พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ปลัดเมืองมาถึงจวนตอนค่ำมืดพอดี..เขาจับสายพิณไว้นิ่ง ๆและลง

    จากหลังม้ามาก่อน..แล้วประคองสายพิณซึ่งหลับใหลอยู่ให้มาอยู่ในอ้อมแขน..และอุ้มนาง

    ลงจากหลังม้าเดินไปทางหลังบ้าน..โดยมีกัมพูตามไปติด ๆ ก็พบสายใจที่รออยู่พร้อมกับ

    สำเนียงพี่เลี้ยงของสายพิณ

    ......................สายใจสบตากับเมืองและมองน้องสาวของตนที่เมืองอุ้มมาด้วยความ

    ตกใจ..สำเนียงส่งเสียงร้อง

    ............................."ตายแล้ว...คุณหนูเป็นอะไรไป"

    ............................."ดื่มเหล้าป่า เมาแล้วหลับไป" กัมพูตอบแทนเมือง

    ............................."ปลัดเมือง..ท่านอุ้มสายพิณขึ้นมาที่ห้องเลยดีกว่า..ข้า

    จะเปิดประตูให้" สายใจเอ่ยแนะพร้อมกับเดินนำหน้า โดยกัมพูรออยู่ข้างล่าง

    .....................เมืองอุ้มสายพิณไปที่เตียงนอน..แล้ววางสายพิณลงอย่างเบา ๆ

    พร้อมกับหันหลังกลับ...แต่แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็น "ลูกธนูดอกกุหลาบที่

    สายพิณนำมันประดับไว้ที่ข้างฝาห้อง ซึ่งดอกของมันเหี่ยวแห้งแต่ยังคงรูปไว้โดย

    มีถุงพลาสติกหุ้มอยู่"เมืองจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งก็ให้รำลึกถึงวันที่เขาให้สิ่งนี้แก่

    สายพิณพร้อมกับเอ่ยคำมั่นสัญญาไว้กับนาง.....

    .....................เขาหันกลับมามองสายพิณอีกครั้งก็พบกับสายตาของสายใจที่มอง

    เขาอย่างไม่เข้าใจ..แม้จะมีสายตาที่เป็นมิตรอยู่ในทีก็ตาม

    .....................เมืองเดินออกมาจากห้องโดยมีสายใจเดินตาม.......นางได้เอ่ยขึ้นกับ

    เขาว่า

    ............................"ข้าไม่เข้าใจเลย..ท่านเคยบอกข้าที่วัดร้างว่า...ท่านจะ

    ทะนุถนอมน้องของข้าและปกป้องดูแลเช่นเดียวกับที่ข้ารักและดูแล...แต่ทำไมท่าน

    จึงให้นางไปสมบุกสมบั่นดื่มเหล้าเมามายเหมือนกับท่าน"

    ............................."ข้าขอโทษให้อภัยข้าเทอญ..นางอยากทำอะไรให้เหมือน

    ข้า...คุณหนูเองก็รู้ว่าน้องสาวของคุณหนูถ้าอยากทำอะไร..ใครก็ขัดไม่ได้เลย"

    .....................สายใจลดสายตาลงด้วยยอมรับคำพูดของเขาว่าสายพิณเป็นเช่นนั้น

    ............................."ข้าขอบใจท่านมากที่พาน้องข้ามาส่ง..แล้วพรุ่งนี้ท่านจะไปที่

    ใด"

    ............................."ข้าจะไปพบขุนแสง..เพื่อขอคำแนะนำอะไรบางอย่าง"

    ............................."ถ้าท่านมีเรื่องสิ่งใดที่ต้องการความช่วยเหลือ ท่านบอกข้ามา

    ได้เลย"

    ............................."ขอบคุณคุณหนูมาก..ข้าไปล่ะ"

    .....................เมืองและกัมพูเดินปรึกษาหารือกันมาระหว่างเดินม้ากลับที่พัก จนมาถึง

    บ้านค่อนข้างดึก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................สายพิณเมานอนไม่ได้สติ..ไม่สามารถลุกขึ้นอาบน้ำได้..สายใจพี่สาว

    จึงต้องทำการเช็ดตัวให้...และรุ่งเช้าวันใหม่ ..สายพิณได้ตื่นขึ้นมาและเดินตามหาสายใจ..

    เมื่อเห็นสายใจเดินทางกลับจากตลาดมาที่ห้อง...นางก็มองสายใจอยู่ตลอดเวลา..จนสาย

    ใจต้องเอ่ยถาม

    ............................"พี่จะเดินไปไหน..ทำอะไรเจ้าก็มอง..เจ้ามีอะไรสงสัยหรือ"

    ............................"เมื่อวานนี้..ข้ามาหลับบนที่นอนได้อย่างไร"

    ............................"เจ้าเมาหลับ..ปลัดเมืองอุ้มเจ้าขึ้นม้ากลับมา..แล้วก็อุ้มเจ้าไป

    นอนบนเตียงนอน"

    ............................"อีกแล้วหรือนี่" สายพิณรำพึงรำพันอย่างพอใจพร้อมรอยยิ้ม

    ............................"มีอะไรอีกไหม"

    ............................"มีซิ..ตอนที่วัดร้างที่พี่สายใจไปพบปลัดเมืองก่อนข้า..ปลัด

    เมืองและพี่พูดอะไรกัน"

    ............................"ถามทำไม"

    ............................"ก็ข้าสงสัยนะสิ"

    ............................"สงสัยอะไร"

    ............................"สงสัยว่าปลัดเมืองจะแอบรักพี่นะสิ"

    .....................สายใจสะดุ้งมองหน้าสายพิณอย่างจริงจังแล้วตะคอกขึ้น

    ............................"เจ้าพูดอะไรอย่างนั้น"

    ............................"มันมีเหตุมีผลนะสิ..ข้าถึงพูด"

    ............................"เหตุผลอะไรว่าไปสิ"

    ............................"ก็พอข้าบอกกับปลัดเมืองตอนดื่มเหล้าว่า..พี่สายใจคง

    อยู่อบรมข้าอีกไม่นาน..เพราะจะต้องแต่งงานกับปลัดปักษ์..เขาทำท่าตกใจและ

    เอ่ยขึ้นว่า...หมายความว่าพี่สาวเจ้าเป็นคนรักของปลัดปักษ์หรือ...ข้าก็เลยบอก

    ปลัดเมืองไปว่า..อย่าบอกนะว่าเจ้าแอบรักพี่สาวข้า...ปลัดเมืองตอบว่าเขาเพียงแต่

    ศรัทธาในตัวพี่ที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่อีกทั้งกิริยาวาจาก็เรียบร้อย..แถมยังเป็นคุณ

    หนูแสนสวยอีกต่างหาก"

    ....................สายใจฟังสายพิณแล้วรู้สึกปลื้มใจไปกับคำพูดของปลัดเมืองที่

    บอกแก่สายพิณ..นางมีสีหน้าแจ่มใสขึ้น..ทำให้สายพิณจ้องมองอย่างไม่กระพริบ

    ตา พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"แนะ...อย่าบอกนะว่า...พี่ก็แอบปลื้มปลัดเมืองอยู่"

    ............................"เจ้าเด็กบ้า..แสดงว่าเจ้าหึงพี่หรือและที่กินเหล้าจนพับเมื่อ

    วานก็เพราะเจ้ากลัวว่าปลัดเมืองจะมารักพี่ใช่ไหม"

    ............................."ใช่..ข้ากลัว"

    .....................สายใจหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นว่า.."ที่วัดร้างปลัดเมืองบอกพี่ว่า..เขา

    จะทะนุถนอมเจ้าและปกป้องดูแลเจ้าเช่นเดียวกับ....ที่พี่ที่รักและดูแลเจ้า

    .............................."จริงหรือ"

    ......................สายพิณได้ยินได้ฟังคำนี้นางถึงกับยิ้มออกอย่างร่าเริงเปลี่ยน

    ท่าที..ผิดจากเมื่อกี้นี้ทันที......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เช้าวันใหม่ของวันนั้น....กัมพูพาปลัดเมืองไปหาขุนแสงที่บ้าน .....

    ขุนแสงนั่งตรึกตรองอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะทำงาน...เมื่อเห็นกัมพูและปลัดเมืองขึ้นมาบน

    บ้านและแสดงคารวะตน ขุนแสงจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"เจ้าคงรุ่นราวคราวเดียวกับปลัดปักษ์ ..ข้าเพิ่งรู้จากเจ้าเมืองว่า

    ได้ส่งปลัดปักษ์ไปฝั่งตะวันออก..และส่งเจ้ามาแทนที่เขาที่ฝั่งตะวันตก...แต่ท่านเจ้าเมือง

    ไม่เคยบอกอะไรข้า........ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฝั่งตะวันออก..จึงต้องให้ปลัดปักษ์ไปช่วยงาน

    แทนเจ้า"

    ............................."มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น..ปลัดปักษ์ต้องการจัดการแทนข้า..

    แต่เมื่อท่านเจ้าเมืองไม่แจงรายละเอียดแก่ท่าน..ข้าต้องให้เกียรติต่อท่านเจ้าเมืองที่จะไม่

    พูดในสิ่งที่ท่านต้องการปิดเอาไว้"

    ............................."เจ้าพูดได้ดีมาก...เพราะเหตุที่ท่านเจ้าเมืองปิดบังข้าไว้..ข้า

    จึงต้องมานั่งครุ่นคิดว่า..มันเกิดสิ่งใดขึ้นที่ฝั่งตะวันออก"

    ............................."อีกไม่นานท่านลุงก็คงรู้...และยิ่งปลัดปักษ์กลับมาคงบอกท่าน

    ลุงอย่างละเอียด"

    ............................."ไม่นะ....ปลัดปักษ์คิดอะไรทำอะไรเขาไม่เคยบอกข้า..แม้แต่

    เขาอาสาจะไปอยู่ฝั่งตะวันออก...เขายังไม่บอกกับข้าเลย" ขุนแสงแสดงความประพฤติ

    ของบุตรชาย

    ............................."ปลัดปักษ์ก็คงทำตามหน้าที่..ท่านเจ้าเมืองอาจกำชับเขาไว้"

    ....................เมืองแสดงความเห็น..พร้อมกับ"นึกชมเชยปลัดปักษ์ในใจว่าเขาทำ

    หน้าที่อย่างซื่อสัตย์..และรักษาความลับไม่แพร่งพรายให้ใครรู้แม้แต่ขุนแสงพ่อ

    ของเขา"

    ....................เมืองรับรู้จากกัมพูว่า ..ปลัดปักษ์ขอให้เจ้าเมืองส่งกำลังตำรวจและเจ้า

    หน้าที่ฝั่งตะวันตกไปเพิ่มที่ฝั่งตะวันออก...ถ้าขาดกำลังคนให้เกณฑ์หนุ่มฉกรรจ์ไปร่วมด้วย

    ....................ในตอนแรกปลัดเมืองคิดว่าขุนแสงรับรู้ข้อราชการเรื่องนี้..แต่เมื่อ

    ขุนแสงไม่รู้..เขาจึงคิดว่า.... "มีอะไรบางอย่างที่ทั้งปลัดปักษ์และท่านเจ้าเมือง

    ปกปิดเรื่องนี้แก่ขุนแสง".....แสดงว่า"ขุนแสงไม่รู้ว่ามีกองกำลังพม่าได้บุกเข้ามา

    ยังฝั่งตะวันออก"..หรือว่า..."ขุนแสงหากรู้ความจริงข้อนี้ อาจเสนอให้เจ้าเมือง

    น่านรายงานเหตุการณ์ไปยังเมืองหลวง"....เมืองจึงนิ่งไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"ท่านลุง ข้าอยากรับหนุ่มฉกรรจ์ฝั่งตะวันตกเพื่อฝึกงาน..และ

    ช่วยเหลือทางราชการของเรา...และอีกอย่างหากมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำน่านเชื่อม

    สองฝั่งเข้าด้วยกัน...เราจะได้มีกำลังคนช่วยเหลือสร้างสะพานด้วย"

    ............................."ความคิดเจ้าเข้าทีดี..ถ้าอย่างนั้นข้าจะเขียนหนังสือให้เจ้าไป..

    แจ้งแก่ชาวบ้านทั่วไปว่าใครมีลูกชายที่ว่างงานอยู่..หรือต้องการฝึกงานให้ส่งตัวมาที่จวน

    เจ้าเมืองน่าน..เรื่องที่อยู่ของชาวบ้านต่าง ๆ เจ้าคงต้องพึ่งกัมพู"

    ............................."วันนี้ ข้าจะพาปลัดเมืองไปแนะนำตัวกับชาวบ้านในท้องที่"

    กัมพูเอ่ยรับพร้อมกับมองไปยังปลัดเมือง...ด้วยรู้ว่ามีการอำพรางความจริง..ด้วย

    ความจริงต้องการส่งกองกำลังไปช่วยปลัดปักษ์ที่ฝั่งตะวันออก....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2011
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ปลัดเมืองถือหนังสือของขุนแสง เดินทางไปกับกัมพูเพื่อเสาะหาชาย

    หนุ่มฉกรรจ์และแข็งแรง...เพื่อทำการฝึกให้เป็นกองกำลังสำรองให้ปลัดปักษ์ ..และเขาก็

    ได้คนที่ต้องการจำนวนหนึ่ง...พร้อมกับได้ทำการฝึกจนเสร็จ...และให้ชายหนุ่มพวกนี้เป็น

    กองกำลังสำรองอยู่ที่จวนเจ้าเมืองน่าน..โดยยังไม่ส่งไปฝั่งตะวันออกทันที..ด้วยก่อนหน้า

    นี้ได้ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกไปเพิ่มให้แก่ปลัดปักษ์แล้ว....

    ....................จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไป...ปลัดเมืองเริ่มคุ้นเคยกับพื้นที่ฝั่งตะวันตก

    โดยไม่ต้องพึ่งพากัมพูเป็นผู้ช่วยติดตามนำทาง...

    ....................ปลัดเมืองเดินทางไปในตลาดยามเช้า..และได้พบร้านทำทองรูปพรรณ

    แห่งหนึ่งในตัวเมือง..ซี่งทำทองรูปพรรณได้หลายลายและสวยงามมาก...เขาชื่นชมฝีมือ

    ของช่างทอง..เพราะปลัดเมืองยังมีแหวนทองคำที่เก็บอยู่ไม่ใช่น้อยที่บ้านพักในฝั่งตะวัน

    ออก...เขาจึงคิดที่จะนำมันมาทำเป็นทองรูปพรรณที่ร้านทองแห่งนี้.....

    ....................ในขณะที่เขากำลังเพลินกับการดูทองในร้านอยู่...สายตาก็เหลือบไป

    เห็นสายใจที่กำลังนั่งม้าเดินเยาะ ๆผ่านหน้าเขาไป...เขาจึงรีบขี่ม้าตามจนทันและได้เรียก

    นางทันที.....

