พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    .........ขอบคุณครับ...ขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปนะครับ....
     
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................แสงอาทิตย์แสงแรกในแต่ละวัน........หากบุคคลที่ไม่มีความตั้งใจดู

    จริง ๆ..จะไม่สามารถเห็นหรือสัมผัสกับมันได้เลย.....แต่ผู้ที่เฝ้ามองดูสังเกตการณ์อยู่ตอน

    เช้ามืด....ตั้งแต่ความสว่างเริ่มจับขอบฟ้า..และ มองไปทางทิศที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น....และ

    เฝ้ามองดูอยู่อย่างใจจดจ่อ......จนเมื่อเห็นขอบกลมดวงอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นมาแสงอาทิตย์

    แสงแรกจะพุ่งออกมาสู่โลกด้วยความเร็ว...และเขาจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงอันงดงาม..

    .....................ความมืดจะถูกความสว่างค่อย ๆ ไล่ไปทีละน้อย...ทั้งร่างกายของเขา

    จะมีความรู้สึกของความเย็นร้อนปรับตัวกันอย่างรวดเร็วจนรู้สึกได้....ดอกไม้ที่จะบานเมื่อ

    ต้องแสงอาทิตย์และรอคอยแสงอาทิตย์อยู่......ยามเมื่อต้องแสงอาทิตย์แสงแรกที่พุ่งสู่

    โลกจะค่อย ๆ สั่นไหวและแย้มบานขึ้นอย่างช้า ๆ อย่างงดงาม...ดอกทานตะวันจะค่อย ๆ

    เคลื่อนดอกของมันที่ห้อยตกอยู่ชูขึ้นรับแสงตะวันทันที...อันเป็นพฤติการณ์ที่ผู้คนที่คอยดู

    อยู่จะพบเห็นความงดงามเหล่านี้ได้....

    .....................ทันทีที่แสงอาทิตย์แสงแรกสาดส่องมาที่หลุมศพของวัดโนรี..และส่อง

    ไปที่ป่าช้าวัดในเมืองสุราษฎร์...ทางเจ้าหน้าที่ประจำหลุมศพที่วัดโนรี..ต่างก็โปรยดอกไม้

    และทรัพย์สินเงินทองลงไปในหลุมจนทั่ว.....ในส่วนของวัดในเมืองก็จะบรรลงดนตรีเครื่อง

    สายของคนจีนประโคมขึ้นพร้อมกันอย่างดังก้องกังวาน...เจ้าหน้าที่ประจำหลุมแต่ละหลุม

    ต่างก็ช่วยกันยกโลงศพขึ้นมาและแบกหามไปยังรถลากที่มีจำนวน 54 คัน...นอกจากนี้ยังมี

    รถลากและเกวียนร่วมอีก 80 เล่ม..ที่ใช้ในขบวนแห่ศพครั้งนี้.....

    ....................ขบวนแห่ได้เริ่มออกเดินทางเมื่อจัดขบวนเสร็จ....โดยมีชาวจีนแต่งชุด

    ทหารสมมุติขึ้นจำนวน 20 คนถือหอกและธงโบกปลิวไสวอยู่บนหลังม้านำหน้าขบวน..และ

    มีชาวจีนแต่งชุดทหารถือหอกและธงอยู่บนหลังม้า......เดินขนาบข้างขนานไปกับขบวนทั้ง

    สองด้าน....สมมุติให้เหมือนกับทหารคุ้มครองฮ่องเต้หรือจักพรรคดิจีน.จัดระยะยาวจนสุด

    ขบวน.........

    .....................ต่อจากทหารนำหน้าขบวนจะเป็นขบวนเครื่องสายดนตรีจีนบรรเลง

    เพลงอย่างอึกทึกครึกโครม...ต่อจากขบวนเครื่องสายดนตรีจะเป็นขบวนถือป้ายผ้าขนาด

    ใหญ่เขียนอักษรจีนจัดเป็นคู่ ๆ...และตามด้วยขบวนกระถางธูป...พร้อมต่อด้วยรูปภาพของ

    ผู้ที่นอนอยู่ในโลงศพ..อันทำให้รู้ว่าศพมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร...ต่อจากนั้นก็เป็นขบวนรถ

    ลากโลงศพจำนวน 54 คัน..และตามด้วยรถและเกวียนร่วมขวนอีก 80 คัน..พร้อมกับญาติ

    พี่น้องลูกหลานเดินตามกันมาเป็นขบวนยาว...มันเป็นขบวนแห่ศพที่ใหญ่โตอลังการ

    และยาวเป็นกิโล..แต่มีความสวยงามเป็นที่สุด.....

    .....................ชาวบ้านที่มาดูขบวนแห่อันอลังการทั้งสองข้างทาง..ต่างดูด้วยความ

    ตื่นตาตื่นใจอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน...ประทัดสีแดงหรือระเบิดกระดาษที่ชาวจีนผลิต

    ขึ้นได้ถูกจุดระเบิดเสียงดังกัมปนาทเป็นระยะ ๆ ตลอดทาง..อันแสดงให้เห็นความสุขสนุก

    สนานรื่นเริงของขบวนแห่ศพที่ไร้ซึ่งความเศร้าหมอง.....

    .....................จากวัดในเมืองที่อยู่ในเมืองสุราษฎร์มาถึงวัดโนรีซึ่งอยู่ไกลออกมาพอ

    ประมาณ...ทำให้ขบวนแห่เป็นไปอย่างล่าช้า...แต่แปลกตรงที่แสงแดดกลับไม่แรงกล้า

    เพราะจะมีเมฆใหญ่บังแสงแดดให้ความร่มรื่นกับขบวนแห่ ..ประดุจหนึ่งว่า "มีเทพยดาที่

    รับรู้ในความกตัญญูของพวกเขา..บันดาลให้การช่วยเหลือพวกเขาให้พิธีแห่เป็นไป

    อย่างร่มเย็นและราบรื่น".......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • buatong3.jpg
      buatong3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      119.7 KB
      เปิดดู:
      46
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2011
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................จากความล่าช้าของขบวนแห่....ทำให้คนที่รอพิธีฝังอยู่ที่วัดโนรี

    กังวลใจ..เพราะไม่รู้ว่าขบวนแห่มาถึงไหนแล้ว...จะทันฤกษ์ที่จะเอาศพทั้ง 54 ศพ

    ลงหลุมที่วัดโนรีหรือไม่....

    ....................โนรีซึ่งอยู่ในชุดสีขาว ...ซึ่งรออยู่ในพิธีที่ป่าช้าวัดโนรีพร้อมกับ

    บันตา โมลีและพี่เณร ร่วมชาวบ้านอื่น ๆ..เห็นความล่าช้า....

    ....................นางจึงได้นำม้าที่เทียมเกวียนอยู่ออกมาใส่อานม้า..และขึ้นขี่ควบออก

    ไปจากป่าช้าทันที.....

    ....................ภาพของผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่ควบม้าออกมา....ทำให้เส้นผมของ

    นางและชุดชาวยาวพลิ้วแผ่วไปตามสายลมที่ปะทะมา.....หน้าผากของนางไร้เส้น

    ผมปิดบังทำให้เห็นดวงหน้าของนางเต็ม ๆ ..รัศมีแห่งความงามและเยือกเย็นแผ่ไป

    ทั่วร่างของนาง...อันเป็นความรู้สึกที่ผู้คนที่ผ่านไปมาในงานพบและมองนาง...

    .....................โนรีควบม้าออกมาจนไกลจากวัดโนรี...จึงได้ยินเสียงเครื่องสายดนตรี

    ของจีนของขบวนแห่งดังแว่วมา..พร้อมกับมีเสียงประทัดดังควบไปเป็นระยะ ๆ...นางจึงเร่ง

    ควบม้าไปตามเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว...และเมื่อขบวนแห่มาอยู่ในระยะสายตาลิบ ๆ นางและ

    ผู้คนที่เฝ้ารอดูขบวนแห่อยู่..ชะเง้อมองขบวนแห่..ก็ได้ประจักษ์ในความงามของขบวน

    แห่ที่คดเคี้ยวไปตามถนนเหมือนงูเลื้อย..ประดุจหนึ่ง ขบวนแห่ดุจดังมังกรใหญ่ลำ

    ตัวยาวกำลังเลื้อยมาอย่างช้า ๆ มาทางที่นางหยุดม้ารออยู่บนถนน..โนรีเห็นคน

    แต่งชุดทหารนำหน้าขี่ม้าถือหอกและธง..เมื่อขบวนเริ่มเข้ามาใกล้...เสียงดนตรี

    ประโคมกึกก้องกัมปนาทปนด้วยเสียงประทัด....

    .....................ทหารนำหน้าขบวน...เห็นสาวน้อยวัยแรกรุ่นที่อยู่ในชุดขาวบน

    หลังม้า..ที่มีหน้าตาหมดจดงดงาม..ผิวพรรณขาวเหลืองดุจทอง..และ มีประกาย

    แห่งความเย็นรัศมีเรืองรองดุจดังเทพธิดามาปรากฎอยู่หน้าขบวน..ก็ให้เกิดความ

    เย็นตาเย็นใจและสุขใจอย่างประหลาด...จนต้องมองนางไม่ว่างตา...ด้วยเสื้อผ้าที่

    นางใส่ช่างขับผิวพรรณของนางให้ดูงามเรืองรองยิ่งนัก.....

    ......................เช่นเดียวกับโนรีได้เห็นความสวยงามของขบวนแห่..นางก็ถึง

    กับตกตะลึงจนอยากเข้าไปดูใกล้ ๆ ด้วยเห็นดอกไม้ที่จัดแต่งบนขบวนรถลากที่ตั้ง

    ศพงดงามนัก....

    ......................นางจึงชักม้าควบสวนผ่านกับขบวนแห่ไปทางข้างถนน..และ.

    มองสังเกตดูไปจนสุดขบวน...นางผ่านไปยังจุดใด..ทุกคนที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักจะ

    ต้องหันไปมองนางเป็นจุดเดียว...และกล่าวชมนางกับผู้ที่อยู่ใกล้กันในขบวนแห่

    เป็นเสียงเดียวกันว่า "นางนั้นเหมือนกับเทพธิดาที่มาคอยต้อนรับขบวนแห่

    อันยิ่งใหญ่และสวยงาม"....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1115378716.jpg
      1115378716.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.3 KB
      เปิดดู:
      55
    • 46680715021c4.jpg
      46680715021c4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      203.3 KB
      เปิดดู:
      53
    • A6530629-1.jpg
      A6530629-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      136.6 KB
      เปิดดู:
      56
    • s_a001.jpg
      s_a001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.5 KB
      เปิดดู:
      52
    • s_z002.jpg
      s_z002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.4 KB
      เปิดดู:
      52
    • s_h02.jpg
      s_h02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.8 KB
      เปิดดู:
      50
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................โนรีผ่านขบวนแห่ที่มีความยาวเป็นกิโลเมตร..ก็มาถึงรถลากคันสุด

    ท้าย..นางก็ได้ยินเสียงเรียกของผู้ชายอย่างดัง..มาจากท้ายขบวนแห่

    ............................."โนรี...โนรี"...........

    ....................โนรีหันไปทางต้นเสียง จึงรู้ว่าผู้ที่เรียกนางไม่ใช่ใครอื่น..แต่เป็น "ตี๋เล็ก"

    ลูกคนจีนในตลาดที่นางไปซื้อของที่ร้านพร้อมกับโมลีบ่อยครั้ง...และกระดาษวาดเขียนที่

    โมลีซื้อมาเมื่อวันก่อนก็คือ สินค้าของร้านตี๋เล็ก.....ตี๋เล็กเป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับ

    โนรีและเปรียบเสมือนเพื่อนของโนรีคนหนึ่ง......

    ....................โนรีและตี๋เล็กต่างยิ้มให้กัน..อันเป็นอาการของเพื่อนที่พบเห็นกัน...ย่อม

    ต้องดีใจ........โนรีชักม้าเดินเข้าหาตี๋เล็กที่กำลังถือกล่องใบหนึ่งเดินตามขบวน...ตี๋เล็กจึง

    เอ่ยขึ้น....

