พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .............ตอนที่ 24 เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ.........



    ....................ในปี พ.ศ.2427 หรือ 5 ปีต่อมา..มูซาได้ท่องเที่ยวขายผ้าของเขา

    ไปทั่วดินแดนเมืองใต้บนแผ่นดินสยาม .......และ ข้ามแดนไปขายที่มะลายูหรือประเทศ

    มาเลเซียในปัจจุบันนี้..และเมื่อพักแรมที่ใด..เขาก็จะเป่าขลุ่ยฟ้าผ่าของเขาก่อนนอน

    ทุกครั้ง.....

    .....................และในปีนี้เอง คืนหนึ่ง..มูซาหยิบขลุ่ยฟ้าผ่าขึ้นมาดูเฉย ๆ แต่ไม่

    ยอมเป่ามัน..มูซานั่งพิจารณามันและคิดว่า.... "เขาเป่าขลุ่ยทุกครั้งถึงมันจะมีความ

    ไพเราะ แต่มันก็คงเหมือนเดิมกับทุก ๆครั้งที่เขาเป่า..เพราะเหตุที่มันเป็นการเป่า

    ขลุ่ยตามบทเพลงที่ปรมาจารย์เพลงขลุ่ยแต่งขึ้น.....ถึงเขาจะดัดแปลงทำนองและ

    ลีลาการเป่าขลุ่ยตามบทเพลงเช่นใด..."มันก็คงเป็นแบบเดิม ๆ"......"

    ....................มูซารู้สึกว่า "บทเพลงที่เขาเป่าตามปรมาจารย์เพลงขลุ่ยนั้น

    เปรียบเทียบได้กับการขับรถไฟจากสถานีหนึ่งไปยังอีกสถานีหนึ่ง...บทเพลง คือ

    "รางรถไฟ" ที่กำหนดไว้แน่นอนว่า จะต้องเดินทางไปตามรางเส้นทางนี้.."ออก

    นอกรางหรือเส้นทางไม่ได้"..................."การเริ่มเป่าขลุ่ยตามบทเพลง" ก็

    เหมือนกับ "การเริ่มขับเคลื่อนรถไฟออกจากสถานีต้นราง...และไปตามราง..เมื่อ

    สิ้นสุดบทเพลงขลุ่ยก็เหมือนกับรถไฟหยุดวิ่งเมื่อถึงสถานีปลายทาง............

    ...................."บทเพลงขลุ่ย คือ รางรถไฟ"...ส่วนการเป่าขลุ่ยตามบทเพลงก็

    เหมือนกับ "การขับรถไฟวิ่งไปบนรางรถไฟ".........

    ....................มูซารู้สึกว่า "การเป่าขลุ่ยตามบทเพลงนี้ นักเป่าขลุ่ยคนใดก็ได้...

    สามารถเป่าได้เหมือนกันหมด...และ"เขารู้สึกไม่มีอิสระในการเป่า"..เพราะการเป่า

    ขลุ่ยตามบทเพลง..ต้องจดจำเนื้อบทเพลง...โน๊ตเพลง..ทำนองเพลง..และลีลา

    การเป่าตามจังหวะ....ซึ่งเป็นการเป่าโดยอาศัยการจดจำบทเพลงของผู้อื่นทุกครั้ง

    ที่เป่า.....จึงเหมือนกับการถูกบังคับ"ให้เล่นตามผู้อื่นทุกครั้งไปตลอดชีวิต" อัน

    เปรียบเหมือนกับ "รถไฟที่ถูกบังคับให้วิ่งได้เฉพาะบนรางเท่านั้น".........

    ....................มูซาคิดมาถึงตรงนี้..เขาได้ถอนหายใจอย่างแรง...และก็ยกขลุ่ยขึ้น

    เป่าไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้สนใจที่จะเป่าตามบทเพลง ขณะเป่าขลุ่ยอยู่เขาเริ่มรู้สึก

    ว่า"เขาไม่ต้องจดจำหรือนึกบทเพลง ทำนอง หรือจังหวะใด ๆเลย" ..เขาเป่าตาม

    อารมณ์ไปเรื่อย ๆอย่างเป็นอิสระสบายใจ....แต่แปลกประหลาดตรงที่เสียงขลุ่ยนั้น

    กลับเป่าได้ไพเราะ...เหมือนกับเสียงเพลงนั้นล่องลอยดังนกน้อยบินโผผินเป็นคลื่น

    เสียงอย่างอิสระ..มีทั้งเสียงเบา..เสียงหนัก..เสียงประสาน ดุจน้ำตกที่ไหลลงจากที่

    สูง.... ดุจคลื่นทะเลที่ตีซัดชายฝั่ง....จนเขารู้สึกได้...แต่มันไม่เป็นบทเพลง..เขา

    เป่าอยู่นานถึง 15 นาทีจึงหยุดพัก...และพยายามนึกที่จะจดจำ"เสียงขลุ่ยที่เป่า

    เมื่อกี้นี้"....มันเหมือนบทเพลงที่เขาแต่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว..แต่เขาก็นึกและจดจำไม่

    ได้..และเป่าเสียงขลุ่ยเมื่อกี้นี้ไม่ได้อย่างเดิม......

    ....................แต่แล้วในที่สุด..มูซาก็คิดได้อีกว่า "ถึงแม้เขาจะแต่งบทเพลง

    ขึ้น..แต่เมื่อเขาเป่ามันซ้ำอีก มันก็คือ รางรถไฟที่จะต้องเดินและผูกมัดการเป่า

    เพลงตามบทเพลง".....เขาจึงล้มเลิกที่จะเป่าตามเสียงขลุ่ยที่เขาเป่าเมื่อกี้นี้..และ

    รู้สึกสบายใจสามารถเป่าเสียงขลุ่ยได้ใหม่โดยไม่ซ้ำกันนับเป็นสิบ ๆ เพลง.......แต่

    แปลกประหลาดตรงที่เขากลับมาเป่าเพลงที่เขาเป่าอีกไม่ได้ เพราะ"เขาลืมที่จะจด

    จำมัน"..........

    ....................การเป่าขลุ่ยเช่นนี้ มูซาคิดค้นขึ้นและรู้วิธีการเป่า แล้วเขาก็ตั้งชื่อ

    วิธีการเป่าเช่นนี้ว่า "เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ"...ไม่มีนักเป่าขลุ่ยคนใดเป่าได้

    อย่างเขา...เพราะ นักเป่าขลุ่ยทั่วไปจะเป่าได้ก็ตามบทเพลงที่ปรมาจารย์แต่งไว้

    หรือ ตนเองแต่งขึ้นเท่านั้น....

    ....................เสียงขลุ่ยของมูซาจึงเป็นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือ การเป่าขลุ่ย

    ที่ไม่มีบทเพลง และ ไม่มีความทรงจำ....วิชาเป่าขลุ่ยเช่นนี้จึงเกิดขึ้นใน พ.ศ.

    2427 บนแผ่นดินสยาม ณ ภาคใต้ โดยมูซา ผู้คิดค้นการเป่าขลุ่ยในขณะนั้นเขามี

    อายุเพียง 30 ปีเท่านั้น.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Railw077.JPG
      Railw077.JPG
      ขนาดไฟล์:
      110.3 KB
      เปิดดู:
      30
    • Railw005.JPG
      Railw005.JPG
      ขนาดไฟล์:
      100.7 KB
      เปิดดู:
      43
    • Railw004.JPG
      Railw004.JPG
      ขนาดไฟล์:
      95.5 KB
      เปิดดู:
      38
    • Railw012.JPG
      Railw012.JPG
      ขนาดไฟล์:
      66.4 KB
      เปิดดู:
      36
    • Railw014.JPG
      Railw014.JPG
      ขนาดไฟล์:
      82.1 KB
      เปิดดู:
      36
    • Railw008.JPG
      Railw008.JPG
      ขนาดไฟล์:
      90.9 KB
      เปิดดู:
      33
    • Railw024.JPG
      Railw024.JPG
      ขนาดไฟล์:
      501.8 KB
      เปิดดู:
      36
    • Railw061.JPG
      Railw061.JPG
      ขนาดไฟล์:
      107.5 KB
      เปิดดู:
      37
    • Train 6002.jpg
      Train 6002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.8 KB
      เปิดดู:
      32
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2011
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .................ตอนที่ 25 ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ............


    ....................ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ .....มีตำนานกล่าวขานถึงมานานแล้วทางแผ่นดิน

    มะลายู..ว่าเคยมี "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" เกิดขึ้นมาบนแผ่นดินแห่งนี้...ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ เกิด

    ในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เกิดขึ้นมาเพื่อดับร้อน และ เพื่อประโยชน์สุขของชนชาวโลก..

    เป็นผู้หญิงมีรูปร่างลักษณะสวย..งดงาม..มีผิวพรรณขาวเหลืองทองดุจดวงจันทร์

    เพ็ญ ......และมีประกายรัศมีสีทองดุจแสงจันทร์เพ็ญเรืองรองออกมาจากกายยาม

    ต้องแสงจันทร์เพ็ญขึ้น 15 ค่ำ...พร้อมกับมีประกายแห่งความเย็นออกมาจากกาย

    ทุกเวลาในความรู้สึกของผู้คนที่พบเห็น....ที่ผู้คนได้มองแล้ว"จะต้องเกิดความรู้สึก

    เย็นตาเย็นใจและเกิดความสุขขึ้นทันทีเมื่อได้มองนาง".....

    ....................ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงพร้อมกับส่องแสงสว่างอันร้อนแรงกล้ามาสู่

    โลกมนุษย์....แต่เมื่อแสงอันร้อนแรงแห่งดวงอาทิตย์ส่องมาสู่ดวงจันทร์........ดวง

    จันทร์มีพลังที่จะปรับเปลี่ยนแสงอันร้อนแรงนั้น..ให้มาเป็นแสงสวยงามและเย็นตาสู่

    โลกมนุษย์......พลังแห่งดวงจันทร์จึงเป็นพลังที่ลึกลับสามารถสยบแสงร้อนแรง

    แห่งดวงอาทิตย์...เหมือนแสงอาทิตย์นั้นพ่ายแพ้แก่ดวงจันทร์.....

    ....................พลังแห่ง"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"ก็เปรียบเช่นเดียวกับพลังแห่ง"ดวง

    จันทร์"...ยามเมื่อนางปรากฎกายขึ้นท่ามกลางสงครามอันร้อนแรง...ก็สามารถ

    หยุดสงครามนั้นได้.....เพราะเหตุที่ผู้ใดได้เห็นนางก็เหมือนต้องมนต์สะกดที่อยาก

    จะมองนางตลอดไป........เพราะเพียงแค่มองเห็นนางก็เกิดสุขใจเหมือนกับมอง

    "ดวงจันทร์เพ็ญบนท้องฟ้า"......

    ....................ไม่มีผู้ใดที่สามารถ..ฆ่าคนหรือทำร้ายคน..ฆ่าสัตว์หรือทำร้าย

    สัตว์..เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิงจันทร์เพ็ญได้..."ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" จึงเหมือนกับ

    "ผู้หญิงที่เกิดมาช่วยดับร้อนแก่ผู้คน..มีความโอบอ้อมอารีย์และอุ้มชูโลกมนุษย์ให้

    เกิดสุข...เป็นผู้หญิงที่มีเพียง "หนึ่งเดียวในโลกนี้"....


    .....................มูซา..ได้รับคำบอกเล่าเกี่ยวกับตำนาน"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"จากทวดของ

    เขาซึ่งเป็นชาวมะลายูโดยแท้....และได้กล่าวว่า..."ผู้หญิงจันทร์เพ็ญเกิดขึ้นได้ยาก"

    แต่เมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว ผู้หญิงจันทร์เพ็ญได้อุบัติขึ้น....และได้มีการคำนวณโดย

    ศาสตร์ทำนายของคัมภีร์ว่า "จะมีผู้หญิงจันทร์เพ็ญกำเนิดขึ้นชายฝั่งทะเลเหนือ

    แดนมะลายูในปี พ.ศ.2448 บนแผ่นดินสยาม"......

    .....................มูซาท่องเที่ยวไปในภาคใต้ของแผ่นดินสยาม.......พร้อมกับ

    "ขลุ่ยฟ้าผ่า"....ที่บรรเลง.."เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ"...ให้แก่คนทั่วไปในภาค

    ใต้..เพื่อรอเวลาถึงปีพ.ศ.2448 ..เพื่อพิสูจน์ตำนานของผู้หญิงจันทร์เพ็ญว่าจะ

    เกิดขึ้นจริงบนโลกนี้ไหม.....และจะมีคุณสมบัติตามที่คัมภีร์กล่าวไว้ไหม......เขามี

    ความอยากเห็น"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"..ผู้ให้ความสุขใจแก่ผู้พบเห็น.....เขาต้องการ

    รับรู้ความสุขจากการที่ได้พบเห็นผู้หญิงดังกล่าว....โดยเฝ้านับคอยเวลาตลอดมา.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2011
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....ตอนที่ 26 กำเนิดผู้หญิงจันทร์เพ็ญแดนสยาม.....


    ....................เมืองสุราษฎร์ธานี ปี พ.ศ.2440 ...ประเทศสยามยังคงอยู่ในรัชสมัย

    รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี...เมืองสุราษฎร์ธานีเป็นเมืองหนึ่งของภาคใต้บนแผ่นดิน

    สยาม..หากเดินทางจากกรุงเทพมหานครเมืองหลวงลงมาทางใต้จะถึงเมืองสุราษฎร์ธานี

    ก่อนเมืองปัตตานี..........

    ....................ที่ประเทศญี่ปุ่น..พ่อค้าหนุ่มจากแดนอาทิตย์อุทัย...ได้นำเรือสำเภา

    บรรทุกสินค้า..เพื่อมาค้าขายยังประเทศแถบคาบสมุทรอินโดจีน...เขาคือ "ซันชิโร่"..

    จากการที่เป็นพ่อค้าค้าขายยังต่างแดนผ่านมาหลายประเทศ..ทำให้เขาต้องเรียนรู้การพูด

    ภาษาในแต่ละประเทศเพื่อสื่อสารค้าขาย...และเขาสามารถพูดได้หลายภาษา....

    ....................ในขณะนั้นอยู่ระหว่างการล่าเมืองอาณานิคมหรือเมืองขึ้นของประเทศ

    ชนชาติตะวันตก...ประเทศอังกฤษได้เมืองพม่า อินเดีย และชาติอื่น ๆเป็นเมืองอาณานิคม

    จนได้ชื่อว่า "เป็นประเทศที่มีอาณานิคมพระอาทิตย์ไม่ตกดิน"....ส่วนชาติอื่น ๆ ก็แสวงหา

    เมืองอาณานิคมอยู่เช่นกัน..ดังนั้นคาบสมุทรหรือท้องทะเลโดยทั่วไป..จะมีกองกำลังเรือ

    รบของชนชาติต่าง ๆ เพื่อส่งกองกำลังสนับสนุนกันอย่างต่อเนื่อง....

    .....................ประเทศฝรั่งเศสได้เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาวไปจากเมืองสยาม..

    และได้ส่งกองกำลังสนับสนุนผ่านอ่าวสยามหรืออ่าวไทย.โดยกองกำลังเรือรบ..เพื่อขึ้นไป

    ที่เวียงจันทน์...ในขณะนั้นซันชิโร่ได้แล่นเรือจะเข้ามาที่อ่าวสยามเพื่อนำสินค้ามาขายยัง

    แดนสยาม..กองกำลังเรือรบของฝรั่งเศสเข้าใจว่า.."เรือสำเภาของซันซิโร่เป็นกองกำลัง

    ติดอาวุธของชาติศัตรูที่ดักซุ่มโจมตีโดยอำพรางเป็นเรือสำเภาขนสินค้า ..จึงได้ยิงปืนใหญ่

    และอาวุธนานาชนิดใส่เรือสำเภาของซันชิโร่จนจมลงกลางทะเล......

    ....................ซันชิโร่รอดตายเพียงคนเดียว......พร้อมกับทรัพย์สินที่ติดตัวเขาตลอด

    เวลาคือ "กล้องถ่ายรูป" ที่เขาจะถ่ายภาพเมืองต่าง ๆ นำไปให้บิดามารดาและญาติพี่น้องที่

    อยู่ญี่ปุ่นได้เห็นวิวทิวทิศน์ของเมืองต่าง ๆที่เขาผ่านมา....เขาได้รับความช่วยเหลือจาก

    ทหารของเรือรบฝรั่งเศสลำที่ยิงเรือสำเภาของเขาจนจม.........และความจริงก็ปรากฎว่า

    "เขาคือพ่อค้ามาจากญี่ปุ่น".....เรือรบฝรั่งเศสได้พาเขาขึ้นฝั่งที่เมืองสุราษฎร์ธานีพร้อมกับ

    ให้เงินเขาจำนวนหนึ่งเพื่อชดใช้ค่าเรือสำเภาและสินค้า...และใช้ชีวิตอยู่ในเมืองสุราษฎร์

    ธานีไปพลางก่อน.....หากมีเรือจากญี่ปุ่นผ่านมาก็ให้เขาอาศัยเรือลำนั้นกลับไป.....แต่

    หากยังไม่มีเรือจากญี่ปุ่นผ่านมา..เรือรบจากฝรั่งเศสจะกลับมารับเขาไปต่อเรือให้.....และ

    กองกำลังเรือรบฝรั่งเศสก็ได้เดินทางต่อไป............ยังเวียงจันทน์เพื่อส่งกองกำลังไป

    ประจำการที่นั่น....

    ....................ซันชิโร่พูดภาษาสยามได้..เขาได้นำเงินที่กองกำลังฝรั่งเศสให้เขาไว้นำ

    ไปซื้อสินค้าและค้าขายเพื่อรอเรือสำเภาจากญี่ปุ่นอยู่ที่เมืองสุราษฎร์ธานี..เขาอยู่เมือง

    สุราษฎร์มาเป็นเวลานานแต่ก็ไม่มีเรือลำใดมารับเขากลับไป....จนในที่สุดเขาก็ได้พบรักกับ

    หญิงสาวชาวสยามชื่อ "บันตา" เป็นหญิงที่มีน้ำใจงามและคอยช่วยเหลือซันชิโร่ในการหา

    ที่พักให้..และดูแลความเป็นอยู่ของเขา....และแล้วซันชิโร่กับบันตาก็ได้อยู่กินกันเป็นสามี

    ภริยา.....และระยะผ่านมาจนถึง ปี พ.ศ.2448 บันตาได้ตั้งท้องและกำหนดเขาจะคลอด

    ภายในปีนี้.....

    ....................กล่าวฝ่ายมูซาผู้มากับ..ขลุ่ยฟ้าผ่าและเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ....ได้

    บรรทุกเสื้อผ้าใส่เกวียนไปค้าขายจนทั่วภาคใต้.......และปีพ.ศ.2448 นี้ ...เป็นกำหนดที่

    "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"จะต้องมาบังเกิดบนชายฝั่งทะเลเหนือแดนมลายู...ตามคัมภีร์โบราณได้

    กล่าวไว้.......มูซาเดินทางกลับไปเมืองปัตตานี...เขาคาดว่า "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" น่าจะถือ

    กำเนิดที่เมืองปัตตานี...เพราะที่นี่คือดินแดนชายฝั่งทะเลเหนือแดนมลายู.......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................มูซาผู้เฝ้ารอการถือกำเนิดของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..ทุกคืนวันขึ้น

    15 ค่ำ..เขาจะนั่งเฝ้ามองดูดวงจันทร์เพื่อสังเกตความผิดปกติของดวงจันทร์..โดยเขามี

    ความเชื่อว่า"หากผู้หญิงจันทร์เพ็ญจะมาเกิดในวันขึ้น 15 ค่ำคืนใด ....จะต้องมี

    ปรากฎการณ์ของดวงจันทร์เพ็ญเกิดขึ้นอย่างแน่นอน"....

    .....................เขามองดวงจันทร์คราใด..ความรู้สึกของเขาจะสงบเยือกเย็น...และมี

    ความสุขอย่างประหลาด...เขารู้สึกว่าเพราะดวงจันทร์นี้ให้แต่ความสวยงามและเยือกเย็น

    ไม่ทำร้ายใคร....ผู้หญิงจันทร์เพ็ญหากเขาได้พบเห็นจริง ๆ ก็คงเป็นเช่นนี้

    .....................อารมณ์แห่งการเฝ้ามองดูดวงจันทร์เพ็ญคราใด..เสียงขลุ่ยไร้ความทรง

    จำของเขา..จะไพเราะดังอย่างมีมนต์ขลังเมื่อเขาเป่ามันทุกครั้งยามมองดวงจันทร์เพ็ญ...

    เขารู้สึกว่า .."เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำและขลุ่ยฟ้าผ่า".......น่าจะคู่ควรเป็นสมบัติ

    ของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..มากกว่าที่จะอยู่กับเขา...เขาเชื่อว่าหากผู้หญิงจันทร์เพ็ญ

    ได้บรรเลงเพลงขลุ่ยไร้ความทรงจำ.....ที่ไม่อยู่ในบังคับของเพลงขลุ่ยใด....นาง

    น่าจะเป่าได้ไพเราะตามแบบธรรมชาติของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..ซึ่งมีความอ่อนโยน

    เยือกเย็น......

    ....................ตลอดระยะเวลาค่ำคืนที่มูซาเฝ้ามองดูดวงจันทร์เพ็ญในคืนขึ้น 15 ค่ำ..

    ก็ยังไม่พบเห็นเหตุการณ์ใด ๆปรากฎขึ้นกับดวงจันทร์จนใกล้จะหมดปี พ.ศ.2448...

    ....................จนกระทั่งวันหนึ่ง ซึ่งตรงกับ "วันจันทร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12

    อันเป็นวันลอยกระทงของชาวสยาม ในฤดูหนาว..ซึ่งเป็นขึ้น 15 ค่ำครั้งสุดท้ายของปี


    พ.ศ.2448"...

    ....................ชาวปัตตานีพากันไปลอยกระทงตามประเพณี..มีเพียงมูซาเท่า

    นั้นที่นั่งเป่าขลุ่ยมองดูดวงจันทร์...เขารำพึงรำพันอยู่ว่า .."ขึ้น 15 ค่ำครั้งสุดท้าย

    ของ ปีพ.ศ.2448 แล้ว หรือตำนานผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่ถูกคำนวณไว้จะไม่ถูกต้อง"

    .....................เสียงขลุ่ยของมูซาที่ถูกเป่าขึ้น..ด้วยความหวังดังกังวานไปทั่ว...เป็น

    เสียงขลุ่ยที่จับใจผู้คนที่ได้ยิน....ท่ามกลางแสงจันทร์เพ็ญ....ที่เขาเหมือนกับจะเป่าให้

    ดวงจันทร์เพ็ญนั้นได้ยินเสียงขลุ่ยของเขา...มันมีความหมายของเสียงขลุ่ยว่า......

    ..................."จันทร์เพ็ญงามเด่นบนฟ้า...ไกลจากข้าอยู่แดนดิน...แต่จันทร์

    เพ็ญยังอาจิณ...ส่องแสงเย็นถวิลสู่แดนดินแด่คนไกล

    ....................แสงงามเย็นสู่ใจข้า...สัมผัสได้ว่าแสงรักถวิล...เป็นความรักอัน

    อาจิณ...แด่ชาวดินอันงามตา

    ....................ชีวิตข้าก็รักจันทร์...แต่มิอาจอยู่คู่กันจนลับฟ้า...นอกจากจันทร์

    แปลงโฉมมา...เป็นกัลยาสู่แดนดิน

    ....................เมื่อนั้นคงพบจันทร์...ไม่ต้องหลบตะวัน...ผู้ทำลายแสงจันทร์

    สิ้น...โปรดมาหาข้าสู่แดนดิน...ข้ารอจันทร์เพ็ญจนสิ้นใจ"...

    .....................เสียงขลุ่ยของเขาเหมือนกับเขากำลังจะบอกดวงจันทร์ว่า....."เขาจะ

    รอดวงจันทร์ที่มาเกิดเป็นหญิงงามจนกว่าเขาจะสิ้นใจไป"..จะเป็นด้วยอำนาจของ

    ขลุ่ยฟ้าผ่าและเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำที่มูซาเป่าให้ดวงจันทร์เพ็ญฟังหรือไม่..ไม่

    อาจบอกได้.....

    .....................ในขณะที่มูซาเป่าขลุ่ยและเฝ้ามอง"ดวงจันทร์เพ็ญ"อยู่ ........

    ปรากฎการณ์ประหลาดอัศจรรย์ได้เกิดขึ้น..."รัศมีของดวงจันทร์ได้เปล่งประกาย

    แสงสีทองกระจายออกมาอย่างต่อเนื่อง...และแสงสีทองนั้นได้ส่องย้อนกลับไปยัง

    ดวงจันทร์เพ็ญ...แล้วหมุนวนเข้าไปในดวงจันทร์เพ็ญนั้น.......ส่องเข้าสู่จุดศูนย์

    กลางดวงจันทร์เพ็ญ..จนแสงนั้นเมื่อเข้าจุดศูนย์กลาง..ได้รวมตัวกันเป็นดวงจันทร์

    เพ็ญอีกดวงหนึ่งที่ใสสว่างไร้มลทินหนึ่งดวง....อยู่ท่ามกลางดวงจันทร์เพ็ญนั้น....

    และดวงจันทร์เพ็ญจากศูนย์กลางดวงจันทร์เพ็ญได้พุ่งจากดวงจันทร์อย่างเร็วมาสู่

    โลกทันที..และตกไปทางทิศเหนือของเมืองปัตตานีห่างจากเมืองปัตตานีไปอย่าง

    มากมาย"..

    .....................มูชาถึงกับตกตะลึงในปรากฎการณ์ดังกล่าว...เขาหยุดเป่าขลุ่ย..และ

    เฝ้ามองดูปรากฎการณ์ของดวงจันทร์เพ็ญตลอดเวลาที่ปรากฎการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น..เขา

    รู้สึกทันทีว่า"สิ่งที่เขาเฝ้ารอคอยมานานได้เกิดขึ้นแล้ว...ดวงจันทร์เพ็ญที่พุ่งมาจากจุดศูนย์

    กลางของดวงจันทร์เพ็ญมายังโลกมนุษย์....คือการถือกำเนิดของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ

    เกิดมาบนโลกมนุษย์ตามคัมภีร์ในตำนานกล่าวไว้....แต่เขาไม่รู้ว่าจุดที่ดวงจันทร์

    เพ็ญนั้นพุ่งมายังโลกมนุษย์เหนือเมืองปัตตานีไปคือ "ที่ใด...ที่เขาต้องตามหา"...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กันยายน 2011
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................บ้านหลังเดียวอยู่ภายในสวนผลไม้บริเวณชานเมืองสุราษฎร์ธานี

    ไกลจากตัวเมืองพอประมาณ......ในคืนวันจันทร์ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 วันลอยกระทงปี

    พ.ศ.2448 ...ได้มีปรากฎการณ์ที่ดวงจันทร์เพ็ญดวงน้อย.......ที่เกิดการรวมตัวของแสง

    จันทร์เพ็ญส่องย้อนเข้าในจุดศูนย์กลางจากดวงจันทร์เพ็ญบนท้องฟ้า..........ที่มูซาเฝ้าดู

    ปรากฎการณ์นั้นอยู่...........มันเปรียบเสมือนประดุจดัง..ดวงจันทร์เพ็ญได้คลอดลูก

    "ดวงจันทร์เพ็ญ" ส่งมาเกิดยังโลกมนุษย์.........ได้พุ่งลงมาพร้อมกับแสงสว่างจ้า

    ของ"ดวงจันทร์เพ็ญดวงนั้น"หายเข้าไปในบ้านหลังนั้น..ทันที....

    ....................เป็นเวลาเดียวกันกับที่บันตาเจ้าของบ้านหลังนั้นได้คลอดทารก

    น้อยเพศหญิงออกมา..รูปร่างน่ารักมีผิวพรรณขาวเหลืองดุจผิวทองผุดผ่อง.....

    ซันชิโร่ผู้เป็นสามีรับทารกน้อยมาจากหมอตำแยหลังจากชำระล้างร่างกายทารก

    น้อยแล้ว....มองดูลูกน้อยอย่างมีความสุขเขารู้สึกเย็นตาเย็นใจเมื่อได้ดูและสัมผัส

    กับลูกสาวคนนี้......ไม่มีใครในบ้านหลังนั้นรู้เลยว่า "หากนำทารกน้อยนั้นออกมา

    สัมผัสกับแสงจันทร์เพ็ญขึ้น 15 ค่ำ".....ทารกน้อยนั้นจะเปล่งรัศมีของดวงจันทร์

    เพ็ญออกมาจากร่างกายอย่างมากมาย..เสมือนกับมีดวงจันทร์เพ็ญในโลกมนุษย์..

    แต่ในความเป็นจริงแล้วแสงจันทร์เพ็ญได้เปล่งรัศมีออกจากกายทารกน้อยตั้งแต่

    เกิดแล้ว....แต่ไม่มีผู้ใดสามารถเห็นแสงนั้นได้....ดวงจันทร์เพ็ญบนท้องฟ้าเท่านั้น

    ที่เป็นเสมือนกระจกเงา.....เมื่อทารกน้อยได้สัมผัสดวงจันทร์เพ็ญและแสงแห่งดวง

    จันทร์เพ็ญนั้น....แสงเรืองรองเย็นตาเย็นใจสีทองก็จะเปล่งรัศมีออกมาทันที.......

    ....................ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองสุราษฎร์ธานี ..ก็ได้เห็นปรากฎการณ์เหมือนกับ

    ที่มูซาเห็น...ว่ามีดวงจันทร์เพ็ญพุ่งออกมาจากศูนย์กลางของดวงจันทร์เพ็ญบนท้องฟ้าลง

    มาสู่ชานเมืองสุราษฎร์ธานี....แต่พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกับมูซาว่า "ดวงจันทร์เพ็ญนั้นพุ่ง

    ลงมาสู่ที่ใด".....