    ............................"คุณหนูสายใจ"

    .....................สายใจหันหลังกลับไปมองตามเสียง.....ก็ให้รู้สึกตกใจปนความยินดี

    เล็กน้อย...พลางเอ่ยทักทาย

    ............................"ปลัดเมือง..ท่านกำลังจะไปไหน"

    ............................"ข้าแวะไปดูที่ร้านทองมา..เห็นคุณหนูผ่านมาจึงตามมา"

    ......................สายใจแย้มยิ้มพลางเอ่ยขึ้น

    ............................"วันนี้น้องสาวแสนดื้อของข้าไม่ได้มาด้วยนะ"

    ......................เมืองหัวเราะแล้วเอ่ยตอบ

    ............................"ไม่เป็นไรหรอก..ที่ข้าตามมานี้อยากจะถามคุณหนูสักเล็กน้อย"

    ............................"ท่านมีอะไรถามข้าหรือ"

    ............................"ข้าอยากรู้ว่า..ปลัดปักษ์ส่งข่าวคราวใด ๆ มาให้คุณหนูทราบ

    บ้างไหม"

    ............................"ถ้าเขาทำงาน เขาจะไม่สนใจสิ่งใด..นอกจากความสำเร็จของ

    งาน"

    ............................"แล้วท่านเจ้าเมืองล่ะ..ปลัดปักษ์ได้รายงานสิ่งใดมาให้ท่าน

    ทราบไหม"

    ............................"ท่านพ่อข้าจะไม่ยอมบอกเรื่องใด ๆ เกี่ยวกับงานในราชการให้

    ข้าทราบเด็ดขาด"

    ....................ปลัดเมืองหยุดคิด...และรู้สึก...ขอบคุณปลัดปักษ์ที่เขาเก็บความลับ

    ที่เดินทางไปฝั่งตะวันออกไว้อย่างยอดเยี่ยม ไม่แพร่งพรายเรื่องใด ๆ เกี่ยวกับงาน

    ที่เขาไปในฝั่งตะวันออก.... และเอ่ยถามต่อ

    ............................"คุณหนูสายใจกำลังจะไปไหนหรือ"

    ............................"ข้าจะไปบ้านขุนแสง"

    .....................ปลัดเมืองมองหน้าสายใจนิ่ง...ทำให้สายใจต้องเอ่ยทักด้วยเห็นอาการ

    ของเมืองเปลี่ยนไป...

    ............................"ท่านมีอะไรหรือ จึงจ้องมองข้าอย่างนั้น"

    ............................"ข้ารู้สึกว่าคุณหนูสายใจดูแตกต่างจากสายพิณมาก"

    ............................"แตกต่างอย่างไรหรือ"

    ............................"คุณหนูช่างดูเป็นผู้ใหญ่ จะพูดสิ่งใดก็ให้ช่างคิด..แต่สายพิณ

    นางยังเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตน..และคิดอะไรก็พูดออกมา"

    ............................"น้องข้าถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก..แต่นางปักใจคำมั่นสัญญา

    ของท่านมาก"

    ............................"แสดงว่านางเล่าให้คุณหนูสายใจฟังหรือ"

    ............................"ถ้าสะพานข้าแม่น้ำน่านสร้างเสร็จเมื่อไร ท่านจะพานางข้ามไป

    ฝั่งตะวันออกและพาไปสู้กับดวงอาทิตย์บนยอดเขาสูง....นางจ้องดูลูกธนูดอกกุหลาบที่

    ท่านให้ไว้ทุกวัน...และก็บ่นทุกวันอยากให้มีการสร้างสะพานโดยเร็ว"

    ............................"ข้ากำลังหาเงินเพื่อช่วยเหลือในการสร้างสะพานอยู่เหมือน

    กัน...แต่ไม่ใช่เพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสายพิณคนเดียว...แต่ข้าต้องการให้คนทั้งสองฝั่ง

    ไปมาหาสู่กันได้สะดวก..เพื่อความเจริญภายหน้า"

    ....................สายใจมองปลัดเมืองนิ่งอึ้งและพิจารณา..ด้วยอารมณ์ที่ยินดี..

    พลางเอ่ยขึ้น

    ..........................."ข้ายิ่งพูดกับท่านบ่อย ๆ ยิ่งคิดว่าที่ผู้คนเขาพูดว่าท่านดี

    แต่ดื่มเหล้า..รักสนุกชอบบ้าบิ่นโลดโผน ข้าแทบไม่อยากเชื่อ"

    ..........................."ทำไม่หรือคุณหนู"

    ..........................."เพราะเรื่องนั้น..ข้าไม่เคยเห็นท่านกระทำเมื่ออยู่ต่อหน้า

    ข้า....ข้าเห็นท่านเป็นคนจริงจัง..เมื่อพูดถึงบ้านเมืองจะดูจริงจังมาก..ปลัดปักษ์ก็

    เหมือนกับท่าน"

    ..........................."ปลัดปักษ์รับหน้าที่แทนข้า จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้"

    ..........................."ท่านทำหน้าที่แทนเขาให้ดีก็พอแล้ว..ท่านไม่ต้องห่วง

    หรอก...ข้ารู้ว่าถ้าเขาทำหน้าที่อะไร..เขาจะทำจนสุดกำลังสติปัญญาของเขา"

    ....................ปลัดเมืองถอนหายใจ..สายใจจึงถามถึงเหตุผล

    ..........................."ท่านถอนหายใจทำไม..มีอะไรกังวลหรือ"

    ..........................."ข้าอยากกลับไปฝั่งตะวันออก ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจอะไร

    บางอย่าง"

    ..........................."ท่านสังหรณ์ใจเรื่องใด.."

    ..........................."ถ้าฝ่ายตรงข้ามแก้สถานการณ์ฝ่ายเราได้..ปลัดปักษ์จะ

    เข้าตาจน"

    ....................สายใจเพ่งมองปลัดเมือง เมื่อได้ฟังและเห็นสีหน้าวิตก..พร้อมกับพากัน

    เดินม้าจากตัวเมืองมาได้ระยะหนึ่ง...ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงดังกัมปนาทมาจากฝั่งตะวัน

    ออกเป็นระยะ ๆ

    ............................."ตูม...ตูม....ตูม ๆ ๆ"

    ....................เมืองหยุดม้าเงี่ยหูฟังอย่างพิจารณา..สีหน้าวิตกกังวลเริ่มจับที่ใบ

    หน้าอีกครั้งอย่างเห็นชัด....เขาหันชักม้ากลับไปทางแม่น้ำน่าน พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"คุณหนู..ข้าจะข้ามฝากไปฝั่งตะวันออก"

    ........................"เกิดอะไรขึ้นหรือ"

    ........................"ข้าคิดว่าฝ่ายตรงข้ามน่าจะยิงปืนใหญ่ถล่มที่ด่าน

    ฝั่งตะวันออก"

    ........................"หา"

    ........................"ข้าต้องไปก่อนแล้ว" ปลัดเมืองเตรียมกระตุกม้า

    ........................"เดี๋ยวก่อน..ท่านพาข้าไปด้วย"

    .................เมืองชงักอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำขอ..แต่ก็ไม่ได้พูดใด ๆ

    นอกจากควบม้าอย่างเร็วนำหน้า............โดยมีสายใจควบม้าตามไป

    อย่างกระชั้นชิด.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2011
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....ตอนที่ 65 กลยุทธ์พระนเรศวรที่เอหม่องนำมาใช้...


    ...................เสียงปืนใหญ่ถล่มด่านฝั่งตะวันออกได้ยินมาถึงฝั่งตะวันตก..เจ้า

    เมืองคาดว่า..น่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่ฝั่งตะวันออก..จึงได้ให้กัมพูนำกองกำลังสำรอง

    ที่อยู่จวนเจ้าเมือง..ข้ามฝากไปช่วยเหลือทันที...

    ...................สถานการณ์และพฤติการณ์ของฝั่งตะวันออกนั้น..เมื่อปลัดปักษ์ตั้งด่าน

    สกัดเป็นแนวยาวหลายด่านตามยุทธวิธีที่ตนเองขบคิด..ก็ได้ควบม้าตรวจตราระหว่างด่าน

    ต่อด่านมาโดยตลอด...โดยมี บุญแทน สาย และ มุก เป็นผู้ช่วย......ขุนทัพคอยประสาน

    งานอยู่ทึ่ที่ทำการฝั่งตะวันออกบ้านของตน...

    ...................ผลงานของยุทธวิธีของปลัดปักษ์..ทำให้พวกเขาจับกองกำลังพม่าที่แอบ

    แฝงเข้ามาได้เป็นจำนวนมาก..บางก็ต่อสู้กันจนถึงตาย......ทำให้ยุทธวิธีและแผนการของ

    ปลัดปักษ์ได้ผลมาโดยตลอดหนึ่งเดือน.......กองกำลังพม่าไม่อาจสอดแทรกเข้าไปในหมู่

    บ้านฝั่งตะวันออกได้เลย.....เอหม่องและกองกำลังพม่าจึงไม่สามารถรู้ได้ว่า ."ปลัดเมือง

    ได้หลบเข้ามาทำหน้าที่ที่ฝั่งตะวันตกแล้ว"...

    .....................เมื่อกองกำลังพม่าไม่อาจแฝงตัวเข้ามาในหมู่บ้านได้..เอหม่องหัว

    หน้ากองกำลังพม่าได้ปรึกษากับเฮียงคี้และพรรคพวก.......โดยเอหม่องได้รำลึกถึงยุทธวิธี

    ที่ตนเคยเรียนรู้ของ..สมเด็จพระนเรศวร..กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา..พระเจ้าแผ่น

    ดินเมืองสยามสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนที่พระองค์ พระมหาอุปราช(มังกะยอชวา)

    แห่งทัพหงสาวดี และ พระสังฃทัต(นัดจินหน่อง) แห่งทัพเมืองตองอู...ยกกองทัพ

    ไปสามกองทัพเพื่อไปตี....."เมืองคัง"ของเจ้าฟ้าไทยใหญ่.........ซึ่งเป็นเมืองขึ้น

    ของกรุงหงสาวดี เมืองพม่า...และได้แข็งเมืองไม่ยอมขึ้นต่อหงสาวดี.......พระเจ้า

    นันทบุเรงกษัตริย์กรุงหงสาวดีจึงได้สั่งให้..ทั้งสามทัพไปตีเมืองคังให้ได้..เพื่อไม่ให้

    เป็นเยี่ยงอย่างแก่หัวเมืองอื่นที่คิดจะแข็งเมือง..

    ....................เมื่อถึงเมืองคังซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง...การยกทัพไปตีเป็น

    อุปสรรคมาก...พระมหาอุปราชต้องการอวดฝีมือการรบ...โดยคิดจะตีเมืองคังเพียงทัพ

    เดียวด้วยเห็นเป็นเมืองเล็กน่าจะง่ายแก่การตีเมือง....แต่พระนเศวรทรงค้านด้วยเห็นเป็น

    เมืองตั้งบนเนินเขาสูงทางขึ้นก็คับแคบ......พระมหาอุปราชถิอว่าตนเป็นแม่ทัพใหญ่..จึง

    ตัดสินให้ผลัดกันตีเมืองคังทั้งสามทัพ ทัพละ 7 วัน....ใครตีเมืองคังแตกถือว่าเป็นผู้ชนะ..

    โดยทัพแรกที่จะตีเมืองคัง..คือ ....พระมหาอุปราชแม่ทัพหงสาวดี..........ทัพที่สองคือ

    พระสังฃทัตแม่ทัพตองอู...และทัพที่สาม คือ.....พระเนรศวรแม่ทัพอยุธยาหรืออโยธยา

    .....................ซึ่งสองทัพแรก พระมหาอุปราช และ พระสังฃทัต ได้เข้าตีเมืองคังทาง

    ด้านหน้าเมือง..ปรากฎว่า "เมืองคังต่อต้านอย่างเข้มแข็ง ทั้งสองทัพไม่อาจตีเมืองคังได้

    ตามกำหนด....ซึ่งระหว่างสองทัพผลัดกันตีเมืองคัง...พระนเรศวรได้ศึกษาการรบของทั้ง

    สองทัพว่า ........."เหตุใดจึงแพ้".....พร้อมกับไปสำรวจทางหลังเมืองพบว่า.......

    "ชาวเมืองคังได้ออกมาหาเสบียงและน้ำทางด้านหลังเมือง...และด้านหลังจะไม่มี

    กองกำลงรักษาเมืองมากเหมือนข้างหน้า...เพราะกองกำลังด้านหลังจะไปช่วยกอง

    กำลังด้านหน้ารบ....ทิ้งการรักษาเมืองด้านหลังไว้....และชัยภูมิการตั้งรับของ

    เมืองคังได้เปรียบเพราะอยู่บนพื้นที่สูงกว่า....

    ....................พระองค์จึงมุ่งมั่นที่จะตีเมืองคังจากด้านหลัง...แต่ทำอุบายหรือกล

    ลวงว่าจะเข้าตีด้านหน้าเมืองเหมือนสองทัพแรก...ดังนั้นพระองค์จึงให้ไพร่พลส่วน

    น้อยไปอยู่ที่ทัพที่จะตีเมืองข้างหน้าและให้ไพร่พลส่วนน้อยนั้นโห่ร้องอย่างเสียงดัง

    เหมือนทัพใหญ่จะเข้าตีด้านหน้า....พวกกำลังพลของเมืองคังหลงกลลวงจึงเกณฑ์

    กำลังพลมารับศึกด้านหน้าเป็นส่วนใหญ่...กำลังส่วนน้อยรักษาเมืองอยู่ด้านหลัง..

    เมื่อพระองค์นำทัพส่วนใหญ่ตีเมืองคังจากด้านหลัง..พระองค์จึงเข้าเมืองคังได้..

    โดยตีแตกจากด้านหลัง..."ชัยชนะจึงเป็นของพระองค์"....

    .....................เอหม่องในฐานะหัวหน้ากองกำลังพม่า..ได้ศึกษายุทธวิธีการรบของ

    พระองค์ในอดีต..จึงคิดจะนำมาใช้กับด่านต่าง ๆ ที่ปลัดปักษ์ตั้งรับกองกำลังพม่าที่

    จะแทรกแซงเข้ามาในหมู่บ้านเอาไว้...แต่เอหม่องไม่ได้คิดที่จะเอากองกำลังทั้ง

    หมดของตนบุกเข้าไปในหมู่บ้าน....และตีหมู่บ้าน...เพื่อค้นหาปลัดเมืองและขวด

    แก้ว..."แต่เขาประสงค์เพียงแต่ขอให้กองกำลังคนส่วนน้อยของเขาแทรกแซงเข้า

    หมู่บ้านได้เท่านั้นก็พอแล้ว"...

    ....................ดังนั้น เอหม่อง..จึงตั้งกองกำลังพลส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งไว้บุกตีด่าน

    หน้าของปลัดปักษ์..โดยนำปืนใหญ่มาจากพม่าจำนวนถึง 10 กระบอก..เคลื่อนพล

    มาด้านหน้าด่านใหญ่.........ส่วนกำลังพลที่จะใช้แทรกแซงไปยังด่านเหนือสุดและ

    ใต้สุด ...เขาใช้กำลังพล ด่านละ 10 คนเท่านั้นเอง..
     
