พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ระหว่างสามแม่ลูกเดินทางจากตลาดกลับบ้านราวสี่โมงเย็น..โนรีได้เอ่ยขึ้น

    เมื่อเห็นบันตาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยระหว่างเดินทางกลับบ้าน..

    ............................"แม่จ๊ะ..แม่ได้ลูกแอปเปิ้ลกับเมล็ดแอปเปิ้ลจากป้าตันหยงมาหรือเปล่าจ๊ะ"

    .....................บันตาส่ายหน้าช้า ๆ แล้วเอ่ยตอบ

    ............................"ป้าตันหยงบอกว่า มันหมดไปตั้งแต่วันแห่ศพแล้วล่ะลูก..และแกไม่ได้เก็บ

    เมล็ดเอาไว้"

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..ความหวังของเราก็อยู่ที่เมล็ดพันธุ์ที่เราเก็บไว้"

    ............................"ใช่แล้วลูก..แล้วหนูไปถามตี๋เล็กได้ความว่าอย่างไรจ๊ะ"

    ............................"ตี๋เล็กตามเฮียตี๋ใหญ่เอาของไปฝากอากงเล็กที่เมืองจีน..หมวยเล็กบอกว่าตี๋

    เล็กจะไปถามเรื่องวิธีปลูกต้นแอปเปิ้ลที่เมืองจีนกลับมาบอกหนูจ้ะแม่"

    ............................"กว่าตี๋เล็กจะกลับมาจากเมืองจีนก็คงใช้เวลานาน..เราคงต้องหาทางทำ

    อะไรกับเมล็ดพันธุ์ของเราก่อนแล้วล่ะลูก"

    ............................"แล้วโมลีคิดอย่างไรล่ะจ๊ะ" โนรีหันไปถามน้องสาวที่กำลังฟังการสนทนาอยู่

    ............................"หนูว่าเราเอาเมล็ดมาเพาะปลูกใหม่ดีกว่า..บางทีมันอาจจะยังไม่ได้เวลา

    ของมัน..ที่จะงอก..มันจึงไม่งอกออกมาเป็นต้น"

    .....................โนรีฟังน้องสาวแล้วจึงหันมามองหน้าแม่..เพื่อรอฟังความเห็น

    ............................."มันก็อาจจะใช่อย่างที่โมลีพูด..แต่อีกไม่กี่วันก็เข้าหน้าฝนแล้ว..เมล็ดพันธุ์

    มันอาจเสียหายได้ถ้าเราเพาะไว้ตอนนี้..เพราะต้นไม้เมืองหนาวต้องไม่ชอบน้ำฝน"

    ............................."แล้วเมื่อกี้นี้..แม่คิดอะไรอยู่หรือจ๊ะ" โนรีถามถึงตอนที่บันตาไม่ได้พูดอะไร

    เลยตอนออกจากตลาด..นางจึงรู้สึกว่าแม่ของนางกำลังคิดอะไรอยู่

    ............................."แม่กำลังคิดถึงคำสอนบางอย่างของพระพุทธองค์อยู่เกี่ยวกับเรื่อง

    ต้นแอปเปิ้ล"

    .....................สองพี่น้องหันมาจ้องหน้าแม่ซึ่งนั่งอยู่ระหว่างกลางพร้อมกัน..ด้วยแปลกใจ

    ว่า"พระพุทธเจ้าสอนเรื่องปลูกต้นแอปเปิ้ลไว้ด้วยหรือ" โมลีจึงเป็นผู้เอ่ยถามบ้าง

    ....................."แล้วพระพุทธองค์สอนเรื่องต้นแอปเปิ้ลอย่างไรหรือจ๊ะแม่"

    ............................"พระพุทธองค์ไม่ได้สอนเรื่องต้นแอปเปิ้ล..แต่แม่กำลังคิดเปรียบ

    เทียบคำสอนของพระองค์ท่านให้เข้ากับต้นแอปเปิ้ล"

    ............................"แล้วแม่กำลังเปรียบเทียบอยู่กับคำสอนอันไหนล่ะจ๊ะ" โนรีเอ่ย

    ถามอย่างสนใจ

    .....................คำสอนของพระพุทธองค์ที่บันตาขบคิดเปรียบเทียบอยู่ก็คือ

    เรื่อง"เหตุผล"...บันตาจำได้อย่างแม่นยำที่.."พ่อท่านเคยเทศน์เอ่ยสอนให้นางและซันซิโร่ผู้

    เป็นสามีได้ฟังว่า..พระพุทธองค์ทรงสรุปเกี่ยวกับทุกเรื่องที่ตั้งอยู่บนโลกว่า "สรรพสิ่ง

    ทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้..ย่อมมาแต่เหตุ...ต้องมีเหตุและปัจจัยเกื้อหนุนอย่างลงตัว..ผลมันจึงจะ

    เกิดตามมา...โลกตั้งอยู่บนหลักเหตุและผล"

    ....................แต่อีกเรื่องหนึ่งที่นางคิดอยู่..นางไม่ได้เอ่ยแก่ลูกทั้งสองให้ฟัง..นั้นคือ

    "ความมุ่งมั่น"..ข้อนี้บันตานางต้องการปลูกฝังคุณธรรมเรื่อง"ความมุ่งมั่นให้แก่ลูกทั้ง

    สอง"...แต่ไม่ต้องการสอนลูกทั้งสองของนางด้วย"คำพูด"...นางต้องการสอนด้วย "การ

    กระทำ" คือ "ทำให้ดู"..โดยที่นางพยายามมุ่งมั่นกระทำการใด ๆ อย่างไม่ย่อท้อ...ถึงแม้จะ

    มีอุปสรรคเกิดขึ้นทำให้การกระทำใด ๆที่หวังไว้หยุดชะงักลง...แต่นางก็เพียรพยายามต่อสู้ให้

    เห็นผลสำเร็จ..แม้ว่านางจะไม่รู้อนาคตว่า"มันจะสำเร็จหรือไม่"

    ....................ซึ่งนางทำให้ลูกทั้งสองของนาง"เห็นพฤติการณ์เช่นนี้ของนางอย่างบ่อย

    ครั้ง"..และในที่สุด"เรื่องของความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อที่นางเพียรกระทำให้ลูกทั้งสองของนาง

    ดู"ก็ถูกซึมซับไปยังลูกทั้งสองของนางอย่างเต็มหัวใจ...

    ....................การที่นางเพียรพยายามจะเพาะปลูกต้นแอปเปิ้ลร่วมกับลูกทั้งสองด้วยความ

    มุ่งมั่น...ก็เพื่อเป็นการยืนยันคุณธรรมของนางในการสอนลูกเช่นนี้..เพื่อไม่ให้ลูกของนางทั้ง

    สองย่อท้อเวลามีปัญหาหรืออุปสรรคใด ๆในชีวิต..

    ....................ด้วยความเป็นจริงในเบื้องต้น"ทั้งนางและลูกทั้งสอง"ต่างก็ไม่รู้วิธีเพาะปลูก

    และบำรุงรักษาต้นแอปเปิ้ล...ด้วยผลไม้ชนิดนี้ไม่เคยมีปรากฎในเมืองสยามมาก่อนเลย...ไม่มี

    ใครเคยปลูกไม่รู้ว่าต้นไม้ชนิดนี้จะต้องปลูกบนดินประเภทไหน...รดน้ำวันละกี่เวลา..และต้อง

    ใช้แสงแดดหรือความร้อน..อีกทั้งอุณหภูมิเช่นใด...นางรู้เพียงข้อเดียวว่า "ต้นแอปเปิ้ลเป็น

    ต้นไม้ที่ปลูกขึ้นได้ง่ายในเมืองหนาวเท่านั้นเอง"

    ....................เพราะเหตุที่นางต้องการผลที่ปรารถนาคือ "การที่มีต้นแอปเปิ้ลต้นแรกเกิด

    ขึ้นบนแผ่นดินสยาม"...นางจึงใช้หลักคำสอนของพระพุทธองค์คือ "การศึกษาหาเหตุที่ทำให้

    ต้นแอปเปิ้ลเกิดขึ้นบนแผ่นดินสยามให้ได้..และสิ่งที่นางกำลังคิดก็ได้บอกเล่าให้แก่ลูกทั้งสอง

    ฟังในทันทีที่โนรีเอ่ยถาม..บันตาจึงอธิบายให้ลูกทั้งสองฟังว่า

    ............................"คำสอนในเรื่อง สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกล้วนตั้งอยู่บนหลักของ

    เหตุผลไงลูก...ต้นแอปเปิ้ลมันจะเกิดขึ้นได้มันจะต้องมีเหตุของมันที่ทำให้เกิด...แม่กำลังคิด

    ถึงสาเหตุที่ทำให้มันเกิดอยู่...เรื่องของต้นไม้พวกเราปลูกกันมาไม่ใช่น้อยแล้ว..ปัจจัยที่ทำให้

    ต้นไม้ที่เราปลูกเกิดและโตขึ้น ก็คือ.ดิน แร่ธาตุในดิน น้ำ อากาศ แสงแดด และ อุณหภูมิ...ต้น

    แอปเปิ้ลก็เป็นต้นไม้อย่างเดียวกับที่เราปลูก เพียงแต่มันจะเกิดในดินชนิดใด...แร่ธาตุใดที่มัน

    ชอบ..น้ำและอากาศ แสงแดดอุณหภูมิเช่นไร..เราไม่เคยรู้มาก่อน...ดังนั้นในเมื่อเรายังไม่ได้

    คำตอบจากตี๋เล็ก....แม่คิดว่าเราจะลองค้นหาสาเหตุว่า มันควรจะใช้ดินอะไร..แร่ธาตุใด..น้ำ

    อากาศ แสงแดดและอุณหภูมิอย่างไรดู....โดยการเสี่ยงนำเมล็ดพันธุ์ที่เรามีจำนวนน้อยบาง

    ส่วนมาทดลองเพาะปลูกในดินเหนียว..ดินทราย..ดินร่วน..ดินเหนียวปนทราย..ดินทรายปน

    ดินร่วน..ดินเหนียวปนดินร่วน..ดินลูกรัง..ดูก่อนอย่างละเมล็ดก่อนที่ฝนจะตก..พรุ่งนี้คือวัน

    ทดลอง"...

    .....................คำอธิบายในเชิงสอนลูกของบันตา..ทำให้ทั้งโนรีและโมลีนิ่งสงบและฟังแม่

    ของพวกนางอย่างศรัทธาด้วยความรักอย่างหมดใจ..แล้วทั้งสองพี่น้องก็โอบกอดแม่ไว้ด้วย

    ความรักอย่างสุดซึ้ง......อันเป็นภาพที่ผู้ใดได้เห็นก็คงปลาบปลื้มเกิดปิติสุขไม่ใช่น้อย.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2011
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..................ตอนที่ 50 คุณธรรมบนแผ่นดินจีน..............




    .....................บนเรือสินค้าเดินสมุทรที่มุ่งสู่เมืองจีน..ตี๋ใหญ่ ตี๋เล๋ก และบรรดาชาวจีนอีก

    จำนวนหนึ่ง..ได้อาศัยขึ้นเรือสินค้าดังกล่าว..โต้คลื่นทะเลรอนแรมมาเป็นเวลาเดือนครึ่ง..ก็ถึงท่าเรือ

    เมืองจีน..

    .....................ชาวจีนทั้งหลายแหล่ต่างแยกย้ายกันกลับไปเยี่ยมญาติยังภูมิลำเนา..ตี๋ใหญ่พาน้อง

    ชายเดินทางมุ่งสู่ตำบลไซท้อกุ้ย แขวงเมืองซัวไซ....... เพื่อไปหาอากงเล็ก "จูเหลียง" ผู้ฒ่าวัย 80

    ปีซึ่งเป็นน้องชายของอากงตัวเอง...อากงจูเหลียงนั้นอยู่กับบุตรชายวัย 50 ปี คือ "จูหงวน" ซึ่งถือว่า

    มีศักดิ์เป็นน้องชายของเตี่ยตี๋ใหญ่และตี๋เล็ก..ซึ่งเขาทั้งคู่เรียกว่า "อาเจ็ก".......ซึ่งทั้งจูเหลียงและจู

    หงวนเคยเดินทานมาเมืองสยามตอนที่ พี่ชาย คือ อากงของตี๋ใหญ่และตี๋เล็กเสียชีวิตและได้อยู่ร่วมพิธี

    ฝังศพที่ฮวงจุ้ยขณะอยู่วัดในเมืองสุราษฎร์ธานี......

    .....................บ้านหลังเล็กที่อยู่ตำบลไซท้อกุ้ย แขวงเมืองซัวไซ ปี พ.ศ.2462 ได้มีโอกาสต้อน

    รับหลานชายที่เดินทางมาจากเมืองสยามและถึงบ้านเวลาพลบค่ำพอดี..ด้วยการจุดตะเกียงส่องสว่าง

    หลายดวงจากเดิมที่เคยจุดไว้คืนละดวง...

    .....................ไก่ในเล้าถูกนำออกมาเชือดเพื่อทำอาหารอย่างดีสำหรับหลานชายทั้งสองเป็น

    พิเศษในขณะที่ทุกวันกินแต่ผัก...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2011
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ตี๋ใหญ่และตี๋เล็กรีบนำข้าวของที่เตี่ยฝากมาให้อากงและอาเจ็กไว้

    ใช้พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งส่งมอบให้..ผู้เฒ่าวัย 80 ปีถึงกับหลั่งน้ำตาเพราะความซาบ

    ซึ้งใจในลูกหลานของพี่ชายตนเอง...."ความกตัญญู"ต่อบรรพบุรุษและญาติผู้ใหญ่เป็น

    คุณธรรมที่งดงามและยิ่งใหญ่ของชาวจีนมาแต่เดิมที่ถือปฏิบัติกันต่อๆมา..

    ....................ในเรื่องของ ความอดทน ขยันขันแข็ง มีวินัย อดออมและกตัญญู

    เป็นความสง่างามของพวกชาวจีนที่ยากที่จะหาชาติอื่นเทียบเทียมได้..แม้พวกเขา

    จะทำมาหากินค้าขายจนร่ำรวยแล้ว..แต่พวกเขาก็ไม่ถือว่าพวกเขาร่ำรวย..พวก

    เขายังคงทำงานในอาชีพเดิมเก็บหอมรอมลิดต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ..ในชีวิตของ

    พวกเขาชาวจีนตราบใดที่พวกเขายังมีแรง "คำว่าหยุดทำงานตลอดไปไม่เคยมี

    ปรากฎแก่พวกเขา"...ชีวิตของพวกเขาจึงประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นส่วนใหญ่

    เพราะมีคุณธรรมดังกล่าวฝังอยู่ในจิตใจของพวกเขา



    ....................บนโต๊ะอาหารโต๊ะกลมที่มีอาหารตั้งอยู่ถูกล้อมรอบไปด้วย"ชาย

    ต่างวัยกันสี่คน"..ซึ่งนั่งถือตะเกียบและถ้วยใส่ข้าวอยู่บนเก้าอี้..และกำลังเล่าความเป็นมา

    และการเป็นอยู่ของแต่ละฝ่ายสู่กันฟัง..

    ............................."อั้ว..เคยบอกกับเตี่ยพวกลื้อแล้วว่า..ที่ฝังศพที่ด้านหลังไม่มี

    เขาหรือเนินอยู่ด้านหลัง..มันจะทำให้ลูกหลานไม่มีหลักพิง..เจ้าใหญ่นายโตในเมืองสยาม

    จะไม่ช่วยเรา....และเงินทองก็อาจรั่วไหลได้...ดีแล้วที่ย้ายศพมาไว้ที่เนินเขาถือว่าฮวงจุ้ย

    ดีมาก...แต่อั้วคงวไม่มีโอกาสได้ไปเยื่ยมอากงกับอาม้าของพวกลื้ออีกแล้ว" อากงเล็กจู

    เหลียงสาธยายให้หลานทั้งสองฟังก่อนที่จะใช้ตะเกียบคุ้ยข้าวเข้าปาก

    ............................"ความจริงเตี่ยอยากให้อากงเล็กกับอาเจ็กตามไปอยู่ที่เมือง

    สยามด้วยกัน...มีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันได้..พวกเราชาวจีนบางทีเราพึ่งพาคน

    สยามไม่ได้..เราก็พึ่งพาพวกเรากันเอง...เราตั้งสมาคมชาวจีนอยู่ที่เมืองสยาม..มันอบอุ่น

    ดีที่เห็นพวกเดียวกัน" ตี๋ใหญ่เล่าเรื่องความปรารถนาของเตี่ยและการเป็นอยู่ของชาวจีน

    ในเมืองสยาม

    ............................"กงกับเจ็กไปอยู่เมืองสยามไม่ได้หรอก..เพราะเคยชินกับการใช้

    ชีวิตเกษตรกร.....ไม่เหมือนอากงลื้อและเตี่ยลื้อที่มีหัวพลิกแพลงไปทางการค้า..อีจึงได้

    ไปเจริญ" อาเจ็กเอ่ยบ้าง

    .....................อากงเล็กหันมาทางตี๋เล็กและถามขึ้น

    ............................"ตี๋เล็ก..ลื้อเพิ่งมาเมืองจีนครั้งแรก..มาแล้วรู้สึกอย่างไร"

    ............................"อั้วรู้สึกดีและอบอุ่นใจ"

    ............................"อะไรทำให้ลื้อรู้สึกอย่างนั้น" อากงเล็กถามต่อ

    ...................."อาจเป็นเพราะอั้วได้มาอยู่ใกล้กงกับเจ็กที่เป็นญาติสนิทที่เหลืออยู๋"

    ............................"ลื้อพูดได้ดีมากเลยตี๋เล็ก..พวกลื้อทั้งสองลำบากข้ามน้ำข้าม

    ทะเลมาหาพวกเรา...อั้วรู้สึกดีใจและซาบซึ้งมาก....บอกเตี่ยลื้อด้วยว่า..โสมและยาบำรุง

    กำลังที่เจ็กของลื้อจะพาไปหาที่บนเขา...มันเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ...มันทำให้คนจีนหลายคนมี

    อายุที่ยืนนาน..เพราะโรคภัยจะไม่เบียดเบียน...เนื่องจากอวัยวะภายในร่างกายได้รับการ

    บำรุงจากยาและโสมทำให้มันไม่พิการ" อากงเล็กอธิบาย

    ....................คืนนั้นตี๋ใหญ่และตี๋เล็กหลับภายในบ้านดังกล่าวอย่างง่ายดาย

    ด้วยความอ่อนเพลีย.........ส่วนอากงจูเหลียงและอาเจ็กจูหงวนนั้นกว่าจะหลับก็

    ดึกโข...ด้วยมีความรู้สึกตื้นตันใจและมีความสุขอย่างมาก..ที่มีญาติจากแดนไกล

    มาเยี่ยม จนไม่อยากที่จะหลับ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • fz8m1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      195
    • sword1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      230
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เช้าวันใหม่....อาเจ็กพาตี๋เล็กขึ้นเขาเพื่อหาโสมและตัวยาบำรุงกำลังเพื่อนำไปให้

    เตี่ยที่เมืองสยาม...ส่วนตี๋ใหญ่นั้นอยู่บ้านกับอากงเล็กซึ่ง มีงานเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ และรดน้ำให้กับพืชผัก

    สวนครัว.....

    .....................ระหว่างขึ้นเขาอาเจ็กได้เอ่ยสอนตี๋เล็ก

    ............................."เวลาลื้อหาโสม..ลื้อดูตรงจุดที่มีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มมันแสดงถึงแร่

    ธาตุในดินอุดมสมบูรณ์ ต้นโสมชอบอยู่ในที่ที่มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์"

    .....................ตี๋เล็กพยักหน้าและเดินหาโสมตามที่อาเจ็กสอน..ก็พบอยู่หลายต้น..จึงได้ขุดใส่ถุง

    ย่ามที่สพายมา...ตี๋เล็กไม่ได้มองหาแต่โสมอย่างเดียว...แต่ได้สอดส่ายสายตามองหาต้นแอปเปิ้ลที่

    คิดว่าจะมีอยู่ระหว่างทางขึ้นเขา.....ซึ่งตนเองก็ไม่รู้จักต้นแอปเปิ้ล....นอกจากจะเห็นลูกของมันห้อย

    โตงเตงจึงจะแน่ใจว่าเป็นต้นแอปเปิ้ล...แต่หาเท่าใดก็ไม่พบจึงเอ่ยถามอาเจ็ก

    ............................"เจ็ก..อั้วเคยได้ยินอากงอั้วเล่าว่า..ที่เมืองจีนมีต้นแอปเปิ้ลปลูกไว้โดย

    เฉพาะที่ตำบลไซท้อกุ้ย แขวงเมืองซัวไซ มันมีอยู่ที่ไหนหรือเจ็ก"

    ....................อาเจ็กเงยหน้าขึ้นจากการขุดหาต้นโสม..แล้วจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย

    ............................"ลื้อถามไปทำไม"

    ............................"อั้วไม่เคยเห็นมัน..ได้แต่เคยกินลูกของมัน..อั้วอยากเอามันไปปลูกในเมือง

    สยาม"

    ............................"ถ้าลื้อเอาอากาศหนาวเย็นที่นี่ไปอยู่ที่เมืองสยามได้..และเอาดินที่มีแร่ธาตุ

    ที่มันชอบไปได้..ลื้อก็ปลูกมันได้"

    ............................"ดินที่มีแร่ธาตุอย่างไหนหรือที่ต้นแอปเปิ้ลมันจะขึ้น"

    ............................"อั้วไม่รู้..รู้แต่ว่าแร่ธาตุที่ไม่ชอบความชื้น..ลื้อเคยสังเกตเห็นสถานที่ต้นส้ม

    เช้งเกิดขึ้นและเติบโตขึ้นไหม...ส้มเช้งต้องการแร่ธาตุที่ชอบความชื้นเพื่อไปผลิตผลส้มที่มีน้ำ...แต่ผล

    แอปเปิ้ลมันไม่มีน้ำเหมือนอย่างผลส้ม..และเนื้อของมันจะซุยกรอบอมเปรี้ยว..ลื้อว่ามันควรเป็นแร่ธาตุ

    ชนิดใดล่ะ"

    .....................ตี๋เล็กส่ายหน้าเพราะไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับแร่ธาตุและต้นไม้..อาเจ็กจึงบอกแร่ชนิด

    หนึ่งที่ไม่ชอบความชื้นให้ฟัง...