    ............................"โนรี..ทางวัดส่งลื้อ(เธอ)ให้มารับอั้ว(ฉัน)กับขบวนแห่หรือ"

    ............................"ไม่ใช่หรอกตี๋เล็ก..อั้วควบม้ามาดูเอง...อั้วอยากดูขบวนแห่

    ของลื้อสวยงามและยาวมากเลยนะ"

    ............................"พวกอั้วปิดร้านในตลาดหมด..และมากันหมดเมืองเลย ย้ายโลง

    ศพมาทั้งหมด 54 ศพ"

    ............................"ศพที่อยู่ในโลงบนรถลากข้างหน้าลื้อเป็นศพใครหรือ..ตี๋เล็ก"

    โนรีถามอย่างสงสัย

    ............................"อากงกับอาม้าของอั้วเอง..มาอยู่ที่วัดลื้อ ลื้อต้องดูแลอากงกับ

    อาม้าอั้วดี ๆ นะ..ไม่อย่างนั้นลื้อซื้อของร้านอั้ว...อั้วไม่ลดให้ลื้ออีกนะ"

    .....................คำพูดของตี๋เล็กทำให้โนรีถึงกับกั้นหัวเราะไม่อยู่..ด้วยขำในนิสัยติด

    สินบนของเพื่อนชาวจีน.....

    ............................."เออน่า...อั้วจะดูแลอากงกับอาม้าลื้ออย่างดีเลย..ถ้าว่างอั้วจะ

    มาเป่าขลุ่ยให้ท่านทั้งสองฟัง ..ดีไหม"

    ............................."ดีมาก ..ดีมาก..ลื้อดีจริง ๆ " ตี๋เล็กเอ่ยชมพร้อมกับมอง

    โนรีอย่างไม่วางตาด้วยรู้สึกว่าวันนี้นางสวยงามน่ารักเป็นพิเศษ จนโนรีต้องเอ่ยถาม

    ............................."มองอะไรจังเลยตี๋เล็ก"

    ............................."วันนี้..ลื้อดูสวยจังเลย"

    .....................คำพูดของตี๋เล็กทำให้โนรีถึงกับหน้าแดง..และยิ้มอย่างเขิน

    อาย..ก่อนที่จะควบม้าไล่ขึ้นไปยังหัวขบวน...เพื่อกลับไปรายงานให้คนในวันโนรีที่

    เตรียมการอยู่ทราบ.......

    .....................โนรีควบม้ากลับมาที่ป่าช้าวัดโนรี..แล้วบอกจุดที่ขบวนแห่ศพกำลัง

    เคลื่อนเข้ามากับคนในวันที่รออยู่...และนางก็ควบม้ากลับออกไปอีกครั้ง...แต่ครั้งนี้ไม่ใช่

    ไปดูขบวนแห่ศพ...แต่นางย้อนกลับไปที่บ้านเพื่อไปเอา ขลุ่ยที่นางไม่ได้นำติดตัว

    มาเพื่อทำการบางอย่าง......

    ......................ขบวนแห่ศพอันยาวเหยียดเคลื่อนเข้ามาที่ป่าช้าวัดโนรีอย่างช้า ๆ

    พร้อมกับเสียงสวดของซินแสที่รออยู่ที่ป่าช้าจำนวนหนึ่งเริ่มสวดพึมพำ...เจ้าหน้าที่ในแต่

    ละหลุมได้ลงจากเนินไปนำโลงศพแต่ละโลงแบกหามขึ้นมา..เพื่อเตรียมลงฝังหลุม...ญาติ

    พี่น้องของแต่ละพวกได้เดินมาที่หลุมที่ตั้ง.........และล้อมที่หน้าหลุมบริเวณฮวงจุ้ยอย่าง

    ยินดี........ขบวนทหารและรถลากอีกทั้งวงเครื่องสายจีนรออยู่เชิงเนินนอกรั้วของป่าช้า...

    .....................หลังจากทุกหลุมได้วางโลงศพลงยังหลุมเรียบร้อยแล้ว...ญาติพี่น้อง

    และลูกหลานของผู้ที่อยู่ในโลงต่างก็โปรยแบ๊งค์กงเต็ก(ธนบัตร)ลงยังหลุมพร้อมทรัพย์สิน

    อื่น...และเหล่าซินแสได้สวดมนต์พร้อมกับสั่งให้เจ้าหน้าที่เอาดินกลบโลงศพทุกหลุม...

    และสั่งให้ญาติพี่น้องลูกหลานนำกระถางธูปมาตั้ง..พร้อมแจกันดอกไม้..และเครื่องเซ่น

    พร้อมให้ทุกคนจุดธูปบูชากราบไหว้ศพ...และทำพิธีเผากระดาษเงินกระดาษทอง..และ

    แบ๊งค์กงเต็กอีกส่วนหนึ่งที่หน้าหลุมศพนั้น......ภาพถ่ายของเจ้าของหลุมที่อยู่ในโลงใต้

    พื้นดินพร้อมกับป้ายวิญญาณถูกติดตั้งไว้ที่กำแพงหินอ่อนโค้งหน้าหลุมศพ.....

    ......................จนใกล้เสร็จพิธีฝังศพ..ขณะที่ธูปดอกสุดท้ายที่ตี๋เล็ก และ

    "หมวยเล็ก" น้องสาวของตี๋เล็กวัยเดียวกับโมลี...กำลังปักอยู่ที่กระถางธูปหน้า

    ภาพถ่ายและป้ายวิญญาณของอากงอาม้า..เป็นบริเวณเดียวกับที่ เตี่ย แม่ และ

    ญาติผู้ใหญ่ยืนล้อมอยู่.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 333504_886333106.jpg
      333504_886333106.jpg
      ขนาดไฟล์:
      20.9 KB
      เปิดดู:
      42
    • 012.jpg
      012.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.8 KB
      เปิดดู:
      48
    • s_h03.jpg
      s_h03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.5 KB
      เปิดดู:
      45
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ฉับพลันนั้นเองก็ปรากฎเสียงขลุ่ยดังแผ่วแว่วมาแต่ไกล..และใกล้

    เข้ามาบริเวณที่กลุ่มชาวจีน......และชาวสยามที่มาร่วมพิธีฝังศพจับกลุ่มยืนอยู่ที่

    ฮวงจุ้ย......

    .....................มันเหมือนมีเสียงขลุ่ยประมาณ 10 เลาถูกเป่าบรรเลงออกมา

    พร้อมกัน..ดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณนั้น...ทุกคนพยายามมองหาที่มาของเสียง

    ขลุ่ยไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบเห็นคนเป่าขลุ่ย....

    .....................บันตา โมลี พี่เณร และคนอื่น ๆที่เคยได้ยินเสียงขลุ่ยนี้ต่างก็รู้ดี

    ว่า เสียงขลุ่ยนี้ คือ "เสียงขลุ่ยของโนรี"....แต่ชาวจีนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ในเมืองซึ่งไม่

    เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนก็ให้รู้สึกสงสัยและฉงนที่ไม่ทราบว่า "ผู้ใดมาเป่าเสียงขลุ่ย

    นี้" มันช่างไพเราะจับใจชวนฟัง..ทำให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลอย่างยิ่ง

    .....................ตี๋เล็กได้เคยฟังเสียงขลุ่ยของโนรี...ที่บางคืนมันเคยแว่วดังมา

    ตามสายลมเข้าไปในเมืองสุราษฎร์ซึ่งทำให้ตี๋เล็กเกิดความสุขใจอย่างประหลาด..

    แต่ขณะนี้เขาได้ยินมันอย่างถนัด...ทำให้หัวใจของตี๋เล็กสท้านตรึงจิต...

    .....................ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นมีความรู้สึกว่า "เสียงขลุ่ยนี้ดังมาจากหลัง

    เนินเขาที่อยู่ด้านหลังที่ตั้งฮวงจุ้ย" ...และกำลังดังใกล้เข้ามา...สายตาทุกคู่จึงจับ

    จ้องไปที่ยอดของเนินสูงเหนือหลุมศพอันเป็นที่ตั้งฮวงจุ้ย....

    ..................และทันใดนั้นเอง..สายตาทุกคู่ก็พบกับ "ร่างของหญิง

    สาววัยแรกรุ่นซึ่งอยู่ในชุดขาวนั่งอยู่บนหลังม้า....นางคือ ผู้หญิงที่ควบม้า

    สวนกับขบวนแห่..ที่ทุกคนที่พบเห็นต่างชื่นชมว่า "นางเหมือนเทพธิดาที่

    มาต้อนรับขบวนแห่อันยิ่งใหญ่และสวยงาม"..........

    ..................ทุกคนต่างเห็นนาง"กำลังเป่าขลุ่ยอยู่บนหลังม้าเดินจาก

    หลังเนินเขามายังหน้าเนินสูง...และ..นางค่อย ๆลงจากหลังม้าในขณะ

    เป่าขลุ่ยอยู่..แล้วเดินมานั่งที่ก้อนหินใหญ่บนเนิน.....โดยที่ม้าของนาง

    ค่อย ๆนั่งหมอบลงข้าง ๆของนางตรงก้อนหิน.."มันเป็นภาพอันงดงาม

    ของหญิงสาวที่สวยงามผิวพรรณผุดผ่องเรืองรองตระการตา..ลักษณะ

    เยือกเย็นและอ่อนโยน...พร้อมกับบทเพลงของเสียงขลุ่ยอันไพเราะจับ

    ใจ..จนทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น....เกิดความหลงใหลประทับใจเหมือน

    ต้องมนต์สะกด...ท่วงทำนองของเพลงขลุ่ยแม้ไม่มีบทเพลงให้แปล...แต่

    ภายในจิตใจของผู้ฟังแต่ละคน...สามารถทราบความหมายและเกิดความ

    รู้สึกได้ว่า "เสียงขลุ่ยนั้นหมายถึงสิ่งใด"



    ........"แดนสงบ..ร่มเย็นและ..เงียบเหงา....รอผู้เฒ่า..ชาวจีน..มานานหนา.......

    ...........หลับให้สุข..ภายใต้..พสุธา....อย่างห่วงหา..ลูกหลาน..ยังอาจิณ.........

    ..........เพลงขลุ่ยนี้..ข้ายินดี..บรรเลงให้....ถึงแสนไกล..ก็ส่งใจ..ให้ไปสิ้น........

    ..........ขอลูกหลาน..ชาวจีน..จงได้ยิน....มีชีวิน..เพื่อพวกท่าน..ได้สุขใจ........

    .......โปรดคิดถึง..เฒ่าชาวจีน..ผู้อาภัพ....ชีวิตอับ..ในแดนแม่..แสนโศกสัญญ์....

    ..........ดั้นดลมา..สยาม..ด้วยใจบีบคั้น....เหนื่อยงาน..พัลวัน..แสนเศร้าใจ......

    ...........ตัดอาลัย..เพื่อความสุข..วันข้างหน้า....จนชีวิต..โสภา..ท้องฟ้าใส......

    ...ก้าวนำพา..ชาติตระกูล..จนเกรียงไกร....ขอเทิดไท้..เฒ่าชาวจีน..นิรันดร์กาล"



    ....................เสียงขลุ่ยบรรเลงจบ..โนรีค่อย ๆยืนขึ้นและมองลงมาที่เหล่าผู้ที่

    อยู่เบื้องล่างด้วยสายตาที่อ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความโอบอ้อมอารี...ซึ่งนาง

    เองก็มีความสุขใจอย่างลึก ๆ...โนรีดึงเชือกม้าให้ยืนขึ้นก่อนที่จะขึ้นขี่ลงไปทาง

    ด้านหลังเนิน.....

    ....................ตี๋เล็กปลื้มปิติที่ได้ฟังเสียงขลุ่ยอันไพเราะนี้..จึงได้วิ่งออกมา

    จากกลุ่มเล็กน้อย..พร้อมตะโกนขึ้นอย่างดังท่ามกลางความสงบ...

    ........................."ขอบใจลื้อมากนะ ..โนรี"

    ....................โนรีหันกลับมามองแล้วก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและเบิกบานก่อนจะ

    ลับไป..............

    ....................หมวยเล็กเดินเข้ามาหาตี๋เล็กพี่ชายด้วยใจเริงร่า..พร้อมกับมอง

    ไปทางโนรีและเอ่ยขึ้น...

    ............................"อาเฮีย..อั้วเพิ่งเคยได้ยินเสียงขลุ่ยเพื่อนลื้อ..ที่ลื้อเคย

    บอกวันนี้เอง..มันเพาะดีจริง ๆ เพื่อนลื้อนี่สวยงามและเก่งนะ"

    ............................"อืม.." ตี๋เล็กตอบโดยสายตายังไม่ละจากโนรี

    ............................"อี(เธอ)..น่าจะมาเป็นอาซ้อ(พี่สะใภ้)อั้วนะ"

    ....................คำพูดของหมวยเล็กทำให้ตี๋เล็กหันมามองน้องสาวทันที พร้อม

    กับหน้าตาตื่น ๆ พลางเอ่ยขึ้น..

