป่าขลุ่ยได้นะสิ"

    ....................คำพูดคาดการณ์ของตี๋เล็กทำให้โนรียินดีไม่น้อย..จึงพูดขึ้น

    ............................"อาจเป็นอย่างที่ลื้อบอก"

    ............................"งั้นวันนี้..ลื้อเอาต้นแอปเปิ้ลนี้ไว้ศึกษาดูก่อน..แล้วลองศึกษาดินนี้ดู..

    และลื้อควรเอาดินนี้ไปใส่ต้นแอปเปิ้ลของลื้อด้วย"


    .....................โนรียิ้มรับอย่างยินดี..พร้อมกับการร่ำลาของตี๋เล็ก..และก่อนที่ตี๋เล็กจะหันกลับเดิน

    ไปขึ้นเกวียนด้วยเริ่มเย็นมากแล้ว....ตี๋เล็กก็ต้องหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงคู้สนทนาคนเดิมเอ่ยทัก

    ............................"ตี๋เล็ก..แล้วลื้อจะไปดูดินที่ฮวงจุ้ยที่อั้วเป่าขลุ่ยเมื่อไร"

    ............................"พรุ่งนี้..ครอบครัวของอั้วจะไปเซ่นไหว้อากงอาม้า..และอั้วจะลองไป

    สำรวจบริเวณที่ลื้อเป่าขลุ่ยดูว่าดินที่ลื้อว่า..สามารถปลูกต้นแอปเปิ้ลได้ไหม"

    ....................โนรีพยักหน้ารับรู้และรอฟังตี๋เล็กพูดต่อ

    ............................"อาโนรี..อีกเจ็ดวัน...อั้วจะนำของใส่เกวียนมาขายที่ชานเมืองกับ

    หมวยเล็ก..ถ้าลื้ออยากซื้อของใช้อะไร..ลื้อไม่ต้องเข้าไปในตลาดก็ได้...ลื้อบอกกับอั้วแล้วอั้ว

    จะซื้อมาให้ลื้อเอง...แล้วอย่าลืมบอกเพื่อนบ้านของลื้อให้มาซื้อสินค้าของอั้วด้วยนะ"

    .....................โนรีได้ฟังก็ดีใจไปกับการค้าแผนใหม่ของตี๋เล็ก พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"จริงหรือนี่..ถ้าโมลีรู้..คงไปนั่งอยู่กับหมวยเล็กทั้งวันแน่"

    ............................"แต่อั้ว..อยากให้เป็นลื้อมานั่งอยู่กับอั้วทั้งวันมากกว่า"

    .....................ตี๋เล็กพูดด้วยรอยยิ้ม...แฝงด้วยความนัยอันเป็นเชิงเกี้ยวโนรี..ทำให้สาว

    น้อยแห่งจันทร์เพ็ญที่รับรู้ความหมายดีถึงกับหัวเราะหน้าแดงด้วยความเขินอาย.....

    .....................โนรีมิใช่จะเป็นผู้ที่จะไม่มีความรักอยู่ในใจ......นางเองก็มีความรัก..รักตี๋

    เล็กเช่นเพื่อนสนิท...รักพ่อแม่และน้อง..หรือแม้แต่พี่เณรที่นางรักเหมือนพี่ชาย....รักพ่อเฒ่า

    มูซาผู้เป็นทั้งอาจารย์และคุณตา..รักเมตตาต่อสัตว์ทั่วไป...แต่ทำไมความรักเหล่านี้จึงมิได้ทำ

    ให้นางมีความทรงจำเวลาเป่าขลุ่ย....................

    .....................แล้ว.."ความรัก"......ชนิดใดเล่าที่มูซาอาจารย์ของนางสั่งห้ามไม่ให้นาง

    มี"ความรักเช่นนั้น".........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2011
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................วันรุ่งขึ้นยามเช้า..ครอบครัวของตี๋เล็กทั้งหมดได้พากันมาที่ฮวงจุ้ยวัดโนรี..เพื่อ

    เซ่นไหว้และนำดินจากเมืองจีนมาโปรยเหนือหลุมศพอากงอาม้า

    ....................อารมณ์ของคนในครอบครัวเต็มไปด้วยความตื้นตันใจปนความเศร้า..เตี่ยเอ่ยด้วย

    เสียงพร่าสั่น...

    ............................"เตี่ย ม่า วันนี้อั้วกับครอบครัวอั้ว....เอาแผ่นดินจีนที่พวกลื้อเกิดและจากมา

    มาให้ลื้อทั้งสองแล้ว...พวกลื้ออยากหลับเป็นสุขใต้พื้นแผ่นดินจีนใช่ไหม..พวกอั้วเอามาให้แล้ว...อั้ว

    ไม่อาจนำลื้อทั้งสองกลับแผ่นดินเกิดได้..แต่อั้วเอาแผ่นดินเกิดมาให้ลื้อทั้งสองแล้ว...ตี๋เล็กมันกตัญญู

    มันนำแผ่นดินจีนมาให้ลื้อแล้ว"

    ....................เตี่ยรำพึงรำพันด้วยอารมณ์เศร้าสลดพร้อมกับมีน้ำตาไหลเอ่อออกมาจากตาทั้งสอง

    ข้าง..ด้วยนึกถึงความคับแค้นลำเค็ญที่ตนพร้อมผู้ที่อยู่ใต้หลุมทั้งสองประสบชะตากรรมร่วมกัน..ยัง

    ความเศร้าสลดให้กับสมาชิกในครอบครัว....

    ............................"อั้วจะไม่ทอดทิ้งอากงอาม้าไปไหน..หลับให้เป็นสุขเถิด" ตี๋ใหญ่เอ่ยนำและ

    ตามด้วยเสียงของน้องทั้งสอง

    ............................"อั้วสองคนด้วย"

    .....................ผู้ที่อยู่หน้าหลุมศพทุกคนต่าง.........โปรยปรายดินอันมีความหมายและล้ำ

    ค่าลงบนหลุมศพของบรรพบุรุษด้วยความเชื่อมั่นว่า ...."วิญญาณของผู้อยู่ในหลุมต้องรับรู้

    การกระทำของพวกตน"



    .....................ณ บัดนี้ แผ่นดินจีนอันเป็นแผ่นดินเกิดที่จากมา..ที่เคยโอบอุ้มผู้ที่อยู่ใน

    หลุมศพทั้งสองตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่..ที่พวกเขาได้เคย เดิน นั่ง นอน และยืนอยู่...แผ่นดินที่

    เคยเห็นพวกเขาหัวเราะยามมีสุข..แผ่นดินที่เคยเห็นพวกเขาร้องไห้ยามมีทุกข์...แผ่นดินที่

    พวกเขาเคยเหยียบย่ำ ถ่มน้ำลาย ปัสสาวะรด..และทิ้งของสกปรกลงบนแผ่นดิน............

    บัดนี้ แผ่นดินนี้ได้มาโอบกอดพวกเขาไว้แล้วประดุจดังแม่ที่จากลูกมานาน..เมื่อเห็นลูกทั้งสอง

    นอนสิ้นลมหายใจบนแผ่นดินอื่น..แม่ได้แต่เพียง.....แบ่งร่างของแม่จากแผ่นดินใหญ่มาเป็น

    ธุลีดินผงโปรยเหนือหลุมศพ.......เสมือนการโอบกอดปลอบโยนเจ้าทั้งสองเอาไว้...แม้เจ้าทั้ง

    สองเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ..................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2011
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ตี๋ใหญ่พาเตี่ยและแม่กลับบ้านไปก่อน..คงเหลือตี๋เล็กซึ่งรั้งน้องสาวของตน

    ให้อยู่ก่อน...เพื่อช่วยกันสำรวจดินที่บริเวณโนรีเป่าขลุ่ย..โดยตี๋เล็กพาหมวยเล็กขึ้นไปที่เนินสูง...

    หมวยเล็กจึงได้เอ่ยถามด้วยความสงสัยปนหงุดหงิด

    ............................"เฮีย..เฮียจะขึ้นมาทำไมบนนี้"

    ............................"อั้วจะพาลื้อมาสำรวจ" ตี๋เล็กตอบ

    ............................"สำรวจหาความหลังวันแห่ศพหรือ" หมวยเล็กกระเซ้าเมื่อนึกถึงวันที่ตี๋เล็ก

    จ้องมองโนเป่าขลุ่ยตรงนี้ ..พลอยทำให้ตี๋เล็กนึกขัน

    ............................"ลื้อนี่..หายใจเป็นอาโนรีไปหมดเลยนะ ..หมวยเล็ก"

    ............................"ไม่ใช่อั้วหรอกมั้ง..น่าจะเป็นอาเฮียต่างหาก..แต่อั้วสังเกตดูแฟนลื้อแล้ว

    นะ..อีงามและเย็นตาเย็นใจจริง ๆ"

    .....................ตี๋เล็กหยุดเดินหันกลับมามองหมวยเล็ก..แล้วพูดเป็นเชิงปราม

    ............................."อาโนรี..อียังไม่ใช่แฟนอั้วนะ"

    ............................."อ้าว..แล้วที่หอบต้นแอปเปิ้ลมาจากเมืองจีนเอามาให้ใคร"

    ............................."อั้วไม่ได้เอามาให้โนรี..ต้นแอปเปิ้ลต้นนั้นอั้วให้ใครไม่ได้หรอก..มัน

    เป็นที่ระลึกอันทรงคุณค่าที่อาเจ็กมีต่ออั้ว"

    ............................."อ้าว..แล้วตอนนี้..มันหายจากบ้านไปไหนแล้ว" หมวยเล็กถามคาด

    คั้น

    .............................."อั้วเอาไปให้อาโนรีศึกษาวิธีการปลูกดูแลอยู่..เพราะอั้วไม่รู้วิธีการ

    ปลูกมาให้ตามสัญญา...แต่อั้วได้พยายามดูดินที่ต้นแอปเปิ้ลเกิดว่าเป็นดินชนิดไหน...และได้

    บอกอีไปแล้ว"

    .............................."ดินอย่างไหนกัน"

    .............................."ก็ดินที่มีแร่ธาตุที่อั้ววางไว้คู่กับต้นแอปเปิ้ลไง"

    .............................."อ๋อ" หมวยเล็กเอ่ยอย่างรับรู้




    .....................ตี๋เล็กพาหมวยเล็กมาหยุดที่โขดหินที่โนรีเคยบรรเลงเพลงขลุ่ย..และได้พยายาม..

    สูดดมเพื่อหากลิ่นกำมะถัน..พร้อมทั้งก้มลงเอามือขุดคุ้ยดินขึ้นมาดม..เป็นเหตุให้หมวยเล็กผู้

    น้องต้องทำตาม...