    ............................"แร่กำมะถันไงตี๋เล็ก..อั้วไม่รู้ว่าแร่ธาตุชนิดอื่นที่อยู่ในดินที่ต้นแอปเปิ้ลขึ้นมี

    แร่อะไรบ้าง...แต่อั้วเชื่อแน่ว่าต้องเป็นแร่กำมะถันหนึ่งชนิด........ที่ใดมีแร่กำมะถันมันจะส่งกลิ่นออก

    มาให้เรารู้...ถ้าลื้อลองเอาต้นแอปเปิ้ลไปปลูกบริเวณนั้น....ถ้าอากาศอุณหภูมิหนาวเย็นได้ที่..มันอาจ

    ขึ้นได้"

    .....................ชายวัย 50 ปีอธิบายให้เด็กหนุ่ม 14 ปีเศษฟัง...ทำให้เด็กหนุ่มตั้งใจฟังอย่างใจจด

    จ่อ..พลางเอ่ยถามขึ้นเพื่อไม่ให้ขาดตอน..

    ............................."แล้วอาเจ็กพาอั้วไปดูที่ที่ต้นแอปเปิ้ลขึ้นได้ไหม"

    ............................."มันอยู่เชิงเขาอีกด้านหนึ่ง..เดี๋ยวลื้อหาเก็บโสมให้เต็มย่ามก่อนแล้ว..อั้วจะ

    พาไป"

    .....................ตี๋เล็กได้ยินเช่นนั้น รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง..ที่เป้าหมายอันหนึ่งของตนกำลัง

    บรรลุ..จึงเพียรพยายามหาเก็บโสมจนเต็มย่าม.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ตุลาคม 2011
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................อาเจ็กพาตี๋เล็ก..เดินลัดเลาะมาตามทางเพื่อข้ามไปเชิงเขาอีกลูกหนึ่ง...ในที่สุด

    ตี๋เล็กก็พบกับ"ต้นแอปเปิ้ล" จำนวนหลายต้น..ณ สถานที่อาเจ็กพามา.โดยมีภูเขาบังแสงแดดทางทิศ

    ตะวันออก...และบังแสงแดดทางทิศตะวันตกเอาไว้...ทำให้เห็นว่าแสงแดดทั้งสองทิศไม่มีทางที่จะ

    ส่องถูกต้นแอปเปิ้ลเหล่านั้นได้..มีเพียงด้านบนเหนือศีรษะ คือ แสงแดดยามเที่ยงวันหรือบ่ายเท่านั้นที่

    ส่องลงมาถึง..ซึ่งมันคือแสงแดดที่มีความร้อนสูง...ตี๋เล็กเริ่มแปลกใจว่า"ต้นแอปเปิ้ลผลไม้เมือง

    หนาวน่าจะชอบความเย็น..แต่ทำไมจึงขึ้นและเติบโตได้ตรงจุดที่มีแสงแดดร้อนมากเช่นนี้"...

    เขาเริ่มสังเกตดูดินและบริเวณที่ต้นแอปเปิ้ลขึ้น..มันเป็นดินที่มีสีค่อนข้างออกแดง ๆ และมีกลิ่น

    ของกำมะถัน..ตี๋เล็กพิจารณาดูแล้ว...ทำให้"เขาเริ่มไม่เข้าใจธรรมชาติของต้นแอปเปิ้ลเอา

    เสียเลย"..จึงได้สอบถามอาเจ็ก

    ........................"อาเจ็ก..ต้นแอปเปิ้ลมันขึ้นมากมายที่ตรงบริเวณนี้มานานแล้วหรือ"

    ........................"ตั้งแต่อั้วกับเตี่ยลื้อยังเล็กอยู่เลย..เดิมทีมันมีไม่กี่ต้น..แต่พอผลแอปเปิ้ลมัน

    ล่วงหล่นไม่มีใครเก็บ..ต้นแอปเปิ้ลมันก็ขึ้นจากลูกแอปเปิ้ลที่หล่นนั่นแหละ"

    ........................"แสดงว่ามันงอกขึ้นอย่างง่ายดายที่ตรงบริเวณนี้"

    ........................"มันก็น่าจะเป็นอย่างที่ลื้อพูด...อย่างที่อั้วบอกกับลื้อว่า..ถ้าลื้อเอาอากาศหนาว

    เย็นที่นี่ และแร่ธาตุที่มันต้องการไปได้ที่เมืองสยาม..ลื้อก็ปลูกมันได้"

    ....................."อาเจ็ก..ถ้าอั้วจะลองตอนกิ่งต้นแอปเปิ้ลดู..เจ็กว่ามันจะใช้เวลากี่วัน"

    ........................."อั้วไม่รู้..เพราะไม่มีใครที่นี่เคยตอนกิ่งต้นแอปเปิ้ลเลย"

    .....................ตี๋เล็กตัดสินใจตอนกิ่งแอปเปิ้ลหลายกิ่ง..ในจำนวนหลาย ๆต้นที่อยู่ต่อหน้า..พร้อม

    กับใช้ดินบริเวณนั้นและเปลือกไม้ ใบไม้ที่หล่นดินแทนกากมะพร้าวห่อหุ้มกิ่งเอาไว้...และใช้น้ำที่อยู่ใน

    ผลน้ำเต้าที่สำหรับใส่น้ำไว้ดื่มกินของอาเจ็กลาดรดกิ่งที่ตอนไว้

    ......................และตนเองก็ได้นำย่ามอีกหนึ่งใบกอบโกยดินที่ขุดจากใต้ต้นแอปเปิ้ลใส่ยามจน

    เต็ม..แล้วเอากลับบ้านอากงเล็กพร้อมกับอาเจ็ก...

    ......................ระหว่างเดินทางกลับบ้านอาเจ็กได้ถามตี๋เล็กเกี่ยวกับกิ่งตอนของแอปเปิ้ล...

    .............................."ลื้อว่า..น้ำมันจะเพียงพอสำหรับกิ่งตอนหรือ"

    .............................."อั้ว..ไม่รู้หรอกเจ็ก...อั้วว่าต้นแอปเปิ้ลดูมันขึ้นมาได้นี่..มันขัดต่อเหตุผล

    น่าดู...อั้วคิดว่ามันไม่ชอบน้ำมาก..และชอบความเย็นและแสงแดดอ่อน ๆ.เพราะมันเป็นต้นไม้เมือง

    หนาว...แต่ปรากฎว่ามันกลับเกิดในที่ที่มีความร้อนของแสงแดดที่ร้อนมาก ๆ ทั้งที่มันเกิดในเมืองหนาว

    น่าจะชอบความเย็นหรือแสงแดดอ่อน ๆ..แต่อั้วดูที่ที่มันเกิดมันไม่เคยต้องแสงแดดอ่อน ๆ

    เลย..........มันโดนแสงแดดตอนเที่ยงวันและยามบ่ายอย่างเต็ม ๆ แต่ก็เพียงประมาณวันละ 3

    ชั่วโมง...มันไม่น่าจะทำให้น้ำที่รดไว้ที่กิ่งตอนระเหยได้หมด"

    .....................อาเจ็กฟังตี๋เล็กอธิบายและเกิดสงสัยในตัวหลานชาย..ที่มุ่งมั่นในการที่จะนำเอา

    ตินแอปเปิ้ลไปปลูกในเมืองสยามให้ได้จึงเอ่ยถาม

    .............................."ตี๋เล็ก...ทำไมลื้อจึงอยากเอาแอปเปิ้ลไปปลูกที่เมืองสยาม"

    .............................."อั้วเห็นว่า..ที่เมืองสยามมันไม่มีปลูก และคนที่เมืองสยามเขาคิดจะปลูก

    จึงมาถามอั้วเรื่องวิธีการปลูก...อั้วก็รับปากกับเขาว่า..จะสอบถามหาวิธีปลูกจากคนรู้ให้..แต่ก็ไม่มีใคร

    รู้..อั้วเห็นว่าในเมื่ออั้วรับปากกับอีไว้แล้ว...อั้วต้องรักษาคำพูด"

    ..............................."ดีแล้ว..การที่เรารับปากกับใครไว้เราต้องทำให้ได้..อย่าเสีย

    สัจจะ..ตระกูลของเราก็ทำเช่นนี้มาตลอด...แต่อั้วเดาได้เลยว่า..ลื้อต้องรับปากกับคนที่เป็น

    ผู้หญิง...และก็เป็นผู้หญิงที่ลื้อรักและชอบด้วยใช่ไหม"

    ....................ตี๋เล็กหันมามองหน้าอาเจ็กด้วยความแปลกใจที่เจ็กรู้ได้อย่างไร..แล้วจึงถามกลับไป

    ............................"อาเจ็กรู้ได้อย่างไรว่า อั้วรับปากกับผู้หญิงที่อั้วชอบ"

    ....................อาเจ็กยิ้มอย่างอารมณ์ดี..แล้วจึงตอบ

    ............................"ก็ลื้อกำลังเป็นหนุ่ม..แล้วสิ่งที่ทำให้เกิดพลังมุ่งมั่นมากมายของคน

    หนุ่มวัยนี้ก็คือ..ความรักและผู้หญิงที่ตนเองรัก..ชายหนุ่มทุกคนต่างก็ปรารถนามุ่งมั่นที่จะทำ

    ในสิ่งที่ทำให้คนที่ตัวเองรัก..ชอบใจทั้งนั้นแหละตี๋เล็ก"

    ....................ตี๋เล็กยิ้มและชื่นชมอาเจ็กที่หยั่งรู้เรื่องราวได้ถูกต้อง..และพากันรีบเดิน

    ทางกลับบ้าน

    ....................ตี๋เล็กกลับมาถึงบ้าน..ก็เทดินออกจากย่ามใสกะลังมังและนั่งคุ้ยเขี่ย

    พิจารณาดูดิน...พลางเขาก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาในใจตนเอง...ตี๋เล็กนำกระแต๋งภาย

    ในบ้านหิ้วออกไปนอกบ้านและตรงไปที่แปลงผักสวนครัว...พร้อมกับขุดดินใส่กระแต๋งจน

    เต็ม...แล้วนำมันกลับเข้าบ้าน...ตี๋เล็กเปรียบเทียบดินกันจนเห็นว่า..ดินสองอย่างมันเป็นดิน

    คนละชนิดกัน..แต่สิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจนอกเหนือจากการเปรียบเทียบดินก็คือ.."นำดินทั้งหมด

    กลับเมืองสยาม".........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2011
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ยามเย็นวันหนึ่งที่ ตำบลไซท้อกุ้ย แขวงเมืองซัวไซ ปี พ.ศ. 2462..ดวง

    อาทิตย์ที่กำลังจะตกดินสีแดงอ่อน..ก็ยังเป็นดวงอาทิตย์ดวงเดียวกับเมืองสยาม.....

    .....................ตี๋เล็กจ้องมองดูดวงอาทิตย์อยู่ในขณะที่อยู่กับ อากงเล็ก อาเจ็ก และเฮียตี๋ใหญ่

    บริเวณสวนครัวของบ้าน...ตี๋เล็กดูแล้วเมืองจีนกับเมืองสยามมันไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไร...ในเมื่อ

    มันอยู่ภายใต้กลางวันและกลางคืนของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เดียวกัน.....เวลาเช้า สาย เที่ยง บ่าย

    เย็น และ กลางคืน..มันก็มีเหมือนกับทุกเมืองบนโลกที่วุ่นวายใบนี้...แต่ที่เมืองจีนมันไม่เหมือนกับเมือง

    สยามในความรู้สึกของเขา คือ "เมืองจีนไม่มีโนรีให้เขาได้เห็น"

    ............................."ตี๋เล็กเอ้ย..ลื้อมาทางนี้หน่อย" เสียงเรียกของอากงเล็กที่กำลังนั่งพรานดิน

    ที่แปลงผัก...ทำให้ตี๋เล็กตื่นจากความคิด..แล้วเดินไปหาอากงเล็ก

    .....................อากงเล็กเอ่ยถามทันทีที่ตี๋เล็กมาถึง

    ............................."ผักในแปลงพวกนี้..ลื้อว่ามันใช้เวลากี่วันมันจึงจะเก็บกินได้"

    ............................."อั้วไม่รู้หรอกอากง" ตี๋เล็กตอบอย่างสงสัยว่ากงมีอะไรจะสอน

    ............................."ใช่..คนที่ไม่เคยปลูกจะไม่รู้..แต่คนที่เคยปลูกจะรู้ ..มันจึงทำให้คน

    ต่างกันตรงนี้"

    ............................."จริงของอากง" ตี๋เล็กเอ่ยสนับสนุนพร้อมกับรอฟังว่าอากงจะพูด

    อะไรต่อ

    ............................."ลื้อจำไว้นะ..โลกที่เราอยู่ คนเราเกิดมาไม่มีทางที่จะรู้เรื่องของโลก

    ได้ทั้งหมด...เราอยากรู้เรื่องไหนมันจะทำให้เราขวนขวายหาความรู้ในเรื่องนั้น ๆ เอง...แต่คน

    ที่ไม่อยากรู้ก็จะไม่ดิ้นรนขวนขวายในเรื่องนั้น ๆ มันก็จะทำให้ไม่รู้เรื่องนั้นตลอดไปจนวันตาย

    มาเยือน......เหตุที่เด็กตัวเล็ก ๆชอบซักถามโน้นซักถามนี่ก็เพราะมันอยากรู้...ผลของการที่

    มันซักถามจึงทำให้มันมีความรู้ที่แตกต่างไปจากคนที่ไม่รู้และไม่ซักถาม....คนมีความรู้จึง

    เป็นคนที่มีอนาคตไกลและท่องเที่ยวได้ไกลกว่าคนที่ไม่มีความรู้...คนที่มีความรู้จึงเป็น

    เหมือนคนที่เหนือคน..ลื้อจงพยายามศึกษาหาความรู้หลาย ๆ ด้าน และ ความรู้มันจะช่วย

    ลื้อเอง"

    ..........................."ได้อากง..อั้วจะจดจำคำสั่งสอนของลื้อเอาไว้"

    .....................ตี๋เล็กได้รับคำสั่งสอนและชี้แนะจากอากงเล็กบ้าง ..อาเจ็กบ้าง ..ทำให้เขา

    รู้สึกว่า "พวกเขาพยายามสอนและฝึกตัวของตี๋เล็กอยู่"......





    ......................15 วันต่อมาเริ่มเข้าฤดูฝนหลังจากที่ตี๋เล็กตอนกิ่งแอปเปิ้ลไว้ที่เชิงเขา...จึง

    ทำให้ฝนเริ่มตกประปราย อันเป็นโชคดีของกิ่งแอปเปิ้ลที่จะมีน้ำส่วนหนึ่งหล่อเลี้ยงกิ่งตอนนั้น...หลัง

    จากที่มันแห้งเพราะถูกแสงแดดเผาอยู่หลายวัน...

    .......................ตี๋เล็กมองดูสวนผักยามเช้า..และส่งสายตาข้ามแปลงผักไปจนสุดสายตา

    เพื่อมองฝ่าสายฝนเล็ก ๆที่กำลังโปรยปรายอยู่...เขาทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆตั้งแต่วันที่เหยียบแผ่นดิน

    จีน และตรึกตรองดูสถานที่อีกหลายสถานที่ที่อาเจ็กพาเขาไปดูพร้อมกับเฮียตี๋ใหญ่...ทำให้เขา

    จินตนาการเห็นความยากลำบากของคนบนแผ่นดินจีนว่า"หากแผ่นดินจีนและเศรษฐกิจเป็นเช่นนี้อยู่..

    คงยากที่จะทำให้ชาวจีนที่เดินทางไปอยู่เมืองสยาม..อยากกลับมาอยู่บนแผ่นดินจีน "แม้แต่เขา

    เอง"..."

    ....................ตี๋เล็กหันกลับมามองดินที่ตนเองใส่กระแต๋งเอาไว้สองกระแต๋ง..โดยกระแต๋งแรก คือ

    ดินที่นำมาจากบริเวณต้นแอปเปิ้ล ส่วนกระแต๋งที่สอง คือ ดินที่เอามาจากแปลงผักสวนครัว.....เขานำ

    ถุงใส่แป้งสาลีเปล่าสองใบมาเตรียมไว้..และยกกระแต๋งดินอันแรกเทใส่ถุงแป้งใบหนึ่งจนเต็มพร้อมกับ

    นำเชือกมามัดปากถุงเอาไว้...และกระแต๋งที่สองก็ทำเช่นเดียวกัน..พร้อมกับนำไปวางใกล้กับถุงใส่โสม

    และยาบำรุงกำลังที่อากงเล็กและอาเจ็กเตรียมเอาไว้..เพื่อนำไปฝากเตี่ยและแม่...เสร็จแล้วได้เดินออก

    มาร่วมกับอากงเล็ก อาเจ็ก และตี๋ใหญ่ที่หน้าบ้านใต้ชายคา........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2011
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................อากงเล็กชี้มือไปที่ชายทุ่งและคนที่อยู่ไกลริบ ๆ ให้ทั้งหมดดูพลางเอ่ยขึ้น

    ............................"ทุ่งนั้น..จะเริ่มมีชีวิตของต้นข้าวกล้าขึ้นมาอีกครั้ง..เมื่อมันมีน้ำฝน

    เทลงมาตลอดฤดูกาล..ซึ่งมันก็มีเพียงปีละครั้ง"

    ........................"ถ้าไม่ใช่ฤดูฝน..คนพวกนั้นเขาจะทำอะไรกินหรืออากง" ตี๋ใหญ่ซัก

    ............................"ขุดโสมหรือหาตัวยาสมุนไพรไปขายที่ร้านขายยาในเมือง"

    ............................"ทำไมพวกเขาไม่เลี้ยงหมูหรือไกอย่างอากง"

    ............................"บ่อน้ำที่หมู่บ้านที่พวกเขาขุดมันไม่มีน้ำ สัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นหมู วัว

    ควาย หรือสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ต้องการน้ำทั้งนั้น..พวกเขาไม่มีน้ำให้พวกมัน จึงเลี้ยงไม่ได้" อากง

    อธิบายสาเหตุให้ตี๋ใหญ่ฟัง

    ............................"แล้วบ่อน้ำที่บ้านอากงทำไมไม่แห้ง"

    ............................"พื้นดินมันชื้นและเป็นที่ลุ่มกว่า น้ำมันจึงมีตลอดปี"

    ....................ตี๋เล็กฟังความอยู่นาน..จึงเอ่ยแสดงความคิดเห็นบ้าง

    ............................"อั้วอยู่กับเตี่ย...ไม่เคยขาดน้ำ"

    ....................อากงมองหน้าตี๋เล็ก..แล้วเอ่ยตอบ

    ............................"เพราะเตี่ยพวกลื้อ..อีรู้รสชาดของการขาดน้ำแล้วว่ามันเป็นอย่างไร..อีถึง

    ไม่ยอมให้ชีวิตของอีขาดน้ำ"

    ............................"หมายความว่าอย่างไรอากง" ตี๋เล็กถามเพราะสงสัยเรื่องราว

    ............................"ไอ้ที่พวกลื้อเห็นลิบ ๆ นั่นแหละ อากงและเตี่ยของพวกลื้ออยู่ที่นั้น..

    จนรู้จักสถานที่นั้นดี"

    ....................ตี๋เล็กและตี๋ใหญ่รู้สึกอึ้ง...และหันกลับไปดูชายทุ่งนั้นอีกอย่างพร้อมเพรียง

    กัน..เมื่อได้ฟังอากงเล็กพูด...พร้อมกับรับฟังอากงเล็กพูดต่อ

    ........................ "พวกลื้อไม่สังเกตชาวจีนของเราที่อยู่แดนสยามบ้างหรือ

    .....ถ้าพวกลื้อสังเกตดูดี ๆ ..ลื้อจะเห็นว่า..คนจีนจะไม่เลือกถิ่นที่อยู่ที่ไม่มีน้ำหรือแม่น้ำ...

    เพราะพวกเขารู้ว่า..ที่ใดไร้น้ำที่นั่นชีวิตจะอับเฉาเหมือนต้นไม้ขาดน้ำ....

    ที่ใดมีน้ำที่นั่นจะเจริญเพราะทุกชีวิตต่างก็มุ่งหาน้ำ...พวกเขาจะพากันมารวมอยู่แหล่งน้ำ...

    ทุกอาชีพจะเจริญเมื่ออยู่ใกล้แหล่งน้ำ...ไม่ว่าจะเป็น การค้า รับจ้าง การประมง หรือ การเป็น

    ช่างทอง จะมีผู้คนที่อยู่แหล่งน้ำมากมายเป็นลูกค้า..ผิดกับที่ดอนที่ไร้น้ำ..ไม่มีผู้ใดอยากอยู่

    หรือสัญจรไป"

    .....................ตี๋ใหญ่และตี๋เล็กฟังอากงเล็กอธิบาย..ก็ให้รู้สึกว่า "ตนเองเห็นความจริงตาม

    ที่อากงเล็กพูด"...และนึกย้อนไปถึงเหล่าชาวจีนบนแผ่นดินสยามก็พบว่า "พวกนั้นอยู่รวม ๆ

    กันตามแหล่งน้ำจริง"...จึงกระจ่างชัดว่า..เพราะเหตุใดชาวจีนจึงเลือกอยู่ตามแหล่งน้ำ....

    เช่นเดียวกับอากงและเตี่ยของพวกเขาที่เลือกเอาลุ่มน้ำตาปีของเมืองสุราษฎร์ธานีเป็นที่อยู่

    อาศัยและเปิดร้านค้า...

    ....................อากงเล็กผู้เฒ่าวัยชรา..ผ่านประสบการณ์ชีวิตเกี่ยวด้วยความยากลำบาก

    มาอย่างมากมาย...ทำให้อากงเล็กจดจำทุกช่วงชีวิตที่ตนเองประสบมา..ไว้เป็นบทเรียนสอน

    ตนและลูกหลาน....เรื่องของน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง..เพราะมันมีความจำเป็นที่ผู้คนบนโลกที่

    เกิดมาต้องใช้มันเพื่อดื่มกิน..หุงหาอาหาร..อาบน้ำชำระร่างกาย..รดน้ำให้พืชผัก..อีกทั้งใช้

    ลอยเรือสัญจรไปมา.....