    ............................"ลื้อลองพูดใหม่อีกทีสิหมวยเล็ก..อั้วฟังไม่ถนัด"

    ....................หมวยเล็กเริ่มรู้แกวพี่ชายจึงหัวเราะพร้อมกับชี้หน้าพี่ชายก่อนจะ

    พูด...

    ............................"ฮั้นแน่..อาเฮียอั้วรู้นะว่า...ลื้อแอบชอบอาโนรีน่ะ"

    ....................ตี๋เล็กหัวเราะหน้าบานก่อนที่จะเอามือมาเคาะหัวน้องสาวของตน

    เบา ๆโดยไม่พูดอะไร..และจึงเดินตามผู้คนทยอยออกจากสถานที่นั้น...

    ....................นับจากที่โนรีปรากฎกายให้ชาวจีนที่อยู่ในเมืองสุราษฎร์พบเห็น..

    ด้วยประกายแห่งความเย็นในตัวนาง....และความผุดผ่องของผิวพรรณเรืองรอง

    พร้อมกับเสียงขลุ่ยที่นางเป่าด้วยความไพเราะจับใจ...นางก็เป็นที่รู้จักและกล่าว

    ขวัญของคนเมืองสุราษฎร์ทั่วไป.....

    ....................ผู้ที่พบเห็นนางไม่เคยรับรู้เรื่องราวในตำนานของ "ผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญ" มาก่อน...ต่างก็พบเห็นสิ่งประหลาดในตัวนางทั้งร่างกายและเพลงขลุ่ยที่

    นางเป่า....ทั้งสองอย่างมันแตกต่างจากคนทั่วไป.."พวกเขาไม่เข้าใจว่ามันคือ

    อะไร"......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2011
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....ตอนที่ 48 ธรรมจากพลุบนท้องฟ้าคืนวันแห่ศพ....


    ....................ค่ำคืนในวันแห่ศพ พิธีฝังศพเสร็จสิ้นจนค่ำ..บริเวณรอบฮวงจุ้ยมี

    การสร้างรั้วไม้ระแนงกั้นไว้รอบเปิดทางเข้าไว้ด้านหน้า...เว้นเฉพาะด้านที่ติดกับบนเนินสูง

    ทางด้านหลังเพียงด้านเดียวที่ไม่ได้ล้อมไว้...คบเพลิงหลายอันถูกนำมาเสียบไว้บริเวณ

    รอบรั้ว...และรอบวัด...จนบริเวณวัดสว่างไสวไปทั่ว.........

    ....................บริเวณลานวัดมีการตั้งเวทีการแสดง"งิ้ว"........และเวทีการแสดงรำ

    มโนราห์อยู่ตรงข้ามกับเวทีงิ้วห่างกันพอประมาณที่เสียงจะไม่รบกวนกัน...

    ....................มันไม่มีแสงสว่างของไฟฟ้า..แต่พวกเขาได้ตัดเอาปี๊ปสังกะสีที่ใส่

    น้ำตาลปี๊ปทั่วไปผ่าครึ่งหลาย ๆ อัน..นำมาตอกตะปูเข้ากับหลักไม้..แล้วเอาไฟคบ

    เพลิงใส่ไว้ภายใน...แสงไฟภายในปี๊ปเมื่อส่องถูกแผ่นสังกะสีของปี๊ป..ก็จะสะท้อน

    แสงออกมาเป็นไฟดวงใหญ่คล้ายสปอร์ทไลท์ส่องสว่างไปทั่วเวที.....

    .....................อีกมุมหนึ่งของลานวัดถูกติดตั้งให้เป็นที่"จุดพลุ"ส่งขึ้นฟ้าพร้อม

    กับไฟพะเนียง...ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วว่า..."ชาติจีนเป็นชาติแรกที่คิดค้นดินปืนหรือดิน

    ระเบิด..และได้ดัดแปลงเอามาทำ..ประทัด..พลุ.. ตะไล้..ไฟพะเนียง..ไว้จุดในงาน

    เทศกาลหรืองานพิธีต่าง ๆ...พวกเขาจัดงานฉลองการฝังศพบรรพบุรุษขึ้นที่วัดโนรี

    .....................กลุ่มชาวจีนส่วนใหญ่ยังไม่กลับเข้าเมือง..ต่างก็อยู่ฉลองในตอนกลาง

    คืน..ซึ่งมหรสพที่เอ่ยถึง...จะเริ่มมีการแสดงหลังจากพ่อท่านได้นำพระลูกวัดสวดอภิธรรม

    แผ่อุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษของชาวจีนที่อยู่ภายในฮวงจุ้ย.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2241.JPG
      IMG_2241.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      40
    • IMG_2243.JPG
      IMG_2243.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      46
    • IMG_2246.JPG
      IMG_2246.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      40
    • IMG_2248.JPG
      IMG_2248.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      36
    • IMG_2242.JPG
      IMG_2242.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      40
  7. Sirius Galaxy

    Sirius Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,132
    ค่าพลัง:
    +2,559
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..........สาธุ..อนุโมทนาใน"บทสวดอันเป็นธรรมทานของท่าน"


    ที่มอบให้ไว้แก่กระทู้ครับ..เป็นพระคุณอย่างสูง...


    ..........ขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆขึ้นไปทุกทางที่ปรารถนาครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2011
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................บนเนินที่ตั้งฮวงจุ้ยของแต่ละหลุมฝังศพ..ถ้าได้นั่งอยู่ที่ทำเลดัง

    กล่าวสามารถมองลงมาดูมหรสพการแสดงบริเวณลานวัดได้อย่างชัดเจน....

    ....................ตี๋เล็กกับหมวยเล็กสองพี่น้องไม่ได้ลงไปดูการแสดงงิ้วข้างล่างเช่นเดียว

    กับเตี่ย แม่ และน้องคนอื่น ๆ....แต่ได้นั่งอยู่ที่ฮวงจุ้ยของอากงอาม้าแล้วทอดตามองลงมา

    ดูการแสดงข้างล่าง..... เช่นเดียวกับคนจีนอื่น ๆบางกลุ่มที่คิดเช่นเดียวกับสองพี่น้อง...

    ด้วยเห็นว่า.."มันเป็นมุมมองที่สามารถเห็นดวงดาวและจันทร์ครึ่งซีกขึ้น 8 ค่ำบนท้องฟ้า..

    และสามารถมองเห็นพลุไฟที่จะจุดขึ้นในเวลาค่ำคืนได้อย่างชัดเจน".......

    ....................โนรีและโมลีย้อมกลับมาในงานยามค่ำคืน..หลังจากได้กลับบ้านไปกับ

    แม่ของตนแล้ว..โดยมีพี่เณรไปรับสองพี่น้องจากบ้านและเดินมาด้วยกัน...ทั้งสามตั้งใจจะ

    ไปดูการแสดงที่เรียกว่า "งิ้ว" และ "การจุดพลุไฟขึ้นบนท้องฟ้า"..ด้วยชนบทชาน

    เมืองไม่เคยมีการแสดงดังกล่าว...และทั้งสามไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน.....

    .....................โนรีและพวกเดินผ่านไปทางฮวงจุ้ยที่มีแสงคบเพลิงจุดไว้..ในขณะที่

    พ่อท่านและพระลูกวัดกำลังสวดอภิธรรมอยู่...เป็นขณะเดียวกับที่ตี๋เล็กและหมวยเล็กมอง

    ลงมาพอดีจึงเห็นทั้งสามคน....ด้วยความดีใจตี๋เล็กตะโกนเรียกให้ขึ้นมาหาทันที

    ............................"โนรี..โนรี..พวกลื้อขึ้นมานี่ก่อนเร็ว"

    ....................เสียงเรียกของตี๋เล็ก ทั้งสามจึงทองขึ้นไปบนเนินฮวงจุ้ย..เมื่อพบว่าผู้ที่

    เรียกเป็นใคร..ทั้งสามให้รู้สึกดีใจและเดินขึ้นไปหาทันที

    ............................"ลื้อกับหมวยเล็ก..มานั่งทำอะไรบนนี้" ทันทีที่ถึงตัวตี๋เล็กโนรี

    ทักขึ้นทันที

    ............................"พวกลื้อไม่รู้อะไร..บนนี้มันสามารถมองเห็นเวทีข้างล่างและพลุ

    ไฟที่จะจุดชัดเจนเลย...แล้วลื้อสามารถชมดาวกับเดือนได้ด้วย"

    ....................ทั้งสามหันลงไปมองที่เวทีและสังเกตไปรอบ ๆ

    ............................."อืม..จริงของลื้อ" โนรีเห็นด้วยและหันไปมองหน้าโมลี

    กับพี่เณร

    ............................."งั้นพวกเรานั่งดูเป็นเพื่อนกับตี๋เล็กก็ได้นี่" พี่เณรเอ่ยชวน

    ............................."จริงด้วย..ดูด้วยกันหลาย ๆคน ..สนุกดี" โมลีสนับสนุน

    .....................หมวยเล็กเห็นมีเพื่อนร่วมดูก็ให้ยินดี..จึงได้หยิบเอาผลแอปเปิ้ลที่ใส่

    จานและวางเซ่นไหว้อากงอาม้าที่ตั้งอยู่..ซึ่งบอกกล่าวลาการเซ่นไหว้แล้วจึงนำออกมา

    พลางเอ่ยขึ้น..

    .............................."ไม่ใช่สนุกอย่างเดียวนะ..อาโมลี..อั้วมีแอปเปิ้ลให้พวกลื้อกิน

    แก้หิวด้วย"

    .....................เพื่อนร่วมอุดมการณ์ในการดูมหรสพ ต่างพากันนั่งลงและหัวเราะอย่าง

    รื่นเริง....โมลีคนแรกที่หยิบผลแอปเปิ้ลมาจากจานมากินทั้งลูก...โดยมีหมวยเล็กส่งผล

    แอปเปิ้ลให้แก่คนอื่น...

    .....................โนรีกัดผลแอปเปิ้ลไปคำเดียว..ก็ให้นึกสงสัยจึงเอ่ยถามตี๋เล็ก..

    ............................."ตี๋เล็ก..ลื้อไปเอาผลแอปเปิ้ลนี้มาจากไหน"

    ......................."เตี่ยอั้วแบ่งซื้อมากจากร้านอาโก(นับถือเป็นน้องสาวเตี่ย)ตันหยง"

    ............................."ถ้าเช่นนั้น..ร้านป้าตันหยงคงขายหมดแล้ว"

    ......................."ใช่...พวกคนจีนในเมือง..เขาซื้อไปเซ่นไหว้กันหมด...เพราะมันไม่

    ค่อยมีมาขาย...จะมาทีก็ต้องรออีกนาน...เห็นอาโกบอกว่ามันถูกส่งมาทางมลายู"

    ............................."ป้าตันหยงบอกว่า..มันเป็นผลไม้ของฝรั่งไม่ใช่หรือ"

    ........................"ไม่ใช่ทีเดียวหรอก..อากงอั้วเคยบอกว่าที่เมืองจีนก็มีแอปเปิ้ลปลูก

    กินกัน"

    ............................."แล้วอากงลื้อบอกหรือเปล่าว่า..เขาปลูกกันอย่างไร"

    ........................"นี่แสดงว่า..ลื้ออยากจะปลูกมันที่เมืองเราหรือ"

    ............................."ใช่..อั้วเอาแอปเปิ้ลที่ป้าตันหยงฝากให้แม่อั้วกิน..แม่อั้ว

    ชอบรสชาดมันมาก..แต่มันหมดแล้ว...อั้วจึงอยากปลูกมันไว้ในสวน..ไว้ให้คนที่ไม่

    เคยกินได้ลองลิ้มรสมัน..และบางทีก็เก็บให้ป้าตันหยงเอาไปขาย"

    ....................ตี๋เล็กฟังโนรีอธิบายจนเข้าใจ..จึงได้หัวเราะและส่ายหน้าช้า ๆ

    พลางเอ่ยขึ้น..