    .............................."ใช่ตามที่อาโนรีบอกจริง ๆ" ตี๋เล็กรำพึงรำพันอย่างแผ่วเบาทำให้

    หมวยเล็กสงสัย

    .............................."ใช่อะไรอาเฮีย"

    .............................."ก็ดินนี่..ทั้งสีดินและกลิ่นดินมีกลิ่นของกำมะถันแสดงว่า..มันมีแร่

    ธาตุกำมะถันอยู่..มันเป็นดินชนิดเดียวกับที่ต้นแอปเปิ้ลที่เมืองจีนมันขึ้น.....และอั้วเอามาให้

    อาโนรีดู...โนรีจึงได้บอกว่ากลิ่นดินนี้เหมือนกับดินบริเวณที่อีเป่าขลุ่ยที่ฮวงจุ้ย" ตี๋เล็กอธิบาย

    ให้น้องขี้สงสัยฟัง..ทำให้หมวยเล็กถึงกับเปลี่ยนแววตาแสดงอาการตื่นเต้นพร้อมกับเอ่ยขึ้น

    ........................"ถ้าเช่นนั้น..พื้นดินบริเวณนี้ก็ปลูกต้นแอปเปิ้ลได้สิ..เอาเฮีย"


    .....................ตี๋เล็กยิ้มและพยักหน้ารับตามคำของน้องสาว...ทำให้น้องสาวถึงกับหัวเราะ

    ชอบใจอย่างยินดี..พลางเอ่ยกับพี่ชายของตน

    ........................"ที่นี่เราก็มีต้นแอปเปิ้ลเกิดขึ้นบนแผ่นดินสยามต้นแรกแล้ว" หมวยเล็ก

    เอ่ยอย่างไม่รู้

    ..........................."ไม่ใช่ต้นแรกหรอก..หมวยเล็ก"

    ....................คำพูดของตี๋เล็กทำให้หมวยเล็กแปลกใจ

    ..........................."หมายความว่าอย่างไร...อาเฮีย"

    ..........................."ต้นแรกบนแผ่นดินสยาม..อาโนรีเพาะมันจนขึ้น..แต่มันเกิดที่หลังต้น

    แอปเปิ้ลของอั้ว..และไม่เหมือนต้นแอปเปิ้ลของอั้วเลย"

    ..........................."หา...แล้วทำไมอาโมลีน้องอีไม่ยอมบอกอั้วให้ไปดูบ้างเลย..เจอหน้า

    ต้องต่อว่ายัยฟันกระต่ายหน่อยแล้ว" เป็นคำบ่นสุดท้ายของหมวยเล็กก่อนที่ทั้งคู่จะลงจาก

    เนินเขาสูง.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mimo_dance.gif
      mimo_dance.gif
      ขนาดไฟล์:
      62.9 KB
      เปิดดู:
      63
    • 100494410.jpg
      100494410.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.5 KB
      เปิดดู:
      48
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2011
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ห้าวันต่อมาที่บ้านโนรี..หลังจากที่โนรีได้นำดินแร่ธาตุที่ตี๋เล็กนำมาให้ใส่ที่ต้น

    แอปเปิ้ลของตนก็ปรากฎว่า ..ต้นแอปเปิ้ลได้เจริญเติบโตเร็วขึ้น..และโตไล่ตามต้นแอปเปิ้ลที่มาจาก

    เมืองจีนของตี๋เล็ก...อันทำให้เห็นว่า "แร่ธาตุในดินที่ต้นแอปเปิ้ลต้องการนั้น...มีผลต่อการเจริญ

    เติบโตของมัน".......ยังความพอใจให้แก่สามแม่ลูกที่กำลังนั่งดูต้นแอปเปิ้ลสองต้นอยู่....

    ............................."แม่ว่า...ถ้าสองต้นนี้ได้รับสารอาหารครบถ้วนของมัน..มันคงโตและออก

    ผลได้เร็วขึ้น" บันตาเอ่ยเสนอแนะแก่ลูกสาวทั้งสอง

    ............................."ดินที่ฮวงจุ้ย...บริเวณที่หนูเป่าขลุ่ยอยู่มีดินอย่างนี้จ้ะแม่......ตี๋เล็กบอก

    มันต้องมีแร่ธาตุกำมะถันอยู่ชนิดหนึ่ง....ส่วนแร่ธาตุชนิดอื่นเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร..แต่มันน่าจะรวมอยู่

    กับกำมะถันเช่นกันจ้ะแม่" โนรีบอกกล่าวกับแม่

    ............................."แล้วตี๋เล็ก..เขาจะทำอย่างไรกับต้นแอปเปิ้ลของเขา"

    ............................."หนูคิดว่า...ตี๋เล็กคงจะเอาไปปลูกที่ฮวงจ้ย..เพราะว่าถ้าแร่ธาตุในดินถุงนี้

    หมด..ก็คงไม่มีดินอื่นช่วยให้มันเจริญเติบโตได้เร็วจ้ะแม่"

    .............................."แม่คิดว่า..เราควรไปปลูกที่ที่เดียวกับตี๋เล็กเช่นกัน..เพราะว่าเมื่อเรา

    รู้ว่าธาตุอาหารของมันอยู่ที่นั่น.....ก็ควรให้มันกินอาหารของมัน...มันจะได้ออกผลเร็ว..พวก

    เราจะได้กินผลของมันโดยเร็ว...และชาวบ้านอื่นก็มาเก็บกินได้ด้วยจ้ะ"

    .............................."แล้วถ้าเราขนดินจากฮวงจุ้ยมาปลูกต้นแอปเปิ้ลไว้ในสวนเราละ

    แม่" โมลีน้องเล็กเริ่มออกความเห็นตามความคิดของตนที่ไม่อยากให้ต้นแอปเปิ้ลอยู่ไกล

    .............................."เราต้องขึ้นไปขนดินบนเนินฮวงจุ้ยมาที่สวนของเราเป็นเล่มเกวียน

    ทีเดียวจ้ะ" แม่อธิบาย

    .............................."ถ้าเช่นนั้นเอาตามแม่ว่าดีกว่า" โมลีถอนความคิดเห็นของตน..

    ด้วยกลัวจะขนดินจนเหนื่อย..เพราะไม่ชอบงานหนัก............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 20091119133933.jpg
      20091119133933.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.9 KB
      เปิดดู:
      57
    • A5437681-3.jpg
      A5437681-3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.1 KB
      เปิดดู:
      43
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      200
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...........ตอนที่ 76 มังกรน้อยเริ่มเหิรฟ้าบนแดนสยาม.........




    .....................วันแรกของการขายเร่ของตี๋เล็ก..ตี๋เล็กและหมวยเล็กสองพี่น้องช่วยกันขนสินค้า

    ที่จำเป็นสำหรับชาวบ้านชนบทและชานเมืองใส่เกวียน..โดยมีเตี่ยและตี๋ใหญ่เป็นคนกำหนดเลือกสินค้า

    ว่าจะเอาสินค้าประเภทไหนไปขายบ้าง...เกวียนที่บรรทุกสินค้าได้นำเอาผ้าใบผืนใหญ่ต่อหลักที่เกวียน

    และคลุมเอาไว้...ทำให้เกวียนดูเหมือนรถม้าบรรทุกสิ่งของมา................

    .....................ตี๋เล็กออกเดินทางแต่เช้าตรู่..โดยมีหมวยเล็กนั่งเคียงข้าง..ปากก็ตะโกนร้องเรียก

    หาลูกค้าไปตลอดทางที่ผ่านไป..

    ........................."มีสินค้าจากตลาดมาเร่ขาย...มีสินค้าจากตลาดมาเร่ขาย"

    .....................ทั้งสองพี่น้องต่างก็ผลัดกันตะโกนร้องบอก...ทำให้ผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาและ

    คนในหมู่บ้านรู้สึกแปลกใจที่มีการค้าแบบใหม่..มาขายบริการพวกเขาถึงที่..ทำให้ผู้คนต้องแวะหยุดดู

    สินค้า..โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเดินทางไปตลาด....เมื่อเห็นว่าสินค้าที่ตนเองต้องการซื้ออยู่ในเกวียนของ

    ตี๋เล็กที่นำมาขาย...ก็จะซื้อทันทีด้วยความเป็นสุขที่ไม่ต้องเดินทางไกลไปตลาดและรีบกลับบ้าน

    ทันที....อันทำให้เห็นถึงความสะดวกซื้อที่ได้รับ...และเมื่อเกวียนเข้าไปในหมู่บ้านใด..ผู้คนก็จะมารุม

    ซื้อ..สร้างความสุขใจให้แก่ทั้งคนซื้อและคนขาย........

    ....................ตี๋เล็กเริ่มเป็นพ่อค้าขายเร่โดยมีหมวยเล็กเป็นผู้ช่วย.....เมื่อช่วงกลางฤดู

    หนาวของปี พ.ศ.2462 ..ขณะที่เขามีอายุเพียง 14 ปีเศษเท่านั้น..โดยที่หมวยเล็กมีอายุ

    เพียง 9 ปีเศษ..ซึ่งทั้งสองพี่น้องนี้.......ต่างก็มีอายุเท่ากันกับโนรีและโมลี....



    ....................ความที่ตนเองเคยค้าขายอย่างสบายในร้าน...แต่เมื่อได้รับรู้ถึงความลำบากของ

    บรรพบุรุษในตระกูลที่มีมา...ทำให้ตนเองอยากที่จะลำบากบ้างเพื่อฝึกฝนตนเองให้เคยชิน....และกล้า

    ที่จะเหน็ดเหนื่อยลงทุนเดินทางค้าขายในแบบใหม่ ๆตามความคิดของตนเอง...เพื่อความก้าวหน้าใน

    ทางการค้า...เพราะตี๋เล็กสำนึกอยู่ว่าเขาไม่อาจมีอาชีพอื่นได้นอกจาก"พ่อค้า"...และเขาจะ

    ต้องเริ่มสร้างฐานะตั้งแต่วัยเด็กเพื่อจะมีเงินทองจำนวนมาก ๆ และจะลงทุนเปินร้านค้าของตน

    เองแถวชานเมือง...โดยนำสินค้าจากร้านเตี่ยมาขายและแบ่งกำไรให้เตี่ย.......

    ....................การกระทำและความคิดอ่านของตี๋เล็ก..เริ่มปรากฎแววแห่งคำทำนายของอา

    กงเล็กว่า "เขาจะเป็นดุจมังกรเหิรฟ้าบนแผ่นดินสยาม".... คำว่า "มังกร"..ก็คือ ชาวจีนผู้ยิ่ง

    ใหญ่.............คำว่า "เหิรฟ้าบนแผ่นดินสยาม" นั้นหมายถึง.....การสร้างฐานะได้ยิ่งใหญ่

    และเต็มไปด้วยกำลังแห่งสติปัญญาพร้อมการกระทำที่เหนือกว่าผู้อื่นบนแผ่นดินสยาม.....

    เหตุที่เขาจะเป็น"มังกรเหิรฟ้าบนแผ่นดินสยาม" ..ทำให้เขาเริ่มต้นฝึกตนเองให้ยากลำบาก..

    และหารายได้เป็นของตนเองตั้งแต่เล็ก........

    ....................ตี๋เล็กและหมวยเล็กประเดิมการค้าขายสินค้าวันแรกของเขาจนเกือบหมด..

    หลังจากที่เดินทางไปหลายหมู่บ้านจนเย็น...ตี๋เล็กจึงเอ่ยปรึกษากับน้องสาวเป็นเชิงให้ภูมิ

    รู้.....