    ....................คนจีนจะพยายามสอนลูกหลานเสมอให้เลือกทำเลถิ่นที่อยู่ หรือ ที่ทำมาหา

    กินให้ใกล้แหล่งน้ำที่สุด.........มันจึงทำให้พวกเขาประสบกับความสำเร็จอย่างงดงามในชีวิต

    ของพวกเขาส่วนใหญ่...ที่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของบรรพบุรุษของพวกเขาในข้อนี้.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ตุลาคม 2011
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ฝนเริ่มซาเมื่อยามบ่ายและหยุดตก...ตี๋เล็กจึงเอ่ยชวนอาเจ็กให้ไปดูกิ่งตอนของ

    ต้นแอปเปิ้ลที่เชิงเขาด้วยกัน...

    .....................ระหว่างทางที่เดินไปเส้นทางเต็มไปด้วยพื้นดินที่แฉะด้วยน้ำฝนพร้อมกันดิน

    โคลน...เท้าของสองอาหลานจึงเต็มไปด้วยดินโคลนจนต้องถอดรองเท้าเดิน..

    .....................อาเจ็กจึงบ่นท้อต่อตี๋เล็กด้วยหงุดหงิดต่อการเดินที่ยากลำบาก

    ............................."ทำไมลื้อไม่รอให้ดินมันแห้งก่อนจึงชวนอั้วออกมา"

    .....................ตี๋เล็กหันมองหน้าอาเจ็กโดยไม่ใส่ใจอารมณ์หงุดหงิดของอาเจ็ก แต่หัวร่อเบา ๆ

    ก่อนตอบ..

    ............................."แล้วอาเจ็กรู้หรือว่าดินมันจะแห้งเมื่อไร..ในเมื่อฝนมันตกทุกวันอย่างนี้"

    .....................คำตอบของหลานชายทำให้ผู้เป็นอาเห็นความจริง..และเห็นว่าหลานชายยังคงมี

    อารมณ์ดีอยู่..จึงเปลี่ยนอารมณ์ที่หงุดหงิดให้เป็นอารมณ์ดีตาม แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................."แหม..อั้วคิดว่าลื้อจะไม่ใส่ใจต้นแอปเปิ้ลแล้วนา...แต่ดันมุมานะมาดูมัน

    อีก..แสดงว่า ผู้หญิงคนนั้นคงสำคัญต่อลื้อมากจริง ๆ"

    ............................."อั้วอยากรู้ผลของการตอนกิ่งแอปเปิ้ลว่ามันเป็นอย่างไร..ถ้าเราทำมันไว้

    แต่เราไม่ดูจนรู้ผลสุดท้ายของมัน..อั้วว่าอั้วไม่ทำดีกว่า.....อาเจ็กไม่ได้ฟังที่อากงพูดเมืองวันก่อน

    หรือ" ตี๋เล็กเลี่ยงตอบอย่างมีเหตุผล

    ............................."เตี่ยอั้วพูดอย่างไร"

    ............................."คนที่ไม่อยากรู้จะไม่ดิ้นรนขวนขวายหาความรู้เรื่องนั้น ๆ ก็จะไม่รู้เรื่อง

    นั้น...ในเมื่ออั้วอยากรู้เรื่องการตอนต้นแอปเปิ้ลว่าผลมันเป็นอย่างไร อั้วจึงต้องมารู้ให้ได้"

    .....................อาเจ็กมองหน้าตี๋เล็ก ด้วยรู้ว่าหลานชายกลบเกลื่อน จึงยกฝ่ามือขึ้นโบกไปมาเป็น

    เชิงห้าม..แล้วจึงเอ่ย

    ............................."ลื้อไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วเดินต่อไปเหอะ"

    .....................การเดินทางนานพอสมควรกว่าจะข้ามเขาและมาที่เชิงเขาที่ต้นแอปเปิ้ล

    อยู่...

    .....................ตี๋เล็กมองไปที่กิ่งตอนทุกต้นที่ตนเองตอนเอาไว้พร้อมกับอาเจ็ก...เพื่อสังเกตดูราก

    ของมันจะชอนไชผ่านเปลือกไม้และใบไม้ที่ห่อหุ้มมาไหม...แต่ปรากฎว่า "ไม่มีกิ่งใดเป็นดังที่หวัง"

    .....................อาเจ็กเห็นหลานชายมีสีหน้าผิดหวัง จึงเอ่ยขึ้นให้ความหวัง

    ............................"อั้วกับลื้อช่วยกันลองแก้มัดเปลือกไม้ทุกอันที่ตอนไว้สิ..บางทีมันอาจจะมี

    รากงอกอยู่"

    .....................ตี๋เล็กได้ยินคำพูดพิสูจน์ความหวังครั้งสุดท้าย ก็เริ่มมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง..จึงพูดขึ้น

    อย่างเร็ว...

    ............................"งั้นอาเจ็กไปดูทางต้นด้านโน้น..ส่วนอั้วจะดูด้านนี้"

    .....................ตี๋เล็กเปิดดูเปลือกไม้ที่หุ้มห่อกิ่งตอนไว้..ก็ไม่ปรากฏรากขึ้น......คงมีแต่เนื้อไม้สี

    อ่อน ๆอยู่ภายใต้เปลือกไม้นั้น...กิ่งแล้วกิ่งเล่าก็ไม่เป็นผล...จนเหลือกิ่งสุดท้ายก็ได้ยินเสียงอาเจ็ก

    ตะโกนขึ้น

    ............................."ทุกกิ่งตอนทางด้านอั้วไม่มีรากขึ้นเลย"

    .....................ตี๋เล็กได้ยินถึงกับใจเต้นสั่น..ความหวังสุดท้ายของเขา ก็คือ "กิ่งนี้" ตี๋เล็กค่อย ๆ

    เอามีดกีดตัดเชือกด้วยมือไม้ที่สั่นเทา...และค่อย ๆเปิดเปลือกไม้พร้อมกับภาวนาอยู่ในใจ"ขอให้

    รากงอกออกมา".....แต่แล้วสิ่งที่ปรากฎก็เหมือนกับกิ่งอื่น ๆ ไม่มีรากงอกออกมาจากกิ่งตอน..

    ทำให้เห็นว่า "การตอนกิ่งแอปเปิ้ลของตี๋เล็กไม่เป็นผล"....ตี๋เล็กรู้สึกผิดหวังและโมโหจนระงับ

    อารมณ์ไม่อยู่ เขาตะโกนขึ้นอย่างดังท่ามกลางหุบเขานั้นพร้อมกับพูดขึ้น

    ............................"ลูกแอปเปิ้ลของพวกเจ้า..มันก็ข้ามน้ำข้ามทะเลไปแดนสยามแล้ว..

    พวกเจ้ามันเป็นบ้าอะไรถึงไม่ยอมจากแผ่นดินนี้ไปบ้าง"

    ....................ตี๋เล็กพูดพร้อมกับหักกิ่งตอนกิ่งสุดท้ายออกมาแล้ว..ตีไปที่ต้นแอปเปิ้ลหลาย

    ที..โดยมีอาเจ็กนั่งมองหลานชายตนเองอย่างเวทนา...

    ....................ตี๋เล็กเหนื่อยหอบและทรุดตัวลงนั่งพิงต้นแอปเปิ้ล..อย่างหมดอาลัยตาย

    ยาก...อาเจ็กได้เดินมาแลนั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับพูดปลอบใจ..

    ............................"บางทีระยะเวลาของมันอาจจะยังไม่พอ..รากกิ่งแอปเปิ้ลจึงไม่

    งอกออกมา"

    ............................"แต่อั้วไม่มีเวลากลับมาดูมันแล้วนะ..อาเจ็กลืมแล้วหรือว่า อีกสองวัน

    อั้วต้องเดินทางกลับเมืองสยาม"

    .....................อาเจ็กจ้องหน้าหลานชายอย่างเห็นใจ..และลดสายตาด้วยใจที่คล้อยตาม

    อารมณ์ผิดหวังของตี๋เล็ก พลางพูดขึ้น

    ............................."ตี๋เล็กเอ้ย..ถ้าต้นแอปเปิ้ลที่นี่มันมีวาสนากับแผ่นดินสยาม..มันจะ

    ต้องทำให้ลื้อเห็น...เพื่อเอามันไปแผ่นดินสยามอย่างแน่นอน"

    ............................."ขอให้มันเป็นจริงอย่างที่อาเจ็กพูดเถอะ"

    ............................."อั้วกับลื้อควรกลับกันได้แล้วนะ...ก่อนที่ฝนมันจะเทลงมาอีก"

    .....................อาเจ็กเตือนเมื่อแหงนดูท้องฟ้า..ไปทางทิศตะวันตกเห็นเมฆดำทมึนกำลัง

    ลอยตัวมาทางที่พวกตนอยู่.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2011
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ตี๋เล็กและอาเจ็กเดินทางกลับถึงบ้านจนมืดค่ำ..อากง

    เล็กและตี๋ใหญ่นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร..ภายใต้แสงตะเกียงเจ้าพายุสว่างจ้า...อา

    กงเล็กเมื่อเห็นลูกชายของตนและหลานชายเนื้อตัวเต็มไปด้วยดินโคลนจึงได้

    เอ่ยอย่างตกใจ

    ............................"พวกลื้อสองคนไปทำอะไรกันมา..ถึงได้มอมแมม

    เหมือนหมาตกน้ำอย่างนี้...ไป ๆรีบไปอาบน้ำอาบท่าแล้วมาเจี๊ยะ(กิน)ข้าว

    กัน...อั้วกับตี๋ใหญ่จะรอ"

    ....................สองอาหลานรีบทำตามคำสั่งทันที ด้วยกล่าว่าผู้เฒ่าจะหิว

    ข้าว..และพากันมานั่งล้อมวงที่โต๊ะอาหาร...และกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย...

    หลังจากอากงเล็กคุ้ยข้าวเข้าปากได้ครู่หนึ่งก็ได้เอ่ยขึ้น

    ............................."อีกสองวันแล้วสินะ......ที่พวกลื้อสองคนต้องเดิน

    ทางกลับ...อาหงวนคงต้องไปส่งลื้อที่ท่าเรือ"

    ............................."ให้อาเจ็กอยู่ดูแลอากงดีกว่า..พวกอั้วกลับไปที่ท่า

    เรือเองได้" ตี๋ใหญ่เอ่ยค้านในความหวังดีของอากงเล็ก...ด้วยเห็นว่าผู้เฒ่าชรา

    ควรมีคนดูแล

    ............................."อั้วสขุภาพแข็งแรงดี..ลื้อไม่ต้องเป็นห่วงหรอก..

    อาหงวนไปส่งพวกลื้อแค่ท่าเรือ..แต่พวกลื้อต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปอีกไกล...

    น้ำใจจากญาติผู้ใหญ่ที่ทำต่อพวกลื้อ..มันมีความหมายให้พวกลื้อได้คิดเอง..

    พวกลื้อจงอย่าปฏิเสธและจงจดจำในสิ่งที่อากงและอาเจ็กทำต่อพวกลื้อไว้ให้

    ดี"

    ....................คำพูดของอากงเล็กแฝงไปด้วยความหมาย..โดยอา

    กงเล็กต้องการให้ตี๋ใหญ่และตี๋เล็กรู้ว่า "พวกเราชาวจีนแท้จริงแล้ว..เห็น

    ค่าเห็นความสำคัญของลูกหลานเป็นอย่างยิ่ง..แม้พวกเขาจะโตและ

    สามารถช่วยเหลือตนเองได้แล้ว..แต่น้ำใจจากชาวจีนส่วนใหญ่ที่มีต่อ

    ลูกหลาน คือ การให้การโอบอุ้มหรืออุ้มชู และ ประคับประคองลูกหลาน

    ของตนเองตลอกเวลา.."ชาวจีนไม่มีวันที่จะคิดทิ้งลูกหลาน" และ "ไม่มี

    วันที่พวกเขาจะทอดทิ้งกัน"...เมื่อเห็นอีกฝ่ายหนึ่งล้มลง..หรือกิจการ

    ล้มเหลว..พวกเขาจะมาช่วยประคองโอบอุ้มและอุ้มชูให้ก้าวเดินต่อ

    ไป".."

    ....................การกระทำของญาติผู้ใหญ่เหล่านี้มันถูกซึมซับไปยัง

    ลูกหลานจนเป็นประเพณีปฏิบัติโดยที่พวกเขาไม่ต้องมาพร่ำสอนให้เสีย

    เวลา....

    ....................อากงเล็กหันมาทางตี๋เล็กแล้วถามอย่างสงสัย..เพราะเมื่อ

    ตอนบ่ายได้ตรวจดูความเรียบร้อยของสิ่งของ...ที่จะให้หลานชายทั้งสองนำ

    กลับแผ่นดินสยาม..และพบถุงดินสองถุงวางอยู่คู่กับถุงโสมและยาบำรุง

    กำลัง...

    ............................"เออ..อาตี๋เล็กอั้วเห็นถุงแป้งมันวางอยู่ข้างถุงโสม

    กับยาบำรุงกำลัง..อั้วลองแก้เชือกมัดปากถุงดู..เห็นดินอยู่เต็มสองถุง..ลื้อเอา

    ดินไปทำไม"

    ............................"ดินถุงหนึ่งมันเป็นดินที่มีแร่ธาตุกำมะถัน อั้วจะเอา

    เป็นเชื้อปลูกต้นแอปเปิ้ล" ตี๋เล็กอธิบาย

    ............................"ต้นแอปเปิ้ล" อากงเล็กทวนคำอย่างสงสัยก่อนเอ่ย

    ถามต่อ

    ............................"ลื้อคิดจะเอาต้นแอปเปิ้ลที่นี่ไปปลูกบนแผ่นดิน

    สยามหรือ"

    ............................"ใช่แล้วอากง"

    .....................อากงเล็กฟังตี๋เล็กพร้อมกับวางตะเกียบ และมาลูกหนวด

    เคราที่คางอย่างใช้ความคิด..แล้วถามต่อ

    ............................."ลื้อคิดว่า..มันจะขึ้นบนแผ่นดินสยามหรือ"

    ............................."ถ้าอั้วไม่ลองปลูกมัน..แล้วอั้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามัน

    จะขึ้นหรือไม่ขึ้น"

    .....................คำตอบของตี๋เล็กทำให้อากงเล็กมองหน้าด้วยถูกใจในคำ

    พูดที่มากจากแนวคำสอนของอากงเล็กที่เคยพูดให้ตี๋เล็กฟังว่า "คนที่ไม่อยาก

    รู้ก็จะไม่ขวนขวายหาความรู้เรื่องนั้น..ก็จะไม่รู้เรื่องนั้นไปจนวันตายมา

    เยือน..แต่คนที่อยากรู้และขวนขวายเรื่องนั้นมันก็จะทำให้มีความรู้" อา

    กงเล็กยิ้มอย่างพอใจแล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"ดี ..อาตี๋เล็ก..แล้วลื้อจะเป็นคนแรกที่มีความรู้

    ว่าต้นแอปเปิ้ลปลูกบนแผ่นดินสยามได้ไหม"

    .....................ตี๋เล็กฟังคำชมของอากงเล็กถึงกับยิ้มออกมาได้..หลังจาก

    เคร่งเครียดกับกิ่งตอนแอปเปิ้ลที่ไม่มีรากงอกออกมาเลย...พร้อมกับเอ่ยขึ้น

    ............................."แต่อั้ว..ยังไม่มีต้นพันธุ์แอปเปิ้ลเลย..อั้วเลย

    ไม่รู้ว่าจะเป็นคนแรกที่มีความรู้ว่า..ต้นแอปเปิ้ลปลูกบนแผ่นดินสยามได้

    ไหม........อย่างที่อากงคาดหวัง"

    ............................."ไอ๋หยา(คำอุทาน)..แล้วลื้อทำไมไม่หาต้น

    พันธุ์ให้มันได้ก่อน"

    ....................ตี๋เล็กส่ายหน้าอย่างเซ้ง ๆ ก่อนเอ่ยตอบ

    ............................"อั้วกับอาเจ็กขึ้นไปตอนกิ่งต้นแอปเปิ้ลบนเชิงเขา

    แล้ว..แต่รากมันไม่งอกออกมาเลย..อั้วเลยเปลี่ยนใจไม่เอาดินไปทำเชื้อ

    ปลูกต้นแอปเปิ้ลแล้วล่ะ..แต่จะเอาดินไปทำเหมือนดินถุงที่สอง"

    ............................."ดินถุงที่สองลื้อจะเอาไปทำอะไร" อากงเล็ก

    ถาม

    .....................อาเจ็กซึ่งนั่งอยู่ข้างตี๋เล็กรู้แต่ว่า"ตี๋เล็กเอาดินจากบริเวณที่

    ปลูกต้นแอปเปิ้ลมาเพียงถุงเดียว" แต่ไม่ทราบมาก่อนว่า "ตี๋เล็กเอาดินมาจาก

    ไหนอีกถุงหนึ่งและจะเอาไปทำอะไร"...จึงหยุดคุ้ยข้าวเข้าปากและตั้งใจฟังตี๋

    เล็กตอบคำถามอากงเล็ก..โดยมีตี๋ใหญ่คุ้ยข้างนั่งฟังอยู่

    ............................"อั้วถือว่า..ดินทั้งสองถุง คือ แผ่นดินจีน แผ่น

    ดินที่อากง อาม้า เตี่ยและแม่เคยอยู่...อั้วจะนำแผ่นดินจีนไปโปรยบน

    หลุมศพของอากงอาม้าของอั้วส่วนหนึ่ง...เพื่อให้อากงอาม้ารู้สึกว่า..ถึง

    แม้ว่าร่างจะไม่ถูกนำมาฝังบนแผ่นดินจีน...แต่อากงอาม้าก็ยังมีแผ่นดิน

    จีนที่อั้วเอาไปให้เพื่อกลบหลุมศพ...อีกส่วนหนึ่งอั้วจะเอาไปให้เตี่ยกับ

    แม่ไว้ดูและลูกคลำยามคิดถึงแผ่นดินจีนและเอาไว้จุดธูปบูชาแผ่นดินจีน

    บนหิ้งสูง"

    ....................คำพูดของตี๋เล็กที่ผู้ฟังทั้งสามได้ยินถึงกับตกตะลึง..

    ด้วยคิดไม่ถึงว่า "ตี๋เล็กจะมีความคิดที่ลึกซึ้งและทำในสิ่งที่มีความ

    หมายอย่างสูงส่งเช่นนี้"

    ในบรรดาคนจีนที่ไปเมืองสยามไม่มีใครเคยคิดที่จะเอาดินจากแผ่นดิน

    จีนติดตัวไปเป็นที่ระลึกให้คิดถึงเมืองจีนเลย...ดินจากแผ่นดินจีนจึงไม่มี

    ให้กลบร่างบนแผ่นดินสยาม

    ....................แผ่นดินจีนที่เคยโอบอุ้มและอุ้มชูพวกเหล่าชาวจีนมา

    ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่..แผ่นดินที่พวกเขาเคยนอน เดิน นั่ง และ ยืนอยู่..

    แผ่นดินที่เคยเห็นพวกเขาหัวเราะยามมีสุข...แผ่นดินที่เคยเห็นพวกเขา

    ร้องไห้ยามมีทุกข์...แผ่นดินที่พวกเขาเคยเหยียบย่ำ ถ่มน้ำลาย

    ปัสสาวะรด ........และทิ้งของสกปรกลงบนแผ่นดิน...แต่แผ่นดินนั้นไม่

    เคยนึกโกรธ ยังคงโอบอุ้มพวกเขาอยู่บนแผ่นดินต่อไปอย่างยุติธรรม...

    ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนชั่วหรือเป็นคนดี...แผ่นดินก็ยังคงมีเมตตาปราณี

    ต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียมกัน...

    ....................ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหน..ก็เป็นเช่นนี้..แผ่นดินจึงได้

    รับการเรียกขานเป็นดุจดังแม่ผู้มีเมตตาโอบอุ้มและอุ้มชูบุตร จึงมีนาม

    กล่าวขานว่า "แม่ธรณี"

    ....................พระพุทธองค์ได้ทรงเห็นอาการแห่งแผ่นดิน..ที่ไม่ว่า

    คนดีหรือคนชั่ว..จะทำต่อแผ่นดินโดยโปรยของหอมลงแผ่นดิน ........

    หรือ ทิ้งของสกปรกลงแผ่นดิน...ทำดีต่อแผ่นดินหรือทำร้ายแผ่นดิน....

    แต่แผ่นดินหาได้มีความหวั่นไหวต่อสิ่งกระทบทั้งดีและร้ายไม่...จึงได้รับ

    การยกย่องให้เป็นของสูง...พระพุทธองค์จึงนำอาการแห่งแผ่นดินนี้มา

    สั่งสอนบุคคลที่หวังในความเป็นอริยะหรือเป็นบุคคลที่ควรสักการะ

    ว่า.."ไม่ควรหวั่นไหวไปกับความดีความร้ายของคน และให้คติธรรม

    สอนว่า "ให้ทำใจเสมอด้วยแผ่นดิน"..."

    ....................อาเจ็กซึ่งถือถ้วยใส่ข้าวอยู่ ..ได้ปล่อยถ้วยข้าวตกลงพื้น

    อย่างลืมตัวและจ้องมองตี๋เล็กอย่างไม่กระพริบตา อากงเล็กมองหน้าหลานชาย

    ด้วยน้ำตาคลอเบ้า..เช่นเดียวกับตี๋ใหญ่ที่วางตะเกียบกับโต๊ะและหยุดกินข้าวใน

    ทันที....

    ....................อากงเล็กเริ่มพูดด้วยเสียงสะอื้นในลำคออย่างน้อยใจ

    ปนกับความปลื้มปิติ

    ............................"ดี..ลื้อทำดีแล้ว..แผ่นดินจีนที่ชาวจีนบางคน..

    แม้แต่อากงและอาม้าของลื้อต่างก็ทอดทิ้งไปอย่างไม่เหลียวแล..ทั้งที่

    แผ่นดินนี่เคยโอบอุ้มพวกเขามาตลอด...แต่สำนึกสุดท้ายก่อนที่พวกเขา

    จะตาย..พวกเขากลับยากมาตายบนแผ่นดินจีน...เอาไปเถอะเอาไปให้

    อากงและอาม้าลื้อเถอะ...เอาไปโปรยให้พวกเขาได้รับรู้ไออุ่นของแผ่น

    ดินนี้..ให้พวกเขาได้รับรู้ว่าทั้งแผ่นดินนี้และคนบนแผ่นดินนี้ยังคิดถึง

    พวกเขาอยู่ทุกลมหายใจ..แม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้ว.."