    ....................คนสุราษฎร์หรือคนเมืองสยาม..ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญมาก่อนเลย...พวกเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น.........เป็นแต่มูซาผู้มีความสัมพันธ์กับ

    แดนมลายู..และเป็นผู้รู้เรื่องราวในตำนานของคัมภีร์นั้น....เขาจึงรู้ว่า"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ

    ได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลกนี้แล้ว..หลังจากเคยเกิดมาแล้วเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว".....

    ....................บันตาและซันชิโร่ ตั้งชื่อให้ทารกน้อยว่า "โนรี" อันเป็นชื่อของวัด

    หนึ่งในแถบชานเมืองสุราษฎร์ธานี.....ผู้ใดก็ตามที่ได้อยู่ใกล้โนรีหรือเห็นโนรี

    สัมผัสหรืออุ้มโนรี...เขาจะมีความสุขอย่างประหลาดภายในจิตใจ...แม้จะมีอารมณ์

    ขุ่นมัวมาจากไหน..แต่ถ้าได้เห็นโนรีเขาจะลืมเรื่องทุกข์ร้อนเสียสิ้น.....

    ....................ชาวบ้านที่กำลังทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย...เมื่อทารกโนรี

    ถูกมารดาอุ้มผ่านไป...........เขาจะต้องหันมามองทารกน้อยและยุติการทะเลาะ

    เบาะแว้งเสียสิ้น....และต่างก็เลิกราไปเอง......หันมาจ้องมองดูทารกโนรีอย่างมี

    ความสุขและหลงใหล........

    .....................หลังจากนั้น ในปี พ.ศ.2453 หรือ 5 ปีต่อมาหลังจากที่โนรี

    เกิด....บันตาก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวอีกคนหนึ่ง..ชื่อ "โมลี" แต่ก่อนที่โมลีจะลืมตาดู

    โลก ...ซันชิโร่ได้เดินทางกลับไปประเทศญี่ปุ่น...ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 จะ

    เกิดขึ้น...โดยกองกำลังเรือรบจากฝรั่งเศสได้สับเปลี่ยนกองกำลังที่ประจำอยู่

    เวียงจันทน์..เอากองกำลังชุดใหม่เข้าไป.....นายทหารที่สั่งยิงเรือซันชิโร่จมลง..

    ตอนที่ออกจากเวียงจันทน์...เขานึกถึงซันชิโร่ว่า"มีเรือจากญี่ปุ่นผ่านมาหรือไม่..

    และรับซันชิโร่ไปไหม"....แต่เมื่อนายทหารจากเรือรบฝรั่งเศสทราบว่าซันชิโร่ยัง

    ไม่ได้กลับญี่ปุ่น...เขาจึงตามหาและนำพากลับญี่ปุ่น....ซันชิโร่บอกบันตาและโนรี

    ว่าเขาจะกลับไปเยื่ยมบิดามารดา..และแจ้งข่าวเรื่องภริยาและบุตรให้ท่านทราบ..

    และจะกลับมายังเมืองสุราษฎร์ธานี....แต่หลายปีผ่านไปซันชิโร่ก็ยังไม่กลับมา...

    ....................โนรีจดจำหน้าพ่อของนางได้เป็นอย่างดี และนางก็มีหน้าตา

    เหมือนกับพ่อของนางมาก...ซันชิโร่จะรักและผูกพันกับโนรีมาก..เขาจะร้องเพลง

    ภาษาญี่ปุ่นให้โนรีฟังเสมอ........เขาทำกำไรข้อเท้ามีลูกกระพรวนดังกุ๊งกิ๊งด้วย

    ทองคำใส่ไว้ที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของโนรี..เป็นกำไรแบบเด็กที่สามารถเลื่อนขนาด

    ของวงได้....โนรีจะใส่กำไรข้อเท้านี้แม้กระทั่งโตเป็นสาว...เวลานางเดินไปไหนจะ

    มีเสียงกระพรวนข้อเท้าดังตามนางไปทุกที..นางไม่ยอมถอดมันออกด้วยเห็น

    ว่า"เป็นของที่ระลึกจากพ่อที่จากไปแดนไกล"......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2011
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................โนรีคิดเสมอว่า "พ่อจะต้องกลับมา" นางเคยเป็นคนร่าเริง แต่เมื่อ

    พ่อจากไปนางกลับดูเฉยเมย..แต่ก็ดูแลโมลีน้องของนางเป็นอย่างดี...

    ....................บันตาแม่ของโนรี เป็นคนมีฐานะ เนื่องจากซันชิโร่ได้ทิ้งทรัพย์สินไว้มาก

    มายไว้ให้..แม้กระทั่ง"กล้องถ่ายรูป"ที่ซันชิโร่รักและหวงแหนมากเขาก็ทิ้งไว้ให้บุตรสาวที่

    แดนสยาม...นางได้ทำสวนรางสาด ยางพาราและผลไม้อื่น ๆ ......โดยบ้านบันตาอยู่ห่าง

    จากวัดโนรีนราราม ราว 200 เมตร....

    ....................บันตาศรัทธาในการทำบุญ และที่เขาตั้งชื่อ "โนรี" ก็มาจากชื่อวัดนี้..

    และเมื่อถึงรัชกาลที่ 6 แห่งแผ่นดินสยามออกกฏหมายให้ชาวสยามทุกคนมี "นามสกุล"

    นางก็ใช้ชื่อที่เหลือของวัดตั้งเป็น "นามสกุล" ขึ้นชื่อ "นรา"......... ดังนั้น โนรีมีชื่อ

    เรียกทั้งนามสกุลว่า "โนรี นรา".....

    ....................โนรี นรา โตขึ้นเป็นสาวสวยน่ารัก ผิวพรรณของนางขาวเหลืองดุจสี

    ทอง..ผิดกับคนสุราษฎร์ทั่วไป....ใบหน้าไร้ซึ่งไฝฝ้าหรือขี้แมลงวัน...คิ้วโค้งเป็นรูป

    ดาบ..ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์และมีแววประกายแห่งความเย็นซึ่งเมื่อใครได้พบเห็น

    สัมผัสนาง...จะรู้สึกได้..หน้าตาของนางต่างจากคนญี่ปุ่นแท้ที่มีหนังตาชั้นเดียว...แต่

    นางนั้นจะมีหนังตาสองชั้น จมูกเล็กได้รูปกับใบหน้าอันงาม..ปากเล็กบางผมยาว

    เพียงคอ..ดูอวัยวะที่ตั้งอยู่บนใบหน้าของนางช่างกลมกลืนสวยงามไปหมด...รูป

    ร่างของนางบอบบางสูงราว 160 เซนติเมตร....อุปนิสัยของนาง..เป็นคนโอบอ้อม

    อารีย์มีเมตตาเยือกเย็นและจริงจัง...เป็นคนกล้าแต่ไม่ช่างพูด...นางไม่เคยมี

    อารมณ์โกรธนับแต่ที่เกิดมา...ผู้คนจึงไม่เห็นนางโกรธแม้แต่ครั้งเดียว...นางเป็นผู้

    เยือกเย็นฉลาดล้ำลึก...จึงเป็นผู้ดับทุกข์ร้อนของผู้คน..นางเป็นลูกครึ่งสยามกับ

    ญี่ปุ่นคนแรกบนแดนสยาม..เมื่อถือกำเนิดขึ้นมาในวันจันทร์ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ

    เดือน 12 วันลอยกระทงในปี พ.ศ.2448 ณ เมืองสุราษฎร์ธานี.....

    ....................ในปี พ.ศ.2448 ที่โนรีเกิด มูซาขณะนั้นมีอายุ 51 ปี..ได้เดินทางไป

    ยังเมืองต่าง ๆเหนือเมืองปัตตานีที่อยู่ชายทะเลของแผ่นดินสยาม นับตั้งแต่ เมืองสงขลา..

    เมืองพัทลุง..เมืองตรัง..เมืองพังงา... เมืองนครศรีธรรมราช และ เมืองสุราษฎร์ธานี..

    ....................เขาพยายามตามหา"ทารกที่เกิดในวันลอยกระทงปีนั้น"..พร้อมกับ

    พยายาม"หาคนสืบทอดการเป่าขลุ่ยเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำของเขา"...แต่ก็ไม่มีผู้

    ใดสามารถฟังและเข้าใจการเป่าขลุ่ยเช่นนี้...เขาหาเด็กที่เกิดในคืนวันลอยกระทงไม่ได้...

    จึงเดินทางไปที่มะลายู........เพื่อหาผู้ที่จะผู้ที่สืบทอดการเป่าขลุ่ยของเขาก่อนที่จะกลับ

    มาตามหา"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"อีกครั้งหนึ่ง...เพราะเขารู้ว่า"จะต้องให้แสงจันทร์เพ็ญ

    ขึ้น 15 ค่ำ ส่งกระทบกับ เด็กที่เกิดในคืนลอยกระทงเท่านั้น จึงจะเกิดแสงแห่ง

    จันทร์เพ็ญปรากฎขึ้นกับร่างเด็กจึงจะรู้ได้ว่า "นางคือผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"..ซึ่งเป็น

    เรื่องยากสำหรับมูซา..............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2011
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .........ตอนที่ 26 เสียงขลุ่ยกับผู้หญิงจันทร์เพ็ญ.......


    ....................จนกระทั่ง ปี พ.ศ.2460 อยู่ระหว่างการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1

    ซึ่งตรงกับในสมัยรัชกาลที่ 6 ของแผ่นดินสยาม..ประเทศสยามได้เข้าร่วมกับฝ่าย

    สัมพันธมิตรอันได้แก่ ประเทศฝรั่งเศส อังกฤษ ฯลฯ ประกาศสงครามกับฝ่ายอักษะ

    ได้แก่ เยอรมัน อิตาลีฯลฯ ....ขณะนั้นมูซามีอายุได้ 63 ปี เขาเริ่มชราขึ้น และได้กลับมา

    ที่เมืองสุราษฎร์ธานีอีกครั้ง..ซึ่งขณะนั้น โนรีมีอายุเพียง 12 ปี โมลีผู้น้องอายุ 7 ปี....

    ....................มูซาเดินทางมานั่งพักร้อนอยู่ที่ศาลาพักร้อนหน้าวัดโนรีนรารามตอน

    ใกล้เพล.....

    ....................ที่บ้านบันตา นางได้เตรียมอาหารใส่ปิ่นโตไว้สำหรับถวายพระ..เพื่อให้

    โนรีนำไปถวายเจ้าอาวาสวัดโนรีนราราม..ที่นางและบุตรเรียกท่านว่า "พ่อท่าน"......

    ....................โนรีได้เอ่ยกับผู้เป็นแม่

    ............................."เสร็จหรือยังจ๊ะแม่" นางได้เอ่ยถามบันตาซึ่งกำลังจัดอาหาร

    ใส่ปิ่นโตอยู่บนบ้าน ในขณะที่โนรีกำลังนั่งเล่นอยู่ข้างล่าง

    ............................."อีกเดี๋ยวเดียวลูก" บันตาตะโกนตอบโนรีพร้อมกับหยิบเถาปื่น

    โตใส่ขาของมัน...เมื่อเสร็จก็เดินหิ้วลงมาที่บันได..เป็นขณะเดียวกับที่โมลีน้องเล็กก็ได้วิ่ง

    ออกมาจากห้องนอนและตะโกนตามหลังมารดา...

    .............................."แม่เดี๋ยวหนูไปกับโนรีด้วย"

    .....................บันตาหันกลับไปมองโมลีที่วิ่งตรงมาจับที่ข้อมือนางที่ถือปิ่นโตอยู่...

    นางจึงได้ยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นลูกหัวโมลีอย่างเอ็นดู แล้วเอ่ยขึ้น

    .............................."ถามพี่เขาดูซิ...เขาจะให้ไปไหม" นางพูดจบก็หันมาทาง

    โนรี

    .....................โมลีจึงได้เอ่ยถาม

    .............................."โนรี..หนูไปด้วยคนนะ" โมลีเริ่มออกอ้อนพี่สาว

    .............................."พี่ไม่ได้เอาเกวียนไป..พี่จะเดิน...ไปไหม" โนรีตอบน้องสาว

    ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ..แต่แววตาบ่งบอกถึงความเอ็นดูและสงสารน้องสาว

    .............................."เดินหนูก็ไป"

    .....................โนรีฟังโมลีน้องสาวพูด..นางยืนอมยิ้มพร้อมกับรับเถาปิ่นโตจากแม่..

    แล้วหยุดมองหน้าแม่..ก็เห็นบันตาผู้เป็นแม่พยักหน้าให้..อันเป็นสัญญาณให้โนรีพาน้องไป

    วัดด้วย....

    ......................โนรีจึงเดินไปหาน้องสาว......และใช้มือซ้ายเกาะประคองที่บริเวณ

    ท้ายทอยของโมลีพากันเดินออกจากบ้าน...โดยที่มือขวาถือเถาปิ่นโตใบใหญ่มุ่งสู่วัดโนรี

    นรารามทันที....

    ....................ทางเดินจากบ้านสู่วัดโนรีนั้นจะต้องผ่านสวนผลไม้และสวนรางสาดที่อยู่

    หน้าบ้าน..และจึงขึ้นถนนมุ่งตรงไปวัด.......ซึ่งในสวนรางสาด สวนผลไม้และยางพาราจะ

    มีที่ที่ดินหลังบ้านอีกเป็นจำนวนหลายไร่......

    ....................ในระหว่างทางที่สองพี่น้องเดินทางไปวัด โมลีเกิดนึกถึงซันชิโร่ผู้เป็น

    พ่อที่ตนเองไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย..จึงได้ซักถามโนรีตามประสาเด็กน้อย

    ............................"โนรีก่อนที่พ่อจะไปญี่ปุ่น..พ่อบอกกับโนรีอย่างไร"

    ....................โมลีไม่เคยเรียกโนรีด้วยสรรพนามว่า "พี่"..มาก่อนเลย...เหตุเพราะ

    นางจะเรียกโนรีตามคำพูดของแม่เรียกจนเคยชิน....แต่ก็รับรู้ความหมายว่า "โนรีคือพี่สาว

    ของตน"....โนรีฟังโมลีซักถามนางได้ยกมือที่ประคองน้องสาวอยู่ขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอยู่

    บนใบหน้าแล้วจึงเอ่ยตอบ..

    ............................"พ่อบอกกับพี่ว่าจะไปหาปู่กับย่า แล้วจะมารับพวกเราไปญี่ปุ่น"

    ....................โมลีเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวพร้อมกับซักต่อด้วยความอยากรู้

    ............................"แล้วญี่ปุ่นมันอยู่ที่ไหน..มันเป็นอย่างไร"

    ............................"ญี่ปุ่นเป็นเกาะหลาย ๆ เกาะ..เหมือนเกาะสมุยบ้านเรา..พ่อ

    บอกว่าในฤดูหนาวจะมีหิมะสี่ขาวตกมาจากฟ้า...และหนาวมาก" โนรีอธิบาย

    ............................"หนูอยากให้พ่อมารับหนูกับโนรีไปญี่ปุ่นเร็ว ๆหนูอยาก

    เห็นหิมะ"

    ....................โมลีพูดออดอ้อนความอยากของตนให้พี่สาวฟัง..ทำให้โนรีถึงกับนิ่งอึ้ง

    เพราะนางเองก็อยากไปญี่ปุ่นเช่นเดียวกับโมลีน้องสาว..และอยากให้พ่อกลับมารับพวก

    นางและแม่ไปด้วยในเร็วพลัน...แต่จนบัดนี้แล้วซันชิโร่พ่อของนางกฌยังไม่กลับ

    มา 7 ปีแล้วซินะ...โมลีไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากพ่อ...สิ่งที่โมลีได้รับก็คือ..