    ............................"หมวยเล็ก..ลื้อเห็นเส้นทางแยกเข้าหมู่บ้านหลายทางที่มุ่งหน้าเข้าหาตัว

    เมืองไหม"

    ............................"เส้นทางหลายทางที่พุ่งมารวมกับเส้นทางเข้าตัวเมืองที่เราผ่านมานั่นเหรอ"

    ............................"ใช่แล้ว"

    ............................"แล้วทำไมหรือ" หมวยเล็กถามอย่างสงสัย

    ............................"ก็ถ้าเราหยุดเกวียนและตั้งร้านขายเร่อยู่ที่นั่น.....คนที่จะเข้าตัวเมือง

    ที่มาจากหลายหมู่บ้านจะต้องแวะดูสินค้าของร้านเราก่อน....ว่ามีของที่พวกเขาต้องการ

    ไหม...ถ้ามีพวกเขาจะซื้อเราและไม่เข้าไปในตัวเมืองอีก...แล้วเราก็จะขายสินค้าได้โดยไม่

    ต้องเดินทางย้อนไปหลายหมู่บ้านให้เหน็ดเหนื่อย"

    ............................"สถานที่ตรงนั้น..อาโมลีเคยบอกอั้วว่า..พ่อเฒ่ามูซาคนขายผ้าเคย

    มากวงเต็นท์พักแรม...และขายของกับลูกน้องเมื่อสองปีก่อน"

    ............................"นั่นเพราะพ่อเฒ่ามูซาเป็นคนฉลาด...พ่อเฒ่าตั้งร้านอยู่ตรงนั้น

    เหมือนแมงมุมชักใยดักรอเหยื่อ.....เหยื่อก็คือคนต้องการซื้อสินค้าที่ผ่านมา..และก็ต้องติดใย

    อันเป็นกับดักของเขา.....คือซื้อสินค้าของเขาโดยไม่ต้องเข้าตลาดให้เหนื่อยและเสียเวลา"

    ............................"อาเฮียพูดเหมือนจะมาตั้งร้านขายเร่อยู่ที่นี่..ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่ได้

    ท่องเที่ยวไปตามหมู่บ้านนะสิ...อั้วไม่เห็นด้วยหรอก"

    ............................"อั้วไม่ได้หมายความว่ามาตั้งร้านอยู่ที่นี่เลย...อั้วบอกว่าถ้าเราหยุด

    เกวียนและตั้งร้านขายเร่...มันหมายถึงว่าเราต้องไปตระเวณขายตามหมู่บ้านก่อนพอ

    สมควร...เพื่อบริการคนซื้อถึงที่..และเมื่อไปจนพอควรแล้ว..เราก็มาตั้งรอคนซื้อที่เขาไม่เจอ

    เรา..ตอนเราไปเร่ขายต่างหาก"

    ............................"อือ...ถ้าเป็นอย่างนี้อั้วเอาด้วย...จะได้ไม่ต้องกลับบ้านเร็ว...อั้ว

    ชอบ" น้ำเสียงสูงของคำสุดท้ายเป็นอาการพอใจของหมวยเล็ก

    ............................"งั้นพรุ่งนี้..เรามาลองตั้งร้านขายดูหลังจากตระเวณขายตามหมู่บ้าน

    พอควรแล้ว...วันนี้กลับบ้านเอาตังค์ไปให้เตี่ยก่อน"

    ............................"แล้วอาเฮีย..จะไม่แวะไปหา..อาโนรีก่อนหรือ"

    ............................"อั้วขอเป็นพรุ่งนี้ดีกว่า" ตี๋เล็กตอบซ่อนรอยยิ้ม

    ............................"แต่อั้วว่า..ใจลื้อมันไปหาอาโนรีก่อนพรุ่งนี้แล้วนา" หมวยเล็กพูด

    พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างดัง..เป็นเชิงรู้ใจพี่ชาย........ทำให้ตี๋เล็กต้องหัวเราะตามใน

    ความแสนรู้ของน้องสาวตน....

    ....................หลังจากเตี่ยเห็นสินค้าที่ขนเกวียนไปเมื่อเช้านี้เหลือกลับมาไม่กี่ชิ้น...ทำให้

    เตี่ยถึงกับมองหน้าเมียและตี๋ใหญ่..ด้วยสายตาที่ส่งให้เห็นถึงว่า ชื่นชมลูกทั้งสองของตนโดย

    เฉพาะตี๋เล็ก....

    ....................ตี๋เล็กส่งเงินที่ได้จากการขายทั้งหมดให้กับเตี่ย...เตี่ยทักว่าตี๋เล็กควรเก็บเอา

    ไว้เป็นส่วนตัวบ้าง...แต่ตี๋เล็กแจ้งความประสงค์ว่า"ขอให้เตี่ยทั้งหมด..และเมื่อลูกค้ามีมากจะ

    ขอเงินเตี่ยเปิดร้านสาขาที่ชานเมือง"....เตี่ยเห็นความคิดอันก้าวหน้าทางการค้าพร้อมกับการ

    ค้าที่ประสบความสำเร็จในวันแรกวันนี้..ถึงกับยิ้มและมีอารมณ์สุขใจจนคนในครอบครัวสังเกต

    เห็นได้.........................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1_original (1).jpg
      1_original (1).jpg
      ขนาดไฟล์:
      371.1 KB
      เปิดดู:
      44
    • 003.gif
      003.gif
      ขนาดไฟล์:
      109.1 KB
      เปิดดู:
      68
    • 40075-attachment.jpg
      40075-attachment.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.8 KB
      เปิดดู:
      50
    • 100494410.jpg
      100494410.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.5 KB
      เปิดดู:
      49
    • mimo_dance.gif
      mimo_dance.gif
      ขนาดไฟล์:
      62.9 KB
      เปิดดู:
      48
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2011
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................วันรุ่งขึ้นหลังตี๋เล็กตระเวณขายของตามหมู่บ้านแล้วก็มาตั้งร้านขายของที่

    ทางแยกตามที่คิดไว้ในตอนบ่ายโมง...ชาวบ้านในหมู่บ้านแต่ละแห่งบางคนที่ซื้อสินค้าไม่ทัน...แต่

    รู้ข่าวว่ามีเกวียนขนสินค้ามาขายเร่ก็ออกติดตามเกวียน..และมาพบเกวียนของตี๋เล็กจอดอยู่ทางแยก

    ก่อนที่จะเข้าเว้นทางเข้าเมือง...ผู้คนจึงเลือกซื้อสินค้าของตี๋เล็กโดยไม่เดินทางเข้าเมือง.....

    ....................ตี๋เล็กแบ่งสินค้าส่วนหนึ่งไว้บนเกวียน..อีกส่วนหนึ่งเอามาตั้งโต๊ะไม้ยาวที่เตรียมมา

    จากบ้าน..พร้อมกับกางผ้าใบผืนใหญ่เป็นร่มเงาใต้ต้นไม้ใหญ่..อันเป็นทำเลพักร้อนของผู้คนเดินทางได้

    เป็นอย่างดี......

    ....................ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม..ตี๋เล็กสังเกตเห็นเกวียนเล่มหนึ่งมุ่งตรงมาทางร้านขายเร่ก็จำได้

    ว่าเป็น โนรีกับโมลีที่นั่งอยู่บนเกวียนก็ให้รู้สึกดีใจ...จึงสกิดให้น้องสาวดู....

    ....................หมวยเล็กหันไปเห็นโนรีและโมลีจึงได้ร้องเรียกก่อนที่เกวียนจะมาถึง..

    ............................"ฮึ่ย..โมลีลื้อแวะมาทางนี้ก่อน..พวกลื้อจะไปไหนกัน"

    ....................โมลีโบกมือยิ้มรับพลางเอ่ยตอบ ขณะเกวียนกำลังเข้าใต้ร่มไม้ข้างร้าน

    ............................"ก็อั้วตามลื้อมานั่นแหละ...เมื่อตอนเที่ยงมีคนในหมู่บ้านบอกว่าลื้อเอา

    สินค้ามาเร่ขาย..อั้วเลยตามมา"

    ............................"ลื้อตามอั้วมาซื้อของหรือ"

    ............................"ไม่ใช่หรอก...โนรีจะมาบอกเฮียตี๋เล็กเรื่องต้นแอปเปิ้ล"

    .....................โนรีและโมลีลงจากเกวียนและไปยืนข้าง ๆสองพี่น้อง...และเมื่อตี๋เล็กได้ยินคำเรียก

    ขานถึงตน..จึงมองไปยังโนรีเป็นเชิงถามก่อนเอ่ย

    ............................"มีอะไรหรือ..อาโนรี"

    ............................"อั้วจะบอกลื้อว่า...ดินแร่ธาตุที่ลื้อเอามาให้...อั้วเอาใส่ต้นแอปเปิ้ลทั้งสอง

    ต้นจนหมดแล้ว...และมันโตขึ้นมากเลย...อั้วอยากให้ลื้อไปดู..และอยากปรึกษาลื้อว่า..หากแร่ธาตุใน

    ดินหมด..พวกเราควรทำอย่างไร" โนรีเอ่ยอธิบาย

    ............................"เรื่องนั้นเองหรือ...อั้วคิดการไว้แล้ว......ว่าแร่ธาตุมันเป็นสิ่งสำคัญค่อน

    ข้างแน่นอนสำหรับต้นแอปเปิ้ล...อั้วจึงคิดว่า ..จะชวนลื้อไปปลูกที่ฮวงจุ้ยตรงบริเวณที่ลื้อเป่าขลุ่ย...

    เพราะอั้วไปสำรวจดินตามที่ลื้อบอกแล้ว...มันเป็นดินชนิดเดียวกันกับที่เมืองจีนจริง ๆ"

    ....................โนรีได้ยินคำแจงของตี๋เล็กก็ให้ยิ้มเบิกบานก่อนเอ่ยถึงคำชี้แนะของแมบันตา

    ............................"แม่อั้วก็บอกเหมือนกันกับลื้อแจงมาเลย...ถ้าเช่นนั้นเราจะเอาไปปลูกกัน

    เมื่อไรดีล่ะ"

    ............................"ลื้อรอสัก 15 วันได้ไหม..อั้วอยากให้มันโตมาก ๆก่อน..พร้อมกับอยากขาย

    สินค้าตรงนี้ให้ลูกค้าคุ้นเคย...และวันที่ 15 ตอนเย็นเราค่อยเอาไปปลูกด้วยกัน....ตอนกลางคืนต้น

    แอปเปิ้ลมันจะได้พักฟื้นไง"

    ............................"ลื้อพูดดีมาก...ได้เลยอีก 15 วันตอนเย็นอั้วจะเอาต้นแอปเปิ้ลทั้งสองต้น

    ไปรอลื้อที่ฮวงจุ้ย..ขายของเสร็จลื้อค่อยตามไป"

    .....................การนัดแนะปลูกต้นแอปเปิ้ลเป็นอันรู้ผลแล้ว..โมลีและหมวยเล็กพร้อมตี๋เล็กและ

    โนรี..ต่างก็คุยเรื่องต่าง ๆอีกพักหนึ่งก็แยกย้ายกันกลับ...ด้วยเวลาเย็นมากแล้ว...โดยที่โนรีและโมลี

    ต่างก็ช่วยสองพี่น้องเก็บสินค้าขึ้นเกวียนก่อนกลับบ้าน..........