    ............................"ลื้อไม่รู้อะไรอาโนรี..แอปเปิ้ลมันเป็นผลไม้เมืองหนาว

    สภาพอากาศเมืองสยามร้อนตับแล้บอย่างนี้นี่นะ..มันไม่มีวันขึ้นเด็ดขาด"

    ............................"แล้วเมืองสยามไม่มีฤดูหนาวหรือตี๋เล็ก" โนรีทักท้วง

    ............................"จริงของลื้อ..นี่หมายความว่าลื้อจะปลูกมันตอนฤดูหนาว

    นะหรือ"

    ............................"ใช่...ลื้อช่วยอั้วหน่อยนะ"

    ............................"จะให้อั้วช่วยอะไรหรือ"

    ............................"ก็ช่วยถามคนที่รู้วิธีปลูกแอปเปิ้ลว่าปลูกอย่างไร..และใช้

    อะไรเพาะพันธุ์..แล้วลื้อก็มาบอกอั้ว"

    ............................"ล่าย ๆ(ได้ ๆ)" ตี๋เล็กรับคำแต่มองหน้าโนรีอย่างไม่เชื่อ

    ว่า..นางจะปลูกต้นแอปเปิ้ลได้ผลอย่างที่คิด....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2011
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .............................."บึ้ม..บึ้ม..บึ้ม...." เสียงพลุไฟถูกจุดขึ้นไปบนท้องฟ้า

    .....................เสียงพลุไฟถูกจุดขึ้นหลังพระสวดอภิธรรมเสร็จ..มันพุ่งขึ้นไประเบิดบนท้อง

    ฟ้าเสียงดังกัมปนาท..อย่างที่คนชานเมืองไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินเสียงดังสนั่นอย่างนี้มา

    ก่อน....

    .....................ทั้งห้าแหงนมองดูพลุที่พุ่งขึ้นไประเบิดบนท้องฟ้า...หลังจากเสียงระเบิดก็มีประกาย

    ไฟแสง สีแดง..เหลือง...เขียว... ฟ้า และหลากสีนานาชนิดแตกกระจายอยู่บนท้องฟ้าและค่อย ๆล่วง

    ลงมา...โดยบนท้องฟ้าที่พลุไฟขึ้นไป..มองดูเหมือนกับ มีฉากหลังของพลุไฟถูกประดับไปด้วยความ

    มืดของท้องฟ้า..ซึ่งประดับไปด้วยดวงดาวดวงเล็ก ๆ หลากสีนับร้อย ๆ ดวง..และจันทร์ครึ่งซีก....ทำ

    ให้เห็นความสวยงามของพลุไฟชัดเจน...มันเกิดความตื่นตาตื่นใจแก่คนทั้งห้า....และผู้เฝ้าดูที่มางาน

    คนอื่น ๆ

    .....................พลุได้ถูกจุดขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกหลายสิบลูก..เสียงดังของมันที่ขึ้นไปแตกบนท้อง

    ฟ้าแต่ละครั้ง...ก็จะมีเสียงอุทาน..หรือ โห่ร้องของคนข้างล่างบริเวณลานวัด..ที่ออกเสียงเชียร์ลูก

    ระเบิดบนท้องฟ้าที่แตกสีแสงอย่างสวยงามทุกนัดที่มันดัง...ความสุขของชาวบ้านย่อมมีขึ้น...เมื่อพบ

    เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นเคยได้ยิน..ซึ่งมีความสวยงามอย่างประหลาดในสายตาของพวกเขา....รอยยิ้ม

    จึงปรากฎบนใบหน้าของทุกคน....

    ....................พลุไฟที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า...และระเบิดเสียงดังพร้อมกับให้แสงสว่างและ

    แสงสีสวยงาม....หลังจากนั้นมันก็จะค่อย ๆ ดับลงทั้งเสียงและแสงในแต่ละลูก...และลูกใหม่ก็

    จะถูกจุดส่งขึ้นไปอีก..เวียนไปนับหลายลูก...และก็มีสภาพสุดท้ายเช่นเดียวกันหมด.........

    ....................พฤติการณ์ของมันให้ข้อคิดกับผู้คนได้เป็นอย่างดีว่า ...."ถึงแม้พวกเขาจะ

    เพียรพยามที่จะขึ้นที่สูงเพื่อความโด่งดังและสวยงามหรือหรูหราแห่งชีวิต..เพื่อให้คนทั้งหลาย

    ชื่นชมกัน เฉกเช่นพลุไฟที่ขึ้นไปดังและแตกให้ความสวยงามบนท้องฟ้า.......แต่ท้ายสุดแล้ว

    ความโด่งดังและสวยงามหรือหรูหราแห่งชีวิตก็จะต้องดับสนิทไม่มีให้พบเห็นอีกต่อไป....

    ....................แต่มันจะมีปรากฎการณ์ให้หลงเหลืออยู่ได้เพียงแค่........"ความทรงจำที่

    ปรากฎขึ้นที่ใจเท่านั้น...ตราบเมื่อพวกเขายังไม่ลืมมัน".............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2241.JPG
      IMG_2241.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      40
    • IMG_2242.JPG
      IMG_2242.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      43
    • IMG_2243.JPG
      IMG_2243.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      35
    • IMG_2246.JPG
      IMG_2246.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.9 MB
      เปิดดู:
      39
    • IMG_2247.JPG
      IMG_2247.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2 MB
      เปิดดู:
      43
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2011
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เสียงพลุระเบิดดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเสียงของมันไปกระทบกับเนินสูง

    ด้านหลังฮวงจุ้ย...ทำให้เสียงดังนั้นสะท้อนกลับมายังคนทั้งห้าที่อยู่หน้าเนิน...โมลีถึงกับ

    เอานิ้วชี้มือทั้งสองอุดหูไว้พร้อมกับอุทานอย่างดังแข่งกับเสียงพลุ

    ............................"โอ้โห..ทำไมมันดังแสบแก้วหูอย่างนี้นะ"

    .....................หมวยเล็กเห็นอาการเพื่อนเช่นนั้น..ถึงกับหัวเราะด้วยเห็นเป็นเรื่อง

    ตลก...จึงเอ่ยขึ้น..

    ............................"อาโมลี..ลื้อมาดูพลุไฟ แล้วเอามืออุดหูอย่างนี้จะได้ยิน

    เสียงมันได้อย่างไร"

    .....................ขณะหมวยเล็กพูดโมลีเอานิ้วออกจากหู....เพื่อฟังหมวยเล็กพูด แล้ว

    เอ่ยตอบ...

    ............................"อั้วหนวกหู..ไม่คิดว่ามันจะดังขนาดนี้..แล้วลื้อไม่หนวกหู

    หรือ"

    ........................"อั้วฟังมันจนชินแล้ว...พลุไฟมันต้องดูและฟังทั้งสองอย่าง..

    ลื้อมาดูพลุไฟ..แล้วถ้าไม่ฟังเสียงมัน...ถือว่าลื้อดูพลุไม่สมบูรณ์นะ อาโมลี"

    ............................"งั้น..อั้วเอานิ้วออกจากหูก็ได้"

    .....................เสียงพลุดังถี่ยิบทำให้โมลีถึงกับสดุ้งทุกครั้งที่มันดังกัมปนาท..

    แต่ก็ไม่เอานิ้วอุดหูอีกด้วยเกรงว่า.."การดูพลุจะไม่สมบูรณ์อย่างหมวยเล็กแจง"
     
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลังการจุดพลุไฟเสร็จสิ้น..การแสดงมโนราห์และงิ้วก็เริ่มขึ้น..

    เวทีของการแสดงงิ้วจะมีคนดูมากกว่า..ทั้งชาวจีนและชาวสยามคนชานเมือง..ด้วย

    มโนราห์นั้นชาวบ้านเคยดูมาแล้ว..แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เคยดูมาก่อนก็คือ "งิ้ว"...แต่แล้ว

    พวกชาวบ้านก็พบปัญหาที่ฟังผู้เล่นงิ้วบนเวทีพูดกันไม่รู้เรื่อง..ไม่เข้าใจภาษาจีน...ด้วยการ

    แสดงงิ้วนั้นต้องพูดเป็นภาษาจีนทั้งหมด...จึงได้ดูเพียงการร่ายรำไปมา..กับ การต่อสู้ด้วย

    ทวนและดาบ..โดยไม่ได้คำนึงถึงคำพูดของผู้แสดง...และเดาเรื่องราวเอาเอง...ซึ่งชาว

    บ้านก็รู้สึกสนุกสนาน..ที่นักแสดงแต่ละตัวเขียนหน้าตาดูตลกบ้าง...น่ากลัวบ้าง...และทำ

    ตาลุกพองเวลาพูดส่งเสียงดัง...ของแปลกใหม่และสนุกสนานใครก็ชอบ......

    .....................การแสดงงิ้วกำลังเล่นเรื่องของ "สามก๊ก"..ตอนที่เล่าปี่กับน้องร่วม

    สาบานทั้งสอง คือ กวนอูและเตียวหุย...ขึ้นเขาโงวลังตั๋ง ..เพื่อไปขอให้ขงเบ้งหรือ

    ฮกหลง(มังกร)แห่งเขาโงวลังตั๋งมาช่วยเหลือในการสู้รบกู้แผ่นดิน....

    .....................โนรี โมลี และ พี่เณร ต่างก็ไม่เข้าใจเรื่องราว และ คำพูดของผู้แสดง

    งิ้ว...ที่พูดเป็นภาษาจีนทั้งหมด........โนรีจึงถามตี๋เล็กให้อธิบายหรือบรรยายแปลภาษา

    ประกอบ...โดยมีหมวยเล็กนั่งหัวเราะอยู่ข้าง ๆ

    ............................."ตี๋เล็ก..แล้วขงเบ้งเก่งอย่างไร..เล่าปี่กับน้องจึงต้องไปเชิญให้

    มาร่วมทัพถึงสามครั้ง"

    ............................."อาโนรี..ลื้อไม่เคยอ่านนิยายเรื่องสามก๊กเลยหรือ..ลื้อถึงไม่รู้

    เรื่องอะไรเลย"

    ............................."อั้วไม่เคยมีหนังสืออย่างนั้น..ถ้ามีอั้วคงอ่าน..เอาว่าลื้อบอก

    มาก่อนว่าขงเบ้งเก่งอย่างไร"

    ............................."ท่านขงเบ้งเก่งเอามาก ๆ เลย พอเข้าร่วมกับท่านเล่าปี่ก็ทำให้

    ชนะมาตลอด..ท่านมีปัญญาเป็นเลิศ ก๊กโจโฉ กับ ก๊กซุนกวน ต่างก็ยำเกรงท่าน...ลื้อมอง

    ไปดูบนท้องฟ้าสิ...แล้วลื้อลองนับดวงดาวให้อั้วดูว่ามีกี่ดวง"

    .....................โนรีและทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็แหงนหน้ามองดูดวงดาวที่เปล่งประกาย

    ระยิบระยับบนท้องฟ้า...แล้วโนรีก็เอ่ยขึ้น...

    .........................."ดวงดาวต้องมากมายขนาดนี้..ใครจะนับได้หมดท้องฟ้า"

    .....................โนรีพูดจบ..ตี๋เล็กก็หัวเราะออกมา..พร้อมกับพูดขึ้น

    ............................"มันนับยากใช่ไหม..ถึงจะรู้ว่ามีกี่ดวง"

    ............................"อั้วว่า..ไม่มีใครนับดวงดาวได้หมดหรอก" พี่เณรเอ่ย

    แสดงความเห็นหลังเป็นผู้ฟังอย่างสงบในฐานะพี่ใหญ่ที่ดีอยู่นาน

    ............................"เฮียเณร(พี่เณร)..ลื้อไม่รู้อะไร ท่านขงเบ้งท่านนับดวง

    ดาวได้หมดท้องฟ้าเลยรู้ไหม"

    ........................"หา" โนรี โมลีและพี่เณรยกเว้นหมวยเล็กอุทานพร้อมกัน

    ............................"เป็นไปได้อย่างไร" โมลีส่งเสียงขึ้นด้วยสงสัยมาก

    ............................"มันเป็นเรื่องจริง ท่านขงเบ้ง ท่านอยู่บนเขาโงวลังตั๋ง

    อย่างสงบ ทุกคืนท่านจะออกมาดูดวงดาวและใช้การสังเกตจดบันทึกเอาไว้..และ

    เพียรพยายามนับดาวจนหมดท้องฟ้า....อั้วเองก็จำไม่ได้ว่าที่ท่านขงเบ้งจดนับไว้

    มีกี่ดวง" ตี๋เล็กอธิบาย

    ....................โนรี โมลี และพี่เณร ประหลาดใจและฉงนในคำบอกเล่าของตี๋เล็กมาก..