    ความรักความห่วงใยของบันตาและโนรี ผู้เป็นแม่และพี่สาวเท่านั้น...

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      254
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลังจากโนรีนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง..โมลีก็ได้เอ่ยถามขึ้นอีก..เมื่อได้ยิน

    เสียงกระพรวนข้อเท้าที่โนรีใส่ดังกุ๊งกิ๊ง

    ............................"กำไลกระพรวนที่ข้อเท้าโนรีทั้งสองอัน..พ่อให้โนรีตอนไหน"

    ............................"แม่บอกว่า..พ่อจ้างช่างทองทำให้พี่ตั้งแต่ตอนเกิด"

    ............................"แล้วพ่อทำอะไรให้หนู ตอนหนูเกิด"

    ....................คำถามนี้ทำให้โนรีต้องนิ่งอึ้งอีกครั้งหนึ่งเพื่อคิดหาคำตอบให้แก่

    น้องสาวอยู่ครู่ใหญ่..ด้วยความจริงซันชิโร่ไปญี่ปุ่นก่อนที่โมลีจะคลอดออกมา..ซัน

    ชิโร่จึงไม่ได้ฝากของสิ่งใดหรือทำสิ่งใดไว้ให้แก่ลูกสาวคนเล็ก..ด้วยโนรีกลัวน้อง

    จะเสียใจ...จึงได้เอ่ยคำพูดให้น้องเข้าใจเหมือนกับพ่อเตรียมของไว้ให้..

    ............................"โมลีเห็นชุดกิมิโนที่อยู่ในห้องแม่ไหม" (กิมิโนคือชุด

    ประจำชาติญี่ปุ่น)

    ............................"ชุดที่มีผ้าหลายชิ้นยาว ๆ นะหรือ" โมลีถามกลับเพื่อให้

    แน่ใจว่าคือชุดที่นางเคยเห็นหรือเปล่า

    ............................"ถูกแล้ว..พ่อบอกว่ามันเป็นขุดที่ผู้หญิงญี่ปุ่นสวมใส่ พวก

    เราไปที่นั่นก็ต้องใส่หมือนกัน"

    ............................"โอ้โห..หนูไม่เอาด้วยล่ะ..หนักแล้วก็ลุ่มล่ามด้วย" โมลี

    แสดงความเห็นพร้อมกับสีหน้าตกใจ..โนรีเห็นน้องสาวเช่นนั้นถึงกับหัวเราะออกมา

    ....................ระหว่างทางที่สองพี่น้องกำลังพูดคุยกับอยู่นี้..ทันใดนั้นก็มีเสียงขลุ่ย

    ดังแว่วมาแต่ไกล..มาทางวัดโนรีนราราม.....

    .....................โนรีและโมลีหยุดเดินทันที พร้อมกับนิ่งเงียบกริบอย่างตั้งใจฟังอยู่ครู่

    หนึ่ง..แล้วโมลีก็ได้ถามขึ้นด้วยความสงสัยทันที...ด้วยไม่เคยได้ยินเสียงขลุ่ยมาก่อน...

    ............................"โนรี เสียงอะไรน่ะ..เพาะจัง"

    ............................"เสียงขลุ่ย..มีคนกำลังเป่าขลุ่ย" โนรีตอบน้องแต่ยังคงสนใจ

    ฟังเสียงขลุ่ยอยู่....

    ............................"ขลุ่ย..มันรูปร่างอย่างไร"

    ....................โนรีไม่สนใจที่จะตอบคำถามน้องสาว..นางเงี่ยหูฟังเสียงขลุ่ยอย่างตั้ง

    อกตั้งใจฟัง...ด้วยเริ่มมีความรู้สึกชอบเสียงขลุ่ยขึ้นมา..ทำให้โมลีต้องถามซ้ำอย่าง

    โวยวาย

    ........................"แน้..หนูถามว่าขลุ่ยมันรูปร่างอย่างไร ทำไมถึงไม่ตอบ..หา"

    ........................"จุ๊..จุ๊.." เสียงจุ๊ปากของโนรีอันเป็นสัญญาณเตือนให้โมลี

    เงียบไว้ก่อน..เพราะตนกำลังตั้งใจฟังเสียงขลุ่ย ทำให้โมลีต้องหยุดคำถามลง

    อย่างงอน ๆ ด้วยไม่พอใจพี่สาว...

    .....................เสียงขลุ่ยที่โนรีได้ยิน..มูซาได้เป่ามันขึ้นขณะที่กำลังนั่งพักร้อน

    ที่ศาลาพักร้อนซึ่งอยู่ติดกำแพงปากทางเข้าวัดโนรีนราราม...ด้วยตอนนี้ไม่มีผู้ใด

    ผ่านไปมา..ความเงียบเหงาทำให้เขาต้องเป่ามันขึ้นมา

    .....................เสียงขลุ่ยที่เขาเป่ามันคือ "เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ" ที่มาจาก

    "ขลุ่ยฟ้าผ่าหรือขลุ่ยไผ่ดำ" เสียงของมันสั่นเครือประสานกันโดยอัตโนมัติ...ด้วย

    เหตุที่เนื้อเยื่อไม้ไผ่ซึ่งเกาะตัวกันอย่างหลวม ๆ เมื่อลมขลุ่ยเป่าไปกระทบทำให้เกิด

    การสั่นสะเทือนประสานเสียงกันขึ้นในลำขลุ่ย..และสะท้อนออกมาอย่างต่อเนื่องกับ

    เสียงขลุ่ยเดิม...ทำให้เสียงนั้นเหมือนกับ "คลื่นทะเลที่ซัดออกไปเป็นเสียงระลอก ๆ

    อย่างนุ่มนวล มันช่างไพเราะจับใจจริง ๆ"

    ....................โนรีฟังเสียงขลุ่ยที่ประสานกันเป็นระลอก ๆ คลื่นเข้าสู่ประสาทหู..

    นางรู้สึกเคลิบเคลิ้มด้วยความไพเราะอย่างจับใจ...จนไม่อยากที่จะหยุดฟังมัน...

    โนรีรู้สึกถึงที่มาของเสียงขลุ่ยนั้นต้องมาจากทางเข้าวัด...นางจึงรีบเดินตามเสียง

    นั้นไปพร้อมกับมือซ้ายได้โอบกอดน้องสาวให้เดินเร็ว ...จนโมลีถึงกับเงยหน้าขึ้น

    มองพี่สาวและก็เห็นใบหน้าที่เอาจริงเอาจังของโนรี...โมลีจึงเดินเร็วตามพี่สาวโดย

    ไม่ชวนคุยอีก......

    .....................จนถึงศาลาพักร้อนปากทางเข้าประตูวัด...โนรีเห็นชายวัยชรา

    เริ่มต้นคนหนึ่งนั่งหลับตาพริ้ม...เป่าบรรเลงเพลงขลุ่ยโดยไม่สนใจมองดูสิ่งใด...ผิว

    ของชายชราออกสีดำแดง..รูปร่างค่อนข้างท้วมแต่ไม่ถึงกับอ้วน...และไว้หนวด...

    ......................โนรีมองชายชราคนนั้นอย่างพึงพอใจ...และก้มมองน้องสาวที่

    ตนโอบกอดอยู่...ก็เห็นโมลีมองชายชราอย่างสนใจเช่นกัน...

    ....................ทั้งสองพี่น้องหยุดมองดูชายชราอยู่ครู่หนึ่ง...แล้วโนรีก็สะกิดให้

    โมลีเดินตามมาอย่างช้า ๆ ในขณะผ่านหน้าชายชรา หรือ ภาษาใต้เรียกว่า

    "พ่อเฒ่า" ไป ด้วยกลัวเกิดเสียงดัง....และตั้งใจว่า จะรีบเอาปิ่นโตอาหารไป

    ถวาย"พ่อท่าน" แล้วจะรีบกลับมาดูและฟังพ่อเฒ่าเป่าขลุ่ยต่อ......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      252
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2011
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................โนรีเดินผ่านประตูเข้าไปในบริเวณวัดโนรีนราราม...ก็ได้ยินเสียง

    น้องสาวที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม

    ............................"โนรี...ที่พ่อเฒ่าเป่าอยู่..เป็นขลุ่ยหรือ"

    ............................"อืม..ใช่แล้ว" โนรีพูดพร้อมกับพยักหน้า

    .....................สองพี่น้องเดินมาที่กุฏิเจ้าอาวาสหรือพ่อท่าน..พบว่าประตูปิดอยู่จึงได้

    เดินไปที่ศาลาวัด..และได้พบกับเณรน้อยที่รู้จักและเคยช่วยเหลือแม่ของนางและตัวนางใน

    การเป็นอยู่ที่สวนผลไม้...ซึ่งเณรน้อยรู้สึกรักและเอ็นดูสองพี่น้องตลอดมา....เณรกำลัง

    กวาดลานวัดอยู่..โนรีจึงเอ่ยถามขึ้น.....

    ............................."พี่เณร..พ่อท่านอยู่ไหน"

    .....................เณรน้อยวัย 14 ปี เงยหน้าขึ้นและหันมาทางต้นเสียง..ก็พบคนคุ้นเคย

    จึงเอ่ยทักขึ้นอย่างดีใจพร้อมกับตอบคำถาม

    ............................."อ้าว..โนรี พ่อท่านอยู่บนศาลา..โยมบันตาไม่มาด้วยหรือ"

    ............................."แม่เตรียมเอาม้าเทียมเกวียนไว้รอให้หนูไปเก็บรางสาดใน

    สวน"

    ............................."ที่สวนคงออกผลรางสาดเยอะซินะ...รีบเอาปิ่นโตไปถวายพ่อ

    ท่านเถอะใกล้เพลแล้ว" เณรน้อยพูดกำชับด้วยเห็นว่าใกล้เพลแล้ว

    .............................."จ้ะ"

    .....................หลังจากที่โนรีเดินจากเณรน้อยมา เสียงขลุ่ยที่ดังอยู่หน้าวัดก็เงียบ

    เสียงไป...โนรีรู้สึกกระวนกระวายใจมาก...อยากออกไปดูด้วยเกรงว่าพ่อเฒ่าจะจาก

    ไป...แต่ติดถวายปิ่นโตให้แก่พ่อท่าน..นางจึงรีบพาน้องสาวไปบนศาลา...

    .....................บนศาลาพ่อท่านวัยชรามีอายุ 70 ปี แต่ยังดูแข็งแรง..กำลังใช้ผล

    มะนาวผ่าซีกขัดถูพระพุทธรูปทองเหลืองขนาดหน้าตัก 3 ศอกที่ประดิษฐานอยู่บนศาลา

    วัด...เพื่อให้องค์ท่านขึ้นเงา.......

    .....................โนรีเดินเข้าไปหาพ่อท่านพร้อมกับน้องสาว..แล้วเอามือที่ประคองกด

    หัวไหล่เพื่อให้น้องสาวนั่งพับเพียบลงพร้อมกับตน...แล้วจึงก้มกราบพ่อท่าน..พลางเอ่ยขึ้น

    อย่างน้อบน้อม

    ............................"พ่อท่าน..แม่ให้หนูเอาปิ่นโตมาถวายจ้ะ"

    ............................"อืม..แล้วโยมแม่ของหนูไปไหนเสียล่ะ" พอท่านพยักหน้ารับ

    พร้อมเอ่ยถาม

    ............................"แม่เตรียมม้าเทียมเกวียนอยู่ที่บ้าน..รอให้หนูไปเก็บรางสาด"

    ............................"อืม..ขยันดีนะ..แล้วโยมพ่อของหนูส่งข่าวมาบ้างไหม"

    .....................พ่อท่านกับครอบครัวของโนรีรู้จักสนิทกันดี..โดยเฉพาะซันชิโร่และบัน

    ตาจะนับถือพ่อท่านดุจญาติผู้ใหญ่...ซึ่งพ่อท่านเองก็ให้ความเมตตาสงสารพวกเขา..

    และรับรู้เรื่องราวที่ซันชิโร่ที่จากไปด้วยความห่วงใย...เกรงจะมีภัยมาถึง...โนรีฟังคำถาม

    จากพ่อท่านด้วยสีหน้าเศร้าลง และหันไปมองน้องสาวก่อนตอบคำถามพ่อท่าน...

    ............................"ไม่มีข่าวจากพ่อเลยจ้ะ"

    .....................หลังจากที่โนรีถวายปิ่นโตให้พ่อท่านเสร็จ..นางและน้องสาวได้กราบ

    ลาพ่อท่าน..และโนรีได้เดินประคองน้องสาวออกมาอย่างทะนุถนอม..ซึ่งพ่อท่านได้

    ยืนมองดูสองพี่น้องด้วยความรู้สึกเมตตาสงสาร และ ชื่นชมภาพที่เห็นอย่างมีปิติ..โดย

    แสดงออกทางแววตาพร้อมกับผงึกหน้าเล็กน้อย.....

    .....................ภาพอันงดงามในสายตาของพ่อท่าน คือ การที่โนรีประคองกอด

    น้องสาวเดินคู่กันไป...อันเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นความรักของพี่สาวที่คอยปกป้องระวัง

    น้องด้วยความห่วงใย พ่อท่านได้พึมพำขึ้นอย่างเบา ๆ

    ..........................." โนรี เอ้ย...เอ็งช่างงามแท้..งามทั้งภายนอกและภายใน

    จิตใจ"

    .....................ลับจากพ่อท่านมา..โนรีเร่งรีบเดินมาที่ประตูเข้าวัดบริเวณที่ตั้งของ

    ศาลาพักร้อน..เมื่อมาถึงก็พบว่า "พ่อเฒ่าที่เป่าขลุ่ยอยู่ได้หายไปแล้ว" นางพยายาม

    มองหาไปรอบ ๆ และบนทางเดินเพื่อจะมองหาพ่อเฒ่า...แต่ก็หาพบร่องรอยของ

    พ่อเฒ่าไม่...นางจึงรู้สึกผิดหวังและถอนหายใจอย่างแรง

    .....................โมลีรู้สึกได้ว่า "พี่สาวของนางต้องการอะไร และกำลังรู้สึกอย่าง

    ไร"..เด็กน้อยจึงได้กอดที่เอวของพี่สาวแน่นขึ้นเหมือนการปลอบใจพี่สาว..ด้วยตน

    เองไม่รู้จักสรรหาคำพูดใดมาปลอบใจพี่สาวเพราะความเป็นเด็ก....

    .....................โนรีรับรู้ถึงการกระทำของน้องสาว..นางก้มลงมองโมลีก็เห็น

    น้องสาวมองตนด้วยแววตาที่เห็นใจ..นางจึงเอ่ยกับน้องสาวอย่างแผ่วเบาด้วย

    ความสลดหดหู่

    ............................"กลับกันเถอะ..เดี๋ยวพี่จะเข้าสวน"

    .....................แล้วสองพี่น้องก็เดินประคองกันกลับบ้านด้วยความเงียบเหงา

    และผิดหวังจากศาลาพักร้อนนั้น...

