พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................สายล้มตัวลงนอนบนแคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านนะจา..ซึ่งอยู่ไม่

    ไกลจากบ้านจาโอนัก..พลางนั่งคิดถึงสิ่งที่เขาควรทำในยามบ่ายขณะนี้ว่า "เขาจะตามหา

    กัมพูซึ่งเป็นโจทย์ข้อแรกของเขาต่อไปไหม...ในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้มีเรื่องให้ขบคิดยิ่ง

    กว่าการตามหากัมพู คือ พวกชาวเขาเผ่าต่าง ๆ มาร่วมกันฝึกปรืออาวุธที่เผ่ามูเซอเพราะ

    เหตุใด.....เขาน่าจะสังเกตการณ์เพื่อกลับไปรายงานขุนทัพ"

    ....................ในขณะที่สายกำลังขบคิดอยู่นี้ นะจาเองก็ลอบสังเกตสายอยู่อย่าง

    เงียบ ๆ พร้อมกับคิดถึงคำพูดของเมืองที่พูดคุยกับนางในคืนนั้นว่า.."ข้าเชื่อว่า

    ต้องมีสหายของข้าบางคนจะต้องขึ้นมาตามข้าถึงดอยแห่งนี้ หากเขามาเจ้าจง

    บอกว่า..ให้เขากลับไปรอที่บ้านขุนทัพพ่อข้า..และไม่ต้องบอกเขาว่าข้าไปไหน"

    .....................สายบอกกับนะจาว่า "เขามาจากหมู่บ้านริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก"

    ซึ่งถิ่นนั้น คือ ที่อยู่ของเมือง...หากสายเป็นพวกของเมือง..เขาน่าจะมาตามหาเมือง...แต่

    กลายเป็นตามหาคนที่ชื่อกัมพูซึ่งเป็นคนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน..ที่พลัดหลงกันตามที่

    ฟังคำบอกจากจาโอ...เช่นนี้เขาจะเป็นสหายของเมืองตามที่เมืองเคยบอกว่า ...จะมีสหาย

    ของเขาขึ้นมาตามเขาบนดอยแห่งนี้หรือ"

    .....................สายไม่รู้ว่า นะจานั้นเฝ้ามองสังเกตตนเองอยู่..คิดว่าตนจะไปที่ใดคง

    ไม่มีใครรู้ สายเดินลัดเลาะมุ่งหน้าตรงไปที่ลานฝึกที่ลีเจงกำลังฝึกปรือชาวเขา

    หลายเผ่าที่มารวมตัวกันอยู่...โดยสายยังคงผูกม้าไว้ที่ใต้ต้นไม้ข้างแคร่หน้าบ้าน

    นะจา......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2011
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................สายซุ่มดูเห็นลีเจง..สั่งให้ชาวเขากลุ่มหนึ่งนั่งเรียงแถวหน้ากระดาน

    ถือหน้าไม้ที่พร้อมจะยิง....โดยมีชาวเขาอีกแถวหนึ่งยืนถือคันธนูลักษณะพร้อมยิงเช่นกัน.

    ซึ่งยืนอยู่แถวด้านหลังของแถวที่ถือหน้าไม้.....

    .............................ลีเจงได้เอ่ยขึ้นว่า "หากข้าให้สัญญาณพวกเจ้าจงยิงหน้าไม้และ

    ธนูพร้อมกัน"

    ............................"เตรียมพร้อมระวัง...ยิง"

    ....................ลูกหน้าไม้พุ่งไข้างหน้าเป็นหน้ากระดานแนวต่ำ..ส่วนลูกธนูพุ่งขนานไป

    กับลูกหน้าไม้ในแนวสูง...ลูกหน้าไม้และลูกธนูปักเข้าเป้าเป็นแถวแนวต่ำและแนวสูง

    ............................ลีเจงเอ่ยต่อ.."พวกเจ้าเห็นไหมว่า..การยิงเป็นกลุ่มเรียงแถวเช่น

    นี้..โอกาสที่จะโดนเป้าเป็นไปได้สูงมากกว่าการยิงเดี่ยว....เพราะลูกที่ออกจากคันหน้าไม้

    คันเดียวหรือออกจากธนูคันเดียว..เป้าหมายเราอาจหลบหลีกได้.....การยิงเช่นนี้เป้าหมาย

    จะเบี่ยงหลบได้ยาก..เพราะแนวลูกหน้าไม้และลูกธนูเป็นแนวกว้าง"

    ....................ลีเจงชี้นิ้วไปที่เป้าหมายแล้วเอ่ยต่อ

    ............................"พวกเราจะยิงหน้าไม้และธนูเป็นชุด ๆอย่างนี้ติดต่อกัน...มันเป็น

    การยิงชนิดที่ทั้งรุกและตั้งรับได้ในคราวเดียวกัน"

    ....................ในขณะที่สายกำลังซุ่มดูอยู่นี้..ขบวนเดินทางของพ่อเฒ่าอองซอน

    โดยมีกาลูและมูเซออีกราว 10 คนกำลังเดินผ่านมา...กาลูเห็นบุรุษแปลกหน้าที่แต่งกายไม่

    ใช่แบบชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ซุ่มดูลีเจงที่ลานฝึกอยู่..จึงส่งสัญญาณบอกพ่อเฒ่าอองซอน

    ....................พ่อเฒ่าอองซอนจึงบอกให้กาลูกและพรรคพวกรีบไปจับตัวมาทันที....

    กาลูกับพวกจึงย่องเงียบเดินเข้าไปหา...แต่สายมีจิตวิญญาณของนักสู้ที่ระวังตัวอยู่แล้ว..

    เขาได้ยินเสียงย่องเดินเบาๆ จึงหันหลังกลับพบกาลูกับพวกกำลังมุ่งตรงมาที่ตนอย่าง

    ประสงค์ร้าย....สายรีบวิ่งออกจากที่ซ่อนแห่งนั้นทันที

    .............................กาลูตะโกนอย่างดัง "จับผู้บุกรุก"

    .....................เสียงของกาลูทำให้ชาวเขาที่อยู่บนลานฝึกและลีเจงต้องหยุดชะงักและ

    หันมาตามเสียง..เพื่อดูว่า"เกิดเหตุการณ์ใดขึ้น"

    .....................ลีเจงเห็นสายวิ่งหนีโดยมีกาลูกับพวกวิ่งไล่ตาม...ลีเจงยกคันธนูขึ้น

    เล็งไปที่ขาของสาย...แต่ยังไม่ทันปล่อยลูกธนู.....พรรคพวกของกาลูคนหนึ่งก็ถึง

    ตัวสาย

    .....................สายหยุดวิ่งทันทีพร้อมทั้งพลิกตัวกลับ.....สะบัดปลายเท้าซ้าย

    จระเข้ฟาดหางกลับหลังเข้าใส่ก้านคอมูเซอคนแรกอย่างจัง..จนมูเซอผู้โชคร้ายถึง

    กับสลบกลางอากาศ

    .....................เมื่อสายหยุดวิ่งเพื่อต่อสู้ พวกมูเซออีกกลุ่มหนึ่งก็มาถึง..กาลู

    ตะโกนสั่งอย่างดังด้วยความโกรธที่เห็นลูกน้องตนเสียท่านักสู้แปลกหน้า

    ............................"ล้อมจับมันไว้ให้ได้...อย่างให้มันหนี"

    .....................พรรคพวกทั้งหมดก็ตรงเจ้าตะลุมบอลสายทันที..โดยมีกาลูยืนคุ้มเชิง

    อยู่.....เป็นขณะเดียวกับที่ลีเจงและชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ที่กำลังฝึกอาวุธกันอยู่ก็วิ่งตรงเข้ามา

    ล้อมสายไว้ทันที

    .....................สายไม่มีทางหนี นอกจากจะต้องต่อสู้ให้หลุดพ้นให้ได้..เขาจึง

    ประเคนทั้งหมัดและเข่าเข้าใส่มูเซอที่มาประชิดติดตัวเขา....ทุกคนที่โดนหมัดของเขาถึง

    กับสะบัดหน้าหงายทันที..และเมื่อโดนเข่าของสายก็ถึงกับจุกงอ...คนแล้วคนเล่าไม่

    สามารถจะชกต่อยสายได้ถนัด..นอกจากปลายหมัดที่ทิ่มไปยังสายอย่างเฉียด ๆเท่านั้น..

    ด้วยความไวของสายตาเขาเป็นเยี่ยมจึงหลบหลีกต่อสู้ได้เป็นพัลวัน.....มูเซอ 10 คนทรุด

    หมอบด้วยฝีมือสายจนเหลือเพียงกำลู

    ....................ขณะที่ต่อสู้กันนี้ ลีเจงเพียงแต่เฝ้าดูเฉย ๆ ไม่ได้เข้าช่วยเหลือกาลูกับ

    พวกแต่อย่างใด..เขาชื่นชมฝีมือของบุรุษนักสู้แปลกหน้าคนนี้มากที่สามารถออก

    อาวุธด้วยมือเปล่าล้มคว่ำมูเซอคนของเขาได้อย่างรวดเร็ว....

    ....................การต่อสู้ของสายทำให้ลีเจงนึกถึงใครบางคน..ที่เคยเอ่ยกับเขา

    ว่า "ข้าคิดว่าการต่อสู้ด้วยชั้นเชิงฝีมือนั้นเป็นการแสดงออกที่ดีเลิศ..แต่ข้าศรัทธา

    การต่อสู้ด้วยปัญญามากกว่า"

    ....................คำพูดที่"ศรัทธาการต่อสู้ด้วยปัญญา"...ทำให้ผู้ที่เขานึกถึงเป็น

    คนที่"ขบคิดอะไรมากมาย" แต่เมื่อคนที่เขาคิดถึงนี้ถูกบีบให้ใช้ฝีมือ "เขาก็

    สามารถต่อสู้ได้อย่างดีเยี่ยมและเป็นเลิศเช่นกัน"

    ....................เมือง มีสุข คือ คนที่ลีเจงกำลังคิดถึงยามที่เห็นสายต่อสู้กับมูเซอ

    นี้...เพราะในสมัยเริ่มรู้จักกันครั้งแรก ๆ เมืองและลีเจงก็เคยต่อสู้กันอย่างที่กินกัน

    ไม่ลงมาแล้ว...แต่ลีเจงมาแพ้ทางปัญญาของเมืองขณะต่อสู้...เขาจึงเป็นรองเมือง

    เรื่องปัญญา...และนับถือในปัญญาและความเป็นนักคิดของเมือง

    ....................กาลูมีพละกำลังมาก...เขาตัวใหญ่กำยำกว่าสาย...กาลูเดินเข้าหา

    สายอย่างช้า ๆ ด้วยระวังตัว..เพราะเห็นฝีมือคู่ต่อสู้ที่ซัดคนของตนล่วงไม่เป็นท่ามาแล้ว..

    สายเริ่มอ่อนแรงลงด้วยสู้มาพักใหญ่..เมื่อเห็นกาลูเดินเข้ามาจึงกระโดดถีบเข้ากลางหน้าอก

    ทันที...แต่กาลูไม่ได้กระเด็นไปตามแรงถีบ...แต่เป็นสายต่างหากที่โดนแรงกระแทกจาก

    หน้าอกกระแทกส่งขาทั้งสองข้างกระเด็นไม่เป็นท่า...

    .....................เมือสายลุกขึ้นมาก็กระโดดเตะกาลูอีกหลายครั้ง..แต่กาลูไม่สะเทือน..

    สายพลาดท่าถูกกาลูจับขาซ้ายได้และทุบเข้าที่ต้นขาอย่างแรง...ทำเอาสายเริ่มเจ็บปวด

    และเขยกขาต่อสู้....ทำให้เขาเชื่องช้าลง...กาลูได้ทีปล่อยหมัดถูกบริเวณใบหน้าของสาย

    จนสะบัด..และชกตามลำตัวของสายอีกหลายหมัด.....สายถึงกับทรุดตัวลงนั่ง..แต่ด้วย

    ความเป็นนักสู้เขาก็รอจังหวะเข้าโต้กลับอยู่....

    .....................กาลูเริ่มประมาท..เมื่อเห็นสายทรุดลงจึงเดินอาจ ๆเข้าไปหวังจะทุบ

    สายให้หมอบลง...เป็นจังหวะเดียวกับที่สายสปริงตัวขึ้นและสะบัดแข็งเข้าที่ปลาย

    คางจุดสลบทันที...ทำให้กาลูล้มทั้งยืน..พร้อมกับสายก็ทรุดตัวลงด้วยความ

    เหนื่อยและอ่อนแรงทันที

    ......................พวกมูเซอและชาวเขาเผ่าอื่นที่ล้อมอยู่..จึงได้ยกคันธนูและ

    หน้าไม้เล็งเข้าใส่สาย..พร้อมกับเตรียมยิงหากสายยังต่อสู้อีก...โดยลีเจงไม่ได้

    ห้ามปรามแต่อย่างใด ...เพราะเขาเองก็ต้องการจับตัวนักสู้แปลกหน้าผู้นี้ไปสอบ

    ถามอะไรบางอย่าง....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2011
  3. Indesol

    Indesol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2011
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +30
    Wow! :cool::cool::cool:
     
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................สายถูกถอดเสื้อออกและมัดไว้กับหลักไม้กางเขนบนลานฝึก..ร่อง

    รอยเมื่อเขาถอดเสื้อออกก็เห็น "แผลเป็นที่ปรากฎอยู่บนร่างกายของเขาเต็มไป

    หมด"ซึ่งไม่รวมรอยแผลเป็นที่คิ้วซ้าย..บวกกับแผลใหม่ที่ถูกกาลูชกที่ใบหน้าจน

    ปูดบวมขณะนี้

    ....................ลีเจงคิดว่าถึง"จะซ้อมทรมานบุรุษผู้นี้อย่างไรก็เสียเปล่า..เพราะ

    เขาจะไม่ยอมพูดสิ่งใดออกมายามนี้"..โดยสังเกตดูบาดแผลเป็นที่ปรากฎบนร่าง

    กายของบุรุษผู้นี้..แสดงว่า...เขามีธาตุทรหดอดทนอยู่ในตัว

    ....................ลีเจงหลีกออกจากลานฝึกและเดินไปแจ้งให้พ่อเฒ่าอองซอนพ่อของตน

    ที่บ้าน...เพื่อปรึกษาหารือว่า "จะทำอย่างไรกับบุรุษผู้นี้"...เมื่อมาถึงบ้านก็พบพ่อเฒ่า

    กับนะจากำลังพูดคุยกันอยู่...โดยนะจานั้นสังเกตเห็นสายแอบเดินไปที่ลานฝึกแล้วแต่มิได้

    สะกดรอยตามไป..เพราะเห็นสายมีท่าทีระแวดระวังตัวอยู่...