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เสียงปืนใหญ่ของกองกำลังพม่ายังคงระดมยิงติดต่อกันทั้ง 10

    กระบอก...เสียงดังสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่ขาดระยะ..ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านและสองฝั่ง

    แม่น้ำน่านแตกตื่นตกใจไปทั่วเมือง.....กองกำลังพลของปลัดปักษ์ที่วางไว้ในแต่ละด่าน...

    พากันละทิ้งด่านโดยปล่อยให้เหลือเพียง 2 คนที่เฝ้าด่านไว้นอกนั้นเคลื่อนที่ด้วยม้าเร็วมา

    ยังหน้าด่านใหญ่เสียทั้งสิ้น....

    ....................เป้าหมายของเอหม่อง คือ ด่านทิศเหนือสุด กับ ด่านทิศใต้สุด...ที่

    เขาจะใช้กองกำลังส่วนน้อยของเขาบุกผ่านด่านเข้ามา

    ....................ซึ่งผู้เฝ้าด่านอยู่เดิมทั้งสองด่านต่างก็หลงกลศึกของเอหม่องเสีย

    ทั้งสิ้นเหมือนด่านอื่น ๆ

    ....................ร.ต.ต.เวียงหัวหน้าตำรวจนำกองกำลังตำรวจเข้าหาที่กำบังและใช้อาวุธ

    ปืนยิงต่อต้านและถูกกองกำลังพม่าอยู่ปะปราย...กองกำลังของเอหม่องที่บุกเข้ามาก็เล็ง

    ปืนเข้าใส่ฝ่ายปลัดปักษ์ถูกคนของปลัดปักษ์ล้มตายไม่ใช่น้อย...กองกำลังของเอหม่องไม่

    ได้ทุ่มกำลังมาตีเพื่อให้ด่านแตกแต่เป็นกลลวงเท่านั้น...เขาทำทีหนุนกำลังเข้ามาเรื่อย ๆ

    เพื่อให้ดูเหมือนว่า "กองกำลังพม่าต้องการตีด่านนี้ให้แตกและบุกเข้ามาในหมู่บ้าน..

    .....................กัมพูนำกองกำลังสำรองมาถึง..ก็ตรงเข้าหาปลัดปักษ์ทันที..ปลัดปักษ์

    จึงได้สั่งการ..โดยหลงกลเอหม่อง....

    ............................."กัมพู ตั้งกองกำลังของเรารับไว้ที่ด่านนี้เพียงที่เดียว..

    กระจายกำลังกันออกไป...อย่าให้พวกมันฝ่าเข้ามาได้...มุกเจ้าพาพวกนำคนบาด

    เจ็บกลับไปที่ทำการไปก่อน..และรายงานขุนทัพให้ส่งคนมาช่วยที่ด่านนี้โดยเร็ว..

    พวกมันเคลื่อนเข้ามามากแล้ว"

    ....................ปลัดปักษ์สั่งการในขณะที่เขาอยู่กับ บุญแทนและสายผู้ช่วยปลัด

    เมือง ที่มาทำหน้าที่ช่วยเหลือปลัดปักษ์ .......ต่างคนต่างก็หลงกลเอหม่องโดยนำ

    กองกำลังมาตั้งรับที่ด่านหน้าหมด.....
     
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ปลัดเมืองและสายใจมาถึงฝั่งตะวันออก..ปลัดเมืองพาสายใจซุ่มดู

    อยู่ในป่าด้านเหนือของด่านที่ถูกโจมตี..เขานิ่งและคิดพิจารณาโดยมีสายใจซึ่งอยู่

    เคียงข้างดูเหตการณ์อย่างตื่นตระหนก....เมืองมองไปทางด่านทิศเหนือถัดจากด่าน

    หน้าที่ถูกตี..แต่ไม่ใช่ด่านที่อยู่เหนือสุด...เมืองเริ่มแปลกใจที่ทำไมทั้งปืนใหญ่ของกอง

    กำลังพม่าก็ยิงปูพรมอยู่เป็นระยะ...พวกกองกำลังพม่าที่บุกเข้ามาก็มีกำลังมาก..แต่ไม่ยอม

    ที่จะตีเข้ามา..เหมือนกับว่า"ต้องการยิงปืนใส่พวกปลัดปักษ์ให้พวกปลัดปักษ์นำกำลังมายิง

    ต่อสู้ตั้งรับเท่านั้นเอง"...เขามองหน้าสายใจที่กำลังมองดูเขาคิดอยู่ สายใจจึงเอ่ยถาม..

    ............................."ท่านคิดอะไรอยู่หรือ"

    ............................."ข้าคิดอยู่ว่า..ทำไมกองกำลังพม่าจึงไม่บุกเข้ามา"

    ............................."พวกปลัดปักษ์ยิงปืนตั้งรับอยู่"

    ............................."แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้นคุณหนู...ด่านด้านทิศเหนือไม่มีกองกำลัง

    พม่าบุกโจมตี ทั้งที่ด่านนั้นมีกำลังเพียงสองคน"

    ............................."ท่านหมายความเช่นไร"

    ............................."ข้าคิดว่าปลัดปักษ์กำลังหลงกลกองกำลังพม่า"

    ............................."เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนั้น"

    ............................."พฤติการณ์ที่พวกมันไม่บุกเข้ามา..เหมือนจงใจดึงพวกของเรา

    ให้มาอยู่ด่านนี้..และมันจะต้องสอดแทรกเข้ามาที่ด่านอื่น..โดยเฉพาะด่านที่อยู่เหนือสุดที่

    ลับตาเรา"

    ....................สายใจฟังการวิเคราะห์ของปลัดเมือง..เขาเริ่มคล้อยตามปลัดปักษ์ที่

    เคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับปลัดเมืองว่า "ปลัดเมืองเป็นคนฉลาดเจ้าปัญญาคิด

    อะไรได้ฉับไว" ในส่วนของปลัดปักษ์นั้น "เป็นคนคิดอะไรรอบคอบ"..เขาจึงเป็นผู้

    เดินตามความคิดของปลัดเมืองอยู่เสมอ

    .....................สายใจทึ้งที่ปลัดเมืองสามารถอ่านสถานการณ์และความคิดของ

    กองกำลังพม่าออก...ซึ่งจะถูกต้องเพียงใดก็ต้องรอพิสูจน์กัน..แต่พฤติการณ์ที่ปลัดเมือง

    เอ่ยขึ้นเมื่อกี้นี้สายใจเห็นพ้องด้วย...

    .....................เมืองนำผ้าออกมาผูกปิดหน้าเหลือแต่ดวงตาเอาไว้..สายใจจึง

    ถาม

    ............................"ท่านจะทำอะไร"

    ............................"ข้าจะออกไปดูที่ด่านเหนือสุด..จึงต้องปกปิดหน้าไม่ให้

    พวกมันเห็น"

    ............................"ข้าไปด้วย"

    .....................เมืองควบม้าอย่างเร็วผ่านด่านต่าง ๆ ขึ้นไปทิศเหนือ..เป้าหมาย คือ

    ด่านเหนือสุด....เจ้าหน้าที่ประจำด่านที่เป็นเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออก...เห็นคนขี่ม้าผูกผ้าปิด

    หน้าโดยมีหญิงสาวควบม้าตาม..ก็ให้แปลกใจ....แต่เมื่อเห็น...ม้าสีนิลก็รู้ได้ว่าใครคือ

    "ผู้ที่อยู่หลังม้า"....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2011
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ด่านเหนือสุด..เมื่อปลัดเมืองไปถึงก็ต้องตื่นตระหนกด้วยเป็นไปตาม

    คาด..เจ้าหน้าที่ที่ด่านเหนือสุดถูกกระสุนปืนนอนอยู่กับพื้นทั้งคู่.....เมืองลงจากหลังม้าไป

    ดูเพื่อช่วยเหลือพร้อมกับสายใจก็พบว่า"เขาเสียชีวิตแล้วทั้งคู่"

    ............................"เรามาไม่ทัน..กองกำลังพม่าส่วนหนึ่งได้แทรกเข้าไปในเขตหมู่

    บ้านได้แล้ว...ต่อแต่นี้พวกมันต้องแฝงตัวอยู่เพื่อค้นหาตัวข้าให้พบ" เมืองกล่าวอย่าง

    ผิดหวัง

    ............................"ท่านคิดอย่างไร" สายใจเอ่ยถามด้วยห่วงใย

    ............................"ข้าจะตามค้นหามันดู...และจะกลับไปแจ้งปลัดปักษ์" เมืองพูด

    พร้อมกับขึ้นม้า

    ............................"ขอข้าไปกับท่านด้วย" สายใจรีบขึ้นม้าตาม

    .....................ยังไม่ทันทีปลัดเมืองจะควบม้าตาม..ก็มีเสียงปืนรั่วยิงเข้าใส่เขาเสียง

    ดังสนั่น...มันเป็นเสียงปืนจากกองกำลังพม่าส่วนหนึ่งที่ซุ่มอยู่บริเวณรอบด่านมีหน้าที่คอย

    ยิงสกัดผู้ติดตาม...กองกำลังส่วนแรกที่เพิ่งแฝงเข้าเขตหมู่บ้านไปได้ไม่นาน..ซึ่งกองกำลัง

    ส่วนที่ยิงสกัดหารู้ไม่ว่า "ผู้ที่ตนตามหา คือ ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าที่ตนเองสาดกระสุนเข้าใส่นั้น

    เอง...เนื่องจากผ้าที่โพกปิดหน้าปลัดเมือง..ทำให้พวกมันจำไม่ได้"

    ....................เมืองหลบลูกกระสุนปืนที่พุ่งเข้ามาหาตนหลายนัด..พร้อมกับยิงปืนพกที่

    นำติดตัวมาด้วยของเขาสวนกลับไปหลายนัด...พร้อมกับพยายามชักม้าไปกันคุณหนูสาย

    ใจเอาไว้เพื่อให้พ้นวิถีกระสุน...แต่แล้วกระสุนนัดหนึ่งก็พุ่งตรงถูกสายใจจนล่วงม้า

    .............................."คุณหนูสายใจ" เมืองอุทานอย่างตกใจ

    ....................พร้อมกับรีบกระโดลงจากหลังม้าและล้มตัวทับคุ้มร่างสายใจเอาไว้..

    เพื่อใช้ร่างกายของตนกำบังกระสุนจากฝ่ายตรงข้าม...และยิงโต้ตอบไป..พอจังหวะที่ฝ่าย

    ศัตรูกำลังเปลี่ยนกระสุนปืน...ก็เป็นจังหวะเปิดให้เมืองรีบอุ้มร่างของสายใจขึ้นม้าสีนิล

    พร้อมกับตน..และประคองสายใจไว้ด้านหน้า...กระตุกม้าควบหนีอย่างเร็ว....

    ....................เมื่อพ้นวิถีกระสุน เมืองอุ้มสายใจที่มีสีหน้าเจ็บปวดลงจากหลังม้า..มา

    ไว้ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่และตรวจดูบาดแผล...เขาจึงเห็นว่ากระสุนเข้าเนื้อถากไปตรงบริเวณต้น

    แขนซ้ายเป็นแผลมีเลือดไหลออก...สีหน้าของสายใจดูไม่สู้ดี

    ....................เมืองนำขวดแก้วช่องที่บรรจุเหล้าของเขาไว้..เทล้างทำความสะอาด

    แผล..เพื่อฆ่าเชื้อและใช้ผ้าเช็ดหน้าผูกมัดบาดแผลเอาไว้ พลางเอ่ยปลอบใจคนเจ็บ

    ............................"คงไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะคุณหนู"

    ............................"แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อไป" สายใจถามความเห็น

    ............................"ข้าจะพาคุณหนูไปหาปลัดปักษ์"

    ............................"ไม่ได้นะ"

    ............................"ถ้าข้าไม่พาคุณหนูไปหาปลัดปักษ์..แล้วเราจะแจ้งข่าวที่

    พวกมันแฝงเข้ามาในเขตหมู่บ้านได้แล้ว...ให้ปลัดปักษ์ได้เช่นไร"

    .....................สายใจนิ่งไปพร้อมกับคล้อยตามความเห็นของปลัดปักษ์...เมืองได้พา

    สายใจขึ้นม้าและควบไปโดยเร็ว...จนถึงด่านหน้าใหญ่จุดที่ปะทะกันระหว่างกองกำลังของ

    เอหม่องและกองกำลังของปลัดปักษ์...

    .....................กองกำลังพม่าจากด่านเหนือสุดที่ไล่ยิงปลัดเมืองและสายใจ..

    และด่านใต้สุด..ได้มาแจ้งข่าวดีแก่เอหม่องว่า "แผนการของเอหม่องสำเร็จแล้ว

    โดยกองกำลังที่เขาส่งไปด่านเหนือสุดกับด่านใต้สุดได้แฝงกำลังเข้าไปในเขตหมู่

    บ้านได้แล้ว"...ดังนั้นเอหม่องจึงสั่งให้กองกำลังยิงโต้ตอบพลางถอยไปพลาง..

    เพื่อถอยกำลังทั้งหมดออกไปจากพื้นที่โดยเร็ว...

    ....................เอหม่องใช้กลยุทธ์พระนเรศวรเอาชนะทางปลัดปักษ์ที่เอหม่องดู

    เป็นรองมาตลอด..นับแต่ที่ปลัดปักษ์ตั้งด่าน...เขาไม่สามารถแฝงกองกำลังเข้ามา

    ในหมู่บ้านได้แม้แต่คนเดียว.....เอหม่องแพ้โดยไม่เคยรับรู้ยุทธวิธีของฝ่ายตะวัน

    ออกที่จัดการพวกเขาเป็นใคร...แต่บัดนี้เขาเป็นฝ่ายชนะบ้างแล้ว...และจะต้องเป็น

    ปลัดปักษ์ที่จะต้องหาทางแก้ต่อไป...

    .....................ระหว่างที่เอหม่องกำลังสู้พลางถอยพลางเพื่อถอนกำลังทั้งหมดออกไป

    นั้น....สายที่ยิงต่อสู้เคียงข้างปลัดปักษ์..เห็นม้าสีนิลที่มีคนโพกหน้ากับคุณหนูสายใจควบ

    ม้ามาก็จำได้ทั้งคู่....จึงรีบผละออกไปหา....พอไปถึง..ปลัดเมืองบอกกับสายให้แจ้งปลัด

    ปักษ์ออกมาหาปลัดเมืองโดยเร็ว...

    ......................ปลัดปักษ์พอทราบว่า ปลัดเมืองข้ามมาฝั่งตะวันออกก็ให้รู้สึก

    โกรธยิ่งนัก...จึงรีบมาหาแต่เมื่อพบสายใจอยู่กับปลัดเมืองและได้รับบาดเจ็บ..เขา

    จึงต่อว่าปลัดเมืองทันที..