    ตอนที่ 77 อารมณ์ธรรมกับการพิสูจน์หญิงจันทร์เพ็ญของเณร



    ....................เจ็ดวันต่อมาช่วงเวลาเย็นที่วัดโนรีเป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำ .......... "คืนจันทร์

    เพ็ญ"....พ่อท่านได้นำพระเณรสวดมนต์ทำวัตรเย็น....เณรปลีกตัวเดินออกมานั่งบนลานดินหันหน้า

    ไปทางทิศตะวันตกอันเป็นที่ตั้งของฮวงจุ้ย..เขานั่งมองดูหลุมศพมากมายด้วยความคิดปลง ๆ ว่า "ที่

    สุดของคนก็มีเพียงแค่..ได้มานอนอยู่ในหลุมศพนี้"

    ....................พลางหันมองไปทางดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน..ก็ให้รำลึกว่า ..เช้านั้นดวงอาทิตย์

    เริ่มขึ้นทอแสงทางทิศตะวันออก...แล้วเริ่มขึ้นสู่ที่สูงจนถึงจุดสูงสุดคือ เที่ยงวัน

    และคล้อยต่ำลงไปทางทิศตะวันตก...จุดสุดท้ายของดวงอาทิตย์ในแต่ละวันก็คือ .."ความตกต่ำเช่น

    กัน"...วิถีของดวงอาทิตย์หรือชีวิตของดวงอาทิตย์ในแต่ละวันก็เป็นเช่นนี้...ช่างเหมือนคนเหลือเกิน...

    แต่ดวงอาทิตย์ให้ความชัดเจนในวิถีที่รวดเร็วกว่า.....

    ....................การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นมาทางทิศตะวันออกอีกครั้ง..นั่นคือ"วันใหม่" ..ซึ่งการ

    โคจรเวลาเดิมของวันเก่ามิอาจกลับมา...ชีวิตของคนเราแต่ละวันก็เป็นชีวิตที่ใหม่อยู่เสมอ...

    แต่เพราะคนมี"ความรำลึกหรือความทรงจำ"......จึงได้รำลึกโยงชีวิตของวันวานมาเข้ากับวัน

    ใหม่...ทำให้วันใหม่ที่น่าจะใหม่ไปเลยกลับมีมลทินของวันเก่าหรือวันวานเข้ามาแทรกอยู่ใน

    ชีวิตเสมอ...ผู้คนจึงสับสนมีวิถีชีวิตอยู่บนโลกจาก "การเชื่อมโยงวันเก่าและวันใหม่เข้าด้วย

    กัน"

    .....................เพราะเณรนั้นศึกษาธรรมจากการเคยบวชเป็นเณรมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ..

    และได้สึกมาเมื่อตอนอายุ 16 ปี...ระยะเวลา 8 ปีที่เขาอยู่กับธรรมะ...และดิ้นรน..เพื่ออยาก

    ศึกษาทางโลก...เหมือนกับที่เขาเคยบอกกับภูผาว่า..หากเขามีชีวิตที่เป็นนักบวชอย่างเดียว

    เขาก็รู้วิถีชีวิตนักบวชเพียงอย่างเดียว.....แต่เขาก็ไม่รู้วิถีชีวิตทางโลก...เขาจึงสึกออกมา

    เพื่อศึกษาทางโลก..........และเมื่อเขาเทียบเคียงชีวิตทั้งสองแบบแล้วว่า..แต่ละแบบเป็นเช่น

    ใดและเขาควรเลือกที่จะมีวิถีชีวิตเช่นไรที่เหมาะสมกับตัวเขา...เขาก็จะเลือกวิถีชีวิตนั้น....แต่

    ภูผาแย้งว่าหากเขามีความรักเขาจะไม่มีโอกาสได้เลือกวิถีชีวิตอย่างใดเลย............

    .....................เพราะเขาศึกษาธรรมมามาก..ทำให้เขาคิดถึง "ธรรมของความไม่เที่ยง"..

    ซึ่งปรากฎอยู่ตลอดเวลา...เขาจึงนำมาปรับเข้ากับชีวิตของเขา..เพื่อพิสูจน์หลักธรรมดัง

    กล่าว.....

    .....................แต่ในขณะที่ไล่รำลึกและคิดค้นอยู่นั้นเอง "ภาพของสาวน้อยผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญ"...ก็ปรากฎแทรกเข้ามาในใจที่กำลังคิด....ทำให้การคิดเรื่องธรรมะที่จะให้ปัญญาแตก

    ฉานเพิ่มขึ้นต้องหยุดชงัก..."นี่กระมังที่ทางโลกเขาว่าอานุภาพของความรัก...ย่อมสามารถ

    ทำให้ใจของคนหยุดที่จะขบคิดเรื่องต่าง ๆได้....หากมีเรื่องราวของความรักและคนที่ตนเอง

    รักมาให้ขบคิด".....

    ....................เณรนึกถึงภาพในคืนนั้นที่...โนรีมีประกายแสงเย็นเรืองรองของจันทร์เพ็ญ

    กระจายออกมาจากร่างอย่างมากมาย.....ยามเมื่อนางต้องแสงจันทร์เพ็ญ...ซึ่งเหตุการณ์นี้

    ตรงกับความฝันที่ภูผาเล่าให้เขาฟัง...เณรพยายามคิดหาเหตุผลว่า..มันเกิดขึ้นได้อย่างไร...

    และคิดว่า โนรีเองก็ต้องรู้ว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้นกับตนเอง......แล้วปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นมันคือ

    อะไรเณรอยากรู้เป็นอย่างยิ่ง...เพื่อให้รู้ว่า "โนรีคือใคร"..."นางเป็นเทพธิดาหรือ

    ปีศาจ"หรือ.."มีสิ่งใดมาสิงสู่ร่างนางอยู่"

    ....................คืนนี้ดวงจันทร์ขึ้นเต็มดวง..มันคือคืนจันทร์เพ็ญที่ย้อนกลับมาอีกครั้ง....

    เณรอยากเห็นเหตุการณ์ตอนร่างของโนรีต้องกับแสงจันทร์เพ็ญอีกครั้ง...เพื่อหาข้อมูลศึกษา

    หาเหตุผลว่า "มีอะไรเกิดขึ้นกับโนรี"...........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2011
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เรือนเพาะชำที่บ้านของโนรียามดึก..โนรีแน่ใจว่า... "ต้นแอปเปิ้ลของตน..ที่

    เกิดขึ้นนั้น..มีชีวิตรวมทั้งจิตและวิญญาณในการรับรู้..ความรู้สึกและคำพูด..รวมทั้งการ

    กระทำของตนเองอย่างแน่นอน"..............ตามที่นางได้พบเห็นปรากฏการณ์ในคืนจันทร์

    เพ็ญ...ที่เมล็ดพันธุ์แอปเปิ้ลแตกต้นอ่อนออกมา......และร่าเริงเต้นไปตามท่วงทำนองของ

    เสียงขลุ่ย....

    .....................แต่กับต้นแอปเปิ้ลของตี๋เล็กที่มาจากเมืองจีน..มันจะมีจิตและวิญญาณใน

    การรับรู้ความรู้สึกของนางหรือไม่...นางไม่แน่ใจ.."คนช่างคิดเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น...มักใช้

    ปัญญาหาวิธีการขบคิดและทดสอบเพื่อให้เกิดความรู้เสมอ"

    .....................บันตาแม่ของนาง..เชื่อตามคำของพ่อท่านที่แสดงหลักธรรมตามคำสอนของพระ

    พุทธองค์ว่า "ต้นไม้หรือพืชเป็นสิ่งมีชีวิตแต่ไม่มีจิตหรือวิญญาณ"

    ....................."จิตหรือวิญญาณ"ในที่นี้ก็คือ "ตัวรู้หรือการรับรู้อารมณ์".......จิตนั้นเป็น

    ได้ทั้ง ..."ตัวรู้และตัวถูกรู้" .........ซึ่งสิ่งนี้จะพิสูจน์ให้เห็นหรือรู้สึกได้ก็คือ..."การเฝ้ามองดู

    จิตหรือความคิดของตัวเองและอาการของมัน"...แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่ปุถุชนที่รักการเป็นอยู่

    บนโลกมากกว่าทางธรรมจะสนใจมัน....เพราะคนที่มีใจเรียนรู้เรื่องจิตนี้ให้แจ้งชัดต้อง

    เป็น..."คนที่มีแนวคิดหรือความมุ่งมั่นว่า "จะเป็นคนพ้นโลก"...หากเราไม่อยากที่จะพ้น

    โลก...ก็อย่าไปตามรู้มันให้เสียเวลาเปล่าเลย...ตั้งใจทำเรื่อง "ละเว้นชั่ว..ทำความดี"....แค่นี้

    ก็พอ.....อย่าได้ไปทำถึงขั้น "การทำจิตให้บริสุทธิ์"...อันเป็นการกระทำที่ครบใน"หัวใจพุทธ

    ศาสนา"เลย..เพียงแค่นี้ก็เกิดความสุขและสันติสุขในชีวิตแล้ว.....

    ....................ต้นแอปเปิ้ลของนางมันมีชีวิตและมีจิตและวิญญาณรับรู้ในตัวนาง

    แต่กับคนอื่นมันจะรับรู้หรือไม่...ไม่มีข้อพิสูจน์....

    ....................โนรีเดินเข้าไปในเรือนเพาะชำและเฝ้ามองดูต้นแอปเปิ้ลของนางและของตี๋

    เล็ก..พลางคิดว่า..."คืนนี้คงเป็นคืนจันทร์เพ็ญคืนสุดท้าย..ที่นางจะให้แสงสว่างเรืองรองจาก

    ตัวนาง..ส่งไปยังต้นแอปเปิ้ลของนาง...พร้อมทั้งเสียงขลุ่ย

    เพราะอีก 8 วันก็ถึงวันที่นางและตี๋เล็กจะต้องนำต้นแอปเปิ้ลทั้งสองต้นไปปลูกที่ฮวงจุ้ยวัด

    โนรี......

    ....................ดวงจันทร์เพ็ญเริ่มลอยสูงเด่นขึ้น...โนรียกกระถางต้นแอปเปิ้ลทั้งสองต้น

    ออกมากลางแจ้งเพื่อให้รับแสงจันทร์เพ็ญจากดวงจันทร์และแสงจันทร์เพ็ญจากตัวนาง.....

    และนางได้นั่งชันเข่าลงข้างต้นแอปเปิ้ลทั้งสอง.......

    ....................เมื่อร่างของโนรีสัมผัสกับแสงจันทร์เพ็ญ..ก็เกิดประกายแสงเรืองรองเย็นตา

    เย็นใจออกมาจากร่างของนาง..สาดไปยังต้นแอปเปิ้ลทั้งสองต้น...ต้นแอปเปิ้ลของตี๋เล็กได้รับ

    แสงและเสพแสงแห่งจันทร์เพ็ญจากโนรีเป็นครั้งแรก...มันมีการเคลื่อนไหวตัวเอง..แกว่งไปมา

    โดยมิได้มีลมพัดโชยมาต้องแต่อย่างใด...เฉกเช่นเดียวกับต้นแอปเปิ้ลของนาง...มันชูยอด

    ตั้งตรงอย่างเริงร่า....แสงจันทร์เพ็ญจากโนรีช่างมีอานุภาพให้ความเย็นไม่เฉพาะแก่ผู้คนเท่า

    นั้น......แต่หากยังเป็นต้นแอปเปิ้ลอีกที่ได้รับแสงนี้แล้ว..มันคงเกิดความสุขใจไม่ยิ่งหย่อนไป

    กว่าคน...