    ....................นะจาบอกพ่อเฒ่าอองซอนและลีเจงว่าบุรุษผู้นี้ชื่อ"สาย" เป็นคนหมู่

    บ้านริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก...เขามาตามหากัมพูที่อยู่ฝั่งตะวันตกจนมาถึงดอยแห่งนี้...

    และนะจาเป็นคนพาสายมาที่เผ่ามูเซอนี้กับจาโอ

    ....................พ่อเฒ่าอองซอนกับลีเจง..ทราบเช่นนั้นก็ให้รู้สึกหวั่นใจ..ลีเจงจึง

    เอ่ยขึ้นเป็นเชิงตำหนินะจา..

    ............................"เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าที่เราฝึกกำลังคนเป็นความลับ..ซึ่ง

    เมืองเองก็ไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้..โดยเฉพาะคนฝั่งตะวันตก..เพราะอาจทำให้รู้ไปถึง

    เจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกได้..มันจะทำให้เขาเดือดร้อนที่ไม่รายงานเหตุเรื่องกองกำลัง

    พม่าบุกเข้ามาในแดนเมืองน่านฝั่งตะวันออก...ต่อเจ้าเมืองน่าน"

    .....................นะจะมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ได้เอ่ยแย้งไป

    ............................"ข้าเชื่อว่าเขาไม่เป็นภัยต่อเผ่าเรา..ข้ากำลังเฝ้าดูหลังจาก

    ที่เขาบอกว่ามาจากหมู่บ้านริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก...ข้าจึงคิดว่าเขาอาจเป็น

    สหายของเมือง....ซึ่งเมืองเคยบอกข้าว่า..จะมีสหายของเขามาตามเขาบนดอย

    แห่งนี้...และสั่งให้บอกสหายของเขาให้ไปรอเขาอยู่ที่บ้านขุนทัพ"

    ............................"อย่างไรเสีย..ข้าก็ยังไม่ไว้วางใจในพฤติกรรมของเขาที่

    มาแอบซุ่มดูการฝึก...โดยเฉพาะฝีมือของเขาสามารถล้มคนของเราได้เป็นสิบภาย

    ในไม่กี่อึดใจ...แม้แต่กาลูยังเสียท่าเขา"

    ............................"แล้วเจ้าคิดอย่างไร" พ่อเฒ่าอองซอนเอ่ยแทรก

    ............................"ข้าคิดว่า..หากไม่เป็นอย่างที่นะจาคาดไว้..คือ เขาไม่ใช่

    สหายของเมือง...ข้าจะไม่ปล่อยให้เขากลับไปแจ้งข่าวเรื่องการฝึกชาวเขาของเรา

    แก่ผู้ใด"

    ............................."หมายถึงเจ้าจะฆ่าเขาหรือ"....นะจาแปลคำของลีเจง

    .....................ลีเจงพยักหน้าตอบรับ..นะจาจึงได้แย้งขึ้นทันที

    ............................."ไม่ได้นะ..สายเป็นแขกของข้าที่ข้าชวนเขามา และจาโอ

    ก็คงชอบเขาอยู่...นางไม่ปล่อยให้เจ้าทำเช่นนั้นแน่"

    ............................."แล้วตอนนี้จาโออยู่ไหน"

    ............................."นางไปหาสายที่ลานฝึกแล้ว"





    ....................บนลานฝึกที่สายถูกมัดอยู่ที่ไม้กางเขน..จาโอเดินมาหาสายเอามือ

    ลูบคลำตรงรอยปูดบวมที่ใบหน้าพลางเอ่ยขึ้น

    .............................."สายเจ้าเป็นเช่นไร เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า"

    ....................กาลูซึ่งเฝ้าดูอยู่ใกล้ ๆ กับพรรคพวกได้เอ่ยเป็นเชิงตะคอกขึ้นทันที

    .............................."จาโอเจ้าควรไปให้ห่างมัน..เพราะข้ามีอะไรจะต้องซัก

    ถามมันอยู่"

    .............................."ไม่...เจ้าควรแก้มัดเขาออกเดี๋ยวนี้..เพราะข้ากับนะจา

    เป็นคนพาเขามาบนดอยแห่งนี้" จาโอกล่าวเสียงดังอย่างไม่พอใจกาลู

    .............................."นะจาหรือ" กาลูทวนคำอย่างเกรงใจคนที่ตนหลังรักอยู่

    .............................."แล้วพวกเจ้าพามันมาที่เผ่าของเราทำไม เจ้าไม่รู้หรือ"

    กาลูตำหนิพร้อมเอ่ยคำถามเป็นสัญญาณที่รู้กัน

    .............................."ข้ารู้ แต่ข้ากับนะจาเชื่อใจเขา..เขามาตามหาเพื่อน

    ของเขา"

    .............................."ตามหาเพื่อน... กับพฤติกรรมที่มาซุ่มดูพวกเราอย่าง

    ลับ ๆล่อ ๆนี่นะหรือ"

    .............................."อย่างไรก็ช่าง เจ้าต้องแก้มัดเขาเดี๋ยวนี้..ไม่เช่นนั้นข้า

    จะไปตามนะจามาแก้มัดให้เขาเอง"

    .....................กาลูนิ่งเงียบไม่รู้จะตัดสินใจเช่นไร...พอดีลีเจงกับนะจาก็มาถึง

    ลีเจงจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"กาลู..เจ้าแก้มัดเขาออกไป...แล้วให้จาโอไปรักษาบาด

    แผลเขาก่อน"

    .....................กาลูจึงสั่งพรรคพวกให้แก้มัดสายทันที...ด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ

    เท่าใดนัก..ด้วยเจ็บแค้นสายอยู่ลึก ๆ ที่ล้มคว่ำพรรคพวกเขา.....และตัวเขาลง

    อย่างไม่เป็นท่า....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2011
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ที่บ้านของจาโอ... จาโอนั่งเช็ดแผลและทายาทให้สายและเอ่ยขึ้น

    ............................."สาย....เจ้าไปซุ่มดูพวกเขาทำไม"

    ............................."ข้าอยากรู้ว่า......ทำไมชาวเขาหลายเผ่าจึงมาร่วมกันฝึก

    อาวุธอยู่ที่นี่"

    ............................."เจ้าอย่ารู้เลย..มันมีความจำเป็นบางอย่างที่บอกเจ้าไม่ได้"

    .....................สายสงสัยในสิ่งที่จาโอพูด..แต่ความสงสัยนั้นตนไม่ใส่ใจเท่าใดนัก...

    ในเมื่อตอนนี้เขาพอใจกับการที่จาโอดูแลเอาใจใส่ต่อเขา...ซึ่งไม่เคยมีหญิงใดทำให้เขา

    เช่นนี้...สายไม่เคยได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงคนใด....เนื่องจากเขาและพรรคพวกมีงานต้องทำ

    มาก..และด้วยความเป็นนักบู๊ก็ไม่คิดจะสนใจหญิงใด

    ............................"จาโอ......" สายเรียกชื่อจาโออย่างเผ่วเบา..จนจาโอหยุด

    ทายาเงยหน้ามองสายเพื่อฟังความต่อ

    ............................"เจ้าเคยทำอย่างนี้กับใครบ้าง"

    .....................จาโอก้มหน้าแล้วยิ้มอย่างเขินอาย..พร้อมกับส่ายหน้าอย่างช้า ๆ ..ทำ

    ให้สายถึงกับยิ้มและหัวร่ออย่างเป็นปลื้มกับสิ่งที่รู้..พลางเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี

    ............................"ถ้าเช่นนั้น..เจ้าอย่าทำให้ใครอีกได้ไหม"

    .....................จาโอยังคงก้มหน้ายิ้มต่อ..ด้วยรู้สึกว่า "สายกำลังมีใจชอบพอนาง" แต่

    ไม่ตอบคำถามสาย

    .....................สายได้แต่จ้องมองจาโอที่กำลังทายาทและทำแผลให้พร้อมกับยิ้ม

    อย่างมีความสุข จนจาโอต้องเอ่ยปาก

    ............................"เจ้าจะมองข้าอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไร"

    ............................"นานจนกว่า..เจ้าจะบอกรักข้า" สายพูดปนทำหน้าทะเล้น

    ............................"บ้า"...จาโอตะคอกกลับพร้อมกับทุบสายที่ต้นแขนหนึ่งที...จน

    สายร้องโอ้ยออกมา....แล้วจาโอก็วิ่งออกจากบ้านทันที..พร้อมกับยิ้มให้กับตนเองอย่าง

    เขินอายโดยไม่ให้สายเห็น....และปล่อยให่สายอยู่ในบ้านคนเดียว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................จาโอมาที่บ้านของนะจา และปรึกษากับนะจาเรื่องของสาย

    ............................"ตกลงเราจะให้เขาพักที่เผ่าของเราก่อนใช่ไหมนะจา"

    ............................"คงเป็นอย่างนั้น..เจ้าไม่ชอบรึ" นะจาถามพร้อมยั่วเพื่อนด้วย

    รู้ว่าสายมีทีท่ารักชอบจาโอ..เช่นเดียวกับจาโอก็มีใจให้สาย

    .....................จาโอยิ้มอย่างเบิกบานเป็นการแสดงการตอบรับแล้วจึงเอ่ยต่อ

    ............................"ข้าไม่เคยเห็นชายใดมีแผลเป็นตามร่างกายต้องมากมายเช่น

    สายมาก่อนเลย"

    ............................"เพราะแผลเป็นของเขานี่แหละ..ทำให้ลีเจงสงสัยในตัวเขา

    มาก"

    ............................"สงสัยอย่างไร"

    ............................"สงสัยว่า..เขาจะไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา"

    ............................"ทำไม"

    ............................"เพราะลีเจงเห็นเขาต่อสู้ด้วยฝีมือฉกาจล้มกาลูกับพรรคพวก

    ได้..พี่ข้าจึงเชื่อว่า เขาน่าจะเป็นนักสู้ที่ถูกฝึกมาอย่างดี...ลีเจงคิดว่า...หากเขาเป็นเจ้า

    หน้าที่ฝั่งตะวันตกหรือคนมีฝีมือกลุ่มอื่น...ลีเจงจะฆ่าเขา..เพื่อไม่ให้เขานำเรื่องการฝึก

    อาวุธของพวกเราไปบอกใคร"

    .....................จาโอได้ยินนะจาเอ่ยถึงความคิดของลีเจงเช่นนั้นถึงกับหน้าซีดทันที..

    แล้วจึงเอ่ยขึ้น

    ............................."แล้วเจ้าบอกพี่ของเจ้าไปว่าอย่างไร"

    ............................."ข้าบอกลีเจงว่า..ข้ากับเจ้าเป็นคนพาสายมา..เขาเป็นแขกของ

    เรา..ข้ากับเจ้าไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้นแน่"

    .....................จาโอโล่งใจขึ้น..แล้วเอ่ยต่อ

    .............................."ข้าคิดว่าจะให้สายพักรักษาบาดแผลให้หายก่อน แล้วจึงบอก

    ให้เขากลับไป"

    .............................."ไม่ได้นะจาโอ..เพราะข้าต้องสอบถามให้ได้ความชัดเจนก่อน

    ว่า....สายเป็นใครมาจากไหนให้แน่นอน...เพื่อประมวลให้ได้ว่าเขาไม่เป็นภัยต่อเมือง...