    .....................อากงพูดพร้อมกับร่ำไห้..เมื่อนึกถึงความหลังก็ให้น้อยใจ ที่

    อากงของตี๋เล็กพี่ชายของตน...ได้เคยทอดทิ้งพวกเขาและแผ่นดินจีนไป..

    เพราะทนต่อความอัตคัดบนแผ่นดินจีนไม่ได้...ทำให้อากงเล็กต้องสู้ชีวิตกับ

    ครอบครัวอย่างโดดเดี่ยวโดยลำพัง..

    .....................บรรยาการศเริ่มเศร้าสลด...ตี๋เล็กไม่คิดว่า "คำพูดและการ

    กระทำของตนจะมีความหมายถึงเพียงนี้"...ตี๋เล็กใคร่ครวญคิดดูก็ให้รู้ถึงจิตใจ

    ของอากงเล็กว่า "อากงเล็กนั้นรักแผ่นดินเกิด คือ แผ่นดินจีนผืนนี้..อีกทั้งยังรัก

    และอาลัยอากงพี่ชายคนเดียวที่ไม่อยากให้จากไปไหนในคราวอากงเดินทางไป

    แผ่นดินสยาม...เพราะชาวจีนนั้นถือว่า เมื่อสิ้นบิดามารดาไป "พี่ชายใหญ่

    เปรียบเสมือนบิดามารดา" ซึ่งต้องอยู่เป็นหลักให้กับผู้เป็นน้อง.....

    ....................เพราะเหตุที่อากงเล็กรักแผ่นดินจีน อากงเล็กจึงยอมทนอยู่

    ด้วยความยากลำบาก...แม้จะยากจนอัตคัดเพียงใด..อากงเล็กกับลูกเมียก็ตราก

    ตรำอยู่บนแผ่นดินเกิดของตนต่อไปโดยไม่ยอมเดินทางไปเมืองสยามเช่นเดียว

    กับอากง...

    ....................แต่อากงนั้นกลับคิดสงสารอากงเล็กน้องชายของตน..ที่เป็น

    อยู่อย่างยากจนข้นแค้น..จึงคิดที่จะเดินทางไปหาเงินทองบนแผ่นดินสยามโดย

    เอาลูกเมียของตนไป..เพื่อกอบกู้ฐานะของตนและส่งเงินทองมาให้อากงเล็ก

    น้องชาย...

    ....................ซึ่งในความเป็นจริงนั้นอากงต่างหากที่ลำบากตรากตรำยิ่ง

    กว่าอากงเล็ก..เพราะไปอาศัยแผ่นดินของบุคคลอื่นทำมาหากิน..เป็นอยู่อย่าง

    อัตคัตยิ่งกว่าเมืองจีน...แต่เพราะความอดทนพากเพียรจึงสร้างฐานะได้..แต่ไม่

    ถึงกับเหลือเฟือ...อีกทั้งยังเตรียมการที่จะรับอากงเล็กมาอยู่บนแผ่นดิน

    สยาม...กับให้ทุนกับอากงเล็กเพื่อทำการค้าขายบนแผ่นดินสยาม..แต่อากงยัง

    ไม่สามารถกระทำการได้ก็มาเสียชีวิตเสียก่อน...

    ....................ความไม่เข้าใจกันของคนบางเรื่อง เช่น อากง กับ อา

    กงเล็ก..แม้จะเป็นพี่น้องที่รักกัน...แต่ก็ต่างความคิดกัน...จึงมีเหตุอัน

    เป็นส่วนที่ขุ่นเคืองกันอยู่บางเรื่อง...แม้อีกฝ่ายหนึ่งจะสิ้นชีวิตไปแล้ว...

    แต่เพราะเหตุที่ได้กระทำเอาไว้โดยมิได้มีการอธิบายให้อีกฝ่ายหนึ่งได้

    เข้าใจ...ความน้อยใจและคับแค้นใจของอีกฝ่ายหนึ่งจึงมีขึ้นเมื่อนึกถึง

    บางเรื่องทีถูกกระทำในอดีต......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2011
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................คืนนั้นภายในบ้านหลังเล็กอันโดดเดียวของตำบลไซท้อกุ้ยแขวงเมืองซัวไซ

    ปี พ.ศ.2462 ชายต่างวัยทั้งสี่ที่อาศัยอยู่ภายในบ้าน..ไม่อาจข่มตาหลับลงให้สบายได้...ด้วย

    ครุ่นคิดหลายสิ่งหลายอย่างอันเป็นความหมายแห่งคุณค่าของชีวิต

    .....................อากงเล็ก กับ อาเจ็ก กลับคิดเห็นตรงกันแม้จะไม่ได้เล่าสู่ให้กันฟัง คือ เรื่องของตี๋

    เล็ก..ผู้เฒ่าจูเหลียงและจูหงวนลูกชาย..มีความภาคภูมิใจในหลานชายวัย 14 ปีเศษ ที่ตี๋เล็กเป็นคน

    กตัญญู คิดอ่านสิ่งใดและจะกระทำสิ่งใดด้วยความลึกซึ้งและสูงส่งเกินผู้ใดจะคาดเดา...พวกเขาเห็นว่า

    ตี๋เล็กเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่ที่หลักแหลม นำพาตระกูล "จู" หรือ "แซ่จู" ให้ก้าวหน้าเกรียง

    ไกรและสูงส่ง...พวกเขาอดยินดีกับเตี่ยของตี๋เล็กไม่ได้ที่มีลูกได้เช่นนี้....

    ....................ในส่วนของตี๋ใหญ่นั้น ผู้เฒ่าจูเหลียงและจูหงวนลูกชายมีความเห็นว่า ตี๋ใหญ่นั้นมุ่ง

    แต่จะทำการตามคำสั่งอย่างเดี่ยวด้วยความซื่อตรง...เตี่ยสั่งให้มาทำอะไรก็ทำเช่นนั้น..แต่ก็เป็นคนซื่อ

    สัตย์กตัญญูต่อบรรพบุรุษ...หากตี๋ใหญ่ได้ดูแลกิจการการค้า..โดยฟังคำชี้แนะของตี๋เล็กผู้เป็นน้องใน

    บางเรื่อง...พี่น้องคู่นี้จะต้องผงาดเหนือน่านฟ้า..ดุจมังกรเหิรฟ้าบนแผ่นดินสยาม...

    ....................ในส่วนตี๋ใหญ่ที่เขาคิด..เขามีความชื่นชมในตัวตี๋เล็กน้องชายและรักใคร่เอ็นดูน้อง

    ชายผู้นี่ยิ่งนัก...ด้วยเห็นว่า บางเรื่องตี๋เล็กคิดอ่านทำการใด ๆ ล้วนเป็นสิ่งดี..โดยเฉพาะ "แผ่นดิน

    จีนสองถุงที่เขาจะนำไปโปรยบนหลุมศพของอากงอาม้า และนำไปให้เตี่ยกับแม่"...

    .....................ฝ่ายตี๋เล็กนั้น..กลบนอนเอามือก่ายหน้าผากด้วยคิดว่า.."ตนคงไม่มีพันธุ์แอปเปิ้ล

    กลับแผ่นดินสยามแน่..แต่ก็ได้ดีใจที่ได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากอากงเล็กและอาเจ็ก..อีกทั้งยังได้

    "แผ่นดินจีนไปฝากอากงอาม้า..เตี่ยและแม่" ..พร้อมกับโสมและยาบำรุงกำลังที่เตี่ยสั่งให้มาเอา

    ไป......
     
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................รุ่งขึ้นเช้าก่อนที่สองพี่น้องจะเดินทางกลับแผ่นดินสยามหนึ่งวัน.

    อาเจ็กจูหงวนหายออกไปจากบ้านแต่เช้าตรู่ก่อนที่อากงเล็กและหลายชายทั้งสองจะตื่น..คนในบ้านไม่

    มีใครรู้ว่าอาเจ็กไปไหน.....

    .....................ตี๋ใหญ่กับตี๋เล็กเตรียมสิ่งของที่จะนำกลับแผ่นดินสยามใส่เกวียนเตรียมพร้อมเอา

    ไว้...และสองพี่น้องก็ได้มาช่วยอากงเล็กขุดพรวนดินในแปลงสวนครัวและขุดร่องระบายน้ำ...เพื่อให้

    น้ำฝนที่ขังอยู่บนแปลงผักไหลออกจากแปลงผักไป..พร้อมกับช่วยเลี้ยงหมู ไก่ และรอคอยอาเจ็กจน

    ค่ำ....

    .....................อาเจ็กกลับมาถึงบ้านหลังจาก......อากงเล็กและหลานชายทั้งสองกินอาหารเย็น

    เสร็จสิ้นแล้ว..และต่างฝ่ายต่างก็เข้านอนพักผ่อนเอาแรงเพื่อเดินทางในวันรุ่งขึ้น

    .....................ตี๋เล็กนอนไม่หลับ..จึงได้ออกมาเดินดูดาวบนท้องฟ้าที่ลานหน้าบ้าน..ซึ่งคืนนี้ท้อง

    ฟ้าเปิดแม้ว่าจะเป็นฤดูฝน...แต่ไม่มีวี่แววที่ฝนจะตก....ดวงดาวบนท้องฟ้าที่ตี๋เล็กชมดูความงามภายใต้

    ฟ้าเมืองจีน...ได้เห็นแสงดาวส่องสว่างระยิบระยับอยู่ทำให้......ตี๋เล็กนึกถึงคำถามของโนรีที่ถามตน

    เองในคืนวันแห่ศพที่ฮวงจุ้ยวัดโนรีนรารามว่า "ตี๋เล็ก..แล้วขงเบ้งเก่งอย่างไร..เล่าปี่กับน้องจึงต้องไป

    เชิญให้มาร่วมทัพถึงสามครั้ง"....ตี๋เล็กนึกถึงคำถามนี้ของโนรีและคำตอบของตนเองที่ตอบไปว่า

    "ท่านขงเบ้งเก่งเอามาก ๆ เลย..พอเข้าร่วมกับท่านเล่าปี่ก็ทำให้ชนะมาตลอด..ท่านมีปัญญาเป็นเลิศ..

    ก๊กโจโฉ กับ ก๊กซุนกวน..ต่างก็ยำเกรงท่าน........ลื้อมองไปดูบนท้องฟ้าสิ..แล้วลื้อลองนับดวงดาวให้

    อั้วดูว่ามีกี่ดวง"

    ....................ซึ่งเมื่อตี๋เล็กนึกถึงคำถามและคำตอบนี้แล้ว..เขาก็ยิ้มอย่างสุขใจแล้วพูดรำพึงรำพัน

    ขึ้นท่ามกลางค่ำคืนของหมู่ดาวว่า

    ............................."อั้วอยากเปลี่ยนคำตอบที่บอกแก่ลื้อมาเป็น..ท่านขงเบ้งท่านเก่งจนอั้ว

    อยากเกิดเป็นตัวท่านเลยนะอาโนรี...เพื่ออั้วจะได้มีปัญญาแก้ปัญหาให้ได้ทุกเรื่อง...ไม่ว่าปัญหาเกี่ยว

    กับตัวลื้อ..หรือคนในครอบครัวอั้ว...อั้วคงมีคำตอบให้ลื้อได้ทุกเรื่อง..แม้แต่การปลูกต้นแอปเปิ้ล....

    หรือถ้าอั้วไม่ได้เกิดเป็นท่านขงเบ้ง..อั้วก็ขอตอบลื้อว่า..ท่านขงเบ้งเก่งจนอั้วไม่อยากให้ท่านตาย..

    เพราะถ้าท่านขงเบ้งมีชีวิตอยู่..อั้วจะได้ไปถามท่านว่า ต้นแอปเปิ้ลจะปลูกบนแผ่นดินสยามได้อย่างไร

    เพื่ออั้วจะได้ไม่ยุ่งยากอย่างนี้"

    .....................ตี๋เล็กนั่งลงกับแคร่ไม้บริเวณลานหน้าบ้านซึ่งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่..และนอนแหวนดู

    ดาว...พร้อมกับนั่งคิดหาคำตอบเรื่องการปลูกต้นแอปเปิ้ลให้กับโนรี...จนกระทั่งดวงจันทร์เต้มดวง หรือ

    จันทร์เพ็ญเริ่มขึ้นสู่บนท้องฟ้าของยามค่ำคืนสูงขึ้น ๆ..อานุภาพแสงสว่างของจันทร์เพ็ญทำให้......

    แสงดาวที่ตี๋เล็กชมอยู่ถูกแสงสีเรืองรองสีทองกระจายปกคลุมจนแสงดาวริบหรี่ลง....

    .....................ตี๋เล็กจึงหันไปมาพิจารณาจันทร์เพ็ญดวงนั้น..เขาเกิดความรู้สึกมีความสุขเย็น

    จิตเย็นใจ..เหมือนกับตอนที่เขาได้อยู่ใกล้โนรีและจ้องมองนางอย่างไม่ผิดเพี้ยน..เขาจึงรำพึง

    รำพันอย่างเบา ๆ

    ............................."โนรี...จันทร์เพ็ญ....โนรี...จันทร์เพ็ญ.."

    .....................ตี๋เล็กรำพึงรำพันคำนี้....จนกระทั่งม่อยหลับไปบนแคร่นั้นจนถึงรุ่ง

    เช้า.........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2011
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................วันสุดท้ายที่ตำบลไซท้อกุ้ย แขวงเมืองซัวไซ บนแผ่นดินจีน ปี พ.ศ.2462..

    ตี๋ใหญ่และตี๋เล็กร่ำลาอากงเล็กด้วยความรักความอาลัย..โดยมีอาเจ็กนั่งรอบนเกวียน....

    ....................ตี๋ใหญ่และตี๋เล็กมองดูบ้านหลังน้อยที่ตนเองได้อาศัยซุกหัวนอน..ด้วยความเศร้า

    สลด...บ้านที่พวกตนได้เรียนรู้วิถีชีวิตของความยากจนข้นแค้น..เรียนรู้คติธรรมและแนวความคิดและ

    ชีวิตจิตใจของญาติผู้ใหญ่..พร้อมกับรู้จักแผ่นดินจีนในช่วงเวลาหนึ่งเดือน....และจึงหันไปมองท้องทุ่ง

    แปลงผักสวนครัวและอีกหลายที่..ที่อยู่ใกล้เคียงด้วยอยาก"ให้ตนเองจดจำฝังใจ"...ในขณะที่เกวียน

    เริ่มเคลื่อนตัวออกเดินทางด้วยกำลังแห่งม้าสองตัว.......

    ....................อากงเล็กจูเหลียงมองตามหลัง ตี๋ใหญ่และตี๋เล็กที่นั่งอยู่บนเกวียนด้วยความสลด

    หดหู่..ด้วยใจจริงไม่อยากให้หลานทั้งสองจากไป...อันเป็นธรรมดาของผู้เฒ่าทุกคนที่อยากมีลูก

    หลานอยู่ใกล้ชิด..พูดคุยสั่งสอนให้คลายเหงา....

    ....................น้ำตาผู้เฒ่าค่อย ๆไหลอาบแก้ม..พร้อมกับคำพูดรำพึงรำพันขึ้นอย่างแผ่วเบา

    ............................"อั้วคงอยู่ได้อีกไม่นาน..คงไม่มีโอกาสเห็นพวกลื้อทั้งสองคน..ตอน

    เป็นมังกรเหิรฟ้าบนแผ่นดินสยาม...ขอให้พวกลื้อจงอยู่ดีเทอญ"

    ....................อากงจูเหลียงอยู่ในวัยชราโดยมีอายุ 80 ปีแล้ว ผู้เฒ่ารู้ตัวดีว่า. คนวัยชราอยู่ใน

    ภาวะที่อวัยวะทุกส่วนในร่างกายเริ่มชำรุดทรุดโทรม...ส่วนตี๋ใหญ่เพิ่งย่าง 25 ปี ในขณะที่ตี๋เล็กอายุ 14

    ปีเศษ..กว่าสองพี่น้องจะปีกกล้าขาแข้งโบยบินดุจมังกรเหิรฟ้าคงใช้เวลาอีกอย่างน้อยเป็น 10 ปี ซึ่ง

    เมื่อถึงวันนั้นผู้เฒ่าคงหาชีวิตไม่แล้ว....

    ....................ท่าเรือ.......ชาวจีนหลายคนที่จะเดินทางกลับแผ่นดินสยามราวประมาณ

    70 คน ได้มารวมตัวกันเพื่อเตรียมขึ้นเรือเดินสมุทรที่จะต้องเข้าเทียบท่าในวันนี้....

    ....................อาเจ็กได้ขับเกวียนมาส่งตี๋ใหญ่และตี๋เล็กที่ท่าเรือ..พร้อมทั้งยกสิ่งของที่อยู่บน

    เกวียนลง...อาเจ็กยกถุงแป้งสองถุงซึ่งภายในใส่สิ่งใดไว้ไม่มีใครรู้ อาเจ็กยกมาวางไว้ตรงหน้าตี๋เล็ก...

    พลางเอ่ยขึ้น...

    ............................"ตี๋เล็ก..ลื้อจำไว้..ความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นทำให้คน

    ประสบความสำเร็จเสมอ...ความล้มละลายของการดำเนินชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ความท้อแท้

    ใจ"

    ....................ตี๋เล็กฟังอย่างจดจำ...และมองหน้าอาเจ็กอย่างสงสัย..พลางมองถุงแป้งที่อยู่ตรง

    หน้า แล้วเอ่ยถามอาเจ็ก..

    ............................."อะไรน่ะ..อาเจ็ก"

    ............................."ลื้อมองดูมันเฉย ๆ แล้วลื้อจะรู้ได้อย่างไร"

    ....................ตี๋เล็กได้สติทรุดตัวลงนั่งใกล้ถุงทั้งสอง...และแก้เชือกที่รัดปากถุงแรกออกในขณะที่

    อาเจ็ก..ยืนดูด้วยแววตาแสดงออกในเชิงยินดีล่วงหน้า..

    ............................."ลูกแอปเปิ้ล..." ตี๋เล็กพูดพร้อมกับมองอย่างยินดีพอประมาณแล้วจึงเอ่ย

    ถาม..

    ............................."แสดงว่า..เมื่อวานที่อาเจ็กหายไปทั้งวัน..อาเจ็กไปเก็บมันมาให้อั้วหรือ"

    ....................อาเจ็กไม่ตอบแต่ส่งแววตาอันเป็นประกายแห่งความยินดีให้กับหลานชาย

    พลางเอ่ยเชิญชวนขึ้น

    .............................."ลื้อจะไม่ลองแก้ดูอีกถุงหนึ่งหรือ"

    ....................ตี๋เล็กเห็นแววตาของอาเจ็กที่ส่งมาถึง..ทำให้เกิดรู้สึกว่า อาเจ็กคงมีของดีให้ตนจึง

    รีบมัดปากถุงลูกแอปเปิ้ลถุงแรก แล้วแก้เชือกที่มัดปากถุงที่สอง....

    ....................ทันทีที่ตี๋เล็กแก้เชือกมัดออกก็ปรากฎ "ใบไม้และกิ่งไม้เล็ก ๆ โผล่ออกมาจากปาก

    ถุง" ตี๋เล็กค่อย ๆดึงปากถุงรูดลงมาข้างล่าง..ก็"เห็นต้นไม้เล็กต้นหนึ่งปลูกอยู่ในกระถางโดยที่

    ขอบกระถางมีลูกแอปเปิ้ลสีแดงวางอยู่..และที่โค่นต้นไม้เล็กนั้นมีกระดาษสีเหลี่ยมผืนผ้ายาว

    เขียนอักษรจีน"..อ่านได้ความว่า

    ............................"อาตี๋เล็กเอ้ย..ถ้าต้นแอปเปิ้ลที่นี่มันมีวาสนากับแผ่นดินสยาม..มันจะ

    ต้องทำให้ลื้อเห็นเพื่อเอามันไปแผ่นดินสยามอย่างแน่นอน"

    .....................ตี๋เล็กอ่านหนังสือดังกล่าวถึงถึงกับตาลุกวาว..เพราะมันคือตัวหนังสือที่เป็น

    คำพูดของอาเจ็กที่พูดปลอบใจตนเองที่เชิงเขา...ตอนที่กิ่งตอนต้นแอปเปิ้ลที่ตี๋เล็กตอนไว้ไม่

    ได้ผล..ตี๋เล็กไม่เคยเห็นต้นแอปเปิ้ลต้นอ่อน ๆ แต่คาดว่ามันต้องเป็น"ต้นแอปเปิ้ล" แต่เพื่อให้

    แน่ใจจึงถามอาเจ็กอย่างตื่นเต้นและดีใจ..

    ............................."อาเจ็ก..ลื้อตอบอั้วสิ..นี่มันคือ ต้นแอปเปิ้ลใช่ไหม"

    .....................อาเจ็กไม่ตอบตี๋เล็ก แต่ยืนยิ้มให้หลานชายอย่างเอ็นดูแทนคำตอบ..พลาง

    เอ่ยขึ้น

    ............................."ตัวหนังสือมันบอกลื้ออยู่แล้ว"

    .....................ตี๋เล็กหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาอย่างดังด้วยความดีใจจนน้ำตาไหล...น้ำตา

    แห่งความปลาบปลื้มใจและซาบซึ้งใจในผู้เป็นอาของตนไหลออกมา..

    .....................ในเรื่องเกี่ยวกับต้นแอปเปิ้ลนี้..ตี๋เล็กสิ้นหวังกับมันไปแล้ว..แต่อาเจ็กกลับทำ

    ให้เรื่องสิ้นหวังของตี๋เล็กกลับมาเป็นความสมหวังอย่างเหลือเชื่อ...

    ......................อาเจ็กได้เล่าให้หลานชายฟังว่า..อาเจ็กรู้สึกประทับใจตี๋เล็กมากในคืนที่ตี๋เล็ก

    บอกว่า "จะนำเอาดินจากแผ่นดินจีนไปโปรยยังหลุมศพของอากงและอาม้าพร้อมนำไปให้

    เตี่ยกับแม่"

    ......................คนจีนตั้งมากมายที่ไปแผ่นดินสยาม....ไม่มีใครเคยคิดอย่างตี๋เล็ก..เพราะทุกคน

    คิดว่า "ดินเป็นของไร้ค่ามีอยู่มากมายให้ได้เห็น..เหยียบไปที่ใดก็มีแผ่นดินไว้รองรับ

    เสมอ".....แต่ตี๋เล็กกลับคิดได้ว่า "แผ่นดินแต่ละแผ่นดินไม่เหมือนกัน"

    แผ่นดินที่เราเกิดเราอยู่ก็คือ แผ่นดินหนึ่ง...แต่แผ่นดินที่เราไปทำมาหากินก็คืออีกแผ่นดิน

    หนึ่ง...มันไม่อาจทดแทนกันได้ในทางความรู้สึก....ดังนั้นยามไกลแผ่นดินเกิด "แผ่นดินเกิด

    จึงมีค่าเป็นอย่างยิ่ง..ที่เราควรเก็บไว้เป็นที่ระลึกถึง"..เพราะแผ่นดินเป็นสมบัติชิ้นแรกของ

    ชีวิตที่เรายืนอยู่โดยไม่ต้องซื้อ...