    ....................ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้..ไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาพี่ชายที่แสนดีของโนรี

    ที่ซุ่มแอบดูนางอยู่ที่เดียวกับคืนที่มีภูผามาด้วย...โดยเณรนั้นเดินทางลัดเลาะไม่ให้คนเห็น...

    แล้วมาซุ่มดูตั้งแต่ดวงจันทร์เพ็ญเริ่มลอยขึ้นสูงแล้ว...

    ....................เณรมองดูโนรีและพยายามลำดับเหตุการณ์ที่พบเห็น..อย่างที่ดวงตาแทบไม่

    กระพริบ..และ ดวงใจที่จดจ่อต่อเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า....

    ....................โนรีนำขลุ่ยที่ถือมาขึ้นมาเป่าบรรเลงให้ต้นแอปเปิ้ลทั้งสองฟังอย่างแผ่ว

    เบา...เสียงประสานของมันกระทบกับเส้นใยไม้ไผ่ที่แตกภายในขลุ่ยและดีดตัวภายในขลุ่ย

    ออกมาทางช่องระบายเสียง...และยังมาปะทะกับสายลมหนาวที่กำลังพัดโชยมาอีก...ทำให้

    เสียงขลุ่ยที่ออกมาฟังชัดบ้างและฟังขาดหายไปเป็นช่วง ๆ อันเป็นความไพเราะแปลกหูไปอีก

    แบบหนึ่ง......



    ..................."คืนสุดท้าย....ที่ข้าให้...ความรัก...เสียงขลุ่ย....และแสงจันทร์เพ็ญ.....คืน

    จันทร์เพ็ญหน้า...ข้าคงเดียวดาย....แต่เจ้ามิเดียวดาย...ด้วยเพื่อนแดนไกล....มาอยู่

    ใกล้.....คิดถึงข้าบ้าง...อย่าร้างลาไกล....ความรักข้ามีให้...เจ้าไปตลอดกาล........."



    ....................เสียงขลุ่ยที่ต้นแอปเปิ้ลทั้งสองได้สัมผัส..ทันใดนั้น...ต้นแอปเปิ้ลของโนรี

    ค่อย ๆโอนยอดที่ชูตั้งอยู่โยนตัวเข้ามาหา....และคลอเคลียอยู่ที่แก้มของนาง..ประดุจดัง..

    ยอดแอปเปิ้ลนั้นกำลังจุมพิตและหอมเลียไล้แก้มหญิงอันเป็นที่รักของตน.......

    ....................โนรีหยุดเป่าขลุ่ยและพูดขึ้นว่า

    ............................."ข้ารู้..ว่าเจ้าก็รักข้า...เจ้าเป็นต้นไม้ที่เกิดมาเพื่อข้า...ถึงเจ้าจะอยู่

    ห่างข้า...แต่ข้าก็จะไปดูแลเจ้า....จงจำไว้เมื่อเจ้าโตขึ้นจงออกผลอันมีรสเลิศ...ให้ข้าและชน

    บนแผ่นดินสยามได้ชิมรส....ข้าไม่อาจพูดกับต้นแอปเปิ้ลของตี๋เล็กให้รู้เรื่องได้...วานเจ้าจง

    เป็นสื่อแทนข้า..ให้เขาทำหน้าที่เฉกเช่นเจ้าด้วย"...

    ....................ทันทีที่โนรีพูดจบ..ต้นแอปเปิ้ลของโนรีค่อย ๆชูยอดโอนออกจากแก้มของ

    โนรีและหันไปหาต้นแอปเปิ้ลของตี๋เล็ก.....และไปพันกิ่งแอปเปิ้ลต้นของตี๋เล็กสักครู่ก็คลายตัว

    ออก...เหมือนกับต้นแอปเปิ้ลทั้งสองจะพูดคุยกัน....

    ....................เณรสูบลมหายใจอยู่พักใหญ่หลังจากที่โนรีไปจากที่นั้นแล้ว..ด้วยกลั้น

    หายใจเป็นขณะ ๆจนหายใจไม่เต็มปอดมานาน...พลางถอนหายใจและทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ

    ข้างพุ่มไม้นั้นแล้วเอ่ยขึ้นกับตนเอง...ด้วยรู้สึกดีขึ้นเมื่อคิดอะไรออกได้บางอย่างจาก

    เหตุการณ์ที่ตนเห็น...

    ............................."โนรีไม่ใช่ปิศาจ"

    .....................ด้วยเณรนั้นมีความรู้สึกอยู่ว่า "ผีและปิศาจนั้นมีจิตใจที่ชั่วร้าย.และต้อง

    แสดงการกระทำแห่งความชั่วร้ายออกมาให้เห็น"..."แต่สำหรับโนรีทุกครั้งที่เขาพบเห็น..และ

    แม้แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงเมื่อกี้นี้.."มันเป็นความเมตตาและอ่อนโยนงดงามเกิน

    กว่าที่..ความเป็นปีศาจจะมาครอบร่างของนาง.....และแสงจันทร์เพ็ญที่กระจายออกมาก็ยัง

    เป็นแสงจันทร์เพ็ญอันเยือกเย็นและงดงามจนเขาสัมผัสได้..มันยากที่จะมีอยู่ที่ปิศาจตน

    ใด"........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2011
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เณรกลับมานอนที่กุฏิที่พัก..หลังจากที่เดินทางกลับมาจากบ้านโนรีไม่นานนัก...เขามิอาจข่มตา

    หลับลงได้..พลางคิดว่า "ในเมื่อโนรีไม่ใช่ปีศาจแล้วก็คงไม่ใช่เทพธิดา..เพราะเทพธิดาตามคำสอนพุทธศาสนาที่ตน

    ศึกษามานั้น....ย่อมไม่มีพ่อแม่...หากแต่จุติและเกิดขึ้นมาเองตามกุศลกรรมที่ทำไว้"...แล้วโนรีเป็นคนประเภทใด

    เล่า..เป็นคำถามที่เขาต้องหาคำตอบ......และเณรก็คาดว่า "ภูผาญาติผู้พี่ของเขา....ต้องเพียรพยายามหา

    คำตอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน..เมื่อเขากลับถึงปัตตานี...โดยเณรไม่รู้ว่า..ภูผาตั้งใจที่จะไปค้นหาความจริงจาก

    ผู้รู้ถึงแดนมลายู.."

    ....................เณรนั้นรู้ว่าตี๋เล็กกลับจากเมืองจีนมานานแล้ว...และทำการค้าขายโดยขนสินค้าใส่เกวียนมาขายเร่..

    เขานึกชื่นชมตี๋เล็กบุรุษผู้น้อง..ที่มีความคิดค้าขายแปลกแตกต่างจากคนอื่นในถิ่นนั้น...และศรัทธาในความเพียรพยาม

    ของตี๋เล็กที่ต้องเหน็ดเหนื่อยในขณะที่ค่อนข้างเด็กกว่าพ่อค้าอื่น..ตี๋เล็กโตขึ้นคงมีเงินทองมากมายก่ายกอง...

    ....................ส่วนตนเองคงไม่มีฐานะใด ๆ นอกจากยังคงเป็นศิษย์วัดโนรีฯ ที่ไม่มีอาชีพใด ๆเป็นหลัก

    เป็นฐานในการสร้างฐานะได้เลย..และคิดว่า..การเป็นอยู่ทางโลกคงลำบากสำหรับตนเองค่อนข้างแน่

    นอน....เมื่อเทียบกับการเป็นอยู่อย่างนักบวชเมื่อสมัยตนเป็นเณร...พลางคิดว่า..."มันช่างอิสระไร้ห่วงกังวล

    ใด ๆ ..ศึกษาปฏิบัติธรรมจนรู้รสแห่งความสงบที่อยู่ภายในใจ..."ชีวิตวุ่นวาย" หรือ "ชีวิตอันสงบ"...อย่าง

    ไหนกันแน่ที่..."เขาต้องเลือก"....

    .....................หากเขาเลือก"ชีวิตอันสงบ"อย่างนักบวช..ชีวิตนั้นจะไม่มีโนรี..เพราะเขาต้องตัดขาดจาก

    ความรักโนรีจนสิ้นเชิง...........แต่หากเลือกเอา.."ชีวิตวุ่นวาย"ในทางโลก...ชีวิตนี้อย่างไรเสียก็ยังคงมีโน

    รีปรากฎอยู่เบื้องหน้า....เขามีสิทธิใกล้ชิด...มีสิทธิรักโนรี..แต่ทำไมมันวุ่นวายใจนัก......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...ตอนที่ 78 อนุสรณ์แห่งต้นแอปเปิ้ลและกล้วยไม้เณรีนรา...



    .....................วันปลูกต้นแอปเปิ้ลที่ป่าช้าฮวงจุ้ยในวัดโนรีนาราราม..เป็นช่วงฤดูหนาว ปี

    พ.ศ.2462 ณ เมืองสุราษฎร์ธานี..ภาคใต้แผ่นดินสยาม..ตี๋เล็กได้ขายสินค้าที่เตี่ยเตรียมมาให้จน

    หมดช่วงยามเย็น...และได้ให้หมวยเล็กนำเกวียนเปล่าพร้อมม้าตัวหนึ่งกลับบ้านไปก่อน...ส่วนตนเอง

    แยกม้าจากเกวียนอีกตัวหนึ่งรีบควบไปที่ฮวงจุ้ยวัดโนรี....