    ............................."เจ้าไม่อยู่ฝั่งตะวันตกตามหน้าที่..แล้วยังพาคนรักของ

    ข้ามาเสี่ยงภัยอีก"

    .....................สายใจได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยปรามคนรักของตน

    ............................."ท่านอย่างตำหนิปลัดเมืองเลย ข้าขอปลัดเมืองมาด้วยเพราะ

    ห่วงใยในตัวท่าน"

    ............................."ข้ามาที่นี่ก็ต้องการมาช่วยเจ้า..เพื่อแจ้งเรื่องบางอย่าง"

    ............................."แต่ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่ พวกมันต้องการตัวเจ้าและเจ้า

    ขวดใบนั้น..แล้วเจ้ายังมาล่อเป้ามันถึงนี่อีกหรือ" ปักษ์เอ่ยอย่างขุ่นเคือง

    ............................."ข้าต้องการจะบอกกับเจ้าว่า..เอหม่องไม่คิดจะบุกเข้า

    มาตีด่านหรือหมู่บ้าน" เมืองพยายามใจเย็นอธิบายเหตุผล

    ............................."สิ่งที่เจ้าเห็นว่ามันกำลังยิงใส่เราอยู่..ไม่ใช่มันบุกเรา

    หรือ" ปักษ์แย้งตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

    ............................."ไม่ใช่..เจ้ากำลังหลงกลพวกมัน...เจ้าดูสิพวกมัน

    มากกว่าเรา มีทั้งปืนใหญ่ยิงเบิกทาง...แต่มันทำไมไม่ยอมบุกเข้ามา" เมืองพูด

    เตือนสติให้ได้คิดในท่าทีของฝั่งตรงข้าม

    .....................ปลัดปักษ์เริ่มคิดตามปลัดเมืองที่พยายามอธิบาย พลางเอ่ยต่อ

    .............................."เจ้าว่าต่อไปสิ"

    .............................."มันเพียงแต่หลอกให้พวกเราทั้งหมดมาตั้งรับมันที่นี่เพื่อ

    ท่วงเวลา..แล้วมันได้ส่งกองกำลังสอดแนมอีกส่วนหนึ่งบุกเข้าด่านเหนือสุด..มันฆ่า

    เจ้าหน้าที่ที่ด่านตาย..และพวกมันแฝงเข้ามาในเขตหมู่บ้านได้แล้ว..และข้าเชื่อว่า

    ด่านทิศใต้ก็ต้องเป็นเช่นนี้"

    ....................ปลัดปักษ์ฟังสถานการณ์ที่เมืองเล่าเห็นจริงตาม..ทำให้เขาเดือด

    ดาลเป็นอย่างยิ่งที่เสียรู้..และพ่ายแพ้เกมของเอหม่อง..เขาจึงเอ่ยอย่างแค้นใจ

    ............................."ไอ้พวกบ้าเอ๋ย เจ็บใจนัก"

    ............................."ข้าคิดว่ามันใช้ยุทธวิธีขององค์นเรศวรตอนพระองค์ตี

    เมืองคัง" เมืองตอบตามที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์มา......ซึ่งตรงกับที่เอหม่องใช้

    ยุทธวิธีของเอหม่องครั้งนี้

    .............................."เป็นอย่างไรหรือ" ปลัดปักษ์ถามอย่างสงสัย

    .............................."ทำทีเป็นตีเมืองด้านหน้า...แต่มุ่งตีเมืองจากด้านหลัง"

    ปลัดเมืองอธิบายอย่างย่อ..ซึ่งปลัดปักษ์ก็เคยได้ยินได้ฟังมาจึงนิ่งอึ้งด้วยไม่คิดว่า

    กลยุทธหรือยุทธวิธีของกษัตริย์สยาม...จะถูกเอหม่องลอกนำมาใช้กับตนเอง..เขา

    จึงเอ่ยแกมออกคำสั่งขึ้น

    .............................."มันแก้ทางเราได้...สายใจเจ้าต้องรีบกลับฝั่งตะวันตก

    โดยเร็ว รวมทั้งเจ้าด้วยปลัดเมือง"

    .............................."แล้วท่านจะทำเช่นไร" สายใจเอ่ย

    .............................."ข้าจะระดมพลไปตามพวกมัน..และกำจัดเสีย"

    .............................."ไม่...ปลัดปักษ์ ข้าคิดว่าตอนนี้พวกมันจะต้องปลอม

    เป็นชาวบ้านโดยดึงผ้าโพกหัวออกหมดสิ้นแล้ว" เมืองขัดขึ้นเพื่อแสดงความเห็น

    .............................."ไม่เป็นไรข้ามีวิธีของข้า"

    .....................เสียงปืนทั้งสองฝ่ายดังทิ้งช่วงห่างและซาลง...เหมือนการต่อสู้กำลัง

    จบลง.......เมืองขึ้นม้าสีนิลเพื่อกลับฝั่งตะวันตก...ปลัดปักษ์เอามือจับไหล่ของสายใจ

    พลางเอ่ยขึ้น

    .............................."ที่นี่มันอันตราย..เจ้าต้องกลับไปพร้อมปลัดเมือง"

    .....................พูดจบปลัดปักษ์ก็อุ้มสายใจในท่ายืนส่งให้ปลัดเมืองเพื่อขึ้นม้าทางด้าน

    หน้าปลัดเมือง....ปลัดเมืองประสานสายตากับปลัดปักษ์..ด้วยรู้สึกว่า"ปลัดปักษ์นั้น

    เชื่อมั่นและให้เกียรติตัวเขาอย่างสูง..ที่ให้ทำหน้าที่ปกป้องคนรักของเขาให้พ้นภัย

    และไม่ระแวงว่าจะทรยศในรักของเขา...ร่วมทั้งมั่นใจในตัวของคนรักของเขาโดย

    ไม่มีอาการหึงหวงแต่อย่างใด...
     
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ปลัดเมืองควบม้าโดยมีสายใจอยู่ในอ้อมกอด..แม้จะไม้ได้จงใจ

    แต่ด้วยท่าทางซึ่งต้องโอบประคองคนเจ็บไปในตัว.."ทำให้ลักษณะมันเป็นเช่นนั้น"

    .....................สายใจรับรู้ถึงความอบอุ่นและปลอดภัยที่อยู่ในอ้อมอกเขา...นางหวล

    คิดถึงสายพิณน้องสาวของนาง..ที่เลือดเอาปลัดเมืองเป็นคนรักซึ่งนางเองก็เห็นด้วย..

    เพราะรู้สึกว่าปลัดเมืองสามารถให้ความรักความอบอุ่นคุ้มครองดูแลปกป้องสายพิณได้..

    ซึ่งนางก็ได้รับจากเขาเช่นกัน..

    .....................และขณะนี้นางเองก็มี "ใจที่รักปลัดเมืองอยู่เช่นกัน"แต่หาก

    เป็น"ความรักและศรัทธาในตัวเขา" มิใช่รักใคร่อย่างคู่รักเช่นเดียวกับปลัด

    ปักษ์.."ความรักของนางจึงมิใช่รักซ้อน"..............แต่เป็นรักอีกประเภทหนึ่งที่

    "มีความปรารถนาดีให้แก่เขา"....

    .....................ปลัดเมืองพาสายใจมาส่งพร้อมกับรายงานเรื่องต่าง ๆ ให้เจ้าเมืองได้

    รับรู้"เจ้าเมืองน่านนิ่งอึ้งเหมือนแบบภาระหนักหน่วง"

    .....................สายพิณเห็นพี่สาวตนได้รับบาดเจ็บก็ให้รู้สึกตกใจ และสอบถามปลัด

    เมืองอย่างใส่ใจ

    ............................"เจ้ากับพี่สายใจไปทำอะไรมา นางถึงได้รับบาดเจ็บ"

    ............................"นางตามข้าไปฝั่งตะวันออก และถูกผู้บุกรุกยิงปืนเฉียดต้นแขน

    ไปจนนางล่วงม้า" ปลัดปักษ์แจง

    ............................."ข้าได้ยินเสียงดัง.....เหมือนปืนใหญ่มาจากฝั่งตะวันออกเป็น

    ระยะ ๆ ท่านพ่อสั่งกัมพูให้นำกองกำลังสำรองข้ามฝากไปช่วย...แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้ากับพี่

    สายใจจะข้ามไปฝั่งตะวันออก" สายพิณเล่าสถานการณ์

    .....................สายใจหันมาทางสายพิณแล้วเอ่ยกับนาง

    .............................."พี่อยากรู้ว่าฝั่งตะวันออกเกิดอะไรขึ้น"

    .............................."แล้วมันเกิดอะไรขึ้น" สายพิณย้อนถาม

    .............................."กองกำลังพม่าบุกเข้ามาที่ด่านฝั่งตะวันออก และยิงถล่มด่าน

    ที่ปลัดปักษ์รักษาการณ์อยู่" เมืองอธิบายแทนสายใจ

    .....................สายพิณมองหน้าปลัดเมืองที่มีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดพร้อม

    เอ่ยขึ้นกับปลัดเมือง

    .............................."เจ้าอย่าบอกว่าจะกลับไปฝั่งตะวันออกเด็ดขาด"

    .....................ปลัดเมืองนิ่งเงียบและขอตัวกลับ...ระหว่างทางกลับที่พักเขาคิด

    ว่า"เจ้าเมืองน่านต้องทราบเรื่องกองกำลังพม่าบุกรุกเข้ามาฝั่งตะวันออกอยู่แล้ว แต่ท่านก็

    ไม่ยอมรายงานไปยังเมืองหลวง..อีกทั้งปลัดปักษ์ก็ต่อสู้อย่างสุดชีวิต พวกเขาทั้งสอง

    ทั้งเจ้าเมืองน่านและปลัดปักษ์ร่วมกันปกป้องเมืองน่าน..รวมทั้งขุนทัพและตัวเขา"..

    เมืองซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าเมืองน่านและปลัดปักษ์ ..โดยเฉพาะปลัดปักษ์ที่ไม่

    ค่อยลงรอยกับเขาหรือเรียกว่า"ปีนเกลียว" กลับมาช่วยเหลือเขาอย่างเอาชีวิตเขา

    แรกกับงานนี้...ปลัดเมืองจึงคิดว่า"ปักษ์คือมิตรแท้ของเขา"ที่คำพูดดูเหมือนไม่

    เป็นมิตร..แต่ในใจของเขานั้นแสดงความเป็นมิตรอย่างชัดเจน

    ....................เมืองคิดว่า..เมื่อกองกำลังพม่าเข้ามาในหมู่บ้านได้จะต้องสืบจนรู้

    ว่า "เขาได้มาอยู่ที่ฝั่งตะวันตก" และพวกนั้นจะต้องข้ามฝั่งมายังฝั่งตะวันตกเพื่อ

    ติดตามเขาอย่างแน่นอน...เขาคิดว่า "เขาจะต้องปกป้องเมืองน่านให้พ้นภัยครั้งนี้

    รวมทั้งรักษาเกียรติยศของเจ้าเมืองน่านไว้ด้วย".......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 118wo8.jpg
      118wo8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.2 KB
      เปิดดู:
      26
    • 003.jpg
      003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18 KB
      เปิดดู:
      25
    • 3miku.jpg
      3miku.jpg
      ขนาดไฟล์:
      336.3 KB
      เปิดดู:
      23
    • 019.jpg
      019.jpg
      ขนาดไฟล์:
      22.2 KB
      เปิดดู:
      27
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ด่านฝั่งตะวันออกกองกำลังพม่าถอนกำลังออกไปหมดแล้ว..

    ปลัดปักษ์เสริมกำลังให้เข้มแข้งทุกด่าน...และให้เจ้าหน้าที่ตรวจตราระหว่างด่านต่อ

    ด่านอย่างเข้มแข็ง...ส่วนตัวเขาและสายกับเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่ง...ออกค้นหากอง

    กำลังพม่าที่แฝงตัวเข้ามาในหมู่บ้าน...รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งปลอมตัวเป็น

    ชาวบ้านอาศัยอยู่คละเคล้าไปกับชาวบ้านฝั่งตะวันออก..โดยคอยสังเกตคนแปลก

    หน้า..ที่เข้ามาในหมู่บ้านทุกคน

    ....................ปลัดปักษ์ให้คำแนะนำกับเจ้าหน้าที่ทั้งหลายว่า "วิธีตรวจสอบกอง

    กำลังพม่าที่เข้ามาในหมู่บ้าน คือ กองกำลงพม่าเป็นคนต่างถิ่นพูดภาษาสยามของ

    เราไม่ได้ หรือได้แต่ไม่ชัดเจน...และพวกมันจะไม่รู้สถานที่ต่าง ๆเหมือนกับชาว

    บ้านพวกเรา...ให้เจ้าหน้าที่พยายามถามคนแปลกหน้าว่า "มาจากไหน และจะไป

    ที่ไหน รู้จักที่ใดบ้าง....หากพวกมันตอบไม่ได้ให้ตั้งข้อสังเกตว่า ..พวกมันคือกอง

    กำลังพม่าที่สอดแนมเข้ามาให้จับตัวทันที...และให้ถามให้ชัดเจนว่าพวกมันแฝง

    เข้ามากันกี่คนแม้จะใช้วิธีทรมานพวกมันเพื่อให้ยอมบอกก็ตาม...อีกอย่างหนึ่ง

    เกี่ยวกับขนบประเพณีต่าง ๆของฝั่งตะวันออก...ชาวบ้านฝั่งตะวันออกจะต้องรู้

    แต่พวกสอดแนมเข้ามาไม่มีทางรู้ได้..ให้เจ้าหน้าที่สังเกตพฤติการณ์เหล่านี้ด้วย

    .....................นี่คือคำตอบของปลัดปักษ์..ที่ตอบโจทย์ที่เอหม่องให้มาแก่เขา..

    โดยการใช้ปัญญาแก้ปัญหาเช่นนี้....ก็ต้องดูต่อไปว่า..."ปลัดปักษ์จะแก้โจทย์ของ

    เอหม่องถูกต้องไหม".......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • bm1b1.jpg
      bm1b1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.5 KB
      เปิดดู:
      90
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..................ตอนที่ 66 ลาก่อนเมืองน่าน.............


    ....................หลายวันต่อมา เจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกไม่สามารถจับกองกำลัง

    พม่าที่แฝงตัวเข้ามาในหมู่บ้านได้เลย..ปลัดปักษ์เคร่งเครียด พลางคิดว่า "เป็นงาน

    หนักสำหรับเขาเสียแล้ว"....

    ....................ในขณะที่เมืองก็กังวลใจอย่างมาก...เขาคิดว่า "ตัวเขาเป็นต้นเหตุแห่ง

    ความเดือดร้อนของเมืองน่านและทุก ๆคน"..เขารู้สึกเศร้าสลดในจิตใจอย่างมากที่ไม่อาจ

    แก้ปัญหาใด ๆ ได้เลย..ลักษณะของคนเจ้าปัญญาและความคิด..จะถูกบีบคั้นหัวใจ

    อย่างมากหากไม่สามารถขบคิดแก้ปัญหาสิ่งใดได้..เขาจึงคิดที่จะไปจากเมืองน่าน

    ที่เขาได้เติบโตมาแต่เด็ก..และมีความผูกพันกับแม่น้ำน่าน..และคนทั้งหลาย...

    ด้วยความเศร้าสลด....เพื่อแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเขาเอง...