    และเผ่าของเรา...เพื่อแจ้งให้ลีเจงทราบ.....ไม่เช่นนั้นลีเจงแม้จะไม่ฆ่าเขาก็คงไม่ปล่อย

    เขาไปจากเผ่าเรา......นอกจากเมืองจะมานำพาพวกเราไปขับไล่กองกำลังพม่าออกไป

    ก่อน..และเมื่อเขาปรึกษากับเมืองแล้ว..คงปล่อยสายกลับไปได้"

    ....................จาโอได้ยินเช่นนั้นก็ให้รู้สึกดีใจส่วนหนึ่ง...ซึ่งคนที่นางมีใจให้จะ

    อยู่กับนางอีกต่อไปแม้เพียงชั่วระยะหนึ่งก็ตาม....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 108188752.jpg
      108188752.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.7 KB
      เปิดดู:
      36
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2011
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เช้าวันรุ่งขึ้น สายประคองตัวเองออกมาจากที่พัก ..ขณะนั้นจา

    โอออกไปตักน้ำกับนะจาที่ลำห้วย....สายมองไปยังทุ่งฝิ่นและทิวทัศน์บนดอย...เขารู้สึก

    ว่า......"มันสวยงามสดชื่นภายในจิตใจอย่างมาก" มันเป็นธรรมชาติที่ล้ำค่าซึ่งหาซื้อจาก

    ที่ใดไม่ได้....เขาอยากจะอยู่ที่นี่นาน ๆ โดยเฉพาะการได้อยู่ใกล้ชิดกับจาโอ...ทำให้เขา

    อบอุ่นใจอย่างประหลาด....อาจจะเป็นเพราะการปรนนิบัติที่จาโอมีต่อเขา.."ทำให้เขา

    เริ่มปักใจที่จะมอบรักให้นาง"

    ....................แต่เมื่อคำนึงถึงเรื่องราวที่ปลัดเมืองสหายของเขากำลังประสบ...และ

    เรื่องราวอีกมากมายที่ขุนทัพผู้ที่ตนรักและเคารพในฐานะเจ้านายและสหายของพ่อตนกำลัง

    ประสบอยู่.....เขาเองไม่อาจนิ่งนอนใจได้..ข้อสำคัญหน้าที่ของเขาคือ ตามหากัมพูขณะ

    นี้......แต่เมื่อพบเหตุการณ์ที่เหล่าพวกชาวเขากำลังฝึกปรืออาวุธกันอยู่...เขาเองก็นิ่งนอน

    ใจไม่ได้ที่จะต้องสืบให้รูว่า "พวกชาวเขาเผ่าต่าง ๆกำลังเตรียมการทำอะไรกัน"

    ....................สายสลัดความคิดพร้อมกับนำร่างที่เพิ่งทุเลาจากการบอบช้ำ..เดินไป

    ที่ม้าของตนที่ยังผูกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านนะจา

    ....................สายมองขึ้นไปบนบ้านของนะจาก็พบ..สายตาของลีเจงกำลังจ้องมองดู

    เขาด้วยความสงสัยอย่างสงบเรียบเฉย...สายสบตากับลีเจงแล้วเอ่ยทักทายขึ้น

    ............................"เจ้าคือลีเจงพี่ของนะจาหรือ"

    ....................ลีเจงพยักหน้าแทนการตอบรับ....สายจึงเอ่ยต่อ

    ............................"ข้าขอบใจ..ที่เจ้าช่วยให้คนแก้มัดข้า...แต่ข้าเองก็มีเรื่องข้อง

    ใจอยากถามเจ้า"

    ....................ลีเจงได้ฟังดังนั้น ..จึงเดินมาที่ชานเรือนใกล้บันไดเพื่อให้ใกล้สายมาก

    ขึ้น..แล้วจึงเอ่ยโต้กลับอย่างราบเรียบ

    ............................"ข้าก็มีเรื่องข้องใจอยากถามเจ้าเช่นกัน"

    ............................"งั้นเชิญ..เจ้าถามข้าได้" สายเปิดโอกาสให้ลีเจงถามก่อน

    ............................"ข้ารู้สึกแปลกใจที่เจ้ามีวิชาการต่อสู้ที่คล่องแคล่วว่องไวเกิน

    กว่าคนธรรมดา....แสดงถึงเจ้าจะต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี...นอกจากนี้บาดแผลบน

    ร่างกายของเจ้าก็ทำให้รู้ว่าเจ้าผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชน...ข้าจึงอยาก

    ถามเจ้าว่า...เจ้าเป็นใครมาจากไหนและมาทำอะไรที่บนดอยแห่งนี้"

    .....................สายจ้องตากับลีเจงก็ให้รู้สึกว่า..ลีเจงกำลังจ้องจับผิดคำพูดตนอยู่..จึง

    ได้เอ่ยเบี่ยงเบน

    ............................"ข้าก็คือคนธรรมดาคนหนึ่ง...แต่ข้าและสหายข้าเคยมีเรื่อง

    ราวทะเลาะชกต่อยและใช้อาวุธทำร้ายกันกับพวกนักเลงบ่อยครั้ง...บาดแผลเป็น..จึงติดอยู่

    ที่ตัวข้า"

    ............................"เจ้ายังตอบคำถามข้าไม่หมด" ลีเจงทวงคำตอบ

    ............................"ข้าอยู่ลุ่มแม่น้ำน่าน และมาตามหาสหายข้าที่พลัดหลงกัน"

    ............................"เจ้าพลัดหลงกับสหายเจ้าที่ใด"

    ............................"ชายป่าใกล้เขตพรมแดนเมืองน่านฝั่งตะวันออกกับเมืองลาว"

    ............................"แล้วเจ้ารู้ไหมว่า...บนดอยแห่งนี้ไกลจากพรมแดนเท่าไร"

    ............................"ไม่ต่ำกว่า 70 กิโลเมตร"

    ............................"แล้วเจ้าจะให้ข้าเชื่อเจ้าได้อย่างไรว่า...เพื่อนเจ้าพลัดหลงกับ

    เจ้ามาถึงกว่า 70 กิโลเมตร"

    ....................สายเจอคำพูดด้วยเหตุผลของลีเจงถึงกับนิ่ง..เมื่อลีเจงเห็นสายเช่น

    นั้น..จึงเริ่มลุกต่อ

    ............................"เจ้าบอกข้ามาตามตรงดีกว่า..เพราะข้าเองก็ชื่นชมฝีมือและใจ

    ที่เป็นนักสู้ของเจ้าอยู่....ไม่อยากคิดเป็นศัตรูกับเจ้า"

    ....................สายไม่ตอบคำถามของลีเจง...แต่ได้จ้องตาของลีเจงและเดินขึ้นบันได

    บ้านไปหาอย่างช้า ๆ พลางเอ่ยขึ้น

    ............................"ข้าเองก็ชื่นชมในน้ำใจของเจ้า..และการแสดงออกถึงการเป็นผู้

    นำที่ทรงอำนาจ..ข้าเองก็ไม่อยากเป็นศัตรูของเจ้า...แต่ลูกผู้ชายมีหน้าที่รับผิดชอบ...บาง

    ครั้งก็ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาง่าย ๆ..เมื่อยังดูฝ่ายตรงข้ามไม่ออก"

    ............................"เจ้าพูดได้ดีมาก...ข้าคิดไว้ไม่ผิดว่า..เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา..ถ้า

    เจ้าไม่รังเกลียดที่จะร่ำสุรากับข้า..ก็เชิญเข้ามาในบ้านก่อน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2011
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ลีเจงเดินนำสายเข้าไปในบ้านและนั่งที่เก้าอี้ ..โดยบนโต๊ะมีไหสุรา

    ตั้งไว้อยู่แล้ว..พร้อมกับส่งไหสุราให้กับสายทันทีที่นั่งลง

    ....................สายระแวงอยู่เล็กน้อยว่า "ลีเจงอาจให้เขาดื่มสุราเพื่อทดสอบอะไร

    บางอย่าง" สายจึงยกไหขึ้นมาดื่มทันทีโดยไม่ได้แสดงท่าทีหวาดระแวงลีเจง.....ทำให้ลี

    เจงรู้สึกพอใจจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"เจ้าดื่มเหล้าข้าโดยมิได้หวาดระแวง แสดงว่าเจ้าดูข้าซึ่งเป็น

    ฝ่ายตรงข้ามออกแล้วหรือ" ลีเจงยิงคำถามเพื่อมัดคำพูดของสายที่พูดไว้เมื่อกี้นี้

    ............................"ยัง"

    ............................"เพราะอะไร"

    ............................"เพราะข้ายังไม่แน่ใจว่า..เจ้าคือศัตรูหรือมิตรของข้า"

    .....................ขณะที่ลีเจงกับสายกำลังพูดคุยกันอยู่นี้...จาโอและนะจาได้วิ่งขึ้นมา

    บนบ้าน..แล้วตรงเข้ามาหาทั้งคู่ทันทีพลางเอ่ยขึ้น

    ............................"ลีเจง..เจ้ากำลังทำอะไรอยู่" นะจาเอ่ยอย่างร้อนรนด้วยระแวง

    ว่าพี่ชายจะทำร้ายสาย

    .....................ลีเจงไม่ตอบ จาโอจึงเอ่ยกับสายทำนองห่วงใย

    ............................."สาย..ข้าบอกให้เจ้าอยู่แต่ในบ้านไง...ทำไมเจ้าจึงออกมา"

    ............................."ข้าอยากดูความสวยงามบนดอยยามเช้า และสูดอากาศ

    บริสุทธิ์..แล้วอยากรู้ว่าม้าของข้ามันอยู่ดีหรือเปล่า"

    ............................."ข้าว่าเจ้าควรกลับบ้านได้แล้ว" จาโอเร่งสายด้วยเข้าใจว่า

    ลีเจงอาจมีแผนการณ์กำจัดสาย...เพราะความคิดของลีเจงไม่ต้องการให้สายลงไปจาก

    ดอยนี้

    .....................สายสบตากับลีเจงแล้วจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมกับมองสำรวจไปทั่ว

    ภายในบ้าน...และสายก็ต้องสดุดกับบางสิ่งบางอย่าง...ทำให้เขาจ้องมองมันและ

    เดินเข้าไปหาอย่างช้า ๆ

    .....................สิ่งที่อยู่ต่อหน้าสายขณะนี้ คือ "นกเหยี่ยวตัวหนึ่งที่ถูกสต๊าปไว้

    กับกิ่งของท่อนไม้ที่ถูกตัดแล้วนำมาตั้งประดับโชว์ไว้"..........โดยเหยี่ยวตัวนั้น

    มี"ลูกธนูของใครคนหนึ่งเสียบปักอยู่กลางอกของเหยี่ยวจนทะลุ"

    .....................อากัปกิริยาของสายทำให้ลีเจง นะจาและจาโอ ถึงกับหยุดมอง

    ตามอย่างสนใจ..และสงสัยในพฤติการณ์ของสาย

    .....................สายขยับเข้าไปใกล้ลูกธนูดอกนั้นแล้ว "เอามือลูบคลำอย่างรู้จัก

    มันอย่างดี..และรู้ดีว่าใคร คือ "เจ้าของลูกธนูดอกนี้".."

    .....................สายหันกลับมาหาลีเจง นะจาและจาโอ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง

    ............................"เจ้าของลูกธนูดอกนี้ เกี่ยวข้องอย่างไรกับพวกเจ้า..พวก

    เจ้าถึงเก็บลูกธนูและนกเหยี่ยวตัวนี้ไว้"

    ......................ลีเจงหันมาสบตากับนะจาและจาโอ พร้อมกับนิ่งเงียบเพื่อฟัง

    ความต่อ

    ............................"ข้าไม่รู้หรอกว่า..เจ้าของลูกธนูดอกนี้สอยเหยี่ยวตัวนี้ลง

    มาได้อย่างไร...ทั้งที่เขายิงลูกธนูไม่เคยเข้าเป้ามาก่อนเลย...ข้ารู้แต่เพียงว่า..เจ้า

    ของลูกธนูดอกนี้เป็นคนฉลาดเจ้าปัญญา กล้าหาญและโลดโผนบ้าบิ่น..ทั้งยังเป็น

    คนทรนงตน...แต่สิ่งที่เป็นเสน่ห์สำหรับเขาคือ ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีย์ และชอบ

    สนุกสนาน..โดยเฉพาะเหล้าที่อยู่ในขวดแก้วทรงมะม่วงที่เขาดื่มแทนน้ำ"

    ....................สายพูดมาถึงจุดนี้ ลีเจง นะจาและจาโอ .... ถึงกับแสดงความ

    ตื่นเต้น ดีใจที่บุรุษที่อยู่ต่อหน้าได้พูดถึงลักษณะของสหายเขาอย่างถูกต้อง ........

    ลีเจงจึงเอ่ยตอบ

    ..........................."เจ้าของลูกธนูดอกนั้น คือ สหายของข้าเอง เขามาพบข้า

    และไปมาที่เผ่านี้ตั้งแต่เขาอายุเพียง 13 ปี"

    ....................คำพูดของลีเจง ทำให้สายถึงกับนิ่งอึ้ง ..เขาคิดไม่ถึงเลยว่า

    "เมือง มีสุข จะมาได้ไกลถึงเพียงนี้...เมืองไม่เคยเล่าให้เขาและพรรคพวกฟังมา

    ก่อนเลยว่า..... เมืองเคยมาเยือนยังเผ่ามูเซอบนดอยแห่งนี้"

    .....................ลูกธนูที่เสียบอยู่กลางอกของนกเหยี่ยวตัวนั้น..เกิดจากการที่เมืองใช้

    ธนูยิงในแบบที่เขาเรียนรู้มาจากการยิงธนูของเฮียงคี้ที่เคยยิงอีกาขณะบินวนบนอากาศจน

    ล่วงลงมา.....และเขาได้ยิงแสดงให้ลีเจงดูถึงความก้าวหน้าในการใช้ธนูของเขา...ในขณะ

    ที่เหยี่ยวตัวนั้นกำลังพุ่งถลาเพื่อจะโฉบนกน้อยตัวหนึ่งบนดอยแห่งนี้....เมืองได้ยิงลูกธนู

    สกัดหน้าของเหยี่ยวตัวนั้น..เป็นขณะที่เหยี่ยวตัวนั้นพุ่งเข้ามาถูกลูกธนูอย่างจังจนล่วงหล่น

    มา...และลีเจงได้ตามไปเก็บเหยี่ยวที่ธนูปักเสียบอกอยู่....มาสต๊าปไว้เพื่อเป็นการรำลึกถึง

    เมืองสหายของเขา

    ....................และแล้วลีเจงก็เล่าเรื่องต่าง ๆที่เมืองไปมาหาสู่กับชาวเขาเผ่ามูเซอบน

    ดอยแห่งนี้..และการที่เมืองมาขอร้องให้พ่อเฒ่าอองซอนและเขาช่วยเหลือโดยไปติดต่อ

    ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ให้มารวมกำลังกันเพื่อขับไล่กองกำลังพม่าออกจากแผ่นดินน่าน...โดย

    ไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกรู้....แต่เพราะลีเจงต้องการฝึกความแข็งแกร่งและความ

    พร้อมของกองกำลัง..จึงรวมพลกันฝึกก่อน....และเมื่อได้รับสัญญาณจากเมือง...ให้รวม

    พลกันอีกครั้งเพื่อขับไล่กองกำลังพม่า..พวกเขาจะเรียกกำลังพลมาทันทีอีกครั้งหนึ่ง

    ....................นะจาบอกกับสายว่า ......"เมืองต้องการให้สายกลับไปรอที่บ้าน

    ขุนทัพ โดยไม่ได้บอกว่าเมืองจะไปทำอะไรที่ไหนอย่างไร"....ส่วนสายนั้นรู้สึกโล่ง

    ใจที่ปัญหาที่ตนกังวลได้กระจ่างไปอย่างหนึ่ง...คือ .."เรื่องการฝึกอาวุธของ

    ชาวเขา"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2011
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................จาโอพาสายกลับมาที่บ้าน ..สายสบตากับจาโอแล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"พรุ่งนี้..ข้าคงต้องไปจากดอยแห่งนี้"

    ....................จาโอมีทีท่าสลดลงเมื่อได้ฟังคำของสาย...สายตาของจาโอมีแววของ

    การวิงวอนอยู่ลึก ๆ....ซึ่งจาโอเองไม่เคยรักหรือชอบใครมาก่อน...แต่เมื่อได้รู้จักและสนิท

    สนมกับสาย....ใจของนางจังหวั่นไหวและเริ่มที่จะรักสายอย่างเต็มหัวใจ.....แต่ยัง

    ไม่ทันทีจะได้อยู่ร่วมกันนาน ๆ ก็มีอันต้องจากกันไป...