    หากท่านขงเบ้งนับดวงดาวบนท้องฟ้าได้หมดจริง...ท่านคงไม่ใช่คนธรรมดา..น่า

    จะเป็นยอดคนมากกว่า.........ทั้งสามไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลยว่า "มีผู้ใดที่

    สามารถนับดวงดาวได้หมดท้องฟ้า"

    .....................แม้ขณะนี้ ทั้งห้าสหายจะเลิกสนใจดูงิ้วและหันมานอนดูบนท้อง

    ฟ้าเพื่อนับดูดวงดาวอย่างขงเบ้ง...ก็นับได้เพียงไม่เกิน 100 ดวง..จากที่ดูด้วย

    สายตามันน่าจะมีหลายพันดวง....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ตุลาคม 2011
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................การแสดงงิ้วและมโนราห์เลิกเกือบเที่ยงคืน..ตี๋เล็กและหมวยเล็กขอ

    ตามเฮียเณรไปเป็นเพื่อนส่งโนรีและโมลีที่บ้านด้วย...ด้วยตนเองไม่เคยไปบ้านสองพี่น้อง

    มาก่อน...

    ....................ตี๋เล็กเอารถลากที่ขนโลงศพของอากงอาม้ามาเทียมกับม้าสองตัว....

    พร้อมกับนำตะเกียงเจ้าพายุที่ให้แสงสว่างจ้าไปด้วย...และทั้งห้าก็ขึ้นรถลากเดินทางมุ่งสู่

    บ้านสองพี่น้อง.....

    ....................ระหว่างทางหมวยเล็กซึ่งนั่งอยู่ด้านท้ายกับโมลี.....ได้เอ่ยขึ้นเกี่ยวกับ

    กระดาษที่โมลีซื้อไปจากร้านเป็นจำนวนมากเมื่อวันก่อน

    ............................"อาโมลี..ลื้อซื้อกระดาษวาดภาพไปทำไมต้องมากมาย"

    ............................"อั้วจะเอาไปวาดภาพอะไรบางอย่าง"

    ............................"แล้วทำไมลื้อไม่ซื้อสีน้ำกับพู่กันระบายสีไปด้วย"

    ............................"อั้วจะวาดภาพด้วยดินสอแลเงาดูก่อน..ถ้ามันดีอั้วถึงจะลองใช้

    สีน้ำวาดภาพ"

    ............................"ลื้อจะวาดรูปอะไร" หมวยเล็กถามด้วยอยากรู้

    ............................"อั้วจะวาดภาพตามเสียงขลุ่ยของโนรี"

    ............................"เสียงขลุ่ยของพี่สาวลื้อมีภาพได้อย่างไร"

    ............................"ลื้อไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโนรี..โนรีเป่าเสียงขลุ่ยเสร็จก็จำเสียง

    ขลุ่ยที่ตนเองเป่าไม่ได้แล้ว...เสียงขลุ่ยที่เป็นเพลงที่โนรีเป่าขึ้นจึงเป่าได้เพียงครั้ง

    เดียว....แต่อั้วฟังเสียงขลุ่ยของโนรีแล้วอั้วจำได้..และเข้าใจความหมายของเสียง

    ขลุ่ย...อั้วจึงอยากวาดภาพตามเสียงขลุ่ย.........แล้วอั้วจะเขียนบทเพลงและคำ

    บรรยายและความหมายของเสียงขลุ่ยไว้ในภาพ..อั้วอยากเก็บไว้ให้พ่อของอั้วดู

    ตอนพ่ออั้วกลับจากญี่ปุ่น"(ก็ต้องขอบอกว่า"สิ่งที่โมลีทำขึ้นนี้" ต่อมามันคือ สิ่งที่

    ล้ำค่ายิ่ง..ต่อผู้ที่ค้นพบภาพวาดและบทเพลงคำบรรยายความหมายในกาลต่อมา)

    ............................"ญี่ปุ่น...พ่อลื้อไปทำไมญี่ปุ่น" หมวยเล็กถามอย่างสงสัย

    ............................"ก็พ่ออั้วเป็นชาวญี่ปุ่น..และปู่กับย่าอั้วก็อยู่ที่ญี่ปุ่น..ตั้งแต่

    เกิดมาอั้วยังไม่เคยเห็นหน้าพ่อของอั้วเลย...แต่แม่อั้วบอกว่าพ่อมีหน้าตาเหมือนกับ

    โนรี"

    ............................"ถ้าเหมือนอาโนรี..พ่อของลื้อต้องหล่อเอามาก ๆเลย"

    ....................โมลีหัวเราะด้วยชอบใจในคำชมหมวยเล็กที่ชมพ่อตนเอง..ทั้งที่

    ตนเองก็ยังไม่รู้ว่าพ่อหล่อจริงหรือไม่..พลอยทำให้หมวยเล็กนึกขำตามไปด้วย...

    ............................"ถ้าตอนกลางวันอั้วว่างจากขายของในร้าน..อั้วมาหาลื้อที่บ้าน

    ได้ไหม...อั้วอยากไปเที่ยวที่สวนของลื้อจัง"

    ............................"ได้เลย..แล้วชวนเฮียตี๋เล็กมาด้วย...แล้วอั้วจะให้รางสาดกับ

    เงาะให้ลื้อเอาไปฝากเตี่ยกับแม่ของลื้อด้วย"

    ............................"แล้วถ้าเป็นแอปเปิ้ลที่อาโนรีจะปลูกล่ะ" หมวยเล็กแกล้ง

    กระเส้าไปยังโนรี

    ............................"สงสัยลื้อต้องกลับมาเกิดใหม่ ถึงจะได้กินมั้ง"

    .....................คำพูดของโมลีทำให้หมวยเล็กถึงกับขำจนหัวเราะไม่หยุด.....

    เพราะโมลีและหมวยเล็กเองต่างก็เชื่อตามตี๋เล็กว่า "แอปเปิ้ลไม่สามารถปลูกใน

    เมืองสยามได้"......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................รถลากเทียมม้ามาถึงบ้านโนรีและโมลี...ทั้งหมดก็ลงจากรถและส่ง

    โนรีและโมลีที่หน้าประตูรั้วบ้านโดยมีบันตาเดินถือตะเกียงเจ้าพายุออกมารับ...แล้วพี่เณร

    ตี๋เล็กและหมวยเล็กก็เดินทางกลับวัด....โดยพี่เณรนั้นจะต้องกลับมานอนที่กุฏิของวัดที่ตน

    พักอาศัยอยู่ตั้งแต่ก่อนบวชเป็นเณร..ระหว่างเป็นเณรและสึกจากเณร...ส่วนตี๋เล็กและหมวย

    เล็กต่างก็ต้องนอนบนศาลาวัดเช่นเดียวกับชาวจีนคนอื่นที่พักค้างคืนที่วัด.....

    .....................ระหว่างเดินทางกลับวัด...หมวยเล็กนั้นม่อยหลับอยู่กลางรถ ท่าม

    กลางความเงียบสงัดของยามค่ำคืน...โดยบนท้องฟ้ายังคงปรากฎดวงดาวอันสวยงาม

    สว่างระยิบระยับคู่กับเดือนครึ่งซีก.....

    .....................พี่เณรนังถือเชือกบังคับม้าอยู่หน้ารถคู่กับตี๋เล็ก...ซึ่งชายคู่นี้มีอายุต่าง

    กันเพียง 2 ปีเท่านั้น....

    .....................พี่เณรมีความรู้สึกถึงการแสดงออกของตี๋เล็กว่า"มีความชอบและเสน่หา

    ในตัวโนรี แม้จะเป็นเพื่อนกับโนรีก็ตาม" .........จึงได้เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาด้วยน้ำ

    เสียงราบเรียบ...

    ............................."ตี๋เล็ก ..ลื้อชอบน้องโนรีหรือ"

    .....................ตี๋เล็กมีอาการตื่นภายในใจเล็กน้อย..แต่ก็นิ่งเงียบและหันมองหน้าพี่

    เณรซึ่งกำลังดูทางช้างหน้า..แล้วเอ่ยขึ้น....

    ............................."แล้วเฮียเณรล่ะ..ไม่ชอบโนรีหรอกหรือ"

    .....................เงียบไม่มีเสียงตอบจากพี่เณร โดยพี่เณรยังคงมองไปข้างหน้าไม่มีที

    ท่าหันมามองตี๋เล็ก...ทำให้ตี๋เล็กรู้สึกอึดอัดไม่น้อย...จึงได้พูดอธิบายความในใจของตน

    ............................."อาโนรี..เป็นคนที่ใครได้เห็นหรืออยู่ใกล้ก็ทำให้ผู้นั้นมีความสุข

    ความเย็นใจ...แม้แต่เตี่ยและแม่อั้ว..เห็นโนรีครั้งใด..เป็นต้องอารมณ์ดีมีความสุขทุก

    ครั้ง...สำหรับตัวอั้ว...อั้วไม่รู้ตัวเอง...ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร..อั้วอยากเห็นอยากอยู่ใกล้

    โนรี...อั้วยอมรับว่าชอบโนรี"

    ....................คำอธิบายของตี๋เล็ก..ทำให้พี่เณรหันไปมองหน้าแล้วเอ่ยขึ้น

    ................................"ถ้าเช่นนั้น..ลื้อก็จงมาดูแลนางให้ดี"

    ................................"แล้วเฮีย..รู้สึกอย่างไรกับโนรี"

    ................................"อั้วเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับลื้อ..โดยเฉพาะความรู้สึก

    เย็นตาเย็นใจที่พบเห็น..มันต่างจากคนอื่นที่อั้วเคยพบเห็น..มันน่าจะมีอะไร

    บางอย่างที่ทำให้นางต่างจากคนอื่น"

    ................................"จริงอย่างที่เฮียพูด..อี(เธอ)เหมือนกับจันทร์เพ็ญที่ดู

    แล้วเย็นตาเย็นใจ"

    ................................"จันทร์เพ็ญ" พี่เณรอุทานเบา ๆ แล้วลำดับเหตุการณ์

    ความรู้สึกที่พบเห็นโนรี...และความรู้สึกที่ได้เคยดูจันทร์เพ็ญ ก็พบว่า "เป็นจริง

    ตามที่ตี๋เล็กพูด"...

    ....................พี่เณร ตี๋เล็ก และ หมวยเล็ก มาถึงวัดโนรีนรารามราวตีหนึ่งเศษ

    แล้วต่างก็แยกย้ายกันไปนอน..จนถึงรุ่งเช้าเหล่าชาวจีนที่พักค้างคืนก็ทยอยกลับ

    เมืองสุราษฎร์ธานี........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2011
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..ตอนที่ 49 ธรรมะกับความพยายามปลูกต้นแอปเปิ้ล..


    ....................เจ็ดวันต่อมาที่หลังบ้านของบันตา..กะละมังใบใหญ่ที่ใส่ดินชื่นไว้เต็ม

    ถูกห้อมล้อมไปด้วยสามแม่ลูก...ที่ต่างก็มือเปื้อนดินทั้งสองข้างหลังขุดดินแล้วเอา "เมล็ด

    แอปเปิ้ลมาเพาะพันธุ์"......

    ............................"แม่คิดว่ามันจะขึ้นหรือจ๊ะ...เรายังไม่รู้วิธีเพาะปลูกดูแลมันเลย

    นะจ๊ะแม่" โนรีเอ่ยเตือนบันตาที่พยายามเอาเมล็ดแอปเปิ้ลที่เก็บไว้จากการกินแอปเปิ้ล 5

    ลูกที่ป้าตันหยงฝากมาให้..มาเพาะปลูกที่กะลังมังใบใหญ่...

    ............................"เฮียตี๋เล็กบอกว่า..มันเป็นต้นไม้เมืองหนาว บ้านเราก็ยังไม่ถึง

    ฤดูหนาวเลย" โมลีเอ่ยเสริมพี่สาวตามที่ได้ยินตี๋เล็กพูดกับพี่สาวในคืนวันแห่ศพ..

    ............................"แม่คิดว่า..เราต้องลองดูก่อน..เพราะว่าเมล็ดแอปเปิ้ลที่เรารวบ

    รวมได้มันมีน้อย..และทิ้งมันแห้งไว้นาน..เมล็ดมันอาจเสียได้นะลูก" บันตาเอ่ยอธิบาย

    และให้ความเห็น

    ............................"แต่ต้นแอปเปิ้ลจะเพาะปลูกโดยใช้เมล็ดหรือไม่..เรายังไม่รู้

    เลย....หนูขอให้ตี๋เล็กไปถามคนรู้วิธีเพาะปลูกแล้วให้มาบอกหนู..แม่รอตี๋เล็กก่อนไม่ได้

    หรือจ๊ะ" โนรีแย้งในสิ่งที่นางคิด

    ............................"ผลไม้ทุกอย่างนะลูก...มันจะมีเมล็ดของมันไว้ขยายพันธุ์ทั้งนั้น

    แหละ...แต่ที่เราต้องเพาะปลูกวันนี้ก็อย่างที่แม่บอก...เก็บเมล็ดไว้นานมันอาจเสียได้..เรา

    ลองดูก่อน..แล้วคอยเวลาสักสองสามอาทิตย์..ถ้ามันไม่ขึ้นเราถึงขุดเมล็ดเอาขึ้นมาใหม่"

    .....................สามแม่ลูกนั่งมองดูดินในกะละมังด้วยความหวัง..ก่อนที่จะยกไปเก็บที่

    เรือนเพาะชำ....