    .....................เช้าวันรุ่งขึ้นปลัดเมืองได้เดินทางไปพบเจ้าเมืองน่านเพื่อจะแจ้งบางสิ่ง

    บางอย่างที่เขาคิดให้เจ้าเมืองน่านฟัง...เมื่อมาถึงเขาขอเจ้าหน้าที่ให้เรียนเจ้าเมืองน่านว่า

    เขาอยากพบท่าน....เจ้าเมืองน่านจึงเรียกเมืองเขาพบทันที...ปลัดเมืองจึงเอ่ยขึ้น..

    ............................"ใต้เท้าขอรับ..ข้าน้อยคิดว่าใต้เท้าคงรู้เรื่องแล้วว่ากองกำลัง

    พม่าสอดแนมเข้ามาในหมู่บ้านฝั่งตะวันออก"

    .....................เจ้าเมืองพยักหน้าแทนคำตอบอย่างสงบ...ปลัดเมืองจึงเอ่ยต่อ

    ............................"ข้าน้อยคิดว่า ในไม่ช้ามันจะต้องทราบว่าข้าน้อยอยู่ฝั่งตะวัน

    ตก...และมันก็จะตามมาที่ฝั่งนี้"

    ............................"ข้าคิดอยู่เหมือนกัน"

    .....................เมืองจึงอธิบายต่อ

    ............................"พวกมันจะไม่ยกกองกำลังเข้ามาที่ฝั่งตะวันตกเหมือนฝั่งตะวัน

    ออก..เพราะมันต้องการสืบหาตัวข้าน้อยแต่เพียงผู้เดียว..ดังนั้น ข้าน้อยจะไปจากเมือง

    น่าน..หากพวกมันสืบทราบว่าไม่มีข้าน้อยอยู่ที่เมืองน่านทั้งสองฝั่งเสียแล้ว..มันคง

    ยกกองกำลังใหญ่กลับพม่าไป......คงเหลือเพียงคนจำนวนน้อยที่สังเกตการณ์สืบ

    ข่าวคราวข้าน้อย....แต่เมื่อพวกมันสิ้นหวังในตัวข้าน้อยจริง ๆ มันก็จะกลับไปเมือง

    พม่าโดยไม่กลับมาเมืองน่านอีก"

    ...................เจ้าเมืองรับฟังก็ให้รู้สึกว่า ปลัดเมืองกำลังวุ่นวายใจและเศร้าสลด

    ทุกข์ใจที่ตนเป็นเหตุให้เมืองน่านที่เคยสงบสุขได้รับความเดือดร้อน จนกระทั่ง

    กระทบไปถึงเจ้าเมืองน่านและเจ้าหน้าที่สองฝั่ง..พร้อมกับชาวเมืองน่านทุกคน..

    ...................เจ้าเมืองน่านจึงเอ่ยถามเขา

    ............................"แล้วเจ้าคิดจะจากไปไหน"

    ............................"ข้าน้อยจะล่องไปทางใต้ให้ไกลสุดไกลจากเมืองน่าน"

    ............................"แต่เจ้าอยู่นี่..ข้าปกป้องเจ้าได้ จงอยู่ที่นี่เถิด" เจ้าเมือง

    น่านพูดด้วยแววตาจริงจังและเด็ดขาด...เป็นคำยืนยันที่เขาพร้อมจะปกป้องเมือง

    ............................"ข้าน้อยตัดสินใจแล้ว..และขออนุญาตใต้เท้ากลับไปฝั่ง

    ตะวันออกก่อนเพื่อเตรียมการณ์นะขอรับ"

    ....................หลังออกจากจวนเจ้าเมือง เมืองมาหาสายพิณแล้วบอกในสิ่งที่เขาคิด

    แก่สายพิณ....

    ............................."ข้าคงต้องจากเจ้าไปอีก..เพื่อปกป้องเมืองน่านและรักษา

    เกียรติยศของท่านเจ้าเมือง"

    ....................สายพิณฟังคำพูดรู้สึกตกใจ จึงรีบเอ่ยแย้งทันที

    ............................."เจ้าจะจากข้าไปไหนอีก..ข้าไม่ให้เจ้าไปไหนอีกแล้ว"

    ....................คำพูดของสายพิณมีความตัดพ้ออยู่ในตัว..ความรู้สึกนี้ซึมซาบถึงใจ

    เขา..เขาจึงเอ่ยอธิบาย

    ............................."ข้าคิดไว้ว่าหากจากที่นี่ไปเป็นเวลานาน พวกพม่าอาจล้มเลิก

    การตามหาข้า"

    .....................คำว่า"จากที่นี่ไปเป็นเวลานาน" เป็นคำพูดที่กระทบจิตใจของสายพิณ

    อย่างมาก..นางถึงกับนิ่งอึ้งตาแดง..แล้วโผเข้ากอดเมืองพลางเอ่ยขึ้น

    ............................."ข้าขอตามเจ้าไปด้วยได้ไหม"

    ............................."อย่าเลย..หนทางที่ข้าไปมันลำบากและไกลจากที่นี่มากนัก..

    และไม่รู้จะกลับมาได้อีกเมื่อไร"

    ............................."เจ้าจะไปที่ใด" เสียงสายพิณเริ่มสะอื้น

    ............................."ข้าคิดจะล่องไปตามลำน้ำน่านไกลจากเมืองน่านให้มากที่

    สุด..เพื่อให้เมืองน่านปลอดภัย..หากพวกมันจะติดตามข้าไป..ข้าก็พร้อมจะสู้จนถึงที่สุด"

    ............................."เพียงลำพังคนเดียวนะหรือ"

    ....................เมืองไม่ตอบ..ได้แต่โอบกอดกระชับสายพิณไว้แน่น แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................."ข้าจะข้ามไปฝั่งตะวันออกเพื่อเตรียมการ"

    ............................."แล้วเจ้าจะเดินทางเมื่อไร"

    ............................."เมื่อแพต่อเสร็จ..แต่ข้าจะกลับมาหาเจ้าอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะ

    จากไป"

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองข้ามมายังฝั่งตะวันออกและได้บอกกับขุนทัพในสิ่งที่ตนคิด...

    เพราะการที่มีกองกำลังพม่าแฝงตัวอยู่ในหมู่บ้าน ย่อมเป็นดัง.."เชื้อโรคร้ายแก่เมืองน่าน"

    ซึ่งปลัดปักษ์ที่ทำหน้าที่ค้นหาพวกมันก็ยังไม่มีวี่แววจะได้ตัว......ดังนั้นเมื่อเขาจะจากเมือง

    น่านไป....โดยทำการปล่อยข่าวออกไปว่า "ปลัดเมืองจะเดินทางไปจากเมืองน่าน บางที่

    พวกมันอาจสะกดรอยตามไปเพื่อสังหารปลัดเมืองและชิงขวดแก้วไป...ซึ่งการสะกดรอย

    ตามปลัดเมืองย่อมต้องออกจากที่ซ่อนเพื่อติดตามปลัดเมืองไปอย่างกระชั้นชิด...

    และ........การที่ปลัดปักษ์จะติดตามเด็ดหัวพวกมันไปในขณะที่ปลัดเมืองเดินทาง

    คงไม่ยาก....

    ....................เจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกบางส่วนที่สำคัญซึ่งเป็นเพื่อนของเขา เช่น บุญ

    แทน สาย และมุก ได้มาปรึกษาหารือ..และให้ลุงชอบพ่อของมุกซึ่งอยู่ริมแม่น้ำน่านด้าน

    ทิศใต้ของบ้านขุนทัพ..เป็นผู้ต่อแพขนาดใหญ่เพื่อให้ม้าสีนิลได้ล่องแพไปด้วย

    ....................บุญแทนออกแบบการก่อสร้างแพโดยให้ลุงชอบ....ทำเพิงพักไว้บนแพ

    พร้อมกับวางโอ่งน้ำขนาดเล็ก..เตาไฟหุงต้ม..พร้อมเสบียงอาหาร แคร่ไม้ไผ่ที่พักนอนใน

    เพิง..พร้อมทั้งทำรั้วกั้นแพทั้งสี่ด้านเอาไว้.."มันจึงเป็นทั้งที่พักและพาหนะในการเดิน

    ทางอย่างดีของปลัดเมือง"......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................หนึ่งอาทิตย์ต่อมา..เมืองข้ามมาฝั่งตะวันตกเพื่ออำลาเจ้าเมือง

    น่าน..เจ้าเมืองน่านรู้สึกสลดใจที่ปกป้องคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในบังคับบัญชา

    ของเขาไม่ได้...

    .....................เมืองตามหาสายพิณเพื่อบอกว่า "พรุ่งนี้เขาต้องอำลาจากนางไป"

    เขาตามหาสายพิณจนพบที่วัดร้างนอกเมือง..ที่เขาเคยได้มานั่งอ่านหนังสือตอนฤดูฝน..

    และสายพิณเมาเหล้าหลับไปเขาได้อุ้มนางหนีฝนไปบนศาลาพักร้อน...และขณะนี้เมือง

    เห็นนางนั่งอย่างเศร้าสลดอยู่ในศาลานั้น...เขาจึงชวนนางไปขี่ม้าที่ชายทุ่งนอกเมือง..

    .....................ในยามเย็นดวงอาทิตย์ในฤดูหนาวสีแดงเย็นตามองดูแล้ว..ทั้งสวยงาม

    และสบายตายิ่งนัก...ดวงอาทิตย์บางเวลาร้อนแรงเหมือนเป็นศัตรูกับเราและผู้คน...แต่บาง

    เวลาเย็นตาเย็นใจเหมือนกับจะส่งความรักมาให้เราและผู้คนอย่างเป็นมิตร...แต่ดวงอาทิตย์

    ยามนี้มองดูแล้วเขย่าหัวใจชายหญิงซึ่งเพิ่งรักกัน..ให้สั่นเทือนหัวใจอย่างร้ายแรง...เขา

    และนางดูเหมือนช่างรักกันมาอย่างยาวนานเกินกว่าผู้เฝ้าดูจะรับรู้ได้..."มันอาจเป็นรักข้าม

    ภพที่คุ้นเคยกันมา".....

    ....................ยามนี้พวกเขาทั้งคู่ไม่อยากมีความสลดใจใด ๆเกิดขึ้น..เพราะต้องการ

    เสพความสดชื่นของธรรมชาติเมืองน่านในยามเย็นของฤดูหนาวนี้ ..ให้อยู่ในความทรงจำ

    ตลอดไป...

    ....................ชายทุ่งเขียวขจีและบรรยากาศหนาวยามเย็นช่างสุขใจเหลือเกิน .....

    สายพิณเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    ............................."เจ้าคิดว่าจะไปจากนี่นานเท่าไร"

    ....................เมืองละสายตาจากดวงอาทิตย์ลูกกลมแดงใหญ่มาทางสายพิณ

    ............................."ข้ายังไม่รู้..ข้าต้องเดินทางโดยไม่มีจุดหมาย"

    ............................."แล้วเจ้าจะส่งข่าวมาถึงข้าได้เช่นไร"

    ............................."ข้าจะรำลึกถึงเจ้าเหมือนดังส่งกระแสจิต"

    ............................."แล้วข้าจะรู้เรื่องกับเจ้าไหมนี่" นางพยายามสร้างอารมณ์ขัน

    ............................."ข้ามั่นใจว่าเจ้าต้องรู้สึกหรือรับรู้ได้...ความจริงข้าอยากบอก

    เจ้าตั้งแต่ที่ข้าเห็นเจ้าที่ตลาดครั้งแรก...ข้ารู้สึกเหมือนเคยเห็นเจ้าและรู้จักคุ้นเคยกับเจ้ามา

    เป็นเวลายาวนาน...ข้าจึงได้ให้ลูกธนูดอกกุหลาบไว้เป็นคำมั่นสัญญากับเจ้า"

    .....................สายพิณยิ้มแต่ในตานางมีแววเศร้า..ด้วยรู้สึกว่าคำพูดของปลัดเมือง

    ตรงกับความรู้สึกของนาง...ที่นางเหมือนกับว่า.."เคยอ้อนออดเขามานับครั้งไม่ถ้วน..และ

    นางจะเป็นผู้ชนะในสิ่งที่ขอเขา"....สายพิณจึงเอ่ยความรู้สึกของนางแก่เมือง

    ............................"ข้าก็อยากบอกเจ้าว่า..ข้าเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน..แต่ข้าตื่นเต้น

    ในเรื่องราวของเจ้าที่ได้ยินได้ฟังมา...ข้าจึงอยากพบเจ้ามาก"

    ....................เมืองพยายามยิ้มให้ดูสดชื่น..แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................."เจ้าพบข้าแล้ว เจ้ารู้สึกอย่างไร"

    ............................."ข้าอยากอยู่กับเจ้า คอยช่วยเหลือเจ้า และให้เจ้าปกป้องดูแล

    ข้าตลอดไป"

    ............................."เรื่องที่เจ้าพูด..ข้าคิดจะทำให้แก่เจ้าตลอดเวลา"

    .....................สายพิณแย้มยิ้มอย่างมีอารมณสดชื่นขึ้นแล้วเอ่ยถาม

    ............................."ให้ข้าไปกับเจ้าได้ไหม ข้าจะขออนุญาตท่านพ่อ"

    .....................นางถามคำถามนี้อีกครั้ง

    .............................."ไม่ได้หรอกมันอันตราย สิ่งแรกที่ข้าเดินทางไปเพื่อหลอกล่อ

    ให้กองกำลังพม่าที่แฝงตัวอยู่ที่ฝั่งตะวันออกปรากฎตัวออกมา..ปลัดปักษ์ที่เฝ้าดูอยู่ก็จะเห็น

    พวกมันและจัดการมัน...แต่ถ้าจัดการไม่ได้ข้าก็จากไปจริง ๆ เพื่อให้เมืองน่านปลอดภัย"

    .............................."แล้วพวกมันจะออกมา..หรือรู้ว่าเจ้าจะไปจากที่นี่ได้เช่นไร"

    .............................."ข้ากับพวกนัดแนะกันไว้แล้วกับปลัดปักษ์..โดยพรุ่งนี้ปลัด

    ปักษ์จะต้องป่าวประกาศกล่าวหาข้ากระทำผิดหน้าที่และคิดหลบหนี..พร้อมกับติดตามไล่

    ล่า...เพื่อให้พวกมันทราบข่าว...และคิดว่าข้าทำผิดต้องหนีจากเมืองน่านไปจริง ๆ"

    .....................สายตาของสายพิณมีแววความหวังพร้อมเอ่ยขึ้น

    .............................."ข้าอยากให้แผนการสำเร็จ..เจ้าจะได้จากไปไม่นาน"

    .....................เมืองฟังคำพูดของสายพิณแล้วคิดต่อว่า "แม้จะจับตัวกองกำลังที่แฝง

    ตัวไว้ได้..แต่กองกำลังใหญ่ก็จะยังคงอยู่เพื่อหาทางเข้ามาอีก...แต่ถ้าเขาไปเสียเลยโดยที่

    พวกมันพบว่าเขามีความผิด....มันก็จะคิดว่าเขาจะไม่กลับมาเมืองน่าน...ดังนั้นสิ่งที่สาย

    พิณคาดหวังเขาจึงไม่อธิบายให้แจ้งในสิ่งที่เขาคิด"..แต่เขาได้พูดเบี่ยงเบน

    ............................."ข้าก็คิดเช่นเจ้าเหมือนกัน" เมืองพูดพร้อมกับยกขวดแก้วขึ้น

    ดื่มเหล้าพร้อมกับส่งให้สายพิณดื่ม...พลางเอ่ยขึ้น

    .............................."เจ้าอย่าดื่มให้เมาอีกนะ"

    .....................สายพิณรับไว้ด้วยรอยยิ้มพร้อมเอ่ย

    .............................."เจ้าเบื่ออุ้มข้าแล้วหรือ"

    .............................."ไม่หรอก..แต่ข้าอยากคุยกับเจ้านาน ๆ"

    .....................สายพิณยิ้มอย่างเบิกบาน พร้อมกับดื่มเหล้าไปอึกใหญ่แล้วส่งกลับให้

    เมือง พลางเอ่ยตอบ

    .............................."ข้าก็เช่นกัน..เพราะข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะกลับมาหาข้าอีกเมื่อไร"

    .....................สายลมหนาวยามเย็นพัดผ่านมา ผมของเมืองและสายพิณปลิวไสว...