    ....................สายเห็นจาโอมีท่าทีเช่นนั้น..เขาจึงเอื้อมมือขวาไปลูบผมจาโออย่าง

    แผ่วเบา..อันเป็นท่าทีของการปลอบโยน พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้า

    ............................"ข้าจะกลับมาที่ดอยแห่งนี้ เมื่อข้าช่วยงานของปลัดเมืองเสร็จ

    สิ้น...หากไม่มีงานใดให้สานต่อ...ข้าจะลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของฝั่งตะวัน

    ออก...และมาอยู่กับเจ้าตลอดไป"

    .....................จาโอได้ฟังถ้อยคำของสายที่เป็นคำพูดที่ฉุดดึงหัวใจของนางขึ้นก็

    ถึงกับหลั่งน้ำตาน้อย ๆออกมาจนล้นเอ่อ...พลางพูดอย่างสะอื้น

    ............................"ข้า...ก็จะรอเจ้าตลอดไปเช่นกัน"

    .....................สิ้นเสียของจาโอ..สายได้ดึงร่างของจาโอเข้ามาสวมกอดอย่าง

    ทะนุถนอม....และค่ำคืนนั้นสายกับจาโอก็ได้พลอดรักกันตามธรรมชาติของหนุ่ม

    สาว..ที่มีความรักและภักดีให้กัน

    ....................สายเดินทางออกจากเผ่ามูเซอ..เมื่อแสงสว่างสาดส่องเข้าสู่

    ดอย..โดยมีจาโอยืนส่งและเฝ้าดูสายจนลับตาไป....

    ....................สายมุ่งหน้าไปรอเมืองที่บ้านขุนทัพ..และได้ทราบข่าวจากบุญแทน

    ว่า "มุกได้พบกัมพูและส่งกัมพูกลับไปฝั่งตะวันตกแล้ว" ...ทำให้หน้าที่เฉพาะกิจ

    ของสายเสร็จสิ้นหมดไป...คงเหลือแต่รอสัญญาณจากปลัดเมือง..และปรึกษาหารือ

    กับพรรคพวกว่า "จะดำเนินการอย่างไรต่อกับกองกำลังพม่า"...และจะปกปิดเรื่อง

    ราวอย่างไรไม่ให้เจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตกรู้เรื่องราวนี้

    .....................ในขณะที่สายอยู่กับบุญแทนและพรรคพวกบางส่วน ณ ที่ทำการบ้านขุน

    ทัพ..มุกได้เดินทางเพื่อนำหนังสือของเจ้าเมืองน่านไปส่ง...ให้ปลัดปักษ์เพื่อให้กลับ

    ฝั่งตะวันตก....และจึงนำหนังสืออีกฉบับของเจ้าเมืองไปส่งให้ขุนทัพต่อก่อนที่สาย

    จะมาถึง.....





    .............................เมื่อฉันพบเธอวันนั้น...ดั่งสวรรค์เป็นใจ.........................
    ..........................สุขฤทัยยามเมื่อเราได้...ชิดเคียงกายใจคู่กัน......................
    ..........................เมื่อยามเธอสบตาฉัน...สุดจำนรรความในใจ......................
    ...................บอกเธอไปให้เธอรู้ไว้...ว่าดวงใจฉันรักแต่เธอ..รักแต่เธอ................
    .........................ฉันหวังรักเราสดใส...เบิกบานภายในใจสองเรา....................
    ......................ดุจดังเงาคอยติดตามไป...ไม่หวั่นไหวแม้นใครนินทา.................
    ...........................ความรักความเสน่หา...ได้นำพาให้เราพบกัน.....................
    ..........................ไม่มีวันที่ฉันจะต้องจากไป...เปลี่ยนใจจากเธอ....................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3QgAfz801755-01.jpg
      3QgAfz801755-01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.6 KB
      เปิดดู:
      143
    • 3290_1.jpg
      3290_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48 KB
      เปิดดู:
      38
    • buatong3.jpg
      buatong3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      119.7 KB
      เปิดดู:
      20
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2011
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..................ตอนที่ 60 ปลัดปักษ์ผู้ทรนง............


    .....................ปลัดปักษ์และร.ต.ต.เวียงหัวหน้าตำรวจพร้อมพรรคพวกได้ออก

    ตามล่าปลัดเมือง..เพื่อจับตัวมาสอบถามให้ได้ความว่า"ใครคือผู้ฆ่าบุญมี..ซึ่งปลัด

    ปักษ์คาดว่าปลัดเมืองต้องรู้" พร้อมกับสืบเรื่องราวว่า........ "มีเหตุใดเกิดขึ้นที่ฝั่ง

    ตะวันออก"

    ......................ปลัดปักษ์และหัวหน้าตำรวจได้กระจายกำลังกันออกเป็น 3 ส่วน...

    โดยส่วนใหญ่..เขาให้ตำรวจและเจาหน้าที่ฝั่งตะวันตกเดินม้าเป็นรูปหน้ากระดานส่วน

    หนึ่ง......อีกสองส่วนแยกเป็นปิกซ้ายและขวา

    ......................โดยปลัดปักษ์นำอยู่ในส่วนหน้ากระดาน..ปีกขวาร.ต.ต.เวียงเป็นผู้

    นำ..ส่วนปีกซ้ายให้รองหัวหน้าตำรวจเป็นผู้นำ

    ......................ขณะที่กองกำลังของปลัดปักษ์กำลังไล่ล่าอยู่นี้ มุกซึ่งถือหนังสือ

    หรือจดหมายของเจ้าเมืองน่านทั้งสองฉบับ...ได้คาดคะแนตำแหน่งของปลัดปักษ์

    ได้อย่างแม่นยำ..ด้วยชำนาญพื้นที่พร้อมกับคำนวณทิศทางและเวลา

    ......................มุกพบกับปลัดปักษ์และได้ส่งหนงสือเจ้าเมืองน่านให้...เขาเปิด

    ออกอ่านดู...ก็ให้รู้สึกขัดแย้งในใจที่เจ้าเมืองน่านเรียกตัวเขากลับ..นั่นคือ หมาย

    ถึงการยุติหน้าที่ให้นำกองกำลังทั้งหมดกลับเมืองน่านฝั่งตะวันตกทันที

    ......................โดยหนังสือของเจ้าเมืองน่านอ้างว่า "พื้นที่ฝั่งตะวันออกมีโจรป่า

    บุกรุกเข้ามา และเป็นคนฆ่าบุญมี..ขณะนี้ขุนทัพกับกองกำลังเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกกำลัง

    ไล่ล่าอยู่..ขอให้พวกขุนทัพทำงานต่อไป..อย่าไปยุ่งหรือกดดันพวกของขุนทัพ"

    ......................."ปลัดปักษ์ไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น"..เขาจึงบอกให้มุกเดินทางไปส่ง

    หนังสืออีกฉบับให้ขุนทัพต่อไป...ส่วนปลัดปักษ์ได้เรียกกองกำลังของฝั่งตะวันตก

    ประชุมและแจ้งทุกคนให้กลับฝั่งตะวันตกตามคำสั่งของเจ้าเมืองน่าน...พร้อมกับ

    ส่งหนังสือให้หัวหน้าตำรวจ...โดยปลัดปักษ์ได้แจ้งเป็นนัยกับหัวหน้าตำรวจว่า

    ............................"ท่านกลับไปรายงานกับเจ้าเมืองน่านว่า ..ข้าขออนุญาตอยู่

    สังเกตการณ์ให้แน่ชัดก่อน..แล้วข้าจะกลับไป"

    ............................"ปลัดคิดดีแล้วหรือ..เจ้าเมืองน่านต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง

    ถึงเรียกพวกเรากลับ"

    ............................"แต่ข้าก็มีเหตุผลของข้าเหมือนกัน" ปลัดปักษ์โต้กลับอย่าง

    ไม่ยอม

    ............................"ปลัดจะอยู่ก็ได้ แต่ปลัดก็ต้องเขียนหนังสือถึงท่านเจ้าเมือง

    อธิบายเหตุผลที่ไม่ยอมกลับต่อท่านเจ้าเมือง"

    ............................"ข้าจะทำตามท่านบอกก็แล้วกัน"

    .....................ปลัดปักษ์เขียนหนังสือให้หัวหน้าตำรวจ...แล้วตนเองก็รีบควบม้า

    ไปโดยเร็วในทิศทางที่มุกเดินทางไปก่อนหน้านี้แล้ว....
     
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................มุกเดินทางจนพบขุนทัพและรายงานเรื่องที่ตนเองส่งกัมพูกลับ

    ฝั่งตะวันตก พร้อมกับเรื่องราวที่เขาพบเจ้าเมืองน่าน จนได้รายงานเรื่องโจรป่าให้

    เจ้าเมืองน่านทราบ...และเจ้าเมืองน่านได้มีจดหมายถึงขุนทัพ..เมือขุนทัพเปิด

    จดหมายออกอ่านดู..ก็ให้ซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าเมืองน่านเป็นอย่างยิ่ง

    .....................ชายวัยกลางคนอายุราว 55 ปี ร่างเล็กหน้าผากย่นผิวขาว ฉลาดเจ้า

    ความคิดผู้ที่มีน้ำใจและมีความอ่อนโยนเป็นเอกลักษณ์ ไม่เคยใช้พระเดชกับผู้ใด...นอก

    จากพระคุณเพียงอย่างเดียว...เพียงเท่านี้ก็ได้รับความรักและเคารพจากผู้ใต้บังคับบัญชา

    ทุกคน..ที่ออกจะเกรงใจเป็นส่วนใหญ่ เขาเป็น...... "บุรุษหนึ่งทรงคุณธรรมแห่งนัก

    ปกครอง" ...ก็คือ ...."เจ้าเมืองน่าน" ท่านนี้เอง

    ....................ก็เพราะความที่เจ้าเมืองน่านไม่เคยสั่งลงโทษเจ้าหน้าที่ผู้ใดเมื่อทำผิด..

    นอกจากเพียงคำตักเตือนและคำอธิบายที่ทรงคุณแห่งความเมตตาชี้แนะว่า..."สิ่งนั้นไม่

    ควรทำและชี้แจงเหตุผลให้ผู้ทำผิดได้ตาสว่าง" เฉกเช่นปลัดปักษ์ซึ่งก็เคยทำผิด

    ฐานขัดคำสั่งเจ้าเมืองน่าน...แต่เจ้าเมืองน่านก็เพียงแต่ตักเตือนด้วยความเมตตา...ไม่

    ใช่เพราะปลัดปักษ์คือ "คนรักของคุณหนูสายใจบุตรสาวคนโต"..แต่เพราะเจ้าเมือง

    น่านท่านเป็นเช่นนี้ไม่เลือกปฏิบัติ.............แต่ปฏิบัติต่อทุกคนเท่าเทียมกันหมดนั่นคือ

    "ความเมตตา"

    ....................ปลัดปักษ์จึงกล้าที่จะขัดคำสั่งเจ้าเมืองน่าน..ไม่ยอมกลับฝั่งตะวัน

    ตก...เพราะเขารู้ว่าเขาเพียงแต่ถูกเจ้าเมืองน่านตำหนิเท่านั้น...แต่เขาก็จะชี้แจง

    เหตุผลต่อกันและกันว่า..."ฝ่ายปลัดปักษ์มีน้ำหนักมากกว่าหรือฝ่ายของเจ้าเมือง

    น่านมีน้ำหนักมากกว่า".........หากปลัดปักษ์มีน้ำหนักน้อยกว่า"ปลัดปักษ์ก็จะลง

    โทษตัวเองด้วยตัวของตัวเอง" โดยไม่ต้องรอให้เจ้าเมืองทำโทษ

    ....................ปลัดปักษ์ผู้ทรนงรู้ดีว่า "เขาย่อมต้องหาเหตุผลที่ดีรายงานชี้แจง

    ต่อเจ้าเมืองน่านได้อย่างดีทีเดียว"

    .....................ปลัดปักษ์ไล่ตามมุกจนพบพวกของขุนทัพ..เป็นขณะที่ขุนทัพสั่ง

    ให้มุกไปตามพรรคพวกอีกสามคนที่ขุนทัพส่งไปรอสังเกตการณ์และสกัดถ่วงเวลา

    ปลัดปักษ์เอาไว้.....และคอยส่งข่าวว่า"ปลัดปักษ์มาถึงที่ใด"

    .....................การตามพวกอีกสามคนมาเพื่อรวมกำลังกันออกตามไล่ล่ากอง

    กำลังพม่า..โดยที่ขุนทัพไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า..."ขณะนี้กองกำลังของขุนนางใหญ่ได้

    ส่งกำลังมาสมทบกับพรรคพวกเอหม่อง..........โดยติดตามแซงคามาตามคำขอ

    ของเอหม่อง"

    .....................ซึ่งกองกำลังของพม่าที่ชายแดนเมืองน่านเขตห้วยโก๋นตอนนี้มี

    ราว 300 คน ซึ่งเกินกว่าขุนทัพจะรับมือ......
     