    .....................สามอาทิตย์ต่อมา..ช่วงเช้าวันใหม่..กะละมังเพาะเมล็ดแอปเปิ้ลถูก

    สามแม่ลูกยกมาตั้งไว้ที่แคร่ข้างบันไดขึ้นบ้าน...บันตา โนรี และ โมลี ต่างก็พยายามสังเกต

    มองดูว่า "มีต้นไม้อ่อนสีเขียวเล็ก ๆขึ้นมาจากดินหรือไม่"........อันเป็นการยืนยันผลงาน

    ว่า..."สิ่งที่สามแม่ลูกช่วยกันเพาะเมล็ดแอปเปิ้ลเป็นผลสำเร็จ..แต่ก็ต้องผิดหวัง"

    ............................"ช่วยกันขุดเอาทุกเมล็ดออกมาดูก่อนลูก" บันตาสั่งลูกทั้งสอง

    ด้วยเสียงเข้ม

    .....................หลังจากทุกเมล็ดถูกขุดขึ้นมา..ทุกคนก็เห็นว่า "เมล็ดแอปเปิ้ลยังคงมี

    ลักษณะเช่นเดิม..ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย" บันตานั่งมองเมล็ดพันธุ์อย่างสงบนิ่งอยู่ชั่ว

    ครูแล้วจึงเอ่ยขึ้น..

    ............................."ใกล้เข้าฤดูฝนแล้ว..เราคงต้องเก็บเมล็ดเอาไว้ก่อน" บันตา

    เอ่ยขึ้นด้วยคิดว่า ผลไม้แอปเปิ้ลในเมื่อเกิดขึ้นที่เมืองหนาว..มันจึงไม่น่าจะชอบความชุ่ม

    ชื่นของน้ำฝน..น้ำฝนอาจทำให้เมล็ดพันธุ์เสียหายได้.....

    .....................สามแม่ลูกจึงเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ในแก้วเปล่าที่เตรียมไว้

    .....................บันตา โนรีและโมลี..นั่งเรียงแถวอยู่ที่บันไดขั้นที่ห้า..และหันหน้าไป

    ทางรั้วหน้าบ้าน..โนรีสังเกตเห็นต้นไม้ใหญ่ที่หน้าบ้านถูกลมกระโชกพัดผ่านไปมา..ใบไม้

    หลายใบถูกสายลมกระชากหลุดล่วงจากต้น...แรงลมหอบเอาฝุ่นพัดเลยผ่านมาปะทะหน้า

    สามแม่ลูกจนต้องหยีตาเพื่อกันไม่ให้ฝุ่นเข้าตา..หลังลมสงบโนรีเพ่งมองไปที่ต้นไม้ใหญ่

    นั้น..พลางเอ่ยถามผู้เป็นแม่ด้วยความสงสัย....

    ............................"แม่จ๊ะ..ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ทั่วไปมันเป็นสิ่งมีชีวิตไหมจ้ะ"

    ....................คำถามของโนรีทำให้แม่และน้องสาวหันหน้ามามองโนรีอย่าง

    พร้อมเพรียงกัน...

    ............................"มันเป็นสิ่งที่มีชีวิตนะลูก เพราะมันเจริญเติบโตได้ แต่มัน

    ไม่มีวิญญาณในการรับรู้"

    ............................"แม่รู้ได้อย่างไรจ๊ะ"

    ............................"พ่อท่านเคยเอาคำสอนของพระพุทธองค์ที่เคยตรัสแสดง

    ไว้มาเทศน์บอกชาวบ้าน..ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ก็รับรองว่าเป็นเช่นนั้น"

    ............................"แล้วแม่คิดว่ามันเป็นจริงตามที่วิทยาศาสตร์หรือพระ

    พุทธองค์ตรัสแสดงไว้หรือ"

    ....................บันตาเริ่มรู้สึกว่า "ลูกสาวคนโตจะต้องเริ่มคิดหาเหตุผลอะไร

    บางอย่าง"..นางจึงนั่งสงบทำใจตั้งมั่นอยู่ครู่หนึ่ง..เพื่อรวบรวมคำอธิบายคำสอน

    ทางศาสนาที่นางยึดถืออยู่ให้ลูกสาวคนโตเข้าใจ

    ............................"โนรีฟังแม่นะลูก...คนที่ตั้งกฏสั่งสอนคนอื่นไม่ให้พูดปด

    และตั้งออกมาเป็นศีลข้อที่ 4 ..เขาจะใช้วาจาพูดทำลายกฎที่ตนเองตั้งไว้เพื่อสั่ง

    สอนคนอื่นหรือ...พระพุทธองค์ไม่เคยพูดปดท่านตรัสแต่ความจริงให้ผู้คนรับรู้และ

    เข้าใจในโลกนี้...ตรัสให้เห็นธรรมชาติของโลกว่าเป็นอย่างไร...มีลักษณะอย่าง

    ไร.....เหตุที่พระพุทธองค์ท่านพูดแต่ความจริง...มาแต่อดีตชาติจนถึงชาติที่ตรัสรู้

    อานิสงฆ์นี้จึงทำให้พระองค์ท่าน..มีฟันที่เรียบเรียงกันเป็นระเบียบอย่างสวยงามไม่

    มีบิดเก..ฟันของโนรีและแม่ก็เรียงกันเป็นระเบียบเรียงกันอย่างสวยงาม..แสดงว่า

    เราสองคนไม่เคยสร้างกรรมทางวาจา..ด้วยการพูดปด..เราสองคนจะต้องทำกุศล

    ด้วยการพูดจริงมาตลอดในชาติก่อน ๆ"

    ....................โมลีนั่งฟังอยู่ให้นึกสงสัยว่า "ตนเองมีฟันไม่เหมือนแม่และพี่สาว"

    แต่ฟันคู่หน้าของตนนั้นมีลักษณะเป็นฟันกระต่ายเล็ก ๆ แถมยังมีเขี้ยวเล็ก ๆ ทั้ง

    สองข้าง..แต่ก็เรียงจัดเป็นระเบียบดูน่ารัก..จึงได้แย้งขึ้นทันที

    ............................."อ้าว...แล้วฟันของหนูที่เป็นฟันกระต่ายไม่เหมือนแม่กับ

    โนรี..มันมาจากกุศลอะไรกันจ๊ะแม่"

    .....................คำถามของโมลีทำให้ความตรึงเครียดในการอธิบายของบันตา

    ให้แก่โนรีเปลี่ยนเป็นอารมณ์ขัน...โดยนางแสดงอาการยิ้มออกทางแววตาขณะที่

    มองโนรีอยู่...ซึ่งโนรีก็รับรู้ในอารมณ์นั้น...แล้วทั้งคู่ก็หันกลับมาทางโมลีน้องเล็ก

    ทันที....

    ............................"มันไม่ใช่กุศลหรอกลูก..แต่มันเป็นกรรมของการพูดจริง

    บ้างไม่จริงบ้างแต่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน..เพราะกุศลของหนูคือ..การโกหกเพื่อ

    ทำให้คนอื่นมีความสุขมันไม่ได้โกหกเพื่อทำร้ายคนอื่น...มันจึงมีฟันกระต่ายที่สวย

    งามอย่างหนูนี่ไง"

    ....................คำอธิบายของแม่ทำให้โมลีน้องเล็กถึงกับยิ้มออกแล้วพูดชมตัว

    เองทันที

    ............................"งั้นแสดงว่า ชาติก่อน ๆ หนูพูดดี"

    ............................"ใช่..ชาตินี้หนูก็ยังพูดดีอีก" เสียงกระเส้าแหย่จากพี่สาว

    ที่นึกขันในตัวน้องสาว

    ............................"แล้ว..ถ้าพูดให้ร้ายคนเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะแม่" โมลีถาม

    ต่อด้วยสงสัย

    ............................"ถ้าโกหกให้ร้ายคน กรรมมันจะทำให้เป็นคนฟันใหญ่ไม่

    เท่ากันบ้าง..ฟันห่างกันบ้าง..บางคนก็ฟันเบียดกัน ฟันบิดเก...เอาเป็นว่าถ้าฟันดู

    ไม่สวยงามมันจะแสดงออกถึงคนนั้นเคยทำกรรมไม่ดีทางคำพูดในอดีตชาติ"...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3-2.jpg
      3-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.7 KB
      เปิดดู:
      52
    • 105197779.jpg
      105197779.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102.4 KB
      เปิดดู:
      42
    • 20091119133916.jpg
      20091119133916.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.1 KB
      เปิดดู:
      40
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ............................"แม่จ๋า..อธิบายต่อเรื่องต้นไม้เถอะจ๊ะ" โนรีเตือนแม่ทำให้

    บันตากลับมาอธิบายต่อ

    ............................"พระพุทธองค์ตรัสว่า..สิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณหรือความ

    รู้สึกในการรับรู้ คือ คนหรือสัตว์...ส่วนสิ่งมีชิวิตไม่มีวิญญาณหรือความรู้สึกรับรู้ก็

    คือพวกต้นไม้หรือพืช...แม้มันจะเจริญเติบโตและออกผลได้มันก็ไม่มีความรู้สึก..

    การตัดต้นไม้พระพุทธองค์จึงว่า.....ไม่เป็นการผิดศีลข้อที่หนึ่งที่เรียกว่า ฆ่าสัตว์

    ตัดชีวิต"

    ............................."แล้วทำไม..พระหรือเณรเด็ดหรือตัดต้นไม้สีเขียวจึงผิด"

    ............................."ใครบอกลูกล่ะจ๊ะ"

    ............................."พี่เณรบอกว่า..ตอนบวชเณรอยู่ พ่อท่านไม่ให้ตัดหรือ

    เด็ดพืชสีเขียว..พี่เณรบอกว่า พ่อท่านถือว่าผิดเป็นอาบัติ"

    ............................."มันเป็นวินัยของสงฆ์..แต่ไม่ใช่การฆ่าสัตว์.........พระ

    พุทธองค์ท่านเกรงว่า..พืชสีเขียวอาจจะมีแมลงหรือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ....ที่ต้นพืชสี

    เขียว..เมื่อพระหรือเณรไปเด็ดหรือตัดเข้า..อาจทำให้แมลงหรือสิ่งมีชิวิตเล็ก ๆ ตาย

    หรือได้รับอันตรายได้...ท่านจึงตั้งกฏเพื่อให้พระหรือเณรระวังข้อนี้เอาไว้ต่างหาก..

    แล้วหนูคิดอย่างไรกับต้นไม้ล่ะลูก"

    ....................โนรีนิ่งเงียบอย่างพิจารณา..แล้วจึงเอ่ยตามความเชื่อของตน..

    บอกให้แม่ได้รับรู้

    ........................."หนูคิดว่า..ต้นไม้มันน่าจะรับรู้เราได้"

    .....................โนรีมีความเชื่อมั่นในความคิดของนางว่า..ต้นไม้จะต้องมีความ

    รู้สึกรับรู้ได้"..ซึ่งนางเห็นต่างไปจากคำอธิบายของแม่...มันจึงทำให้นางคืดที่จะ

    "พิสูจน์ความคิดของนางในกาลต่อมา"............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เช้าวันนั้น..บันตาตัดสินใจที่จะเข้าตลาดเพื่อหาดูผลแอปเปิ้ลที่ร้านป้า

    ตันหยง...พร้อมกับนำเอายางพาราแผ่น...ที่นางกรีดน้ำยางจากต้นยางพาราไว้หลายวัน

    และนำมาทำเป็นยางแผ่นตากไว้เอาไปส่งที่ร้านในตลาด..โดยมีลูกทั้งสองติดตามไปด้วย

    ....................ระหว่างทาง โมลีได้เอ่ยถามบันตาถึงพี่เณร ด้วยไม่เห็นมาหลายวัน

    ............................."แม่จ๋า..เมื่อเช้าพี่เณรตามพ่อท่านมาบิณฑบาตไหมจ๊ะ"

    ............................."ไม่ได้มาหรอกลูก"

    ............................."พี่เณร..เขาหายไปไหนต้องหลายวันแล้ว"

    ....................คำถามของน้องสาวทำให้โนรีตั้งใจฟัง..ด้วยสงสัยเช่นกันที่พี่เณรเคยมา

    ช่วยนางเก็บผลไม้เกือบทุกวัน..แต่หลายวันแล้วที่พี่เณรไม่โผล่หน้ามาเลย

    .............................."พ่อท่านใช้ให้ไปหาญาติพ่อท่านที่ปัตตานี"

    .............................."ไปธุระอะไรถึงปัตตานีจ๊ะแม่" โนรีเอ่ยถามบ้างด้วยอยากรู้

    .............................."พ่อท่านเขียนหนังสือให้พี่เณร..นำไปให้ญาติพ่อท่านช่วยหา

    ไม้จำนวนมาก..เอามาทำการก่อสร้างภายในวัดหลายอย่าง...ท่านคงคิดจะต่อเติมศาลาวัด

    หรือสร้างกุฏิขึ้นอีก"

    ....................สองพี่น้องรู้เหตุที่พี่เณรหายไป..จึงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง..แล้วโมลีจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"พี่เณร..เขาอยู่กับพ่อท่านมาแต่เล็กเลยหรือจ๊ะแม่"

    ............................"มาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ พี่เณรเป็นลูกชายของพี่ชายพ่อท่าน..