    .....................อาเจ็กภูมิใจในตี๋เล็กมาก..จึงคิดหารางวัลตอบแทนให้แก่ตี๋เล็ก..แต่คิดดู

    แล้วคงไม่มีสิ่งใดที่ตี๋เล็กต้องการมากที่สุดนอกจาก "ต้นแอปเปิ้ล"...ดังนั้นอาเจ็กจึงเดิน

    ทางกลับไปที่เชิงเขาที่ต้นแอปเปิ้ลขึ้นอยู่อีกครั้งหนึ่ง...แล้วเก็บผลแอปเปิ้ลใส่ถุงพร้อมกับดูกิ่ง

    ตอนที่ตี๋เล็กตอนไว้อีกครั้งแต่ก็ไม่มีรากงอกขึ้นมา...

    .....................อาเจ็กจึงนึกขึ้นได้ว่า.."ตอนที่เคยมาที่นี่กับเตี่ยของตี๋เล็กตอนเด็ก"...และ

    พบว่า..ต้นแอปเปิ้ลหลายต้นที่ลูกหล่นมาแล้วไม่มีใครเก็บ..ต้นแอปเปิ้ลก็งอกเกิดขึ้นจากลูก

    แอปเปิ้ลนั่นเอง...อาเจ็กจึงพยายามเดินหาลูกแอปเปิ้ลที่ตกพื้นแล้วแตกลำต้นขึ้น...และหาจน

    พบอยู่ต้นหนึ่งที่ลูกมันหล่นไปอยู่ในซอกหินของเชิงเขาแล้วลำต้นได้งอกออกมา...อาเจ็กจึง

    เก็บมันไว้และนำมันใส่กระถางดินและใส่ถุงเตรียมมอบให้ตี๋เล็กก่อนขึ้นเรือ....

    .....................หลังจากฟังเรื่องราวจากอาเจ็กจนจบ..ตี๋เล็กถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไป

    โผกอดอาเจ็กทั้งน้ำตาด้วยความรักและซาบซึ้งในตัวอาเจ็ก..พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"อาเจ็ก..อั้วรักลื้อจริง ๆ"

    .....................อาเจ็กไม่พูดสิ่งใด..นอกจากโอบกอดตี๋เล็กแล้วเอามือลูกหลังอย่างเอ็นดู...

    เป็นความประทับใจของเหล่าชาวจีนที่รู้เรื่องราวของอาและหลาน..ที่ยืนอยู่ ณ ที่นั่น..โดย

    เฉพาะตี๋ใหญ่...

    ....................เรือเดินสมุทรเทียบท่า ตี๋ใหญ่และตี๋เล็กพร้อมชาวจีนกลุ่มใหญ่เดินขึ้นเรือ..

    โดยมีอาเจ็กและญาติของคนจีนที่เดินทางมาส่งญาติเดินทางกลับแผ่นดินสยามยืนส่งอยู่ที่ท่าเรือ.....

    ....................เรือลำใหญ่ค่อย ๆแล่นออกจากท่า..โดยมีสายตาของต๊เล็กและตี๋ใหญ่จ้องมองดูอา

    เจ็กของตนเองที่ยืนโบกมืออยู่...ทั้งสองฝ่ายมีสายตาที่เศร้าสลดและอารมณ์แห่งความรู้สึกที่อาลัย

    อาวรณ์ซึ่งกันและกันเช่นเดียวกับ...ผู้โดยสารบนเรือกับญาติที่มาส่งพวกเขาอีกพวกหนึ่ง...จนกระทั่ง

    เรือค่อย ๆลอยไกลออกไปจากชายฝั่ง...จนอาเจ็กลับจากสายตาไป....ตี๋เล็กจึงเดินมาดูต้นแอปเปิ้ลอีก

    ครั้งหนึ่ง..พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"เจ้าจงไปอยู่แผ่นดินสยามเทอญ..ลองไปชิมดินจากเมืองสยามดู

    บ้าง...และเมื่อเจ้ามีลูก...อั้วจะนำมันมาให้อากงเล็กกับอาเจ็กชิมรส"

    .....................กว่าเรือเดินสมุทรจะไปถึงแผ่นดินสยามเป็นระยะเวลาอีกนาน..ตี๋เล็กดูและ

    ทะนุถนอมต้นแอปเปิ้ลอันเป็นสิ่งที่อาเจ็กมอบให้เขาเป็นอย่างดี.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2011
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............ตอนที่ 67 เสียงสายฝนประสานเสียงขลุ่ย............



    ....................ย้อนมาที่ฤดูฝนที่เมืองสุราษฏร์ธานี ปี พ.ศ.2462 ...โนรีนั่งอยู่ริมหน้าต่าง

    บ้าน..มองดูสายฝนที่กำลังตกพร่ำ ๆ ตั้งแต่เช้าจนบ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด..เมล็ดพันธุ์แอปเปิ้ลที่เพาะ

    ปลูกไว้ในดินแต่ละชนิด....ถูกยกขึ้นจากเรือนเพาะชำมาไว้บนบ้านด้วยกลัวน้ำฝนจะสาด....

    ....................สายฝนโปรยปรายจากฟากฟ้าหล่อเลี้ยงดิน..ต้นไม้และพิชผักบนแผ่นดินเมือง

    สุราษฎร์ธานีแห่งสยามประเทศให้เขียวชอุ่มชุ่มชื่น...อันเป็นธรรมชาติของต้นไม้และพืชทั่วไปที่ต้อง

    การน้ำในการลำเลียงแร่ธาตุและอาหารสู่ต้น..

    ....................แต่ต้นแอปเปิ้ลนั้นแตกต่างไปจากต้นไม้ชนิดอื่นบนแผ่นดินสยาม..ด้วยเหตุเป็น

    ต้นไม้เมืองหนาว...แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะรับน้ำเพื่อลำเลียงแร่ธาตุและอาหารสู่ต้นเช่นกัน....แต่น้ำ

    ปริมาณเท่าใดเล่า..จึงจะเหมาะสมกับต้นแอปเปิ้ลหรือเมล็ดพันธุ์แอปเปิ้ล

    "ผู้ไม่รู้ย่อมกังวลในการเพาะปลูก"....

    ....................เหตุที่ฝนตกอยู่เช่นนี้..ทำให้สามแม่ลูกมิได้ออกจากบ้านไปไหน..บันตานั่งมองดู

    สายฝนผ่านทางหน้าต่างของห้องครัว...ส่วนโมลีนั่งมองดูสายฝนที่ระเบียงหน้าบ้านใกล้กับนอกชาน

    เรือน......

    ....................สามแม่ลูกนั่งมองสายฝนเหมือนกันทำให้เกิดความคิดขึ้นมาในสมองมากมาย...

    ต่างคนต่างคิด...แต่สิ่งที่สามแม่ลูกคิดเหมือนกันอยู่มีเพียงอย่างเดียว คือ "อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้

    เมล็ดแอปเปิ้ลไม่งอกออกมา..และอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เมล็ดแอปเปิ้ลงอกออกมา"..นั่นคือ..

    หลักเหตุผลที่สามแม่ลูกกำลังขบคิดกันอยู่..

    .....................โนรีนั่งจ้องมองเมล็ดแอปเปิ้ลบางส่วนที่อยู่ในแก้ว..ที่ถูกวางไว้บนโต๊ะข้างริม

    หน้าต่างอย่างเรียบเฉย...ก็ให้คิดถึงคนอยู่สองคนที่คอยช่วยเหลือนาง..จึงรำพึงรำพันอยู่ในใจคน

    เดียว...

    ............................"พี่เณร ตี๋เล็ก เมื่อไรจะกลับมาช่วยกันสักที"

    .....................เสียงฟ้าร้องดังกังวานลากเสียงยาว

    ............................"ครื้น..........ครื้น.........".....

    .....................โนรีมองขึ้นไปบนท้องฟ้า..เห็นสายฟ้าแล้ปแปล๊บวิ่งเป็นสายไปมา...นางหยุดคิด

    และตั้งใจฟังเสียงฝนตกด้วยคิดว่า "ท่วงทำนองของฝนตกช่างประสานกันเหมือนเสียง

    ดนตรี"....โนรีมีอารมณ์แจ่มใสขึ้นเมื่อคิดอะไรออกมาได้...นางเดินไปหยิบขลุ่ยขึ้นมาและกลับมานั่ง

    ที่เดิม พลางเอ่ยขึ้น...

    .........................."ฝนเอ๋ย..เรามาประสานเสียงดนตรีกล่อมโลกด้วยกันเถอะ"

    .....................ว่าพลางนางก็บรรเลงเพลงขลุ่ยของนางประสานเสียงเข้ากับเสียงสายฝนตก

    อย่างกลมกลืน ณ ที่นั้น...ในท่ามกลางเสียงฝนตกพร่ำ ๆ หากใครตั้งใจฟังจะได้ยิน..เสียงพลิ้วแผ่ว

    ของเสียงขลุ่ย..ที่มีจังหวะของฝนตกประคองบทเพลง..พร้อมกับเสียงสายฝนนั้นนอกจากจะมี

    จังหวะของมันในตัวแล้ว...มันก็กลับมีบทเพลงอันไพเราะของมันอยู่ในสายฝนด้วย..."มันคือ

    เสียงดนตรีแห่งธรรมชาติ"...

    ....................เสียงเพลงขลุ่ยกับเสียงเพลงของสายฝนนั้น....เหมือนกับจะพันเป็นเกลียว

    แห่งเสียงดนตรี..เสียงฟ้าร้องคำรามร่วมประสานเป็นจังหวะ....อันเป็นเสียงดนตรีที่ประสาน

    เข้ากันไพเราะอย่างจับใจ.......ซึ่งยากที่ผู้ใดจะได้ยินได้ฟัง "เสียงขลุ่ยที่มากับดนตรีแห่ง

    สายฝน" นี้ได้....



    ........................."ฝนเอ๋ย..หลั่งจากฟ้า..ข้ามองหา..คลองเก็บฝน..มองหาทั่วสกล..ใย

    น้ำฝนไร้ซึ่งคลอง..ฝนเอ๋ย..ไร้เหตุผล..ข้าดั้นดล..คอยจ้องมอง..เจ้านั้นไม่มีคลอง..สิ่งรองรับ

    คือสิ่งใด..หรือฟ้าคอยอุ้มเจ้า..มาตกใส่เรา..มาตกใส่เรา..ให้รำคาญใจ..แต่ฟ้าอุ้มได้อย่าง

    ไร..ในเมื่อฟ้าไม่มีตน..อัศจรรย์หรือสายฝน..แอบซ่อนตน..ไร้ร่างเงา..แต่ผู้คนไม่ซบเซา..

    ด้วยเจ้านั้นยังมีดี..เล่นดนตรีให้จับใจ..เราเล่นตามเจ้าได้..หาความหมายในใจกัน..เจ้านั้นมี

    ใจหรือ..หากฝึกปรือให้ใจตรงกัน..ชีวิตเราคงสุขสันต์..เล่นดนตรีทั้งวัน..แสนสุข

    ใจ..."............



    ....................ในขณะที่โนรีเป่าขลุ่ยประสานเสียงเพลงกับสายฝน..โมลีซึ่งนั่งดูสายฝนอยู่ที่

    ระเบียงบ้าน..ได้ยินเสียงขลุ่ยที่โนรีเป่าแผ่วแว่มาประสานเสียงกับสายฝนสลับกันไปมา..และพันกันเป็น

    เกลียวเสียงเพลงอย่างน่าฟัง...โมลีเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจและเด็กน้อยก็ยิ้มขึ้นมา...พลางเอ่ยขึ้นกับตน

    เองอย่างแผ่วเบา

    ............................"โนรีเอ๋ย..หนูบอกแล้วไงว่าเรื่องของวาดภาพมันต้องรอเวลา

    และมันก็ได้เวลาของมันแล้ว"

    .....................เด็กน้อยเอ่ยพร้อมกับรีบเดินไปหยิบกระดาษวาดภาพและดินสอแลเงาขึ้นมานั่งที่

    เก่า..และบรรจงวาดภาพของโนรีซึ่งกำลังนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องนอน..พร้อมกับวาดรูปของ

    สายฝนที่กำลังตกลงมาจากฟากฟ้า...และท้องฟ้าที่กำลังแล้บแปล๊บปล๊าบอยู่....นางตั้งใจวาดขึ้น

    อย่างสวยงามไม่เฉพาะวาดภาพอย่างเดียวเท่านั้น..แต่นางยังสามารถเขียนหาความหมายของ

    เสียงขลุ่ยที่โนรีเป่า.......และบันทึกไว้เป็นบทเพลงอย่างน่าอัศจรรย์...และ"ภาพวาดแห่งบท

    เพลงนี้แหละกำลังจะเริ่มเกิดเป็นตำนานสืบทอดบทเพลงแห่งเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ"..ที่ให้

    คนชั้นลูกหลานได้ศึกษาหาปริศนาจากภาพเพื่อเรียนบทเพลงจากภาพ....

    ....................เสียงขลุ่ยที่ผู้เป่าไม่สามารถจดจำบทเพลงได้...แต่เด็กน้อยวัย 9 ขวบเศษ

    สามารถจดจำได้อย่างน่าทึ้ง......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A4764877-17.jpg
      A4764877-17.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.6 KB
      เปิดดู:
      48
    • rain-54.gif
      rain-54.gif
      ขนาดไฟล์:
      210 KB
      เปิดดู:
      118
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      158
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2011
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .......ตอนที่ 68 วิถีชีวิตนักบวชกับชีวิตฆราวาสของเณร......



    .....................เมืองปัตตานี พ.ศ.2462 อันเป็นฤดูฝนเช่นเดียวกับที่เมืองสุราษฎร์ธานี...มี

    ฝนตกจนทั่วฟ้าเมืองปัตตานี...เป็นเวลาเดียวกับสองพี่น้องตระกูล "นรา" คนหนึ่งกำลังเป่าขลุ่ย

    ประสานเสียงดนตรีกับ.....ดนตรีแห่งสายฝนที่โปรยปรายมาจากฟากฟ้า.....อันเป็นดนตรีที่ประสานกัน

    ได้เสนาะเพาะพริ้งอย่างจับใจ....ส่วนอีกคนหนึ่งก็กำลังจดจำท่วงทำนองของเสียงขลุ่ยและดนตรีแห่ง

    สายฝน...พร้อมทั้งตั้งใจวาดภาพของ.....

    "ผู้ที่กำลังเป่าขลุ่ย"อยู่......

    .....................ป่าไม้เมืองปัตตานี พี่เณรกำลังนั่งหลบสายฝนอยู่ใต้เกวียนที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่

    กับ "ภูผา"ซึ่งเป็นลูกชายของ "ลุงสี"และเป็นหลานของพ่อท่านเช่นเดียวกับตน....โดยมีลุงสีและคน

    งานของลุงสีราว 7 - 8 คน กำลังเลื้อยไม้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้าง ๆไม้แปรรูปไม้ใหญ่ที่ตัดโค่นลงมาขน

    ใส่เกวียน...เพื่อเดินทางนำไปให้พ่อท่านที่วัดโนรีนรา เมืองสราษฎร์ธานี.......

    ....................ท่ามกลางสายฝนที่กำลังตกอย่างไม่ลืมหูลืมตามาตลอด...พี่เณรกลับได้ยินเสียง

    เพลงประหลาดดังแว่ว ๆ เข้ามาในส่วนลึกของใจ..เสียงนั้นมันคล้ายเสียงขลุ่ยที่บรรเลงพันเป็น

    เกลียวเพลงกับสายฝนเป็นจังหวะท่วงทำนองกลมกลืนกัน..."มันคือ อานุภาพของขลุ่ยฟ้าผ่า

    หรือแรงแห่งความคิดถึงกันแน่"..ที่ทำให้พี่เณรได้ยินเสียงเพลงขลุ่ยที่โนรีเป่าขึ้นจากแดนไกล

    เมืองสุราษฎร์ธานีจนมาถึงป่าใหญ่เมืองปัตตานี....

    .....................เณรเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ และ ห้วงแห่งความคิดก็ปรากฏภาพ "ของโนรีเข้ามาอยู่

    ในใจ" จึงได้รำพึงรำพันเรียกชื่อขึ้นเบา ๆ......... "โนรี".............

    .....................แม้จะเป็นเสียงที่แผ่วเบาแต่มันทำให้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆเณรได้ยินอย่างถนัด..จึงได้

    หันมามองคนพูดพร้อมกับเอ่ยขึ้น

    ............................"ใครกันเณร"

    ............................"ไม่มีอะไรหรอกภูผา...ข้าเพียงแต่ได้ยินเสียงขลุ่ยดังแว่วมากับสายฝน"

    ............................"เสียงขลุ่ย" ภูผาเอ่ยทวนคำพร้อมกับลองเงี่ยหูฟังเช่นเดียวกับเณร แต่เขาก็

    ไม่ได้ยินเช่นเดียวกับเณร

    ............................"หูเจ้าแว่วไปเองหรือเปล่าเณร..ข้าไม่เห็นได้ยินเลย"

    ....................เณรหลับตาแล้วยิ้มให้กับญาติผู้พี่พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"บางทีข้าอาจคิดถึงน้องสาวที่ชอบเป่าขลุ่ยที่ข้าดูแลนางอยู่..อาจทำให้หู

    ฝาดไปก็ได้"

    ....................เณรและภูผาหยุดสนทนา...เมื่อลมได้พัดเอาสายฝนสาดเข้ามาใต้เกวียนที่พวกตน

    นั่งอยู่.....จนต้องถอยหลบกันพัลวัน....




    .....................ฝนเริ่มซาเม็ดลงและหยุดตกเอาตอนเกือบเย็น..ลุงสีสั่งให้ลูกน้องซึ่งเป็นทั้ง

    ญาติและคนบ้านเดียวกัน..ให้นำเกวียนจำนวน 6 เล่มที่นำมาขนไม้ในป่ามาจอดเรียงกันใต้ผ้าใบผืน

    ใหญ่ที่กางไว้ตอนตัดไม้.เลื้อยไม้อันเป็นสถานที่เดียวที่ไม่เปียกน้ำฝนเหมือนดินบริเวณอื่น.......

    .....................ลุงสีพี่ชายคนโตของพ่อท่านออกคำสั่งในฐานะหัวหน้ากลุ่มที่นำคนออกมาหาไม้ให้

    พ่อท่านเพื่อนำขนไปเมืองสุราษฎร์ธานี

    ............................"เดี๋ยวหลวงปอกับเจ้าดำ ขยับเกวียนเสร็จแล้วกางเต็นท์ที่จะนอนใต้

    ผ้าใบนี้เลย...ส่วนเณรกับภูผาเตรียมหุ่งหาอาหารได้แล้ว..คนอื่นก็ขนไม้มากองเรียงไว้ข้าง ๆ

    เกวียนแล้วเอาหญ้ามาให้ม้ากิน"

    ...................."หลวงปอ" คือ ชายหนุ่มที่ผ่านการบวชเรียนแล้ว... ชื่อคือ "ปอ"..แต่เพราะบวช

    เรียนได้หลายพรรษา เมื่อสึกออกมาทางภาคใต้จะเรียกคำว่า "หลวง"นำหน้าชื่อเสมอ....เช่นเดียวกับ

    คำว่า"ทิด"ในภาคกลางก็หมายถึงผู้ที่บวชเรียนเอาพรรษาแล้วเมื่อสึกออกมาจะเรียก"ทิด"นำหน้าชื่อ

    เสมอ......

    ....................ซึ่งหลวงปอและเจ้าดำก็คือ "ญาติชั้นหลานของลุงสี"...รวมทั้งลูกน้องอีก 4 คน คือ

    "เกี่ยว" , "เดี่ยว" , "ชาญ" , และ "มนู" ต่างก็เป็นญาติและคนในหมู่บ้านที่ลุงสีขอให้มาช่วยซึ่งทั้ง

    หมดต่างก็มีอายุอยู่ระหว่าง 20-30 ปี ยกเว้น เณรและภูผาซึ่งอยู่ในวัย 16 ปีเศษเหมือนกัน.....

    ....................ลุงสีพาพรรคพวกมาตัดไม้ในป่าหลายวันแล้ว..โดยได้เตรียมเสบียงอาหารที่หลับ

    นอนมาพร้อมสรรพ...โดยกะว่าเมื่อตัดไม้และแปรูรูปไม้เสร็จ ก็จะลำเลียงขนไปที่เมืองสุราษฎร์เลยโดย

    ไม่ย้อนกลับไปหมู่บ้านอีก.....

    ....................เต็นท์ถูกกางขึ้น 3 หลัง..โดยนอนกันเต็นท์ละ 3 คน คือ ลุงสี ภูผา และเณร.. 1

    หลัง,...หลวงปอ ดำ และมนู.. 1 หลัง..และเกี่ยว เดี่ยว และชาญ.. 1 หลัง..จะมีกองไฟใหญ่จุดไว้ตรง

    กลาง..โดยเต็นท์ทั้งสามหลังจะหันหน้าเข้าหากองไฟ...มียามผลัดละ 2 คน..ที่ถืออาวุธปืนคอยนั่งเฝ้า

    กองไฟและระวังสัตว์ร้ายในป่าเช่น เสือ เป็นต้น...

    ....................เณรและภูผาผู้มีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มถูกจัดให้ทำงานเบา คอยหุงหาอาหารและยก

    ข้าวของ พร้อมทั้งหาน้ำให้แก่คนในกลุ่ม.....

    ....................หน้ากองไฟใหญ่ขณะที่เณรกำลังยกหม้อข้าวดงกับไฟอยู่(อุ่นไฟ) ภูผาได้ถามเณร

    ด้วยสงสัยว่า..ลักษณะของเณรน่าจะเป็น.....นักบวชเหมือนหลวงอา(พ่อท่าน)ของตน...