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................ฝ่ายปลัดเมืองขณะที่เขาเดินทางกลับจากพม่า.......มาทางเขต

    ชายแดนห้วยโก๋นของเมืองน่าน..ก็ได้พบเห็นกองกำลังของเอหม่องโดยบังเอิญ..

    ซึ่งมีจำนวนมากราว 300 คนเช่นนี้ .....เมืองคิดว่า..."เพียงเขาและลีเจงรวมชาวเขา

    เผ่าต่าง ๆตามที่นัดแนะไว้ก็คงยากจะสู้กับกองกำลังของเอหม่องซึ่งหน้าได้.....แม้จะรวม

    กำลังพลของขุนทัพและเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกด้วยก็ตาม"....

    ....................เมืองคิดว่า "จะสู้กับกองกำลังของเอหม่องนี้ได้ก็ด้วยปัญญาเท่านั้น"..

    เมืองหารู้ไม่ว่านอกจากกองกำลังของเอหม่องที่มากมายแล้ว.....ยังมีอาวุธที่น่ากลัวของ

    เฮียงคี้อีกอย่างหนึ่งคือ "การยิงธนูดุจสายฝนของเฮียงคี้" ที่จะเพิ่มความหนักใจให้

    แก่เมืองเป็นอีกเท่าตัว....

    ....................เมืองควบม้าขึ้นดอยมุ่งหน้าไปเผ่ามูเซอก่อน...เพื่อบอกให้ลีเจงระดม

    กำลังคนของชาวเขาเผ่าต่าง ๆไว้เตรียมพร้อม.........และเขาก็รู้จากลีเจงกับนะจาว่า

    "สายสหายของเขาได้ขึ้นมาบนดอยแห่งนี้ .....และได้แสดงฝีมืออันฉกาจให้พวก

    ชาวเขาได้เห็น"

    ....................เมืองพาพวกลีเจงกับชาวเขาเผ่าต่าง ๆ รวม 50 คนเศษลงมาทางเหนือ

    เพื่อมุ่งหน้าไปยังฐานกำลังของเอหม่อง...เป็นขณะเดียวกันกับที่ขุนทัพและพรรคพวกรวม

    20 คนเศษ ก็มารวมกำลังสมทบกัน........โดยอยู่ห่างจากฐานกำลังของเอหม่องไม่มาก

    เท่าใดนัก....

    ....................เมืองสั่งให้มุกบอกเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกคนหนึ่ง..ควบม้าเร็วไปแจ้งให้

    บุญแทนและสายมารวมสมทบยังที่หมายทันที...จนทั้งหมดได้มารวมตัวกันเพื่อรอ

    ปรึกษาและรอฟังคำสั่งโจมตีกองกำลังของเอหม่อง....

    ....................ปลัดปักษ์สะกดรอยตามขุนทัพกับพวกมาจนเห็น...กองกำลังของ

    เมืองและกองกำลังของขุนทัพรวมกำลังกันได้ราว 80 คน....... "ปลัดเมืองคือเป้า

    หมายที่ปลัดปักษ์ซุ่มจับตามองดูอยู่".......ปลัดปักษ์ซุ่มดูอย่างเงียบ ๆ ก็ให้สงสัย

    ว่า........ "ขุนทัพ ปลัดเมือง และพวกชาวเขาเผ่าต่าง ๆ มารวมตัวกันเพื่อกระทำ

    การใด" ...แต่เท่าที่ปลัดปักษ์อ่านพฤติการณ์และความรู้สึก..ก็ให้เกิดลางสังหรณ์

    ว่า "ความตายและกลิ่นคาวเลือดกำลังใกล้จะปรากฎเบื้องหน้าของเขา....

     
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองบอกกับสายให้ควบม้าไปสังเกตการณ์.......กองกำลังของ

    เอหม่อง.....ซึ่งปลัดปักษ์ก็ได้สะกดรอยตามสายไปเช่นกัน...

    ....................และเมื่อถึงจุดหมาย...ปลัดปักษ์ก็ถึงกับตกใจ..ที่ได้เห็นกองกำลัง

    พร้อมอาวุธนานาชนิด ไม่ว่า จะเป็นปืนยาว ธนู หน้าไม้ และอาวุธอื่น รวมทั้งม้าศึก

    จำนวนมาก อยู่ในตำแหน่งใกล้ชายแดนเขนห้วยโก๋น

    ....................ความช่างสังเกตของปลัดปักษ์และความฉลาดของเขา..ที่เห็น

    การแต่งกายของกองกำลังเบื้องหน้า..ก็ให้รู้ว่ากองกำลังกลุ่มนี้คือ "ชาวพม่า"

    ....................ปลัดปักษ์เริ่มสงสัยทันทีว่า "ชาวพม่าพวกนี้มีเหตุผลใดถึงบุกรุก

    เข้ามาแดนสยามยังถิ่นเมืองน่านฝั่งตะวันออกนี้"....ก็ในเมื่อปลัดปักษ์เองก็รับรู้อยู่

    ว่า"ตอนที่เมืองสยามช่วยกองทัพอังกฤษรบกับพม่าจนพม่าพ่ายแพ้ไป...ได้มีข้อ

    ตกลงระหว่างอังกฤษกับพม่าหลายข้อ....และข้อหนึ่งในจำนวนข้อที่ตกลงกันก็คือ

    "ประเทศสยามเป็นมิตรกับอังกฤษห้ามพม่าทำร้ายเมืองสยาม" นั่นคือ "ห้ามพม่า

    รบกับสยามและห้ามบุกรุกห้ามรบกวนและอื่น ๆ ที่จะทำให้เมืองสยามเดือดร้อน"

    แต่บัดนี้พม่าผิดสัญญานั้นแล้วหรือ....

    ....................ปลัดปักษ์คิดว่า "จะต้องมีเหตุที่ไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอนที่

    ทำให้กองกำลังพม่ามาตั้งฐานอยู่ที่เมืองน่านฝั่งตะวันออกนี้"......"แล้วทำไมเรื่อง

    ใหญ่เช่นนี้ ขุนทัพ ปลัดเมือง และเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกจึงไม่รายงานให้เจ้าเมือง

    น่านทราบ"........เพื่อเจ้าเมืองน่านจะได้รายงานต่อไปยังเมืองหลวง..เพื่อจัดการ

    ปัญหาต่อไป....เพราะเรื่องยิ่งใหญ่เช่นนี้เป็นเรื่อง......."กระทบกันระหว่างประเทศ

    ทีเดียว"

    ....................ปลัดปักษ์ขบคิดว่า "พวกขุนทัพ ปลัดเมืองและเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวัน

    ออก..กำลังวางแผนจัดการกับกองกำลังพม่าโดยพลการฝ่ายเดียว....โดยไม่ยอม

    ขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองน่านหรือเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันตก.......แล้วพวกกอง

    กำลังพม่านี้มีกำลังมากกว่าพวกของขุนทัพมากมาย...และพวกเขาจะจัดการกับ

    กองกำลังพม่าได้อย่างไร

    ....................ใจหนึ่งปลัดปักษ์อยากกลับไปรายงานเจ้าเมืองน่านเพื่อส่งกอง

    กำลังมาช่วยเหลือ....แต่อีกใจหนึ่งเขาก็คิดว่า "จะต้องมีเหตุผลอย่างหนึ่งอย่างใด

    แน่นอน.......ที่ขุนทัพและปลัดเมือง...ไม่ยอมบอกความจริงกับเจ้าเมืองน่าน..

    หรือ..."พวกเขาทำอะไรผิดหรือ"...."

    .....................ปลัดปักษ์ไม่ได้ย้อนกลับไปที่กองกำลังของขุนทัพ..แต่ซุ่มดูกอง

    กำลังพม่าว่า"พวกพม่ากำลังจะทำอะไร"............
     
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เต็นท์ที่พักของกองกำลังพม่าตั้งเรียงรายกันไปเป็นกลุ่ม ๆ..และ

    มีทหารยามเฝ้าเดินไปมาจำนวนมาก...โดยพวกเขารอคำสั่งจากเอหม่องเพื่อจะตามล่า

    ปลัดเมืองและชิงขวดแก้วทรงมะม่วงใบนั้น..ไม่มีคำสั่งจากขุนนางใหญ่พม่าสั่งระงับ

    งานนี้...แม้จะมีลูกธนูแจ้งปริศนาตัวอักษรว่า "รวมสองเป็นหนึ่ง ขับไล่อังกฤษ" ไปถึง

    มือขุนนางใหญ่แล้วก็ตาม

    ....................ยามค่ำคืนที่พักกองกำลังพม่าจุดคบไฟเรียงราย....พร้อมกับก่อไฟผิง

    บรรเทาความหนาวในฤดูเหมันต์

    ....................สายควบม้าเร็วกลับไปรายงานขุนทัพ...พวกเขานัดหมายจะโจมตีกอง

    กำลังพม่าตอนตีห้าของวันรุ่งขึ้น...โดยแบ่งกำลังโอบล้อมเป็นสามทิศ...ขุนทัพกับ

    พวกซุ่มโจมตีด้านทิศใต้...ส่วนลีเจงกับชนชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ขนาบอยู่ทิศเหนือ..

    และปลัดเมืองกับพวกซุ่มโจมตีทางทิศตะวันตก....โดยเปิดทางด้านทิศตะวันออก

    ไว้..เพราะเป้าหมายคือ ผลักดันกองกำลังพม่าไปทางทิศตะวันออกให้เข้าไปแผ่น

    ดินประเทศลาว....เป้าหมายของพวกเขาคือขับไลพม่าออกจากแดนสยามเท่านั้น..

    ซึ่งแม้จะต้องมีการเข่นฆ่ากันก็ตาม...

    .....................ปลัดปักษ์ยังคงซุ่มดูอยู่ในที่ลับ โดยเขาคาดการณ์ว่า "ปลัดเมืองจะ

    ต้องโจมตีกองกำลังพม่าก่อนรุ่งเช้าแน่นอน"...ดังนั้นเขาจึงซุ่มดูอยู่ท่ามกลาง

    อากาศหนาวเย็น...โดยเพียรพยายามที่จะไม่ยอมหลับนอนขณะซุ่มดูอยู่..

    .....................และแล้วเมื่อถึงเวลานัดหมายตีห้าของวันรุ่ง..ปลัดเมืองก็เริ่มโจม

    ตีกองกำลังพม่าก่อนฟ้าสางทันที
     
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .................ตอนที่ 61 ธนูสะท้านแผ่นดิน.............


    .....................เมืองซุ่มโจมตีอยู่ทางทิศตะวันตก..เขาควบม้านำพรรคพวกซึ่งมีตัว

    หลักอย่าง บุญแทน สาย และมุก ร่วมเคียงบ่า...พวกเขาวางแผนไว้อย่างแนบเนียม โดย

    ทันทีที่เมืองเห็นกองกำลังของเอหม่องจากไฟคบเพลิงที่จุดอยู่รอบเต็นท์ต่าง ๆ..เขาได้ยิง

    ลูกธนูที่ใช้ผ้ามัดปลายไว้และจุดไฟเข้าใส่เต็นท์ที่เรียงรายอยู่ทันที..

    ......................ลูกธนูไฟที่เมืองยิงเข้าใส่ได้พุ่งตกที่เต็นท์จนเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นแดง

    สว่างไปทั่วอาณาบริเวณ....ซึ่งเมืองก็ยังคงระดมยิงลูกธนูไฟเข้าใส่เต็นท์ต่าง ๆอย่างต่อ

    เนื่องอยู่เพียงผู้เดียว......

    ......................ทหารยามของกองกำลังพม่าวิ่งกันอลหม่านด้วยความตกใจ...เพื่อ

    ปลุกคนที่อยู่ในเต็นท์ที่กำลังหลับไหลให้ตื่นขึ้นมา...โดยร้องตะโกนบอกว่า

    ............................"พวกเราถูกโจมตี..พวกเราถูกโจมตี..." โดยร้องเรียก

    อย่างดังไปทั่วบริเวณค่าย.........

    ......................เมื่อพวกที่อยู่ภายในเต็นท์วิ่งออกมานอกเต็นท์ที่เพลิงกำลังลุกไหม้..