    ตอนที่พี่เณรมา...พ่อกับแม่พี่เณรก็มาอยู่ช่วยงานที่วัดด้วย....จนพี่เณรอายุได้ 8 ขวบ..พ่อ

    กับแม่ได้ให้พ่อท่านบวชพี่เณรเป็นเณร...แล้วพ่อกับแม่พี่เณรก็หายไปเลยไม่กลับมาอีก...

    ไม่มีใครรู้ว่าอยู่แห่งหนตำบลใด"

    ....................โนรีเพิ่งทราบประวัติคร่าว ๆ ของพี่เณรก็ให้รู้สึกสงสารที่พี่เณรนั้นไม่มี

    ทั้งพ่อและแม่...ซึ่งนางยังดีกว่าที่ยังมีแม่คอยดูแลรักใคร่ให้ความอบอุ่น......อาจจะเป็น

    เพราะพี่เณรไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน...นอกจากพ่อท่านที่เป็น "หลวงอา"....และเห็นว่า

    "ครอบครัวของนางกับพ่อท่านเคารพนับถือกันดุจญาติ..พี่เณรจึงไม่ได้เห็นพวกนางเป็น

    คนอื่น..และรักใคร่พวกนางเหมือนญาติผู้น้อง..เมื่อสึกจากเณร จึงคอยดูแลช่วย

    เหลือทางวัดและทางบ้านของนางโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย...

    ............................"สงสารพี่เณรจัง หนูกะว่า ถ้าพี่เณรอยู่..หนูจะชวนให้พี่เณรพา

    ไปลำน้ำตาปี" (ตาปีแม่น้ำไลผ่านเมืองสุราษฎร์) โมลีเอ่ยความรู้สึกและเหตุผลที่ตนเอง

    ถามหาพี่เณร

    ............................"ไปทำไมลำน้ำตาปี น้ำมันลึกมากนะ แล้วโมลีก็ว่ายน้ำไม่

    เป็นด้วย" โนรีเอ่ยขัดด้วยกลัวน้องสาวจะไปเพื่อเล่นน้ำ

    ............................"หนูไม่ได้ไปเล่นน้ำ..หนูจะให้พี่เณรเขาช่วยขุดเอาดิน

    เหนียวที่ริมตลิ่งเยอะ ๆ ใส่เกวียนเอามาบ้าน"

    .....................โนรีและแม่หันมาสบตากัน..ด้วยสงสัยว่า "น้องเล็กจะเอาดิน

    เหนียวมาทำอะไร" บันตาจึงเอ่ยถามขึ้น

    ............................."หนูจะเอาดินเหนียวมาทำอะไรกันล่ะจ๊ะลูก"

    ............................."หนูจะเอามันมาปั้นรูปปั้นหุ่น"

    .....................ทันทีที่โมลีพูดจบ..โนรีมองหน้าแม่ที่กำลังยิ้มอยู่..และนางก็เริ่ม

    หัวเราะอย่างเบา ๆ ก่อนเอ่ยขึ้น

    ............................."พี่เห็นกระดาษวาดภาพที่ซื้อมา..โมลียังไม่ได้เขียนอะไร

    สักรูปหนึ่งเลย..แล้วจะหันมาปั้นรูปปั้นอีกแล้วหรือนี่"

    ............................."เรื่องของวาดภาพมันต้องรอเวลานะจ๊ะคุณหญิงโนรี...

    แล้วโนรีจะรู้ว่าหนูวาดภาพอะไร...แต่เรื่องปั้นหุ่นไม่ต้องรอ..ลุยได้เลย"

    .....................โมลีพูดจบก็ยิ้มและหัวเราะออกมา..ทำให้แม่และพี่สาวต้อง

    หัวเราะตามด้วยความขัน.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 20110504109_02.jpg
      20110504109_02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.7 KB
      เปิดดู:
      46
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      189
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ที่ร้านของตี๋เล็ก ซึ่งเป็นห้องแถวต่างจากร้านค้าที่ชาวบ้านนำสินค้ามา

    ขายที่กลางลานกว้าง...

    ....................หมวยเล็กนั่งเฝ้าร้านอยู่หน้าร้านคนเดียว..หมวยเล็กนั่งถอนหายใจอย่าง

    เหนื่อยอ่อน..ที่ต้องมาขายของอยู่ในร้านเพียงคนเดียวมาหลายวันโดยไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่

    ไหน...เพราะเฮียตี๋ใหญ่(พี่ชายคนโต)และเฮียตี๋เล็กไม่อยู่บ้าน...

    ....................หมวยเล็กนั่งคิดถึงเมื่อสี่วันก่อน..ที่เตี่ยให้เฮียตี๋ใหญ่เดินทางไปเมือง

    จีน...เพื่อไปหา"น้องชายของอากง"และเอาของฝากเครื่องใช้และของกินหลาย

    อย่างไปให้...พร้อมกับแจ้งข่าวการย้ายฮวงจุ้ยของอากงอาม้าจากวันในเมืองไป

    วัดโนรีนราราม...ด้วยน้องชายของอากงเป็นน้องคนเดียวที่มีชีวิตอยู่ที่เมืองจีนกับ

    ลูกชาย...

    ....................นอกจากนี้เตี่ยยังสั่งให้เฮียตี๋ใหญ่ขอให้น้องชายอากง "หาโสมและยา

    บำรุงกำลังที่เมืองจีนนำมาให้เฮียตี๋ใหญ่นำเอากลับมาเมืองสยามด้วย"........โดย

    เฮียตี๋ใหญ่จะไปเมืองจีนพร้อมกับชาวจีนคนอื่น.....ที่อยู่เมืองสยามและคิดจะกลับไปเยี่ยม

    บ้านที่เมืองจีน...ซึ่งจะต้องเดินทางไปทางเรือเดินสมุทรที่เข้ามาค้าขายในเมืองสยาม..

    ....................เฮียตี๋ใหญ่ไปเพียงคนเดียว..หมวยเล็กก็คงไม่หงุดหงิด..เพราะ

    สามารถเปลี่ยนกันขายของในร้านกับเฮียตี๋เล็กได้...แต่ปรากฎว่า"ในวันนั้นที่ทำให้

    หมวยเล็กคิดถึงเหตุการณ์อยู่"...เริ่มจากเฮียตี๋เล็กพูดว่า

    ............................."เตี่ย..อั้วไปกับเฮียตี๋ใหญ่ด้วย" ตี๋เล็กเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ว่าเตี่ย

    ให้เฮียตี๋ใหญ่ไปเมืองจีน

    ............................."ลื้อจะไปทำไม..มันยุ่งยาก..ถ้าลื้อไปอาหมวยเล็กมันก็

    ไม่มีคนช่วยขายของ...ช่วยเก็บร้าน..แล้วเดินทางกว่าจะถึง..กว่าจะกลับมามัน

    นานโขนะ"

    ............................."แต่อั้วยังไม่เคยไปเมืองจีน..แผ่นดินเกิดของเตี่ยกับแม่

    และอากงอาม้าเลย...อั้วอยากเห็นอยากรู้จัก..ว่ามันลำบากแค่ไหนถึงทำให้พวก

    เราจำนวนมากต้องจากเมืองจีนมาอยู่ที่เมืองสยาม"

    .....................ผู้เฒ่าจีนวัย 60 ปี นั่งนิ่งอย่างสงบเมื่อฟังลูกชายคนเล็กพูด..ทำ

    ให้ตนเองคิดถึง"ภาพของความยากลำบาก"..ขณะที่ตนเองขึ้นเรือติดตามเตี่ยกับ

    แม่มาพร้อมกับชาวจีนคนอื่น..มันมีเพียงห่อเสื้อผ้าและอาหารเล็กน้อยติดตัวมาแค่

    นั้นเอง...เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ขณะนั้นก็เปื่อยหยุ้ยขาด สภาพของมันปะแล้วปะอีก..

    .....................ภาพที่เห็นเตี่ยและแม่และตนเองอยู่ในเมืองจีนนั้น "ให้ทำงาน

    เหนื่อยยากลำบากเช่นไรก็ไม่ทำให้มีเงินขึ้นมาได้...ซึ่งผิดกับเมืองสยามที่เตี่ยและ

    แม่พร้อมกับตนเดินทางมาทำมาหากิน...มันเหนื่อยยากลำบากแต่ก็สามารถมีเงิน

    เก็บ และ นำมาทำทุนการค้าจนมีฐานะดีขึ้นมาได้"

    .....................ทำให้ผู้เฒ่าจีนเตี่ยของตี๋เล็กภาคภูมิใจว่า "เตี่ยและแม่พร้อมตน

    เองคิดถูกที่เดินทางมาเมืองสยาม .......และไม่คิดที่จะกลับไปมีชิวิตเช่นตอนอยู่

    เมืองจีนอีก"

    .....................การที่ตี๋เล็กต้องการไปดูความยากลำบากของพวกตนในอดีต..

    เพื่อเป็นบทเรียนราคาแพงในการใช้ชีวิต...ผู้เฒ่าจึงคิดเห็นภาพลูกชายคนเล็ก

    ว่า"ถ้าตี๋เล็กได้ไปเห็น มันจะต้องกลับมาอย่างมุมานะบากบั่นในการทำงานในเมือง

    สยามอย่างแน่นอน..เมื่อมันไปได้ยินได้ฟังการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ของบรรพบุรุษ

    ที่เมืองจีน....จึงตัดสินใจให้ตี๋เล็กตามตี๋ใหญ่ไปด้วย...

    ....................แต่หมวยเล็กคิดอีกแง่หนึ่งว่า "ที่ตี๋เล็กไปเมืองจีนนั้นไม่ใช่แค่ดู

    แผ่นดินเกิดและความยากลำบากของอากงอาม้าและเตี่ยเพียงอย่างเดียว...แต่

    แรงจูงใจตี๋เล็กให้ดิ้นรนอย่างมาก ๆ ในการไปเมืองจีนคือ "ต้นแอปเปิ้ล"..เพราะที่

    นั้นตี๋เล็กรู้ดีว่า..อากงเคยบอกว่า"เมืองจีนมีต้นแอปเปิ้ลปลูกอยู่"....

    ....................หมวยเล็กรู้ว่าตี๋เล็กต้องการไปถามอะไรหลาย ๆอย่างเกี่ยวกับต้น

    แอปเปิ้ลในเมืองจีน...เพราะตี๋เล็กถามคนที่นี่ทั่วแล้ว...ไม่มีใครรู้ว่า "ต้นแอปเปิ้ล

    ปลูกขึ้นได้อย่างไร..และดูแลรักษาอย่างไร"..ที่ตี๋เล็กทำไปทั้งหมดก็เพราะตนเอง

    รับปากกับโนรีเอาไว้...

    ............................"เฮียตี๋เล็ก..ลื้อไม่ได้ชอบอาโนรีอย่างเดียวแน่นอนเลย..