    ....................โนรีนั้นนำกระถางต้นแอปเปิ้ลทั้งสองต้นมาวางรอตี๋เล็กที่โขดหินอยู่แล้ว..เมื่อตี๋เล็ก

    เห็นโนรีความเหน็ดเหนื่อยที่มีอยู่ได้หายไปจากใจ..เพราะจิตใจมิคิดยึดเอามันไว้..จึงเปลี่ยนมาเป็น

    ความยินดีและสุขใจ...พลางวิ่งขึ้นผ่านหลุมศพต่าง ๆ ขึ้นไปหาทันที..แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"ลื้อมารออั้วอยู่คนเดียวหรืออาโนรี"

    ............................"อืม..โมลีอยู่ช่วยแม่คัดผลไม้น่ะ"

    .....................ตี๋เล็กมองดูกระถางต้นแอปเปิ้ลทั้งสองแล้วจึงเอ่ย

    ............................"แล้วลื้อยกกระถางทั้งสองขึ้นมาคนเดียวหรือ..ลื้อไปเอาเรี่ยวแรงมาจาก

    ไหน...ยกกระถางใบใหญ่ขึ้นมาที่สูงนี้ได้...ลื้อน่าจะรออั้วยกขึ้นมาเอง"

    .....................โนรียิ้มแล้วเอ่ยตอบ

    ............................"อั้วยกขึ้นมาที่ละใบ..อั้วรอลื้อแล้วเห็นว่ามันใกล้ค่ำ..แล้วลื้อก็ต้องรีบกลับ

    บ้าน..อั้วเลยตัดสินใจยกกระถางมารอลื้อที่นี่"

    .....................ตี๋เล็กส่ายหน้าเหมือนแสดงอาการว่าโนรีไม่ควรทำเช่นนั้น..แล้วนั่งลงใช้เสียมขุด

    ดินเซาะเอาต้นแอปเปิ้ลของโนรีออกจากกระถาง...พร้อมกับต้นแอปเปิ้ลของตน..พลางเอ่ยถามขึ้น

    ............................"ต้นแอปเปิ้ลของลื้อจะปลูกตรงไหนดี"

    ............................"อั้วว่า..ถัดสูงขึ้นมาจากโขดหินนี้ดีกว่า..เมื่อมันโตใหญ่ขึ้นมันจะได้แผ่กิ่ง

    ก้านเป็นร่มเงาไม้คลุมโขดหินนี้...เวลาอั้วมานั่งเป่าขลุ่ยตอนมีแดดมันจะได้ไม่ร้อน" โนรีเสนอแนะ

    .....................โนรีพูดจบตี๋เล็กก็เริ่มขุดดินในตำแหน่งที่โนรีแจงทันที..โดยขุดหลุมมีขนาดค่อน

    ข้างใหญ่กว่าต้นแอปเปิ้ลของโนรีมาก...ทำให้โนรีสงสัยแต่ก็นิ่งเฉยไว้

    ............................."ลื้อเอาต้นแอปเปิ้ลของลื้อลงหลุมได้แล้ว"

    .....................โนรีทำตามคำสั่งของตี๋เล็กอย่างว่าง่าย..และเมื่อต้นแอปเปิ้ลของโนรีลง

    หลุมแล้ว..แต่ยังไม่ได้กลบดิน...โนรีก็ให้สงสัยว่าตี๋เล็กจะปลูกต้นแอปเปิ้ลของตนที่บริเวณใด

    จึงเอ่ยถาม

    ............................."แล้วต้นแอปเปิ้ลของลื้อล่ะ..ลื้อจะปลูกตรงไหน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ตี๋เล็กไม่ตอบคำถามของโนรี แต่ได้ยกต้นแอปเปิ้ลของตนเองเอามาลงหลุม

    เดียวกับต้นแอปเปิ้ลของโนรี...โดยดันต้นแอปเปิ้ลของตนไว้ข้าง ๆ ต้นแอปเปิ้ลของโนรี...อัน

    เป็นการกระทำที่แสดงแทนคำตอบ....

    .....................โนรีมองดูตี๋เล็กพร้อมกับจ้องมองดวงตาและใบหน้าอันขาวใสของเพื่อนชาว

    จีน...ก็เห็นแววตาของตี๋เล็กส่องประกายแห่งความจริงใจจ้องมองนาง....จนนางรู้สึกสัมผัส

    ได้...มันเป็นกระแสแห่งความรักความจริงใจที่ตี๋เล็กส่งมายังนาง...พร้อมกับคำพูดอันแผ่วเบา

    ของตี๋เล็กที่ฟังแล้วทำให้หัวใจของผู้หญิงจันทร์เพ็ญถึงกับหวั่นไหว....

    ............................"อั้วไม่อาจอยู่ดูแลลื้อได้ตลอดไป..........แต่ขอให้ต้นแอปเปิ้ล

    ของอั้วเป็นตัวแทนของใจอั้ว......ให้มันอยู่เพื่อรักและดูแลต้นแอปเปิ้ลของลื้อตลอด

    ไปเถิด"

    .....................สิ้นคำของตี๋เล็ก..ใบหน้าของผู้หญิงจันทร์เพ็ญถึงกับร้อนผ่าว..ค่อย ๆ

    เปลี่ยนเป็นสีชมพูแดงระเรื่อ..พร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา...

    ...................................."ตี๋เล็ก"..........................

    .....................ก่อนที่จะก้มหน้ากลบดินให้ต้นแอปเปิ้ลร่วมกับตี๋เล็ก..พร้อมกับใช้น้ำรดต้น

    แอปเปิ้ลโดยที่ทั้งสองไม่ได้พูดสิ่งใดต่อกันอีก.......

    .....................ตี๋เล็กนั้น..ไม่ได้บอกรักโนรีโดยตรง...แต่ใช้คำพูดให้ต้นแอปเปิ้ลของตน

    บอกรักต้นแอปเปิ้ลของโนรี......แต่เพียงแค่นี้หนุ่มสาวต่างก็ย่อมรับรู้ความหมายดีว่ามัน

    คือ..."การบอกรักทางอ้อม".....

    .....................ต้นแอปเปิ้ลของตี๋เล็กสูงกว่าต้นแอปเปิ้ลของโนรีเล็กน้อย...แต่มันยังคงมีสี

    ของลำต้นและใบแตกต่างกันอยู่ดี...มันเป็นต้นแอปเปิ้ลคู่แรกบนแผ่นดินสยาม....ที่ปรากฎอยู่

    ที่เมืองสุราษฎร์ธานี....และต่อมามันได้เจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านเป็นเงาร่มไม้ปกคลุมเหนือโขด

    หิน...และมีลำต้นที่ชิดติดกัน.....

    .....................กิ่งต้นแอปเปิ้ลของตี๋เล็กได้แผ่กิ่งออกมาเสมือนแขนของคน..และโอบกอด

    ลำต้นของต้นแอปเปิ้ลของโนรีที่ยืนต้นอยู่เอาไว้..."ประดุจดังชายหนุ่มกอดหญิงสาวไว้ด้วย

    ความทะนุถนอม"....ทำให้เป็นที่แปลกตาแปลกใจของผู้คนที่พบเห็น........

    .....................ลูกแอปเปิ้ลของต้นแอปเปิ้ลโนรี........จะมีสีเหลืองทองนวลดุจสีของดวง

    จันทร์เพ็ญ....ส่วนลูกแอปเปิ้ลของต้นแอปเปิ้ลตี๋เล็ก...เป็นลูกสีแดงเช่นผลแอปเปิ้ลทั่วไป.......

    .....................ในคืนวันขึ้น 15 ค่ำ วันเพ็ญหรือวันจันทร์เพ็ญ..ที่แสงแห่งจันทร์เพ็ญสาด

    ส่องมายังต้นแอปเปิ้ลของโนรีต้นแอปเปิ้ลต้นนี้จะมีการเคลื่อนไหวขยับตัวไปมา....และเมื่อ

    เสียงขลุ่ยของโนรีแผ่วแว่วมาให้มันได้ยิน..มันจะเคลื่อนไหวกิ่งก้านของมันไปตามท่วงทำนอง

    ของเสียงขลุ่ย...แต่ไม่มีผู้ใดเห็นมันยามนี้...นอกจาก "พี่เณรผู้เดียวเท่านั้น"...เพราะเขาคือ

    ผู้ที่ดูแลรดน้ำต้นแอปเปิ้ลทั้งสองต้นมากกว่าผู้ปลูกทั้งสอง...และได้อยู่ดูมันยามค่ำคืน

    เสมอ.....

    ....................ผู้คนที่มาดูชมและได้ลองลิ้มชิมรสของลูกแอปเปิ้ลทั้งสองต้น..ต่างก็ยอมรับ

    ในความอร่อยของมัน......โดยเฉพาะ"ลูกแอปเปิ้ลสีเหลืองทองของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ".....ลูก

    แอปเปิ้ลที่เกิดจาก ความรัก..และแสงแห่งผู้หญิงจันทร์เพ็ญ พร้อมกับเสียงขลุ่ยและคำอ้อน

    วอน....มันเป็นผลแอปเปิ้ลที่มีกลิ่นหอมเย็น..หวานมากกว่าอมเปรี้ยวดังเช่นลูกแอปเปิ้ลทั่ว

    ไป...เมื่อกินเข้าไปมันจะเกิดความสดชื่นเสมือนแอปเปิ้ลเป็นดุจยาอายุวัฒนะ.........




    .....................ในปี พ.ศ.2532 หรือ 70 ปีต่อมา...ได้มีพระภิกษุชราวัย 86 ปี เดินธุดงค์

    ผ่านมา..และได้ปักกลดอยู่บริเวณฮวงจุ้ยหรือป่าช้าวัดโนรีนรารามหนึ่งคืน....ก่อนธุดงค์จาก

    ไปในตอนเช้า...พระภิกษุรูปนั้นได้เพ่งมองต้นแอปเปิ้ลทั้งสองอย่างสงบ...พร้อมกับมอง

    ดู"ภาพถ่ายของหญิงสาวที่อยู่หน้าหลุมศพ" และ "รูปปั้นหญิงสาวที่นั่งเป่าขลุ่ย"..ใต้ต้น

    แอปเปิ้ลทั้งสองต้นนั้น.....

    .....................ต้นแอปเปิ้ลที่มีลูกเป็นสีเหลืองทองนวลดุจสีของจันทร์เพ็ญนั้น...ที่กิ่งหนึ่ง

    ของมันจะมี "กล้วยไม้ดอกสีม่วงพันเจาะไชม้วนโอบกอดกิ่งต้นแอปเปิ้ลนั้นไว้"....ผู้คนใน

    ปัจจุบันที่พบเห็นเรียกกล้วยไม้นั้นว่า "แคทรียา".....

    .....................แต่เสียงแผ่วเบาและแหบพร่าของพระภิกษุชรารูปนั้นก่อนจากไปได้รำพึง

    รำพันอย่างแผ่วเบาว่า

    ........................"เณรีนรายังคงอยู่..ตี๋เล็กแอปเปิ้ลของลื้อ....เป็นตัวแทนหัวใจ

    ลื้อได้ดีจริง"

    .....................ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างมาเที่ยวชมดู..ต้นแอปเปิ้ลทั้งสองและต้นกล้วย

    ไม้พันธุ์เณรีนราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน...ต่างก็รู้สึกซาบซึ้งและสุขใจ...

    "ที่เห็นต้นไม้ทั้งสามต้นแสดงความรักต่อกัน"...

    .....................ต้นแอปเปิ้ลของตี๋เล็กที่โอบกอดต้นแอปเปิ้ลของโนรีเอาไว้...ผู้คนที่รู้เรื่อง

    ราวของต้นไม้นี้ได้เล่าขานสืบต่อกันมา..และผู้ที่มาดูต่างมีความรู้สึกว่า ต้นแอปเปิ้ลได้แสดง

    ความรักของมันแทนเจ้าของของมัน..."นั่นคือตี๋เล็กได้แสดงความรักแก่โนรีผ่านต้น

    แอปเปิ้ล"......เช่นเดียวกับ.."กล้วยไม้พันธุ์เณรีนรา" ..ก็แสดงความรักของมันแก่ต้นแอปเปิ้ล

    ของโนรี..เสมือนหนึ่งว่า ...."พี่เณรได้รักและโอบกอดโนรีเอาไว้".....