    ............................"เณร..เจ้าบวชอยู่กับพ่อท่านดี ๆ แล้วทำไมจึงสึกออกมา"

    ........................."แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร" เณรย้อนถามความคิดของภูผาที่มีต่อตน

    ............................"ข้าไม่ใช่ตัวเจ้า..จะตอบให้ถูกเหมือนเจ้าตอบได้อย่างไร"

    ........................."แล้วเจ้าลองคิดดูสิว่า ถ้าข้ายังบวชอยู่..ข้าจะขับเกวียนรอนแรมมาหาลุงสีพ่อ

    เจ้าได้อย่างไร"

    ........................."มันก็จริงอย่างเจ้าว่า..เป็นคนธรรมดาสามารถรอนแรมไปไหนได้ แต่นักบวช

    ทำไม่ได้...แต่เหตุใดที่ทำให้เจ้าอยากมารอนแรมอย่างคนธรรมดาเล่า"

    ........................."เจ้ารู้ไหม..เวลาที่เราเป็นนักบวชเราจะศึกษาและปฏิบัติธรรมใช้ชีวิต

    อย่างสงบไม่วุ่นวายกับใคร...ข้ามีชีวิตเช่นนี้อยู่อย่างเดียว....แต่ข้าไม่เคยใช้ชีวิตอย่างคน

    ธรรมดามาก่อนเลย...ข้าจึงอยากลองมาใช้ชีวิตเช่นนี้..และเมื่อข้าได้ศึกษาชีวิตทั้งสองแบบ

    แล้ว...ข้าจึงจะรู้คำตอบเองว่า ชีวิตแบบใดเป็นชีวิตที่ดีและแท้จริงแล้ว..ข้าควรมีชีวิตแบบใดที่

    เหมาะสมกับตัวข้า"....

    ....................เณรอธิบายทำให้ภูผามองเห็นภาพอันเป็นจริงตามเณรเอ่ย..เพราะการใช้ชีวิต

    แบบหนึ่งเดียวก็จะรู้เพียงนั้น..แต่ถ้ามาใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งให้ต่างจากเดิม..ก็จะเห็นข้อเปรียบ

    เทียบที่ทำให้รู้ว่า ชีวิตแบบใดเป็นชีวิตที่ดีและเหมาะสมกับเรา...แต่ภูผาเองเขาไม่ชอบชีวิตที่

    สงบ.เช่น นักบวชเพราะเขาต้องการทำอะไรหลาย ๆอย่างบนชีวิตทางโลกมากกว่าทาง

    ธรรม...

    ....................เขาจึงเอ่ยแนะออกความเห็นตามความคิดของเขาบ้าง

    ............................."เจ้าอ้างว่าอยากใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา..เพื่อศึกษาเป็นแนวทางใน

    การเลือกใช้ชีวิตระหว่างการเป็นนักบวชกับคนธรรมดา...แต่เจ้าหารู้ไม่ว่าเมื่อเจ้าใช้ชีวิตเช่น

    คนธรรมดาแล้ว..เจ้าไม่มีโอกาสได้เลือกอีกแล้ว"

    ............................."ทำไม" เณรย้อนถามด้วยความฉงน

    ............................."ความรักไงเณร..หากเจ้าไม่มีผ้าเหลืองของนักบวชสกัดการเข้า

    ใกล้ผู้หญิงเอาไว้...ไม่มีศีลหรือวินัยของพระข่มใจเอาไว้..ข้าเชื่อว่าวันหนึ่งเจ้าต้องมีความรัก

    และสิ่งนี้จะเป็นห่วงคล้องคอเจ้าไม่ให้กลับไปเป็นนักบวช...ชีวิตของเจ้าก็จะไม่มีโอกาสได้

    เลือกอย่างที่เจ้าพูด"...

    .....................ภูผาเอ่ย..ได้จี้ใจดำของเณรอย่างตรง ๆ เพราะสิ่งที่เณรศึกษาทางโลก

    อย่างคนธรรมดานี้..มันกำลังดึงดูดให้เขาได้เรียนรู้ความรักที่กำลังเกิดขึ้นภายในใจของเขา

    แล้ว..เณรก้มหน้าครุ่นคิดตามคำพูดของภูผา...และก่อนที่ทั้งคู่จะสนทนาต่อไป...ลุงสีและ

    พรรคพวกที่กำลังโหยหิวก็พากันมาเอ่ยทวงข้าวและอาหารกินในมื้อเย็นนี้.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2011
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................คบเพลิงถูกติดตั้งไว้ที่เกวียนรอบเต็นท์ เพื่อให้แสงสว่างรอบนอกในยามค่ำคืน

    สำหรับยาม เช่น หลวงปอผู้มีอาวุโสรองจากลุงสี กับ เจ้าดำ ภายในมือถือปืนลูกซองยาวคนละกระบอก

    อันเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในสมัยนั้น...ทั้งคู่เดินไปมาสอดส่องดูสัตว์หรือผู้แปลกปลอมมากวนใจยามค่ำ

    คืน......

    .....................รอบกองไฟใหญ่ที่อยู่กลางระหว่างเต็นท์..ยังคงมีลุงสี มนู และ ชาญ นั่งดื่มเหล้า

    กันอยู่....โดยที่ เกี่ยวและเดี่ยวเข้านอนพักผ่อนเพื่อจะต้องมาเดินยามต่อจากหลวงปอกับเจ้าดำ.....

    ส่วนเณรและภูผาที่อายุน้อยและไม่เคยใช้อาวุธปืนมาก่อนได้สิทธิพิเศษไม่ต้องเดินยามจึงหลับเป็นตาย

    ตั้งแต่หัวค่ำ.....

    .....................ลุงสีเอ่ยเตือน มนูและชาญ ที่อยู่ร่วมดื่มเหล้ากัน.ก่อนกระดกกะลาใส่เหล้าเข้าปาก

    และส่งต่อให้มนู

    ............................."พวกเอ็งดื่มให้หายอยากนะโว้ย..หากถึงวัดพ่อท่านเมื่อไรห้ามกินเหล้าเด็ด

    ขาด"

    ............................."พ่อท่านห้ามเด็ดขาดเลยหรือลุง" ชาญเอ่ยถามลุงสี

    ............................."ท่านไม่ได้ห้าม..แต่ท่านขอร้อง"

    ............................."ทำไม"

    ............................."ก็ท่านเหมือนครูสอนธรรมให้กับชาวบ้าน..และชาวบ้านก็เคารพท่านมาก..

    เราเป็นญาติกับท่านจึงต้องทำให้เป็นตัวอย่าง ..วัดไม่ใช่ที่ดื่มเหล้า"

    ............................."มันก็จริงอย่างลุงพูด...แล้วดื่มนอกวัดได้ไหม" มนูครวญด้วยน้ำเสียงคน

    เมา

    ............................."ดื่มนอกวัดก็ต้องเมา..เมาแล้วก็ต้องเข้าไปนอนในอาณาเขตวัด..

    มันก็น่ารังเกลียดอยู่ดีนั่นแหละ"

    ............................."เป็นอันว่า..ก่อนถึงวัด.ต้องกินเหล้าให้หมดทุกไห"

    ............................."เออ..ไม่หมดก็ต้องเททิ้ง" ลุงสีตอบมนูทำให้คนฟังสะดุ้ง

    ............................."อย่าเชียวนะลุง..ข้าหมักของข้ามาลำบาก..ไม่ให้เอาเข้าวัดก็ฝากคนบ้าน

    ใกล้เรือนเคียงที่เจ้าเณรมันรู้จักก็ได้..เวลากลับค่อยไปเอา" มนูต่อรอง

    ............................."จริงอย่างเจ้ามนูมันว่านะลุง..แล้วทำไมลุงเกรงใจอะไรพ่อท่านหนักหนา..

    ท่านเป็นน้องชายของลุงนะ" ชาญเอ่ยสนับสนุนมนูแล้วถามกลับด้วยสงสัย

    ............................."ถึงท่านเป็นน้องข้า..แต่ท่านมีศีลเหนือกว่าข้า..ต้องยกท่านไว้ในที่

    สูงกว่าข้า"

    .....................ชาญผงึกหน้ารับรู้คำตอบ..ในขณะที่มนูยังครวญต่อ

    .............................."แล้วตกลง..พวกเรา..จะไปอยู่วัดพ่อท่าน...กันกี่วัน"

    .............................."อาจจะเดือนหนึ่ง"

    .....................ชาญและมนูมองหน้ากันอย่างตกใจ แล้วจึงทวนคำพูดของลุงสีอย่างพร้อมกัน

    .............................."เดือนหนึ่ง"

    .............................."นี่พวกข้าต้องอดเหล้าเป็นเดือนเลยหรือนี่" ชาญชิงพูดก่อนมนู

    ....................ลุงสียิ้มอย่างสะใจพร้อมกับเอ่ยอย่างดัง

    .............................."เออสิวะ"






    ................ตอนที่ 69 กล้วยไม้ป่าพันธุ์เณรีนรา..............






    ....................แปดวันต่อมาไม้ที่ถูกตัดไว้ได้ถูกเลื้อยแปรรูปและขนขึ้นเกวียนทั้งหมด..

    พร้อมเสบียงและสัมภาระ....เณรและภูผาขับเกวียนเล่มที่บรรทุกเสบียงและสัมภาระพร้อมไหเหล้านำ

    หน้าขบวน...เดินทางออกจากป่าเมืองปัตตานีมุ่งหน้าสู่เมืองสุราษฎร์ธานี

    โดยมี ลุงสี หลวงปอ ดำ เดี่ยว เกี่ยว ชาวญ และ มนู .....ต่างก็ขับเกวียนบรรทุกไม้ตามมาอีก 5

    เล่ม....

    ....................การเดินทางจากป่าไม้เมืองปัตตานีสู่เมืองสุราษฎร์ธานี เป็นความยากลำบากอย่าง

    มาก..เพราะต้องผ่านป่าทึบ และเส้นทางที่ไม่เอื้ออำนวยอันเต็มไปด้วยหลุมบ่อ..ทางขรุขระ..ดังนั้นไม้

    ที่บรรทุกมาจึงต้องใช้เชือกมัดให้แน่นหนา...หากเชือกหย่อนเพียงเล็กน้อยไม้ก็คงกระด่อนออกจาก

    เกวียน...

    ....................แต่ในความยากลำบากของการเดินทาง..ก็สร้างความสุขใจให้แก่ผู้เดินทาง..ที่ได้

    ชมธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพร..สัตว์ป่าไม้ป่า กล้วยไม้ และดอกไม้สวยงามอยู่บนต้นไม้ไร้ผู้คนเด็ด

    ไปเชยชม....

    ....................เณรขับเกวียนนำหน้าพรรคพวก มองดูต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง..ที่กลางต้นของมันราว 5

    เมตรมีกล้วยไม้ป่าพันธุ์หนึ่งกำลงออกดอกสีม่วงดูแล้วงามสะกิดใจ จนเขาต้องหยุดเกวียน

    ทันที...ทำให้ขบวนเกวียนที่ตามมาต้องหยุดกระทันหัน..

    ............................"อะไรกันเณร" ภูผาเอ่ยถามอย่างสงสัย

    .....................แต่ยังไม่ทันที่เณรจะตอบก็ได้ยินเสียงดังของลุงสี ดังสำทับมาจากด้านหลังอย่าง

    ดัง

    ............................."อะไรของพวกเอ็งวะ..นึกจะหยุดเกวียนก็หยุดเอาดื้อ ๆ"

    ............................."ขอเวลาเดี่ยวเดียวก่อนลุง" เณรตอบคำถามของคนถามที่สองก่อน

    คนถามที่หนึ่ง..เพราะผู้ที่ถามที่สอง คือ หัวหน้ากลุ่ม แล้วจึงหันมาส่งสายตาบุ้ยใบกับภูผาที่

    นั่งข้างให้มองตามเขา...

    .....................ภูผามองตามตำแหน่งที่เณรส่งสายตามองไป..เขาก็เห็นกล้วยไม้ป่าต้นนั้น

    ทันที จึงอุทานขึ้น

    .............................."กล้วยไม้ป่า" และหันกลับมามองหน้าเณร เพื่อฟังความ

    .........................."เจ้าถือเชือกม้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน..เดี๋ยวข้าจะปีนขึ้นไปเอา"

    .....................เณรพูดพร้อมกับกระโดลงจากเกวียน และวิ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่พร้อมกันปีน

    ขึ้นไปทันที...เพียงไม่กี่อึดใจเณรก็ได้สิ่งที่ต้องการมาอยู่ในมือ...และนำกลับมาที่เกวียน

    ทันที....

    .....................กล้วยไม้ป่าที่เณรเอาลงมาทั้งต้นนั้น มันคือ "แคทรียา" ที่นักเลี้ยงกล้วยไม้

    ในปัจจุบันนิยมปลูกและให้สมญามันว่าเป็น "ราชีนีแห่งกล้วยไม้"

    แต่ในปี พ.ศ.2462 นั้นมันยังคงเป็น"กล้วยไม้ป่าที่ไร้ชื่ออยู่"............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • c_5_s.jpg
      c_5_s.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.2 KB
      เปิดดู:
      154
    • c_6_s.jpg
      c_6_s.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.2 KB
      เปิดดู:
      149
    • s_z003.jpg
      s_z003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.6 KB
      เปิดดู:
      43
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ขบวนเกวียนเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง..ภูผามองหน้าเณรแล้วเอ่ย

    ............................."เจ้าเอากล้วยไม้ป่าไปทำไม"

    ............................."ไปฝากน้องสาวข้า"

    ............................."โนรี" ภูผาเอ่ยดักคอทำให้เณรหันไปมองด้วยสายตายอมรับ..และรอภูผาเอ่ยต่อ

    ............................."นี่แหละ คือ บทเรียนทางโลกที่มันจะฝังใจเจ้าไปจนวันตาย"

    ............................."ข้าไม่เข้าใจ"

    ............................."เจ้ากำลังรักโนรีน้องสาวเจ้า"

    .....................เณรรีบหันกลับไปมองทาง .....เพื่อไม่ต้องการให้ผู้พูดรุกตนเองจน

    "จนมุม" ..ทำให้ภูผารับรู้อาการ..จึงไม่พูดต่อให้คนฟังกลุ่มใจ แต่ได้เอ่ยเป็นคำเตือนก่อนจะหุบปากสนิท

    ............................."นี่แหละห่วงคล้องคอเจ้า...ที่ทำให้เจ้าไม่มีโอกาสเลือกวิถีชีวิตของเจ้า"......




    ....................หลายวันต่อมา..ขบวนเกวียนเข้าเขตเมืองสุราษฎร์ธานีในยามบ่าย..เณรนำขบวน

    มาจนถึงปากทางเข้าวัด...และกระโดลงจากเกวียนเดินตรงไปที่ลุงสีซึ่งนั่งอยู่เกวียนเล่มสอง

    ............................."ลุงสี..พาพวกของเราเข้าไปหาพ่อท่านก่อน..เดี๋ยวข้ากับภูผาจะเลยเอาไห

    เหล้าไปฝากที่บ้านน้าบันตาก่อน"

    ............................."นี่แสดงว่า..เจ้ามนูมันสั่งเสียเอ็งไว้" ลุงสีพูดพร้อมกับชำเรืองไปที่เกวียนมนู

    ............................."ใช่แล้วลุง"

    ............................."แหม..ไอ้พวกนี้..อดเหล้าแค่เดือนเดียวเหมือนกับจะลงแดงตาย"

    ลุงสีบ่นอย่างดังเพื่อให้ได้ยินถึงคนสั่งเณร..แต่เป็นลีลาที่ไม่ได้แสดงอาการจริงจัง..พร้อมกับเริ่มกระตุก

    เชือกม้าให้เดินเข้าวัดทันที...

    .....................ครู่ต่อมา..เณรขับเกวียนเข้ามาจอดที่เชิงบันไดบ้านของบันตา พลางเอ่ยเรียกเจ้า

    ของบ้านอย่างดัง

    ............................"น้าบันตา..น้าบันตา"

    .....................เสียงเรียกดังกล่าวทำให้ผู้อยู่บนเรือนทั้งสาม รีบเดินออกมาด้วยความดีใจปน

    ตื่นเต้นด้วยจำเสียงได้ว่า "เป็นเสียงที่เคยได้ยินและหายไปนาน"....โมลีเดินกึ่งวิ่งนำหน้าแม่และพี่สาว

    มาที่บันได และตะโกนเรียกแขกผู้มาเยือน

    ............................"พี่เณร ..พี่เณรมาถึงเมื่อไร"

    .....................ระหว่างตะโกนพูดโมลีก็ได้สังเกตเห็นหนุ่มแปลกหน้าที่นั่งอยู่ข้างเณร..

    ก็ให้สงสัยและแปลกใจว่า "เขาคือใคร มาจากไหน"

    .....................สักครู่ แม่และพี่สาวก็เดินมาสมทบกับโมลี.....พร้อมกับมองแขกผู้มาเยือนอย่าง

    ยินดี....เณรยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นคนที่ตนเองกำลังคิดถึงมาอยู่บื้องหน้า..ภูผาเหลือบมองขึ้นไป.......

    เพียงแค่เห็นโนรีก็ให้ตะลึงจ้องมองโดยไม่วางตาและก็รู้สึกแปลกใจว่า "ผู้หญิงคนนี้ทำไมจึงมี

    เสน่ห์ดึงดูดใจตนจนไม่อาจวางสายตาได้"...

    .....................เณรหันมาทางภูผาแล้วเอ่ยแนะนำ

    ............................."นั่นคือหน้าบันตา..น้องโนรี และน้องเล็กโมลี"

    .....................หลังจากพูดก็หันมาทางสามแม่ลูก แล้วเอ่ยแนะนำต่อ

    ............................."นี่คือ ภูผาหลานพ่อท่าน ญาติผู้พี่ของข้าเอง"

    ......................ภูผายกมือไหว้น้าบันตาและพยักหน้าให้กับสองพี่น้อง

    .....................เณรและภูผากระโดลงจากเกวียน ภูผาเดินไปยกไหเหล้าที่ท้ายเกวียน เณรจึงเอ่ย

    ต่อขึ้นกับน้าบันตา

    .............................."ลุงสี ..พี่ชายพ่อท่านไม่ให้เอาเหล้าเข้าไปในวัด..พวกที่มาด้วยกันจึงขอ

    ให้ข้าเอามาฝากน้าบันตาไว้ก่อน"

    .............................."เณรเอาไว้ที่ใต้ถุนก็แล้วกัน"

    .............................."เดี๋ยวพวกหนูลงไปช่วยขน" โมลีเอ่ยและเดินลงบันไดโดยมีโนรีตามมา..

    ส่วนบันตาก็ขอตัวหันกลับไปทำงานในบ้านต่อ...

    .....................ทั้งสี่ช่วยกันขนไหเหล้ามาตั้งวางไว้ที่ใต้ถุนบ้านจนหมด.........ซึ่งในระหว่างขน

    ไหเหล้านี้ภูผาก็ลอบชำเรืองโนรีอย่างบ่อยครั้ง........จนเณรสังเกตเห็น พร้อมกับลอบยิ้มให้

    กับภูผาแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา..เพื่อไม่ให้สองพี่น้องได้ยิน...

    ............................"เจ้าไม่เคยเห็นหญิงเช่นนี้มาก่อนใช่ไหม"

    .....................ภูผามองหน้าเณร เพื่อรอผู้พูดเอ่ยต่อ

    ............................"งามและเยือกเย็นผุดผ่องดุจจันทร์เพ็ญ"

    .....................ภูผารู้สึกแปลกใจที่เณรเปรียบเทียบโนรีได้ตรงกับที่ตนเองเห็น

    ............................"เจ้าเข้าใจเปรียบ"

    ............................"เจ้าลอบดูนางบ่อย ๆ ระวังใจของเจ้าให้ดี..ระวังจะมีห่วงคล้องคอ

    เหมือนที่เจ้าว่าข้า...ประการสำคัญเจ้ากับข้าอาจมีห่วงอันเดียวกัน"

    .....................เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่เณรจะเดินกลับไปที่เกวียนเพื่อหยิบ.."กล้วยไม้ป่า"..ต้น

    นั้นที่เขาเตรียมเอามาให้สองพี่น้อง...

    ....................ดอกกล้วยไม้ป่ายังคงมีสีม่วงสดสวยโดยไม่มีวี่แววเหี่ยวเฉาให้เห็นเลย...เณรค่อย ๆ

    ประคองไว้บนมือทั้งสอง...แล้วเดินมาที่โนรีและโมลี โดยมีภูผายืนมองดูอยู่ข้างเกวียน.....

    ..........................."ต้นอะไรน่ะ พี่เณร" โนรีเอ่ยพร้อมมองกล้วยไม้ป่าด้วยไม่เคยเห็นมาก่อน

    ..........................."ดอกมันสวยมากเลย" โมลีมองพร้อมกับเอ่ยอย่างตื่นเต้น

    ....................เณรส่งกล้วยไม้ป่าให้โนรีรับไว้......โดยมีมือของโมลีคอยลูบไล้ดอกสีม่วงสวยสด

    อย่างชื่นชม....เณรดูกริยาสองพี่น้องที่ชอบกล้วยไม้ป่านั้นด้วยใจปิติ....แล้วจึงเอ่ยขึ้น

    ..........................."มันเป็นต้นกล้วยไม้ป่า..และไร้ชื่อเรียกอยู่..ตอนนี้มันเป็นของพวกเจ้าแล้ว...

    พวกเจ้าก็จงตั้งชื่อให้มันเถอะ"

    ..........................."หนูจะหากระถางใส่ดินนำไปปลูกก่อน" โมลีเอ่ยโดยยังไม่สนใจการตั้งชื่อ..