    ....................ฝ่ายมูซาหารู้ไม่ว่า..เสียงขลุ่ยของเขาได้นำพา "ผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญ"..ที่เขาเฝ้ารอคอยที่จะได้พบเห็นมาตลอดชีวิต...มายืนอยู่ตรงหน้าของเขา

    แต่เขากลับไม่ลืมตาขึ้นมองดูเลย...ทั้ง ๆที่ขณะเป่าขลุ่ย..มูซาก็ได้ยินเสียงกุ๊งกิ๊ง

    ของกระพรวนข้อเท้าที่โนรีใส่อยู่...และรู้ว่ามีคนผ่านมา...แต่เพราะอารมณ์เพลง

    ขลุ่ยที่เขากำลังอยู่ในห้วงของการปล่อยจิตใจล่องลอยไปตามเสียงขลุ่ย..เขาจึงไม่

    ได้สนใจมัน....."มันจึงเป็นความคลาดแคล้วจากโอกาสอันงดงามของเขา...ที่เขา

    รอคอยมาอย่างยาวนาน"......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      218
  10. ttt2010

    ttt2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +905
    อนุโมทนาสาธุ บุญนี้ ขอยกให้กับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยเทอญ...
    ttt2010 ศิษย์พระอาจารย์บุญยง อภิลาโส ภิกขุ

    _____________________________________________________
    บอกบุญแหล่งทำบุญ
    เปิดดวง พิธีกรรมแก้ดวงชะตา (สำนักสงฆ์พรหมรังศรี)
    กฐินสามัคคีปฐมฤกษ์เบิกชัย ที่พักสงฆ์พรหมรังศรี
    ท่องวัดและศาสนสถานที่สำนักสงฆ์พรหมรังศรี<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ......สาธุขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปทั้งทางธรรมและทางโลก

    ในทางที่ชอบด้วยครับ......
     
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .................ตอนที่ 27 เพลงญี่ปุ่นของพ่อ............


    ....................การดำเนินชีวิตของครอบครัวโนรีที่ทำในแต่ละวันก็คือ..ในตอน

    เช้ามืดราวตีสามถึงตีสี่..บันตาผู้เป็นแม่จะออกไปกรีดยางพาราซึ่งยางพารานั้นจะมีน้ำยาง

    ออกได้ดีตอนเช้ามืด..คนภาคใต้ส่วนใหญ่ก็จะออกไปกรีดยางช่วงเวลาเดียวกับบันตา..และ

    นางจะกลับเข้ามาบ้านราวหกโมงเช้า...ส่วนโนรีจะตื่นตอนตีห้าเพื่อหุ่งข้าวทำกับข้าวให้แม่

    และน้อง..และทำงานบ้าน. ...เพราะหลังจากที่ซันชิโร่กลับไปญี่ปุ่นบันตาก็ไม่ได้ค้าขาย

    สินค้าใด ๆช่วยสามี ..นอกจากนำผลไม้ไปขายพร้อมกับยางพาราในสวนเท่านั้น...และเหตุ

    ที่บันตาตื่นเช้าอยู่เสมอ..จึงพักผ่อนไม่เพียงพอความอ่อนเพลียจึงเกิดขึ้น..โนรีจึงเป็นผู้

    ดูแลสวนผลไม้และเก็บผลไม้แทนบันตาผู้เป็นแม่......

    ....................โนรีเป็นเด็กสาวที่มีความสามารถประดิษฐ์สิ่งของใด ๆ หลาย ๆ อันให้

    เหมือนกันได้อย่างไม่มีที่ติ..เช่น กระทงที่ทำขึ้นวันลอยกระทง ในคืนวันเพ็ญเดือน 12 นาง

    เคยทำให้ แม่ น้องและตนเอง...รวม 3 กระทง...แต่เมื่อใครดูแล้วจะเห็นว่าทั้งสามอันคือ

    อันเดียวกัน......

    ....................รุ่งขึ้นของวันใหม่ โนรีและโมลีสองพี่น้องนั่งเกวียนที่มีม้าสองตัวเทียม

    อยู่ออกจากบ้านแต่เช้า...เดินทางเข้าไปสวนรางสาดหลังบ้านซึ่งค่อนข้างไกลจากบ้าน..

    โดยบรรทุกกระบุงเพื่อนำไปใส่ผลรางสาดหลายใบ..เพื่อนำมาคัดและนำออกไปส่งขายใน

    ตลาด......

    ....................ขณะที่เกวียนกำลังเคลื่อนไปในสวนอย่างช้า ๆ โมลีได้เอ่ยกับโนรี ขณะ

    ที่กำลังนั่งด้วยกันและถือเชือกบังคับม้าอยู่

    ............................." โนรี..ถ้าเจอพ่อเฒ่าเมื่อวานนี้อีก..โนรีให้พ่อเฒ่าสอนเป่า

    ขลุ่ยแล้วมาเป่าให้หนูฟังนะ"

    ....................คำพูดของน้องสาวที่เอ่ยขึ้น..ช่างตรงกับใจของโนรีที่กำลังคิดอยู่เช่นนี้

    เหมือนกัน..นางจึงอมยิ้มด้วยถูกใจในคำพูดของน้องสาว แล้วหัวเราะขึ้นเบา ๆ ก่อนพูด

    อย่างอารมณ์ดี

    ..........................."แล้วตอนนี้..ไม่มีเสียงขลุ่ย โมลีจะฟังเสียงอะไร"

    ....................โมลีหัวเราะพร้อมกับออดอ้อนพี่สาวขึ้นทันที

    ............................"ก็ฟังเพลงที่โนรีร้องประจำอยู่ไง"

    ....................โนรียิ้มอย่างเบิกบานอีกครั้ง..ด้วยตอนนี้บรรยากาศเงียบเชียบ

    และปกคลุมไปด้วยป่าไม้..นางคิดที่จะร้องเพลงเป็นเพื่อเดินทางอยู่เช่นกัน

    .....................เพลงที่โนรีร้องอยู่ประจำหาได้เป็นเพลงสยามไม่..แต่เป็นเพลง

    ญี่ปุ่นที่ซันชิโร่ร้องให้โนรีฟังตั้งแต่เล็ก...และก็สอนนางร้องเพลงนี้ด้วย...ด้วยพ่อ

    ของนางเวลาที่อยากจะพูดภาษาญี่ปุ่น..แต่ไม่รู้จะพูดกับใครด้วยผู้อื่นพูดไม่เป็น..ก็

    จะร้องเพลงนี้ขึ้นมาบ่อยครั้ง...จนโนรีจำเนื้อร้องและทำนองได้หมด...แต่นางก็

    แปลความหมายของเพลงไม่ออกว่าแต่ละตำมีความหมายเช่นไร... นอกจากฟัง

    ซันชิโร่พ่อของนางบอกว่า........"มันคือเพลงอมตะที่หนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นที่รักกัน

    ชอบร้อง"........

    .....................เสียงฮัมทำนองเพลงญี่ปุ่นดังกระหึ่มขึ้น..อันเป็นจินตนาการของ

    โนรีที่เหมือนกับมีเครื่องดนตรีให้จังหวะ...เพราะพ่อนางสอนว่า "การที่จะร้องเพลง

    โดยไม่มีเครื่องดนตรีประคองบทเพลง..มันจะทำให้เราร้องไม่ได้จังหวะและไม่

    ไพเราะ...เมื่อมันไม่มีเราต้องจินตนาการสร้างดนตรีขึ้นมาในใจและขับร้องมันจึง

    ไพเราะ...ซึ่งนางก็ทำตามพ่อบอก...เพลงของนางจึงไพเราะมาก...



    ............................"คิโทนิตานิชิคุ...นานินาโคโบเรเต...........................

    .............................อะนาตาดาชิเดวา...อิคิเตยูเคนาอิ...........................

    .............................โยงุนาคิเตเตโม...อาซะวะมาบุชิคุ..........................

    .........................โคโน๊ะอางาทาอิโยนารา...มาตาเบนุนิอาอุ.....................

    ............................อานาตาดาเคนิวา...วะกะดะเทโฮชิโน.......................

    ...........................วะตะชิโน๊ะโคโคโร...อานาตะโนโมโนโย.....................

    ...................................ฮือ...ฮือ....ฮือ...........................................

    ...........................อะนาตาดาเคนิวา...วะกะดะเทโฮชิโน........................

    ...........................วะตะชิโน๊ะโคโคโร...อานาตะโนโมโนโย...................."




    ....................เสียงเพลงที่โนรีขับร้องก้องกังวานไพร..แจ่มใสไพเราะสะกดให้

    เสียงนกร้องต้องหยุดร้องเมื่อฟังเพลง...แรงสะท้อนของป่าไม้ที่ปกคลุมทำให้เสียง

    ชัดเจน..เจ้าม้าทั้งสองตัวที่เดินอยู่ก็เดินอย่างอารมณ์ดี

    ....................สิ้นเสียงเพลง..โมลีเงยหน้าขึ้นมองหน้าอันเบิกบานและเต็มไปด้วยรอย

    ยิ้มของพี่สาว....ด้วยทั้งสองต่างก็อารมณ์ดีมีความสุขที่ท่องเที่ยวในสวนผลไม้..อันเป็น

    ภาพความสุขอันหนึ่งที่เมื่อใครได้พบยามนี้..ก็คงทำให้พวกเขาสุขใจจนไม่อยาก

    ขบคิดเรื่องอื่น.....

    ....................โมลีจึงเอ่ยกับพี่สาวด้วยอารมณ์มีความสุข..รำพึงรำพันและพอใจใน

    เสียงร้องเพลงของพี่สาว

    ............................"พ่อจะร้องเพาะ...เหมือนโนรีร้องไหม"

    .....................โนรีหัวเราะพองามก่อนตอบ

    ............................"พ่อต้องร้องเพาะอยู่ก่อนแล้ว...เพราะพ่อเขารู้ความ

    หมายของเพลง....เวลาพ่อร้อง...พ่อจะเกิดอารมณ์คล้อยตามไปด้วย"

    ............................"หนูอยากเห็นพ่อ..และฟังพ่อร้องเพลงจังเลย"

    ............................"อืม..ไว้รอพ่อกลับมาก่อน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      470
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................โนรีและโมลีขับเกวียนมาถึงที่กระท่อมพักร้อนในสวนรางสาด...

    โนรีจอดเกวียนไว้ข้างกระท่อม...และนำกระบุงลงมาจากเกวียน..โดยมีโมลีถือเชือก

    ป่านมะนิลาเส้นยาวแต่ม้วนพันเป็นวงส่งให้โนรีปีนขึ้นต้นรางสาด...และโนรีเมื่อขึ้นไปบน

    ต้นไม้แล้วได้หย่อนเชือกมาให้โมลีด้านล่าง....เพื่อมัดกระบุงแล้วโนรีได้สาวขึ้นไปบน

    ต้นไม้เพื่อเด็ดผลรางสาดวางไว้ในกระบุงจนเต็มแล้วจึงหย่อนกระบุงที่เต็มไปด้วยรางสาด

    ลงมาให้โมลี.......แล้วโมลีก็จะมัดกระบุงใบใหม่ส่งให้พี่สาวทำเช่นนี้จนรางสาดเต็มกระบุง

    ทั้งหมด........แล้วทั้งสองพี่น้องก็ช่วยกับยกกระบุงขึ้นไว้บนเกวียนและนำพากลับบ้านเพื่อ

    ให้บันตาคัดนำไปส่งขายในตลาด.....

    ....................ป้า"ตันหยง" คือแม่ค้าขายผลไม้ในตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี..ซึ่งนาง

    จะรับซื้อผลไม้ทุกชนิดจากบันตา..โดยเฉพาะรางสาดเพื่อนำไปชั่งกิโลขาย...ผลไม้ที่ป้า

    ตันหยงรับซื้อและขายทั่วไป ได้แก่..เงาะ..ส้ม ลิ้นจี่ ลองกอง มังคุด..และรางสาด ฯลฯ

    ....................บันตาเมื่อเห็นลูกสาวทั้งสองนำเกวียนกลับมาก็ได้ช่วยกันยกกระบุงลง

    มาคัดเลือกผลไม้...โนรีเอ่ยขึ้น

    ............................"แม่จะเอาไปส่งป้าตันหยงหมดหรือเปล่าจ้ะ"

    ............................"แม่จะคัดเอาไปถวายพ่อท่านกับพระที่วัดก่อน..แล้วคัดไว้กิน

    ส่วนหนึ่ง...จะส่งให้ป้าตันหยง 5 กระบุง...

    .....................กระบุงรางสาดถูกลำเลียงมาไว้บนแคร่ และบันตาก็ได้คัดเลือกราง

    สาด..และได้สังเกตเห็นลูกทั้งสองมอมแมมเต็มไปด้วยเหงื่อ..นางจึงเอ่ยขึ้น

    ............................."โนรีพาน้องไปอาบน้ำด้วยกัน..แล้วไปแต่งตัวใหม่เถิด..เดี๋ยว

    แม่คัดเอง"

    ............................."ยังจ้ะแม่..เดี๋ยวหนูช่วยแม่คัดให้เสร็จก่อน" โนรีปฏิเสธด้วย

    เห็นรางสาดมีจำนวนมาก

    ............................."หนูก็ไม่ไป...หนูจะช่วยแม่"

    ....................บันตาก้มหน้ายิ้ม.ด้วยภูมิใจที่ลูกทั้งสองเป็นคนมีน้ำใจ นางจึงเอ่ยด้วย

    คำพูดที่อ่อนโยน

    ............................."แล้วพวกหนูไม่หิวกันหรือจ้ะ"

    ....................โนรีไม่พูดแต่ส่ายหน้าอย่างช้า ๆ แทนคำตอบ

    ....................การคัดรางสาดเสร็จจนใกล้ค่ำ...ซึ่งเมื่อค่ำแล้วเมืองสุราษฎร์สมัยนั้น

    (พ.ศ.2460) จะมืดด้วยยังไม่มีไฟฟ้าใช้เช่นเดียวกับเมืองน่าน....จึงต้องใช้ตะเกียงให้แสง

    สว่าง.......

    .....................บันตาเป็นคนหนักแน่นและอดทน แม้ซันชิโร่จะไม่กลับมา..นางก็เลี้ยง

    ดูลูกทั้งสองเพียงคนเดียวอย่างมีความสุข...และโนรีและโมลีส่วนใหญ่ก็จะรักแม่และเชื่อ

    ฟัง....ความดีและความมีน้ำใจของบันตา...ลูกของนางต่างก็ซึมซับไว้ทั้งหมด...การซึม

    ซับของลูกสาวจากแม่นี้เองกระมั้ง..ที่คนโบราณถึงมีคำสอนว่า "ดูนางให้ดูที่แม่"..

    เพราะแม่เป็นเช่นไรลูกก็จะเป็นเช่นนั้น...