    ....................ต้นไม้มันมีจิตและวิญญาณที่ซึมซาบความรู้สึกของเจ้าของมันเอาไว้...และ

    มาแสดงต่อต้นไม้ของคนที่ตนเองรัก...จึงเกิดปรากฎการณ์เช่นนี้ขึ้น

    ....................ทำให้ผู้คนกล่าวขานถึงความรักของพวกเขากันอย่างไม่รู้จบ...จนมีผู้คน

    มากมายเสาะแสวงหา"วัดโนรีนราราม"ว่า"อยู่ที่ใดของจังหวัดสุราษฎร์ธานี".....เพื่อพวกเขา

    จะได้มาค้นหา....."สิ่งมหัศจรรย์ทางความรักที่ถ่ายทอดผ่านต้นไม้"....และพวกเขาเมื่อมา

    ชมต่างก็รู้สึกว่าต้นไม้นั้น "มีจิตและวิญญาณ"

    ....................และต้นไม้ทั้งสามต้นนี้ก็คือ "อนุสรณ์ทางความรัก" ที่เป็นความทรงจำอัน

    หนึ่งของ ตี๋เล็ก โนรี และ พี่เณร....



    ....................พระภิกษุชราวัย 86 ปี รูปนั้นยังคงธุดงค์เดินทางต่อไปอย่างไม่รู้จบ...แต่มี

    คนที่เคยรู้จักท่านเรียกท่านว่า "พ่อท่านเณร"....แต่บัดนี้ท่านมรณภาพไปแล้ว...แต่ความทรง

    จำของท่านอันหนึ่ง....มักถามท่านเสมอมาตลอด..จนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต......แม้ท่านจะ

    เป็นนักบวชจนย่างเข้าวัยชราว่า..... "ลืมได้หรือความรัก"

    ....................แม้ท่านเองจะมีเพศเป็นบรรพชิต..แต่ไม่อาจลืมความรักที่ตนเองมีต่อ

    "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"ที่ตนเองรักได้เพราะท่านเป็น "บุรุษหนึ่งเกิดมาเพื่อจะรัก"




    ...............แม้เป็นนักบวช..แต่อาลัยรัก..จักมิตัดขาด..ถนอมไว้เป็น..ความทรงจำแห่ง

    ชีวิต..เพื่อยืนยันว่า..โลกจักงดงามตระการตา..เมื่อความรักเกิดขึ้น........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2011
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ......ตอนที่ 79 นั่งเกวียนค้าขายผลไม้เช่นเดียวกับตี๋เล็ก......



    .....................การค้าขายเร่โดยใช้เกวียนตระเวณขายไปตามหมู่บ้านชนบทในเมือง

    สุราษฎร์ธานีของตี๋เล็ก..โดยมีหมวยเล็กเป็นผู้ช่วยนั้นเป็นไปด้วยดี..ตี๋เล็กนำเงินกลับมาให้เตี่ยทุก

    วัน...ยังความภาคภูมิใจแก่เตี่ยเป็นอย่างมาก......ตี๋เล็กค้าขายไปทั่วจนทราบว่า..หมู่บ้านชนบทใด

    ขาดแคลนสินค้าใดและต้องการสินค้าชนิดใดมาก...เขาจะให้เตี่ยจัดสินค้าที่หมู่บ้านชนบทมีความต้อง

    การใส่เกวียนให้มากหน่อย......

    ....................บ่ายวันหนึ่ง..ตี๋เล็กขายสินค้าจนหมดเกลี้ยง...หมวยเล็กจึงชวนตี๋เล็กให้พาไปหา

    โมลีและโนรีที่บ้าน...แต่บันตาผู้เป็นแม่บอกว่า.."ทั้งคู่ไปเก็บผลไม้ในสวน"...ตี๋เล็กจึงขับเกวียนไปหา

    ทันที.......

    ....................เกวียนของตี๋เล็กเข้ามาในสวน..และเคลื่อนมาจอดอยู่ข้างเกวียนของโนรีบริเวณใกล้

    ศาลาพักร้อนในสวน....ตี๋เล็กเห็นผลส้มรางสาดใส่ไว้ในตะเข่งหลายใบจนเต็มอยู่บนเกวียนของโนรี..

    แต่ไม่เห็นทั้งโนรีและโมลี...สองพี่น้องจึงได้เดินลึกเข้าไปในสวนอีก..และได้เห็นโนรีนั่งอยู่บนกิ่งไม้

    ของต้นลองกองและกำลังเด็ดผลลองกอง..โดยมีโมลีรออยู่ใต้ต้น....ตี๋เล็กจึงเอ่ยทักทายอย่างชอบใจ

    ด้วยนึกขำ...เพราะไม่เคยเห็นโนรีปีนต้นไม้

    ..........................."ลื้ออยู่บนต้นไม้สบายดีหรือ"

    .....................เสียงของตี๋เล็กทำให้โนรีและโมลีหันมาทางต้นเสียง..ก็พบตี๋เล็กและหมวยเล็ก

    กำลังเดินมา..โนรีจึงเอ่ยอย่างยินดี

    ..........................."ถ้าลื้ออยากรู้ว่ามันสบายดีไหม..ลื้อก็ลองปีนขึ้นมาสิ"

    ..........................."ไม่เอาหรอก...อั้วว่าอั้วนั่งกินผลลองกองอยู่กับอาโมลีข้างล่างดีกว่า" ตี๋เล็ก

    ตอบปฏิเสธ

    .....................โมลีจึงเอ่ยถามหมวยเล็กที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

    ..........................."หมวยเล็ก..ลื้อมาได้อย่างไร"

    ..........................."อั้วขายของหมดแล้ว..เลยแวะเข้ามาหาลื้อ"

    ..........................."ลื้อมาก็ดีแล้ว..จะได้ช่วยอั้วขนตะเข่งผลไม้ขึ้นเกวียน"

    ..........................."อั้วมาถึงลื้อก็ใช้เลยนะ" หมวยเล็กแกล้งแย่

    ..........................."ไม่ใช่อย่างนั้น..อั้วรอโนรีกว่าจะลงมาจากต้นไม้..แล้วมายกตะเข่งขึ้นเกวียน

    อีกมันช้า...อั้วเลยวานลื้อหน่อย..อยากเสร็จเร็ว ๆ" โมลีเอ่ยอธิบาย

    ..........................."อืมก็ได้..แล้วลื้อเก็บผลไม้ตั้งมากมาย..ลื้อเอาไปส่งอาโกตันหยงหมดเลย

    หรือ" หมวยเล็กรับคำ..และเอ่ยถามก่อนยกตะเข่ง

    ..........................."ไม่หมดหรอก..แล้วแต่แม่อั้วจะคัดไว้กินหรือไปถวายพ่อท่าน"

    ..........................."ผลไม้ในสวนของลื้อ..มีตั้งมากมาย...ลื้อทำไมไม่เก็บมันไว้เยอะ ๆ แล้ว

    แบ่งเอาใส่เกวียนขายคนในหมู่บ้านชนบทกับอั้ว" หมวยเล็กเอ่ยเสนอแนะ

    .....................หมวยเล็กหมายถึง..การให้โมลีนำผลไม้ใส่เกวียนแล้วเดินทางไปขายตามหมู่บ้าน

    ด้วยกันกับตนเอง...คำพูดของหมวยเล็ก..ทำให้โนรีที่กำลังอยู่บนต้นไม้ต้องหยุดชงักและคิด

    ตาม.....เช่นเดียวกับตี๋เล็กก็หยุดกินลองกองทันที..พร้อมกับหันมองขึ้นไปที่โนรี...ก็พบสาย

    ตาที่มองลงมาด้วยใบหน้าที่แปลกใจปนตื้นเต้นของโนรี...

    ....................คำพูดของหมวยเล็ก ทำให้เกิดประกายความคิดของคนอีก 3 คน ณ ที่นั้นที่

    คล้อยตามและได้เห็นช่องทางสว่าง...ที่จะได้ไปท่องเที่ยวค้าขายด้วยกันตามหมู่บ้านต่าง ๆ

    อันทำให้ไม่ต้องจำเจอยู่สภาพเดิม....



    ....................หลังจากที่ตี๋เล็กกับหมวยเล็กกลับไปแล้ว.....โนรีและโมลีจึงเดินทางกลับ

    บ้าน..พร้อมกับผลไม้ที่บรรทุกมาบนเกวียน.....โมลีได้เอ่ยขึ้น

    ............................"โนรีว่า..แม่จะให้พวกเราไปค้าขายกับตี๋เล็กไหม"

    ............................"พี่ว่า..แม่ไม่ให้ไปหรอกจ้ะ"

    ............................"แต่ถ้าหนูกับโนรี..ช่วยกันพูดขอร้องแม่..หนูว่าแม่ต้องให้ไป"

    ............................"ทำไม..โมลีจึงคิดอย่างนั้นล่ะจ้ะ"

    ............................"โนรีไม่สังเกตแม่หรอกหรือ...แม่ต้องการฝึกพวกเรา..จึงสั่งสอน

    อะไรให้พวกเราหลาย ๆอย่าง เช่น..ที่แม่เพียรพยายามปลูกต้นแอปเปิ้ลให้พวกเราเห็นเป็น

    ต้น...แม่เองก็ไม่รู้ว่าต้นแอปเปิ้ลปลูกกันอย่างไร..แต่แม่ก็พยายามหาวิธีทดลองให้พวกเรา

    เห็น...เพื่อไม่ให้พวกเราย่อท้อจนต้นแอปเปิ้ลมันเกิดขึ้นมาจริง ๆ"

    ....................คำพูดของโมลี..ทำให้โนรีนั่งคิดทบทวน..และตนเองก็มีความรู้สึกว่า "โมลี

    เป็นคนช่างคิดช่างสังเกต..จนสามารถอ่านความรู้สึกของแม่ได้"..ทำให้โนรีทึ่งในตัวน้องสาว

    วัย 9 ขวบเศษเป็นอย่างยิ่ง..จึงหันไปมองโมลีที่นั่งพูดอยู่ข้าง ๆ เพื่อฟังความต่อ....