    พร้อมกับเสื้อผ้าที่ลู่ตามลม....ปลัดเมืองโอบกอดสายพิณไว้เพื่อบรรเทาความหนาวเย็นให้

    แก่สายพิณ........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2011
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................รุ่งเช้า ปลัดเมือง บุญแทน สาย และ มุก..ควบม้าโดยมีมุกนำหน้า..

    เพื่อพาปลัดเมืองไปที่แพที่จอดรออยู่ที่ริมแม่น้ำน่านหน้าบ้านของตน........โดยมีขุนทัพ

    ลุงชอบ ลุงใจ ลุงเงิน และลุงแก้ว จัดเตรียมของเดินทางไว้บนแพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว..และ

    ยืนรอกันอยู่ที่ริมน้ำน่านอันเป็นที่จอดแพ....

    .....................ระหว่างควบม้าเดินทาง สายได้ตะโกนขึ้นเพื่อให้เสียงดังกระจายไปทั่ว

    ตลอดทาง จนชาวบ้านแตกตื่นออกมาดู.....ด้วยจุดประสงค์ให้ได้ยินไปถึง"กองกำลังพม่า

    ที่สอดแนมแฝงตัวอยู่"

    ............................"เร็วพวกเรารับพาปลัดเมืองหนีเร็ว...ปลัดปักษ์กับพวก

    กำลังไล่ตามมา"

    .....................สิ้นคำของสาย..ก็จะมีเสียงปืนดังสนั่นถล่มตามหลังพวกของ

    เมืองทันที...โดยมีปลัดปักษ์เป็นผู้นำหน้าไล่ตามพร้อมกับกองกำลังตำรวจและเจ้า

    หน้าที่ฝั่งตะวันตก..ต่างก็ไล่ยิงปืนเพื่อให้เกิดเสียงดังกัมปนาทแต่ยิงเพื่อไม่ให้ถูก

    พวกที่กำลังหนี...และเจ้าหน้าที่ที่ไล่ติดตามก็ตะโกนเสียงดัง..เพื่อให้สอดคล้องกับ

    พฤติการณ์การไล่จับผู้หลบหนี

    ............................"ตามจับปลัดเมืองให้ได้ อย่าให้หนีออกนอกเมืองน่านเป็น

    อันขาด"

    .....................เสียงดังจากทั้งพวกที่พาหนีและพวกที่ไล่ยิงเพื่อตามจับ...ดังสนั่นไป

    ทั่วตลอดทาง...ทำให้กองกำลังพม่ากลุ่มหนึ่งที่เป็นบางส่วนที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน

    ฝั่งตะวันออก..ชักม้าจากที่ซ่อนไล่ตามและยิงใส่ปลัดเมืองทันที....

    .....................ปลัดปักษ์ได้ยินเสียงปืนอีกกลุ่มหนึ่งดังมาอีกทางหนึ่ง..ก็รู้ว่าแผนการ

    ของตนและปลัดเมืองที่วางไว้เริ่มได้ผลแล้ว...ปลัดปักษ์สั่งให้เจ้าหน้าที่ไล่ตามปลัดเมือง

    ต่อไป....ส่วนตนและพรรคพวกส่วนหนึ่งได้แยกออกไปตามเสียงปืนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไล่ยิง

    ปลัดเมือง....

    .....................ปลัดปักษ์เห็นกลุ่มคนแปลกหน้าไล่ยิงปลัดเมืองมาอีกทางหนึ่ง จึงยิง

    ปืนเข้าใส่ทันทีพวกที่ถูกกระสุนปืนล่วงจากม้าไปหลายคน...จนกองกำลังพม่ารู้ตัวควบม้า

    หนีไปอีกทางหนึ่ง....ปลัดปักษ์ไม่รอช้ารีบติตามไปอย่างกระชั้นชิด..พวกมันจึงรีบกระจาย

    กำลังแยกย้ายกันหลบหนีทันที..ปลัดปักษ์ตามทันเป็นบางคนก็พยายามจะจับเป็น...แต่เจ้า

    พม่าตัวแสบก็สู้จนสุดกำลัง ..ในที่สุดปลัดปักษ์ก็จำเป็นต้องฆ่ามันทิ้งแล้วรีบค้นหาพวกที่

    เหลือต่อไป.....

    .....................ฝ่ายปลัดเมืองควบม้ามาจนถึงทึ่หมายเห็นขุนทัพกับพวกรออยู่ที่ริมน้ำ

    ใกล้แพ...สายควบม้านำหน้าไปที่แพและกระโดดตัดเชือกที่ล่ามแพไว้ปล่อยแพลอยทันที

    ปลัดเมืองควบม้าบังคับสีนิลกระโจนจากริมตลิ่งพุ่งเข้าหาแพและดึงม้าหยุดบนแพพอดีใน

    ขณะที่แพกำลังลอยละลิ่วไหลตามน้ำอย่างเร็ว.....

    .....................ขุนทัพมองไปที่ลูกชายอย่างเศร้าสลด..ด้วยเสียใจที่ลูกต้องจาก

    ไปโดยเขาซึ่งเป็นพ่อไม่อาจช่วยเหลือปกป้องลูกชายของตนเองได้...เมืองมองมา

    ที่ขุนทัพเป็นครั้งสุดท้ายและตะโกนขึ้นอย่างดัง

    ..................................."พ่อ"..............................

    ...................เมืองหารู้ไม่ว่า การเห็นพ่อและได้เรียกคำว่าพ่อครั้งนี้ คือ

    ครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว..เขาจะไม่มีวันได้เรียก"พ่อ"ในขณะที่พ่อมีลม

    หายใจอีกเลย....

    ...................เมืองมองพวกลุง ๆและเพื่อนของเขาที่ยืนส่งที่ริมแม่น้ำ

    น่านด้วยความอาลัย...และหันกลับมามองเมืองน่านทั้งสองฝั่งอีกเป็นครั้ง

    สุดท้ายเป็นเวลานานด้วยใจที่สลดหดหู่....

    .......................บัดนี้ "แม่น้ำน่าน" ผู้ให้ชีวิตเมืองลูกชายของนางกำลังทำ

    หน้าที่ปกป้องคุ้มครองลูกของนางให้พ้นภัยครั้งนี้...แม่น้ำน่านจะไหลเคียงคู่กับแพ

    ของเมืองตลอดทางเพื่อให้ความอบอุ่นและคุ้มภัยแก่ลูกของนาง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2011
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................สายใจและสายพิณ ควบม้ามาดักรอตามที่เส้นทางที่แพต้องผ่าน..

    สายพิณรู้สึกใจหายและเศร้าสลดที่ คนที่นางรักและเป็น"วีรบุรุษในใจของนาง"กำลังจะ

    จากไป...นางเฝ้าดูแพที่กำลังลอยผ่านหน้าของนางไป...พร้อมกับสายลมหนาวที่พัด

    กรรโชกอย่างแรงถาโถมเข้าใส่....สายพิณหนาวสะท้านทั้งกายและใจ..สายใจเอามือ

    โอบที่ไหล่เพื่อปลอบโยนแต่ใจของนางก็รู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยที่คนที่ "นางรักและ

    ศรัทธา..คนที่เคยช่วยชีวิตนางกำลังจะจากไป"

    .....................สายพิณตะโกนอย่างดังฝ่าลมหนาวด้วยน้ำตาที่ไหลพรากอาบ

    แก้มด้วยหัวใจที่อาลัยอาวรณ์คนรักของนาง

    ............................"ปลัดเมือง..เจ้าต้องกลับมาหาข้านะ..ข้าจะรอเจ้า..เจ้า

    สัญญาแล้วนะว่าสะพานข้ามแม่น้ำน่านเสร็จเมื่อไรเจ้าจะพาข้าไป...ฮือ..ฮือ"

    .....................สายพิณพูดไม่จบนางก็ร่ำไห้...ทำให้สายใจต้องเอามือที่โอบ

    ไหล่อยู่บีบหัวไหล่ของน้องสาว ในขณะที่นางก็น้ำตารินไหลด้วยสงสารน้องสาว

    ของนางอย่างจับใจ......

    .....................ปลัดเมืองอยู่บนแพยืนดูสองพี่น้องด้วยความรันทดใจ และรำพึง

    รำพันอยู่ในใจว่า.."ข้าจะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้แก่เจ้าเลยสายพิณ"

    .....................แพค่อย ๆ ลอยไหลห่างออกไปจากสองพี่น้อง สายพิณเอามือพี่

    สาวออกจากไหล่...และควบม้าไปตามทางเลียบแม่น้ำน่านเพื่อตามแพไป...

    นางอยากจะมองคนรักของนางให้อยู่ในความทรงจำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจาก...

    .....................ปลัดเมืองโบกมือให้นางเพื่อ"เป็นการอำลาครั้งสุดท้าย" ในขณะ

    ที่แพก็ลอยละลิ่วตามน้ำจากนางออกไปไกลทุกที ๆ

    .....................ม้าของสายพิณหยุดอย่างสงบพร้อมกับเสียงสะอื้นของสาวน้อย

    ผู้น่ารักแสนสวย ผู้กำลังเสียใจเพราะคนรักจากไป...สายลมหนาวยังคงพัดผ่าน

    มาปะทะร่างกายของนางเป็นระยะ ๆ และมันได้พัดพาเอาความรักความภักดีของ

    นางที่มีให้ "เมือง มีสุข" พัดพาตามคนรักของนางไปทุก ๆที ที่คนรักของนางอยู่..



    .....................ถึงจะแสนไกล...ไกลถึงใต้หล้า...สุดขอบฟ้าแสนไกล............

    ..................ไกลเพียงดวงดาว...ฉันหรืออาทร...แม้จะร้อนดังตะวัน.............

    .....................กำลังใจ...ฉันยังคงมั่น...ใจฉันไม่เคยหวั่นต่อขวากหนาม.......

    ...................ขอให้เธอรักฉัน...เต็มดวงใจ...ถึงจะทุกข์เท่าไรจะสู้ทน...........

    .....................ดุจดั่งขุนเขา...หรือจะไปสน...ต่อลมฝนฟ้าดิน...................

    ...................ถึงจะแสนนาน...นานนับแรมปี...แต่ฉันนี้เฝ้าคอย..................

    .....................คอยวันคืนมา...มาเป็นคู่ใจ...เก็บรักไว้คงมั่น.....................

    ...................กาลเวลา...หรือจะมาเกี่ยว...ใจฉันยังเด็ดเดียวอยู่เสมอ............

    .....................ฉันยังซึ้งถึงวัน...ที่เธอกับฉัน...พร่ำรักรำพันเพียงเราสอง......

    ...................รักที่แสนหวาน...รักที่แสนหวาน...รักฉันนั้นเพื่อเธอ...............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2011
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................อธิบายเรื่องราวครับ................



    ....................ฤดูหนาวปลายปี พ.ศ.2461..เส้นทางที่ "เมือง มีสุข" เดินทาง

    ไปนั้น ..คือ แม่น้ำน่านตลอดสาย..และ.แม่น้ำเจ้าพระยา..และ..สถานที่ที่เขา

    ต้องอยู่อีกระยะหนึ่ง คือ วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า เมืองชัยนาท ซึ่งจะต้องพบกับ

    หลวงปู่ศุข โดย หลวงปู่ได้ทราบจากญาณวิถีของท่าน ว่า "เมือง มีสุข" คือ คนที่

    พระมหาอุปราชเอ่ยถึงกับท่านที่ว่า"หากเขาผ่านเคราะห์กรรมที่ชาวพม่าทำไว้ได้..

    เขาจะได้เป็นกษัตริย์พม่า"..ท่านจึงต้องแสดงธรรมให้แก่เขาและช่วยเหลือเขา.....

    เขาจึงเป็น"ลูกศิษย์ของหลวงปู่ศุขคนหนึ่ง"......และหลวงปู่ศุขเป็นคนอธิษฐานจิต

    ช่วยเขาให้ได้พบกับ กรมหลวงชุมพรให้ได้....แต่วาสนาของเขากับกรมหลวง

    ชุมพรไม่มีต่อกัน......ชีวิตเขาถูกชะตากรรมพาไปถึงเมืองสุราษฎร์ธานี..จึงได้พบ

    กับ "ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ" ที่ทำให้ชีวิตเขาสงบเยือกเย็นดุจจันทร์เพ็ญได้....ก่อนที่

    จะกลับมาสู่เมืองน่านอีกครั้งหนึ่ง.....

    ....................ในระหว่างทางที่แพล่องอยู่ลำน้ำน่าน..เขาได้ช่วยชีวิต"นกกา

    เผือกตัวหนึ่ง".....และเจ้านกตัวนี้เมื่อได้กลับชาติมาเกิดอยู่ในจังหวัดชัยนาทจะ

    เป็นผู้ที่ทำหน้าที่แทนเขาในปัจจุบันเริ่มตั้งแต่ฤดูหนาวปี 2546 เป็นต้นไป...

    ....................เรื่องเล่าที่โพสอยู่นี้ถูกกำหนด อยู่ที่ น่าน ชัยนาท สุราษฎร์ธานี

    และเป็นเรื่องอดีตของ น่าน ชัยนาท สุราษฎร์ธานี...และปัจจุบันของ น่าน ชัยนาท

    สุราษฎร์ธานี..ต่อไปถึง น่าน ชัยนาท สุราษฎร์ธานี ปี พ.ศ.2666

    ....................ผมพยายามตัดตอนจากหนังสือที่บันทึกไว้..ซึ่งเรื่องเล่าจะถูกเดิน

    เรื่องไปพร้อม ๆกัน...แต่เห็นว่า "เขียนไปทางโน้นที....เขียนมาทางนี้ที" ผู้อ่าน

    อาจ"งงงวย".....เลยตัดตอนเรื่องของ "เมือง มีสุข" ให้จบในเบื้องต้นก่อน...