    แต่ลื้อรักอาโนรีอย่างเต็มเปา...รักจนตาลาย.มันจึงดิ้นรนกระสับกระส่ายเพื่อเอาใจ

    คนรัก...ลื้อรักอาโนรีอั้วไม่ว่าหรอก..แต่อย่าทำให้อั้วเหนื่อยงานคนเดียว..รู้มั้น..ฮึ"

    หมวยเล็กบ่นรำพึงรำพันต่อว่าพี่ชายของตนอยู่ในใจด้วยเคืองพี่ชายของตน..ที่ริ

    รักจนเสียงาน..พร้อมกับคิดถึงเรื่อง ....."ความรักว่าทำไมมันมีอานุภาพมากมาย

    เช่นนี้นะ"..................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 100494410.jpg
      100494410.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.5 KB
      เปิดดู:
      34
    • Thanks00141.gif
      Thanks00141.gif
      ขนาดไฟล์:
      226.4 KB
      เปิดดู:
      49
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เกวียนของสามแม่ลูกมาถึงตลาดเมืองสุราษฎร์ตอนเพล..บันตา

    เดินไปหาป้าตันหยง..โดยให้โนรีและโมลีถือแผ่นยางพาราไปส่งร้านค้าประจำ...

    ............................"มายังไงกันละนี่..ผลไม้ยังไม่หมดเลย" ป้าตันหยงเอ่ยทักด้วย

    สงสัยว่าไม่ใช่วันส่งผลไม้แต่ทำไมบันตาจึงมาตลาด

    ............................"มาหาพี่ตันหยงนั่นแหละ..ไม่ได้มาเสียนาน..เพราะเณรเข้ารับ

    อาสามาแทน"

    ............................"นั่นนะซิ..แล้วเณรหายไปไหนของมั่นล่ะนี่"

    ............................"พ่อท่านใช้ให้ไปทำธุระที่ปัตตานี คงไปหลายวัน"

    ............................"แล้วสองสาวไปไหนเสียล่ะ ทำไมไม่มาด้วย" ป้าตันหยงถาม

    สองพี่น้อง

    ............................"ขนยางพาราไปส่งที่ร้านน่ะ"

    ............................"เป็นไงบ้าง..แอปเปิ้ลที่ฝากไปให้ชิมรส"

    ............................"อร่อยดี..ขอบคุณพี่ตันหยงมาก..ที่มาวันนี้ตั้งใจมาซื้อผล

    แอปเปิ้ลไปอีก มีอีกไหมพี่"

    ............................"หมดไปหลายวันแล้วบันตา..ของมาใหม่คนที่ไม่เคยกินก็อยาก

    ลองกินด้วยกันทั้งนั้น..ส่วนคนที่เคนกินแล้วก็อยากกินอีก..มันหมดไปตั้งแต่วันแห่ศพแล้ว..

    จะมาอีกก็คงหลายเดือน"

    ............................"แล้วพี่ตันหยง พอจะมีเมล็ดแอปเปิ้ลที่เหลือจากกินบ้างไหม"

    .....................ป้าตันหยงนั้นไม่ได้เก็บเมล็ดแอปเปิ้ลไว้..แต่ให้นึกสงสัยว่า บันตาถาม

    ทำไมจึงถามกลับทันที

    ............................"หาเมล็ดแอปเปิ้ลไปทำไม"

    ............................"จะลองเอาไปเพาะปลูกดู..บางทีมันอาจจะขึ้นได้...ของที่มัน

    ไม่มีในเมืองเรา...ถ้าเราทำให้มันมีขึ้น..พวกเราจะได้มีแอปเปิ้ลไว้กินกัน..ไม่ต้องรอจาก

    เมืองหนาว"..

    ....................ป้าตันหยงพยักหน้ารับรู้พร้อมกับรอยยิ้ม..ด้วยศรัทธาในความคิดของ

    บันตา

    ............................"จริงของบันตา แต่เมล็ดแอปเปิ้ลพี่ไม่ได้เก็บไว้เลย"

    ....................ระหว่างป้าตันหยงกับบันตาคุยกันอยู่..โนรีและโมลีเดินเข้ามาหาพร้อม

    กับยกมือไหว้ป้าตันหยง..และโมลีได้ส่งเงินที่ทางร้านรับซื้อยางพาราจ่ายมาให้แม่ พลาง

    เอ่ยขึ้น..

    ............................"แม่จ๊ะ..เดี๋ยวหนูกับโนรี..ไปที่ร้านเฮียตี๋เล็กก่อนนะ"

    ............................"อะไรกันยังไม่ได้คุยกับป้าเลยก็จะไปเสียแล้ว" ป้าตันหยงเอ่ย

    ขัดโมลี

    ....................โมลีหัวเราะก่อนและได้เอ่ยตอบไป

    ............................"หนูจะไปหาหมวยเล็กก่อน..ส่วนโนรีจะไปทวงวิธีปลูกต้น

    แอปเปิ้ลจากเฮียตี๋เล็ก..เสร็จแล้วหนูจะมานั่งคุยกับป้ายันเย็นให้เบื่อไปเลย"

    ............................"ดี..ทำให้ได้อย่างพูดนะที่จะคุยกับป้ายันเย็นน่ะ" ป้าตันหยง

    ท้วงโมลีที่ไม่ค่อยทำตามที่ตนเองพูดเสียเท่าไรด้วยหน้าตาเหมือนจริงจัง..ทำให้โมลีและ

    โนรีหัวเราะออกมา..ก่อนที่ผู้ใหญ่ทั้งสองจะขันตามในความเจ้าเล่ห์ของน้องเล็ก...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 20091119134016.jpg
      20091119134016.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.8 KB
      เปิดดู:
      36
    • 108015309.jpg
      108015309.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.7 KB
      เปิดดู:
      51
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      202
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หมวยเล็กยังคงนั่งอยู่หน้าร้านอย่างหงุดหงิดและเหงา ๆ..แต่เมื่อ

    ได้ยินเสียงเจื่อยแจ่วของโมลีดังแว่วเข้ามา..ก็ให้ทะลึ่งตื่นขึ้นมาและหันไปตามเสียง

    ............................"หมวยเล็ก..หมวยเล็กคนสวยทำอะไรอยู่จ๊ะ"

    ....................และเมื่อหมวยเล็กหันไปเห็นโมลีเพื่อนซี้..พร้อมกับเจ๊โนรีพี่สาวก็ให้ยิ้ม

    ต้อนรับอย่างดีใจเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับเมื่อกี้นี้..และเอ่ยขึ้น

    ............................"ฮึ้ย..พวกลื้อมาอย่างไรกัน"

    ............................"ก็อั้วคิดถึงลื้อนะสิ..ถึงได้มาหา..ส่วนโนรีก็มาทวงสัญญากับ

    เฮียตี๋เล็ก...เมื่อกี้อั้วเห็นลื้อนั่งเศร้า..เป็นอะไรไปหรือเปล่า"

    ....................หมวยเล็กยิ้มพอใจกับคำพูดของโมลี..แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ทำให้ตนเอง

    หงุดหงิดก็ได้ช่องระบายออกมาทันที

    ............................"ก็อั้วนั่งเซ็งอยู่นะสิ..เซ็งเฮียตี๋เล็กมันเอามาก ๆเลย"

    ....................คำพูดของหมวยเล็กทำให้โนรีซึ่งตั้งใจมาหาตี๋เล็กต้องเงี่ยหูฟังอย่าง

    ตั้งใจ...พร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ที่หมวยเล็กยกมาให้นั่ง..พลางเอ่ยถาม

    ............................"ตี๋เล็กไปทำอะไรให้หมวยเล็กเซ็งหรือ"

    ............................"อาเจ๊(พี่)นะ..อาเจ๊รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้อาเฮียมันไม่อยู่บ้าน..อี

    ไปเมืองจีนกับเฮียตี๋ใหญ่...ปล่อยให้อั้วยกเข้ายกออกสินค้า..และ ขายของอยู่คนเดียวไม่

    ได้ไปไหนเลย"

    ......................................."หา" โนรีและโมลีอุทานพร้อมกัน.....เมื่อรู้ว่า

    ตี๋เล็กไปเมืองจีน

    ....................สิ้นสุดคำอุทานโนรีก็ชิงถามก่อนโมลีทันที

    ............................."ตี๋เล็กไปทำไมเมืองจีน"

    ....................หมวยเล็กมองหน้าโนรีและพิจารณาอย่างคนช่างสังเกต..ก็ให้เกิดความ

    รู้สึกเย็นตาเย็นใจ..และรับรู้ถึงความงดงามบนใบหน้า..พร้อมกับความรู้สึกจากสายตาที่โนรี

    กำลังมองตนเองอยู่...มันเป็นความรู้สึกที่หมวยเล็กสัมผัสได้ว่า..แววตานี้มีความ

    เยือกเย็นและเมตตาเอื้ออารีย์แผ่ออกมาจนตนเองเกิดความอบอุ่นสบายใจ..และ

    เข้าใจเหตุผลว่า "ทำไมตี๋เล็กพี่ชายของตนจึงได้หลงรักและชอบผู้หญิงที่อยู่ตรง

    หน้านางอย่างเต็มเปา"....หมวยเล็กจึงเอ่ยความรู้สึกที่มีอยู่ในใจของนางออกมา

    ก่อนที่จะตอบคำถามโนรี

    ............................"อาเจ๊..ลื้อนี่งามจริง ๆ แถมจิตใจยังดีด้วย..สมแล้วที่คน

    ในพิธีแห่ศพเขากล่าวขานว่า..ลื้อเหมือนเทพธิดาที่มาต้อนรับขบวนแห่"

    .....................โนรีรอคำตอบจากหมวยเล็กเรื่องของตี๋เล็กอยู่..แต่เมื่อมาได้รับฟังคำ

    ชมที่ไม่คาดคิดมาก่อน..ก็ถึงกับหน้าแดงและก้มหน้ายิ้มอย่างเขินอาย..โมลีเห็นอา

    การหมวยเล็กและพี่สาวของตนเช่นนั้น..ก็ส่ายหน้าช้า ๆแล้วแย้งขึ้นก่อนที่..หมวย

    เล็กและพี่สาวของตนจะพากันใจลอยออกไปนอกโลก..

    ............................"ฮึ้ย..หมวยเล็ก..พี่สาวอั้วถามว่าเฮียตี๋เล็กไปทำไมเมือง

    จีน..ไม่ใช่ให้ลื้อมาชมพี่สาวอั้ว..ลื้อตอบเรื่องเฮียตี๋เล็กมาเร็ว ๆ อั้วอยากรู้"

    ............................"อั้วรู้แล้วน่ายายฟันกระต่าย..ลื้อฟังดีๆนะ..เตี่ยใช้ให้เฮียตี๋ใหญ่

    เอาของฝากไปให้อากงเล็ก..และให้เอายาบำรุงกำลังกับโสมที่เมืองจีนกลับมา...แต่เฮียตี๋

    เล็กอีขอตามไปด้วย..อีบอกว่าต้องการไปดูแผ่นดินจีน..ดูความยากลำบากของอากงอาม้า

    และเตี่ยที่เป็นอยู่ในเมืองจีน...แต่อั้วคิดว่าอีไม่ได้ไปอย่างที่อีพูดอย่างเดียวหรอก..แต่อีจะ

    ต้องไปศึกษาเกี่ยวกับเรื่องปลูกต้นแอปเปิ้ล..เพราะอั้วรู้ว่าอีสัญญากับอาเจ๊โนรีเอาไว้..อี

    ถามหาคนที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องวิธีปลูกต้นแอปเปิ้ล ..อีจึงต้องการไปหาข้อมูลมาให้อาเจ๊โนรี

    อย่างแน่นอนเลย"

    ....................โนรีและโมลีพยักหน้ารับรู้...ก่อนที่โมลีจะเอ่ยขึ้นอย่างกวน ๆในเชิงขำ

    ........................."เข้าใจแล้ว..แต่ถามอีกหน่อย..ลื้อรู้ได้อย่างไรว่าอั้วฟันกระต่าย"

    ....................คำถามของโมลี..ทำให้หมวยเล็กถึงกับกั้นหัวเราะไม่อยู่ก่อนจะเอ่ยตอบ

    ........................."ก็เวลาลื้อยิ้มออกมาที..ฟันกระต่ายคู่หน้าของลื้อมันก็เผยอออก

    มาก่อนฟันซี่อื่นนะสิ"...

    ....................คู่สนทนาทั้งสามพากันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี...แต่ในส่วนของโนรี

    ภายใต้เสียงหัวเราะของนาง..กลับมีความคิดเล็ก ๆ ภายในใจคิดหาเหตุผลว่า

    "ทำไมตี๋เล็กจึงยอมลำบากเดินทางไกลเพื่อจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนาง"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 100494410.jpg
      100494410.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.5 KB
      เปิดดู:
      42
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      198
    • s_sword05.jpg
      s_sword05.jpg
      ขนาดไฟล์:
      24.8 KB
      เปิดดู:
      50
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...