    .....................ครอบครัวของบันตา ถือว่าเป็นครอบครัวที่มีความสุข..นางเองไม่เดือด

    ร้อนเรื่องการเงิน...แถมยังเอาใจใส่อบรมสั่งสอนลูก...สิ่งที่บันตากังวลที่สุดก็คือ..การที่

    เมื่อซันชิโร่กลับมาและรับนางกับลูกไปประเทศญี่ปุ่น...แม้จะไม่ได้ไปอยู่เลยก็ตาม..แต่การ

    ไปเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ของสามีก็คงต้องอยู่เป็นเวลานานเช่นกัน....เพราะนางไม่รู้ขนบ

    ธรรมเนียมประเพณีของชาวญี่ปุ่นว่าเป็นเช่นใด....นั้นก็ถือว่า "เป็นปกติธรรมดาของคน

    ทั่วไปย่อมหวาดกลัวต่อสิ่งที่ตนไม่รู้แต่จะต้องไปรับรู้"...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      235
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2011
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .............ตอนที่ 28 มูซากับผู้หญิงจันทร์เพ็ญ........


    .....................รุ่งขึ้นวันใหม่ ...บันตาตื่นนอนตอนตีห้าโดยไม่ได้ออกไปกรีด

    ยางพาราในเช้านี้เพราะนัดแนะกับลูกสาวทั้งสองว่าจะเอาผลรางสาดไปส่งให้ป้า

    ตันหยงที่ตลาดและจะซื้อข้าวของกินของใช้กลับมาบ้าน...นางได้เข้าไปปลุกลูกทั้ง

    สองซึ่งกำลังหลับไม่ยอมตื่นตามเวลานัด..อันสืบเนื่องมาจากความอ่อนเพลียจากการปีน

    ต้นรางสาดหลาย ๆต้น...

    ............................"โนรี..โมลี ตื่นเถอะลูก" นางพูดพร้อมกับเขย่าตัวลูกทั้งสองที่

    กำลังหลับอยู่

    .....................โนรีรู้สึกตัว ..นางรีบลุกขึ้นจากที่นอนทันที แต่โมลียังไม่ยอมตื่น

    ............................"ปล่อยให้น้องหลับต่อเถอะแม่" โนรีปรามแม่ไว้ด้วยเห็นว่า..

    เมื่อคืนนี้น้องสาวกว่าจะหลับได้ก็ดึกโข......ด้วยซักถามตนให้อธิบายเรื่องราวที่พูดกัน

    หลาย ๆ เรื่อง..โดยเฉพาะเรื่องพ่อ....ซึ่งความจริงโนรีก็ยังง่วงอยู่ แต่เพราะความรับผิด

    ชอบนางจึงต้องรีบตื่นมาทำหน้าที่....

    ............................"ให้หลับต่อสักครู่เดียวนะ และหนูต้องรีบปลุกน้อง..เดี๋ยว

    ต้องเตรียมใส่บาตร แล้วเอารางสาดขึ้นเกวียน" บันตาชี้แจงให้โนรีฟัง.งเนื่องจากวันนี้

    ต้องไปตลาด..และก่อนจะไปก็ต้องนำรางสาดบางส่วนไปถวายพ่อท่านที่วัด

    .....................โนรีจัดแจงตนเองเสร็จจึงเข้าไปปลุกน้องสาวจากที่นอนให้ล้างหน้า

    อาบน้ำแต่งตัว...แล้วทั้งคู่ก็ตามบันตาไปที่บริเวณประตูรั้วหน้าบ้านเพื่อรอใส่บาตรพระวัด

    โนรีนราราม....

    ......................ในที่สุดเวลาหกโมงเช้าพ่อท่านได้นำพระภิกษุอีก 7 รูปพร้อมเณร 1

    องค์ซึ่งคือ พี่เณรของโนรีและโมลี...ออกบิณฑบาต..แต่ละรูปจะเดินอย่างสงบเสงี่ยมและ

    สำรวม เพราะพ่อท่านเป็นตัวอย่างที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดจึงทำให้พระลูกวัด

    ปฏิบัติตาม.....ซึ่งพ่อท่านมองไปข้างหน้าโดยทอดสายตาลงต่ำเบื้องหน้าประมาณ 3-4

    ก้าว....นำหน้าขบวนมาหยุดตรงบันตาและลูกทั้งสอง...ท่านเปิดฝาบาตรให้บันตาและลูก

    นำอาหารใส่..เรียงไปจนครบจำนวนพระและเณร...พร้อมกับสวดให้พร

    ..........................."อภิวาชันนะสี ลีสนีจัง ปัจจาโย จัตตาโร ธัมมาวันทันติ อายุ

    วัณโณ สุขัง พะลัง" เสียงพระทุกรูปสวดให้พรอย่างดังจนจบ บันตาได้เอ่ยขึ้นบอกกล่าว

    กับพ่อท่านในขณะที่พ่อท่านก้มหน้าอย่างสำรวม

    ..........................."เดี๋ยวโยมจะเอารางสาดไปถวายที่วัดนะเจ้าคะ"

    .....................พ่อท่านฟังแล้วก็เดินจากไปเพื่อโปรดสัตว์ต่อ.....

    .....................ตอนสายบันตาพร้อมลูกทั้งสองนำผลรางสาดไปถวายพ่อท่านเสร็จ..

    นางก็รีบให้โนรีบังคับเกวียนมุ่งสู่ตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี....

    .....................ตลาดเมืองสุราษฎร์ธานีสมัยนั้นยังไม่ได้เจริญเช่นปัจจุบันนี้ ลักษณะ

    ของตลาดคล้ายกับตลาดนัดในสมัยนี้....โดยจะมีร้านค้ามากมายตั้งบนพื้นที่กว้างคล้าย

    ลานนวดข้าวของคนภาคกลาง...จะมีคนสัญจรมาซื้อข้าวของเก็บกักตุนไว้มากมาย..

    .....................ผู้คนส่วนใหญ่จะมีเกวียนเทียมม้าขับมาจอดห่างจากตัวตลาดประมาณ

    3-5 เมตร...ดังนั้นรอบ ๆตลาดจึงถูกล้อมรอบไปด้วยเกวียน..ซึ่งเป็นการสะดวกในการยก

    ข้าวของขึ้นเกวียนของผู้คน...

    .....................โนรีนำเกวียนมาจอดตรงบริเวณใกล้กับร้านป้าตันหยงซึ่งขายผลไม้

    อยู่..และนางกับลูกสาวก็ได้ช่วยกันยกกระบุงรางสาดมาส่ง.....ป้าตันหยงซึ่งมีอายุแก่กว่า

    บันตาไม่มากนัก....

    ............................"โอโห..ได้มาตั้งห้ากระบุงเชียวหรือ" เสียงป้าตันหยงเอ่ย

    ............................"สองพี่น้องไม่รู้ว่าสบายใจอะไร..จึงช่วยกันเก็บมาเกือบหมด"

    บันตาอธิบายถึงลูกสองคนให้ป้าตันหยงฟัง

    ............................"เก่งจังนะ...สองสาวหลานป้า" ป้าตันหยงเอ่ยยกยอ ทำให้ทั้ง

    สองภูมิใจอมยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่แก้ม

    .....................ป้าตันหยงส่งเงินค่ารางสาดให้บันตาแล้วเอ่ยถาม

    ............................"แล้วนี่จะซื้ออะไรกลับบ้านบ้างล่ะ"

    ............................"ยังไม่รู้เลยจ้ะ..ว่าจะหาดูไปเรื่อย ๆ ก่อน"

    ......................หลังจากนั้น ป้าตันหยงได้หันไปทางโนรีและโมลีอย่างพิจารณาด้วย

    ความเอ็นดูด้วยรอยยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้น

    ............................"ถ้าซันชิโร่พ่อของมันกลับมา..พ่อมันคงปลื้มน่าดูที่มีลูกสาวน่า

    รักและสวยทั้งคู่"

    ......................ขึ้นชื่อว่า"คำชมเรื่องสวยงาม" ดูจะเป็นเรื่องที่ถูกใจผู้หญิงส่วน

    มาก...เช่นเดียวกับสองพี่น้องที่ออกอาการเขินอายในทันทีที่ป้าตันหยงเอ่ยชม..

    แม้ตนเองจะยังเป็นเด็กอยู่....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      229
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................หลังออกจากร้านป้าตันหยง..บันตาได้พาลูกทั้งสองเดินซื้อผักกับ

    ข้าวและของอื่น ๆอีกมากมาย..และได้ทยอยมาใส่เกวียนที่จอดอยู่ข้างร้านป้าตันหยง

    ....................สามแม่ลูกจ่ายตลาดเกือบเที่ยงวัน..ก็เตรียมขึ้นเกวียนกลับโดยโนรีและ

    โมลีนั่งจับเชือกม้าอยู่เคียงข้างกัน และในขณะที่บันตายังยืนพูดคุยเตรียมร่ำลากับป้า

    ตันหยงอยู่........

    ....................พลันสายตาของโมลีก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ท้าย

    ตลาด..ทำให้เด็กน้อยตาลุกวาว..และตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นและดีใจ

    ........................"โนรี..โนรี..ดูนั้น..ดูนั้น..." โมลีพูดพร้อมกับชี้มือไปที่

    ท้ายตลาดทำให้โนรีรวมทั้งบันตาและป้าตันหยงมองตามไปยังสิ่งที่โมลีชี้

    .....................ภาพที่ปรากฏเห็นก็คือ."เฒ่าชราวัย 63 ปีที่โนรีและโมลีเคยเห็น

    เขานั่งเป่าขลุ่ยอยู่ที่ศาลาพักร้อนหน้าวัดโนรีนรารามเมื่อสองวันก่อน..บัดนี้พ่อเฒ่า

    กำลังขายผ้าให้แก่ลูกค้าอยู่โดยไม่ได้สนใจสิ่งใด.....

    ......................โนรีรู้สึกดีใจที่ได้พบเห็นพ่อเฒ่าอีกครั้ง..เด็กน้อยวัย 12 ปีมอง

    พ่อเฒ่าด้วยแววตาที่มีประกายแห่งความตื่นเต้น...แล้วนางก็กระโดลงจากเกวียน

    ตรงไปที่ร้านป้าตันหยง......เพื่อหยิบบางสิ่งบางอย่าง.....โดยมีโมลีวิ่งตามไป

    อย่างกระชั้นชิด....

    ............................."ป้าตันหยง..หนูขอรางสาดไปสองสามพวงก่อน..แล้วหนู

    จะเก็บมาใช้คืนนะจ๊ะ" โนรีพูดพร้อมกับเลือกรางสาดอย่างรวดเร็ว...ทำให้ป้า

    ตันหยงกับบันตาถึงกับงงไม่เข้าใจในอาการของโนรี....แต่ทั้งคู่ก็หยุดสังเกตเพื่อ

    ให้เข้าใจว่า "โนรีกำลังทำอะไร"

    ....................โนรีถือพวงรางสาดเดินตรงไปยังพ่อเฒ่ามูซาที่กำลังขายผ้าอยู่

    ทันที..โดยมีโมลีตามไปติด ๆ....

    ....................พ่อเฒ่ากำลังส่งผ้าให้ลูกค้าดู ...แล้วพ่อเฒ่าก็ต้องแปลกใจเมื่อ

    เห็นเด็กสาววัย 12 ปีหน้าตาน่ารักหมดจดผิวพรรณผุดผ่องดังสีทอง....ดูแล้วเย็น

    สบายตาสบายใจถือพวงรางสาดมายืนจ้องเขาอยู่...แววตาของเด็กสาวเป็นแววตา

    ที่มีความเมตตาและเยือกเย็นที่ผู้ใดได้มองแล้ว....ทำให้รู้สึกเย็นตาเย็นใจเช่นเดียว

    กับพ่อเฒ่าที่กำลังรู้สึกอยู่ขณะนี้.....

    ....................โนรีมองมูซาอยู่ครู่หนึ่ง...นางก็ส่งรางสาดให้แก่มูซาพร้อมทั้ง

    เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน

    ............................"พ่อเฒ่าจ๊ะ..รางสาดจากสวนหนูเอง..หนูให้พ่อเฒ่าจ้ะ"

    ....................มูซารับรางสาดจากเด็กน้อยก็ให้แปลกใจที่อยู่ ๆ ก็มีเด็กน้อยสอง

    คนเดินมาหาและนำผลรางสาดมาให้กิน....หลังจากนั้นโนรีและโมลีก็ยกมือไหว้พ่อ

    เฒ่าด้วยความเคารพ..พลางเอ่ยลา

    ............................"หนูไปก่อนนะจ๊ะ"

    ....................โนรีและโมลีเดินกลับไปหาบันตา..โดยมีสายตาของมูซามอง

    ตามอย่างไม่กระพริบ...พร้อมกับหูของมูซาก็ได้ยินเสียงกระพรวนข้อเท้าของโนรี

    ดังเป็นระยะ ๆ จนหายไป

    .....................ในขณะที่โนรีกับโมลีกำลังเดินกลับมาที่ร้านป้าตันหยง..ซึ่งมีบัน

    ตายืนรออยู่..ป้าตันหยงได้เอ่ยกับบันตาหลังจากดูเหตุการณ์แล้ว

    ............................"อ๋อ..พ่อเฒ่ามูซาขายผ้า..โนรีกับโมลีไปรู้จักพ่อเฒ่าได้

    อย่างไร"

    ............................"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ตันหยง"

    ....................มูซามองตามไปที่เด็กทั้งสองจนขึ้นเกวียน..ก็พบว่า"เด็กทั้งสอง

    กำลังมองมาที่ตนเช่นกัน"...

    ....................พ่อเฒ่านั่งคิดถึงเสียงกระพรวนข้อเท้านั้นว่า "เคยได้ยินที่ไหน...

    แต่ก็คิดไม่ออก..ได้แต่สับสนในความคิดที่ว่า.."เด็กทั้งสองทำไมมีน้ำใจต่อเขา..

    และเด็กนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร.......โดยเฉพาะคนพี่ช่างเป็นผู้หญิงที่มีผิวพรรณ

    ผุดผ่องขาวเหลืองดุจทองหน้าตาหมดจดสวยน่ารัก....หากโตขึ้นคงหาใครเทียบ

    ยาก....ประกอบกับแววตาที่มีความเมตตาและเยือกเย็นอยู่.."นางจะเป็นคนที่ดับ

    ร้อนให้ผู้คน"...พ่อเฒ่ารำพึงรำพันอยู่ในใจด้วยความชื่นช...โดยลืมนึกถึงเรื่อง

    ราวและคุณลักษณะของ "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" ไป.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      213
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ยามเย็นตลาดเมืองสุราษฎร์ธานี.....การที่มูซาได้พบเห็นเด็กสาววัย

    12 ปีที่หน้าตาน่ารักงดงามสวยหมดจด..พร้อมกับแววตาที่มีเมตตาและประกายแห่งความ

    เยือกเย็น..และผิวพรรณผุดผ่องขาวเหลืองดุจทอง..ทำให้เกิดความรู้สึกเย็นตาเย็นใจ..และ

    คิดว่า "นางจะเป็นผู้ดับร้อนให้ผู้คน".

    ....................คำว่า "ดับร้อนให้ผู้คน" คือลักษณะหนึ่งของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ........