    แต่โนรีกลับคิดต่างโดยเห็นว่า "ควรตังชื่อให้เป็นที่ระลึกของพี่เณร"

    ..........................."ถ้าเจ้านำมันปลูกลงกระถางใส่ดินเมื่อไร มันตายแน่" ภูผาเอ่ยหลังดู

    เหตุการณ์อยู่พักหนึ่ง

    ....................โนรีและโมลีหันมาทางภูผา..ที่เอ่ยค้านธรรมชาติของต้นไม้ที่ต้องปลูกลง

    ดิน..โนรีจึงเอ่ยถาม

    ............................"ทำไมหรือพี่ภูผา"

    ............................"ต้นไม้ชนิดนี้ปลูกกับสายลม"

    ............................"สายลม" โนรีและโมลีเอ่ยทวนพร้อมกัน ด้วยแปลกใจว่าต้นไม้ปลูก

    กับสายลมได้เช่นไร

    ............................"ใช่..เพราะมันเกิดและโตท่ามกลางสายลมใต้ร่มไม้ ไม่ใช่ดินหรือ

    ภายใต้แสงแดด"

    ....................โนรีและโมลียิ่งฟังก็ยิ่งแปลกใจ...ในคำพูดของภูผาที่อธิบายผิดธรรมชาติ

    ของต้นไม้ที่ตนเคยรู้...จึงได้หันไปมองทางพี่เณรเพื่อรอการยืนยัน..ก็พบว่าเณร "ได้พยัก

    หน้ายืนยันตามที่ภูผาพูดพร้อมกับเอ่ยอธิบาย"

    ............................"ถูกต้องแล้วล่ะ มันเป็นต้นไม้ที่ไม่เกิดบนพื้นดินผิดกับต้นไม้อื่นและ

    มันไม่ชอบแสงแดด.......การปลูกมันต้องทำรังไม้สี่เหลี่ยมเป็นกรงซี่ระบายอากาศถ่ายเทให้

    มันแล้วใช้กาบมะพร้าวรองและหุ้มห่อมันไว้.....แล้วจึงเอากรวดหินที่มีความเย็นกลบต้นของ

    มันพร้อมกับใช้ลวดหรือเชือกผูกรังไม้..แขวนไว้ภายในที่ร่มหรือเรือนเพาะชำและรดน้ำพอ

    ประมาณ...มันชอบความชื้นแลสายลม..เมื่อทำได้เช่นนี้มันก็จะอยู่กับเจ้าไปตราบนานเท่า

    นานโดยไม่มีวันตาย"

    .....................สองพี่น้องได้ฟังถึงกับนิ่งอึ้ง..ด้วยไม่เคยปลูกต้นกล้วยไม้มาก่อน..จึงคิดว่าทำไม

    การปลูกพิลึกแปลกจัง...โมลีจึงเอ่ยแสดงความความเห็นอย่างตื่นเต้น

    ............................"มันเป็นต้นไม้ที่ลอยอยู่ท่ามกลางสายลมจริง ๆ มันแปลกกว่าต้น

    แอปเปิ้ลอีก"

    .....................โมลีเอ่ยถึงต้นแอปเปิ้ล ทำให้พี่เณรคิดขึ้นได้ถึงตี๋เล็กและการทดลองปลูกจึง

    เอ่ยถามโนรี

    ............................"แล้วน้องโนรี ปลูกต้นแอปเปิ้ลได้สำเร็จแล้วหรือ"

    ............................"ยังเลยพี่เณร ตี๋เล็กยังหาวิธีปลูกไม่ได้..ก็ไปเมืองจีนกับเฮียตี๋ใหญ่

    นานแล้ว"

    ............................"เมืองจีน..ตี๋เล็กไปทำไม" เณรถามด้วยอาการแปลกใจ

    ............................"ไปหาอากงเล็ก" โมลีชิงตอบ




    ....................เณรหันดูตะวันซึ่งคล้อยต่ำจนเกือบเย็นมาก...และหันกลับมาที่ภูผา พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"เราคงต้องกลับวัดกันแล้ว..พ่อท่านกับพวกลุงสีรออยู่ โนรีกับโมลี...อย่าง

    ไรเสียพวกเจ้าก็อย่าลืมตั้งชื่อให้กับมันก็แล้วกัน"

    ............................"หนูตั้งชื่อให้มันแล้วล่ะพี่เณร" โนรีเอ่ยทำให้คนฟังอย่างรู้และแปลก

    ใจที่ "กล้วยไม้ป่าไร้ชื่อ" ถูกตั้งชื่อได้รวดเร็ว

    ............................"มันชื่ออะไรหรือ" เณรถามพร้อมกับมองหน้าโนรีในขณะที่โนรีลด

    สายตามองมาที่กล้วยไม้ในมือ...แล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาของพี่เณรพลางเอ่ยขึ้น

    ................................."เณรีนรา"....................................

    ....................เณรสบตากับโนรีแล้วหลับตาอย่างแผ่วเบา...และจึงหันกลับไปที่เกวียนซึ่ง

    ภูผานั่งรออยู่แล้ว..เณรหันกลับมาทางสองพี่น้องอีกครั้ง..แล้วเอ่ยขึ้น

    ....................................."ข้าจะจดจำชื่อนี้ไว้"...............................




    ....................กล้วยไม้ป่าพันธุ์ "แคทรียา" ราชินีกล้วยไม้ที่นักเลี้ยงกล้วยไม้ให้ฉายานาม

    และนิยมปลูกกันพร้อมทั้ง"ผสมพันธุ์เพาะพันธุ์ให้มีหลายชนิด" ขึ้นมามากมายในปัจจุบันนี้...

    ต่างก็ให้เกียรติชาวต่างชาติ..ชาติตะวันตกเป็นผู้ตั้งชื่อมัน และเรียกขานตามที่เขาตั้งชื่อ..

    โดยเชื่อว่า "แคทรียาเป็นผู้ค้นพบกล้วยไม้พันธุ์นี้เป็นคนแรก"..จึงเรียกพันธุ์ไม้นี้ว่า"แคทรี

    ยา"ตามชื่อผู้ค้นพบ.....

    ....................โดยหารู้ไม่ว่า "แคทรียา" นั้น มันเคยถูกค้นพบในแผ่นดินสยามในปี

    พ.ศ.2462 ณ ป่าเมืองใต้ก่อนที่คนต่างชาติจะค้นพบ.....และเคยถูกตั้งชื่อว่า.."เณรีนรา"..

    จากสายน้อยโนรี.."ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"..... แห่งแผ่นดินสยามในฤดูฝนปี พ.ศ.2462....

    ....................ซึ่งนางตั้งชื่อเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพี่ชายที่แสนดีคนหนึ่ง.....คำว่า

    "เณรี"..ก็คือคำที่มาจากคำว่า "เณร"..รวมพยางค์ท้ายชื่อของ"นางและโมลีน้องสาว"ใส่รวม

    ผสมคำ..กับคำชื่อ"เณร"...จึงเป็นชื่อ "เณรี" และใช้นามสกุล "นรา"ของนางใส่ต่อท้ายจึง

    รวมเป็น "เณรีนรา"..ชื่อดังกล่าวเหมือนกับจะยืนยันว่า "เณรอยู่ในสกุลเดียวกับนาง" มัน

    เหมือนกับชื่อที่มีความหมายถึง.."รวมเป็นพี่น้องที่รักกัน"...

    ...................."ต้นกล้วยไม้พันธุ์เณรีนรา" ดอกสีม่วงจึงเป็นอนุสรณ์แห่งความรักระหว่างพี่

    น้องที่เป็น"ความทรงจำของเณรกับโนรีและโมลี" อันเป็นอมตะ...ซึ่งกล้วยไม้ต้นนี้นับแต่ถูก

    ค้นพบจนถึงปี พ.ศ.2554..เป็นเวลา 92 ปี มันยังคงมีชีวิตอยู่ตราบปัจจุบันนี้..เหมือนกับคำ

    พูดของเณรว่า "มันจะอยู่กับเจ้าไปคราบนานเท่านานโดยไม่มีวันตาย".....

    .....................ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้ผู้ที่มาพบเห็นมันจะเรียกมันว่า "แคทรียา" เหมือนกับชื่อ

    กล้วยไม้พันธุ์ที่ต่างชาติค้นพบ...แต่สำหรับต้นนี้มันคือ "เณรีนรา"ที่คนในตระกูล"นรา"จะ

    อนุรักษ์ชื่อของมันไว้...โดยไม่ยอม..เรียกขานตามผู้อื่น....เพราะมันคืออนุสรณ์ของ "บุรุษ

    หนึ่งเกิดมาเพื่อจะรัก" และเป็น "บุรุษที่ผูกพันกับคนในตระกูล"นรา"มาตลอด.........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...................ตอนที่ 70 ความฝันของภูผา...................




    ....................สามวันต่อมาที่วัดโนรีนราราม.....ฝาผนังศาลาวัดโนรีด้านเหนือถูกเหล่าบุรุษ

    เมืองปัตตานีใช้ค้อนตีฝาผนังออกจนโล่ง...โดยมีกรรมการวัดและคนงานของวัดช่วยกันขุดหลุมฝังเสา

    ไม้ต่อจากเสาเดิมทางด้านทิศเหนืออีกหลายหลุม......เพื่อเป็นหลักขยายผนังวัดด้านทิศเหนือให้กว้าง

    ขึ้นอีก....พร้อมกันคนงานอีกกลุ่มหนึ่งก็คอยคัดเลือกไม้ที่กองอยู่เพื่อทำคานต่อกับเสาสำหรับไว้ตี

    แผ่นกระดาน...อันเป็นการก่อสร้างขยายศาลาวัดไปทางด้านทิศเหนือ.....

    ....................."ความสามัคคี"ของเหล่าบุรุษเมืองปัตตานีและเมืองสุราษฎร์ธานี..ทำให้การก่อ

    สร้างรุดหน้าอย่างรวดเร็ว...แม้จะมีฝนที่ยังไม่สิ้นฤดูโปรยปรายมาขัดขวางการทำงานจนต้องวิ่งหลบฝน

    ไปอยู่ใต้ถุนศาลาวัด.......

    .....................ลุงสีหัวหน้าบุรุษเมืองปัตตานี..ทั้งสั่งการและทำการอย่างเร่งรีบด้วยกะว่า"จะต้อง

    ก่อสร้างต่อเติมศาลาให้เสร็จภายในหนึ่งเดือน"...เพื่อรีบกลับเมืองปัตตานี ..หลังทำงานเสร็จในแต่ละ

    วันก็จะกินข้าวปลาอาหารที่แม่ครัวของวัดจัดมา...ดังนั้น เณรและภูผาจึงได้มีเวลามาช่วยงานก่อสร้าง

    อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องทำหน้าที่หุงหาอาหาร...

    .....................การหลับนอน....ของเหล่าบุรุษจากเมืองปัตตานีก็ใช้ศาลวัดพักผ่อนหลับนอน..

    ยกเว้นภูผาที่ไปนอนกับเณร โดยเณรนั้นพักหลับนอนที่กุฏิหลงเดิมของตน..ที่ก่อนบวชเณร ขณะบวช

    เณรและหลังจากสึกจากเณรก็อยู่กุฏิหลงนี้ตลอดมา...

    .....................ภูผาหลับนอนอยู่ข้างเณร..ค่ำคืนหนึ่งก่อนนอนในใจนั้นคิดถึงแตดวงหน้าของ

    โนรี...ที่เขาเพิ่งพบเป็นครั้งแรกแต่ก็ให้จำติดตา..เฝ้าคิดถึงด้วยอยากเห็นอีกจนหลับไป.....

    .....................และเขาก็ได้ฝันเห็น โนรีถือขลุ่ยสีดำอยู่ในมือและเดินอยู่ท่ามกลางต้นกล้วย

    ไม้ป่า "พันธุ์เณรีนรา" หรือ "แคทรียา"ในปัจจุบัน...ซึ่งมีอยู่หลายต้น..และทุกต้นเณรีนราจะ

    ลอยอยู่ท่ามกลางอากาศและสายลม...โดยต้นเณรีนราแต่ละต้นผลัดเปลี่ยนหมุนวนไปมารอบ

    ตัวของโนรี..ท่ามกลางแสงจันทร์เพ็ญของยามค่ำคืน...โดยร่างกายของโนรีจะเปล่งแสงเรือง

    รองเป็นสีทองเหมือนแสงจันทร์เพ็ญอย่างเจิดจ้า..ดูแล้วงดงามยิ่งนัก...ทำให้เขารู้สึกเย็นตา

    เย็นใจและเป็นสุข...โนรีเดินเข้ามาหาภูผาพร้อมกับแย้มยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

    ........................."เรามาจากจันทร์เพ็ญ"....พร้อมกับชี้มือไปที่ดวงจันทร์นั้น...

    ....................ในฝันภูผารู้สึกว่า "ขณะที่โนรีพูดนั้นดูลักษณะของนางเหมือนกับผู้ใหญ่ ไม่

    ใช่เด็กสาววัย 14 ปีเศษเหมือนตอนที่ภูผาพบครั้งแรก"

    .....................ภูผาตกใจตื่นมองไปรอบ ๆ ก็พบว่ามันยังมืดสนิทอยู่...เขาคิดทบทวนความ

    ฝันก็ให้รู้สึกแปลก..จากลักษณะท่าทางและคำพูดของโนรีที่เอ่ยถึงจันทร์เพ็ญ..ทำให้คิดถึงคำ

    พูดของเณรที่เอ่ยเปรียบถึงโนรีให้เขาฟัง..ในวันที่เขาพบโนรีครั้งแรกว่า "งามและเยือกเย็น

    ผุดผ่องดุจจันทร์เพ็ญ" ซึ่งขณะนี้เณรยังคงหลับสนิทอยู่ข้างภูผา.....

    .....................ภูผาให้รู้สึกว่า "คำพูดของเณรมันไม่ใช่คำเปรียบเทียบเสียแล้ว แต่มันน่าจะ

    เป็นความจริงมากกว่า"และประการสำคัญขณะนี้เขารู้สึกว่า"กำลังหลงรักโนรีผู้มาจากจันทร์

    เพ็ญ"เสียแล้ว........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 006.jpg
      006.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102.8 KB
      เปิดดู:
      41
    • 1115378716.jpg
      1115378716.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.3 KB
      เปิดดู:
      38
    • c_6_s.jpg
      c_6_s.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.2 KB
      เปิดดู:
      138
    • Full_Moon[1].jpg
      Full_Moon[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.3 KB
      เปิดดู:
      44
    • m118679.jpg
      m118679.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.5 KB
      เปิดดู:
      45
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2011
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................วัดโนรีนรารามก่อนเพลเล็กน้อย....เณรและภูผาขึ้นไปตีตะปูตอกหลังคาสังกะสี

    ที่มุงเชื่อมต่อกับหลังคาศาลาวัดเดิม...โดยมีชาวบ้านส่วนหนึ่งขึ้นมาช่วยตีตะปูด้วย...ในส่วนของลุงสี

    กับพวกนั้นกำลังใช้ไม้กระดานตีปูพื้นศาลา และคนบางส่วนก็ตีตะปูตอกฝาพนังศาลาด้านทิศเหนือ

    อยู่.....

    .....................บนหลังคาที่เณรและภูผาอยู่นั้นสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลทั้งสี่ทิศ..โดย

    เฉพาะทิศเหนือซึ่งเป็นถนนติดกำแพงวัด...เณรเห็นเกวียนที่ค้นเคยกำลังออกมาจากเส้นทางบ้านของ

    โนรี..ก็ให้นึกรู้ทันทีว่า"ต้องเป็นโนรีกับโมลี"ที่ขับเกวียนออกมาเพียงแต่ไม่รู้ว่าทั้งคู่กำลังเดินทางไป

    ไหน.....

    .....................เณรมองหน้าภูผาและเมื่อภูผามองหน้าเณรกลับมา...เณรก็ส่งสายตาต่อหันไปทาง

    เกวียนเล่มนั้น..ทำให้ภูผารู้สัญญาณใบ้โดยไม่ต้องพูดกัน..หันมองตามทันทีก็เห็นเกวียนวิ่งมาลิบ ๆ จึง

    ได้เอ่ยขึ้น..

    ............................."เกวียนใคร"

    ............................."คนที่คาใจเจ้า"

    .....................ภูผาลอบยิ้มด้วยตื่นเต้นก่อนเอ่ยขึ้น.....โดยทั้งคู่ยังคงจ้องมองเกวียนนั้นอยู่

    ............................."โนรีจะไปไหนหรือ"

    ............................."ไม่ตลาด..ก็วัด" เณรตอบอย่างคาดเดาทำให้ผู้ฟังหัวใจพองโต..เมื่อได้

    ยินคำสุดท้าย

    ......................."ถ้ามาวัด..ข้าจะดูน้องเจ้าให้ถนัดอีกทีว่ามันเหมือนในฝันไหม"

    .....................เณรหูผึ่งหันกลับไปมองหน้าภูผาก่อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน

    ............................."นี่เจ้าถึงขนาดเก็บเอาน้องข้าไปฝันเลยหรือ..ดูเจ้าจะหนักกว่าข้า"

    ............................."ข้าฝันประหลาด"

    ............................."ประหลาดอย่างไร"

    ............................."โนรีบอกข้าว่า..เรามาจากจันทร์เพ็ญ"

    ............................."จันทร์เพ็ญ" เณรทวนคำอย่างใช้ความคิด



    .....................เกวียนของโนรีค่อย ๆลัดเลาะถนนข้างกำแพงวัดและเลี้ยวเข้าประตูวัด..โดย

    มีเณรและภูผาคอยลุ้นระทึกอยู่บนหลังคาศาลา...ภูผาดีใจอย่างออกหน้าออกตาเมื่อเห็นเกวียนเข้ามา

    ในวัด..ซึ่งเณรเองก็ยินดีไม่แพ้ภูผาเพียงแต่เก็บอาการไว้อยู่

    .....................ภูผารับปีนไต่ลงจากหลังคาศาลาวัดโดยที่เณรยังคงนั่งตอกตะปูอยู่บนหลังคา.....

    .....................เกวียนเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ มาที่ข้างศาลา..คนงานต่างเหลียวชำเรืองมองโนรีและ

    โมลีที่นั่งอยู่บนเกวียน...ทุกสายตาต่างรู้สึกประหลาดที่ได้มองสาวน้อยคนพี่ก็ให้เกิดความสบายตาและ

    สุขใจ..ลุงสีพินิจดูแล้วจึงเดินไปที่เกวียน...

    ............................"นี่แม่หนูสองคน..มาทำอะไรหรือ"

    ............................"หนูเอาผลไม้มาให้พวกญาติของพ่อท่าน....และคนงานสร้างศาลาจ้ะ" โนรี

    เอ่ยตอบทำให้คนได้ยินโดยเฉพาะคนงานน้ำลายสอ

    ............................"ผลไม้สวนของหนูหรือ" ลุงสีซักต่อ

    ............................"ใช่จ้ะพ่อเฒ่า" โนรีเรียกลุงสีว่าพ่อเฒ่า

    ....................ลุงสีหันไปทางพรรคพวกและตะโกนขึ้น

    ............................"เฮ้ย..เจ้าพวกนั้นลงมาช่วยแม่หนูนี่ขนตะเข่งผลไม้ลงจากเกวียนก่อนเร็ว"

    ....................สิ้นคำของลุงสี ชาญกับมนูก็รีบเดินมาที่เกวียนยกเข่งผลไม้ลงทันที..โดยมีภูผาเดิน

    มาสมทบ..แต่ไม่ได้เจตนามายกตะเข่ง...ภูผามาเพื่อพิจารณาดูโนรีใกล้ ๆ

    ....................ภูผาเดินมาพร้อมกับจ้องมองโนรีที่กำลังสาละวนดันตะเข่งให้กับชาญและมนู..เพื่อ

    ยกลงจากเกวียน...โมลีเหลือบมองเห็นภูผาจึงเอ่ยทักอย่างดักคอ...

    ............................."มองอะไรจังพี่ภูผา"

    ............................."มองพี่สาวเจ้า"

    ............................."มีอะไรหรือ"

    ............................."พี่ของเจ้าแปลกกว่าผู้หญิงอื่น"

    .....................โนรีดันตะเข่งลงหมดแล้ว..ก็หันมาทางโมลีจึงเห็นภูผาจ้องมองนางอยู่..โนรจึงเอ่ย

    ถามถึงใครบางคน

    ............................."พี่เณร..อยู่ไหนหรือพี่ภูผา"

    ......................ภูผาไม่ตอบแต่มองพินิจโนรีอย่างไม่วางตา..พร้อมกับยกมือชี้นิ้วไปบนหลังคา

    ศาลาวัดด้านหลังตนเองแทนคำตอบ..โนรีผู้ถูกมองเกิดสงสัยอาการของภูผาจึงย้อนถาม...

    ............................."มีอะไรหรือพี่ภูผา"

    ............................."ข้าฝันเห็นเจ้า..และเจ้าบอกบางสิ่งกับข้า.."

    ....................โนรีไม่ได้รอให้ภูผาพูดต่อ..แต่ได้หันมาทางโมลีแล้วชี้มือไปที่พี่เณร..โมลีมองตาม

    ก็พบเป้าหมายจึงตะโกนอย่างดัง

    .............................."พี่เณรขึ้นไปทำอะไรบนโน้นลงมานี่ก่อน"

    .....................เณรได้ยินเสียงอันทรงพลังอย่างชัดเจน..หันมาทางต้นเสียงพร้อมกับยิ้มให้สองพี่

    น้อง..ก่อนชี้มือไปที่ดวงอาทิตย์เพื่อบอกใบ้ว่า "รอให้เที่ยงวันก่อนจึงจะลงไป"

    .....................ภูผาคิดว่ามีบางสิ่งที่โนรีอาจตั้งใจปกปิดบางเรื่อง...จึงเลิกพูดเรื่องความฝันแล้ว

    ถามเรื่องอื่น..

    ............................."เจ้าสองคนจะไปที่ใดต่อหรือ"

    ............................."ป่าช้า" โมลีตอบ

    ............................."ไปทำไม" ภูผาถามอย่างแปลกใจ

    ............................."โนรี..จะไปทำอะไรบางอย่างที่นั่น" โมลีตอบแทนโนรี..แล้วสองพี่น้องก็

    ยิ้มให้กับพี่ชายต่างแดนก่อนจากไป...

    .....................เกวียนค่อย ๆเคลื่อนผ่านศาลา..ไม่วายที่สองพี่น้องจะหันไปดูพี่เณรบนหลังคา..

    ซึ่งก็พบเห็นผู้อยู่บนหลังคาโบกมือให้....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      134
    • 466805127947f.jpg
      466805127947f.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.5 KB
      เปิดดู:
      35
    • A5437681-36.jpg
      A5437681-36.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.5 KB
      เปิดดู:
      39
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2011
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .ตอนที่ 71เสียงขลุ่ยอัจฉริยะโมลีกับเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ.





    ....................ป่าช้าวัดโนรีหรือฮวงจุ้ยสถานที่ฝังศพ...โนรีและโมลีมองไปที่ฝังศพทุกหลุม

    โดยเฉพาะหลุมศพของอากงอาม้าของตี๋เล็ก...แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินไปที่นั่น..พลางโนรีได้เอ่ยกับผู้อยู่

    ใต้หลุมทั้งสอง

    ............................."อากงอาม้า..อั้วเป็นเพื่อนของตี๋เล็ก..อั้วจะมาเป่าขลุ่ยให้พวกลื้อฟัง...