    ขุนทัพที่อยู่ทางด้านทิศใต้ก็เปิกฉากระดมยิงปืนเข้าใส่ทหารพม่าทันที...ทหารพม่าวิ่ง

    อลหม่านและหลงกลคิดว่า "ผู้โจมตีระดมยิงมาจากทางด้านทิศใต้อย่างเดียว..ต่างก็วิ่งมา

    ตั้งหลักหันหน้าไปทางทิศใต้เพื่อยิงตอบโต้กับพรรคพวกของขุนทัพ...โดยหันข้างให้ทาง

    ทิศตะวันตกที่ปลัดเมืองและพรรคพวกรอโจมตีอยู่ บุญแทน สาย มุก และพรรคพวกซึ่งรอ

    จังหวะอยู่ก็ระดมยิงปืนเข้าใส่ด้านข้างของกองกำลังพม่าทันที....

    ....................กองกำลังพม่าเสียเปรียบตรงที่มองไม่เห็นศัตรูผู้บุกรุก..เนื่องจาก

    ด้านนอกค่ายยังมืดอยู่...แต่ฝ่ายผู้บุกรุกกับเห็นกองกำลังพม่าอย่างชัดเจนด้วย

    แสงไฟที่กำลังลุกสว่างจ้าเผาไหม้แต่ละเต็นท์อยู่....

    ....................เมื่อด้านทิศตะวันตกและด้านทิศใต้มีเสียงปืนของศัตรูดังสนั่นหวั่นไหว

    กองกำลังพม่าก็หันมายิงปืนตอบโต้...โดยไม่ได้ระวังด้านทิศเหนือ

    ....................ลีเจงที่อยู่ด้านทิศเหนือซึ่งบัดนี้..เขาได้ใช้อาวุธคือธนูเป็นการเฉพาะกิจ

    โดยไม่ได้นำหน้าไม้ออกมาใช้ตามปกติ..ด้วยเห็นว่าในการนี้ธนูใช้ได้ว่องไวกว่า..ซึ่งเขาก็

    มีทักษะการใช้ธนูอยู่แล้ว...ลีเจงได้ยิงลูกธนูเปิดฉากพร้อมกับชาวเขาเผ่าต่าง ๆก็ใช้ธนูและ

    หน้าไม้ อีกทั้งคันกระสุนยิงเข้าใส่กองกำลังพม่าทันที..ซึ่งอาวุธทางฝ่ายลีเจงอันตรายและ

    เงียบกว่าเสียงปืน...

    .....................ขณะที่กองกำลังพม่ากำลังสาละวนกับการต่อสู้ด้านทิศใต้และทิศตะวัน

    ตกอยู่...ก็พบว่า "ลูกธนูและหน้าไม้พุ่งมาจากด้านเหนือตรงเข้าปักด้านหลังและด้านข้างลำ

    ตัวของพวกตนเป็นจำนวนมาก"....กองกำลังพม่าที่ถูกยิงประกบจากด้านทิศเหนือ ทิศใต้

    และตะวันตก...ทำให้ล้มตายเป็นจำนวนมาก......

    .....................แซงคาได้วิ่งเข้าไปรายงานสถานการณ์ให้เอหม่องและเฮียงคี้ทราบ..

    เอหม่องและเฮียงคี้จึงได้คิดแก้สถานการณ์..โดยมีความเห็นว่า "ขณะนี้ยังมืดอยู่..ทำ

    ให้กองกำลังพม่าไม่เห็นพวกศัตรู...แต่พอจะรู้ว่าพวกศัตรูซุ่มโจมตีกองกำลังพม่า

    เพียง 3 ด้าน คือ เหนือ ใต้ และตะวันตก"

    ....................."พวกเราจะต้องรอให้แสงอาทิตย์ส่องสว่างขึ้นก่อน..แล้วพวก

    เราจะเห็นพวกมัน...และจะเป็นฝ่ายรุกกลับบ้าง....ดังนั้น จึงต้องแบ่งกำลังตอนนี้

    ออกเป็น 3 ส่วนก่อน....โดยให้กองกำลังกลุ่มหนึ่งขึ้นมาหนีไปทางทิศตะวันออก

    เข้าประเทศลาวไปซึ่งเอหม่องจะเป็นผู้นำกำลังไป...เขานำทหารราว 100 คนควบ

    ม้าหนีไปทางทิศตะวันออกเข้าประเทศลาวทันทีอย่างรวดเร็ว...."

    .....................ส่วนเฮียงคี้และพรรคพวกรวมทั้งผู้ร่วมขบวนการ..."ยิงธนูสาย

    ฝน"...ให้รอสงบนิ่งไว้ส่วนหนึ่งโดยไม่ตอบโต้..ให้ทำทีว่าไม่มีคนหรือคนได้ตายไป

    แล้ว.....

    ......................และส่วนที่สาม คือ กำลังพลที่ค้ำยันต่อสู้อยู่ให้ตอบโต้พวกของ

    ศัตรูทั้งสามด้าน คือ เหนือ ใต้ และตะวันตก เอาไว้..."
     
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองและพรรคพวกซึ่งมีกำลังน้อยกว่าไล่ถล่มกองกำลังพม่า..

    กลุ่มที่ต่อสู้ตั้งรับพวกเขาอยู่ไว้ในส่วนหน้าจนตายสิ้น..พร้อมกับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่

    เพิ่งขึ้นบนขอบฟ้าได้สาดส่องมาทันที...พวกเมืองไม่รู้ว่า "ได้มีกองกำลังของเฮียงคี้อีก

    ส่วนหนึ่ง....ซึ่งนอนสงบนิ่งเหมือนตายรอพวกเขาอยู่ห่างจากกองกำลังส่วนนั้นไม่มากนัก"

    ....................เมืองมองไกลจากกองกำลังที่นอนตายไป...ก็พบเห็นกองกำลังอีกส่วน

    หนึ่งที่นอนตายอยู่...เขารู้สึกฉงนที่พวกเขาไม่ได้ยิงถล่มกองกำลังอีกส่วนหนึ่งที่นอนเรียง

    รายอยู่...แต่พวกนี้มานอนตายได้เช่นไร....ดังนั้นเมืองจึงรอสังเกตการณ์อยู่ที่เดิม..ปล่อย

    ให้ บุญแทน สาย มุกและพรรคพวกเดินไปสำรวจศพกองกำลังพม่าอย่างระมัดระวัง..เช่น

    เดียวกับลีเจงก็นั่งอยู่บนหลังม้ารอสังเกตการณ์อยู่...ปล่อยให้พรรคพวกชาวเขาเผ่าต่าง ๆ

    ลงไปสำรวจ..แต่ในส่วนของขุนทัพกลับนำพรรคพวกลงจากหลังม้าเดินลงมาสำรวจทันที

    ....................ทันทีที่พรรคพวกของขุนทัพ บุญแทน สาย มุกพร้อมกับพรรค

    พวกและชาวเขาเผ่าต่าง ๆมาใกล้ระยะพอควร...พวกของเฮียงคี้ที่แกล้งนอนตายอีกส่วน

    หนึ่งก็ลุกขึ้นพร้อมกับระดัมยิงปืนเข้าใส่ทันที...และเกิดการต่อสู้ยิงถล่มกันอย่างประจัญบาน

    ขึ้นทันที.......

    ....................เฮียงคี้ได้ที..นำ มังทู สะเบ็ง และจินหม่อง วิ่งออกห่างพวกของ

    ขุนทัพและชาวเขาเผ่าต่าง ๆที่กำลังยิงต่อสู้กับกองกำลังพม่าอีกส่วนหนึ่ง ..พอได้

    ระยะ...เฮียงคี้ได้ให้มังทู สะเบ็งส่งลูกธนูที่มัดรวมอยู่มัดละ 30 ดอก ส่งมาใส่รังธนู

    หนังเสือและให้จินหม่องตัดเชือกที่มัดออก..พร้อมกับตนเองได้ยิงลูกธนูทั้ง 30

    ดอก ออกไปยังกลุ่มของพรรคพวกขุนทัพทันที..และก็ได้ยินติดต่อกันอีกหลายชุด

    ใหญ่ไปอย่างต่อเนื่อง

    ....................ลูกธนูที่ถูกเฮียงคี้ยิงออกไปได้"โปรยปรายดุจสายฝนที่เร็วและ

    แรงพุ่งเข้าใส่พรรคพวกชาวเขาและเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกล้มลงทันที"...บ้างก็

    บาดเจ็บ บ้างก็ล้มตายไปต่อหน้าต่อตาของเมืองและลีเจงเป็นจำนวนมาก...

    ....................เมืองและลีเจงตกตะลึงที่เห็นลูกธนูดุจสายฝนเช่นนี้...มันทำให้

    กองกำลังของเขาหายไปจากสนามรบเกินกว่าครึ่งหนึ่งของกองกำลังที่เขาพา

    มา......จากการที่กองกำลังของเมืองเป็นต่อกองกำลังของพม่าอยู่....ก็ได้กลับมา

    เป็นรองอย่างรวดเร็ว...ลูกธนูดุจสายฝนและกลยุทธ์ฝ่ายกองกำลังพม่า..ทำให้

    สถานการณ์พลิกกลับให้กองกำลังพม่าเป็นต่อ...

    ....................เฮียงคี้เห็นเมืองอยู่บนหลังม้า.."เขาเปลี่ยนเป้าหมายการยิงธนูดุจ

    สายฝนทันที"...และหันมายิงพุ่งใส่เมือง.......ลูกธนูดุจห่าฝนพุ่งเข้าหาเมืองเป็น

    ร้อย ๆ ดอก....เมืองชักม้าหลบหนีเป็นพัลวันอย่างรวดเร็ว............เขาควบม้าไป

    หาลีเจง"ลูกธนูสายฝนของเฮียงคี้"ก็ไล่ตามเขาไปติด ๆ....แต่ด้วยกำลังฝีเท้าของ

    ม้าสีนิลได้นำพาเขาหลบพ้นเป็นจังหวะ ๆ....

    .....................ลูกธนูของเฮียงคี้พุ่งเข้าหาเมืองอีกเป็นฝนห่าใหญ่..เมืองยกคัน

    ธนูของเขาหมุนปัดลูกธนูให้ออกเบี่ยงทิศทางจากตัวเขาไปหลายดอก...

    .....................ขณะที่กำลังหนีลูกธนูอยู่นี้..เมืองควบไปถึงลีเจงและบอกกับลีเจงให้

    ควบม้าไปด้านหลังเฮียงคี้..แล้วยิงธนูไปที่จินหม่องคนตัดเชือกมัดธนู......เพราะหากไม่มี

    จินหม่อง ธนูสายฝนของเฮียงคี้จะยิงไม่ได้....วิธีการทำลายการยิงธนูครั้งนี้ต้องทำลายที่

    ขบวนการยิงของพวกเขาเพียงเก็บได้ 1 ใน 4 คน..ก็ทำให้การยิงธนูช้าลงหรือยิงไม่ได้เลย

    ......................ส่วนเมืองก็จะยิงไปที่สะเบ็งหรือมังทู..เพื่อตัดไม่ให้คนทั้งสองส่งลูก

    ธนูให้เฮียงคี้

    ......................เมืองนัดแนะกับลีเจงแล้ว..เมืองได้ชักม้ากลับและควบม้าสีนิลพุ่ง

    เข้าใส่เฮียงคี้กับพรรคพวกทันที...เขาหยิบลูกธนูขึ้นทาบและยิงตัดสวนกับลูกธนู

    สายฝนของเฮียงคี้ที่ยิงเข้ามา...ด้วยลูกธนูสายฝนนั้นจะมีเพียงสี่หรือห้าดอกเท่า

    นั้นที่พุ่งตรงเข้ามาหาเมือง..ส่วนอีกนับเกือบร้อยดอกพุ่งออกข้าง ๆ เพื่อสกัดการ

    หนีออกข้าง.....เมืองยิงตัดลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหาเขาโดยตรงเท่านั้น

    ....................ลูกธนูของเมืองพุ่งชนลูกธนูของเฮียงคี้หลายครั้ง..จนมันเบี่ยงทิศไปไม่

    ถูกเขา...เมืองอาศัยความเร็ว หันธนูเข้าหาเฮียงคี้แต่เขาไม่ได้ยิงเฮียงคี้..ด้วยลูกธนูของ

    เมืองพุ่งเข้าปักกลางอกของมังทูจนล้มลง...เป็นจังหวะเดียวกับลีเจงก็ได้ยิงธนูจากด้าน

    หลังถูกกลางหลังของจินหม่องล้มลงเช่นกัน....

    ....................เฮียงคี้กระชากรังธนูหนังเสือออกจากคันธนูของเขา..ด้วยมีต่อไปหา

    เป็นประโยชน์ไม่......แล้วเขาได้ใช้คันธนูสายเดียวของเขายิงเข้าใส่ลีเจง..ถูกลีเจงที่แขน

    ซ้ายจนทะลุ...เฮียงคี้เห็นลีเจงพลาดท่าเช่นนั้น...เขาได้วิ่งไล่ตามยิงลีเจงด้วยลูกธนูอีก

    หลายดอกติด ๆกัน....แต่ลีเจงก็ประคองตัวหลบลูกธนูเอาไว้.....

    ....................เมืองเห็นลีเจงกำลังพลาดท่าคิดว่า "หากเฮียงคี้ยิงธนูเข้าใส่ลีเจงต่อ

    เนื่องไปอีก...ลีเจงหลบไม่พ้นแน่".....เมืองกระชากม้ากลับควบไล่ตามเฮียงคี้ไปด้าน

    หลัง...เฮียงคี้ยิงธนูอย่างรวดเร็วเข้าใส่ลีเจง...เมืองก็จะยิงธนูพุ่งไล่ตามลูกธนูของเฮียงคี้

    และตัดกระแทกลูกธนูของเฮียงคี้ทุกดอกออกจากเป้าหมายคือ ลีเจง.........จนลูกธนูของ

    เฮียงคี้ไม่อาจทำอะไรลีเจงได้...