    ทำให้เขาคิดถึง..........เรื่องราวในตำนานของผู้หญิงจันทร์เพ็ญที่เขาตามหามาชั่วชีวิต

    ทันที............"ประกายเรืองรองแห่งแสงจันทร์เพ็ญบนร่างกายของผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญจะปรากฎขึ้นตลอดเวลา......และเมื่อร่างกายกระทบกับแสงจันทร์เพ็ญในคืน

    วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ...แสงบนร่างกายจะปรากฎรัศมีเรืองรองออกมาให้เห็นทันที...

    แสงจันทร์เพ็ญหรือดวงจันทร์เพ็ญเป็นดุจกระจกเงาของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"

    ....................หากเด็กสาวคนนั้นเป็น "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" ที่เขาตามหาอยู่..เมื่อร่าง

    ของนางกระทบแสงจันทร์เพ็ญหรือปรากฎกายอยู่ภายใต้ดวงจันทร์เพ็ญ...ประกายเรืองรอง

    ของแสงจันทร์เพ็ญจะปรากฎออกมาให้เห็นที่ร่างของนาง.....

    ....................คิดได้ดังนั้น..มูซาได้เดินไปที่ร้านป้าตันหยงทันที ขณะนั้นนางกำลัง

    เก็บผลไม้ลงกระบุง..เขาจึงเอ่ยถามขึ้น

    ............................"เจ๊ตันหยง...ข้าขอถามอะไรหน่อยได้ไหม"

    ....................ป้าตันหยงเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นพ่อเฒ่าคนคุ้นเคยจึงเอ่ยถามกลับ

    ............................"มีอะไรหรือพ่อเฒ่า"

    ............................"เด็กน้อยสองคนที่เอารางสาดมาให้ข้า..เป็นลูกเต้าเหล่าใคร..

    และเป็นคนหมู่บ้านไหนหรือ"

    ....................คำถามของพ่อเฒ่ามูซา..ทำให้ป้าตันหยงสงสัยอย่างมาก..ที่พ่อเฒ่ามิ

    ได้รู้จักโนรีและโมลี...แต่โนรีและโมลีเมื่อเห็นพ่อเฒ่ากับแสดงอาการตื่นเต้นดีใจเหมือนกับ

    พบญาติผู้ใหญ่ของตน...นางจึงย้อนถามอีกครั้ง..

    ............................"พ่อเฒ่า..ไม่รู้จักโนรีกับโมลี ลูกของบันตาหรอกหรือ"

    ............................"ข้าเพิ่งเคยพบเด็กทั้งสองนี้เป็นครั้งแรก...และสงสัยว่าในตัว

    เด็กผู้พี่ที่ข้ามองแล้วรู้สึกเย็นตาเย็นใจอย่างบอกไม่ถูก"

    ............................"โนรีนะหรือ..ข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกับพ่อเฒ่ามานานแล้ว..แต่ไม่รู้

    ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรเมื่อมองเด็กคนนี้"

    ....................มูซาเริ่มแน่ใจว่า "โนรีมีลักษณะอย่างหนึ่งของ "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" เมื่อ

    ได้ฟังอาการของผู้พบเห็นนางมานานเช่นป้าตันหยง"...เขาจึงได้สอบถามให้รู้ถึงที่อยู่ของ

    โนรีว่ามาจากหมู่บ้านไหน...

    ............................"แล้วสามแม่ลูกนั้นอยู่ที่ใดหรือ"

    ............................"ไปทางวัดโนรีนราราม"

    .....................สิ้นคำตอบของป้าตันหยง..มูซาหยุดคิดทันที..ถึง.."เมื่อสองวันก่อนที่

    เขาได้ไปนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ที่ศาลาพักร้อนหน้าวัดโนรีนราราม...แล้วก็นึกลำดับเหตุการณ์ที่มี

    เสียง"กระพรวนกุ๊งกิ๊ง" ดังแว่วเข้ามาให้หูขณะที่เขาเป่าขลุ่ยอยู่...และรู้สึกว่ามันเป็นเสียง

    เดียวกับที่เขาได้ยินเด็กน้อยเดินเข้ามาหาเมื่อตอนนำรางสาดมาให้เขา...พ่อเฒ่าจึงรู้สึก

    "อ้อ"ขึ้นมาในใจและเข้าใจเหตุการณ์ได้ทันทีว่า...ขณะที่เขาเป่าขลุ่ย..โนรีและโมลีต้อง

    พบเห็นเขาในขณะนั้น..และมูซารู้สึกได้ว่า "เด็กทั้งสองต้องการฟังเสียงขลุ่ยของเขา"

    ....................มูซารู้สึกดีใจไม่น้อยและคิดว่า. .นอกจากเขาจะได้พิสูจน์ร่างของ

    ผู้หญิงจันทร์เพ็ญแล้ว....บางทีวิชาเป่าขลุ่ย ......."เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำของ

    เขาอาจมีผู้สืบทอด"..ไม่เป็น "โนรี" ก็ต้องเป็น "โมลี" อย่างแน่นนอน....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      221
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ........ตอนที่ 43 ร่างแท้จริงของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ.....



    ....................พ่อเฒ่ามูซากลับมาที่เกวียนใหญ่..และสั่งลูกน้องเก็บผ้าขึ้นเกวียนที่

    บรรทุกสินค้า..และเกวียนบรรทุกอุปกรณ์การตั้งร้านขึ้นเกวียน..พร้อมกับเกวียนบรรทุก

    เสบียง รวม 3 เล่ม..ออกเดินทางไปยังที่พักแรมทันที....

    ....................ที่เมืองสุราษฎร์มูซาไม่มีบ้าน..เพราะเขาเป็นพ่อค้าที่เดินทางขายสินค้า

    เร่ร่อน...ดังนั้นการหลับนอนก็โดยการตั้งแคมป์นอนพร้อมลูกน้องอีก 4 คน...และคืนนี้เขา

    ตั้งแคมป์อยู่ชานเมืองซึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านแถววัดโนรีนรารามมากนัก....

    ....................วันรุ่งขึ้นเป็นวันพระขึ้น 15 ค่ำหรือวันจันทร์เพ็ญดวงจันทร์เต็ม

    ดวง...มูซาให้ลูกน้องตั้งร้านค้าผ้าเพื่อขายคนสัญจรไปมาที่ชานเมือง...แต่ตนเองมิได้

    ออกมาขายของ..ด้วยมอบหน้าที่ให้ลูกน้องทั้ง 4 คนเป็นผู้ขายแทน...

    .....................มูซาค้นหาหีบที่ตนเองเก็บรักษาขลุ่ยที่เคยเป่าตั้งแต่อดีตแล้วเก็บไว้..

    ซึ่งมูซาเป็นผู้ทำเองทั้งสิ้นมีราว 20 เลา.......ซึ่งเขาไม่เคยนำมันออกมาเป่าอีกเลย...

    ตั้งแต่ที่เขาได้ทำขลุ่ยไผ่ดำหรือขลุ่ยฟ้าผ่าขึ้นมา..และได้คิดค้นเสียงขลุ่ยไร้ความ

    ทรงจำขึ้น...

    .....................มูซาค้นหาหีบเก็บขลุ่ยที่อยู่ใต้กองผ้าใหญ่จนพบ..และนำมันออกมาปัด

    ฝุ่น...ผงฝุ่นกระจายคลุ้งเมื่อถูกปัดออก..ทำให้เห็นว่า........"หีบใบนี้ไม่เคยถูกเปิดออกมา

    นานแล้ว" มูซาเช็ดทำความสะอาดหีบก่อนที่จะเปิดออกมา....

    .....................เมื่อหีบถูกเปิดออกมา..ปรากฎว่า "ภายในหีบมีขลุ่ยวางเรียงกัน

    ไว้อย่างเป็นระเบียบและไม่ได้มีฝุ่นจับเกาะที่ขลุ่ยแต่อย่างใด....อันทำให้เห็นว่า

    "หีบใบนี้สามารถกันผงฝุ่นได้เป็นอย่างดี"....

    .....................ขลุ่ยที่เห็นมีหลายขนาดตั้งแต่เล็ก กลาง และใหญ่...และมีลวดลายที่

    สวยงามทั้งสิ้น...ทำให้เห็นว่า "มูซารักเครื่องดนตรีชนิดนี้มาก..เขาจึงบรรจง

    ประดิษฐ์ลวดลายที่ขลุ่ยแต่ละเลาไว้อย่างวิจิตร....."

    .....................มูซาตั้งใจเลือกขลุ่ยเพียง 3 เลา..เขาพยายามเลือกอันที่มีขนาดเหมาะ

    กับ โนรี และ โมลี ..พร้อมกับตัวเขาเอง 1 เลา....นอกจากนั้นยังพยายามลองเป่าเสียง

    ขลุ่ยที่ฟังดูและไพเราะที่สุดในบรรดาขลุ่ยทั้ง 20 เลา....เมื่อเลือกได้แล้ว มูซาจึงได้ใช้น้ำ

    ล้างทำความสะอาดและเช็ดถูขลุ่ยให้มันวาว...พลางคิดในใจว่า

    ............................"คืนนี้เป็นคืนจันทร์เพ็ญ น่าจะพิสูจน์ให้รู้ได้ว่า..โนรีมี

    ประกายเรืองรองแห่งแสงจันทร์เพ็ญ..เมื่อต้องแสงจันทร์เพ็ญหรือไม่".....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2011
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ภายในห้องนอนสองพี่น้อง..ที่หน้ากระจกแต่งหน้าบานใหญ่ภายใต้

    แสงสว่างของตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนอยู่ในห้อง...สองพี่น้องชวนกันเล่นแต่งหน้า..โดย

    การนำแป้งและลิฟสติกทาปากที่บันตาซื้อมาจากตลาดเมื่อวานนี้นำมาทาและแต่งหน้ากัน

    ตามประสาเด็กหญิงที่รักการแต่งตัวเหมือนคุณสมบัติของผู้หญิงทั่วไป...

    ............................"โนรี..ให้หนูทาก่อน" โมลีพูดพร้อมกับคว้าข้อมือพี่สาวที่กำลัง

    ถือลิฟสติกเตรียมที่จะทาปาก

    ............................"ไม่เอาให้พี่ทาก่อน..แล้วเดี๋ยวพี่จะทาให้โมลีด้วย"

    ............................"ไม่เอา..งั้นโนรีทาให้หนูก่อน..หนูจะดูกระจก"

    .....................โนรีส่ายหน้าอย่างละเหี่ยใจ..แล้วก้มหน้าลงมาที่หน้าโมลีพร้อมกับมือ

    ถือลิฟสติกอยู่ได้บรรจงทาปากให้น้องสาวที่ดื้อแสนซน...จนริมฝีปากแดงเข้ม....เสร็จแล้ว

    จึงมาบรรจงวาดที่ริมฝีปากตัวเอง...แล้วทั้งคู่ต่างก็จ้องมองดูตนเองในกระจกบานใหญ่ด้วย

    ความพอใจ....แต่ก็ยังไม่วายชำเรืองดูอีกฝ่ายหนึ่ง....ทำให้เรียกเสียงหัวเราะด้วยกันทั้ง

    สองฝ่าย..ด้วยใบหน้าของตนเองและแต่ละฝ่ายผิดรูปไปจากเดิม.....

    ....................เวลาค่ำคืนผ่านไปจนสี่ทุ่ม.......มูซามองไปบนท้องฟ้าและเห็นว่า

    "ดวงจันทร์เพ็ญได้ขึ้นสูงค่อนข้างมากและให้แสงสว่างสีทองเรืองรองเย็นตา" เขา

    มองพิจารณาดวงจันทร์เพ็ญอยู่นานอย่างมีความสุข.....

    ....................ขณะนั้น โนรีและโมลีรวมทั้งบันตาผู้เป็นแม่ยังไม่ได้เข้านอน..

    มูซาดึงขลุ่ยฟ้าผ่าหรือขลุ่ยไผ่ดำออกมาจากเอวที่เหน็บอยู่..แล้วจึงได้บรรจงเป่า

    ขลุ่ยนั้นทันที.....

    .....................เสียงขลุ่ยนั้นแม้จะเป็นเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ..ที่มูซาเป่าออก

    มาแล้วไม่สามารถจดจำได้...แต่เสียงของมันและทำนองกลับฟังได้ว่าเป็นการเป่า

    บรรยายความรู้สึกของเขาที่ตามหาผู้หญิงจันทร์เพ็ญ...มันลึกซึ้งและมีความหมาย

    ไพเราะกังวานดังไปไกล......


    ..........................."จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า.....ข้ามาสู่เจ้าเพื่อตามหา..............

    .............................ตราบชีวิตสิ้นชีวา.......ข้าตามหามิรู้คลาย.................

    .............................บัดนี้ข้าพบเจ้า............ใจเงียบเหงาชุ่มชื่นใจ............

    .............................โปรดมาปรากฎกาย........ให้ความหมายแก่ข้าที.........

    .............................สตรีแห่งจันทร์เพ็ญ..........งามเยือกเย็นทั่วปฐพี.........

    .............................มีความหมายต่อข้านี้.........ชั่วชีวีมิรู้ลืม".................




    .....................เสียงขลุ่ยดังแผ่วแว่วมาตามสายลมในยามดึกสงัดสู่บ้านบันตา..

    โนรีและโมลี..เมื่อได้ยินเสียงขลุ่ยอันไพเราะดังมาเช่นนี้ก็จำได้ว่า "เสียงขลุ่ยที่

    ประสานกันออกมาเหมือนขลุ่ยหลายอันถูกเป่าพร้อมกัน..ต้องเป็นเสียงขลุ่ยของพ่อ

    เฒ่ามูซา"...เหตุที่รู้จักชื่อพ่อเฒ่าก็เมื่อตอนขากลับจากตลาดเมื่อวานนี้..บันตาแม่

    ของตนได้ถามว่า "รู้จักพ่อเฒ่ามูซาได้อย่างไร"...โนรีและโมลีจึงทราบชื่อของพ่อ

    เฒ่า..และ ได้เล่าให้ฟังถึงเสียงขลุ่ยที่ทั้งสองได้ยินที่วัดโนรีนราราม...จนสองพี่

    น้องอยากที่จะร่ำเรียนการเป่าขลุ่ยจากพ่อเฒ่ามูซา......

    ....................โนรีและโมลีเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงขลุ่ย......จึงพยายามเงี่ยหูฟัง

    ว่า"เสียงขลุ่ยนี้ดังมาจากทางไหนจึงได้พากันเดินออกมาจากห้อง"....และมาทาง

    นอกชานเรือน...ซึ่งเป็นจุดที่แสงจันทร์เพ็ญสาดส่องถึง....

    ....................เป็นขณะเดียวกับที่บันตาก็เกิดความเคลิบเคลิ้มรัญจวนใจในเสียง

    ขลุ่ยนี้..ก็ได้เดินออกมาเพื่อฟังเสียงขลุ่ยและสังเกตที่มาของทิศทางเสียงขลุ่ย...

    และตนเองก็เชื่อว่า"เสียงขลุ่ยนี้น่าจะเป็นเสียงขลุ่ยของพ่อเฒ่ามูซาที่โนรีและโมลี

    เล่าให้นางฟัง"....จึงต้องการมาถามลูกทั้งสองเพื่อยืนยันเสียงขลุ่ยนี้ด้วย...