    พวกลื้อจงฟังให้สุขใจเถิด"

    ....................โนรีพูดจบก็เดินถือขลุ่ยฟ้าผ่า...เดินขึ้นไปเนินโขดหินสูงเหนือหลุมศพขึ้นไป..ที่

    นางเคยนั่งเป่าขลุ่ยในวันแห่ศพนั่น...โดยมีโมลีลงมานั่งรอที่เกวียนใต้ร่มไม้ใหญ่

    ....................โมลีคิดบางสิ่งขึ้นมาได้..เด็กน้อยหยิบขลุ่ยของตนเองขึ้นมาแล้วเตรียมผิว

    ขลุ่ยรอฟังเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำของพี่สาว.....

    .....................ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มด้วยก้อนเมฆใหญ่เคลื่อนตัวบดบังแสงอาทิตย์........อันเป็น

    ปรากฎการณ์ที่ยังไม่สิ้นฤดูฝน....แม้จะใกล้เที่ยงวันทำให้บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชุ่มฉ่ำทันที.....

    .....................โนรีมิได้สนใจบรรยากาศรอบข้าง..นางนั่งบนโขดหินพร้อมกับผิวขลุ่ยเป่าขึ้น

    ทันที...สายลมกรรโชกพัดปะทะเส้นผมดำสลวยพริ้วไปมา...เสียงเพลงขลุ่ยไร้ความทรงจำได้บรรเลง

    ขึ้นท่ามกลางบรรยากาศแห่งการดับร้อน..ทำให้เสียงขลุ่ยน่าฟังยิ่งนัก...

    .....................ลมที่ผิวเป่าขลุ่ยของโนรีที่แทรกเข้าไปในลำขลุ่ย..ได้เข้าไปดีดเส้นใยไผ่ในลำขลุ่ย

    ที่เกาะกันไม่สนิทให้สั่นเสทือนดีดไปมา........จนเกิดเสียงประสานในลำขลุ่ยสะท้อนออกมายังช่อง

    เสียงเหมือนเสียงขลุ่ยราว 10 เลา..ถูกเป่าประสานขึ้นพร้อมกัน..มันเป็นขลุ่ยฟ้าผ่าหรือขลุ่ยไผ่ดำที่

    อัศจรรย์เกินกว่าขลุ่ยเลาใด....

    .....................โมลีนั่งนิ่งอย่างตั้งใจฟัง..ทันทีที่โนรีเป่าเสียงขลุ่ยไปได้ราว 5 โน๊ตเสียง..

    โมลีก็เป่าบรรเลงเพลงขลุ่ยตามเสียงขลุ่ยของพี่สาวทันที..เสียงขลุ่ยที่โมลีเป่าขึ้น..มันคือ

    เสียงขลุ่ยเอกหรือเสียงเดียว..ไม่มีการสั่นเสทือนเช่นขลุ่ยฟ้าผ่าที่โนรนีเป่าขึ้น.....

    .....................โนรีไม่ได้สนใจเสียงขลุ่ยของโมลีหรือเสียงอื่นใด..เพราะนางปราศจากการ

    จดจำบทเพลงที่นางเป่าขึ้น..ซึ่งผิดกับโมลีผู้เป่าตาม..เด็กน้อยต้องใช้ความทรงจำเสียงขลุ่ย

    ของพี่สาว...และไล่ตามเป่าด้วยความทรงจำอันเป็นเลิศ

    .....................สองเสียงขลุ่ยที่ถูกเป่าไล่ตามกันออกมา..ทำให้เกิดเสียงขลุ่ยที่เมือนกับลูก

    คลื่นทะเลหลาย ๆลูก..ไล่กระทบฝั่งตามกันไป...มันเป็นความไพเราะที่แปลกไปอีกอย่าง

    หนึ่ง..ที่ผู้คนที่ได้ยินโดยเฉพาะพรรคพวกของลุงสีที่ทำงานอยู่ขณะนั้น..เกิดความทึ้งจนต้อง

    หยุดที่จะกระทำสิ่งใดต่อ...

    ......................เสียงเพลงขลุ่ยมีความหมายได้ความว่า



    ............................"...สายลมเย็น......เย็นจริง....สยบร้อน.....เมฆดำรูปมังกร...มี

    คุณ...หาญกล้า....ดับสุริยา....พาพิรุณจรมา......อากงอาม้า.....พาสุขใจ...เหล่าบุรุษ..

    เมืองปัตตานี....ทำคุณวัดโนรี...ธรณีพาจดจำ.....นกน้อย.....ส่งเสียงร้อง...ประสาน...เพลง

    ขลุ่ย...ฝากสายลม...นำพา...เพลงขลุ่ย...สู่แดนจีน...ให้เพื่อนได้ยิน......จงรีบกลับมา....

    สัญญา...อย่าลืม...ข้าก็......ไม่เคยลืม........สัญญา......มีต้นไม้...ประหลาด.......ปลูก

    ไว้...ท่ามกลาง...สายลม...อยากให้...เพื่อนมาชม..กล้วยไม้...พันธุ์เณรีนรา........พี่ชายข้า

    นำมา....ข้าเก็บไว้...ในทรงจำ....แต่ยาม....ข้าเป่าขลุ่ย....ข้าต้องลืม...ซึ่งทรงจำ.....มูซา

    ครูข้าพร่ำ...ข้าต้องจำ...ไว้ใส่ใจ......ข้าอยากบอก....กับพวกเจ้า....หญิงเช่นเรา...เจ้าควร

    ใส่ใจ...จันทร์เด่น...งามเช่นไร.......โปรดจำไว้....ข้าหญิงจันทร์เพ็ญ.....ข้าบอกเจ้าไม่ได้...

    อาจารย์สั่งไว้....อย่าให้เห็น....แม่บอก....ข้าคือ...หญิงจันทร์เพ็ญ....เป็นเช่นใด........ข้า

    อยากรู้จัง............."





    ....................เณรและภูผานั่งนิ่งอยู่บนหลังคาศาลาวัดในขณะที่มือขวาถือค้อนตอกตะปู...ลุง

    สียืนขึ้นอย่างตั้งใจฟังเสียงขลุ่ย...หลวงปอวางไม้กระดานลงกับพื้น...ในขณะที่คนอื่น ๆของกลุ่มก่อ

    สร้างต่างก็หยุดนิ่งฟังเสียงขลุ่ยประหลาดที่ไพเราะที่ดังแว่วมาทางป่าช้า...ที่สองพี่น้องตระกูลนรากำลัง

    บรรเลงอยู่.......

    ....................เสียงขลุ่ยมันไพเราะจับใจ..และสร้างความรัญจวนใจให้แก่ผู้ที่ได้ฟัง...เสียง

    ขลุ่ยแรกดังออกมาเป็นเสียงประสานที่ผู้ฟังไม่อาจรู้ได้มันคือบทเพลงขลุ่ยใด...และตามด้วย

    เสียงขลุ่ยเดียวที่ผิวแผ่วเป่าตามดุจลูกคลื่นไล่ตามเสียงขลุ่ยประสานเสียงขลุ่ยแรก.....

    .....................มันช่างเยือกเย็นและสุขใจอย่างบอกไม่ถูก..เสมือนเสียงขลุ่ยนั้นแทรกเข้า

    ไปอยู่ในหัวใจของผู้ฟัง...และโอบล้อมหัวใจนั้นไว้ด้วยเสียงเพลง.....

    .....................ภูผามองสบตากับเณรในขณะที่กำลังฟังเสียงขลุ่ยที่ได้ยินเป็นครั้งแรกใน

    ชีวิต..เขาสลัดหัวอย่างแรงเพื่อให้ตื่นจากฟังเสียงขลุ่ยอันรัญจวนใจ...แล้วรีบถามเณรเพื่อ

    ต้องการรู้บางสิ่งบางอย่าง....

    ............................."เสียงขลุ่ยนี้..คือเสียงขลุ่ยของโนรีหรือ"

    ......................เณรส่ายหน้าแทนคำตอบ ภูผาจึงถามกลับอย่างสงสัย

    ............................."หมายความว่าอย่างไร"

    ......................เณรจ้องหน้าภูผาแล้วอธิบายตามสิ่งที่รู้

    ............................."เสียงขลุ่ยที่ดังประสานกันราวเสียงขลุ่ย 10 เลา..คือเสียงขลุ่ยที่

    โนรีเป่าเพียงเลาเดียว...ส่วนเสียงขลุ่ยที่เป็นเสียงเอกที่เป่าไล่ตามเป็นเสียงขลุ่ยโมลี"

    ......................ภูผาทำท่าฉงนและตกตะลึงที่ได้ฟังเณรอธิบาย ก่อนเอ่ยขึ้น

    .............................."น้องของเจ้า..ไม่ใช่คนธรรมดา"

    .............................."ใคร"

    .............................."โนรี"

    .............................."ทำไม"

    .............................."เสียงขลุ่ยแรก..ฟังดูเป็นอิสระ..เสียงขลุ่ยสองถูกบังคับให้เป่า

    ตาม"

    .............................."แล้วไง"

    .............................."มันไพเราะและประสานกันเป็นเลิศ"

    ....................เณรหัวเราะแล้วถามกลับ

    .............................."นี่หรือที่เจ้าว่า..โนรีไม่ใช่คนธรรมดา"

    .............................."ไม่ใช่..ข้าจะเล่าความฝันข้าให้เจ้าฟังต่อ..แล้วเจ้าลองเปรียบ

    เทียบดู..ในฝันข้าเห็น..กล้วยไม้พันธุ์เณรีนราของเจ้าหลายต้นลอยวนเวียนอยู่รอบตัวของโนรี

    ขณะถือขลุ่ย...บนท้องฟ้ายามดึกมีดวงจันทร์เพ็ญส่องแสงอยู่...และแสงจันทร์กระทบร่าง

    ของโนรี...ก็มีแสงจันทร์เพ็ญเรืองรองออกมาจากร่างกายของโนรีอย่างมากมาย...ก่อนที่โนรี

    จะบอกข้าว่า..เรามาจากจันทร์เพ็ญ"

    ....................เณรนิ่งอย่างใช้ความคิด..ก่อนถามความเห็นของภูผา

    ............................"แล้วเจ้าคิดอย่างไร"

    ............................"ข้าคิดว่ามันเป็นความจริง..เจ้าดูให้ดีว่าโนรีแตกต่างจากผู้หญิงอื่น

    ไหม..เพียงแค่เจ้าหรือข้า..และคนในหมู่พวกเราเห็นโนรีต่างก็สุขใจ..ร่างกายของนางเหมือน

    มีแสงประหลาดเย็น ๆออกมาจากตัวแต่พวกเราไม่เห็นเอง...บางทีความฝันของข้าเกี่ยวกับ

    จันทร์เพ็ญอาจไขปริศนาของโนรี...เมื่อนางต้องแสงจันทร์เพ็ญ"

    ....................เณรนั่งนิ่งโดยไม่พูดสิ่งใดอีก..เป็นขณะเดียวกับที่เสียงขลุ่ยได้เงียบหายไป

    แล้ว...

    ....................บนโขดหินที่โนรีนั่งอยู่บริเวณฮวงจุ้ย...โนรีมองมาที่โมลี..สายตาของสองพี่

    น้องประสานกัน...เสียงขลุ่ยของโน๊ตเพลงที่โมลีเป่าไล่ตามเสียงขลุ่ยของโนรี 5 เสียงสุดท้าย

    โนรีได้ฟังมัน....โนรีมองน้องสาวของตัวเองด้วยสายตาที่อ่อนโยน..และแปลกใจที่โมลีเป่า

    เพลงขลุ่ยเพลงใดออกมา...เพราะในขณะที่ตนเองเป่าขลุ่ยอยู่นั้น...ตนเองไม่มีความทรงจำ

    ในบทเพลงหรือเสียงขลุ่ย..การเป่าขลุ่ยเป็นได้แค่การเป่าขลุ่ยตามอารมณ์แห่งใจ...แม้โมลีจะ

    เป่าตามเพียงใดโนรีก็มิอาจรับรู้

    .....................การเป่าขลุ่ยของโมลีเป็นการเป่า..โดยอาศัยความทรงจำอันเป็นเลิศ..เด็ก

    น้อยจึงเป็นอัจฉริยะในเรื่องของความทรงจำ...ซึ่งเป็นตัวเด่นของเรื่องเล่านี้ในเวลาต่อมา.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2011
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................อาหารมื้อเย็นของเหล่าบุรุษจากเมืองปัตตานีบนศาลาวัดโนรี...การก่อสร้าง

    ต่อเติมศาลาวัดรุดหน้าไปมาก..กลุ่มชาวบ้านและกรรมการวัดได้แยกย้ายกลับบ้านในตอนเย็น....แม่

    ครัวยกอาหารมาให้กับลุงสีกับพวกที่นั่งล้อมวงกินข้าวเพิ่มขึ้นอีก...

    ............................."นี่ถ้ามีเหล้าตบท้ายอาหารเย็นมื้อนี้ ..ข้าว่ามันวิเศษเลย" มนูเริ่มเอ่ยเพื่อ

    หยั่งเสียงลุงสีและพรรคพวก...ด้วยตนเองอยากเหล้าเต็มแก่

    .....................คอเหล้าในกลุ่มเช่น ชาญ หลวงปอ ดำ เกี่ยวและเดี่ยว ต่างถูกใจคำพูดของมนู...

    ด้วยอดเหล้ามาหลายวัน...ได้พร้อมใจกันหันไปมองลุงสีเพื่อดูอาการทันที..แต่ลุงสีกลับเคี้ยวข้าวอย่าง

    เอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจฟังหรือหันมองดูคอเหล้าทั้งหลาย..ด้วยรู้ทันจึงอาศัย "ความสงบสยบความ

    เคลื่อนไหว"..คอเหล้าทั้งหลายจึงต้องหันมากินข้าวต่อด้วยจนใจ ก่อนที่ลุงสีจะเอ่ยต่อ..

    ............................."เณร..นังหนูสองคนมันลูกเต้าเหล่าใคร"

    ............................."น้าบันตา..ที่ข้ากับภูผาเอาเหล้าไปฝากไง" เณรหยุดเคี้ยวข้าวและตอบ

    ............................."นังคนพี่ผิวพรรณมันผุดผ่องดีจริง ๆ"

    ............................."ลุงน่าจะถามภูผามันดูนะ..ข้าเห็นมันมองเอา..มองเอา.......เหมือนมัน

    จะเอาไปอยู่เมืองปัตตานีด้วย" เณรแกล้งพูดกระเส้าภูผาเพื่อให้ลุงสีรู้พฤติการณ์ของลูกชาย.....

    พร้อมกับชำเรืองดู.......ก็เห็นญาติผู้พี่กำลังสำลักข้าวด้วยโดนคำพูดจู่โจม

    ............................"พ่อ..เคยเห็นลิงมันวิ่งขึ้นต้นไม้..ไปเอากล้วยไม้ระหว่างทางไหมเล่า...ลิง

    มันเอามาให้สาวที่ผิวพรรณผุดผ่องดีจริง ๆของพ่อนั่นแหละ" ภูผาเอ่ยโต้ฟ้องเหน็บแนมเณรอย่าง ไม่

    ยอมรับว่า ตนเองชอบโนรีเพียงคนเดียวแต่ยังมีเณรอีกคนหนึ่งลุงสีได้ฟังถึงกับหัวร่ออย่างอารมณ์ดี

    พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"อย่าว่าแต่พวกเอ็งชอบนังหนูนั่นเลย..ข้าเองก็ชอบมันว่ะแถมยังนึก

    รักอีกด้วย"

    ..................................."หา" ผู้ร่วมวงอาหารมื้อเย็นอุทานอย่างพร้อมเพรียงกัน..

    พร้อมจ้องมองลุงสี

    ............................."นี่พวกเอ็ง..อย่ามาคิดอกุศลกับข้านะโว้ย..ที่ข้าพูดนี่...ข้าหมาย

    ถึง..รักนังหนูนั่นเหมือนลูกหลาน..เพราะดูท่า..นอกจากจะน่ารักสะสวยแล้ว..ยังเป็นคนอ่อน

    โยนมีน้ำใจ..ข้าชอบ...ถ้านังหนูมันโตเป็นสาวเต็มตัว..ข้าว่าคงมีหนุ่ม ๆหลายคนหลงรักจน

    เพ้อถึงเชียว"

    ............................."คงเป็นอย่างลุงว่า" เดี่ยวเอ่ยเห็นด้วยกับประโยคหลังที่ลุงสีพูด

    ............................."เสียงขลุ่ยเมื่อตอนใกล้เที่ยง..เณรมันบอกสองพี่น้องเป็นคนเป่า"

    เกี่ยวเอ่ยคุณสมบัติเด่น..ที่คนในกลุ่มกำลังพูดขึ้นมา..เพื่อเพิ่มประเด็นการสนทนาให้เข้มข้น

    ขึ้น

    ............................."เณรมันบอกทุกคนที่ถามมันเรื่องนี้หมดแล้ว" ดำบอกขัดเพื่อให้เห็น

    ว่าคำพูดของเกี่ยวเพื่อนของตนเชย

    ............................."มันเป็นเสียงขลุ่ยที่ฟังแล้วแปลก..แต่มันไพเราะรัญจวนใจจริง ๆ"

    หลวงปอแสดงความเห็นบ้าง

    ............................."นังหนูสองพี่น้องนั้น..มันเป่าขลุ่ยอย่างนี้ทุกวันเลยหรือเณร" ดำหัน

    ไปทางเณรแล้วถาม

    ............................."ข้าได้ยินเป็นครั้งแรก" เณรตอบ

    .....................คำพูดของเณรทำให้ทุกคนหันไปมองอย่างสงสัย ....ดำจึงเอ่ยถามต่อ

    ............................."หมายความว่าอย่างไร..ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่และรู้จักสองพี่น้องนั่น..น่า

    จะได้ยินเสียงขลุ่ย"

    ............................."ข้าได้ยินแต่ละคนเป่าบ่อยครั้ง...แต่เสียงขลุ่ยที่สองพี่น้องเป่าพร้อม

    กัน..ข้าได้ยินเป็นครั้งแรก" เณรอธิบายทำให้คนในกลุ่มเข้าใจ







    ....................สองวันต่อมาเป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำคืนจันทร์เพ็ญ..ภูผาเอ่ยถึงเรื่องที่ตนกำลัง

    คิดให้กับเณรก่อนออกจากที่พักยามเช้า

    ............................"เณร..ข้าต้องการพิสูจน์"

    ............................"เจ้านี่ไม่เข้าท่าเลย" เณรเอ่ยตำหนิญาติผู้พี่

    ............................"เณร..เจ้าฟังดูให้ดีนะ..กว่าจะถึงคืนจันทร์เพ็ญนี่..เราต้องรอกันเป็นเดือน..

    แล้วงานก็ใกล้จะเสร็จแล้ว...ข้าต้องกลับเมืองปัตตานี...หากไม่ได้พิสูจน์เรื่องที่ข้าฝัน...มันจะคาใจข้า

    ตลอดไป...เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าน้องเจ้าเป็นเหมือนที่ข้าฝันถึงไหม" ภูผาอธิบายเพื่อให้เณรคิด

    ตาม

    .....................เณรยืนนิ่งอย่างใช้ความคิด..ด้วยตนเองก็อยากรู้เรื่องของโนรีเช่นกัน...

    และคล้อยตามเหตุผลหลาย ๆอย่างที่ภูผาเอ่ยอธิบายแก่เขาถึงโนรีในหลาย ๆวันที่ผ่านมา...

    อีกทั้งเณรเองก็คิดว่า โนรีแตกต่างไปจากแม่และน้องสาวของนาง..และยังแตกต่างจาก

    ผู้หญิงอื่นที่เขาเห็น.."ผู้หญิงที่มีพลังแห่งความเย็นแผ่ออกมา" เมื่อได้พบเห็นนาง..ทุกคน

    ต่างก็คลายทุกข์ร้อน..และเป็นสุขทันที..

    ............................"เจ้าจะพิสูจน์อย่างไร" เณรถามวิธีการของภูผา

    ............................"คืนนี้..หากจันทร์เพ็ญขึ้นสูงบนฟ้า..เราจะไปซุ่มดูโนรีที่บ้านของ

    นาง...และหากนางออกมานอกบ้าน.....และปะทะกับแสงจันทร์เพ็ญเมื่อไร....ผลเป็นเช่นไร

    เป็นอันจบ..และข้าจะไม่กวนใจเจ้าอีก"

    ............................"แล้วถ้าโนรีไม่ออกมารับแสงจันทร์เพ็ญล่ะ"

    ............................"ข้าก็ขอไหว้วานเจ้า..ให้ช่วยพิสูจน์ให้ข้าในวันเพ็ญต่อไป...เพราะ

    ข้าคงต้องกลับเมืองปัตตานีก่อนวันเพ็ญหน้าแน่นอน" ภูผาพูดขอร้อง

    ....................เณรและภูผาต่างจ้องมองตากันโดยไม่พูดอะไร..แต่เณรรู้สึกว่า "ภูผาช่างมี

    ความเพียรพยายามที่จะรู้ในสิ่งที่ตนเองอยากรู้มาก"

    ....................เณรและภูผาต่างทำงานตามปกติ..แต่ภูผานั้นอยากให้ถึงเวลากลางคืนโดยเร็ว....

    ....................บันตา โนรีและโมลีมาทำบุญที่วัดในวันพระ..พร้อมกับชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่ง..และ

    ได้เข้าไปในตลาดเมืองสุราษฎร์ธานีก่อนกลับบ้านจนพลบค่ำ




    ....................เริ่มดำสงัดค่ำคืนที่วัดโนรี..เณรและภูผาเดินแฝงตัวออกจากวัดไปในความมืดมุ่ง

    ตรงไปที่บ้านของโนรี..ก่อนที่จันทร์เพ็ญจะขึ้นสูงจนส่องสว่างกระจายไปทั่ว...และไปซุ่มแอบมองอยู่ที่

    หน้าบ้านของโนรีหลังพุ่มไม้อันเป็นแนวเขตรั้ว...

    ............................."ข้าให้เวลาเจ้าแค่เที่ยงคืน..หากไม่มีปรากฎการณ์ใดเจ้าต้องกลับ" เณร

    เอ่ยย้ำกระซิบกับภูผา

    ............................."ข้ารู้แล้วน่า"...................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...