    ....................ลีเจงประคองตัวควบม้าออกไปจนพ้นอันตราย...เมืองจึงได้ควบม้า

    ตามเฮียงคี้ทันและชักม้ากระโจนข้ามหัวเฮียงคี้อย่างบ้าบิ่น...เฮียงคี้นอนหงายราบ

    กับพื้นดินแล้วยิงธนูส่งลูกธนูเข้าใส่เมืองขณะม้ากระโจนข้ามหัวเฮียงคี้...แต่ลูกธนู

    ไม่ถูกจึงได้พุ่งลอยขึ้นท้องฟ้า...เมืองควบม้าติดตามลีเจงไปอย่างรวดเร็ว.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265 (2).JPG
      IMG_2265 (2).JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      30
    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      108
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2011
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ในส่วนของกลุ่มขุนทัพ บุญแทน สาย มุก และพรรคพวกรวมทั้ง

    ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ที่เหลืออยู่..ต่างก็ระดมยิงต่อสู้กันกับกองกำลังเฮียงคี้อย่างซึ่งหน้าจึง

    บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก...

    ....................ขณะการยิงต่อสู้ของขุนทัพกับพวกกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด..เสียง

    ปืนนับร้อยกระบอกจากทางทิศตะวันออกที่มีทิศทางมาจากประเทศลาวก็ดังขึ้นอย่างสนั่น

    หวั่นไหว...อันเป็นสัญญาณว่า "เอหม่องกำลังพาพรรคพวกอีกเป็นร้อยเข้ามาจัดการ

    ศึกครั้งนี้"

    ....................เอหม่องควบม้านำหน้าพรรคพวกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับกอง

    กำลังของเขา..เมื่อมาถึงก็ได้กระจายกำลังล้อมรอบพวกของขุนทัพซึ่งมี บุญแทน สาย

    มุก รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝั่งตะวันออกและพวกชาวเขาตกอยู่ในวงล้อมของเขา...

    ....................เอหม่องสั่งให้ขุนทัพกับพวกที่อยู่ในวงล้อมหยุดต่อสู้ทันที โดยมี

    อาวุธปืนของกองกำลังเขานับร้อยกระบอกจ่อเล็งมาที่ขุนทัพกับพวก

    ............................."พวกเจ้าจงวางอาวุธเสียให้หมด..ไม่เช่นนั้นเราจะฆ่าไม่

    ให้เหลือ"

    ............................."เอาอย่างไรดีล่ะลุงขุน" เสียงมุกกระซิบบอกขุนทัพ

    ............................."ให้พวกเราวางอาวุธตามที่มันสั่ง"

    ............................."ทำไมลุงขุน" สายถามเหตุผลด้วยไม่พอใจ เพราะตน

    เลือกที่จะสู้ตาย

    ............................."มันไม่ได้มีเพียงพวกเรา ..แต่มันยังมีพวกชาวเขา..และ

    เจ้าหน้าที่คนอื่น..ซึ่งข้าต้องรับผิดชอบชีวิตของพวกเขา..ที่เขามาทำงานเพื่อเรา"

    ............................."ข้าก็เห็นด้วยกับลุงขุนนะ" บุญแทนสนับสนุนคำพูดของ

    ขุนทัพ ทำให้สายใจอ่อนลง แล้วโยนอาวุธปืนทิ้งลงกับพื้นเป็นคนแรก รวมทั้งคน

    อื่นทั้งหมด

    ....................พวกเอหม่องจึงค่อย ๆลงจากหลังม้า..และขยับเข้าไปใกล้พวก

    ของขุนทัพ..โดยมีอาวุธปืนจ่อไปเบื้องหน้าอย่างระวังตัว...

    ....................เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของปลัดปักษ์ทั้งสิ้น...ปลัดปักษ์

    คิดว่า "เขาจะต้องช่วยขุนทัพกับพวก..แต่ก็จนปัญญาด้วยพวกของเอหม่องมีมาก

    เกินกว่าเขาจะจัดการ....เขานึกถึงปลัดเมืองและพวกของเขาอีกคนหนึ่ง คือ ลีเจง

    ซึ่งไม่ได้ตกอยู่ในวงล้อมของกองกำลังเอหม่องว่า .."เมืองและพวกมีวิธีการใดจะ

    ช่วยขุนทัพกับพวกขณะนี้"

    ....................ฝ่ายเมืองนั้นเมื่อตามลีเจงทัน..เขาได้หักหัวลูกธนูที่เฮียงคี้ยิงถูก

    แขนซ้ายของลีเจงแล้วดึงออกจากแขนของลีเจง...และได้พากันควบม้ากลับมาที่

    เดิม........แต่เมื่อเขาพบเหตุการณ์ที่พ่อของเขาและพรรคพวกกำลังถูกกองกำลัง

    เอหม่องล้อมอยู่....เมืองสงบนิ่งมองอยู่อย่างชั่งใจโดยมีลีเจงนั่งวิตกอยู่บนหลังม้า

    ข้าง ๆอย่างเงียบ ๆ .......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265.JPG
      IMG_2265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      25
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2011
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....ตอนที่ 62 สุดยอดการดวลธนูบนแผ่นดินสยาม....


    ....................เมืองหันไปบอกกับลีเจง

    ............................"ลีเจงเจ้ายังไหวอยู่หรือ"

    ............................"ข้าพร้อมเสมอ..สำหรับเจ้า"

    ............................"พวกเราคงเอาชนะมันไม่ได้..แต่ข้าหาทางให้พวกเราหนีรอด

    จากพวกมันได้"

    ............................"เจ้ากำลังคิดการใดอยู่"

    ............................"เจ้ากับสายรู้จักกันดีแล้วใช่ไหม"

    ....................ลีเจงพยักหน้าแทนคำตอบ

    ............................"หากข้าเข้าไปปรากฎตัวอยู่ที่นั่นเพื่อทำอะไรบางอย่าง..เจ้าจง

    ส่งสัญญาณบอกสายให้บอกพรรคพวกเราให้เตรียมหนีเพียงอย่างเดียว...ให้แยกย้ายกลับ

    ฐานเดิม..โดยหนีให้พ้นจากสายตาของพวกมันโดยเร็ว...พวกมันไม่ชำนาญพื้นที่

    มันตามหาเราลำบาก"

    ....................เมืองกับลีเจงนัดแนะกันอย่างดีแล้ว.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265.JPG
      IMG_2265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      19
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองชักม้าเดินตรงไปยังกองกำลังของเอหม่อง...ที่กำลังล้อมขุน

    ทัพกับพวกอยูอย่างช้า ๆ..และชักปืนพกที่เขานำติดตัวมายิงขึ้นบนท้องฟ้าจนหมดโม่..

    ............................"เปรี้ยง เปรี้ยง ๆ ๆ ๆ ๆ"

    .....................เสียงกัมปนาทของปืนทำให้เอหม่องและกองกำลังพม่าหันกลับมาทาง

    เสียงปืน...รวมทั้งปลัดปักษ์ที่ซุ่มสังเกตการณ์ดูอยู่ในที่ซ่อน...ก็มองเห็น..เมืองกำลังเดิน

    ม้าเข้าไปหากองกำลังพม่าอย่างไม่เกรงกลัว....ปลัดปักษ์ถึงกับสบถคำพูดขึ้นอย่างดัง

    ด้วยไม่เห็นด้วยกับการกระทำของปลัดเมือง

    .........................."ปลัดเมือง..เจ้ากำลังทำอะไรของเจ้า..อยากตายนักหรือ"



    ....................เมืองเดินม้าเข้าไปพร้อมกับยกคันธนูของเขาชูขึ้น.........กองกำลัง

    ของเอหม่องที่ล้อมรอบขุนทัพกับพวกอยู่.......จึงเปิดทางให้เมืองเข้าไปอยู่ในวงล้อม

    กับพวกขุนทัพ..ทำให้ขุนทัพกับพวกไม่เข้าใจว่า"เมืองกำลังทำอะไร"

    ....................เมืองชูคันธนูพร้อมกับขวดแก้วทรงมะม่วง.....และยืนขึ้นบนหลัง

    ม้าสีนิล..ด้วยความองอาจทรนงสง่าผ่าเผยดุจราชสีห์...พร้อมกับตะโกนพูดอย่าง

    ดังไปทางเอหม่อง


    ........................"เอหม่อง...พวกเจ้าบุกมาถึงแดนสยามแห่งนี้..ก็

    เพียงเพื่อขวดแก้วใบนี้กับมาเอาชีวิตของข้าไม่ใช่หรือ...บัดนี้ ข้ามายืนอยู่

    ต่อหน้าพวกเจ้าแล้ว...คนที่เจ้าล้อมเพื่อจะจับอยู่ขณะนี้ไม่มีประโยชน์กับ

    เจ้าแล้ว...มีข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่มีความหมายสำหรับเจ้า...แต่ข้ายังมี

    เรื่องคาใจกับเฮียงคี้เกี่ยวกับการยิงธนูอยู่ไม่จบสิ้น.........ข้าจึงอยากท้า

    ประลองกับเฮียงคี้ต่อหน้าพวกเจ้าให้เป็นพยาน.........ถึงการต่อสู้ด้วยธนู

    ในครั้งนี้......ต่อแต่นี้ไปจะไม่มีใครได้เห็นการประลองธนูที่ยิ่งใหญ่บนแผ่น

    ดินนี้อีกแล้ว......หากเฮียงคี้ชนะ..ข้ายอมมอบขวดแก้วใบนี้พร้อมกับชีวิต

    ของข้าให้พวกเจ้า....และพวกเจ้าก็จะถือว่าทำงานให้ขุนนางใหญ่สำเร็จ

    เสร็จสิ้นไปในคราวเดียว........แต่หากเฮียงคี้แพ้ขอให้ปล่อยพวกของข้า

    กลับไป"



    ....................เมืองรู้ดีว่าไม่ว่าผลการต่อสู้จะแพ้หรือชนะ..เอหม่องไม่มีวันปล่อยเขา

    และพรรคพวกอย่างเด็ดขาด...ดังนั้น เขาจึงให้ลีเจงเตรียมการช่วยเหลือขุนทัพกับ

    พวกทันที.....

    ....................เฮียงคี้ตะโกนขึ้นอย่างดังโดยไม่รอคำตอบของเอหม่อง

    ........................"ข้ารับคำท้าของเจ้า"




    ....................เอหม่องได้ยินเฮียงคี้ตอบไปดังนั้น....เอหม่องคิดว่า "ดีเหมือนกัน"..

    เขาไม่เคยเห็นการดวลธนูที่ตื้นเต้นมาก่อนเลย...และเขาเชื่อว่า "การต่อสู้จะต้องสนุก..

    เพราะเอหม่องเคยเห็นเมืองยิงลูกธนูใส่ลูกธนูของเฮียงคี้หักกลางอากาศมาแล้ว...

    พร้อมกับลูกธนูที่เมืองยิง..ยังนำพาลูกธนูที่หักของเฮียงคี้พุ่งไปถูกอีกาเป้าหมาย

    ของเฮียงคี้ซึ่งบินอยู่กลางอากาศอีกด้วย"

    .....................ดังนั้น เฮียงคี้กับเมือง..น่าจะเป็น"ยอดฝีมือของการยิงธนู"..

    เมื่อยอดฝีมือกับยอดฝีมือมาประลองยุทธกัน...มันน่าจะเป็นสิ่งที่ตื้นเต้นและดุเดือด

    เจริญหูเจริญตาของเขาให้เพลิดเพลิน...เอหม่องคิดว่า.."อย่างไรเสียเมืองกับพรรค

    พวกก็อยู่ในวงล้อมของกองกำลังเขาอยู่แล้ว...พวกเขาไม่น่ารอดในสถานการณ์นี้

    ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็ตาม"

    ....................เอหม่องตะโกนสนับสนุนทันที

    ............................"ข้าก็เห็นเช่นเดียวกับเฮียงคี้..แต่พวกเจ้าต้องประลองกัน

    อยู่ในวงล้อมของพวกข้าเท่านั้น"

    ............................"ข้าไม่หวั่นหรอก...แต่ขอให้พวกเจ้าขยายวงล้อมออกไป

    100 เมตร..ข้าจะได้ควบม้ายิงธนูได้ถนัดมือ"



    .....................เอหม่องสั่งกองกำลังให้ขยายวงล้อมออกไปตามคำขอของเมือง....

    ทำให้ขุนทัพกับพรรคพวกพ้นอันตรายที่ใกล้ตัวมาชั่วระยะหนึ่ง...เมืองพยายามมอง

    สัญญาณจากลีเจงที่ซุ่มอยู่นอกวงล้อมนี้....การต่อสู้ของเมืองเป็นไปไม่ได้เต็มที่นัก..ด้วย

    เขายังกังวลเกี่ยวด้วยการช่วยเหลือขุนทัพกับพวก........ให้ออกจากวงล้อมของกองกำลัง

    เอหม่อง

    ....................เมืองนั่งบนหลังม้าเพื่อเตรียมพร้อม..เขาชูสายสะพายพร้อมขวด

    แก้วทรงมะม่วงขึ้นแล้วโยนขึ้นฟ้า....พร้อมกับยิงลูกธนูเข้าใส่สายสะพายนั้น..ไปที่

    ต้นไม้ที่อยู่นอกวงล้อมนั้นติด ๆ กันถึง 3 ดอก....ลูกธนูทั้ง 3 ดอกที่เมืองยิงไปพุ่ง

    เสียบเขาสายสะพายขวดแก้ว..และพุ่งตรงไปปักอยู่ที่ต้นไม้นอกวงล้อมนั้น...