    ............................"เราเพียงแต่บอกแม่ว่า......เราต้องการเรียนรู้วิชาค้าขายจากเฮียตี๋

    เล็กกับหมวยเล็ก...และเราต้องการฝึกตนเองให้ยากลำบากบ้าง..แม่ต้องการฝึกพวกเราเรื่อง

    นี้อยู่แล้ว..แม่ต้องให้เราไปแน่นอน"...................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A5437681-19.jpg
      A5437681-19.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.9 KB
      เปิดดู:
      62
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      171
    • A4764877-0.jpg
      A4764877-0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24 KB
      เปิดดู:
      38
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2011
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................สามวันต่อมาในตอนเช้า......ขณะที่ตี๋เล็กกับหมวยเล็กกำลังเคลื่อนเกวียนผ่านวัด

    โนรีนรารามไปอย่างช้า ๆ....พวกเขาก็ได้เห็นเกวียนของโนรีกำลังผ่านสวนทางมา....โดยมีโนรีและ

    โมลีสวมหมวกนั่งอยู่บนเกวียน..สองพี่น้องบรรทุกผลไม้ไว้หลายเข่ง...ขณะที่เกวียนทั้งสองเล่มเทียบคู่

    กันตี๋เล็กจึงเอ่ยทักทาย

    ............................"พวกลื้อจะไปส่งผลไม้ให้อาโกตันหยงในตลาดหรือ"

    .....................โนรียิ้มอย่างร่าเริงแล้วเอ่ยตอบ

    ............................"ไม่ใช่หรอก..อั้วจะตามลื้อไปต่างหาก"

    ....................สองพี่น้องชาวจีนได้ยินเช่นนั้น.....ก็ให้รู้สึกดีใจและตื้นเต้นที่จะมีเพื่อนร่วมเดิน

    ทาง..หมวยเล็กจึงเอ่ยขึ้นอย่างเบิกบาน

    ............................"ดีเลย...จะได้เป็นเพื่อนกัน"

    ............................"หมวยเล็ก...ลื้อมานั่งที่เกวียนอั้วก็ได้..ปล่อยให้เฮียตี๋เล็กเขานั่งไปคน

    เดียว" โมลีเอ่ยชวนด้วยเห็นว่าเกวียนของตี๋เล็กมีสินค้ามากมาย

    ............................"ล่าย ๆ อาเฮียอั้วไปนั่งเกวียนอาโมลี" หมวยเล็กพูดพร้อมกับกระโดดลง

    จากเกวียนของตี๋เล็กมาที่เกวียนโนรี...โนรีจึงหยิบลองกองพวงใหญ่ส่งให้ตี๋เล็กที่เทียบเกวียนอยู่ข้าง ๆ

    และเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม

    ............................"ลื้อเอาไว้กินระหว่างทาง"

    .....................เกวียนของตี๋เล็กออกนำหน้า ..โดยมีเกวียนของโนรีตามหลัง..แต่ทั้งสองเกวียน

    ต่างก็มีเสียงตะโกนเสนอขายสินค้าแก่ชาวบ้านแข่งกันอย่างสนุกสนาน

    ............................"มีสินค้าและผลไม้มาเร่ขาย..มีสินค้าและผลไม้มาเร่ขาย"

    .....................ชาวบ้านท้องถิ่นชนบทที่ไกลออกไปจากตัวเมืองมาก..ต่างก็มารุมซื้อสินค้าและผล

    ไม้จากเกวียนทั้งสองเล่มอย่างพึงพอใจ...ที่มีสินค้าบริการถึงที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยที่จะ

    เดินทางเข้าไปซื้อยังตลาดในเมือง...

    .....................จนบ่ายคล้อยลง..หลังจากที่สี่สหายร่วมอาชีพได้กินอาหารร่วมกันแล้ว..ก็ได้จอด

    พักเกวียนรอขายสินค้าและผลไม้ให้แก่คนเดินทางที่ผ่านไปมา...โนรีเห็นเกวียนเล่มหนึ่งที่มีผู้โดยสาร

    นั่งมาเป็นพระภิกษุ....แต่คนขับเกวียนโนรีจำได้อย่างแม่นยำแม้จะอยู่ระยะไกล....

    .....................เกวียนเล่มนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้..โนรีพนมมือไหว้พระภิกษุที่อยู่บนเกวียน...

    หนึ่งในจำนวนผู้โดยสารก็คือ "พ่อท่านแห่งวัดโนรีนราราม"..ซึ่งมาพร้อมกับพระลูกวัด...โนรี

    จึงเอ่ยถามคนขับเกวียน

    ............................"พี่เณร พาพ่อท่านไปไหนมาจ้ะ"

    .....................เณรยิ้มให้กับโนรีอย่างไม่เต็มที่นัก..ด้วยเห็นโนรีก็ให้นึกถึงภาพในคืนที่มี

    แสงจันทร์เพ็ญปรากฎอยู่ที่ร่างกายของโนรี..ซึ่งตนยังแคลงใจอยู่..มันจึงเป็นสิ่งที่ทำความ

    แปลกใจให้แก่โนรีมากที่เห็นพี่เณรเปลี่ยนไป....โดยเฉพาะวันที่โนรีไปฝากให้พี่เณรช่วยดูแล

    รดน้ำให้แก่ต้นแอปเปิ้ลของโนรีและตี๋เล็กที่ฮวงจุ้ยฝังศพ...โนรีก็พบเห็นอาการเช่นนี้ของพี่

    เณรแล้ว......

    ....................ในความเป็นจริง..ผู้ใดที่ได้"พบเห็นโนรีแม้แต่เณรเอง".....เขาจะสัมผัสกับ

    แสงเรืองรองและเย็นตาเย็นใจ........และทำให้มีความสุขแม้แสงนั้นจะไม่ปรากฎออกมาให้

    เห็นเพราะไม่ได้ถูกแสงจันทร์เพ็ญก็ตาม.....ซึ่งครั้งนี้เณรเห็นโนรีเขาก็เกิดสุขขึ้นเหมือนกัน...

    แต่เพราะความทรงจำในคืนนั้นเป็นเหตุทำให้เขาขบคิดอยู่..จิตใจของเขาจึงมิได้สัมผัสรับรู้

    แสงเย็นตาเย็นใจจากโนรีเต็มที่นัก....จึงเกิดอาการประหลาดขึ้นแก่เขา...ทำให้โนรีรู้สึกว่า"พี่

    เณรเปลี่ยนไป"....

    ....................เณรเอ่ยตอบแก่โนรี

    ............................."ไปบอกบุญกับชาวบ้านหาปัจจัยให้วัด..โนรีกับพวกมาทำอะไรกัน"

    ............................."หนูขอแม่..มาค้าขายกับตี๋เล็กจ้ะพี่เณร"

    ....................เณรพยักหน้ารับรู้...แล้วก็เคลื่อนเกวียนออกไป...โดยมีโนรีมองตามหลัง

    อย่างไม่เข้าใจในพฤติการณ์ของพี่เณร...จนตี๋เล็ก โมลีและหมวยเล็กเดินมาสมทบเพื่อสอบ

    ถาม................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.7 KB
      เปิดดู:
      57
    • A4764877-0.jpg
      A4764877-0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24 KB
      เปิดดู:
      53
    • A5437681-34.jpg
      A5437681-34.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.2 KB
      เปิดดู:
      41
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      157
    • mimo_dance.gif
      mimo_dance.gif
      ขนาดไฟล์:
      62.9 KB
      เปิดดู:
      59
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2011
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เจ็ดวันต่อมา..โนรีและโมลีไม่ได้ไปขายผลไม้กับตี๋เล็ก..โนรีไปกับแม่ที่สวน

    ยางพาราเพื่อเทน้ำยางพารา..ทำเป็นแผ่นยางพารา..ในบ้านคงอยู่แต่โมลี

    .....................ภายในห้องนอน..โมลีหยิบภาพวาดที่ตนเอง..วาดภาพโนรีตอนเป่าขลุ่ยตาม

    เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำออกมาดู..ภาพแรก คือ ภาพที่โนรีเป่าขลุ่ยตอนฝนตกที่ริมหน้าต่าง..

    เด็กน้อยได้เขียนใส่ถ้อยคำเนื้อเพลงและทำนองขลุ่ยบันทึกไว้ที่ด้านหลังภาพ...ส่วนภาพต่อ ๆ

    มา ก็คือ ภาพที่โนรีเป่าเพลงขลุ่ย ขณะนั่งอยู่บนโขดหินที่ฮวงจุ้ยฝังศพที่วัดโนรีในวันแห่ศพ..

    และภาพต่อมาเป็น ภาพที่โนรีนั่งเป่าเพลงขลุ่ยประสานเพลงขลุ่ยกับเพลงขลุ่ยของโมลี ในวัน

    ที่เหล่าบุรุษเมืองปัตตานีมาช่วยกันสร้างต่อเติมศาลาวัดโนรี.....

    .....................ซึ่งภาพแรกเด็กน้อยวาดและเขียนขึ้น..ขณะที่โนรีกำลังนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ริม

    หน้าต่างระหว่างฝนกำลังตก..ส่วนในภาพหลังสองภาพหลังเป็นภาพที่วาดและเขียนโดยการ

    อาศัยการจดจำ...และนำมาเขียนบันทึกถ้อยคำและทำนองเพลงขลุ่ยในภายหลัง..

    .....................โมลีพิจารณาภาพเหล่านี้เด็กน้อยเห็นว่า.."เป็นภาพที่ดูแล้วขาดสีสัน..

    เพราะเป็นภาพที่เขียนขึ้นด้วยดินสอนแลเงา"...เด็กน้อยจึงคิดที่จะระบายสีในภาพที่เขียน

    ขึ้น...และคิดว่า.."คงต้องมีการวาดภาพอีกหลาย ๆภาพ..หากเด็กน้อยได้ยินเสียงขลุ่ยที่โนรี

    เป่าขึ้น".......ด้วยคิดว่า "เพลงขลุ่ยไร้ความทรงจำของโนรี...ไม่น่าจะสูญหายไปจาก"ความ

    ทรงจำ"บนโลกใบนี้......เสียงขลุ่ยของโนรี..โนรีเองย่อมจดจำไม่ได้อย่างแน่นอน.....จึงมี

    เพียงเด็กน้อยที่จดจำและเข้าใจเสียงขลุ่ย..ทำนอง..และความหมายของมัน.....เด็กน้อยจึง

    จดบันทึกพร้อมวาดภาพ..นอกจากนี้เด็กน้อยยังได้ลงวันเดือนปีที่เกิดเหตุการณ์ตามภาพ

    ไว้....

    .....................น่าเสียดายในวันที่โนรีเป่าขลุ่ยในคืนจันทร์เพ็ญที่..... "เมล็ดต้นแอปเปิ้ล

    แตกเมล็ดออกลำต้นมา"........"คืนวันที่โนรีเป่าเสียงขลุ่ยส่งให้ภูผาทราบความในใจของ

    โนรี"...."คืนวันที่โนรีเป่าเพลงขลุ่ยให้ต้นแอปเปิ้ลทั้งสองฟังก่อนจะนำไปปลูกที่ฮวงจุ้ย"....

    โมลีไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เด็กน้อยจึงไม่สามารถจดจำและวาดภาพหรือบันทึกความหมายและ

    ทำนองของเพลงขลุ่ยไว้ได้....

    .....................ก็ภาพที่เด็กน้อยเขียนไว้เหล่านี้แหละ.....ภายหลังจากโนรีสิ้นลม

    หายใจ.........มันถูกเก็บไว้ในโลงศพของโนรี.และถูกฝังไว้กับศพของโนรีในปี พ.ศ.2468...

    และเมื่อกาลเวลาผ่านไป...เมื่อโลงศพนี้ถูกเปิดออกมา......ก็ลองดูสิว่า.."ผู้ใดจะเป็นผู้ค้นพบ

    และเข้าใจปริศนาทำนอง....และความหมายของเนื้อเพลงขลุ่ยไร้ความทรงจำตามภาพเหล่า

    นี้"....ใครจะเป็นผู้มีวาสนาได้ครอบครองเป็นเจ้าของภาพเหล่านี้....และบรรเลงเพลงขลุ่ยอัน

    พิสดารตามภาพนี้....คงต้องติดตามกันในภาคท้ายๆของเรื่อง......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...