    ....................ลำดับต่อไปผมจะตัดตอนไปเขียนเรื่องราวของ "ผู้หญิงจันทร์

    เพ็ญ"....ให้อ่านทางซีกของเมืองสุราษฎร์ธานี...ก็ต้องบอกกับท่านผู้อ่านที่ติดตาม

    อ่านว่า...."เรื่องที่ท่านไม่เคยรู้ไม่เคยได้ยิน" .......กำลังจะปรากฎขึ้นให้ท่านได้

    ตื่นเต้นอีกแล้ว

    ....................ความจริงเรื่องนี้มี "ตอนนำเรื่องอยู่ที่ถูกบันทึกไว้เป็นตอนแรก"..

    แต่ผมเห็น"หลวงปู่ศุข เป็นที่เคารพรักนับถือบูชาของคนทั่วไป" ผมจึงนำท่านมา

    เขียนเป็นตอนแรก ๆ......และเมื่อหลวงปู่พบกับ "เมือง มีสุข"..ท่านที่เคยได้ยินได้

    ฟังได้อ่านแต่เรื่องราวอภินิหารของท่าน วัตถุมงคลต่าง ๆมาจนเคยชินแล้ว......

    อาจไม่ได้พบเห็นอีก....... จะพบก็แต่"ธรรมของหลวงปู่ศุข"...ซึ่งทั้งประเทศ

    ไทยรับประกันได้เลยว่า"ไม่มีใครเขียนว่าหลวงปู่เคยแสดงธรรมที่ไหน"..."แสดง

    อะไร"ท่านจะพบที่กระทู้นี้เพียงที่เดียวครับ...แต่อดใจรอครับ

    ....................ลำดับต่อไปจะนำเสนอ"ตอนนำเรื่อง" ให้ได้อ่าน...เพื่อท่านผู้อ่าน

    จะได้เข้าใจในเรื่องเล่านี้ได้ดีครับ..........และก็จะไปเรื่องของ"ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ"

    ต่อไปครับ..........
     
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..ตอนนำเรื่อง "อนุสรณ์ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ"..


    ....................ภายในปี พ.ศ.2546 ได้มีผู้คนเดินทางไปในจังหวัดสุราษฎร์ธานี

    และบังเอิญได้เดินทางเข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง ชื่อ "วัดโนรีนราราม" เราไม่สามารถยืนยันได้

    ว่า "วัดนี้อยู่ที่ใด ตำบลใด อำเภอใด ของจังหวัด" ขอให้สถานที่นี้เป็น "ปริศนา" ให้ผู้อ่าน

    สืบหาและค้นหาด้วยตนเอง............

    ....................ภายในวัดดังกล่าว ณ บริเวณป่าช้าอันเป็นสถานที่เก็บศพและฝังศพของ

    คนตายมากมาย...มีทั้งศพคนไทยและคนจีนปะปนกันไป........."ศพของคนจีนจะทำเป็น

    ฮวงซุ้ยเป็นเนินดินก่อปูนอย่างที่เห็นทั่วไปตามสถานที่เก็บศพหลายแห่ง...."

    ....................แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่แปลกออกไปจากหลุมศพอื่น ๆ อยู่หลุมหนึ่ง..ที่

    ศพไม่ใช่คนจีน...แต่หลุมศพนั้นได้ก่อเนินดินบริเวณที่ฝังศพเป็นเนินสูงคล้วยฮวงซุ้ยของ

    คนจีน......มีกำแพงโค้งเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสูงเหนือเนินดินซึ่งทำด้วยหินอ่อนตั้งอยู่

    หน้าหลุมศพที่เป็นเนินดิน........ด้านหลังของหลุมศพเหนือจะมี"ต้นแอปเปิ้ลอยู่สองต้น"ที่

    โอบกิ่งกอดรัดกันเหมือน"หนุ่มสาวชายหญิงกำลังกอดกัน"......ต้นแอปเปิ้ลต้นหนึ่ง.."มีผล

    เป็นสีเหลืองทองดุจดวงจันทร์เพ็ญ"....ส่วนอีกต้นหนึ่ง"มีผลสีแดงเหมือนผลแอปเปิ้ลทั่วไป"....

    ....................."ต้นแอปเปิ้ล"...ต้นหนึ่งคือ.."ต้นแอปเปิ้ลต้นแรกที่ปลูกในประเทศ

    ไทย"......ส่วนอีกต้นหนึ่งถูกนำมาจากประเทศจีน...ต้นแอปเปิ้ลสองต้นนี้....ต้นไหน คือ

    "ต้นแอปเปิ้ลต้นแรกที่ปลูกในประเทศไทย"...ขอให้ติดตามอ่านดู......ต้นแอปเปิ้ลที่มีผลสี

    เหลืองดุจดวงจันทร์เพ็ญนั้น...กิ่งหนึ่งของต้นแอปเปิ้ลจะมี....."ต้นกล้วยไม้ดอกสีม่วง"

    เจาะไชม้วนตัว..โอบกอดรัดกิ่งต้นแอปเปิ้ลนั้นไว้....ผู้คนเรียกมันว่า "กล้วยไม้พันธุ์

    แคทรียา"..แต่ในปี พ.ศ.2462 มันถูกตั้งโดยคนสยามที่ค้นพบเป็นคนแรกเป็นชื่อ

    ภาษาสยามอีกชื่อหนึ่ง............ต้นแอปเปิ้ลผลสีแดงและต้นกล้วยไม้..มันเหมือนกับ

    แสดงออกด้วยการโอบกอดเหมือนกับการแสดงออกทางความรักแก่..... "ต้นแอปเปิ้ลที่มี

    ผลสีทองดุจดวงจันทร์"......"มันมีความหมายหรือเบื้องหลังอะไรอยู่หรือ"

    ....................บริเวณกำแพงหินอ่อนรูปจันทร์คริ่งเสี้ยวหน้าเนินหลุมศพ..มีภาพถ่าย

    ของสาวน้อย"ลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น" ขนาดกว้าง 5 นิ้ว ยาว 8 นิ้ว ลักษณะของสาว

    น้อยในรูปภาพนั้นอายุราว 16-17 ปี รูปร่างหน้าตาสวยน่ารักผิวพรรณดั่งสีทอง

    ของดวงจันทร์เพ็ญ...ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์และมีประกายแห่งความสงบเยือกเย็น

    ปรากฎอยู่...แม้แต่ภาพถ่ายยังสามารถให้ความเย็นตาเย็นใจแก่ผู้พบเห็นได้..หาก

    นางมีชีวิตอยู่จะเป็นเช่นใด........

    ....................ใต้ภาพนั้นมีตัวหนังสือเขียนระบุปีเกิดและปีตายของนางว่า

    "ชาตะ 2448 มรณะ 2468"..ถ้านางยังมีชิวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้(พ.ศ.2554)

    นางจะมีอายุ 106 ปี แต่ปรากฎว่า "นางได้เสียชีวิตไปแล้วเป็นระยะเวลาถึง 86 ปี

    ในขณะนั้นนางมีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น"

    ....................ใต้ตัวหนังสือปีเกิดและปีตายของนางถัดลงมามีตัวหนังสือเขียน

    ว่า "ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ" และมีบทกลอนหรือบทเพลงอยู่ข้างล่างบรรทัด

    ต่อมา...ซึ่งยากที่ผู้ใดจะคาดเดาทำนองของมัน...แต่บทเพลงนั้นมีความหมายลึก

    ซึ่งกินใจและสลดใจในทางความรัก..มันบ่งบอกเหมือนกับเป็นเวลาที่ "คนที่รักกัน

    ต้องจากกันและอีกฝ่ายได้เฝ้าคิดถึงโหยหาอย่างจับใจ..........เฝ้ารอคอยพรรณา

    จนสิ้นใจ"..เนื้อหาของบทเพลงหรือบทกลอนมีว่า




    ......................ทอดตาไปไกลสุดสายตา...หนทางข้างหน้า..ไร้เธอ..............

    ..........................จะอยู่ไปใยเล่าใจเออ...เมื่อสิ้นเธอไป..สิ้นใจ..................

    .....................ถึงคราตะวันลับหายไป...วันรุ่งขึ้นมาใหม่..เหมือนเดิม............

    ....................หากรักเราเช่นดั่งตะวันนะเธอ...ฉันกับเธอคงเจอ..รักเดิม.........

    .......................หากในโลกนี้ไม่มีเธอ...จะไม่ขอเจอะเจอ..ใครใคร..............

    .....................รักแรกล้นเต็มเปี่ยมล้นใจ...แม้นสิ้นชีพไป..ไม่ลืมเธอ.............




    .....................และใต้บทเพลงหรือบทกลอนดังกล่าวมีตัวหนังสือเขียนว่า

    ................................แด่...เมือง มีสุข จาก โนรี นรา.........................




    ......................ถัดมาทางขวามือบริเวณหน้ากำแพงหินอ่อนจันทร์เสี้ยวใกล้บทเพลง

    หรือบทกลอนดังกล่าว...จะมีรูปปั้นของผู้หญิงตามภาพถ่ายบนกำแพงหินอ่อนขนาด

    เท่ากับคนจริง...นั่งห้อยขาบนตอไม้"มือทั้งสองข้างถือขลุ่ยในลักษณะที่กำลังเป่า

    ขลุ่ยอยู่"...ใต้รูปปั้นนั้นมีตัวหนังสือเขียนว่า



    ........................."โนรี นรา ผู้เป่า เพลงเสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำ................

    ......................แต่เมื่อมีความรักทำให้เสียงขลุ่ยไร้ความทรงจำสิ้นไป............

    .........................มีแต่ความทรงจำให้แก่คนรักจึงได้แต่งบทเพลง...............

    .............................ความทรงจำของฉันเพื่อเธอไว้แด่คนรัก....................

    ........................และบทเพลงดังกล่าวได้ปลิดชีวิตของนางสิ้นไป................

    .........................ด้วยนางต้องการให้ผู้คนจดจำเพลงของนางไว้................

    ...................................เพื่อบอกแก่คนรักของนาง..............................




    .....................บทเพลงดังกล่าวไม่มีผู้ใดรู้ทำนองเพลงเมื่อได้อ่านมัน..แต่รู้สึกได้

    ว่า"มันลึกซึ้งเข้าไปในหัวใจของผู้ที่อ่าน" โดยเฉพาะท่อน"เมื่อสิ้นเธอไป..สิ้นใจ"

    และ"แม้นสิ้นชีพไป..ไม่ลืมเธอ"..........ด้วยตัวหนังสือดังกล่าวเหมือนกับจะบอกว่า

    "คนรักของนางเป็นดั่งลมหายใจของนาง....หากขาดไปก็สิ้นใจเหมือนร่างกาย

    ขาดลมหายใจ"

    ....................ผู้แต่งบทเพลงนี้เหมือนกับรู้ตัวว่า "ตัวเองกำลังจะตายจึงได้แต่งบท

    เพลงไว้แด่คนรักของนาง..บทเพลงดังกล่าวมีผู้สืบทอดทำนองของมันไว้ได้เพียง

    คนเดียว แต่ "นางผู้นี้..คือใคร"......



    ....................และในปี พ.ศ.2546 นั้นเอง...ก็มีผู้คนได้เดินทางไปจังหวัดน่าน และ

    พบเห็น"อนุสรณ์ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตจังหวัดน่าน"...มีตัวหนังสือเขียน

    เหมือนกับที่กำแพงหินอ่อนจันทร์เสี้ยว.....บริเวณหลุมศพที่วัดโนรีนราราม จังหวัด

    สุราษฎร์ธานีว่า....


    ........"ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ แด่..ปลัดเมือง มีสุข ผู้จากไป"......



    ....................และมี..ภาพวาดด้วยสีน้ำมันขนาดใหญ่เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ

    ถึง 18 ภาพ และ มีคันธนูขนาดใหญ่ของคนโบราณอยู่สองอันหันหน้าเข้าหากัน..

    เหมือนกับการประกาศให้รู้ว่า "เจ้าของคันธนูทั้งสองนั้นเคยต่อสู้กัน"...พร้อมกับมีลูก

    ธนูต่างชนิดกันประดับไว้ "ลูกธนูมีรอยคราบเลือดแห้งติดอยู่" พร้อมกับคำ

    บรรยายอยู่ใต้ลูกธนูมากมาย....

    ....................นอกจากนี้ยังมีแผนที่พิสดารอยู่แผ่นหนึ่งที่ระบุทิศใต้อยู่ด้านบน

    ของแผนที่ ซึ่งต่างจากแผนที่โดยทั่วไปที่ระบุทิศเหนืออยู่ด้านบนเสมอ......

    ....................เมื่อพิจารณาดูภาพต่าง ๆ ทั้ง 18 ภาพ จะพบเห็นอยู่ภาพหนึ่งซึ่ง

    ถ้าคนจังหวัดชัยนาทไปพบเห็นจะต้องตกตะลึง และ คาดไม่ถึงว่าจะมีภาพเช่นนี้

    ปรากฎอยู่ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน......

    ...................."ภาพนั้น คือ ภาพของ พระภิกษุชรารูปหนึ่งรูปร่างผอมสูงยืนเด่น

    เป็นสง่าพร้อมกับสายตาทอดมองลงต่ำด้วยแววตาที่เมตตาปราณีต่อผู้ที่อยู่เบื้อง

    หน้า...และที่เท้าของพระภิกษุรูปนั้นมีภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งคุกเข่า มือซ้าย

    และขวาแบจับที่เท้าซ้ายและขวาของพระภิกษุรูปนั้น...ศีรษะของชายผู้นั้นก้มลง..

    บริเวณหน้าผากแตะที่เท้าทั้งสองของพระภิกษุชรารูปนั้น อันเป็นกริยาของ ..

    "การกราบคารวะพระภิกษุรูปนั้นด้วยใจรักและเคารพอย่างสูงสุด"........

    ....................."พระภิกษุชรารูปนั้น" คนจังหวัดชัยนาทรู้จักท่านดีว่า ท่านคือ

    "หลวงปู่ศุขแห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า"..แต่ชายหนุ่มคนนั้นเขาคือใคร มีประวัติ

    ความเป็นมาอย่างไร ....ทำไมจึงมีภาพนี้เกิดขึ้นอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ได้ และ......

    "เมือง มีสุข คือ ใคร ทำไมจึงมีอนุสรณ์เกี่ยวกับ "ความทรงจำของฉันเพื่อเธอ" ถึง

    สองแห่งที่ระบุไว้ว่า เป็นการทำขึ้นเพื่อเขา.............

    .....................เรื่องราวทั้งหมดกำลังกระจ่าง.......โดย..."การเรียบเรียงผสม

    ผสาน"..ทำให้เป็น.."นิยาย"..ให้ท่านผู้อ่านได้ติดตามกันต่อไป.........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2011
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ...................ตอนที่ 23 กำเนิดขลุ่ยฟ้าผ่า....................


    ....................ณ เมืองปัตตานี ปี พ.ศ 2422 ชายหนุ่มลูกครึ่ง เชื้อสาย สยามกับมะลายู

    ชือ "มูซา" มีอายุ 25 ปี เขามีบิดาเป็นชาวมะลายู มีมารดาเป็นชาวสยาม..เขาประกอบอาชีพ

    ค้าขายผ้าอยู่ในเมืองปัตตานี และเร่ร่อนค้าขายผ้าไปทั่วดินแดนภาคใต้ของแผ่นดินสยาม..