    ....................เมืองร้องตะโกนออกไปทางบุญแทนว่า

    ............................"หากการประลองธนูยังไม่รู้ผล มันผู้ใดเข้าใกล้ขวดแก้ว..

    เจ้าจงยิงมันทันที" เมืองพูดพร้อมกับโยนปืนพกของเขาไปให้บุญแทน ..ด้วยรู้

    ว่าบุญแทนยิงปืนได้แม่นยำมากด้วยเคยเห็นฝีมือมาก่อน...



    ....................บุญแทนจึงได้อาวุธปืนโดยปริยายหลังจากที่เอหม่องสั่งให้โยนอาวุธ

    ทิ้ง....ซึ่งบุญแทนได้รีบบรรจุกระสุนเข้าไปในลูกโม่จนเต็ม....การที่เมืองโยนปืนให้บุญ

    แทน เอหม่องไม่ได้ค้านด้วยเห็นว่า"เป็นการยุติรรมดี..ที่น่าจะมีคนกลางรักษาขวดแก้วใบ

    นั้นไว้"


    .....................เฮียงคี้นักล่าอินทรีแห่งมองโกลขึ้นนั่งบนหลังม้าสีขาวสะอาด

    ตา..ซึ่งเป็นม้าพันธุ์ดุจากมองโกล..พร้อมกับลูกธนูที่ใส่ซองสะพายด้านหลัง...และ

    ได้กำลูกธนูไว้ที่มืออีกส่วนหนึ่ง....เช่นเดียวกับเมืองซึ่งเขาก็เตรียมลูกธนูไว้เต็ม

    อัตราศึกเช่นกัน....เพราะการยิงธนูบนหลังม้า เป็นเชิงยุทธที่ต้องใช้ความสามารถ

    อย่างสูง...เพราะคนที่ยิงธนูบนหลังม้านั้นจะไม่มีการหยุดนิ่งหรือเล็งเป้าอยู่กับที่ได้

    เลย...ทั้งคนยิงและเป้าต่างก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265 (2).JPG
      IMG_2265 (2).JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      42
    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      101
    • IMG_2239.JPG
      IMG_2239.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1 MB
      เปิดดู:
      23
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2011
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................การประลองยุทธเริ่มขึ้นภายในวงล้อมกองกำลังเอหม่อง เฮียงคี้

    นั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวยืนอยู่ด้านทิศตะวันออก..ส่วนเมืองนั่งอยู่บนหลังม้าสีนิลที่ดำ

    สนิทยืนอยู่ด้านทิศตะวันตก..โดยทั้งคู่อยู่ห่างกันราว 50 เมตรเศษ

    ............................"เปรี้ยง" เสียงปืนของเอหม่องดังขึ้นหมายถึงสัญญาณ

    การต่อสู้เริ่มขึ้น

    ....................เมืองและเฮียงคี้ควบม้าเข้าหากันอย่างเร็ว.....พร้อมกับยิงธนูเข้าใส่กัน

    ทันที..

    ....................ลูกธนูดอกแรกของทั้งสองฝ่ายพุ่งแหวกอากาศเข้าหากันอย่างแรงและ

    รวดเร็ว...ด้วยกำลังส่งของผู้ยิงทั้งสองฝ่ายที่มีความอาฆาตแค้นกันอยู่.....หมายจะปลิด

    ชีวิตกันและกันด้วยธนูดอกแรก

    ............................"ผลั๊ก..เปรี๊ยะ.." เสียงลูกธนูสองดอกพุ่งเข้าหากันและ

    ชนกันอย่างแรกจนธนูทั้งสองดอกหักสบั้นกลางอากาศ...แล้วล่วงลงสู่พื้น

    ....................มันเป็นความแม่นยำของทั้งคู่ที่อ่านทิศทางของลูกธนูของกันและกัน

    ออก....เพราะเขาใช้วิชายิงธนูเดียวกัน คือ วิชาที่เฮียงคี้แสดงการยิงสกัดเป้าหมายตอนยิง

    อีกาให้เมืองดูและเรียนรู้โดยไม่ตั้งใจ....แต่การยิงธนูของเฮียงคี้เป็นการยิงธนูที่แม่นยำ

    อย่างเชี่ยวชาญและชำนาญการยิงกว่าเมืองมากนัก....ส่วนเมืองนั้นอาศัยยิงจากการฝึกฝน

    บวกกับปัญญาและไหวพริบของเขา....โดยใช้อ่านพฤติกรรมของเฮียงคี้ตลอด...เขาจึง

    เป็นเหมือน "มวยจังหวะสอง คือ กันและแก้ พร้อมกับโต้กลับ" ซึ่งจะแตกต่างกันจากการ

    ต่อสู้ของสายเพื่อนและลูกน้องของเขา...ที่สายจะเป็น.."มวยจังหวะหนึ่งอยู่เสมอ คือ

    รุกไม่ให้ตั้งตัว และเผด็จศึกในทันที"

    ....................เมืองดูพฤติกรรมของเฮียงคี้และอ่านว่า"เฮียงคี้จะปล่อยลูกธนูเมื่อไร..

    เขาจะยิงโต้ตอบด้วยลูกธนูด้วยความเร็วทันที"...เหตุผลของเมือง คือ เมื่อลูกธนูพุ่งออก

    มาย่อมมีเป้าหมายและทิศทางที่แน่นอนแม้ว่ามันจะรวดเร็ว....แต่เป้าหมายที่อยู่บนหลังม้า

    และการที่เขาไม่นิ่งอยู่อยู่บนหลังม้า..ทำให้ทั้งเฮียงคี้และตัวเมืองยิงธนูได้ลำบาก...

    ....................เมืองเริ่มใช้วิธียิงธนูเข้าใส่ต่อเนื่องเพื่อเป็นฝ่ายรุกไม่ให้เฮียงคี้ตั้งตัว..

    เขายิงลูกธนูในขณะที่ม้าทั้งสองฝ่ายกำลังวิ่งอยู่อีกราว 10 ดอก...เฮียงคี้หลบและยิงโต้

    กลับเช่นกัน...ลูกธนูแต่ละดอกพุ่งชนกันบ้าง...เฉี่ยวกันบ้าง...แต่ยังไม่มีผู้ใดยิงถูกเป้า

    ....................ม้าทั้งสองฝ่ายวิ่งสวนกัน..เฮียงคี้หยิบลูกธนูทาบคันธนูและเตรียมยิงใน

    ระยะประชิด...เมืองหยิบลูกธนูไม่ทัน..จึงได้ใช้คันธนูฟาดไปที่ลูกธนูที่เฮียงคี้กำลังยิงจน

    ลูกธนูหลุดจากมือ....และต่างฝ่ายก็ควบม้าหันหลังให้กันไป

    ....................เมืองกระชากม้ากลับได้ก่อนจึงยิงธนูเข้าใส่เฮียงคี้อีก แต่พลาดเป้า...

    เช่นเดียวกับเฮียงคี้ก็ระดมยิงลูกธนูใส่เมือง



    ....................ลูกธนูที่ทั้งสองฝ่ายยิงใส่กันบนหลังม้าช่างรวดเร็ว..และงดงาม

    ด้วยทีท่าและลีลาการขี่ม้าและยิงธนู....แม้มันจะกระแทกหัวใจให้เสียว..แต่มันก็

    เป็นภาพที่ตรึงตาตรึงใจ เอหม่องและกองกำลังพม่า รวมทั้งขุนทัพกับพวก..อีกทั้ง

    ลีเจงและปลัดปักษ์ที่เฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ

    .....................ผู้ดูทุกคนใจจดใจจ่อต่างฝ่ายก็หายใจไม่ทั่วท้อง..และไม่อยาก

    จะสนใจสิ่งอื่นใด....

    .....................ธนูสะท้านแผ่นดินและสุดยอดการดวลธนูบนแผ่นดินสยาม..เป็น

    เรื่องราวที่เกิดขึ้นในกลางฤดูหนาวปลายปี พ.ศ.2461





    .....................เมืองและเฮียงคี้ยิงลูกธนูใส่กันจนเหลือเพียงคนละ 1 ดอก...

    เมืองและเฮียงคี้ตัดสินใจที่จะยิงธนูใส่กันในระยะประชิด...หมายปลิดชีวิตแต่ละ

    ฝ่ายด้วยลูกธนูดอกสุดท้ายที่อยู่บนหลังม้า.....เมืองควบม้าสีนิลอย่างเร็วพุ่งเข้าหา

    เฮียงคี้...เช่นเดียวกับเฮียงคี้ก็ควบเจ้าม้าขาวพันธุ์ดุแห่งมองโกลเข้าใส่เช่นกัน...

    .....................เมืองใส่ลูกธนูง้างสายไว้รอขณะควบม้า...เหมือนกับที่เขาฝึก

    ง้างสายธนูไว้เป็นเวลานานบนดอยเผ่ามูเซอที่นะจามาช่วยนับเลขให้เขาตอนฝึก..

    ซึ่งเขามีโอกาสให้ทักษะอันนี้แล้ว....เช่นเดียวกับเฮียงคี้ก็ง้างสายธนูไว้รอเช่นกัน..

    ต่างฝ่ายต่างก็มีลูกธนูพิฆาตคนละดอก....

    .....................ม้าสีนิลวิ่งเข้าหาม้าสีขาวพันธุ์ดุ...โดยเจ้าม้าพันธุ์ดุไม่ได้มีทีท่า

    จะเบี่ยงหลบเส้นทางเพื่อสวนกันแต่อย่างใด...มันเพียรพยายามวิ่งอย่างเร็วเพื่อจะ

    ชนม้าสีนิลให้กระเด็นออกจากเส้นทาง..โดยที่ม้าทั้งสองไร้ผู้จับเชือกบังคับม้า..

    เพราะต่างจดจ่อที่จะใช้ยิงลูกธนูพิฆาตทั้งสองฝ่าย....

    .....................ม้าสีนิลเหมือนรู้ว่า"เจ้าม้าขาวพันธุ์ดุตัวนี้ จริงจังและจะพุ่งเข้า

    ชนมันแน่"....สีนิลจึงวิ่งเข้าใส่อย่างสุดกำลัง....ขณะที่ม้าสองตัวกำลังจะชนกัน..

    สีนิลได้ใช้กำลังขากระโจนเพื่อจะข้ามหัวเฮียงคี้และเจ้าม้าขาวพันธุ์ดุทันที

    .....................ภาพของม้าสีนิลพุ่งลอยขึ้นสู่อากาศกำลังจะข้ามหัวเฮียงคี้นั้น...

    เมืองซึ่งอยู่บนหลังม้าสีนิลได้ก้มลงหันทิศทางลูกธนูเข้าใส่เฮียงคี้ที่อยู่ด้านล่างตน

    ทันที...เป็นขณะที่เจ้าม้าสีขาวได้เชิดหน้ายกเท้าหน้าทั้งสองขึ้นแล้วใช้เท้าหน้าทั้ง

    สองถีบส่งปลายเท้าหน้าทั้งสองของม้าสีนิลที่อยู่บนอากาศเหนือตนทันที..พร้อม

    กับเฮียงคี้ก็ได้หันปลายลูกธนูเข้าหาเมืองซึ่งอยู่ด้านบนเหนือหัวของตนเช่นกัน..



    .................แล้วต่างฝ่ายต่างก็ยิงธนูเข้าใส่กันทันที...ปลายลูกธนูของ

    ทั้งสองพุ่งชนกันอย่างแรงเสียงดังสนั่นกัมปนาทไปทั่วบริเวณ...

    .................ภาพอันตื่นตาตื่นใจกระแทกความรู้สึกเช่นนี้ ไม่เคยมีให้ผู้

    ใดในที่นั้นได้เห็นมาก่อน..."มันทั้งสวยงาม และ ดุดัน"ไปพร้อมกัน..ทุก

    คนต่างตกตะลึงถึงกับอุทานการดวลธนูครั้งนี้มันคือ "ธนูสะท้านแผ่นดิน"

    .................ปลายลูกธนูทั้งสองฝ่ายต่างหักสะบั้นลงก่อนที่จะถูกผู้ใด..

    ความเร็วและแรงของม้าทั้งสองตัวที่ปะทะกัน..ทำให้ม้าสีนิลถึงกับหมุน

    กลางอากาศด้วยแรงถีบที่ม้าทั้งสองตัวถีบส่งกัน...และม้าทั้งสองตัวก็ล้ม

    ลงลื่นไถลไปกับพื้นดินทั้งคู่..ทำให้เมืองและเฮียงคี้ซึ่งไม่ได้จับเชือกม้าไว้

    ทั้งสองฝ่ายถึงกับตีลังกากระเด็นตกม้าทั้งคู่....



    ....................ทั้งเมืองและเฮียงคี้รีบข่มความเจ็บปวดจากการตกม้า.....ลุกขึ้น

    ยืนอย่างเร็ว...ต่างฝ่ายต่างก็วิ่งไปหยิบลูกธนูสายฝนที่เฮียงคี้ยิงโปรยปรายและปัก

    อยู่ที่ดินจำนวนหลายร้อยดอก....และนำมายิงใส่กันอย่างไม่มีหยุด...สถานการณ์

    เช่นนี้..หากใครนิ่งอยู่กับที่คาดว่าจะต้องถูกลูกธนูของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน

    .....................เมืองชั่งเวลาว่า "ลีเจงน่าจะเริ่มงานของเขาได้แล้ว"..เพราะการ

    ดวลธนูของเขากับเฮียงคี้.....ทำให้กองกำลังพม่าที่ล้อมอยู่ได้เผลอเรอหันมาสนใจ

    การดวลธนูเพียงอย่างเดียวโดยไม่ใส่ใจเรื่องอื่น.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265.JPG
      IMG_2265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      19
    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      115
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...