    .....................เมื่อโนรีและโมลีเดินเคียงคู่มาที่นอกชานเรือนใกล้ลูกกรงของ

    บ้าน..ทำให้ร่างกายของโนรีรับกับแสงจันทร์เพ็ญอย่างเต็มตัว......

    ..................พลันก็ปรากฎแสงเรืองรองสีทองเย็นตาส่องกระจายออก

    มาจากร่างโนรี..เป็นแสงที่สวยงามสว่างไปทั่วบริเวณนั้น...ร่างกายของ

    โนรีดูสวยงามตระการตา..ผิวพรรณผุดผ่องเยือกเย็นจนที่ผู้ใดได้มองแล้ว

    ยากจะวางตา.....

    ....................โมลีรู้สึกแปลกประหลาดใจที่รู้สึกได้ว่า"มีแสงประกายเรือง

    รองกระจายอยู่ใกล้ ๆ ตัว..จึงเหลือบตามองไปยังต้นกำเนิดแสงก็เห็นว่า.."แสง

    ประหลาดนั้นออกมาจากร่างกายของพี่สาวตนอย่างมากมาย...ความสวยงามของ

    คนและแสงทำให้โมลีถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง...และเรียกพี่สาวตนอย่างแผ่วเบา

    เหมือนต้องมนต์สะกด.....

    ............................"โนรี..แสงอะไรออกมาจากโนรี..สวยจังเลย"


    ..................พลังแสงและพลังแห่งความเยือกเย็นแผ่มาที่โมลี..โมลี

    รู้สึกสุขใจมองดูพี่สาวของตนก็ให้รู้สึกว่า "สวยงามยิ่งนักจนตนเองอยาก

    เข้าไปกอดและสัมผัส..จึงดึงมือพี่สาวเข้ามาจับกุมไว้ที่แก้ม...."

    .....................บันตาเห็นเหตุการณ์โดยตลอดและตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง..จึงเดิน

    เข้าไปหาลูกรักทั้งสองและมองอย่างไม่วางสายตา........นางมีความสุขใจอย่าง

    ประหลาดที่บังเกิดขึ้นในใจตน...เมื่อเห็นโนรีและสัมผัสแสงนี้...

    ........................"โนรี..หนูงามอย่างเทพธิดาเลย" บันตาเอ่ยรำพึง

    รำพันชื่นชมอย่างแผ่วเบา....

    ..................โนรีรู้สึกเย็นในจิตใจอย่างประหลาดพร้อมกับมีความสุข

    ใจเกิดขึ้นอย่างมากมาย..เมื่อก้มมองดูตนเอง..

    ......................โมลียิ้มอย่างปลื้มปิติพลางเอ่ยขึ้นในขณะที่กุมมือพี่สาวไว้แน่น

    ............................."แสงนี้เหมือนแสงจันทร์เพ็ญเลย..หนูอยากมี

    แสงอย่างนี้เหมือนโนรี"

    ......................คำพูดของโมลี...ทำให้โนรีและบันตาแหงนมองดูจันทร์เพ็ญบน

    ท้องฟ้า..โนรีรู้สึกเหมือนกับว่า.. "แสงที่เรืองรองอยู่ที่ร่างกายของนางนั้นถูกส่งมา

    จากจันทร์เพ็ญดวงนี้นี่เอง"...

    ......................ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว.."แสงเรืองรองเย็นตาที่ส่องประกายมา

    จากร่างของโนรีนี้มีอยู่ที่ตัวของโนรีตลอดเวลา..นับแต่วันที่นางเกิดในคืนวันจันทร์

    ขึ้น 15 ค่ำซึ่งตรงกับคืนจันทร์เพ็ญ..แต่ไม่มีใครสามารถมองเห็นแสงนั้นได้แม้แต่

    ตัวของโนรีเอง...จันทร์เพ็ญเป็นดุจดังกระจกเงาที่ส่องร่างโนรีให้เห็นแสงดังกล่าว

    เกิดขึ้นที่โนรีอย่างมากมาย.....

    .....................โนรีไม่เคยถูกสัมผัสกับแสงจันทร์เพ็ญมาก่อนเลย..แม้แต่วันลอย

    กระทงเพ็ญเดือน 12 ที่นางต้องไปลอยกระทงกับแม่และน้อง...นางก็ไปแต่หัวค่ำ

    ในขณะที่จันทร์เพ็ญไม่ได้ขึ้นสู่บนท้องฟ้า..และลอยกระทงอยู่ภายใต้เงามืดของ

    ต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำตาปี....จึงทำให้แสงจันทร์เพ็ญไม่อาจส่องถูกตัวได้....

    ......................ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น..มิได้ทำให้สามแม่ลูกเกิดความตกใจ

    กลัวแต่อย่างใด...ทั้งที่เป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์อย่างเหลือล้น...ที่ไม่เคย

    มีปรากฎการณ์มาก่อนกับปุถุชนที่อยู่บนโลกใบนี้.....อาจจะเป็นเพราะแสงจันทร์

    เพ็ญไม่เคยทำร้ายผู้ใด...นอกจากให้ความสุขและความเย็นตาเย็นใจ...เมื่อแสงดัง

    กล่าวมาปรากฎขึ้นที่ตัวโนรี..อานุภาพแห่งแสงนั้นจึงทำให้ความรู้สึกกับสามแม่ลูก

    ให้เกิดสุขใจมากกว่าความกลัว......

    ....................บันตาและลูกทั้งสองมองดูจันทร์เพ็ญอันงามเด่นอยู่บนฟ้า..โดยที่

    มีเสียงขลุ่ยของมูซาดังแผ่วแว่วมา...ทั้งสามแม่ลูกรู้สึกสุขใจอย่างมาก......บันตา

    ตรงเข้าโอบกอดลูกทั้งสองของนางไว้กับอกด้วยความรักปรานดวงใจ...

    ในขณะที่แสงเรืองรองจากตัวโนรีก็กระจายครอบคลุมทั้งสามเอาไว้...

    .....................เหตุการณ์ดังกล่าว ..ทำให้สามแม่ลูกประหลาดใจอย่างมากมาย

    ว่า"เกิดขึ้นจากสาเหตุใด".......เพราะไม่เคยรู้เรื่องราวในตำนาน....................

    ของ ......"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" มาก่อนเลย............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Full_Moon[1].jpg
      Full_Moon[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.3 KB
      เปิดดู:
      36
    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      211
    • m118679.jpg
      m118679.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.5 KB
      เปิดดู:
      59
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2011
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ........ตอนที่ 44 ทายาทเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ......



    ....................รุ่งขึ้นเช้า..มูซาได้เตรียมผ้าไว้ 3 ชิ้นเพื่อนำไปให้บันตา โนรี และ โมลี

    ตัดเสื้อผ้า..พร้อมกับนำขลุ่ยอีก 3 เลา ที่เตรียมไว้ใส่ยามสะพาย...โดยเหน็บขลุ่ยฟ้าผ่าไว้

    ที่เอวและขึ้นม้าควบไปยังวัดโนรีนราราม......โดยสั่งให้ลูกน้องทำการขายผ้าอยู่ที่ชาน

    เมืองอย่างเดิม...

    ....................บันตาได้กลับมาจากกรีดยางและได้จัดเตรียม น้ำ อาหารกลางวัน และ

    เกวียนให้ลูกสาวทั้งสองเข้าสวนเก็บผลไม้....โดยที่ไม่มีการเอ่ยถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้

    อีกแต่อย่างใด...โนรีและโมลีจึงได้ขึ้นเกวียนมุ่งหน้าไปยังสวนผลไม้ที่เดิมทันที....

    ............................"โนรี..หนูรู้สึกว่าพ่อเฒ่าอยู่ใกล้ ๆ กับพวกเรานะ"

    ............................"อืม..พี่ก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน"

    ............................"โนรี..ทำไมเสียงขลุ่ยที่พ่อเฒ่าเป่า..มันเหมือนกับดึงเราให้ไป

    ดูดวงจันทร์เพ็ญ"

    ............................"อาจจะเป็นเพราะพ่อเฒ่ากำลังดูจันทร์เพ็ญอยู่ขณะเป่าขลุ่ย..

    และเสียงขลุ่ยอาจจะมีความหมายถึงจันทร์เพ็ญ..เสียงมันจึงมีพลังขับกล่อมเชิญชวนให้เรา

    ดูจันทร์เพ็ญ"

    ............................"แล้วแสงเรืองรองเหมือนแสงจันทร์เพ็ญที่เกิดกับโนรีเมื่อ

    คืนนี้..มันเกิดขึ้นได้อย่างไร"

    ............................"พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน..แต่ตอนที่แสงเกิดขึ้นพี่รู้สึกเย็น

    กายเย็นใจและมีความสุขอย่างไรไม่รู้"

    ............................"หนูดูโนรีอยู่ใกล้โนรีแล้วก็เป็นเหมือนกัน"

    ....................สองพี่น้องนั่งเกวียนจนมาถึงสวน..ในขณะที่มูซาเองก็ควบม้าและหยุด

    ถามชาวบ้านเพื่อ...หาบ้านบันตาจนพบ...

    ....................พ่อเฒ่ามูซาลงจากหลังม้าอย่างยินดี..เมื่อเห็นบันตานั่งอยู่ที่แคร่ไม้ใกล้

    บันไดบ้าน...พลางจูงม้าเดินเข้าไปหา..แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................."แม่บันตา..โนรี กับ โมลี ไปไหนหรือ"

    ....................บันตาลุกขึ้นต้อนรับพ่อเฒ่าแล้วยิ้มอย่างยินดี พลางเอ่ยตอบพ่อเฒ่า

    ............................."ลูกของข้าทั้งสองไปทำงานเก็บผลไม้ในสวน พ่อเฒ่ามีธุระ

    อะไรกับลูกข้าหรือจ๊ะ"

    ............................."ข้าเอาผ้าสามชิ้นมาฝากแม่บันตากับลูกทั้งสอง และมี

    เรื่องจะสอบถามอะไรบ้างเล็กน้อย"

    .....................บันตาทำท่าฉงนแล้วเอ่ยถามกลับ

    ............................."พ่อเฒ่ามีเรื่องสิ่งใดหรือ..ที่จะสอบถามข้าล่ะจ๊ะ"

    .....................พ่อเฒ่ามูซาหยิบเอาผ้าสามชิ้นที่เตรียมไว้ออกมาจากย่ามพร้อมกับ

    ขลุ่ย 3 เลา...โดยส่งผ้าให้แก่บันตารับไว้....แต่ขลุ่ยทั้งสามเลาได้วางไว้ข้างตัว...พลาง

    เอ่ยขึ้น..

    ............................."ลูกทั้งสองของเจ้า..ช่างเป็นเด็กที่มีน้ำใจ..เจ้าเป็นแม่ที่

    ประเสริฐมากที่อบรมสั่งสอนลูกได้เช่นนี้"

    ....................คำชมของพ่อเฒ่า..ทำให้บันตาอดปลื้มปิติไม่ได้..จึงได้แย้มยิ้ม

    ขึ้นอย่างยินดี..แล้วรอฟังพ่อเฒ่าผู้อารีพูดต่อไป....

    ............................."ข้าเป็นพ่อค้าเร่รอนไปมา..อีกไม่นานข้าคงต้องเดินทาง

    ไปมลายู..ข้าเตรียมขลุ่ยไว้ให้เด็กทั้งสองหัดเป่าอยู่...ข้าตั้งใจจะสอนพวกเขาทั้ง

    สองให้เป่าขลุ่ย..เพราะรู้สึกว่าเด็กทั้งสองต้องชอบเสียงขลุ่ยเป็นแน่แท้..ข้าจึงมา

    ขออนุญาตเจ้า..สอนวิชาเป่าขลุ่ยให้เด็กน้อยทั้งสอง"

    ....................คำพูดของพ่อเฒ่าทำให้บันตายินดีและหัวเราะอย่างพอใจ...ก่อน

    เอ่ยขึ้น

    ..........................."พ่อเฒ่ารู้สึกได้ถูกต้องทีเดียว..เพราะทั้งสองได้เล่าเรื่อง

    ของพ่อเฒ่าตอนที่พ่อเฒ่าเป่าขลุ่ยที่ศาลาพักร้อนหน้าวัดโนรีให้ข้าฟัง...พวกเขา

    อยากเรียนเป่าขลุ่ยมาก..และตามหาพ่อเฒ่าอยู่...และเมื่อเห็นพ่อเฒ่าที่ตลาดจึง

    พากันดีใจมาก"

    ....................พ่อเฒ่ามูซาถูกใจในคำพูดของบันตา..จึงเอ่ยถามในเรื่องที่ตั้งใจ

    จะถามทันที

    ............................"ถ้าเช่นนั้น...เสียงขลุ่ยที่ข้าเป่าเมื่อคืนนี้..เด็กทั้งสองก็คง

    ชอบมันสินะ"

    ....................บันตาคิดถึงเรื่องเมื่อคืน...ก็รู้สึกไม่แน่ใจที่จะบอกเหตุการณ์ที่พบ

    เห็นทั้งหมด..จึงได้เปลี่ยนท่าทีเป็นสงบนิ่งแล้วตอบ..

    ............................."พวกเขาชอบเสียงขลุ่ยที่ได้ยิน..รวมทั้งตัวข้าด้วย"

    .....................มูซาเห็นบันตาเปลี่ยนท่าทีและการพูด..ก็ให้รู้สึกสงสัยว่า

    "เหตุการณ์เมื่อคืนนี้น่าจะเป็นไปตามที่ตนเองคิด"..จึงเร่งถามต่อทันที...

    ............................."แล้วเจ้ากับลูกทั้งสองของเจ้า..ได้ออกมาดูดวงจันทร์

    เพ็ญบนท้องฟ้า"

    .....................บันตาจ้องมองไปที่ดวงตาของมูซาอย่างไม่กระพริบ..ด้วยสงสัย

    ว่าพ่อเฒ่ารู้ได้อย่างไร...พร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย....

    ....................มูซาจึงเอ่ยต่อ..

    ............................."มีแสงสว่างสีทองเรืองรองเหมือนกับแสงดวงจันทร์

    เพ็ญออกมาจากร่างกายของโนรี.....เป็นแสงที่เย็นกายเย็นใจแก่เจ้าที่พบ

    เห็นจนรู้สึกได้..ใช่ไหม"......

    ....................คำพูดของมูซาทำให้บันตาตกตะลึงอ้าปากค้าง..และจ้องมองพ่อ

    เฒ่าด้วยความฉงน..พร้อมส่งสายตาเป็นเชิงถามไป...

    ....................มูซาได้สัมผัสรับรู้ในอาการบันตาก็เดาคำตอบได้..จึงรู้สึกแน่ใน

    ว่า "โนรี คือ ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" ที่เขาตามหามาตลอดชีวิต..ทำให้เขาปลื้มปิติแล้ว

    เปลี่ยนอาการเป็นยิ้มและหัวเราะเบา ๆ ให้กับบันตา.......และเล่าอธิบายให้ความ

    กระจ่างแก่บันตาทันที.............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      4.7 KB
      เปิดดู:
      210
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2011
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931

    ..............สาธุขอให้ท่านเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมปรารถนาทั้ง

    ทางโลกในทางที่ชอบและทางธรรมด้วยครับ...........
     

แชร์หน้านี้

Loading...