    ซึ่งเป็นรัชสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2011
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................มูซาเป็นนักดนตรี "ขลุ่ย" เขาเป่าขลุ่ยไปตามบทเพลงของสยามและ

    มลายูที่เขาได้ยินได้ฟังมาได้ไพเราะจับใจ...และชำนาญการเป่าขลุ่ยมาก...ขลุ่ยของเขาที่

    ใช้เป่าอยู่เป็นขลุ่ยไม้ไผ่ธรรมดา................

    .....................ในปี พ.ศ.2422 ดังกล่าวนั้น ณ ค่ำคืนหนึ่ง..ได้เกิดฝนตกไปทั่วเมือง

    ปัตตานี พร้อมกับสายลมแรงพัดจนต้นไม้ใหญ่หัก.......

    .....................มีเพียงต้นไผ่เท่านั้นที่ลู่ไปตามกระแสลม และ ด้วยลำต้นที่

    กลมลื่นพร้อมปลายยอดที่อ่อนโยน..เมื่อลมพัดมาจึงโยนลู่ไปโยนลู่มา..ทำให้สาย

    ลมแรงที่มีกำลังมหาศาลไม่อาจทำอันตรายต่อต้นไผ่ได้....

    ....................."ด้วยภาพอันเป็นธรรมชาติของต้นไผ่เช่นนี้"..ทำให้เราสามารถ

    เกิดความคิดอันเป็น"หลักการในการปฏิบัติยามที่จะเกิดภยันตรายได้"..โดยตอนที่

    ผู้ที่มีอำนาจเหนือเราโหมกำลังคิดกำจัดเรา...หากเราลู่ไปลู่มา หรือ โยนไปโยนมา

    เพื่อหลบหลีกไม่ปะทะด้วย...หรือ อีกอย่างหนึ่งก็คือ.....ทำตัวให้อ่อนโยนเหมือน

    ต้นไผ่.."เราก็อาจมีชีวิตรอดปลอดภัยได้"........

    ....................."การปฏิบัติตามธรรมชาติของต้นไผ่ยามมีภัยจากลม"..อาจ

    เทียบเคียงได้กับ "การหลบหลีก หรือ การแบ่งรับแบ่งสู้".....

    .....................ต้นไผ่เมื่อลมแรงมาก็จะโยนปลายกิ่งไปมาตามสายลม..เพื่อ

    หลบหลีกกระแสลม หรือ โอนอ่อนผ่อนตามลู่ไปตามกระแสลม...แต่เมื่อลมแรงอ่อน

    หรือ หยุดพัดต้นไผ่มันก็จะเด้ง"กลับมาผงาดอยู่ที่เดิม"ของมัน...เหมือนกับการ

    ประกาศชัยชนะของมันต่อกระแสลมแรงนั้น......

    ......................"การหลบเลี่ยง" โอนอ่อนผ่อนตามความเห็นของผู้มีอำนาจหรือ

    กำลังเหนือเรา...ที่โหมกำลังกำจัดเรา.."มันก็คงทำให้เรากลับมาอยู่ที่เดิมได้เช่น

    เดียวกับต้นไผ่".......

    ......................ซึ่งผิดกับต้นไม้ใหญ่ที่ยืนปักหลักอย่างทรนงสู้กับสายลมแรงที่

    มีกำลังมหาศาลโดยไม่ยอมหลบหลีก หรือ โอนอ่อนผ่อนไปตามกระแสลมเช่นเดียว

    กับต้นไผ่......ในที่สุดมันก็ไม่อาจต้านแรงลมได้กิ่งก้านของมันจึงหัก..และวาระสุด

    ท้ายต้นของมันก็อาจถูกโค่นลงได้ด้วยกำลังแรงแห่งลม......

    .......................อาจเทียบเคียงได้กับ ......."ผู้ที่ถือทิฐิยึดถือความคิดและ

    อุดมการณ์ของตนเองฝ่ายเดียวโดยไม่ยอมฟังใคร"...เมื่อฝ่ายตรงข้ามมีกำลัง

    มากกว่า..."เขาย่อมกำจัดผู้นั้นเสีย"...เพราะไม่สามารถเข้ากับฝ่ายเขาได้....




    ....................ย้อนกลับมาที่เมืองปัตตานีต่อ...นอกจากเมืองปัตตานีจะเกิดสายลม

    แรงที่มากับสายฝนแล้ว..ท้องฟ้าทั่วเมืองปัตตานียังมี ปรากฎการณ์ ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง

    และฟ้าผ่าในเมืองปัตตานีหลายแห่ง เสียงของฟ้าผ่ามันจึงดังกัมปนาทไปทั่วทั้ง

    เมืองปัตตานี............
     
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ใกล้บ้านเรือนของมูซาที่เมืองปัตตานี..มีก่อไผ่อยู่ห่างจากบ้านของเขา

    ไปทางทิศใต้ประมาณ 50 เมตร..ในขณะที่ฝนตกฟ้าคะนองอยู่นี้ มูซาก็ได้ยินเสียงสายฟ้า

    ฟาดลงอย่างกัมปนาทจนบ้านที่เขาพักอยู่สั่นสะเทือน...โดยที่มาของเสียงนั้นอยู่บริเวณก่อ

    ไผ่ที่กล่าวถึง...และทันที่ที่สิ้นเสียงฟ้าผ่า..มูซามองไปตามเสียงก็เห็นเปลวไฟลุกขึ้นท่วม

    กอไผ่นั้นท่ามกลางสายฝน...โดยที่น้ำฝนนั้นมิอาจดับไฟนั้นได้ "เสมือนกับประกาศิต

    ของสายฟ้าซึ่งมากับน้ำฝน..เป็นผู้ก่อให้เกิดไฟนั้น...ไฟจึงเป็นไฟอันศักดิ์สิทธิ์ที่

    มาคู่กับสายฝน..น้ำฝนจึงไม่อาจดับไฟได้"

    ....................แสงไฟลุกขึ้นสูงเท่ากับความสูงของต้นไผ่ราวตึกสามชั้น..ทำให้ค่ำคืน

    นั้นสว่างลุกโชนด้วยแสงไฟตราบรุ่งเช้า..มันจึงดับไปพร้อมกับ สายฝน สายลม และสายฟ้า

    ....................แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องในยามเช้า...หมู่วิหคออกบินหากินส่งเสียง

    เจี๊ยวจ๊าว..มูซาเดินออกจากบ้านมุ่งตรงไปยังก่อไผ่ที่ถูกฟ้าผ่าจนเกิดไฟลุกเมื่อคืนนี้..เขา

    พบว่าต้นไผ่ที่รวมกันอยู่เป็นก่อส่วนใหญ่ถูกไฟไหม้แทบไม่เหลือซากไม้ไผ่.....

    ....................แต่ทันใดนั้นเอง..สายตาของมูซาก็ได้เหลือบไปเห็น.."ต้นไผ่ต้น

    หนึ่งที่มีสีดำสนิท"..........ลำต้นของมันมีขนาดใหญ่เพียงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง

    ประมาณ 1 นิ้วฟุตเศษ...ส่วนยอดต้นไผ่นั้นได้ถูกไฟไหม้และหักไปด้วยแรงฟ้าผ่า

    จึงทำให้ต้นไผ่นั้นเหลือแต่ตอสูงเพียง 1 เมตร..ซึ่งต่ำกว่าส่วนสูงของมูซา....

    ....................มูซาเดินเดินเข้าไปดูใกล้ ๆเพื่อสำรวจให้ชัดเจน...เขาแปลกใจมากที่ต้น

    ไผ่ต้นนี้ถูกฟ้าผ่าและไหม้ไฟ..แต่มันยังคงเป็นลำต้นอยู่เพียงต้นเดียวได้อย่างไร...ประการ

    สำคัญเขาเห็นผิวไม้ไผ่ซึ่งอยู่ด้านนอกเป็นสีดำสนิท..พร้อมเนื้อเยื่อไม้ไผ่ภายในกระบอกก็

    เป็นสีดำสนิทด้วยเช่นกัน...มันเหมือนกับว่าไม้ไผ่นั้น คือ "ต้นไผ่ดำ"......

    ....................ความดำของต้นไผ่ มูซาไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่า "มันเป็นสีดำ

    เพราะเกิดจากถูกไฟเผาไหม้ กรือ เกิดเพราะต้นไผ่ต้นนี้ คือ "ต้นไผ่ดำ"...มูซาไม่เคยเห็น

    ต้นไผ่ดำมาก่อนในชีวิต...และเขาไม่คิดว่า"ต้นไผ่ดำจะมีอยู่จริง"......

    ....................เขาตั้งข้อสังเกตว่า "หากความดำของต้นไผ่นี้เกิดจากการถูกเผาไหม้

    เนื้อเยื่อภายในกระบอกไม้ไผ่ที่ไม่ถูกเปลวไฟมันน่าจะเป็น"เนื้อเยื่อสีขาวเหลืองธรรมดาเช่น

    ต้นไผ่ทั่วไป"..........ดังนั้นเขาจึงใช้มีดที่เขาถือมาด้วยตอนออกจากบ้าน ตัดกกต้นไผ่นั้น

    ออกดู...ทันทีที่ไม้ไผ่ขาดจากต้น..เขาได้หยิบส่วนกกมาดูก็พบว่า "ผิวเนื้อเยื่อเป็นสีดำ"ทั้ง

    ที่ไม่ถูกไฟเผาไหม้.....มูซาแปลกใจถึงกับอุทาน..


    ......................"ต้นไผ่อะไรวะ..ผิวไม้กับเนื้อไม้เป็นสีดำ..ไม่เหมือนต้นอื่นเลย"



    .....................พูดจบเขาก็จับไม้ไผ่ลองเคาะดูด้วยมีด...เขารู้สึกว่า"เนื้อไม้และเยื่อ

    ไม้ภายในมีเสียงสั่นสะเทือนประสานเสียงกันเป็นคลื่น พร้อมกับเสียงที่ก้องกังวาน

    ใสออกมาจากลำไม้ไผ่ทางปากลำทั้งสองด้านตามเสียงเคาะด้วยความไพเราะ"

    เขาจึงอุทานขึ้นอีกครั้ง

    ..........................."เฮ้ย..ทำไมเสียงมันไพเราะเสนาะหูอย่างนี้"

    .....................ไม้ไผ่ดำลำนี้ ต้นของมันถูกสายฟ้าฟาดลงมาอย่างแรง..แต่มัน

    กลับสามารถยืนยงคงอยู่ได้.....แต่เนื้อไม้และเยื่อไม้ที่เป็นเส้น ๆเรียงตัวตามยาวที่

    อยู่ภายในถูกแรงสั่นสะเทือนจากสายฟ้าฟาด.....ทำให้เยื่อไม้ที่จับตัวกันยึดแน่น..

    เกิดการสั่นสะเทือนและดีดตัวออกจากกัน........แล้วมายึดจับกันอย่างหลวม ๆ ไม่

    เหนียวแน่นเหมือนก่อน..............

    .....................มูซาเกิดความรู้สึกอัศจรรย์ในไม้ไผ่ดำ........และเสียงอันไพเราะที่ดัง

    จากกระบอกไม้ไผ่ดำนั้น....ความคิดที่จะนำมันไปทำขลุ่ยเป่าจึงเกิดขึ้นทันที.....และ

    เขาเชื่อว่า "ขลุ่ยที่ทำจากไม้ไผ่ลำนี้จะต้องมีเสียงดังไพเราะอย่างแน่นอน"...

    .....................เขาจึงรีบนำไม้ไผ่ดังกล่าวกลับบ้านและนำขลุ่ยของเขาที่มีอยู่ออกมา

    เทียบวัดความยาว..แล้วตัดให้เสมอกัน พร้อมกับคำนวณเจาะรูตามที่ได้เรียนรู้การทำขลุ่ย

    มา...เพียงแค่ช่วงเวลาผ่านไปจนถึงบ่ายโมงของวันนั้น "มูชาก็ทำขลุ่ยเสร็จ" โดยไม่มี

    อาหารใด ๆตกถึงท้องตั้งแต่เช้าเลย.....

    .....................และแล้ว "ขลุ่ยไผ่ดำ" หรือ "ขลุ่ยฟ้าผ่า" ก็ได้ถูกมูซาทดลอง

    เป่าทันที...ปรากฎการณ์ประหลาดได้เกิดขึ้น "เสียงขลุ่ยที่เป่าออกมานั้น ดังก้อง

    กังวาน และมีเสียงประสานดุจระลอกคลื่นเสียงออกมาจากภายในขลุ่ยนั้น..มันดัง

    ราวกับมีขลุ่ยอยู่ 5 เลาถูกเป่าออกมาประสานเสียงกัน..ทำให้เกิดความไพเราะเร้า

    ใจและชวนฟังเป็นอย่างยิ่ง"....

    ....................สาเหตุที่ทำให้เกิดการประสานเสียงออกมาจากขลุ่ยเนื่องมา

    จาก"ลมเป่าได้ผ่านไปกระทบกับ เยื่อไม้ตรงช่องออกของลมขลุ่ยอันเป็นแหล่ง

    กำเนิดเสียง...และ..ได้สะท้อนกลับไปกระทบกับเยื่อไม้ที่เป็นเส้น ๆ ที่เกาะรวมตัว

    กันอย่างหลวม ๆ ทำให้เยื่อไม้นั้นสั่นสะเทือน..และ..ขับเสียงออกมาทางช่องรูโน๊ต

    ของขลุ่ยทั้งแปดช่อง...ซึ่งเป็นการระบายลมชั้นรอง จากแหล่งกำเนิดเสียงขลุ่ย.."

    จึงทำให้เกิดการประสานเสียงจากเยื่อไม้ภายในที่สั่นสะเทือนกระทบกัน กลมกลืน

    ออกมาเป็นเสียงเพลงขลุ่ยที่ไพเราะมาก..."เป็นขลุ่ยที่เป่าแล้วเสียงขลุ่ยไม่เหมือน

    ขลุ่ยทั่วไป"..........และเป็นขลุ่ยที่มีอยู่เพียงเลาเดียวในโลกนี้.."ขุล่ยฟ้าผ่า หรือ

    ขลุ่ยไผ่ดำ"

    .....................มูซาได้ฟังเสียงเพลงจากขลุ่ยฟ้าผ่าทำให้เขา"หลงใหลเสียงของมัน

    มาก"...เขาจึงไม่คิดที่จะเป่าขลุ่ยธรรมดาอันเดิมที่มีอยู่หลาย ๆ เลาต่อไปอีก..."อันเป็น

    ธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย..ซึ่งเมื่อมีของเปรียบเทียบกันแล้ว..และมีสิ่งที่ดี

    ที่สุดสำหรับเขา..เขาย่อมเลือกสิ่งนั้น..และ..ทิ้งของเดิมไป"

    .....................ชาวบ้านละแวกเดียวกับมูซา เมื่อได้ยินเสียงเพลงขลุ่ยฟ้าผ่าของเขา

    ต่างก็รู้สึกฉงน และ เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงขลุ่ยเลานั้น..และอยากให้มูซาเป่าให้ฟังอีก

    หลาย ๆ ครั้ง.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A311.jpg
      A311.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.9 KB
      เปิดดู:
      36
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...